รอยเตอร์ - ยางฮี ลี ผู้สืบสวนด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุว่า ตนเองคาดหวังว่าทางการพม่าจะรับประกันความปลอดภัย แม้ทางการพม่าล้มเหลวที่จะตำหนิพระสงฆ์หัวรุนแรงซึ่งเรียกเธอว่าโสเภณี และยังปลุกปั่นให้ผู้นับถือต่อต้านเธอด้วย
ยางฮี ลี ผู้แทนพิเศษสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในพม่า ได้สร้างความไม่พอใจให้รัฐบาลพม่า จากการวิพากษ์วิจารณ์การจำกัดเสรีภาพทางการเมือง และจากการเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้แก่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นบุคคลที่ถูกเกลียดชังในหมู่พระสงฆ์นำโดยพระวิระธู ที่กล่าวประณามยางฮี ลี ว่า เป็นโสเภณี ในการชุมนุมเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา
หลังจากลี ยื่นรายงานฉบับล่าสุดต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเจนีวา เมื่อสัปดาห์ก่อน พระวิระธู ได้โพสต์ตอบโต้ข่มขู่บนหน้าเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง
“ถึงผู้รักชาติที่รัก ช่วยกันหาวิธีที่จะสอนบทเรียนให้แก่หญิงชั่วร้าย” ข้อความที่พระวิระธู โพสต์บนเฟซบุ๊ก ซึ่งสำนักงานสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติแปลออกมา
รูเพิร์ต โคลวิลล์ โฆษกของซีด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า อัลฮุสเซน มองว่าข้อความดังกล่าวเป็นการยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง และต้องการที่จะย้ำว่าสิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบอย่างแท้จริงของรัฐบาลพม่าที่จะจัดการต่อภัยคุกคามความรุนแรง และการยั่วยุปลุกปั่น และเพื่อรับประกันความปลอดภัยของผู้แทนพิเศษในระหว่างการเดินทางเยือนพม่า
ลี กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าความปลอดภัยของเธอนั้นอาจเป็นอันตราย
“ฉันเชื่อมั่นในรัฐบาลพม่าว่า พวกเขาจะเห็นว่าความปลอดภัยของฉัน และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในทีมเป็นความสำคัญสูงสุดของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครทำอะไรบ้าๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ฉันก็รู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไม่แยกตัวเองออกจากความเห็นเหล่านี้ และยังกล่าวโทษฉันที่เดินทางออกจากพม่า พร้อมกับความไม่ไว้ใจ ความบาดหมาง และการยุยง” ลี กล่าว
ภายใต้กฎหมายพม่า คำขวัญ หรือโลโก้ที่ใช้ในการชุมนุมประท้วงใดๆ ก็ตามจะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า ซึ่งลี ระบุว่า นั่นทำให้รัฐบาลสามารถป้องกันการกล่าวสุนทรพจน์ที่เป็นการปลุกระดมของพระวิระธูได้
พระวิระธู ถูกจำคุกนาน 25 ปี ในปี 2546 ฐานแจกจ่ายใบปลิวต่อต้านชาวมุสลิมที่ยั่วยุให้เกิดความไม่สงบระหว่างชุมชน ที่ทำให้กลุ่มชาวพุทธสังหารชาวมุสลิมไปอย่างน้อย 10 คน แต่ได้รับการปล่อยตัวในปี 2554 ระหว่างการอภัยโทษนักโทษการเมือง.