ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- รัฐบาลฮุนเซนกำลังโหมรณรงค์ทางการทูตอย่างหนัก และล่าสุด โยนข้อหาใหม่ ไทยยิงด้วยปืนใหญ่กระสุนบรรจุแก๊สพิษ และใช้เครื่องบินรบถล่มอีกรอบในวันเสาร์ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมในกรุงพนมเปญ กล่าวหาเรื่องนี้ในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกในบ่ายวันเดียวกัน ในความพยายามดึงความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ
เป็นการกล่าวอ้างที่ทำให้ดูเหมือนว่า สถานการณ์ความรุนแรงจนถึงขีดสุด หลังจากกัมพูชาเคยร้องเรียนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UB Security Council) ในเดือน ก.พ. กล่าวอ้างว่า ฝ่ายไทยใช้ปืนใหญ่ 155 มม.บรรจุกระสุนแบบ “ดาวกระจาย” หรือ CMC (Cluster Munitions Coalition) โจมตีใน “สงคราม” ช่วงต้นเดือนเดียวกันที่ชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร
การปะทะเมื่อวันเสาร์นี้เกิดขึ้นที่ในอีกบริเวณหนึ่งห่างจากเดิมไปทางทิศตะวันตกกว่า 100 กม. ที่บริเวณปราสาทตาควายกับตาเมือน ชายแดน จ.อุดรมีชัย กับ จ.สุรินทร์ของไทย ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า “สงคราม” ได้แผ่ลามออกไปอย่างกว้างขวาง
“นับเป็นการการโจมตีครั้งที่ 3 ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และเป็นการรุกรานทางทหารต่อกัมพูชาครั้งที่ 5 โดยกองกำลังฝ่ายกองทัพไทยนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ในระหว่างการรุกรานครั้งก่อนจากวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ กองทัพไทยได้ใช้ระเบิดดาวกระจาย ซึ่งได้ทำให้มีชาวกัมพูชาเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ในการโจมตีวันนี้ไทยได้ใช้ DK75 และปืนใหญ่ขนาดหนัก 155 มม.บรรจุแก๊สพิษ”
ข้อความดังกล่าวระบุอยู่ในคำแถลงของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งกล่าวหาด้วยว่า “การโจมตี” ครั้งล่าสุดนี้ดูเหมือนว่า ฝ่ายไทยหวังวจะยึดและครอบครองประสาทตาเมือนและตาควาย
“การโจมตีในวันนี้ทหารราบของไทยได้รับการสนับสนุนจากเครื่องบินทหาร และเครื่องบินลาดตระเวนซึ่งบินล้ำแดนลึกเข้าไปในกัมพูชา และใช้ปืนใหญ่ 130 มม.105 มม.และ 155 มม.ในปฏิบัติการโจมตีทำลาย” คำแถลงของกระทรวงกลาโหมกล่าว
ก่อนหน้านี้ ในวันศุกร์ 22 เม.ย.รัฐมนตรีต่างประเทศ ฮอร์ นัม ฮง ได้ทำหนังสือฉบับหนึ่งถึงประธานการประชุม UNSC ในนครนิวยอร์ก กล่าวหาว่าไทยได้อาวุธที่ทันสมัยต่างๆ รวมทั้งปืนใหญ่ 105 มม.106 มม.155 มม.และ ใช้เครื่องบินในการโจมตีกัมพูชาเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งทำให้ฝ่ายกัมพูชาล้มตายและได้รับความเสียหายหนัก
ในวันเดียวกัน นายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ออกเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชายุติการปะทะ และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอีกครั้งหนึ่ง และขอให้ไทยกับกัมพูชาเริ่มเจรจากันอีกรอบเพื่อแก้ไขข้อยัดแย้งอย่างสันติ
“เลขาธิการองค์การสหประชาชาติขอเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด และออกมาตรการเพื่อให้มีการหยุดยิงที่ได้ผล และสามารถตรวจสอบได้ในทันที” มาร์ติน เนซีร์กี โฆษกของนายบัน กล่าว
.
.
“นายบัน ยังเชื่อว่า ข้อพิพาทระหว่างไทย และกัมพูชา ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีทางทหาร และขอให้ไทยและกัมพูชาเริ่มเจรจาอย่างจริงจัง เพื่อหาหนทางยุติความขัดแย้งอย่างยั่งยืน” โฆษกของนายบัน ระบุ
ในวันเดียวกัน จีน และ สิงคโปร์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ไทย และกัมพูชา หยุดยิง และ หันหน้าเจรจากัน
ส่วนโฆษกของกองทัพไทย กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามยั่วยุสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การปะทะ และ ไทยได้ตอบโต้ “อย่างสมน้ำสมเนื้อ” โดยแยกแยะโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
การปะทะปะทุขึ้นอีกรอบหนึ่งในเช้าวันอาทิตย์ 24 เม.ย.นี้ ในอาณาบริเวณเดิม ซึ่งเป็นวันที่สามติดต่อกัน สถานการณ์ชายแดนกัมพูชายังปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหวียนเติ๋นยวุ๋ง กำลังเยือนกัมพูชาอีกด้วย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์กวานโดยเญินซเวิน (Quan Doi Nhan Dan) หรือ “กองทัพประชาชน” ของเวียดนาม ระหว่างการเยือนของนายยวุ๋งครั้งนี้ กำลังจะมีการเซ็นความตกลงกับความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวหลายฉบับ
คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งของสองฝ่ายจะประชุมเจรจาเกี่ยวกับการปักปันเขตแดน ที่ดำเนินมาจนถึงขั้นตอนสำคัญในปัจจุบัน
เวียดนาม และ กัมพูชา กำลังเร่งปักปันเขตแดนตั้งแต่ชายแดน จ.รัตนคีรี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงไปจนถึง จ.แก๊บ ติดทะเลอ่าวไทยทางใต้สุด พรรคฝ่ายค้านสมรังสี ซึ่งส่งคณะไปตรวจชายแดนหลายครั้งตั้งแต่ปีที่แล้ว กล่าวหาว่า รัฐบาลฮุนเซนยอมสูญเสียดินแดนให้แก่เวียดนาม ไปอย่างมากมาย
การปักปันเขตแดนมีกำหนดจะให้แล้วเสร็จในปี 2555 และปลายปีที่แล้วเวียดนามกับกัมพูชาได้ตกลงว่าจ้างบริษัทเอกชนของเดนมาร์กที่มีความเชี่ยวชาญแห่งหนึ่ง ให้จัดทำแผนที่ชายแดนขึ้นใหม่ (ใช้แทนแผนอินโดจีนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นกว่า 100 ปีก่อน) โดยจะเผยแพร่ในปีหน้า
.