ASTVผู้จัดการออนไลน์ - รัฐมนตรีกับผู้บัญชาการทหารกัมพูชาได้ยืนยันในวันอาทิตย์นี้ว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งทหาร รถถังและอาวุธหนักเข้าชายแดนติดกับไทยเมื่อวันศุกร์ (28 ม.ค.) และกัมพูชาอยู่ในฐานะพร้อมรบ ทั้งยังเตือนทหารไทยไม่ให้ล้ำแดน และไม่ให้คุกคามขัดขวางการสร้างถนนขึ้นไปยังปราสาทพระวิหาร นายเขียว กัญฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าวโดยกล่าวถึงเรื่องนี้ในวันอาทิตย์ (30 ม.ค.)
นายกัญฤทธิ์กล่าวว่า การสู้รบอาจะเกิดขึ้น “บ่ายวันนี้หรือพรุ่งนี้” ก็ได้ หากทหารไทยยังข่มขู่ ขัดขวางการสร้างถนนขึ้นไปยังปราสาท หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์รายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์
รัฐมนตรีกัมพูชากล่าวถึงเรื่องราวที่ไม่มีการพูดถึงกันมานาน นั่นคือการสร้างถนนจากพื้นราบลัดเลาะขึ้นไปตามเชิงเขามุ่งสู่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งส่วนปลายได้ตัดลึกเข้าไปในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชากล่าวอ้างเป็นดินแดนของตน การก่อสร้างเริ่มเมื่อปี 2551 โดยจะทำเป็นทางลาดยางตลอดสายและยังไม่แล้วเสร็จ
“จุดยืนของเราคือ ทหารไทยไม่ควรข้ามเข้ามาในแดนกัมพูชาโดยปราศจากการตกลงของฝ่ายกัมพูชา” นายกัญฤทธิ์กล่าว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าทหารไทย “ข่มขู่คุกคาม” การสร้างถนนอย่างไร
การให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ประจำวันอาทิตย์นี้ ยืนยันอีกครั้งว่าหากมีการปักธงชาติที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาระจริงก็จะต้องนำออกไป
นายอภิสิทธิ์พูดถึงเรื่องธงชาติที่วัดแก้วสิขาฯ ในวันพฤหัสบดี ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมประจำปีเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ในบ่ายวันศุกร์ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ออกคำแถลงปัดปฏิเสธเสียงเรียกร้องของผู้นำไทย โดยอ้างว่าวัดซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารเพียงไม่กี่ร้อยเมตร สร้างโดยชาวกัมพูชาเมื่อปี 2541
เมื่อวันศุกร์เช่นกัน สำนักข่าว Cambodia Express News ซึ่งเป็นสำนักข่าวภาษาเขมรในกรุงพนมเปญ ได้นำภาพธงชาติที่ปักอยู่ทางเข้าวัดแก้วสิขาฯ ออกเผยแพร่ เช่นเดียวกับภาพการเคลื่อนย้ายทหารและรถถังเข้าสู่ชายแดนไทย
นายพาย สิพัน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เคยอธิบายก่อนหน้านี้ว่า บันทึกช่วยความจำเพื่อความเข้าใจที่เซ็นกับฝ่ายไทยในปี 2543 ไม่มีผลย้อนหลังครอบคลุมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือมีอยู่แล้วในพื้นที่รอบๆ ที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของตนมาตั้งแต่ปี 2505 พร้อมๆ กับปราสาท ตามคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศ
ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับไทยในเดือน ก.ค.2551 ภายใต้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน ได้สั่งให้ทหารช่างก่อสร้างถนนจากเมืองอันลองเวง จ.อุดรมีชัย ไปยัง เมืองตะแบงมีชัย (Tbeng Meanchey) จ.พระวิหาร และตัดขึ้นเขาไปยังปราสาท โดยฝ่ายไทยมิได้ปฏิบัติการขัดขวางห้ามปราม แม้ว่าจะเกิดขึ้นหลังจาก 2 ฝ่ายเซ็น MOU 43 ก็ตาม
2
ตามรายงานของสื่อในกัมพูชา การก่อสร้างถนนขึ้นเขาใช้ทุนจากมูลนิธิโทรทัศน์บายน ซึ่งฮุนมะนา บุตรสาวคนหนึ่งของฮุนเซนเป็นผู้อำนวยการ
แม้ว่าทางขึ้นไปยังปราสาทพระวิหารที่มีอยู่เพียงทางเดียวจะอยู่ทางฝั่งไทย และยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ของปราสาทอยู่ในดินแดนไทยก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาได้นำปราสาทสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในวันที่ 7 ก.ค.2551
ความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลโดยพรรคประชาชนกัมพูชาชนะการเลือกตั้งท่วมท้น ในเดือนถัดมา ครองเสียงข้างมาก 90 เสียง ในสภาผู้แทนราษฎร123 ที่นั่ง
ปัจจุบันรัฐบาลฮุนเซนกำลังเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่วประเทศที่จะมีขึ้นในต้นปี 2555 และเชื่อกันว่า การเลือกตั้งดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้คะแนนนิยมของรัฐบาล สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปี 2556
ความตึงเครียดครั้งใหม่ที่ชายแดนไทย ยังมีขึ้นหลังจากฝ่ายค้านและองค์กรสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาได้ไปสำรวจพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม และ เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวที่ฝ่ายเวียดนามปักหลักเขตแดนลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชาตลอดแนวอีกด้วย
ย้อนหลังไปวันที่ 15 ก.ค.2551 หรือ 1 สัปดาห์หลังการขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก ทหารไทยได้เคลื่อนเข้าไปยังบริเวณวัดแก้วสิขาฯ เพื่อนำคนไทยที่ถูกจับในพื้นที่พิพาทกลับเข้าฝั่งไทย การเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชาที่นั่น ทำให้ทหารไทยประจำอยู่ต่อมาอีก 2 ปีกับ 5 เดือน ก่อนจะถอนออกในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ภายใต้ข้อตกลงที่จะไม่มีทหารฝ่ายใดประจำในบริเวณวัด
ยังไม่ทันข้ามเดือน กัมพูชาได้นำแผ่นป้ายหินขึ้นไปติดตั้งที่บริเวณวัด มีข้อความว่า “ที่นี่เป็นที่ซึ่งทหารไทยรุกรานดินแดนกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 ก.ค.2551 และถอนออกไปเมื่อเวลา 10:30 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2553” ซึ่งนำมาสู่ความตึงเครียดกับฝ่ายไทย
นายอภิสิทธิ์ได้เรียกร้องให้กัมพูชาถอนแผ่นป้ายออกไปและฝ่ายกัมพูชาตกลงปฏิบัติตามหลังการเจรจาหลายครั้ง
แต่หลังจากทุบทำลายป้ายหินแผ่นแรก กัมพูชาได้นำป้ายหินแผ่นที่ 2 ไปติดตั้งแทน โดยมีข้อความว่า “ที่นี่!! กัมพูชา” แต่ในที่สุดก็ยอมทุบทำลายทิ้งอีกครั้งหนึ่งวันพุธที่แล้ว หลังจากแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย นำคณะพร้อมอาวุธครบมือขึ้นไปเจรจากับระดับรองผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชาที่วัดแก้วสิขาฯ
ต่อการเคลื่อนอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังทหารครั้งใหม่เมื่อวันศุกร์ พล.ท.สเรย์เดิ๊ก แม่ทัพภาค 4 ของกัมพูชาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่กล่าวว่า ฝ่ายไทยได้เคลื่อนทั้งทหารและอาวุธเข้าพื้นที่ทำการซ้อมรบ ซึ่งทำให้กัมพูชาจำเป็นต้องดำเนินการเช่นกัน
“กองทัพของเราเตรียมพร้อม” พล.ท.สเรย์เดิ๊กกล่าว
.
3
ยิงจรวดอวดศักยภาพ
เขี้ยวเล็บใหม่ไม่เหมือนเดิม
4
5
6