ไซ่ง่อนหยายฟง/ASTVผู้จัดการรายวัน-- เวียดนามและรัสเซียได้ลงนามในสัญญาซื้อขายอาวุธและข้อตกลงในด้านพลังงานนิวเคลียร์ในวันอังคาร (15 ธ.ค.) ที่ผ่านมาในระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วัน (14-15 ธ.ค.) ของนายกฯเหวียนเติ๋นยวุ๋ง ซึ่งนับเป็นสัญญาณในการฟื้นคืนความสัมพันธ์ระหว่างรัสซียกับเวียดนามฮานอย ที่เป็นพันธมิตรกันมาตั้งแต่ครั้งรัสเซียยังคงเป็นสหภาพโซเวียต
การเซ็นความตกลงดังกล่าวยังมีขึ้นในขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม พลโทอาวุโสฟุงกวางแทง (Phung Quang Thanh) กำลังตระเวนเยือนสหรัฐฯ และ ฝรั่งเศส เพื่อขยายความร่วมมือด้านกลาโหมกับกลุ่มประเทศตะวันตก ขณะที่เวียดนามกำลังเผชิญแรงกดดันจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีพิพาทเหนือหมู่เกาะทะเลจีนใต้
นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นายวลาดิเมียร์ ปูตินและนายกฯเวียดนาม นายเหวียนเติ๋นยวุ๋ง ได้ร่วมกันลงนามในความตกลงหลายด้าน รวมทั้งฝ่ายเวียดนามได้ตกลงซื้อ เรือดำน้ำและเครื่องบินที่ผลิตโดยรัสเซีย สื่อของทางการกล่าว
"เวียดนามได้ลงนามในสัญญาซื้อเรือดำน้ำ เครื่องบิน และอุปกรณ์ทางทหาร ในความร่วมมืออันดีกับรัสเซีย" นายกฯเวียดนาม กล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงมอสโก โดยจะมีการตกลงในรายละเอียดที่เกี่ยวกับการซื้อขายระหว่างกระทรวงกลาโหมของเวียดนาม กับบริษัทโรโซโบรอนเอ็กซ์พอร์ต ( Rosoboronexport) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกอาวุธ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอื่นใดอีก
อย่างไรก็ตามสำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์ (Interfax) ได้อ้างแหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์จะออกนามจากอุตสาหกรรมอาวุธว่า เวียดนามได้ตกลงที่จะซื้อเรือดำน้ำชั้น "คิโล" (Kilo Class) จำนวน 6 ลำ ในราคารวมมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทอุตสาหกรรมกลาโหมในรัสเซียจะสร้างเรือดำน้ำที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ให้แก่กองทัพเรือของเวียดนาม ปีละ 1 ลำ
ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ เรือดำน้ำชั้นคีโล ถูกนำเข้าใชการครั้งแรกในทศวรรษที่ 1980 ในยุคสหภาพโซเวียต เป็นเรือดำน้ำโจมตี ที่ใช้ในสงครามปราบเรือดำน้ำและจู่โจมเรือรบของข้าศึกบนพื้นผิวน้ำ ปัจจุบันได้พัฒนามาจนถึงยุคที่ 3 มีขนาดใหญ่ขึ้น จากที่มีท่อยิงตอร์ปิโดเพียง 4 ท่อ ได้พัฒนามาติดขีปนาวุธและอาวุธทันสมัยต่างๆ ที่ผลิตในรัสเซีย
นอกเหนือจากมีประจำการในกองทัพเรือของอินเดียแล้ว ปี 2550 กองทัพเรืออินโดนีเซียได้สั่งซื้อเรือดำน้ำชั้นนี้จากรัสเซียจำนวน 2 ลำ กองทัพเรือเวเนซูเอลา สั่งซื้อีกจำนวนหนึ่ง
สำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์รายงานก่อนหน้านี้ ในปี 2550 และ 2551 เวียดนามยังได้ตกลงซื้อเครื่องรบแบบ SU35 จากรัสเซียรวมเป็น 2 ฝูง ในนั้น 1 ฝูงเป็น SU35 รุ่นล่าสุดที่ยังเป็นเพียงเครื่องบินต้นแบบ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับราคาค่างวด หรือรายละเอียดอื่นใดอีกนับตั้งแต่นั้น
ในการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีสองประเทศในสัปดาห์นี้ รัสเซียกับเวียดนามยังได้ทำการเซ็นความตกลงในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์แห่งแรกของเวียดนามด้วย โดยเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา สภาเวียดนามได้อนุมัติโครงการดังกล่าว และรัฐบาลเวียดนามกำลังมองหานักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพเพื่อเข้าร่วมทุน
เวียดนามกำลังหาทุนจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากนิวเคลียร์ที่ประกอบด้วยเครื่องปั่นไฟจำนวน 2 หน่วย กำลังปั่นไฟหน่วยละ 1,000 เมะวัตต์ ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อกันว่า เวียดนามจะเลือกใช้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกถูกกำหนดขึ้นใน จ.บิ่งทวน (Binh Thuan) ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีก 2 โรงในอนาคต
ข้อตกลงที่ลงนามในรัสเซียครั้งนี้เป็นข้อตกลงในความร่วมมือกันระหว่างบริษัทการไฟฟ้าของเวียดนาม หรือ EVN (Electricity of Vietnam) กับบริษัทพลังงานรอสอะตอม (Rosatom) ซึ่งดำเนินการโดยรัฐของรัสเซีย โดยบริษัทของรัฐแห่งนี้ได้เซ็นความตกลงร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์กับฝ่ายเวียดนามในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
"เวียดนามได้เชื้อเชิญรัสเซียอย่างเป็นทางการในการร่วมมือสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์แห่งแรกของประเทศภายใต้เงื่อนไขที่จำเป็นต่างๆ" นายกฯ เวียดนามกล่าว แต่ไม่ได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นอกจากนั้น เวียดนามกับรัสเซียได้ตกลงในหลักการจัดตั้งกองทุนจำนวน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในการลงทุนในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา อดีต "สามชาติอินโดจีน" ที่เคยมีสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนในยุคสงครามเย็น ไซ่ง่อนหยายฟงกล่าวในวันพุธที่ผ่านมา
ข้อตกลงระหว่างธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาแห่งเวียดนามและธนาคารวีเอ็นเอสทอร์ก (Vneshtorgbank) หรือ VTB ของรัสเซีย จะร่างสัญญาเพื่อลงนามในการเจรจาครั้งต่อไป ด้วยเงินทุนอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ในขั้นเริ่มต้นสำหรับปี 2553 เงินทุนดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในด้านการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และโครงการด้านพลังงาน
อย่างไรก็ตามในรายงานฉบับเดิมไม่ได้ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวจะมีการเซ็นสัญญาเมื่อไหร่ แต่ระบุว่าการจัดตั้งเงินทุนดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะให้รัสเซียเข้าลงทุนในภูมิภาคนี้
วันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมารัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม ได้พบหารือกับนายโรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ รวมทั้งพบหารือกับวุฒิสมาชิกสำคัญอีกหลายคน รวมทั้งนายจอห์น แม็คเคน อดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนามซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการกลาโหม กับวุฒิสมาชิกจิม เว็บบ์ แห่งพรรคเดโมแคร็ต
ฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯ นั้นมีความสำคัญมาก สองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนความร่วมมือระดับกลาโหมต่อกลาโหมกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมเวียดนามได้ออกหนังสือปกขาวแสดงจุดยืนต่อปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ โดยระบุว่าเวียดนามจะใช้สันติวิธีและการเจรจาในการแก้ไขทุกปัญหา
หนังสือปกขาวกล่าวด้วยว่า เวียดนามจะขอให้สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เวียดนามเป็นสมาชิกอยู่ด้วย กับประชาคมระหว่างประเทศเข้าร่วมในขบวนการแก้ปัญหาและความขัดแย้งดังกล่าว.