xs
xsm
sm
md
lg

ซื้ออาวุธหมื่นล้าน ได้เวลาเหมาะเจาะ !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุเทพ เทือกสุบรรณ
"ผ่าประเด็นร้อน"

จะเป็นด้วยเรื่องบังเอิญที่มาประจวบเหมาะกันหลายกรณีกับการที่คณะรัฐมนตรีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี จำนวน 10,637,347,864 บาท ตามที่กระทรวงกลาโหมเป็นผู้เสนอ

บังเอิญแรก เป็นมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ระหว่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องไปปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐอเมริกา แล้วยังไม่นับกรณีที่มีการแต่งตั้ง ยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ด้วย

บังเอิญที่สอง เป็นการอนุมัติในช่วงชุลมุน ที่หลายฝ่ายหันไปสนใจเรื่องการเมืองอื่นๆ ทั้งในเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้าย หรือคดีทุจริตกล้ายางพารา หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 44 คน ให้พ้นผิด เป็นต้น

และที่บังเอิญอย่างร้ายกาจก็คือทั้ง สุเทพ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับทีมงาน “บูรพาพยัคฆ์” ดันเข้ากันได้ดียังปี่กับขลุ่ย เสียด้วย

เพราะต้องยอมรับกันว่าเป็นวาระที่เสนอเข้ามาอย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่มีใครรู้ระแคะระคายมาก่อน

อย่างไรก็ดี ต้องมาพิจารณาจำนวนวงเงินสำหรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวว่า พอแยกแยะออกมาเป็นประเภทไหนบ้าง

จากการแถลงของ ศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า

คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กองทัพเรือ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการปราบเรือดำน้ำ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบ SEA HAWK ในราคายกเว้นค่าอากรทางศุลกากร แต่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าใช้จ่ายทั้งปวง วงเงิน 989,985,400 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-54 คณะรัฐมนตรียังอนุมัติให้กองทัพเรือก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง จำนวน 3 ลำ ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 ถึง 2554 วงเงิน 1,603,177,084.27 บาท

ส่วนกองทัพบก ซึ่งเสนอโดยกระทรวงกลาโหม คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ ชนิดรถยนต์บรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง แบบ 4x4 ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น FST ซึ่งเป็นยานยนต์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะตามความต้องการ และสามารถสนับสนุนหน่วยต่างๆ ในกองทัพบกและมีประสิทธิภาพสูง ในการปฏิบัติภารกิจจำนวน 1,474 คัน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2555 วงเงิน 4,994,649,000 บาท

ครม.ยังอนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทย ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการจัดหายานพาหนะ และเครื่องจักรกลทดแทน ระยะเวลา ดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-55 วงเงิน 3,049,536,380 บาท

เมื่อพิจารณารายละเอียดแยกย่อยแต่ละกองทัพแล้ว จากจำนวนตัวเลขรวมแล้วอาจไม่มากเกินไปนัก ถือว่าเป็นระดับ “น้ำจิ้ม” เมื่อเทียบกับงบประมาณจัดซื้อเมื่อหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าไม่น้อยเท่าใดนัก หากรวมตัวเลขกลมๆ จากทุกเหล่าทัพก็จำนวนกว่าหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาตามประเภทของยุทโธปกรณ์ของแต่ละเหล่าทัพจัดซื้อเพื่อนำมาใช้ปกป้องอธิปไตย และทรัพยากรของชาติ ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือในการจัดซื้ออาวุธทุกครั้งจะมีข้อครหาในเรื่องค่าคอมมิชชัน ค่า “นายหน้า” จากพวกพ่อค้าเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ทั้งประเภท “ตามน้ำ” และ ทวนน้ำ เพิ่มเปอร์เซ็นต์ มีเรื่องอื้อฉาวให้เห็นอยู่เสมอ

ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนก็คือกรณีโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เนื่องจากไม่ชอบมาพากล และไม่เหมาะกับการใช้ในสภาพภูมิประเทศของไทย จนเดินต่อไม่ได้

อีกทั้งล่าสุดจากข่าวที่ยุทโธปกรณ์ที่ตกรุ่นไม่มีสายการผลิตในด้านของเครื่องยนต์ เพราะขนาดประเทศเยอรมัน ยังไม่ยอมผลิตเครื่องยนต์ส่งมอบให้ ทุกอย่างก็เลยจอดสนิท ซึ่งตอนนั้นระดับบิ๊กในกองทัพ ต้องเสียรังวัดไปพอสมควร เนื่องจากออกมาดันสุดตัว จนเกิดคำถามตามมามากมาย

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จะยังไม่มีข่าวคราวเรื่องราคา ค่านายหน้าสาวไส้กันออกมา เพราะทุกอย่างเงียบเชียบ และผ่านการอนุมัติแบบรวดเร็วจนไม่มีใครได้รับรู้ จึงยังตั้งหลักไม่ทัน

โดยเฉพาะในเรื่องของรถยนต์บรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง (รถบรรทุกขนาดเล็ก) ที่มีราคาเฉลี่ยถึงคันละเกือบ 3.5 ล้านบาท หากพิจารณาจากยี่ห้อรถ และสายการผลิตก็ต้องตั้งคำถามตรงๆว่า มัน “แพงเกินจริง” ไปหรือไม่ นี่ยังไม่นับเรื่องข้อสงสัยว่า เป็นรถนำเข้า แล้วได้รับค่ายกเว้นภาษีอากรศุลกากรรวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนกับกรณีซื้อเฮลิคอปเตอร์ SEA HAWK ของกองทัพเรือหรือไม่อีกด้วย

เพราะถ้าเป็นรถที่มีสายการผลิตในไทย อีกทั้งเมื่อซื้อล็อตใหญ่ เกือบ 1,500 คัน ราคาก็น่าจะถูกลงกว่านี้ได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี นาทีนี้แม้จะยังไม่มีข้อมูลในเรื่องลอกสเปกการจัดซื้อ แต่กองทัพก็น่าจะต้องชี้แจงบ้าง เพื่อให้หายสงสัย อย่างน้อยก็พิสูจน์ความโปร่งใสในการใช้งบประมาณของชาติในยามยาก ก่อนที่จะทะยานไปสู่ “ไทยเข้มแข็ง” ไม่ใช่หรือ

ขณะเดียวกันสำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ แม้จะรู้ว่าคงไม่ตอบ แต่สังคมก็ต้องสงสัยว่าร่วมขบวนการ “ฮั้ว” อย่างแน่นอน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น