ผู้จัดการออนไลน์-- อาจจะมีชาวพม่าถึง 25,000 คนเสียชีวิตลงด้วยโรคเอชไอวีเอดส์ ในปีหน้านี้ เนื่องจากขาดยาที่จะช่วยยืดอายุ และ ในประเทศนี้ยังขาดการลงทุนในระบบสาธารณสุข องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Medecins Sans Frontieres) ระบุดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ (27 พ.ย.) นี้
"ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเหลือชาวพม่าที่กำลังต้องการยาในการรักษาและบรรเทาเชื้อไวรัสเอดส์" เจ้าหน้าที่ของ MSF กล่าวระหว่างการแถลงในกรุงเทพฯ พร้อมเรียกร้องขอความร่วมมือจากรัฐบาลทหารพม่า เช่นเดียวกับประชาคมระหว่างประเทศ
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนกล่าวว่า ได้ให้การเยียวยารักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ไปแล้วราว 80% ของจำนวนทั้งหมด 15,000 คนที่มีโอกาสได้เข้ารับการรักษา แต่จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดคาดว่าจะมีถึง 76,000 คน ซึ่งหมายความว่าผู้ได้รับการรักษามีเพียง 20% ของผู้ป่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก
พม่าได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนต่อต่อหัวประชากรเพียง 2.90 ดอลลาร์เท่านั้น เทียบกับ 23 ดอลลาร์ในเวียดนามและ 50 ดอลลาร์สำหรับลาว
ปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่ากำลังถูกคว่ำบาตรโดยโลกตะวันตก เนื่องจากไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2531 ซึ่งนางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านมีชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่คณะปกครองทหารไม่ยอมลงจากอำนาจ
องค์การพัฒนาต่างๆ รวมทั้งประเทศผู้บริจาคต่างลังเลใจที่จะช่วยเหลือรัฐบาลทหารพม่า ที่มีประวัติการละเมิดสิทะมนุษยชนอย่างรุนแรง
ตามข้อมูลของ MSF ในปี 2550 รัฐบาลพม่าใช้งบประมาณเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนเพียง 0.70 ดอลลาร์ต่อคน เป็นเงินเล็ดน้อยหากเทียบกับงบประมาณที่ทุ่มเพื่อการกลาโหม
องค์การนี้กล่าวว่าปี 2550 ได้รับผู้ป่วยโรคเอดส์อย่างไม่จำกัด เข้ารักษาในคลินิกจำนวน 25 แห่งใน 5 ภูมิภาคในพม่า ซึ่งมีประชากร 53 ล้านคน แต่ไม่อาจจะสนองผู้ป่วยได้อีกต่อไปเนื่องจากขาดการหนุนช่วยจากฝ่ายอื่นๆ และ ไม่สามารถที่จะส่งผู้ป่วยไปรักษาในที่อื่นได้ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหประชาชาติ (UN AIDS) รายงานว่า ปัจจุบันมีชาวพม่าราว 240,000 คน ติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน และจากการใช้ยาเสพติดด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ.