บ่นแหม็บๆ เสียรู้ไทยแต่รีบขายข้าวล้านตัน

ผู้จัดการรายวัน-- หลังจากมีการถกเถียงกันมาพักใหญ่ในสมาคมอาหารเวียดนามช่วงต้นปีที่ผ่านมา และ ได้ข้อสรุปว่าไม่ควรจะเร่งด่วนขายข้าวในต้นปี แต่ปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาเวียดนามก็ได้เซ็นขายข้าวชนิดผสมข้าวหัก 25% ให้แก่ฟิลิปปินส์จำนวน 300,000 ตัน ทำให้ปริมาณข้าวที่เซ็นจำหน่ายใน 1 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านตัน


ผู้ส่งออกเวียดนามจำนวน 6 ราย ซึ่งนำโดยบริษัทอาหารภาคใต้เวียดนาม (Vietnam Southern Food Corp) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ชนะในการประกวดราคาจำหน่ายข้าวปริมาณดังกล่าวให้แก่องค์การอาหารแห่งฟิลิปปินส์ โดยมีกำหนดส่งมอบตั้งแต่เดือน ก.พ.นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เวียดนามนิวส์

นอกจากบริษัทจากเวียดนามแล้ว ยังมีผู้ส่งออกข้าวจากหลายประเทศเข้าร่วมในการยื่นซองประกวดราคาครั้งนี้ด้วย รวมทั้งบริษัทจากไทย อินเดีย ปากีสถาน จีน สหรัฐฯ และออสเตรเลีย เวียดนามนิวส์กล่าว

องค์การอาหารแห่งชาติฟิลิปปินส์ (Philippine National Food Authority) มีแผนที่จะจัดซื้อข้าวหัก 25% รวมจำนวนทั้งสิ้น 550,000 ตัน มีกำหนดส่งมอบระหว่างเดือน ก.พ.-เม.ย.ศกนี้ เพื่อบรรเทาการขาดแคลนอาหารในประเทศ เนื่องจากนาข้าวถูกไต้ฝุ่นทำลายเสียหายหนักเมื่อปีที่แล้ว

ผู้ส่งออกเวียดนามจำหน่ายข้าวหัก 25% ในราคาตันละ 320 ดอลลาร์ ขณะที่ข้าวหัก 5% มีราคาตันละ 340 ดอลลาร์

รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศว่าจำเป็นจะต้องนำเข้าข้าวทุกชนิดรวมทั้งสิ้น 1.6 ล้านตันในปีนี้ หลังจากได้นำเข้าเป็นปริมาณ 1.87 ล้านตันในปี 2550

เวียดนามนิวส์กล่าวอีกว่าในเดือน ม.ค.เพียงเดือนเดียว บริษัทส่งออกของเวียดนามได้เซ็นสัญญาจำหน่ายข้าวให้แก่ลูกค้าในต่างแดนไปแล้วรวม 700,000 ตัน ซึ่งได้แก่ฟิลิปปินส์ ประเทศตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ ทั้งนี้เป็นรายงานของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท

เมื่อรวมกับปริมาณ 300,000 ตันที่เพิ่งชนะการประกวดราคาไปนี้ ก็จะทำให้เวียดนามส่งออกข้าวรวมกัน 1 ล้านตันพอดีในช่วงต้นปี จากยอดส่งออกแผนการตลอดทั้งปีรวม 4.4 ล้านตัน

เวียดนามส่งออกข้าวหลากหลายชนิดไปยังตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก รวมทั้งตลาดที่ต้องการข้าวคุณภาพดีอย่างสูงเช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น

ตามตัวเลขของกระทรวงดังกล่าว ในปี 2550 เวียดนามยังคงครองตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศไทย โดยส่งออกทั้งสิ้น 4.5 ล้านตัน รวมมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์เศษ

ข้าวเวียดนามขายดีทั่วโลกเนื่องจากสามารถขายได้ในราคาต่ำกว่าคู่แข่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตส่งออกปริมาณมากได้ เนื่องจากจะต้องเหลือสำรองไว้บริโภคสำหรับประชากรราว 85 ล้านคน

อย่างไรก็ตามระยะหลังนี้ผู้ส่งออกข้าวในเวียดนามเริ่มมองเห็นผลเสียจากการจำหน่ายข้าวตัดราคา ซึ่งทำให้มูลค่าส่งออกโดยรวมต่ำมากหากเทียบกับข้าวไทย ซึ่งขอจังหวะให้ราคาตลาดโลกพุ่งขึ้นสูงในช่วงปลายปีจึงจำหน่ายข้าว หลังจากเวียดนามส่งออกจนหมดสต๊อกแล้ว

ในการประชุมประจำปีสมาคมอาหารเวียดนาม (Vinafood) ในต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ผู้ส่งออกหลายรายกล่าวว่า ปีที่แล้วเสียรู้ผู้ส่งออกไทยซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุด โดยเวียดนามรีบด่วนขายข้าวแต้ต้นปี ขณะที่ผู้ส่งออกไทยใจเย็นกว่า รู้ตลาดดีกว่าและขายข้าวได้ราคาดีกว่าเวียดนาม

ผู้ค้าข้าวจากจังหวัดที่ราบปากแม่น้ำโขงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับสมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association) หรือ VietFood หน่วยงานกึ่งรัฐบาลที่กำกับดูแลการส่งออกข้าว ในขณะที่รัฐบาลประกาศลดยอดส่งออกปีนี้เหลือ 4.4 ล้านตัน ลดลง 1 แสนตันจากปี 2550

ในชั่วเวลา 1 เดือนแรกของปี เวียดนามได้เซ็นขยายข้าวไปแล้วถึง 1 ล้านตัน ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าราคาข้าวทุกชนิดในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกเนื่องจาก ผู้ผลิตเช่นอินเดียต้องสต๊อกข้าวเอาไว้บริโภคภายในประเทศ และอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดใหญ่จะนำเข้าเพิ่มขึ้น

ผู้ส่งออกจำนวนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วหลายบริษัทเวียดนามได้เซ็นสัญญาอย่างรีบร้อนเพื่อจำหน่ายข้าวปริมาณ 300,000 ตันในช่วงต้นเดือน เม.ย. ในราคา 291 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งในขณะนั้นทุกฝ่ายเชื่อว่าราคาได้พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว

ส่วนคู่แข่งจากประเทศไทยมองสถานการณ์ด้วยความสุขุมรอบคอบยิ่งกว่า พวกเขาอดทนรอคอยจนกระทั่งถึงเดือน ธ.ค. ก่อนจะเซ็นสัญญาจำหน่าย ขณะที่ราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 355 ดอลลาร์ต่อตัน ผู้ส่งออกรายหนึ่งกล่าว

ศาสตราจารย์หวอต่งซวน (Vo Tong Xuan) อดีตประธานสภามหาวิทยาลัยอานยาง (An Giang University) จ.อานยางซึ่งเป็นเชี่ยวชาญเรื่องข้าวกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ปีนี้ราคาข้าวสาลีในตลาดโลกพุ่งขึ้นถึง 3 เท่าตัวเนื่องจากความต้องการมีสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องหันมาหาข้าวและทำให้ราคาข้าวถีบตัวสูงขึ้นไปด้วย

สมาคมอาหารเวียดนามกล่าวว่า อุปสงค์สูงขึ้นอุปทานลดลง ในช่วงต้นปีนี้ราคาข้าวโดยเฉลี่ยอาจจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 350 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ผู้ส่งออกกลับรีบเซ็นสัญญาขายข้าวในราคาตันละ 320 ดอลลาร์

นายเจื่องแท็งฟ่ง (Truong Thanh Phong) ประธานสมาคมอาหารเวียดนามกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ราคาเฉลี่ยส่งออกปี 2550 อยู่ที่ 295 ดอลลาร์ต่อตัน สูงขึ้น 41 ดอลลาร์ต่อตันจากในปี 2549 ซึ่งนับเป็นราคาที่ดีมาก.