สมัยนี้ใครๆ ก็นิยม “ดีท็อกซ์ลำไส้” ซึ่งการดีท็อกซ์ลำไส้ก็มีหลากหลายแบบ แล้วการดีท็อกซ์มีแบบไหนบ้าง ให้โทษหรือให้ประโยชน์อย่างไร มาดูกัน
ดีท็อกซ์ลำไส้ มีวิธีไหนบ้าง?
1. สวนลำไส้ หรือสวนทวาร มี 2 วิธี ได้แก่สวนล้างด้วยน้ำ หรือน้ำอุ่นธรรมดา และการสวนล้างด้วยน้ำร่วมกับสารอื่นที่เชื่อว่าสามารถดูดซับสารพิษ หรือเร่งการขับถ่ายสารพิษจากลำไส้ เช่น กาแฟ เหล้า เบียร์ น้ำผึ้ง ฯลฯ เป็นต้น
2. การรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ในการถ่าย เช่นสูตรดีท็อกซ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว
3. การนวดกดจุด
4. การอบตัวด้วยความร้อน
5. การใช้ยาสมุนไพร
6. การถ่ายเลือด
ลำไส้ที่มีตะกรันสะสมมากๆ เสี่ยงกับอะไรบ้าง
- เป็นสิว ผิวพรรณไม่สดใส
- มีกลิ่นตัว
- มีกลิ่นปากแบบไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย
- ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด
- ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
- มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง หรือท้องเสียบ่อย
- มีอาการคล้ายกรดไหลย้อน (ซึ่งเกิดจากแก๊สในลำไส้)
- เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้
อันตรายจากดีท็อกซ์ลำไส้มีอะไรบ้าง
1.อาจทำให้เกิดบาดแผลที่รูทวาร หรือเกิดการติดเชื้อได้
2. อาจทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายไม่สามารถทำงานได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การดีท็อกซ์บ่อยๆ ทำให้ร่างกายอาจสูญเสียน้ำมากเกินไป อาจเสี่ยงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. ทำให้ลดปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ออกไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคในร่างกาย
บุคคล 7 กลุ่ม ที่ห้ามดีท็อกซ์ลำไส้
1. เด็ก
2. สตรีมีครรภ์
3. ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ เช่นลำไส้ใหญ่อักเสบ อุดตัน มะเร็งลำไส้ เพราะเมื่อใส่น้ำเข้าไปจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น อาจทำให้ลำไส้แตกและเสียชีวิตได้
4. ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง
5. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง
6. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก
7. ผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ
5 สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ทำเองง่ายๆ ไม่อันตราย
สูตรที่ 1 น้ำมะนาว+น้ำอุ่น
ส่วนผสม
มะนาวครึ่งลูก
น้ำเปล่า 2-4 แก้ว
ดื่มหลังตื่นนอน (ก่อนอาหารเช้า) ได้ต่อเนื่องกันทุกวัน จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอาทิตย์แรก และหากทำได้ครบ 21 วัน ทั้งสุขภาพภายในและผิวพรรณภายนอกจะดีขึ้น
สูตรที่ 2 เม็ดแมงลัก+น้ำอุ่น
ส่วนผสม
เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา
น้ำอุ่น 1 แก้ว
ให้แช่เม็ดแมงลักในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองเต็มที่แล้วดื่มก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง สามารถดื่มได้ทุกวัน หรือจะดื่มอาทิตย์ละ 3-4 วันก็ได้เช่นกัน
สูตรที่ 3 น้ำผึ้ง+มะนาว+โยเกิร์ต+นมสด
สูตรนี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เหมาะกับคนที่ท้องผูกบ่อยๆ
ส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
มะนาว ½ ลูก
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
นมสด UHT รสจืด 1 กล่อง (ประมาณ 200 มล.)
*ควรเลือกนมโคแท้ 100% เท่านั้น เพราะมีคุณค่าทางอาหารเต็มที่ค่ะ
สูตรที่ 4 น้ำดีท็อกซ์ (Detox Water หรือ Infused Water)
สูตรนี้จะใส่ผลไม้สดอย่าง เลมอน มะนาว สตรอเบอร์รี่ มินต์หรือใบสะระแหน่ ลงไปในหมักในน้ำเปล่าหรือน้ำแร่แช่ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
** หากน้ำพร่องไปครึ่งหนึ่งสามารถเติมน้ำเข้าไปใหม่ได้ ไม่ต้องกินกาก และไม่ควรแช่เกิน 12 ชม.เพราะผักผลไม้อาจเสีย เกิดเชื้อโรคได้ค่ะ
สูตรที่ 5 น้ำมะละกอดิบต้ม
ส่วนผสม
มะละกอดิบ 1/2 ลูก ปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ
น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
ให้ต้มมะละกอดิบในน้ำสะอาดประมาณ 15 นาที พักไว้ให้เย็น สามารถใส่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้หลายวัน ดื่ม 1 แก้วก่อนนอน ตื่นเช้ามาให้ดื่มน้ำอุ่นอีก 1 แก้ว ก็จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยวิธีทานผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีกากใยอาหารตามธรรมชาติ ดื่มน้ำมากน้ำคขสะอาดวันละ 8-10 แก้ว ก็สามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน
ข้อมูลประกอบ http://women.truelife.com
ดีท็อกซ์ลำไส้ มีวิธีไหนบ้าง?
1. สวนลำไส้ หรือสวนทวาร มี 2 วิธี ได้แก่สวนล้างด้วยน้ำ หรือน้ำอุ่นธรรมดา และการสวนล้างด้วยน้ำร่วมกับสารอื่นที่เชื่อว่าสามารถดูดซับสารพิษ หรือเร่งการขับถ่ายสารพิษจากลำไส้ เช่น กาแฟ เหล้า เบียร์ น้ำผึ้ง ฯลฯ เป็นต้น
2. การรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ในการถ่าย เช่นสูตรดีท็อกซ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว
3. การนวดกดจุด
4. การอบตัวด้วยความร้อน
5. การใช้ยาสมุนไพร
6. การถ่ายเลือด
ลำไส้ที่มีตะกรันสะสมมากๆ เสี่ยงกับอะไรบ้าง
- เป็นสิว ผิวพรรณไม่สดใส
- มีกลิ่นตัว
- มีกลิ่นปากแบบไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย
- ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด
- ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
- มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง หรือท้องเสียบ่อย
- มีอาการคล้ายกรดไหลย้อน (ซึ่งเกิดจากแก๊สในลำไส้)
- เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้
อันตรายจากดีท็อกซ์ลำไส้มีอะไรบ้าง
1.อาจทำให้เกิดบาดแผลที่รูทวาร หรือเกิดการติดเชื้อได้
2. อาจทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายไม่สามารถทำงานได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การดีท็อกซ์บ่อยๆ ทำให้ร่างกายอาจสูญเสียน้ำมากเกินไป อาจเสี่ยงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. ทำให้ลดปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ออกไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคในร่างกาย
บุคคล 7 กลุ่ม ที่ห้ามดีท็อกซ์ลำไส้
1. เด็ก
2. สตรีมีครรภ์
3. ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ เช่นลำไส้ใหญ่อักเสบ อุดตัน มะเร็งลำไส้ เพราะเมื่อใส่น้ำเข้าไปจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น อาจทำให้ลำไส้แตกและเสียชีวิตได้
4. ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง
5. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง
6. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก
7. ผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ
5 สูตรดีท็อกซ์ลำไส้ทำเองง่ายๆ ไม่อันตราย
สูตรที่ 1 น้ำมะนาว+น้ำอุ่น
ส่วนผสม
มะนาวครึ่งลูก
น้ำเปล่า 2-4 แก้ว
ดื่มหลังตื่นนอน (ก่อนอาหารเช้า) ได้ต่อเนื่องกันทุกวัน จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอาทิตย์แรก และหากทำได้ครบ 21 วัน ทั้งสุขภาพภายในและผิวพรรณภายนอกจะดีขึ้น
สูตรที่ 2 เม็ดแมงลัก+น้ำอุ่น
ส่วนผสม
เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา
น้ำอุ่น 1 แก้ว
ให้แช่เม็ดแมงลักในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองเต็มที่แล้วดื่มก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง สามารถดื่มได้ทุกวัน หรือจะดื่มอาทิตย์ละ 3-4 วันก็ได้เช่นกัน
สูตรที่ 3 น้ำผึ้ง+มะนาว+โยเกิร์ต+นมสด
สูตรนี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เหมาะกับคนที่ท้องผูกบ่อยๆ
ส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
มะนาว ½ ลูก
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
นมสด UHT รสจืด 1 กล่อง (ประมาณ 200 มล.)
*ควรเลือกนมโคแท้ 100% เท่านั้น เพราะมีคุณค่าทางอาหารเต็มที่ค่ะ
สูตรที่ 4 น้ำดีท็อกซ์ (Detox Water หรือ Infused Water)
สูตรนี้จะใส่ผลไม้สดอย่าง เลมอน มะนาว สตรอเบอร์รี่ มินต์หรือใบสะระแหน่ ลงไปในหมักในน้ำเปล่าหรือน้ำแร่แช่ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
** หากน้ำพร่องไปครึ่งหนึ่งสามารถเติมน้ำเข้าไปใหม่ได้ ไม่ต้องกินกาก และไม่ควรแช่เกิน 12 ชม.เพราะผักผลไม้อาจเสีย เกิดเชื้อโรคได้ค่ะ
สูตรที่ 5 น้ำมะละกอดิบต้ม
ส่วนผสม
มะละกอดิบ 1/2 ลูก ปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ
น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
ให้ต้มมะละกอดิบในน้ำสะอาดประมาณ 15 นาที พักไว้ให้เย็น สามารถใส่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้หลายวัน ดื่ม 1 แก้วก่อนนอน ตื่นเช้ามาให้ดื่มน้ำอุ่นอีก 1 แก้ว ก็จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยวิธีทานผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีกากใยอาหารตามธรรมชาติ ดื่มน้ำมากน้ำคขสะอาดวันละ 8-10 แก้ว ก็สามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน
ข้อมูลประกอบ http://women.truelife.com