อันตรายจากไวไฟ (Wi-Fi) รับรู้กันมานานแล้ว สถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) สังกัดองค์การอนามัยโลก WHO จัดให้คลื่น Radio Frequency ซึ่งเป็นคลื่นที่แพร่ออกจากเสาสัญญาณโทรศัพท์ จัดเป็นคลื่นที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกลุ่ม 2B คือ อาจเป็นไปได้ในการที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งกับมนุษย์ (Possibly carcinogenic to humans)
แปดปีก่อน นักวิชาการเคยเตือนพ่อแม่ว่า อย่าให้เด็กอายุต่ำกว่าแปดขวบใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะกะโหลกของเด็กยังบาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะทะลุทะลวงเข้าไปทำให้เป็นมะเร็งสมอง...
มาถึงสมัยนี้ เดินเข้าไปในศูนย์การค้า บ่อยครั้งที่ต้องเมินหน้าหนีภาพทารกน้อยในอ้อมแขนแม่ เล่นเฟสไทม์ กับพ่อ หรือไม่ก็ดูการ์ตูนจากมือถือของผู้ใหญ่หัวร่อเอิ้กอ๊าก ขณะที่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยคุยอวดกันว่า ลูกฉันอายุแค่ขวบกว่า เล่นแทปเล็ตได้คล่องกว่าเด็กโตบางคน เด็กอนุบาลคนไหนไม่มีแทปเล็ต ไม่ใช่เด็กยุคนี้ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ซื้อให้ลูกเล่นก่อนเข้าโรงเรียนเสียอีก
โรงเรียนอนุบาลบ้านเรา ร้อยละร้อย มีการติดตั้งสัญญาณไวไฟเพื่อให้การเรียนการสอนทันสมัย แต่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรป อย่าง ฝรั่งเศส เดนนมาร์ค ฯลฯ มีกฎห้ามติดสัญญาณไวไฟในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม โดยจะอนญาตให้ติดได้เฉพาะในโรงเรียนมัธยมขึ้นไปเท่านั้น บ้านพักอาศัยเองก็มีกระแสว่าต้องมีไวไฟ เห็นได้จากโฆษณาพระเอกหน้าหนวดกับน้องสาวใจดีที่ให้เพื่อนๆ เข้ามาเล่นเน็ตในบ้านเพราะสัญญาณไวไฟแรงดี!!
เรากำลังเสพติดเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งที่สื่อต่างๆ ช่วยกันเสนอข่าว อันตรายจากไวไฟและโทรศัพท์มือถือ แต่ดูเหมือนพ่อแม่ ผู้ปกครอง "ทำมึน" อาจเพราะไม่รู้จะทานกระแสความไฮเท็คได้อย่างไร หรือเป็นเพราะชีวิตปัจจุบัน ไม่มีใครมีชีวิต (ปกติ) ได้ถ้าไม่ใช้มือถือ โทรศัพท์ไร้สาย แทปเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งไมโครเวฟ
แล้ววันนี้ก็มีคน "ปลดล็อค" ให้กับภาวะ "ติดกับ(ดัก)" เทคโนโลยี โดยคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ชื่อว่า WAVE SHIELD ซึ่งใช้คลื่นความถี่ต่ำเข้าไปเกาะซ้อนกับคลื่นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ของมนุษย์ ทำให้กลายเป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย คลื่นความถี่ต่ำนี้ไม่มีผลกระทบต่อการรับส่งสัญญาณของอุปกรณ์ทั้งหลาย เป็นสิทธิบัตรจากอเมริกา (U.S.PATENT) หมายเลขที่ 8,445,879 B2
อุปกรณ์นี้จะช่วยป้องกันอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้ติดหน้าแทปเล็ตเพื่อช่วยป้องกันลูกจากคลื่นที่เป็นอันตราย ซึ่งมีรายงานว่าจะทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง นอกจากนี้มีบางรายงานระบุว่าจะทำให้เกิดภาวะออทิสติกสะสมทีละน้อย
ใครให้ลูก "เฟสไทม์" หรือดูการ์ตูนจากมือถือบ่อยๆ ตั้งแต่ยังเป็นทารก เรื่องนี้น่าจะเป็นข่าวดีนะ
แปดปีก่อน นักวิชาการเคยเตือนพ่อแม่ว่า อย่าให้เด็กอายุต่ำกว่าแปดขวบใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะกะโหลกของเด็กยังบาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะทะลุทะลวงเข้าไปทำให้เป็นมะเร็งสมอง...
มาถึงสมัยนี้ เดินเข้าไปในศูนย์การค้า บ่อยครั้งที่ต้องเมินหน้าหนีภาพทารกน้อยในอ้อมแขนแม่ เล่นเฟสไทม์ กับพ่อ หรือไม่ก็ดูการ์ตูนจากมือถือของผู้ใหญ่หัวร่อเอิ้กอ๊าก ขณะที่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยคุยอวดกันว่า ลูกฉันอายุแค่ขวบกว่า เล่นแทปเล็ตได้คล่องกว่าเด็กโตบางคน เด็กอนุบาลคนไหนไม่มีแทปเล็ต ไม่ใช่เด็กยุคนี้ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ซื้อให้ลูกเล่นก่อนเข้าโรงเรียนเสียอีก
โรงเรียนอนุบาลบ้านเรา ร้อยละร้อย มีการติดตั้งสัญญาณไวไฟเพื่อให้การเรียนการสอนทันสมัย แต่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรป อย่าง ฝรั่งเศส เดนนมาร์ค ฯลฯ มีกฎห้ามติดสัญญาณไวไฟในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม โดยจะอนญาตให้ติดได้เฉพาะในโรงเรียนมัธยมขึ้นไปเท่านั้น บ้านพักอาศัยเองก็มีกระแสว่าต้องมีไวไฟ เห็นได้จากโฆษณาพระเอกหน้าหนวดกับน้องสาวใจดีที่ให้เพื่อนๆ เข้ามาเล่นเน็ตในบ้านเพราะสัญญาณไวไฟแรงดี!!
เรากำลังเสพติดเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งที่สื่อต่างๆ ช่วยกันเสนอข่าว อันตรายจากไวไฟและโทรศัพท์มือถือ แต่ดูเหมือนพ่อแม่ ผู้ปกครอง "ทำมึน" อาจเพราะไม่รู้จะทานกระแสความไฮเท็คได้อย่างไร หรือเป็นเพราะชีวิตปัจจุบัน ไม่มีใครมีชีวิต (ปกติ) ได้ถ้าไม่ใช้มือถือ โทรศัพท์ไร้สาย แทปเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งไมโครเวฟ
แล้ววันนี้ก็มีคน "ปลดล็อค" ให้กับภาวะ "ติดกับ(ดัก)" เทคโนโลยี โดยคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ชื่อว่า WAVE SHIELD ซึ่งใช้คลื่นความถี่ต่ำเข้าไปเกาะซ้อนกับคลื่นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ของมนุษย์ ทำให้กลายเป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย คลื่นความถี่ต่ำนี้ไม่มีผลกระทบต่อการรับส่งสัญญาณของอุปกรณ์ทั้งหลาย เป็นสิทธิบัตรจากอเมริกา (U.S.PATENT) หมายเลขที่ 8,445,879 B2
อุปกรณ์นี้จะช่วยป้องกันอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้ติดหน้าแทปเล็ตเพื่อช่วยป้องกันลูกจากคลื่นที่เป็นอันตราย ซึ่งมีรายงานว่าจะทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง นอกจากนี้มีบางรายงานระบุว่าจะทำให้เกิดภาวะออทิสติกสะสมทีละน้อย
ใครให้ลูก "เฟสไทม์" หรือดูการ์ตูนจากมือถือบ่อยๆ ตั้งแต่ยังเป็นทารก เรื่องนี้น่าจะเป็นข่าวดีนะ