ฝนตกแดดออกกลางคืนหนาว เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงบ่นเป็นเสียงเดียวกันถึงสภาพอากาศช่วงนี้ที่แปรปรวนเสียจน เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ตัวร้อน ไข้ขึ้นๆ ลงๆ เรียกได้ว่า “3วันดี 4วันไข้” อยู่อย่างนั้น จนต้องพกยาเป็นกระบุง ทานแทนอาหารกันเลยทีเดียว
และนอกจากในปัจจุบันยังไม่มีผลการแพทย์ยืนยันอย่างชัดเจนว่ามี “ยา” ที่ใช้รักษาและป้องกัน 200 กว่าสายพันธุ์ชนิดไวรัสอย่างได้ผล การรับประทานยามากๆ นอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้วยังส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะเวลายาวอีกด้วย
วันนี้เราจึงหยิบเอาวิธีการดูแลตัวเองเพื่อหลีกลี้ห่างไกล “ไข้หวัด” ที่สามารถทำได้เองในทุกๆ วัน แถมยังประหยัดอีกด้วยมาฝากกัน
“ป้อง” และ “ปรับ” พฤติกรรมเปลี่ยนไข้ก็หาย...
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าปัจจุบันยังไม่มียาตัวไหนในโลกที่สามารถรักษาเชื้อไวรัสนี้ได้โดยตรง ดังนั้น “ยา” ที่เรารับประทานเข้าไปก็เพียงแค่เป็นตัวยาที่ใช้รักษาตามอาการที่เกิดจากผลพวงไข้หวัดเท่านั้น การดูแลร่างกายไม่ให้เกิดการไข้หวัดทั้งติดจากผู้อื่นและเกิดขึ้นเองจึงนับว่าสำคัญ
1.หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยหรือหยิบจับสัมภาระสิ่งของที่ผู้ป่วยใช้
2.ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสมหน้ากากอนามัย ถุงมือ ล้างมื้อให้สะอาดทุกครั้ง
3.ไม่เข้าไปในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแออัดและถ่ายเทไม่สะดวก
4.พักผ่อนให้เพียงพอ 8 ชั่วโมงและถูกต้องตามหลัก (ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม)
5.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
6.อย่าอาบน้ำเย็น พยายามทำร่างกายให้อบอุ่น
7.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
8.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ส่วนในกรณีที่เกิดอาการเบื่ออาหารให้รับประทานน้ำหวาน น้ำผลไม้ แทน
ทั้งนี้อาการไข้จะทุเลาลงภายใน 3-4 วัน แต่ถ้าหากมีอาการ คัดจมูกน้ำมูกไหล เจ็บคอ หรือ ไอ ในระหว่างนั้นหรือหลังจากนั้น ควรจิบน้ำอุ่น น้ำผึ้งผสมมะนาวมากๆ อาการไอก็จะทุเลา และนอกจากน้ำผึ้งผสมมะนาวจะรักษาอาการไอได้ หากเราผสมขิงลงไปด้วยอาการเจ็บคอก็จะบรรเทาลงได้เช่นกัน หรือจะกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ กานพลูอบแห้งชงในน้ำร้อนก็รักษาไม่ต่างกัน ส่วนอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล สมุนไพรในครัวเรือนอย่าง ตะไคร้ พริก ฟ้าทะลายโจร ก็สามารถนำมาชงกินกับน้ำอุ่นทำให้อาการคัดจมูกที่มักเกิดร่วมกับอาการไอและเจ็บคอหายได้เช่นกัน
“เลือกกิน" ถูกทางชีวิตไกลไข้หวัด
และสำหรับผู้ที่นอกจากป้องกันแลปฏิบัติตนแล้วแต่ก็ยังเกิดอาการไม่สบายเป็นไข้หวัดบ่อยๆ อยู่ "การกิน" เรียกได้ว่าเป็นตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งที่จะบอกได้ว่าเราจะมีโรคภัยไข้เจ็บหรือแข็งแรงกำยำ นั้นก็เพราะร่างกายเราได้รับสารอาหารต่างๆ ทั้งแร่ธาตุ วิตามิน ผ่านทางช่องทางอาหาร ฉะนั้นหาก "เลือก" รับประทานถูกต้องตามที่ร่างกายของเราจำเป็นเราก็จะมีโอกาสป่วยน้อยลง
1.วิตามินซี
เพราะ วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) นอกจากใช้รักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิดอย่างที่เรารู้ๆ กันดี ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหลอ มีสรรพคุณวิตามินซียังมีในด้านความสวยความงามเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สร้างคอลลาเจน วิตามันยังช่วยรักษาอาการไข้หวัดได้อีกด้วย
และการที่เราจะได้รับวิตามินซีนอกจากที่สกัดเป็นตัวยาในรูปแบบนาๆ ชนิดที่เห็นในท้องตลาด วิตามินยังแฝงอยู่สูงใน ผักบางชนิด อาทิ คะน้า กะหล่ำปลี ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศสีดา ผักกวางตุ้ง ข้าวโพดอ่อน ชะอม บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ เป็นต้นส่วนผลไม้นอกจาก ส้ม ก็มีอาทิ ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ สตรอว์เบอรี่ ลิ้นจี่ เลมอน ฯลฯ
2.น้ำเปล่าอุ่นๆ น้ำสมุนไพร้อนๆ
เพราะนอกจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ การดื่มน้ำอุ่นๆ ไม่ว่าจะน้ำเปล่าๆ หรือน้ำสมุนไพร อาทิ น้ำขิง น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำตะไคร้ นอกจากสรรพคุณจะช่วยรักษาโรค สรรพคุณของ "น้ำ" เองก็จะช่วยให้ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารชุ่มชื้นขึ้น ละลายเสมหะเกาะติด ที่สำคัญยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสอีกด้วย
3.ต้ม ผัด แกง รักษาไข้
เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของสองข้อแรก เพราะอย่างที่บอกไปแล้วร่างกายของคนเราส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านอาหารเป็นตัวกำหนดว่าจะ "มีโรค" หรือ "ไร้โรค" ดังนั้นเมนูอาหารต่างๆ จำพวก ต้มยำ ต้มแซ่บ ต้มโคลง แกงเผ็ด ซุปเปอร์ขาไก่ จึงมีส่วนผสมหลากหลาย อาทิ กระเทียม ช่วยในเรื่องขับเสมหะและมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ มะกรูด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรค ข่า บำรุงร่างกายและแก้เสมหะ เป็นต้น
หรือถ้าใครไม่ชอบเผ็ดๆ ก็แนะนำ ซุปไก่น้ำแกง แกงจืดสะระแหน่ พะแนง และถ้าชอบเมนูผัดๆ แห้งๆ ก็จำพวก คั่วกลิ้ง ผัดพริกไทยดำ ผัดขิง ผัดระเพรากรอบ
ทั้งนี้เมนูแต่ละรายการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์ชอบใจ เพราะสรรพคุณตัวยาที่ช่วยรักษาบรรเทา "ไข้หวัด" มาจากสมุนไพรที่เราคัดสรรวัตถุดิบเครื่องปรุง ดังนั้นนอกจากจะคำหนึ่งถึงคุณสมบัติอย่าลืมใส่ใจความสะอาดและสารเคมีที่ต้องค้างด้วย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ครบอนามัย
และนอกจากในปัจจุบันยังไม่มีผลการแพทย์ยืนยันอย่างชัดเจนว่ามี “ยา” ที่ใช้รักษาและป้องกัน 200 กว่าสายพันธุ์ชนิดไวรัสอย่างได้ผล การรับประทานยามากๆ นอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้วยังส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะเวลายาวอีกด้วย
วันนี้เราจึงหยิบเอาวิธีการดูแลตัวเองเพื่อหลีกลี้ห่างไกล “ไข้หวัด” ที่สามารถทำได้เองในทุกๆ วัน แถมยังประหยัดอีกด้วยมาฝากกัน
“ป้อง” และ “ปรับ” พฤติกรรมเปลี่ยนไข้ก็หาย...
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าปัจจุบันยังไม่มียาตัวไหนในโลกที่สามารถรักษาเชื้อไวรัสนี้ได้โดยตรง ดังนั้น “ยา” ที่เรารับประทานเข้าไปก็เพียงแค่เป็นตัวยาที่ใช้รักษาตามอาการที่เกิดจากผลพวงไข้หวัดเท่านั้น การดูแลร่างกายไม่ให้เกิดการไข้หวัดทั้งติดจากผู้อื่นและเกิดขึ้นเองจึงนับว่าสำคัญ
1.หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยหรือหยิบจับสัมภาระสิ่งของที่ผู้ป่วยใช้
2.ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสมหน้ากากอนามัย ถุงมือ ล้างมื้อให้สะอาดทุกครั้ง
3.ไม่เข้าไปในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแออัดและถ่ายเทไม่สะดวก
4.พักผ่อนให้เพียงพอ 8 ชั่วโมงและถูกต้องตามหลัก (ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม)
5.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
6.อย่าอาบน้ำเย็น พยายามทำร่างกายให้อบอุ่น
7.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
8.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ส่วนในกรณีที่เกิดอาการเบื่ออาหารให้รับประทานน้ำหวาน น้ำผลไม้ แทน
ทั้งนี้อาการไข้จะทุเลาลงภายใน 3-4 วัน แต่ถ้าหากมีอาการ คัดจมูกน้ำมูกไหล เจ็บคอ หรือ ไอ ในระหว่างนั้นหรือหลังจากนั้น ควรจิบน้ำอุ่น น้ำผึ้งผสมมะนาวมากๆ อาการไอก็จะทุเลา และนอกจากน้ำผึ้งผสมมะนาวจะรักษาอาการไอได้ หากเราผสมขิงลงไปด้วยอาการเจ็บคอก็จะบรรเทาลงได้เช่นกัน หรือจะกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ กานพลูอบแห้งชงในน้ำร้อนก็รักษาไม่ต่างกัน ส่วนอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล สมุนไพรในครัวเรือนอย่าง ตะไคร้ พริก ฟ้าทะลายโจร ก็สามารถนำมาชงกินกับน้ำอุ่นทำให้อาการคัดจมูกที่มักเกิดร่วมกับอาการไอและเจ็บคอหายได้เช่นกัน
“เลือกกิน" ถูกทางชีวิตไกลไข้หวัด
และสำหรับผู้ที่นอกจากป้องกันแลปฏิบัติตนแล้วแต่ก็ยังเกิดอาการไม่สบายเป็นไข้หวัดบ่อยๆ อยู่ "การกิน" เรียกได้ว่าเป็นตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งที่จะบอกได้ว่าเราจะมีโรคภัยไข้เจ็บหรือแข็งแรงกำยำ นั้นก็เพราะร่างกายเราได้รับสารอาหารต่างๆ ทั้งแร่ธาตุ วิตามิน ผ่านทางช่องทางอาหาร ฉะนั้นหาก "เลือก" รับประทานถูกต้องตามที่ร่างกายของเราจำเป็นเราก็จะมีโอกาสป่วยน้อยลง
1.วิตามินซี
เพราะ วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) นอกจากใช้รักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิดอย่างที่เรารู้ๆ กันดี ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหลอ มีสรรพคุณวิตามินซียังมีในด้านความสวยความงามเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สร้างคอลลาเจน วิตามันยังช่วยรักษาอาการไข้หวัดได้อีกด้วย
และการที่เราจะได้รับวิตามินซีนอกจากที่สกัดเป็นตัวยาในรูปแบบนาๆ ชนิดที่เห็นในท้องตลาด วิตามินยังแฝงอยู่สูงใน ผักบางชนิด อาทิ คะน้า กะหล่ำปลี ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศสีดา ผักกวางตุ้ง ข้าวโพดอ่อน ชะอม บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ เป็นต้นส่วนผลไม้นอกจาก ส้ม ก็มีอาทิ ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ สตรอว์เบอรี่ ลิ้นจี่ เลมอน ฯลฯ
2.น้ำเปล่าอุ่นๆ น้ำสมุนไพร้อนๆ
เพราะนอกจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ การดื่มน้ำอุ่นๆ ไม่ว่าจะน้ำเปล่าๆ หรือน้ำสมุนไพร อาทิ น้ำขิง น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำตะไคร้ นอกจากสรรพคุณจะช่วยรักษาโรค สรรพคุณของ "น้ำ" เองก็จะช่วยให้ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารชุ่มชื้นขึ้น ละลายเสมหะเกาะติด ที่สำคัญยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสอีกด้วย
3.ต้ม ผัด แกง รักษาไข้
เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของสองข้อแรก เพราะอย่างที่บอกไปแล้วร่างกายของคนเราส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านอาหารเป็นตัวกำหนดว่าจะ "มีโรค" หรือ "ไร้โรค" ดังนั้นเมนูอาหารต่างๆ จำพวก ต้มยำ ต้มแซ่บ ต้มโคลง แกงเผ็ด ซุปเปอร์ขาไก่ จึงมีส่วนผสมหลากหลาย อาทิ กระเทียม ช่วยในเรื่องขับเสมหะและมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ มะกรูด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรค ข่า บำรุงร่างกายและแก้เสมหะ เป็นต้น
หรือถ้าใครไม่ชอบเผ็ดๆ ก็แนะนำ ซุปไก่น้ำแกง แกงจืดสะระแหน่ พะแนง และถ้าชอบเมนูผัดๆ แห้งๆ ก็จำพวก คั่วกลิ้ง ผัดพริกไทยดำ ผัดขิง ผัดระเพรากรอบ
ทั้งนี้เมนูแต่ละรายการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์ชอบใจ เพราะสรรพคุณตัวยาที่ช่วยรักษาบรรเทา "ไข้หวัด" มาจากสมุนไพรที่เราคัดสรรวัตถุดิบเครื่องปรุง ดังนั้นนอกจากจะคำหนึ่งถึงคุณสมบัติอย่าลืมใส่ใจความสะอาดและสารเคมีที่ต้องค้างด้วย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ครบอนามัย