นี่ไม่ใช่เพียงการกลับมาของภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนทั่วไป แต่คือการประกาศศักดาของ “ไรอัน จอห์นสัน” (Rian Johnson) ในฐานะทายาทผู้สานต่อและปฏิวัติแนวทาง Whodunit ให้คืนชีพได้อย่างสง่างามในยุคสมัยใหม่ หลังจากความสำเร็จล้นหลามของ Knives Out และ Glass Onion ภาคที่สามนี้ภายใต้ชื่อ Wake Up Dead Man: A Knives Out Mystery ได้ยกระดับความคาดหวังของผู้ชมให้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด ด้วยการหลอกล่อผู้ชมด้วยศิลปะแห่งการเล่าเรื่องที่เฉียบคม
ถ้าเปรียบเทียบวงการ Whodunit เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ “ไรอัน จอห์นสัน” คือบรรณารักษ์ผู้รู้จักทุกซอกมุมของหนังสือคดีปริศนา เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับ แต่เป็นนักเขียนบทผู้เข้าใจโครงสร้างของเรื่องราวสืบสวนอย่างถ่องแท้ และเลือกที่จะเดินตามรอยเท้าของ “อกาธา คริสตี” (Agatha Christie) อย่างเคารพ แต่ไม่ยอมจำนนต่อขนบเดิม ๆ
จอห์นสัน มีความชาญฉลาดในการนำเสนอฉากหน้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนของเหล่าชนชั้นสูงหรือผู้มีอันจะกิน ก่อนจะค่อย ๆ ฉีกกระชากม่านเหล่านั้นออกเพื่อเผยให้เห็นถึงความเน่าเฟะทางจริยธรรมที่อยู่เบื้องหลัง ความยอดเยี่ยมของเขาคือการใช้ “แนวคิด” มากกว่า “ลูกเล่น” ในการขับเคลื่อนปริศนา บทภาพยนตร์ของเขาจึงไม่ใช่แค่การซ่อนตัวฆาตกร แต่เป็นการซ่อน “กลไก” ทั้งหมดของอาชญากรรมไว้ภายใต้การนำเสนอที่ดูเปิดเผย จนผู้ชมรู้สึกว่าตนเองกำลังมองข้ามความจริงอันเรียบง่ายที่สุด
หัวใจสำคัญที่ผูกมัดแฟรนไชส์นี้ไว้คือบุรุษผู้สวมบทบาทนักสืบแห่งรัฐหลุยเซีย “เบอนัวต์ บล็องก์” (Benoit Blanc) ที่รับบทโดย “แดเนียล เคร็ก” (Daniel Craig) ผู้เปี่ยมไปด้วยชั้นเชิง “บล็องก์” ไม่ใช่นักสืบมาดเคร่งครัดเคร่งขรึม แต่เป็นสุภาพบุรุษชาวใต้ผู้สุภาพ มีสำเนียงอันเป็นเอกลักษณ์ และสายตาที่เฉียบแหลมเกินกว่าที่เสื้อผ้าอันประณีตของเขาจะซ่อนไว้ได้ “เคร็ก” นำเสนอตัวละครนี้ได้อย่างลงตัวระหว่างความขบขันแบบ Camp และความอัจฉริยะที่ยากจะหยั่งถึง
สำหรับ Wake Up Dead Man ธรรมเนียมของภาพยนตร์ตระกูลนี้คือการรวบรวมเหล่าดาราชั้นนำมารวมไว้ในคดีเดียวกันอย่างคับคั่ง ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นชิ้นส่วนปริศนาที่สามารถเป็น “ผู้ร้าย” ได้ทั้งหมด การคัดเลือกนักแสดงเหล่านี้คือการยืนยันว่า จอห์นสัน ไม่ได้เพียงต้องการ “หน้าตา” มาดึงดูดผู้ชม แต่ต้องการ “ฝีมือ” ที่สามารถรับมือกับบทภาพยนตร์อันซับซ้อนและฉากสนทนาที่เฉียบแหลมของเขาได้
หัวใจหลักที่ทำให้แฟรนไชส์ Knives Out ไม่ใช่แค่การรำลึกถึง Whodunit แบบเก่า แต่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหม่ คือความแยบยลของบทภาพยนตร์ที่ “หลอกล่อ” ให้ผู้ชมติดตามอย่างไม่อาจละสายตาได้
Whodunit คือแนวทางที่สร้างขึ้นบน “สัญญา” ระหว่างนักเขียนกับผู้ชมว่าคุณจะได้รับเบาะแสทั้งหมด แต่คุณจะต้องวิเคราะห์และปะติดปะต่อมันเอง ไรอัน จอห์นสัน ไม่ได้ละเลยสัญญานี้ แต่เขา “ทรยศ” ต่อความคาดหวังหรือการคาดเดาของเราด้วยการให้ข้อมูลที่มากมาย
ในขณะที่ภาพยนตร์สืบสวนส่วนใหญ่มักจะ “ซ่อน” ความจริง จอห์นสัน เลือกที่จะ “แสดง” ความจริงบางส่วนออกมาอย่างเปิดเผยในช่วงต้นเรื่อง นี่คือกลยุทธ์ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกฉลาดในการจับเบาะแสที่เขาโยนมาให้ แต่ในความเป็นจริง เรากลับกำลังเพลิดเพลินกับการแก้ปริศนาระดับย่อย จนมองข้าม “ความจริงพื้นฐาน” ที่ใหญ่กว่าและอยู่ต่อหน้าต่อตาไปโดยสิ้นเชิง
บทภาพยนตร์ของ Wake Up Dead Man จึงถูกคาดหวังให้เป็นเสมือน “กับดัก” ชั้นดี ผู้ต้องสงสัยแต่ละคนจะมีเหตุจูงใจและลับลมคมในที่น่าติดตาม ทำให้เราเสียเวลาไปกับการตั้งข้อสงสัยในตัวคนที่ไม่ใช่ฆาตกร
นอกจากนั้น จอห์นสัน ยังสนุกกับการเล่นกับโครงสร้าง โดยไม่กลัวที่จะเปลี่ยนมุมมอง (Point of View) หรือแม้กระทั่งเปิดเผยตัวผู้กระทำผิดกลางเรื่อง (อย่างที่เคยทำมาแล้ว) เพื่อพาผู้ชมไปสู่คำถามใหม่ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ซึ่งไม่ใช่แค่ “ใคร” แต่เป็น “ทำไม” และ “เราพลาดได้อย่างไร”
ขณะเดียว บทสนทนาที่เต็มไปด้วยไหวพริบและการเสียดสีชนชั้นสูง ไม่เพียงแต่ทำให้เรื่องสนุกขึ้น แต่ยังเป็นเบาะแสทางจิตวิทยาที่เผยให้เห็นว่าตัวละครเหล่านี้มีความสามารถในการกระทำอาชญากรรมอย่างไร
ว่ากันอย่างถึงที่สุด การดู Wake Up Dead Man: A Knives Out Mystery เป็นเหมือนการได้รับประสบการณ์ทางความคิด เป็นเกมลับสมองระหว่างผู้สร้างกับผู้ชม ด้วยบทภาพยนตร์อันแยบยลที่ “หลอกล่อ” ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่า Whodunit ที่ดีที่สุดในโลกนั้นไม่ได้มีแค่คลาสสิก แต่ยังคงพัฒนาและมีชีวิตชีวาได้อย่างไม่มีวันตาย


