ทุบแล้ว “ปุ้ย ปิยาภรณ์” แหก “ฟ้าใส” ไล่ไทม์ไลน์ยึกยักเซ็นสัญญา แฉขอเปลี่ยนสัญญาที่ใช้กับทุกคนที่ได้รับตำแหน่ง ถามกลับกองไหนเขาทำกัน ลั่นอนุญาตให้เปิดสัญญาต่อสาธารณะโดยไม่เอาผิด ยันไม่ฟ้อง ไม่ว่างขึ้นศาล แต่จะฟ้องเกรียนด่า “อแมนด้า” แช่งพ่อ อย่าเก่งหลังคีย์บอร์ด
ยังวุ่นวายไม่เลิก สำหรับดรามา “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 กรณีถูกกองประกวดยึดมงฯ คืน เหตุไม่ต่อสัญญา โดยฝ่าย “ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” ผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ เผยว่า จะเรียกว่าทวงคืนไม่ได้ เพราะไม่ได้ให้ไปตั้งแต่แรก เป็นไปตามระเบียบกองประกวด ต่อมาฟ้าใสฟาดคืนส่งจดหมายแจงสาเหตุ ลั่นถูกกองประกวดให้เซ็นสัญญาถึง 3 ฉบับ อีกทั้งเนื้อหาในสัญญาถูกเปลี่ยนจนตกลงกันไม่ได้
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเจอตัว “ปุ้ย ปิยาภรณ์” พร้อมด้วย “ทนายวิชิตบูรณ์ แก้วธนะสิน” ในงานเดินสายขอบคุณผู้สนับสนุนการประกวด ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เจ้าตัวจึงขอชี้แจงทุกประเด็น ก่อนจบท้ายเริ่ดๆ อนุญาตให้ฟ้าใสเปิดเผยสัญญาต่อสาธารณะ โดยกองฯ จะไม่เอาผิดเพื่อความกระจ่าง และขอพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว
“วันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่การแถลงข่าว เรามาเรื่องของโครงการ One Love Changes one Life ซึ่งเราต้องมาทำข้อตกลงเกี่ยวกับมูลนิธิเพื่อที่จะเข้าไปทำอย่างจริงจัง ก็เลยต้องเชิญท่านที่ปรึกษากฎหมายมา เพราะว่าต้องไปประชุมต่อ พอดีนักข่าวถามเรื่องนี้ (ดรามาฟ้าใส) สิ่งที่เรายืนยันก็คือที่ผ่านมา มีหลายๆ คนบอกว่าทำไมเราเล่นบทเป็นนางเงียบ แต่เราอยากจะให้คิดอย่างคนฉลาด คนที่มีวุฒิทางอารมณ์ และคนที่เป็นผู้ใหญ่ เราคิดว่าการที่ออกมาต่อล้อต่อเถียง มาบอกว่าฉันผิด เธอถูก มนุษย์ทุกคนก็ต้องบอกว่าตัวเองถูก
เราไม่ชอบการสาบาน ไม่ชอบการแฉ แต่พูดกันด้วยหลักการและเหตุผล และหลักฐาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ไม่ต้องมาเถียงกัน และวันนี้ก็ขอยืนยันนะคะ มีคำถามถามมาเยอะมากว่าเราจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างไร เราได้พูดคุยกับคุณทนายแล้วว่าเราเอาเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมดีกว่า เราไม่ว่างที่จะไปขึ้นศาลฟ้องกันไปมา เราจะไม่ฟ้องใครค่ะเพราะมันไม่ได้ประโยชน์เลย และคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงแม้เราจะชนะ ชนะแล้วยังไงละคะ หรือถึงจะแพ้ แพ้แล้วยังไงคะ”
ไล่ไทม์ไลน์ ฟ้าใสยึกยักไม่ยอมเซ็นสัญญา
“ขออนุญาตไล่ไทม์ไลน์นะคะ เริ่มจากเราประกวดเสร็จเดือนมิถุนายน 2019 วันที่ 6 มิถุนายน ผู้เข้าประกวดที่เข้ารอบ 60 คนจะต้องทำข้อตกลงในการเข้าประกวด MUT 2019 ซึ่งทุกคนต้องเซ็นข้อตกลงนี้ และอันนี้ไม่ใช่สัญญา แต่เป็นข้อตกลง ทุกเวทีทุกที่ก็ทำแบบนี้หมด ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่สัญญามันเป็นเพียงเงื่อนไขข้อบังคับในการประกวด และเมื่อประกวดแล้วได้ Top5 เราถึงจะเชิญทำสัญญา ซึ่งเนื้อความมันจะคล้ายๆ กันนั่นแหละเพียงแต่จะแยกออกไปว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชนะและรองทั้ง 4 มันต่างกัน เงินรางวัล ของรางวัลก็ต่างกัน
จากนั้นวันที่ 17 กรกฎาคม นางงามที่ได้อันดับรองทุกคนก็มาเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ยกเว้นน้องฟ้าใสยังไม่ได้เข้ามาเพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าวฟ้าใสก็ยุ่งมากจริงๆ แล้วทางกองประกวดฯ ยุ่ง ที่ผ่านมา เราเคยแจ้งน้องฟ้าใสให้เข้ามาดูสัญญาหลายครั้ง แล้วผู้จัดการส่วนตัวคนเก่าของน้องเคยบอกให้น้องนัดเราให้รออยู่ที่ออฟฟิศเพื่อเข้ามาดูเรื่องสัญญา ซึ่งวันนั้นน้องต้องมาเรียนพูดแถวๆ จุฬาฯ เรียนเสร็จจะเข้ามาดูเรื่องสัญญา เราก็โอเค รอ แต่สุดท้ายวันนั้นน้องก็ไม่ได้เข้ามา เพราะวันนั้นน้องอาจจะเรียนเลิกเย็น แล้วอาจจะเหนื่อย ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรจริงๆ
อีกครั้งคือก่อนจะเดินทางไปแอตแลนตา (ประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 ที่แอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา) คนที่เป็นผู้จัดการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์คนเก่าก็เอาเอกสารไปให้น้อง เพราะว่ามันมีแค่ 3-4 หน้าเอง และไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซึ่งผู้จัดการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ก็บอกว่าน้องยังไม่สะดวก เพราะน้องอยากโฟกัสเรื่องของการเทรนด์พูด เดิน การเตรียมตัวทุกอย่าง เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเราเคยบอกไปแล้วว่าเรื่องของสัญญาสะดวกเมื่อไหร่ก็ค่อยเซ็น ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าก็เธอไม่ทำให้เรียบร้อยก่อน อันนี้ก็ยอมรับค่ะ
ช่วงที่เราเดินทางไปแอตแลนตา เราก็ได้ถามกับผู้จัดการว่าน้องเซ็นสัญญาเรียบร้อยหรือยัง ผู้จัดการก็บอกว่าน้องบอกว่าขออ่านก่อน แล้วเราไปแอตแลนตาค่อนข้างนาน 2 สัปดาห์ เวลามันเหลือเฟือ ที่เราไปก่อนเวลาเพราะอยากให้นางงามของเราไม่เจ็ตแล็ก (Jet Lag) โห ค่าใช้จ่ายมหาศาลนะ ให้ไปอยู่เลยเพื่อจะได้ถ่ายทำคลิปหรือวีทีอาร์ส่งกลับมาทางเมืองไทยได้ชื่นใจกัน แล้วกระแสแรงมาก”
ไม่เถียงอีกฝ่ายเก่ง แต่ผ่านการประกวดหลายเวที ไม่เคยถึงจุดที่ฝัน ยัน TPN เลือกกระบวนการเทรนมือหนึ่งทั้งหมด
“เคยมีคอมเมนต์บอกว่าน้องดังด้วยตัวของน้องเองอยู่แล้ว อันนี้เราไม่เถียง น้องเขาก็เก่งจริงๆ และในห้วงเวลานั้นเขาก็มีความมุ่งมั่นของเขา แต่อยากจะบอกนิดนึงค่ะว่า น้องก็ประกวดมาหลายเวทีแล้ว น้องก็ไม่เคยถึงจุดที่น้องฝัน มาถึงยุค TPN ซึ่งเราโปร่งใสมาก แล้วเราก็ทำทุกอย่างให้เห็นว่า ใครที่เหมาะวันนั้นคือก็คือคนนั้นแหละ และเราทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเทรนนิ่งน้อง เราก็เลือกมือดี มือหนึ่งมาหมด หรือแม้กระทั่งการส่ง หรือการจัดหางานให้น้องให้ได้มีเวทีพูดในระดับนานาชาติ เพื่อให้ต่างชาติได้เห็นว่านี่แหละ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ของฉัน อันนี้เราไม่ได้มาเทกเครดิต แต่ก็ต้องมองหลายๆ จุด มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรืออยู่ดีๆ เกิดขึ้นมาได้เลย
พอไปถึงแอตแลนตาก็ยังไม่ได้เซ็น แล้วน้องก็บอกว่าไม่ได้เอาสัญญามา พอวันที่ 28 พฤศจิกายน 62 คุณแม่ของน้องฟ้าใสก็เดินทางมาที่แอตแลนตา และมาขอนอนกับเรา เราก็ได้เลย เพราะคุณแม่บอกต้องมานวดให้น้อง ให้ผ่อนคลาย เราก็รู้สึกว่าดีเลย คุณแม่ก็มานอนกับเราเพื่อจะรอส่งน้องเข้ากองฯ มิสยูนิเวิร์สหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กองฯ ที่ไปด้วยกันก็ไปปริ้นต์สัญญามาให้ใหม่ แล้วคุณแม่ก็บอกว่าจะขอดูสัญญาให้น้องเอง เพราะน้องอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องของภาษาไทย หรือภาษาสัญญาอาจจะไม่รู้ เราก็โอเคยินดี แล้วเราก็ส่งสัญญาให้คุณแม่น้อง
แม่ฟ้าใสขอแก้ไขสัญญา แบ่งรายได้ 70:30 กองประกวดฯ ก็ยอม เพราะรายได้แค่นี้คงไม่ทำให้บริษัทรวยหมื่นล้าน
“แล้วหลังจากนั้นคุณแม่ก็ขอแก้ไขในตัวสัญญา ซึ่งก็เป็นลายมือของคุณแม่เองทั้งหมด เราก็ไม่เป็นไร วินาทีนั้นคุณแม่อยากจะแก้ไขอะไรก็ได้หมดแหละ เราอยากทำให้มันถูกต้องเพราะเราจะได้แนบรายละเอียดทั้งหมดส่งกองประกวดใหญ่ สิ่งที่คุณแม่ขอแก้ไขก็จะมีจุ๊กๆ จิ๊กๆ ค่ะ อย่างสัญญาในประเทศอันนี้ชัดเจน การแบ่งเปอร์เซ็นต์ทุกกองประกวดฯ ทุกเวทีทำไว้ที่ 70:30 นางงาม 70 กองฯ 30
และมีอีกอันนึงที่ฝ่ายร่างสัญญาของบริษัททำให้ มันเป็นเรื่องของสัญญาต่างประเทศ ถ้าสมมติว่าบริษัทหางานที่ต่างประเทศได้ทั้งหมดก็จะมีการแบ่งกัน 50:50 โดยที่เราจะเคลียร์ทุกอย่างให้หมด ทั้งส่วนแบ่งของเอเจนซี่ทางโน้นทางนี้เพื่อไม่ให้วุ่นวายทางกฎหมายต่างๆ รวมถึงส่วนแบ่งทางเมืองนอกก็ 50:50 ซึ่งคุณแม่ก็แก้มาว่าขอ 70:30 ได้มั้ย เราก็บอกได้ เราก็ให้ ที่ให้เพราะตอนนั้นนึกอย่างเดียวว่า รายได้อันนั้นคงไม่ทำให้บริษัทรวยพันล้านหมื่นล้านหรอกค่ะ เพราะตัวเองก็มีอาชีพของตัวเองอยู่ แต่ประเด็นคือเราอยากให้เอกสารทุกอย่างมันถูกต้องทั้งหมดจะได้แนบส่งเขาให้ครบ”
“กรรมการของมิสยูนิเวิร์สละเอียดมาก สมมติเราเลิฟน้องคนนี้ แล้วเราก็เลยจะส่งเธอไปประกวด ไม่ให้อแมนด้า ออบดัมไปแล้ว คือเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ถึงแม้ว่าเราอยากจะส่งเธอไป (หัวเราะ) ที่ทำแบบนั้นไม่ได้ก็เพราะในสัญญาเอกสารที่ต้องส่งกองแม่ (มิสยูนิเวิร์ส) เราต้องมีลายเซ็นของกรรมการในรอบไฟนอลทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าคนนี้นี่แหละคือผู้ที่ได้รับมงกุฎ คนนี้เท่านั้นที่จะเป็นคนที่ถูกส่งไป นี่คือสิ่งที่ทุกคนถามว่าทำไมต้องไปเซ็นที่โน่นมันต้องเซ็นค่ะ จนท้ายที่สุดแล้วก่อนวันรอบพรีลิมประมาณ 2 วัน เราก็ไปคุยกับทางกองประกวดมิสยูนิเวิร์สว่า ขอให้ไว้ใจฉัน เพราะเห็นในอีเวนต์อยู่แล้วว่าฟ้าใสคือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 แน่นอน ไม่ใช่คนอื่น”
ถึงแม่ขอแก้สัญญา แต่ฟ้าใสก็ไม่ยอมเซ็นสัญญา จนกองฯ ส่งหนังสือทวงถามก็ไร้การตอบกลับใดๆ
“คุณแม่ขอแก้หนึ่งรอบค่ะ ทีมงานเราก็แก้ให้ตามที่คุณแม่ขอเลยค่ะ เสร็จแล้วก็ส่งสัญญากลับไปให้น้อง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เซ็นตรงนั้น แล้วคุณแม่ก็บอกว่าให้น้องดูเองละกันเพราะน้องก็บรรลุนิติภาวะแล้ว เราก็งงๆ คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเราคนธรรมะธรรมโมด้วยกัน เดี๋ยวกลับมาเมืองไทยค่อยมาเซ็นที่เมืองไทยก็ได้ แล้วตอนนั้นกระแสน้องก็ถล่มทลาย เราก็เลยคิดแค่ว่าจะทำยังไงก็ได้ให้ประเทศไทยได้มงฯ ที่สาม ส่วนเรื่องพวกนี้แค่ปลีกย่อย คือไม่สนใจเลย ก็เลยเป็นที่มาว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เซ็นค่ะ
จนกระทั่งกลับมาเมืองไทย วันที่ 27 มกราคม 2563 ทางกองประกวดก็ได้ส่งหนังสือทวงถาม ให้ฟ้าใสเข้ามาเซ็นสัญญาอีกครั้งที่สำนักงาน แต่น้องก็ไม่มีการตอบอะไร จนฝ่ายกฎหมายถามเราว่าจบหรือยังจะได้ทำรางวัลให้เขา เพราะทุกอย่างเราดีลไว้หมดแล้ว เหมือนอแมนด้าเราก็ดีลไว้หมดแล้ว รถยนต์ ก็ไม่ต้องซื้อเพราะเราดีลไว้หมดแล้ว รวมถึงเงินสดด้วย ถามน้องๆ ปีที่แล้วดูก็ได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคุยกันตามสัญญา ไม่มีปัญหา จากนั้นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 น้องฟ้าใสก็ได้เดินทางมาพร้อมทนายความและญาติผู้ใหญ่ 2 ท่าน มาขอเจรจาในวันดังกล่าว น้องก็ถือสัญญามาหนึ่งฉบับเพื่อมาขอเจรจา และยื่นข้อเสนอให้บริษัททำสัญญาดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งเราให้ทนายดู”
ทนายวิชิตบูรณ์ : “สัญญามันไม่ครอบคลุมทั้งหมดครับ เพราะของคุณฟ้าใสเขียนมาโดยไม่ได้เป็นเงื่อนไขของตัวเข้าข้อกฎหมาย ทางผมและทนายจึงได้เจรจากันว่า ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็คงยังเซ็นกันไม่ได้ ก็ส่งตัวร่างสัญญามาเพื่อจะให้ครอบคลุมทั้งหมด จะได้ไม่มีปัญหาทางด้านกฎหมายในภายหลัง ก็มีการเจรจากันและมีการส่งอีเมลตอบรับกัน ทั้งสองฝ่ายมีทนายในการตรวจสอบสัญญาทั้งหมด
จนสุดท้ายก็มีการเซ็นสัญญาโดยที่ทางด้านของคู่สัญญาก็คือน้องฟ้าใส มีเจตนาที่จะไม่เข้าทำสัญญากับทางกองประกวดเรา (สัญญาที่ฟ้าใสเซ็น ไม่ได้เซ็นสัญญามิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์) อย่างที่ทราบกันนะครับว่า ครั้งแรกจะเป็นการเซ็นสัญญาเงื่อนไขข้อบังคับในการประกวดรอบ 60 คน หลังจากนั้นพอได้ตำแหน่งก็จะมีการทำสัญญากับทางกองประกวด แต่ทางคุณฟ้าใสไม่เคยเข้ามาทำสัญญาตัวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้ามาทำ ตัวเงื่อนไขหรือเงินรางวัลตามสัญญาก็ต้องไม่ได้ ถูกต้องมั้ยครับ
วันที่ 4 มีนาคม ไม่ได้เป็นการเซ็นสัญญา แต่เป็นการเซ็นข้อตกลงว่าทางคุณฟ้าใสประสงค์ที่จะไม่เข้าทำสัญญากับเรา เราป้องกันเรื่องข้อกฎหมายไว้ครับ เป็นการยุติทางข้อกฎหมาย ไม่อย่างนั้นสัญญาเงื่อนไขการเข้าประกวดมันยังผูกพันอยู่ และเป็นสัญญาที่ยอมรับเงื่อนไขเรื่องของตัวเงินและของรางวัลที่ร้องขอ ซึ่งสัญญานี้เป็นข้อตกลงร่วมกัน”
ลั่นวันนี้อนุญาตให้อีกฝ่ายเปิดสัญญากางต่อสาธารณะ ไม่ถือว่าเป็นความผิด
ปุ้ย : “แต่เงื่อนไขในสัญญามีข้อตกลงกันว่าจะไม่เอามาเปิดเผยกัน แต่ตอนนี้เรายอมให้เปิดเผยค่ะ วันที่น้องฟ้าใสถือสัญญาฉบับของตัวเองมากับทนายความ และญาติผู้ใหญ่ของเธอ เราก็พูดเองว่าถ้าอย่างนี้หนูก็คงไม่แฮปปี้ที่จะทำงานกับกองฯ มันไม่มีประโยชน์ที่เราจะมารั้ง เราก็ต้องให้เกียรติน้อง ถ้าเขาไม่แฮปปี้ที่จะทำเราก็ไม่ว่ากันเลย วันที่ 4 มีนาคม 2563 น้องเดินทางมาหาเราพร้อมญาติผู้ใหญ่และทนายความ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่น้องขอมา เราก็โอเค เราก็ไม่อยากมีเรื่องมาราว เราก็มองว่าเขาก็รุ่นลูกๆ เราก็ยังเอ็นดูเขาอยู่นะคะ พูดตรงๆ นะคะเรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว
ส่วนข้อตกลงที่ทางทนายทั้งสองฝั่งทำร่วมกันว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลออกไป เพราะมันจะสร้างความเสียหาย มันก็คงจะเสียทางใดทางหนึ่งล่ะ คนชอบมาบอกว่าแน่จริงเอาสัญญามากาง ซึ่งเราจะพูดเสมอว่าไม่ได้ แต่วันนี้จะบอกว่าไม่บังคับ ถ้าน้องอยากจะเอาสัญญามาให้ทุกๆ คนดูเราไม่ว่า เรายินดี ไม่ถือว่าเป็นว่าผิดด้วยเพราะเราไม่มีอะไรต้องปิด แต่ทางเราจะไม่นำเสนอก่อนแค่นั้นเอง”
โต้แถลงการณ์ฟ้าใส ยืนกรานคนขอแก้ไขสัญญาไม่ใช่ TPN
“เราไม่เคยยกเลิกสัญญาค่ะ ถ้าจะยกเลิกสัญญา ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ที่น้องฟ้าใสมาเซ็นสัญญาว่าจะไม่เข้าทำสัญญากับเรา ถ้าเราจะประกาศออกไปก็ได้เลยนะคะ แต่เราไม่ทำ เพราะยังไงเขาก็คือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 (เท่ากับทางเรายืนยันว่า คนที่เป็นฝ่ายแก้ไขสัญญาไม่ใช่ทางฝั่งTPN?) ไม่ใช่ค่ะ”
ทนายวิชิตบูรณ์ : “สัญญามันจะเป็น wording ทั้งหมดของผู้ได้รับตำแหน่งมันจะใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันในส่วนของเรื่องตำแหน่งกับเงินรางวัล ซึ่งของคุณฟ้าใสปฏิเสธในการเซ็นมาโดยตลอด ที่คุณฟ้าใสบอกว่าทางเราแก้ไข หรือปฏิเสธ หรือยกเลิกสัญญาเนี่ย ทางเรามีหลักฐานในการเรียก หรือเชิญคุณฟ้าใสมาเซ็นสัญญาอยู่แล้ว แต่อันนี้เรายังไม่ขอเปิดเผยเพราะว่ามันเป็นหลักฐานทางด้านกฎหมายนะครับ”
ยอมรับเสียใจ ไม่อยากออกมาพูดให้อีกฝ่ายดูไม่ดี
“อันนี้ถามว่าเสียใจมั้ย เสียใจค่ะ เพราะน้องๆ นักข่าวจะทราบดีกว่าเราพยายามเลี่ยงมาตลอด เลี่ยงมากี่ครั้งแล้วเพราะไม่อยากออกมาพูดแบบนี้ เพราะการพูดแบบนี้มันจะทำให้เกิดความเสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเราจบกันสวยๆ มีความคิดดีถึงกัน มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างว่ากองออกมาพูดมาเล่า เราเป็นผู้ใหญ่แล้วมีแต่เราจะบอกว่ามองกันในจุดดีข้อดีดีกันเถอะ เราอย่าไปมองเรื่องที่มาสายไม่มาสายกันเลย แต่เราไม่พูด ใครที่เคยสัมผัสกับน้องเราไม่ต้องมาพูดหรอก เรามองจุดดีของเขา จุดน่ารักของเขาดีกว่า”
แจงละเอียด สาเหตุสัญญา 3 ฉบับที่ไม่เหมือนกัน
“ฉบับที่หนึ่งคือที่ผู้ประกวด 60 คนเซ็นหมด น้องก็เซ็นเรียบร้อย ไม่มีปัญหา ฉบับที่ 2 ก็คือฉบับที่เราส่งไปที่แอตแลนตา และเป็นฉบับที่เราใช้กับอแมนด้าในปีนี้ด้วย ซึ่งพอไปถึงที่แอตแลนตาคุณแม่น้องฟ้าใสก็ขอแก้ ซึ่งเราก็แก้ให้ตามนั้นแต่ก็ไม่มีการเซ็น จนกลับมาไทยทางฝ่ายกฎหมายก็เลยทำหนังสือโนติสต์ไปให้น้องเข้ามารับรางวัลไปด้วยนะ แต่ก็ไม่ได้เซ็นอีก แล้วสุดท้ายน้องก็ถือฉบับนึงของน้องมา อันนี้จะเรียกว่าอะไร สัญญาทุกคนต้องเซ็นแบบนี้นี้หมด อแมนด้าและรองทั้ง 4 คน เซ็นเหมือนกันหมด”
การที่ฟ้าใสจะมาขอเปลี่ยนแปลงสัญญาที่ทางกองฯ ใช้กับทุกคนที่ได้ตำแหน่ง และใช้กับการประกวดทุกปี ขอถามว่ามีกองฯ ไหนทำมั้ยคะ กองฯ อื่นทำได้มั้ย สมมติคุณไปประกวดเวทีใหญ่ๆ แล้วไปบอกฉันขอแก้ไขสัญญาตามนี้ตามนั้น คุณทำได้มั้ยคะ (ก็คือคุณจะแก้ไขตามความต้องการตัวเองไม่ได้?) ไม่ได้หรอกค่ะ”
สงสารอแมนด้า ถูกกระแสฟ้าใสกลบหมด ปรี๊ดแทนอีกฝ่ายถูกด่าหน้าเหมือนสัตว์ อย่าหวังมงฯ 3 แช่งพ่อให้ตาย เตรียมเอาเรื่องเกรียน อย่าเก่งหลังคีย์บอร์ด
“เราว่าอันนี้ก็ไม่ถูกต้องเพราะว่ากระแสในโลกนี้ ทั้งกระแสบวกกระแสลบมันก็ต่างกันอยู่แล้ว แต่ตัวอแมนด้าเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีกระแส เขาเพิ่งประกวดเสร็จได้ 2 สัปดาห์ เขาก็ต้องเดินทางขอบคุณสื่อมวลชน ขอบคุณสปอนเซอร์ แล้วหลังจากนี้เวลามันกระชั้นมากแล้ว อแมนด้าก็มีแพลนที่จะต้องเทรนอย่างหนัก
สิ่งนึงที่เราประทับใจน้องก็คือเวลามีคอมเมนต์ติติงน้องเข้ามา เราก็จะบอกให้น้องอ่าน น้องก็จะบอกว่าอันนี้ดีมากเลยค่ะ เขาเรียกติเพื่อก่อ เขาจดไว้หมดนะคะ แต่พวกที่ติและด่าทอน้องเนี่ย อันนี้เราเรียนคุณทนายแล้วว่าคงจะต้องจัดการ พี่ต้องล่าให้ได้ถึงแม้จะเป็นอวตาร อย่างเช่น มีโพสต์นึงบอกว่า หวังไปเถอะมงฯ สาม กองประกวดไปหาคนหน้าเหมือนสัตว์มาประกวด และขอแช่งให้คุณพ่อที่เจ็บป่วยอยู่ตาย จะบอกว่าแบบนี้มันไม่ใช่คนเขียน ทุกคนว่าไงอ่ะ
เราไม่ว่าใครจะรักใคร อย่างแฟนคลับฟ้าใสเขาก็รักฟ้าใส เราก็ไม่ได้ไม่รักเขา ไม่ได้จงเกลียดจงชังเขาเลยถึงได้เงียบมาตลอด แต่พวกที่เกินเลยไปทนายเราก็ไม่ยอม เพราะมันเกินไป อย่างเช่น มีบางคนใช้ถ้อยคำหยาบคายมาก หลังจากนี้ อันนั้นแหละเราจะเอาเรื่อง เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานของสังคมว่าคุณอย่าเก่งหลังคีย์บอร์ด (หลังจากนี้กองฯ จะมูฟออนจากฟ้าใสแล้วใช่มั้ย?) ก็จบ เราไม่มีอะไร แล้วบอกตรงนี้อย่ามายุฟ้องโน่นฟ้องนี่ ไปฟ้องแทนละกันดิฉันไม่ว่าง (หัวเราะ)”
อีกฝ่ายจะแถลงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะขอพูดครั้งสุดท้ายแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะว่าการชี้แจงเขาก็มีสิทธิ์ มันเป็นสิทธ์ของเขา แต่วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะพูดแล้วเพราะว่านี่ก็เกรงใจน้องๆ เนอะ (นักข่าว) ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ของกองฯ กับน้องฟ้าใสเลยค่ะ เพราะว่าเราแยกแยะเป็น และโดยแท้จริงฟ้าใสก็เป็นเด็กน่ารักนะ เขาก็เงียบๆ ของเขา ใครจะว่าอะไรเขาก็เงียบๆ แต่ครั้งนี้เราก็ยังแปลกใจว่าทำไม… คือการเขียนออกมาอย่างนี้มันจะต้องมีเอกสารอะไรทุกอย่างชัดเจนมาก เราว่าถ้าเป็นลูกสาวเรา เราก็จะบอกว่าอย่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”