xs
xsm
sm
md
lg

ไทม์ไลน์ "ฟ้าใส-TPN" เปิดศึก และเนื้อหาในสัญญาที่ถูกเปลี่ยน!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลายเป็นเรื่องราวร้อนระอุ ที่ต้องติดตามกันอย่างเนื่อง สำหรับกรณีดรามาระหว่าง สาว “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” ผู้ได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 และท็อป 5 Miss Universe 2019 กับกองประกวด MUT ที่มีหัวเรือใหญ่อย่าง “ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” และ “ณะ ณรงค์ เลิศกิตศิริ” ซึ่งงานนี้ก็เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างออกมาฟาดฟันกัน อย่างไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว วันนี้ทางทีมข่าวก็เลยมาสรุปไทม์ไลน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแบบให้เข้าใจง่ายๆ ว่าดังนี้

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มมากจากที่สาว “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” ได้ไปออกงานครั้งแรก หลังหมดวาระในตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 โดยไม่มีสายสะพายประจำตำแหน่งและมงกุฎ ทำให้แฟนๆ นางงามเกิดคำถามขึ้นมา ว่าทำไมหมดวาระแล้ว ฟ้าใสจึงไม่ได้มีสายสะพายและมงกุฎเก็บไว้ในครอบครองเหมือนนางงามรุ่นพี่คนอื่นๆ

ต่อมา “เอส อนุสิทธิ์” ผู้จัดการส่วนตัวของฟ้าใส ก็ได้ออกมาโพสต์ร่ายยาวในเฟซบุ๊กว่า ฟ้าใสโดนกองประกวดยึดมงกุฎและสายสะพายไป หลังครบวาระ 1 ปี วันขึ้นอำลาตำแหน่งในวันการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ลงจากเวทีมาแล้ว ต้องไปอ้อนวอนขอยืมมงกุฎ เพื่อมาใส่ถ่ายรูปกับแฟนคลับ 15 นาที โดยที่มีทีมงานก็ถือกล่องมาทวงมงฯ คืน

จากนั้นทาง “ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” และ “ณะ ณรงค์ เลิศกิตศิริ” ในฐานะผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ ว่า “จะเรียกว่าทวงคืนไม่ได้ เพราะไม่ได้ให้ไปตั้งแต่แรก ทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบกองประกวด เพราะอีกฝ่ายไม่เซ็นสัญญา

ที่ทางผู้จัดการฟ้าใสออกมาบอกว่า วันอำลาตำแหน่งทางทีมงานต้องไปรีบไปเอามงกุฎจากที่บ้านคงจะไม่สมเหตุสมผล เพราะเตรียมมาเรียบร้อยแล้วอยู่ในรถ แล้วเรื่องที่บอกว่ากองไม่ให้ฟ้าใสใส่มงกุฎออกไปถ่ายรูปกับแฟนคลับ ยิ่งไม่จริงเข้าไปใหญ่ สอบถามกับผู้ที่ดูแลมงกุฎวันนั้นแล้ว ได้รับคำตอบไม่เหมือนกัน

ในเรื่องการเซ็นหรือไม่เซ็นสัญญานั้น การตกลงกันทุกอย่างนี้ เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นพร้อมกันระหว่างฟ้าใสและกอง ต่อหน้าทนายความทั้งสองฝ่าย มีการลงบันทึกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเรียบร้อย เป็นข้อตกลงและเป็นความพอใจร่วมกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดก่อนหน้าที่เอสจะมาเป็นผู้จัดการของฟ้าใส

ตัวสัญญาที่ฟ้าใสไม่เซ็นกับทางกองประกวด ก็เป็นสัญญาตามธรรมเนียม ที่เมื่อได้รับตำแหน่งของเวทีนั้นๆ แล้วต้องเซ็น ระบุสัญญานางงาม 1 ปี สัญญาศิลปิน 3 ปี ชัดเจน ซึ่งไม่ได้เป็นสัญญาที่โหดอะไร เป็นแพตเทิร์นเดียวกันหมด

ส่วนเรื่องการทำมงกุฎสำรองไว้ใส่ออกงาน หากทางฟ้าใสจะทำขึ้นมาก็ตามสบาย แต่คงต้องไปขออนุญาตกับทางเจ้าของลิขสิทธิ์คือคุณแคนดี้ ผู้ออกแบบมงกุฎให้เรียบร้อยก่อน”

และในวันเดียวกันนั้น สาวฟ้าใสก็ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่ต่อสัญญากับบริษัท TPN 2018 จำกัด โดยสรุปใจความได้ว่า “ฟ้าใสได้เซ็นสัญญา 1 ฉบับ ในขณะเข้าร่วมประกวด โดยเนื้อหาสัญญาเหมือนกันกับผู้เข้าประกวดทั้ง 60 คน

ต่อมากองประกวดได้มอบสัญญาฉบับใหม่ที่แอตแลนต้า ก่อนเข้าเก็บตัว Miss Universe 2019 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนเนื้อหาสัญญาซึ่งไม่ตรงกับฉบับแรก อาทิเช่น มีการเพิ่มจำนวนปีในการผูกพันสัญญาที่มากขึ้น เพิ่มจำนวนหักเปอร์เซ็นต์ให้กับกองประกวด และในสาระสำคัญอื่น ๆ ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ฟ้าใสกับคุณแม่จึงขอเปลี่ยนเนื้อหาสัญญาบางอย่าง และเงื่อนไขบางอย่างให้ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ของสัญญาฉบับแรก

หลังกลับจากการประกวด Miss Universe ทางกองประกวดได้เรียกฟ้าใสเข้าไปเซ็นสัญญาใหม่อีก 1 ฉบับ ซึ่งฉบับนี้เงื่อนไขไม่เหมือนกับฉบับแรก และไม่เหมือนกับฉบับที่แอตแลนต้า เมื่อมีการทักท้วงในเงื่อนไขบางข้อ ทางกองประกวดจึงขอจบสัญญากับฟ้าใส ซึ่งข้อตกลงมิได้เป็นที่เปิดเผย”

ซึ่งหลังจากที่สาวฟ้าใสโพสต์ไปได้ไม่นาน ทาง ปุ้ย ปิยาภรณ์ ก็ได้ออกมาโพสต์ตอบโต้ทันทีว่า “ข้อความใดๆ ที่โพสต์ออกมาแล้วไม่เป็นความจริง ซึ่งทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย บริษัทจำเป็นต้องรักษาสิทธิ์ และดำเนินคดีกับผู้ที่กล่าวหา หรือโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นความจริงนั้น ตามกฎหมายต่อไป”

ล่าสุดวันนี้ (29 ต.ค.) ก็ได้มีชาวเน็ตคนหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าเป็นวงในของการประกวด ออกมาโพสต์ข้อความ ถึงสาวฟ้าใสว่า “เป็นนางงามลวงโลก โกหก ทำเอาสัญญาในมือสั่นไปหมด อยากก็อปปี้ส่งให้แฟนนางงามและนักข่าว เหตุผลที่จบแค่ ท็อป5 เพราะประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์ส รู้ว่าไม่เซ็นสัญญากับประเทศตัวเอง ละขอยืนยันว่าเนื้อหาสำคัญในสัญญาไม่ได้เป็นอย่างที่นางโกหก”

โดยเรื่องราวทั้งหมดที่ได้สรุปไปนั้น จากเนื้อหาในเอกสารชี้แจงของสาวฟ้าใส เราจะเห็นได้ว่าทางกองประกวดมีการให้เซ็นสัญญาถึง 3 ครั้งด้วยกัน โดยฉบับที่ 1 ขณะประกวด MUT 2019 ฉบับที่ 2 ก่อนเข้าเก็บตัว MU 2019 ที่แอตแลนต้า และฉบับที่ 3 หลังกลับมาจากการประกวด MU 2019 ที่เธอได้คว้าตำแหน่ง ท็อป 5 มาครอบครอง ซึ่งในสัญญาทั้ง 3 ฉบับ มีเนื้อหาไม่เหมือนกัน ในเรื่องของจำนวนปีที่ผูกสัญญา เรื่องส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์กับกองประกวด

ทางทีมข่าวเลยลองไปหาข้อมูลในเรื่องของเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ได้รับตำแหน่งในเวทีอื่น โดยเป็นข้อมูลที่อ้างอิงการการประกวด มิสไทยแลนด์เวิล์ด 2012 ก็จะเห็นได้ว่า มีสัญญาการเป็นนางงาม สัญญาเป็นศิลปิน เหมือนกับเวที MUT ตามคำกล่าวของคุณปุ้ย และจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาของเวทีนั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว หากผู้ได้รับตำแหน่งสละสิทธิ์หรือถอนตัว จะต้องคืนสิ่งของเครื่องใช้ หรือรางวัลใดๆ ทั้งหมดที่ได้รับจากการประกวด

แต่ในกรณีของสาวฟ้าใส ที่ต้องคืนมงกุฎและสายสะพายให้กับทางกอง ทั้งๆ ปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งครบวาระ 1 ปีนั้น ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะผู้ได้รับตำแหน่งทุกคน ล้วนแต่ยินยอมที่จะเซ็นสัญญากับทางกองประกวด โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

ขณะที่เหตุการณ์ทำนองนี้ ก็เคยเกิดกับ “น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2559 ที่สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบ 6 คนสุดท้ายประกวดมิสยูนิเวิร์สที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยในตอนนั้นเป็นยุคของ “แดง สุรางค์ เปรมปรีด์” รับหน้าที่ผู้จัดการกองประกวด มีการตั้งข้อสังเกตว่าน้ำตาลเกิดความขัดแย้งกับกองประกวด ทำให้ไม่ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่กลับจากประกวดมิสยูนิเวิร์ส เจ้าตัวดันออกงานในนามส่วนตัว อีกทั้งไม่ไปปรากฎตัวในงานรวมอดีตกลุ่มนางงามของผู้ใหญในการประกวด โดยสาวน้ำตาลได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และช่องทางการติดต่อใหม่ทั้งหมด ไม่มีเบอร์ติดต่อจากกองประกวด รวมทั้งช่วงหลังมีภาพเจ้าตัวสนิทสนมกับผู้จัดการส่วนตัวของดาราดังคนหนึ่ง จนทำให้มีข่าวลือว่าหมางใจกันจนคุณแดงเกิดความไม่พอใจขอคืนสัญญา แต่ในที่สุดทุกฝ่ายก็ออกมาสยบข่าวลือว่าไม่เป็นความจริง


































กำลังโหลดความคิดเห็น