“แม่ผ่องศรี” ร่ำไห้หวิดเป็นลม ต้องประคองเดิน ทำใจไม่ได้สิ้น “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” เผยเคยเข้าเฝ้าฯรับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากพระหัตถ์ กราบแทบฝ่าพระบาท ตายไปไม่เสียดายชีวิต อยากถวายเงินจากการเป็นศิลปินแห่งชาติตอบแทนคุณแผ่นดิน อาลัย “วันนี้ไม่มีพระองค์ท่านแล้ว”
แต่งเพลง “ฟ้าร้องไห้” เพื่อถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับศิลปินแห่งชาติ “อาจารย์ชลธี ธารทอง” โดยในวันนี้เปิดกองให้สื่อมวลขนได้มาร่วมชมการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเป็นครั้งแรก มีศิลปินลูกทุ่งทั่วฟ้าเมืองไทย มาร่วมขับร้องเพลงกว่า 30 ชีวิต อาทิ แม่ผ่องศรี วรนุช, พ่อไวพจน์ เพชรสุพรรณ, สุนารี ราชสีมา, ไชยา มิตรชัย, มนต์สิทธิ์ คำสร้อย, ดาว มยุรี, ศิรินทรา นิยากร, เอกชัย ศรีวิชัย, จิ้งหรีดขาว วงษ์เทวัญ, พรศักดิ์ ส่องแสง, สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, อำพร แหวนเพชร ฯลฯ ณ เวิร์คพอยท์ สตูดิโอ 2, 3 ปทุมธานี งานนี้อาจารยชลธีเผยเป็นแพลงที่แต่งจากใจ และเป็นเพลงของคนไทยทุกคน
“เพลงนี้ผมแต่งจากความรู้สึกจากใจแทนคนไทยทั้งประเทศ เป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศเขียนเพลงนี้เพื่อไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา วันที่ผมรู้ว่าท่านสิ้นพระชนม์ ผมนั่งอึ้งอยู่ ชม.หนึ่ง หลังจากนั้น ก็คิดได้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จับปากกาเขียนเพลง เขียนห้าโมงเย็นไปเสร็จตีหนึ่งของวันที่ 14 ต.ค.ชื่อเพลงว่าฟ้าร้องไห้ บันทึกเสียงวันนี้ วันที่ 20 ต.ค.”
“ซึ่งศิลปินทั้งประเทศที่ดัง ๆ ทั้งหลายแหล่ ลูกศิษย์ลูกหาผมทั้งนั้นแหละครับ มาร่วมร้องร่วมรำลึกถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมอยากให้สื่อทั้งหลายช่วยกระจายข่าวเพลงนี้ออกไป เพราะพวกเราทุกคนมีความอาลัยอาวรณ์พ่อแผ่นดินของเรา จะเห็นว่าพระองค์เป็นเจ้าแห่งเดียวในโลกที่ไม่เคยอยู่ในวังนาน จะออกไปทุกที่ ขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว ไปดูพสกนิกร ที่ไหนเหนื่อยยากลำบาก น้ำท่วมไฟไหม้อดอยากปากแห้งพระองค์ไปหมด ผมว่าในโลกนี้ไม่มีใต้จักรวาลดวงนี้ก็ไม่มีที่ครองราชย์นาน 70 ปี”
“สิ่งเหล่านี้ที่ผมบันทึกไว้ในเพลงฟ้าร้องไห้ให้ทุกคนรำลึกถึงพระองค์ที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง ต่อแผ่นดินของเรา ถ้าไม่มีพระองค์แผ่นดินนี้ไม่ร่มเย็นมาจนถึงป่านนี้ พวกเราอยู่ได้ถึงป่านนี้ มีความเจริญถึงป่านนี้ กระทั่งชาวโลกเอาไปลือว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุด เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ แต่ว่าต่อไปนี้ไม่มีพระองค์ (ร้องไห้) ไม่มีอีกแล้วครับ ไม่มีแล้ว พระองค์จากเราไปแล้ว ขอบคุณทุกคนครับ (ร้องไห้)”
“เนื้อหาของเพลงก็บรรยายเกี่ยวกับความทุกข์ยาก ความลำบากของพระองค์ ข้ามป่าดงดอยข้ามเขาลงห้วย ไปหมด ไม่ได้พักอยู่ในวังอยู่ในวังไม่กี่วันก็ไปอีกแล้ว ซึ่งหายากมาก มีองค์เดียวในโลก หนึ่งเดียวในโลกจริง ๆ ส่วนท่อนไหนใครร้อง ผมก็แบ่งตามความเหมาะสมของเสียงนักร้อง ประโยคแรกผมก็ให้สุนารี ราชสีมาร้อง ท่อนต่อมาฝน ธนสุนทร ผ่องศรี แจกจ่ายกันไปเพราะเพลงนี้ยาว 5 ท่อน ให้นักร้องร้องถึง 20 - 30 คน เพลงเสร็จแล้ว ขอบคุณสื่อทุกคนที่สนใจและติดตาม ไว้พวกเราเป็นสื่อเอาเพลงนี้ไปช่วยกระจายต่อ ๆ ไปด้วย ให้ประชาชนคนไทยได้ภูมิใจ ที่มีพ่อหลวงที่มีพระคุณมากมายเกินคำบรรยาย ไม่ว่าพระราชกรณียกิจหรือว่าโครงการ 3 - 4 พันโครงการซึ่งมีประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งไม่มีใครคิดได้”
“จริง ๆ ผมไม่เชื่อว่าเกิดมาชาตินี้จะต้องเกิดมาเจอพระเจ้าแผ่นดินสิ้นประชนม์ไปต่อหน้าต่อตา ไม่เชื่อตัวเองจริง ๆ ไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๙ และรัชกาลที่ ๙ ก็จากเราไป ทิ้งความอาลัยอาวรณ์ไว้ให้พวกเราเหลือเกิน ไม่รู้จะพูดยังไง ก็แต่งเพลง ขอบคุณศิลปินทุกคนที่ร่วมกันร้อง ขอบคุณเวิร์คพ้อยท์ สำคัญในการกระจายเพื่อปลอบใจพสกนิกรทั่วประเทศและทั่วโลก ขอบคุณครับ”
ด้านศิลปินแห่งชาติ “แม่ผ่องศรี วรนุช” ร่ำไห้ปิ่มขาดใจ หวิดเป็นลมต้องประคอง ลั่นไม่มีใครเหนื่อยเท่าพระองค์อีกแล้ว ยึดพระราชดำรัสจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
“แม่ถ่ายทอดบทเพลงนี้ มันตรงชีวิตของแม่ด้วย ที่พระองค์ทรงเหนื่อยมา 70 กว่าปี ไม่มีใครทำได้เหมือนพระองค์ท่านแล้ว (ร้องไห้สะอึกสะอื้น) ขอให้ทุกคนสืบสานต่อไปนะ ทำความดีกันเถอะ (ร้องไห้) ความดีไม่ไปไหนเสีย แล้ววันหนึ่งความดีจะตอบสนองเราเอง พ่อเหนื่อยมา 70 ปี เพื่อพสกนิกรทั่วทั้งประเทศ ไม่มีใครเหนื่อยเท่าท่านอีกแล้ว”
“แม่ว่าเหนื่อยแล้วแต่ยังเหนื่อยไม่เหมือนท่าน (ร้องไห้) ท่านสละทุกสิ่งทุกอย่าง ขอเถอะลูกทำสานต่อไปนะ คุณพ่อคุณแม่ที่ท่านได้ให้พระราชดำรัส พระราชดำริ ท่านทำต่อไปเถอะความจนจะไม่เกิดกับตัวเรา แม่รับไม่ได้ (ร้องไห้) ขาดท่านเหมือนขาดใจ แม่จะทำความดีสานต่อท่านจนกว่าจะหมดลมหายใจ ลูก ๆ ก็ก้าวต่อไปนะลูกนะ วันนี้ไม่ใช่วันของเรา แต่ถ้าลูกสานต่อลูกก็จะได้ดี ตามพระราชดำรัส พระราชดำริของท่านที่สอนให้ลูกเป็นคนดี ซื่อสัตย์กตัญญู รู้คุณคน รู้จักพอกินพอใช้ พอเพียงอยู่ได้ทุกคน มีแค่นี้แหละ (ร้องไห้)”
ไม่คิดว่าจะมีบุญวาสนาได้เข้าเฝ้าฯ ตายไปไม่เสียดายชีวิต
“ไม่คิดว่าจะมีบุญวาสนาได้เข้าเฝ้าฯ ไปรับจากพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตายก็ไม่เสียดายชีวิต ไม่คิดว่าจะได้มีบุญญา ตั้งแต่ 7 ขวบแล้ว ได้เห็นพระองค์ท่านขึ้นเครื่องบินผ่านด้านนอกนั้น มีคนตะโกนพระเจ้าแผ่นดินเสด็จแล้ว แม่ก็วิ่งออกมาจากแพ นอนหงายแล้วยกมือไหว้เครื่องบิน (ร้องไห้หนัก) ตั้งแต่ 7 ขวบ”
“แล้วได้เข้ามากรุงเทพฯ อายุ 14 ปี พี่สาวบอกจะพาไปหาพระเจ้าแผ่นดิน ให้มาเลี้ยงลูกเขา ปิดเทอมเรือจอดท่าน้ำสามเสนแล้วเดินผ่าน รพ.วิชรพยาบาล รูปในหลวงติดป้ายเอาไว้ แม่ก็นั่งลงกราบตรงนั้น พี่สาวเดินไปไกลแล้วถึงเดินกลับมา ถามว่าแม่มานั่งทำอะไรตรงนี้ นี่ไงเจอพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เขาบอกว่าไม่ใช่ เขาพาแม่มาดูโขนที่โรงละครกรมศิลปากร หลังจากเข้ามาวันที่ 14 อายุ 14 ปีได้เห็นพระเจ้าแผ่นดิน”
“แต่ไม่คิดว่าแม่จะได้รับรางวัลพระราชทาน ปี 08 แม่เข้ามาอยู่ได้กรุงเทพฯ 9 ปี ไม่รู้จักสวนอัมพร แม่ได้เข้าเฝ้าฯรับพระราชทานจากพระองค์ท่าน เมื่อก่อนไม่มีลูกทุ่งลูกกรุง มีแต่ประเภท ก. ประเภท ข. ประเภท ก. ก็ พี่สุเทพ วงษ์คำแหง พี่สุวลี ผกาพันธุ์ ประเภท ข. ได้แก่ ผ่องศรี วรนุช สมยศ ทัศนพันธ์ พระองค์ท่านถือแผ่นเสียงทองคำพระราชทานปี 08 มองซ้ายมองขวาไม่มีแม่ แม่มีตังค์เก็บเล็กผสมน้อย ซื้อทีวีขาวดำเครื่องหนึ่งต้องการจะดูภาพในหลวงให้ใกล้ตา แม่อาบน้ำอยู่ลูกน้องเรียกแม่ ในหลวงให้มารับแผ่นเสียง แม่ก็ออกมากราบทั้งกระโจมอก เสียใจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนบัดนี้”
“หลังจากนั้น ก็ได้อ่านหนังสือพระราชดำริ พระราชดำรัสในหลวงตลอดมา ไม่คิดว่าจะได้เข้าเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง ตอนปี 2522 แม่เข้าไปวันนั้นจะเป็นลม ไม่มีใครรู้ว่าแม่เข่าอ่อน แขนไม่ถึงมือพระองค์ท่าน ก็โดนดุว่าแม่ผ่องศรีเข้ามาใกล้ ๆ หน่อย ท่านยื่นมือไปไม่ถึงหรอก แต่ท่านไม่รู้หรอกว่าแม่จะล้มแล้ว แม่ค่อย ๆ กระเถิบเข้าไปแล้วรับจากพระองค์ท่าน ดีใจและตื้นตันใจ”
“ก็เดินตามรอยท่านมาตั้งแต่อายุ 14 จนย่าง 79 ปีแล้ว ตั้งใจจะถวายบุญตอนอายุ 80 แม่ไม่ได้ถวาย ท่านจากเราไปก่อน แต่แม่ก็ต้องทำ เมื่อมีสัจจะแล้วต้องทำ ต้องถวายให้ได้ เงินเดือนที่ได้จากการเป็นศิลปินแห่งชาติจะนำไปถวายเพื่อตอบแทนแผ่นดินที่แม่เกิดมาเป็นลูกของพ่อ รัชกาลที่ ๙ ขอฝากศิลปินคุณพ่อคุณแม่ สานต่อนะ คุณพ่อคุณแม่ ท่านจะได้ดีใจ ท่านไปอยู่สวรรคาลัยแล้วท่านจะได้ปลื้มใจว่าลูก ๆ รักษาตรงนี้ต่อ ได้ทำต่ออย่าทิ้งนะ (ร้องไห้) ขอให้ทำต่อไปเถอะความเจริญ พอกิน พอใช้ พอเพียง จะอยู่ติดตัวเราไปจนตาย”
ทรงรับสั่งอย่าลืมบอกคนไทยในอเมริกาให้กลับมาอยู่เมืองไทย
“พระราชดำรัสตอนที่แม่ไปในงานพระบรมชูปถัมภ์นักเรียนไทยในอเมริกา ไปกับนายห้างประจวบ 9 คน ไปแสดงเก็บเงินรายได้เอามามอบให้พระเจ้าอยู่หัว งานนักเรียนไทยในอเมริกา ก็นำไปถวาย คนแรกนายห้างประจวบ จำปาทอง คนที่สอง ประยงค์ มุกดา แล้วก็แม่ ไปกราบฝ่าพระบาทพระองค์ท่าน ท่านก็ก้มไปจับหัวแม่แล้วท่านก็บอกให้แม่ยืนขึ้น (ร้องไห้หนัก) แล้วท่านก็ถามว่าไปเจอคนไทยเยอะมั้ย เจอเยอะค่ะ ถ้ามาอีกทีหนึ่งอย่าลืมบอกใครเขากลับมาอยู่เมืองไทยนะ เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง แม่ก็ตอบแค่ค่ะ แค่นั้นก็ชื่นใจแล้วค่ะ (สะอึกสะอื้นหนัก)”