“เจ๊ติ๋ม” เลิกทำทีวีดิจิตอล โบ้ยถามทนายเรื่องไทยทีวี บอกตนเป็นนักธุรกิจไม่ใช่นักกฎหมายรู้แค่ผลกำไรขาดทุน หันมาดันทีวีพูลเข้าตลาดหลักทรัพย์ อีก 6 เดือนผุดช่องทีวีพูลชาแนล ตั้งเป้าฟันกำไร 300 ล้านบาท เชื่อแบรนด์ทีวีพูลแข็งแรง เบนเข็มเป็นพาร์ทเนอร์ช่องอนาล็อกและทีวีดิจิตอลลดค่าใช้จ่ายจากเดือน 2 ล้านเหลือ 2 แสน ลั่นทีวีดิจิตอลได้อานิสงค์จากตนไปแล้ว อวยพรขอให้อีก16 บริษัทที่เหลืออยู่รอด ย้ำไม่มีนโยบายไล่พนักงานออก นอกจากขอความสมัครใจ โวมีศักยภาพเลี้ยงดูพนักงานได้ ส่งไม้ต่อให้ลูกชายเข้าบริหาร หากทุกอย่างแข็งแรงเป็นไปตามเป้า เตรียมวางมือสานฝันก่อนตายออกไปเผยแพร่ธรรมะทั่วโลก
จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายการลูกทุ่งทีวีพูล ช่องไทยทีวี โดย “นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” หรือ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี มาร่วมเปิดตัวโปรเจ็กต์ และพร้อมแถลงชัดทุกกรณี ตอบทุกข้อสงสัย ณ สตูดิโอชั้น 5 บริษัทไทยทีวี ลาดพร้าว 101 โดยยืนยันว่าเลิกทำทีวีดิจิตอล และขอเป็นพันธมิตรกับทุกช่องทั้งอนาล็อกและทีวีดิจิตอล ก่อนเคลียร์ภาพไลน์หลุดวอนเชิงบีบพนักงานให้ลาออก
“เราไม่ได้รู้เรื่องกฎหมายเพราะเราไม่ได้จบนิติศาสตร์มา เราเป็นนักธุรกิจเราจบบิสิเนส เราจะรู้เรื่องธุรกิจมากและมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเราก็ดูแค่สองช่อง ช่องรายได้กับช่องรายจ่าย มีลูกก็สอนแบบนี้ ลูกน้องก็สอนแบบนี้ ถ้ารายได้มากกว่ารายจ่ายมันก็กำไร แต่ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายมันก็ขาดทุน สิ่งแรกต้องแก้ไขต้องเพิ่มรายได้ให้ได้ แต่ถ้าเพิ่มไม่ได้เพราะบางอันไม่อาจคอนโทรลได้จะไปบังคับมันได้อย่างไร เราก็ต้องลดค่าใช้จ่าย ถ้าลดแล้วยังไม่ได้อีก มันทำให้เราขาดทุนเราก็ต้องปิด แค่นี้แหละหลักการทำธุรกิจ ไม่หนีไปจากสูตรนี้ได้ เรื่องกฎหมายต้องไปถามทนาย ซึ่งทนายความก็ไม่ได้มา (หัวเราะ) ต้องถามเขา ตอนนี้เรื่องกฎหมายไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมานั่งคิดเพราะเราไม่ได้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่เราเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ เราเป็นคนที่ทำหนังสือทีวีพูล ซึ่งเป็นหนังสือฉบับแรกของเมืองไทยที่รวมทุกช่อง”
“ถามว่าค่าใช้จ่ายกับทางกสทช. รอบที่สองเราจะจ่ายไหมอันนี้ก็ไม่ทราบ ถ้าถามเรื่องกสทช. เรื่องกฎหมาย เป็นเรื่องของฝั่งกฎหมายเขาทำกัน เราไม่รู้เลย แต่ถ้าเขาว่าอะไรมา ฝั่งกฎหมายว่าอะไรมาเราก็ทำอย่างนั้นเพราะไม่ใช่ว่าเราไม่มีเงิน เรามีเงินนะคะ แต่เงินนี้คงไม่สามารถเอาเงินของทีวีพูลมาสนับสนุนไทยทีวีได้เพราะคนละก้อนกัน ทีวีพูลต้องทำกำไร เพราะเราจะเอาเข้าตลาด ตัวบริษัทยังไงก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องตัดสินใจว่าจะต้องทำยังไง แต่ว่าต้องบอกได้ว่ามันไม่เกี่ยวข้อง ทีวีพูลยังร่ำรวย แล้วจะต้องขนเงินไปถมให้ไทยทีวีมันก็ไม่ใช่ มันคนละขากัน อาจอยู่ตึกเดียวกันแต่คนละนิติบุคคลกัน ทีวีพูลยังแข็งแรงมาก ยังทำกำไร ยังมียอดขายที่ดี ยังได้รับการสนับสนุน วันนี้เราถึงมีลูกทุ่งทีวีพูล แล้วเฟซบุ๊กทีวีพูลก็เป็นเฟซบุ๊กอันดับหนึ่งของเมืองไทยตอนนี้ คือยังต่อยอดไปได้ไกล หลังจากนี้จะได้เห็นว่าเราจะมีอะไรที่ต่อยอดเป็นทีวีพูลเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่แค่รายการลูกทุ่ง จะมีอะไรเกี่ยวกับทีวีพูลเต็มเลยออกมา อีก 6 เดือนข้างหน้าเราวางแผนจะมีช่องทีวีพูลชาแนลขึ้นมาอีกช่องหนึ่ง”
ยันไม่เคยนัด “อากู๋ -เฮียฮ้อ” เจรจา เรื่องไม่จ่ายค่าประมูลทีวีดิจิตอล เบนเข็มเป็นพันธมิตร พร้อมเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์กับทุกช่อง ทั้งดิจิตอลและอนาล็อก
“ไม่ได้เจอช่องไหนเลยค่ะ ไม่ได้เจออากู๋(ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ไม่ได้เอียฮ้อ(สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) ไม่ได้เจอใครทั้งสิ้น เพราะตอนนี้เรามุ่งมั่นทำลูกทุ่ง ตอนนี้ทีวีพูลไลฟ์จะย้ายไปอยู่ช่อง 5 เวลาไพรม์ไทม์เหมือนเดิม กลับไปบ้านเก่าที่ทำให้เราอบอุ่น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม พิธีกรคนเดิม พิธีกรภาคสนามเหมือนเดิม เป็นบ้านที่อบอุ่น ทำให้เรามีกำไร และโด่งดังเป็นทีวีพูลทุกวันนี้ แล้วเราจะเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์ ให้กับช่องต่างๆ แม้กระทั่งรายการลูกทุ่งทีวีพูล พอแข็งแรง มีสปอนเซอร์ติดตลาดมีแฟนคลับเยอะแยะ เราก็จะย้ายรายการไปอยู่ที่ช่องอื่นเหมือนกัน อาจเป็นช่องอนาล็อกหรือดิจิตอลแล้วเปิดรายการใหม่ แล้วรายการก็จะมารีรันที่นี่ ถ้าเรียบร้อย ใครมาจีบเราก็ไป แล้วเอามารีรันและเกิดของใหม่ ก้าวทีละสเต็ป”
“ส่วนเรื่องถูกเบิกถอนใบอนุญาตอันนั้นไม่ทราบเลยค่ะให้เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย เราทำในฐานะทีวีพูล ซึ่งแข็งแกร่งมาก เราจะเดินหน้าและเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้เป็นคนละบริษัท คนละนิติบุคล”
ยันไม่มีนโยบายปลดพนักงาน แต่ให้ออกโดยสมัครใจ รับไลน์บอกพนักงานถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เล็งเป็นเซ็นเตอร์ข่าวบันเทิง บอกไมค์มี่ 300 ไมค์ ทำไมต้องแย่งกันทำข่าว
“เคยมีคนถามเราเหมือนกัน เราจะไม่มีการไล่คนออก เราก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไล่คนออก เราถือมาก เรามั่นใจมีศักยภาพเลี้ยงดูได้ แต่ว่าบางทีถ้าอยู่ที่นี่ไม่โต เราก็ไลน์บอกทุกคน ถ้าไม่โตต้องยอมรับว่าทีวีพูลต้องการคนแยะ แต่ไทยทีวีต้องลดคน เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไป ณ วันนี้เรารู้ว่าโฆษณาเราขายได้แค่นี้ มันไปไม่ถึง เราดูอยู่สองช่อง เราเป็นนักธุรกิจ มันมีทางเดียวถ้ารายได้เราไม่สามารถหาได้ เราก็ต้องลดค่าใช้จ่าย เราก็หาทางลดทุกอย่างไม่ใช่แค่ลดพนักงาน แต่ต้องด้วยความเต็มใจ ไม่ไปข่มขืนใครได้ เพราะข่มขืนผิดกฎหมาย(หัวเราะ)”
“การที่เราจะลดคน หมายถึงว่าเขาก็ต้องเต็มใจที่อยากจะไปนะคะ เรามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องสำนักข่าวมากมาย ประมาณสองล้านกว่า ซึ่งถ้าเราซื้อสำนักข่าวเราจะจ่ายแค่สองแสน ทำให้ธุรกิจเรามีกำไรได้ ถ้าเราใช้วิธีซื้อ เพราะไทยทีวีเราเน้นการวิเคราะห์ข่าว พี่สุภาพ(สุภาพ คลี่ขจาย) ก็วิเคราะห์เก่ง เพราะฉะนั้นมันไม่จำเป็นต้องใช้ฟุตแยะ เพราะฉะนั้นเราก็แยกฟุตกับคนอื่น สำนักข่าวก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ถ้าเขามีที่ไปก็อาจไป เขาไม่มีที่ไปก็อยู่กับเราไม่เป็นไร เราก็ซื้อจากคนอื่นน้อยแค่นั้นเอง ตอนนี้ก็แล้วแต่ใจเขา อยากอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ พนักงาน 400 กว่า อยู่ก็อยู่ ไม่ได้ไล่ใครออก ออกไปไม่เท่าไหร่ ส่วนของไทยทีวี ไม่ได้มีแค่สำนักข่าว มีสตูฯ มีอิงค์เจ็ท มีโอบี ห้องทีมภาคย์ ทีมแปล รีไรต์ข่าว”
“ถ้าออกน้อยเราก็ซื้อข่าวน้อย ออกมากเราก็ซื้อข่าวแยะ การซื้อข่าวก็ซื้อประมาณสองแสน แล้วได้ฟุตแยะ ซื้อจากสำนักอะไรต่างๆ เรายังคิดว่าเมืองไทยไม่ต้องมาแย่งกันไมค์เยอะแยะ ส่วนทีวีพูลจะทำเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์เหมือนกัน ให้คนอื่นมาซื้อกับเรา เราจะทำตัวเป็นเซ็นเตอร์ข่าวบันเทิง ส่วนข่าวทั่วไป เราจะลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยการเอาข่าวบันเทิงไปแลกกับเขา หรือเขาซื้อเรา เราซื้อเขา แล้วแต่วิธีการดิวของแต่ละราย มันจะทำให้เราประหยัดและทรัพยากรบุคคลไม่ต้องมาทำข่าวซ้ำๆ กันทุกช่อง ไมค์เยอะแยะ ถ้าทุกช่องมากันหมดก็ 300 กว่าช่อง ต้องยืนเต็มสนามบอล”
บอกทีวีดิจิตอลในอนาคตได้อานิสงค์จากกรณีไทยทีวียกเลิกสัญญา ให้กำลังใจอีก 16 บริษัทขอให้อยู่รอด ส่วนตนหลังจากนี้ขอเป็นพันธมิตรกับทุกช่องทั้งทีวีดิจิตอลและอนาล็อก
“เขาก็คงจะได้อานิสงค์หลายๆ อย่างจากการที่เรายกเลิกสัญญา เพราะกสทช. คงได้กลับไปมองว่ามีอะไรบ้างที่ต้องช่วย เราก็เป็นกำลังใจเพราะสนิทกับทุกคนเหลืออีก 16 บริษัท ก็เป็นกำลังใจให้เขา อยากให้เขาไปได้รอด ไปได้ดี เป็นกำลังใจให้ ตัวเราเองยังคิดว่าเราคงเข้าไปเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์กับพวกดิจิตอลทั้งหลาย ต่อไปนี้เราไม่ทำตัวเป็นคู่แข่งกับใครอีกแล้ว เราจะไม่ทะเลาะกับใครอีกแล้วเราจะเป็นมิตรกับคนทุกคน จะทำทั้งอนาล็อก ดิจิตอล เรามีช่องดิจิตอลให้เราเข้าไปเลือกทำอีกตั้ง 22 ช่องที่เราจะเข้าไปเจรจา และยังมีอนาล็อกที่ยังเหลือสัญญากันอยู่ ก็ยังมีโอกาส ชีวิตเราคงมี่ความสุขมากขึ้นถ้าเราเปลี่ยนกลายเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์ทางด้านบันเทิงและทางด้านข่าวทั่วไป เขาซื้อเรา เราซื้อเขา เราจะยุบไปเรื่อยๆ นะคะให้เหลือน้อยที่สุด ถ้ายุบไมได้ เราก็อย่าเพิ่งไปซื้อคนอื่นเขา เพราะค่าใช้จ่ายมันมี เราคงไม่มีเงินไปซื้อเขา แต่ถ้าคนของเราน้อยลงก็ค่อยๆ ไปซื้อคนอื่นเขา ก็เป็นไปตามสัดส่วน ค่อยๆ ทยอย เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีการไล่ใครออก ต้องมีวิธีประสานให้ทุกคนมีความสุข เพราะเราไม่ได้เกิดจากสายข่าวทั่วไป เพราะฉะนั้นเขาอาจอยากไปเติบโตในสายข่าวทั่วไปมากกว่า หลายคนก็ต้องคิดอย่างนั้น ไม่มีการไล่ใครออก”
“ตอนนี้ที่สมัครใจลาออกก็รู้สึก 20 กว่าแล้วมั้งคะ เขาสมัครใจไปและไปเติบโตที่อื่น เพราะเขาก็รู้ว่าถ้าเป็นข่าวทั่วไป ของเราไม่ได้เก่งด้านนี้ เราไปซื้อคนอื่นเขามาดีกว่า แล้วเรามีหน้าจอที่แข็งแรง ซึ่งแข็งแรงมากเชิงวิเคราะห์ เราก็จะทำให้แตกต่างคนอื่น ด้วยข่าวทั่วไปเราใช้ในเชิงวิเคราะห์”
เล็งอัดรายการเพิ่มในไทยทีวี ส่วนละครเหลืออีก 6-7 เรื่องเก็บไว้รอจังหวะที่ดี
“เราจะมีรายการใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา อันนี้เป็นรายการแรกของเรานะคะ คือลูกทุ่งทีวีพูล เดี๋ยวต่อไปเราจะมีรายการอื่นอีก ที่เราเตรียมไว้อีกหลายรายการ อย่างเช่นอบต.ขอแข่ง เรารอให้สปอนเซอร์เต็มก่อน และแข็งแรงถึงขนาดที่ว่ามีคนมาจีบให้เราไปอยู่ช่องดิจิตอลหรือช่องอนาล็อก ถ้าเผื่อมีคนมาจีบเราเราก็ไป ไปแล้วก็สร้างรายการใหม่
“ส่วนละครก็ยังมีค่ะ เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา ไอพีเอ็ม โอมมหารวยยังทำละครให้เรา มีอยู่ 3 เจ้าที่ทำละครอยู่ ทุกคนก็จะติดที่ บางทีรู้ว่าตรงนี้ไม่มี อาจไปที่อื่นแล้วให้อะไรมากกว่าแต่ว่ามันติดที่แล้ว เขาก็มีฐานคนดูตรงนี้แล้วเขาก็ยังอยู่ เรายังไม่ได้เอาละครไปไหน ยังเก็บรอจังหวะ เราถ่ายทั้งหมด 6-7 จำไม่ค่อยได้แน่เรื่องที่เก็บไว้”
ยอมรับเรตราคาค่าโฆษณาไม่เท่าเดิม จากเคยขายหลักแสนเหลือหลักหมื่น ลั่นไม่ใช่เวลาสุขสำราญ เป็นช่วงเวลาออกรบ ตั้งเป้าหนึ่งปีทีวีพูลต้องมีกำไร 300 ล้าน
“ทีวีพูลไฟล์สปอนเซอร์เต็มแล้วค่ะ เรามีฐานเดิมของเรา คอนซูเมอร์เรามีแยะมากของเรา แล้วก็จะถูกโรคกับตลาดบันเทิง เพราะเราเป็นฐาน เปิดมาก็เต็มเลยแต่ราคาไม่เท่าเดิม เราต้องยอมรับ เมื่อก่อนเราขายเป็นแสนๆ แต่ตอนนี้เป็นหมื่นๆ เราต้องยอมรับ ถึงบอกว่าเราต้องทำงานหนักมากขึ้น ณ ตอนนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เราออกรบ ไม่ใช่เวลาใช้ความสุขสำราญกันทุกหน่วย ทุกบริษัทก็เป็น ก็ต้องช่วยกัน ทั้งชาติล่ะค่ะตอนนี้”
“ถ้าลงทุนใหม่ๆ เป็นของทีวีพูลค่ะ ส่วนไทยทีวีทนายความก็ต้องว่าของเขาไป คำว่าทีวีพูล เราต้องเติบโต ต้องมีกำไรให้ได้ ปีหนึ่งต้องมีกำไรสัก 100-300 ล้าน เราวางเป้าไว้ เราต้องทำให้ได้ เราไม่ได้ดูยอดว่าเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ทีวีพูลแข็งแรง ยิ่งตอนนี้คู่แข่งน้อยลงมาก เป็นค่ายเดียวแล้วนะคะ สำหรับนิตยสารบันเทิง เรามีทีวีพูล สไปซี่ แล้วก็สตาร์นิวส์ ส่วนการใช้เงินในการทำข่าวก็ใช้ 2 ล้านกว่า เกือบ 3 ล้านต่อเดือน สำหรับการตั้งโต๊ะข่าวต่างๆ ซึ่งในส่วนกฎหมายตอนนี้เราแล้วแต่ทนายเลย เราไม่ยุ่งแล้ว เราลุยแค่ทีวีพูลอย่างเดียวเลยเพื่อจะเข้าตลาด”
บอกไม่ทำทีวีดิจิตอลอีก ไม่กลัวความเสี่ยงใดๆ ปล่อยวางทุกเรื่อง ลั่นถ้าวันนี้ต้องมีอะไรสูญสลายก็คิดว่าไปโกงเขามาเมื่อชาติที่แล้ว
“เราไม่ทำดิจิตอลแล้วค่ะ หลักการชัดเจน ยังไงไม่ทำแน่นอน แต่เรื่องกฎหมายจะว่าไงก็แล้วแต่เขา เราไม่ทำแน่นอน เพราะว่าเรารู้ว่าเราถนัดบันเทิง บ้านนี้เป็นบ้านที่ทำให้เราแข็งแรงและอยู่ดีมีสุขมาโดยตลอด เราจะกลับมาสิ่งที่เราถนัดมากที่สุดคือบันเทิง (หวั่นเกรงเรื่องความเสี่ยงต่อแบงค์การันตีที่เอาทรัพย์สินไปค้ำประกันไว้หรือไม่) ไม่กลัวค่ะ เพราะชีวิตเราธรรมะอยู่แล้ว 3 ปีสวดมนต์และปฏิบัติธรรม มีสถานที่ปฏิบัติธรรมให้ชาวบ้าน มีโรงทานให้ไปทานฟรี เพราะฉะนั้น เราปล่อยวางทุกเรื่อง อะไรจะเกิดก็เกิดไป เป็นเรื่องของฝั่งกฎหมาย เพราะเราเกิดมาเราไม่มีอะไรสักอย่าง ถ้าวันนี้มันต้องสูญสลายไปก็อาจเป็นเพราะเราไปโกงเขามาชาติที่แล้ว เพราะชาตินี้เราไม่เคยโกงใคร เงินของเราเป็นเงินบริสุทธิ์หมด”
“เรื่องกระทบคงกระทบในแง่ของจิตใจแต่เรื่องกฎหมายยังไม่รู้ว่ากระทบขนาดไหน คือฝ่ายกฎหมายของเราเขาก็บอกว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องกฎหมายให้เขาว่าของเขาเอง ให้เรามายุ่งกับทีวีพูลของเราที่จะเข้าตลาด เราถึงได้เปิดตัวงานวันนี้ เดี๋ยวไม่ช้าเราก็ได้เจอกันอีก เพราะจะเปิดตัวรายการใหม่ จะเปิดเรื่อยๆ (คุยกับทางกสทช.เป็นการส่วนตัวหรือยัง) ไม่ได้คุยกับใครเลยค่ะ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องแล้วเราถึงปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมมานานแล้ว 3 ปีแล้ว ชีวิตอยู่กับการปฏิบัติธรรมและทำให้ทีวีพูลเติบโตต่อยอด เพราะทีวีพูลจำเป็นต้องต่อยอด เพราะต้องเข้าตลาด ถ้าไม่เข้าตลาดเราคงชิลๆ ไปเรื่อยๆ เข้าตลาดมันก็มีแรงกดดันว่าเราต้องทำกำไรให้ได้ ซึ่งควอเตอร์ 3 ปีหน้าก็จะซื้อขายในตลาด ปี 59 ไฟลิ่งกลางปีหน้า”
“คือตัวทีวีพูลมีเรื่องต่อยอดแยะมากโดยเฉพาะทางด้านโซเชียล เราจะต่อยอดโซเชียลแยะเลยค่ะ จะขยายทำแพลตฟอร์มของคอลเซ็นเตอร์ขึ้นมา เราจะทำทีวีพูลช้อปปิ้ง แล้วก็มีแอปพลิเคชั่นขึ้นมาแยะมาก จะไปต่อยอดทางด้านโซเชียลแยะ แล้วพยายามให้กลุ่มของเรา ซึ่งอาจไม่ไช่เอบวก กลุ่มแมตซ์ของเรากลุ่มทั่วไป ต้องรู้จักโซเชียลของทีวีพูล เรามั่นใจว่าตลาดตรงนี้ยังเวอร์จิ้นมาก ยังบริสุทธิ์เราจะขอเข้าไปจับตลาดนี้ เราจึงทำลูกทุ่งทีวีพูล ร่วมกับมือถือหลายค่ายนะ แต่เราเปิดตัวด้วยเอไอเอสก่อน อย่างเช่นตลาดที่กำลังใช้ 2 จี ไม่รู้จัก3จีเล่นโซเชียลไม่เป็น อยากอยากเอ็ดดูเคสตรงนี้ ส่งเสริมให้เขามีความรู้ในการเล่นโซเชียล เราจะเข้าไปนั่งกลางใจเขาก่อน ทีวีพูลช็อปปิ้งทำเองค่ะ แค่เริ่มต้น แต่จะไปหนักกับเรื่องการทำอีบิสิเนสมากกว่า ซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต ตอนนี้เริ่มเอาสินค้าเข้ามา ก็ใช้เวลาหน่อยค่ะ”
ย้ำก้าวต่อไปนำแบรนด์ทีวีพูลไปต่อยอดกับสื่อใหม่ อยากสานฝันก่อนตายออกไปเผยแพร่ธรรมะทั่วโลก
“เติบโตทางด้านโซเชียลหนักเลย เป็นที่รู้กันว่าธุรกิจหนังสือมันเป็นธุรกิจที่แค่ประคองให้มันทรงตัวได้เราก็เก่งแล้ว ทุกวันนี้เรายังไม่ล้มหายตายจาก เรายังอยู่ได้เหมือนเดิมเราก็เก่งแล้ว เราต้องเอาแบรนด์ทีวีพูลไปต่อยอดกับสื่อใหม่ ที่เราคิดว่าเราลงไปแล้ว 7 เดือน ทีวีพูลบุฟเฟต์ ลองไปแค่ 7 เดือนขึ้นอันดับหนึ่งของประเทศไทย มีแฟนเพจสามล้านห้า แล้วก็ตัวทีวีพูล ลูกทุ่งทีวีพูล แค่หนึ่งอาทิตย์ สามารถลิสต์ได้ถึง 10 ล้านแค่หนึ่งเดือน ยอดดีมาก แสดงว่าคนกลุ่มที่เราจัดยังตื่นเต้นกับโซเชียล”
“ส่วนไทยทีวีก็ยังคงอยู่ค่ะ ก็คงอยู่และว่ากันไปตามกฎหมาย ว่าจะต่อสู้ยังไง เจรจายังไง คงเป็นทางฝั่งทนายความ ว่าเขาจะมีวิธีเจรจาหรือจะใช้วิธีทางกฎหมาย (ถ้ากสทช.จะริบใบอนุญาตดาวเทียมจริงๆ เราจะมีช่องทางอื่นหรือไม่) ตอนนี้ตัวไทยทีวีก็ยกเลิกอนุญาตและเพื่อไม่ให้ประชาชนกระทบ เราก็ขึ้นดาวเทียม ขึ้นเคเบิ้ล ขึ้นทีวีชุมชนเพื่อทดแทน เพื่อไม่ให้ประชาชนกระทบ และไม่ให้พนักงานกระทบ พนักงานยังมีงานทำอยู่ แต่ทีวีพูลเราจะแตกยอดอีกเยอะ เดี๋ยวจะมีแพลตฟอร์มของทีวีพูล จะขึ้นทีวีพูลชาแนล จะขึ้นทีวีพูลสเตชั่น จะขึ้นอะไรเต็มไปหมด เดี๋ยวจะไล่ขึ้นดาวเทียมไปเรื่อยๆ ไม่กระทบเพราะคนละนิติบุคคลกัน เขาก็ขอในนามของทีวีพูล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ผู้ถือหุ้นก็คนละคนผู้ถือหุ้นก็เป็นลูกเรา 3 คนนะ เรารับจ้างบริหาร เพราะอีกไม่นาน ถ้าลูกเรารันทุกอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เราฝันก็คือเราอยากไปเผยแพร่ธรรมะทั่วโลก อย่างน้อยจะไปทุกๆ แห่งที่มีวัดไทยในต่างประเทศและที่ฝันไว้ อยากทำก่อนตาย เมื่อลูกแข็งแรงทำได้แล้ว”
“ต่อจากนี้เราจะเป็นคอนเทนต์พาร์ทเนอร์กับทุกเจ้าเลย เราจะมีพันธมิตร เราจะเข้าไปคุย ใครมาจีบเราเราก็จะไป เราต้องทำของเราให้แข็งก่อน แล้วมีหนังอีกเยอะแยะที่ซื้อไว้ ถ้าใครมาจีบเราก็ไป แล้วมารีรันที่ช่องนี้ แล้วเราก็จะสร้างอะไรใหม่ตลอดเวลาเพื่อให้มันลงตัว มีแฟนคลับมีสปอนเซอร์ พร้อมเป็นสาวสวยแล้วก็พร้อมยกให้คนอื่นเขา การลงทุนครึ่งปีหลังคงไม่แยะมาก เพราะถ้าทำเรื่องบันเทิงของเราจะไม่มาก แต่ก็ต้องใช้เงินทุนทุกอย่างเพราะไม่มีใครทำงานฟรีอยู่แล้ว”
ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |