เป็นข่าวที่ช็อกความรู้สึกไม่น้อยทีเดียวสำหรับการสูญหายไปของเที่ยวบิน QZ8501 สายการบิน “แอร์เอเชีย” พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 162 ชีวิตบริเวณน่านน้ำอินโดนีเชียเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา
การหายไปของสายการบินดังล่าวนับเป็นครั้งที่ 3 ของข่าวคราวที่เกี่ยวกับเครื่องบินในปี 2557 เข้าไปแล้ว
8 มีนาคม เที่ยวบิน MH370 ของสายการบนมาเลเซียแอร์ไลน์ได้อันตรธานหายไปภายหลังทะยานขึ้นจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่งเพียงไม่นาน
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของผู้โดยสารและลูกเรือจำนวนกว่า 239 คนบนเครื่อง รวมถึงคำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้น? และเครื่องบินลำนี้อยู่ที่ไหน? ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา
4 เดือนกว่าจากนับจากเหตุการณ์เที่ยวบิน MH370 เรื่องร้ายๆ ก็เกิดขึ้นกับสายการบินมาเลเซียแอร์อีกครั้ง ในวันที่ 17 กรกฎาคม เมื่อเครื่องบินโบอิ้ง 777 ซึ่งบินออกจากกรุงอัมเตอร์ดัมส์มุ่งหน้าไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ต้องมาถูก "ยิงตก" ในภาคตะวันออกของยูเครนส่งผลให้ลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด 298 คนเสียชีวิตยกลำ
จริงอยู่ที่ว่าหากคำนวณอัตราความปลอดภัยจากการเดินทาง การโดยสารเครื่องบินจะมีเปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยสูงที่สุดเมื่อเทียบกับการเดินทางรูปแบบอื่นก็ตามที
แต่กระนั้นทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นก็คงต้องยอมรับว่าการเดินทางรูปแบบนี้มักจะนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่มีการสูญเสียที่ไม่ใช่น้อยเลยจริงๆ
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวกับเที่ยวบิน QZ8501 มีข่าวการสูญเสียในบ้านเราที่ไม่ได้พาดหัวใหญ่โตอะไรมากมาย แต่โดยส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม หลังเจ้าหน้าที่ สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับแจ้งเหตุพบศพคนผูกคอตายบริเวณใต้ต้นขนุน ข้างแม่น้ำปราณบุรี จึงเดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าผู้ตายชื่อ......มีอาชีพเป็นเด็กปั๊มแก๊ส
สอบถามมารดาผู้เสียชีวิตได้ความว่าสาเหตุที่ลูกชายตัดสินใจฆ่าตัวตายน่าจะมาจากความเครียดเนื่องจากตนเองเพิ่งถูกโรงงานเลิกจ้างงานทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่
พร้อมบอกว่าก่อนหน้านี้ลูกชายตนเองก็เคยเปรยอยากจะฆ่าตัวตายมาแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาทำจริงๆ
ขณะที่เพื่อนร่วมงานของผู้ตายให้ความเห็นว่านอกจากเรื่องงานแล้วน่าจะมีเรื่องของความรักอีกประเด็นที่เป็นสาเหตุเพราะผู้ตายนั้นเพิ่งจะถูกแฟนสาวบอกเลิกนั่นเอง
ทั้งนี้ในที่เกิดเหตุตำรสจยังได้ตรวจพบจดหมายที่ผู้ตายเขียนขึ้นโดยมีเนื้อหาใจความฝากไปถึงพิธีกร-ผู้ดำเนินรายการเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับโลกวิญญาณควายตายคนหนึ่งโดยบอกให้อีกฝ่ายช่วยนำเอาดวงวิญญาณของตนเองกลับสู่ภูมิลำเนาบ้านเกิดด้วย
ข้ามสิ่งที่ไม่สามารถมองได้ด้วยสายตาไปด้วยความเคารพในความเชื่อของแต่ละบุคคล มองไปยังอักษรในจดหมายลาตายของด็กหนุ่มแล้วต้องก็ต้องบอกว่าเป็นการตอกย้ำ ซ้ำๆ ให้เห็นถึงคุณภาพของคนส่วนใหญ่ในสังคมบ้านเราอีกครั้งได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิทธิพลของสื่อฯ หรือจะเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต เรื่องของปากท้อง เรื่องรายได้ของคนส่วนใหญ่ที่หาได้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่นับวันในระดับความมีมาตรฐานที่ควรจะเป็นนั้นดูจะถีบเขยิบตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ
คนจนก็จนแทบไม่มีจะกิน ขณะที่คนรวยก็รวยเสียจนใช้ฟุ่มเฟือย 3 ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเรื่องของการศึกษา ที่แม้แต่ละปีจะมีการทุ่มงบประมาณลงไปมากมายเท่าไหร่ทว่าประโยชน์ในด้านที่จะสร้าง "องค์ความรู้" ให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ได้นั้นดูจะน้อยเอามากๆ
หลายคนยามเกิดปัญหา ชีวิตมีอุปสรรค แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยวิชา-ควมรู้จากตำรับ ตำรา แต่กลับมักจะนำพาเอาจิตใจตนเองไปพึ่งพิงในสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งหลักความเชื่อที่เกิดขึ้นเพราะความ "ไม่รู้" และไร้ซึ่ง "ปัญญา" เช่นนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่เรียกว่าความงมงายสักเท่าไหร่นักหรอกครับ
โชคดี โชคร้าย ไม่ใช่สิ่งที่เราจะขวนขวายหาอะไรมากำหนดมันได้ แต่การมีซึ่งสติ-ปัญญาต่างหากที่จะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะจัดการหรือทำอย่างไรหากสิ่งเหล่านี้ที่ว่าผ่านเข้ามาในชีวิต
สุดท้ายก็ได้แต่หวังนะครับว่าสิ่งที่ผู้ตายปรารถนาก่อนตายนั้นจะเป็นไปตามที่ต้องการและหลุดพ้นในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการจะหลีกหนีจริงๆ
แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผลที่ออกมาเป็นอย่างไรก็ตามที
การหายไปของสายการบินดังล่าวนับเป็นครั้งที่ 3 ของข่าวคราวที่เกี่ยวกับเครื่องบินในปี 2557 เข้าไปแล้ว
8 มีนาคม เที่ยวบิน MH370 ของสายการบนมาเลเซียแอร์ไลน์ได้อันตรธานหายไปภายหลังทะยานขึ้นจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่งเพียงไม่นาน
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของผู้โดยสารและลูกเรือจำนวนกว่า 239 คนบนเครื่อง รวมถึงคำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้น? และเครื่องบินลำนี้อยู่ที่ไหน? ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา
4 เดือนกว่าจากนับจากเหตุการณ์เที่ยวบิน MH370 เรื่องร้ายๆ ก็เกิดขึ้นกับสายการบินมาเลเซียแอร์อีกครั้ง ในวันที่ 17 กรกฎาคม เมื่อเครื่องบินโบอิ้ง 777 ซึ่งบินออกจากกรุงอัมเตอร์ดัมส์มุ่งหน้าไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ต้องมาถูก "ยิงตก" ในภาคตะวันออกของยูเครนส่งผลให้ลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด 298 คนเสียชีวิตยกลำ
จริงอยู่ที่ว่าหากคำนวณอัตราความปลอดภัยจากการเดินทาง การโดยสารเครื่องบินจะมีเปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยสูงที่สุดเมื่อเทียบกับการเดินทางรูปแบบอื่นก็ตามที
แต่กระนั้นทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นก็คงต้องยอมรับว่าการเดินทางรูปแบบนี้มักจะนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่มีการสูญเสียที่ไม่ใช่น้อยเลยจริงๆ
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวกับเที่ยวบิน QZ8501 มีข่าวการสูญเสียในบ้านเราที่ไม่ได้พาดหัวใหญ่โตอะไรมากมาย แต่โดยส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม หลังเจ้าหน้าที่ สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับแจ้งเหตุพบศพคนผูกคอตายบริเวณใต้ต้นขนุน ข้างแม่น้ำปราณบุรี จึงเดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าผู้ตายชื่อ......มีอาชีพเป็นเด็กปั๊มแก๊ส
สอบถามมารดาผู้เสียชีวิตได้ความว่าสาเหตุที่ลูกชายตัดสินใจฆ่าตัวตายน่าจะมาจากความเครียดเนื่องจากตนเองเพิ่งถูกโรงงานเลิกจ้างงานทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่
พร้อมบอกว่าก่อนหน้านี้ลูกชายตนเองก็เคยเปรยอยากจะฆ่าตัวตายมาแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาทำจริงๆ
ขณะที่เพื่อนร่วมงานของผู้ตายให้ความเห็นว่านอกจากเรื่องงานแล้วน่าจะมีเรื่องของความรักอีกประเด็นที่เป็นสาเหตุเพราะผู้ตายนั้นเพิ่งจะถูกแฟนสาวบอกเลิกนั่นเอง
ทั้งนี้ในที่เกิดเหตุตำรสจยังได้ตรวจพบจดหมายที่ผู้ตายเขียนขึ้นโดยมีเนื้อหาใจความฝากไปถึงพิธีกร-ผู้ดำเนินรายการเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับโลกวิญญาณควายตายคนหนึ่งโดยบอกให้อีกฝ่ายช่วยนำเอาดวงวิญญาณของตนเองกลับสู่ภูมิลำเนาบ้านเกิดด้วย
ข้ามสิ่งที่ไม่สามารถมองได้ด้วยสายตาไปด้วยความเคารพในความเชื่อของแต่ละบุคคล มองไปยังอักษรในจดหมายลาตายของด็กหนุ่มแล้วต้องก็ต้องบอกว่าเป็นการตอกย้ำ ซ้ำๆ ให้เห็นถึงคุณภาพของคนส่วนใหญ่ในสังคมบ้านเราอีกครั้งได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิทธิพลของสื่อฯ หรือจะเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต เรื่องของปากท้อง เรื่องรายได้ของคนส่วนใหญ่ที่หาได้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่นับวันในระดับความมีมาตรฐานที่ควรจะเป็นนั้นดูจะถีบเขยิบตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ
คนจนก็จนแทบไม่มีจะกิน ขณะที่คนรวยก็รวยเสียจนใช้ฟุ่มเฟือย 3 ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเรื่องของการศึกษา ที่แม้แต่ละปีจะมีการทุ่มงบประมาณลงไปมากมายเท่าไหร่ทว่าประโยชน์ในด้านที่จะสร้าง "องค์ความรู้" ให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ได้นั้นดูจะน้อยเอามากๆ
หลายคนยามเกิดปัญหา ชีวิตมีอุปสรรค แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยวิชา-ควมรู้จากตำรับ ตำรา แต่กลับมักจะนำพาเอาจิตใจตนเองไปพึ่งพิงในสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งหลักความเชื่อที่เกิดขึ้นเพราะความ "ไม่รู้" และไร้ซึ่ง "ปัญญา" เช่นนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่เรียกว่าความงมงายสักเท่าไหร่นักหรอกครับ
โชคดี โชคร้าย ไม่ใช่สิ่งที่เราจะขวนขวายหาอะไรมากำหนดมันได้ แต่การมีซึ่งสติ-ปัญญาต่างหากที่จะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะจัดการหรือทำอย่างไรหากสิ่งเหล่านี้ที่ว่าผ่านเข้ามาในชีวิต
สุดท้ายก็ได้แต่หวังนะครับว่าสิ่งที่ผู้ตายปรารถนาก่อนตายนั้นจะเป็นไปตามที่ต้องการและหลุดพ้นในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการจะหลีกหนีจริงๆ
แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผลที่ออกมาเป็นอย่างไรก็ตามที