หลังจากที่ “เอ พศิน เรืองวุฒิ” ให้สัมภาษณ์กับบันเทิง เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ เรื่องที่เจ้าตัวหลงใหลการวาดรูปพุทธเจ้า และศรัทธาพุทธเจ้ายกย่องเป็นไอดอลด้านการทำความดีและนับถือเป็นครูในการดำเนินชีวิต พร้อมแสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่าไม่เชื่อเรื่อง บุญ-กรรม จนทำให้เรื่องศาสนาที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนกลายเป็นประเด็นขึ้นมาทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ส่งผลให้ เอ พศิน ออกมาโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัว @apassin หาว่าสื่อบิดเบือนความจริง ตัดทอนบทสัมภาษณ์ โดยมีข้อความว่า…
“#แถลงการณ์.... ถึง นสพ.ผู้จัดการ ว่าด้วยกรณีการนำเสนอข่าวในเวปไซด์ เกี่ยวกับ project ตำนานศากยะ #งานศิลปะเพื่อพุทธศาสนาผมเขียนมาตั้ง10กว่าปี #ข่าวเอาแคบชั่นแย่ๆมาทำลายหมด ถือว่าไร้จริยธรรมในการนำเสนอข่าว ขอสัมภาษณ์เรื่องงานเขียนเพื่อเยาวชน แต่เอาหัวข้ออื่นมาขยาย ปลุกปั่น และ ใช้คำโปรยเชิงสื่อ โฆษณา หน้าหนึ่ง เรียบเรียงให้เร้า จูงใจ น่าชิงชัง #ใช้สำนวนการเขียนด้วยความเข้าใจส่วนตัว ขอแค่คนสนใจเข้ามาอ่าน ให้คนคิดต่างก็รุมสกรัม อ่านแล้วเพลียใจครับ... .....แต่ปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ..... สำหรับผู้อ่านที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง #ผมอโหสิครับ วิจารณ์แล้วก็แล้วไป แต่ใช้วิจารณญาณนิดนึง #ถ้าเชื่อทุกคำของสื่อที่อ่านแล้วตัดสินคนที่คุณไม่เคยรู้จัก อยากให้ถามตัวเองก่อนว่า... #สื่อที่คุณเชื่อ100%นั้น ......"เขาคือใคร?"...... ทุกศาสนามีแก่นที่ชัดเจนและสร้างสรรค์ แบ่งแยกนิกาย แบ่งแยกศาสนา ก็ไม่ต่างจากแยกสี แยกผิวพรรณ ..... และงานที่ผมทุ่มเทชีวิตจิตใจทำมา10กว่าปี เพื่อเยาวชน และ เผยแพร่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เป็นองค์ความรู้ทางพุทธศาสนาที่กลั่นกรองแล้วอย่างถูกต้อง โดนทำลายด้วยตัวอักษรไม่กี่ตัว #ไม่ใช่การเมือง ไม่ต้องปลุกปั่นสร้างกระแส เราทุกคนต่างมีชีวิต และ มีเกียรติ เสมอกัน ไม่ให้เกียรติไม่ผิดครับ... ผมก็แค่นักแสดงธรรมดา แต่ก็เป็นประชาชน การเอางานของคุณมาทำลายเกียรติผู้อื่น. "ไม่ยุติธรรม" #ฝากผู้ใหญ่หรือผู้เกี่ยวข้องดูแลด้วยครับ เพราะติดต่อผู้สัมภาษณ์ไม่ได้เลย บางที จริยธรรม ก็สำคัญมากจริงๆ”
พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังได้มาโพสต์คอมเมนต์ชี้แจงในข่าวที่ลงใน www.manager.co.th ความคิดเห็นที่ 59 ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้…
“ขอประทานอภัยครับทุกท่าน สหายท่านหนึ่งโพสลิ้งค์มาให้ เข้าใจครับ ว่าบทสัมภาษณ์ ในบางเรื่องอ่อนไหวต่อศรัทธาและความรู้สึกของผู้คน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาความเชื่อ....แต่ได้โปรดอย่าเชื่อในอักษรทุกคำที่คุณอ่าน ว่าออกมาจากทุกคำที่ผมได้แสดงทรรศนะไว้ ผมเข้าใจวิธีการทำงานของสื่อ อยากให้มันเป็นประเด็นร้อนอ่านสนุก ได้อรรถรสแต่การตัดทอน ปรุงแต่ง คำให้สัมภาษณ์นั้น เป็นเรื่องผิดต่อจริยธรรม และ ปัดความรับผิดชอบให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตามผมเข้าใจในวงจรการปั่นกระแสข่าว แต่แบบนี้ผมไม่ปลื้มครับ "ผมไม่สนับสนุนให้ทำบุญเพื่อเอาแต่อ้อนวอนขอสิ่งที่ต้องการ แต่อยากให้เชื่อในกรรมและศรัทธาต่อผลของการทำกรรมดี " ณ.จุดนี้....กลายเป็นประเด็นที่บิดเบือนไปได้เช่นนี้.... ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกครับ แม่แต่คำพูดจากปากก็แปลเปลี่ยนได้ เมื่อมันถูกสื่อสารด้วย ปากกา ..... ขอบคุณครับ” พศิน เรืองวุฒิ
เพื่อความชัดเจนเราจึงนำคลิปเสียงสัมภาษณ์ที่ เอ พศิน ได้ให้สัมภาษณ์แบบไม่มีการตัดต่อ และมีเนื้อหาบางส่วนไม่ได้ลงในบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้เพราะเป็นเรื่องบอบบาง แต่เพื่อความชัดเจนในการนำเสนอข่าวสารเราจึงนำมาเสนอทั้งหมด
***เนื้อหาข่าวที่ลงไปก่อนหน้านี้****
เจาะใจ “เอ พศิน” ดาวร้ายผู้คลั่งไคล้การวาดรูปพุทธเจ้าเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้กำลังทำหนังสือตำนานพุทธศาสดาออกมาเผยแพร่หวังปลูกฝังเด็กและเยาวชน ลงมือทำเองทั้งวาดภาพประกอบและบรรยายเรื่องราว เล็งตีพิมพ์หลายๆ ภาษา เจ้าตัวศรัทธาพุทธเจ้ายกย่องเป็นไอดอลด้านการทำความดีและนับถือเป็นครูในการดำเนินชีวิต แต่กลับมีความคิดขัดแย้งเรื่องหลักคำสอนของศาสนา ลั่นไม่เชื่อว่า “บุญ-กรรม” มีจริง บอกตนเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าหลักศาสนา
เล่นละครเรื่องไหน “เอ พศิน เรืองวุฒิ” เป็นต้องได้รับบทเป็นวายร้ายแทบจะทุกเรื่อง จนบทบาทดังกล่าวกลายเป็นโลโก้ในจอที่ทุกคนจดจำไปแล้ว แต่ชีวิตนอกจอที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ เอ พศิน เป็นคนที่มีฝีมือด้านการวาดรูปเก่งเข้าขั้นมืออาชีพมีผลงานมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเคยออกแบบเหรียญสมเด็จพระเอกาทศรถเพื่อหล่อไปแจกทหารชายแดนใต้ ออกแบบโลโก้ให้กับหลายๆ หน่วยงาน ทั้งยังเคยวาดรูปพระพุทธเจ้าให้กับเสถียรธรรมสถาน ออกแบบซุ้มประตูวัดก็เคยทำมาแล้ว นอกจากนี้เจ้าตัวยังเป็นผู้ออกแบบคาแรกเตอร์ให้หนังเรื่องนาคปรกเป็นสเก็ตดีไซน์ รวมถึงพระพุทธรูปปรางนาคปรกที่ใช้เป็นธีมของเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เป็นฝีมือของหนุ่มเอทั้งนั้น ซึ่งการวาดรูป “พระพุทธเจ้า” เป็นงานที่เอหลงใหลเอามากๆ โดยหนุ่มเอได้เผยว่าส่วนตัวยึดพระพุทธเจ้าเป็นไอดอลในการทำความดีและนับถือเป็นครูของชีวิต เร็วๆ นี้เตรียมออกหนังสือเกี่ยวกับตำนานพุทธศาสดาที่ลงมือทำเองทั้งวาดภาพประกอบและบรรยายเนื้อหาหวังปลูกฝังเด็กและเยาวชน แต่ที่ดูจะขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นคนไม่เชื่อว่า “บุญ-กรรม” มีจริง บอกสิ่งเหล่านี้เป็นแค่นามธรรม ลั่นตนเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าหลักศาสนา
เป็นนักวาดรูปตัวยงมาตั้งแต่อนุบาล ขนาดอ่านหนังสือสอบหรือท่องบทละครยังต้องวาดเป็นรูปภาพเพื่อให้ตัวเองจำเนื้อหาได้ คิดค้นเองเป็นวิธีเฉพาะตัว
“ผมวาดรูปเป็นตั้งแต่อนุบาล และผมเล่นละครตั้งแต่ 4 ขวบ ก็วาดตั้งแต่ตอนนั้นมา หนังสือเรียนผมเป็นอะไรที่สกปรกมากเพราะผมจะเขียนเป็นภาพ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือท่องบทละครผมจะเขียนเป็นภาพไว้บนตัวหนังสือนั้น อย่างเวลาอ่านหนังสือสอบผมก็จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ แล้วผมก็จะจำได้ พูดถึงบ้าน พูดถึงปืน ผมก็เขียนเป็นภาพและจำเป็นภาพแทน อย่างเช่น ตอนผมเล่นเรื่องคุณชายปวรรุจ บทจะบอกว่าเราจะขึ้นเขาจุงเฟราพรุ่งนี้ อยู่บนยอดสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งคงจะไม่มีโอกาสขึ้นมาบ่อยๆ ผมก็จะวาดรูปจุงเฟราเป็นรูปศรชี้ขึ้น แล้วก็เขียนยอดเขามีน้ำแข็งอยู่ข้างบน และเป็นเลข 1 ก็มาจากเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะได้ขึ้นไป แล้วก็เขียนรูปตัวเอง คือนึกถึงคำนึงผมก็จะเห็นภาพทั้งประโยค เพราะถ้าอ่านบทแล้วปากกาไฮไลท์ไว้เฉยๆ ผมจะจำไม่ได้ เป็นวิธีการส่วนตัว ที่ค้นพบวิธีนี้เพราะถ้าไม่ใช้วิธีนี้จะจำไม่ได้(หัวเราะ)”
จุดกำเนิดที่หันมาวาดรูปพระพุทธเจ้าเพราะศรัทธาพระพุทธเจ้าเป็นไอดอล อีกทั้งมองว่าศาสนาควรเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้เรา นำมาใช้ในชีวิตได้จริง ไม่ใช่อยู่สูงจนเข้าไม่ถึง
“การวาดรูปเกี่ยวกับศาสนาเพราะผมคิดว่าศาสนาควรเป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ แล้วการที่เด็กรุ่นใหม่คิดว่าเขาไกลวัดเพราะเขาคิดว่าศาสนาอยู่สูง ทั้งที่จริงศาสนาควรอยู่ข้างเราและเราสามารถนำเอามาใช้ได้จริง เหมือนอกหัก อกหักแล้วก็ต้องทำใจ ซึ่งการทำใจก็คือศาสนาอย่างหนึ่งแล้ว แต่คนไปมองว่าศาสนาอยู่ในวัด ต้องอยู่ในการปฏิบัติที่ต้องตัดทางโลก ทั้งที่จริงไม่จำเป็น เราสามารถใช้ชีวิตทางโลกและเราก็ใช้หลักธรรมได้ ตอนเริ่มแรกที่วาดรูปผมวาดการ์ตูน ผมเคยบาปเพราะไปวาดปางศาตราวุธเพราะคิดไปเองว่าพระพุทธรูปเหมือนอุลตร้าแมน(ยิ้ม) ด้วยความที่ท่านมียอดแหลมๆ มีตาเฉี่ยวๆ รูปร่างสูงใหญ่ 40 เมตร ดูเป็นฮีโร่ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าอุลตร้าแมนมีที่มาจากพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ทวารวดี เราก็รู้สึกว่าเรามองเป็นภาพเดียวกัน เพราะญี่ปุ่นเขามีแรงบันดาลใจในการสร้างอุลตร้าแมนซึ่งเป็นฮีโร่มาจากพระพุทธรูป แล้วผมก็วาดปางศาตราวุธมีมือเต็มเลยเอาไว้ปราบมาร ซึ่งมันก็ไม่ผิดเพราะว่าเทวมารที่มีไว้ปราบมารของศาสนาอื่นที่ใกล้เคียงกับเราก็มี ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือปราบชั่วและทำให้เราเป็นคนดี”
ไม่ธรรมดา เคยดีไซน์พระนาคปรกให้หนัง แถมยังเคยออกแบบเหรียญสมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่อหล่อไปแจกทหารชายแดนใต้ เจอเรื่องลี้ลับเหมือนเป็นผู้ถูกเลือกมาแล้วว่าต้องออกแบบเหรียญนี้
“ผมวาดรูปเป็นงานหลักนะไม่ใช่งานอดิเรก(หัวเราะ) แต่ไม่ได้เงินเพราะเราทำด้วยความชอบ แต่ที่วาดๆ มาก็ไม่ได้เก็บสะสมวาดทิ้งด้วยเพราะไม่รู้จะเก็บไปทำไม การวาดรูปของผมเหมือนเป็นการก้าวขึ้นบันไดเหยียบไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงมหาวิทยาลัยผมเรียนโปรดักดีไซน์ คณะศิลปกรรม ก็เกี่ยวกับการออกแบบ เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ออกแบบรถ ออกแบบโทรศัพท์ พอเรียนจบมาก็ได้ไปทำอะไรเกี่ยวกับที่เรียนมาเหมือนกัน อย่างออกแบบโลโก้ให้กับหลายๆ หน่วยงาน ออกแบบซุ้มประตูวัด ออกแบบคาแรกเตอร์ให้หนังเรื่องนาคปรก เป็นสเก็ตดีไซน์ และออกแบบพระพุทธรูปที่ใช้เป็นธีมของเรื่องนี้ปรางนาคปรก และวาดรูปพระพุทธเจ้าให้กับเสถียรธรรมสถาน ตอนนั้นเป็นโครงการของ 31 ศิลปิน ซึ่งเขาเลือกศิลปินที่มีคาแรกเตอร์ต่างๆ กันมาวาดเพื่อนำไปประมูลเพื่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมให้ผู้หญิงมาปฏิบัติธรรม เป็นภาพเฟรมใหญ่ภาพแรกที่ผมวาด เป็นผ้าใบซึ่งผมไม่เคยวาดบนผ้าใบมาก่อน ผมใช้เวลา 2 วันก็ไปนั่งวาดที่เสถียรธรรมสถาน”
“นอกจากนี้ผมเคยออกแบบเหรียญพระสมเด็จพระเอกาทศรถหรือพระองค์ขาว เพื่อไปแจกทหารชายแดนภาคใต้ ที่ได้ทำเพราะมีอาจารย์ท่านนึงมาให้ผมออกแบบให้แต่ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว ก็ให้ออกแบบตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ องค์นี้ค่อนข้างแรงเพราะคนทำพิมพ์ก็ป่วย แล้วพิมพ์ก็แตกตลอด เขาต้องกลับมานั่งสมาธิกลับมารักษาศีลเพื่อที่จะทำพิมพ์นี้ให้ได้ สรุปก็ได้มาแค่ชุดเดียวพิมพ์ก็แตกอีก ซึ่งเขาบอกทำพระมาไม่รู้กี่พันองค์แล้วไม่เคยมีพิมพ์ที่แรงขนาดนี้ องค์นี้แรงสุด เขาก็บอกอยากเจอเรามาก วันที่ออกแบบวันแรกคือวันที่สเก็ตภาพหลังจากนั้นจะทำให้ดีกว่านั้นก็ทำไม่ได้แล้ว ส่วนสาเหตุผมว่ามันเป็นเรื่องลี้ลับ ไลน์เส้นอาจจะใกล้เคียงกับท่านแล้วก็ได้ทำให้เราเขียนต่อไม่ได้แล้ว”
“ตอนออกแบบผมก็ศึกษาข้อมูลเรื่องศิลปะของพระที่เราจะทำอยู่ในสมัยไหน และเราสามารถดีไซน์ให้ฉีกได้มากแค่ไหนแต่ก็ต้องอยู่ในความถูกต้องของสรีระ ซึ่งเหรียญพระองค์ขาวเป็นองค์เดียวที่ผมได้ออกแบบ แล้วตอนที่ท่านเอามาให้ทำผมไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน แต่ท่านเห็นงานการ์ตูนที่ผมวาดจากเฟซบุ๊ก ท่านก็เลยติดต่อมาเพราะท่านบอกไม่มีใครที่จะเขียนได้ตรงเพราะไม่มีภาพท่านเลยมีแต่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และพุทธคุณของท่านว่าเป็นลักษณะแบบไหน ผมก็รับข้อมูลมาแล้วจินตนาการแล้วเค้นออกมาให้เป็นภาพ แต่อาจารย์ท่านนี้ก็บอกว่าภาพที่ใกล้เคียงกับจินตนาการของท่านมาก (คิดมั้ยว่าเราคงเป็นคนที่โดนกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นคนวาด ไม่อย่างนั้นคนก่อนหน้านี้ทำไมถึงวาดไม่ได้ แล้วคนที่วาดรูปได้มีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมอาจารย์เลือกเรา?) น่าจะเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่า(ยิ้ม) บังเอิญมาเจอเรา บังเอิญเราเขียนได้ ซึ่งเหรียญนี้อาจารย์ท่านเอาไปแจกหมดแล้ว ผมก็เหลือองค์เดียว ท่านทำไม่เยอะประมาณ 900 กว่าองค์”
เตรียมทำหนังสือเกี่ยวกับตำนานพุทธศาสดาซึ่งเป็นเรื่องราวต้นตระกูลของพระพุทธเจ้า ถึงกับอึ้งหลังเจอเรื่องเหลือเชื่อเข้ากับตนเอง วาดได้ถึงแค่ช่วงพระพุทธเจ้าประสูติก็มีเหตุให้หยุดชะงัก แรงบันดาลใจดับสูญและงานเยอะจนทำต่อไม่ได้ เชื่อตัวเองมีวาสนาแค่นี้ มุ่งหวังอยากให้เด็กรุ่นหลังยึดพระพุทธเจ้าเป็นไอดอลด้านความดีในด้านต่างๆ
“ในบรรดารูปที่วาดผมวาดรูปพระพุทธเจ้าเยอะที่สุดเพราะดันไปเจอหนังสือเล่มนึงที่เกิดก่อนพุทธกาล อ่านแล้วสนุกมาก ซึ่งเป็นเรื่องราวของต้นตระกูลศากยวงศ์ ซึ่งเป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า ยังกะหนังเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แบบกำเนิดวรรณะ กำเนิดพุทธยังไง เมืองของพ่อของแม่พระพุทธเจ้ามาเจอกันยังไง แต่งงานกันยังไง เจอยอดชัยภูมิที่จะตั้งเมืองยังไง ทุกตัวละครมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมากผมก็เลยอยากเขียนเพราะไม่มีคนเคยเขียน มีแต่คนเขียนทศชาติและประวัติพระพุทธเจ้า แต่ช่วงรอยต่อนั้นกลับหายไป ซึ่งมันน่าสนใจมาก ทุกคนเขียนเรื่องที่โดนเล่าซ้ำๆ เป็นร้อยๆ รอบแต่ไม่มีคนเขียนเรื่องนี้”
“เรื่องนี้ผมหาข้อมูล 2 ปี ซื้อหนังสือมาอ่านเต็มบ้านเลย ถึงกับเขียนเป็นแผนที่ขึ้นมาเลยว่าเมืองในสมัยก่อนพุทธกาลอยู่ตรงไหน เสร็จแล้วก็มาร์กจุดไว้เป็นเหมือน GPS เลยครับ เป็นตำนานของทศชาติพ่วงมาถึงปัจจุบันถึงจะเริ่มวาด และผมก็อ่านย้อนไปถึงพระทีปังกรสมัยเป็นศาสดา ผมก็จินตนาการว่าจีวรไม่ใช่สีเหลืองจีวรเป็นสีฟ้า สีเดียวกับโลก สีเดียวกับน้ำเพราะโลกพื้นที่น้ำเปอร์เซ็นต์มันสูงกว่าก็ดีไซน์ออกมา แล้วพระทีปังกรก็มาเจอพระสุเมธดาบส แล้วสุเมธดาบสก็ปฏิบัติบางอย่างที่เป็นการเสียสละนั่นก็คือการยอมให้พระสงฆ์เป็นพันรูปเดินข้ามร่างกายของท่านไปโดนที่ไม่ต้องเหยียบโคลน ผมก็ครีเอทมา และพระทีปังกรก็ทายว่าต่อไปพระสุเมธดาบสจะเป็นพระศาสดาชื่อโคตมะ นั่นก็คือพระพุทธเจ้าของเรา อีกไม่รู้กี่กัปป์ในอนาคต โลกของเราแตกแล้วก็ดับไป ผมก็ดึงตรงนี้มาเล่าช่วงทศชาติ 10 ชาติเป็นภาพนิ่งแล้วประมวลออกมาจนถึงประสูติ”
“ภาพสุดท้ายที่ผมวาดได้คือพระพุทธเจ้าประสูติ แล้วเหมือนผมหมดวาสนารึเปล่าเพราะแรงบันดาลใจมันหมดไปตรงนั้นเลย มีเหตุเต็มไปหมดเลยทั้งละครเข้าจนไม่มีเวลาวาด จนกลับมาวาดไม่ได้อีก เหมือนเขากำหนดให้เราวาดแค่นั้นเพราะพุทธประวัติหลังจากนั้นมีคนวาดเต็มไปหมดแล้ว ผมใช้เวลาเขียนมาเรื่อยๆ ประมาณ 5-6 ปี หลังจากนั้นงานนี้ก็ค้างอยู่ 5-6 ปีเหมือนกันที่อยู่ในสภาพไฟล์ที่ยังไม่ได้ทำอะไร ผมใช้ดินสอวาดแล้วสแกนลงคอมแล้วปรับเส้นแล้วลงสีในคอม ส่วนข้อความเนื้อหาผมกะจะใส่ลงไปทีหลังหลายๆ ภาษา บรรยายเป็นภาษาไทยแล้วมีภาษาญี่ปุ่นข้างล่าง เหมือนเราดูหนังแล้วมีซัพไตเติ้ลด้านล่างและอนาคตอยากทำเป็นภาษาอังกฤษและหลายๆ ภาษาด้วยครับ”
“ตอนแรกผมลืมงานนี้ไปแล้วเพราะมันหลายปีมากมาก แล้วช่อง 3 มีโปรเจกต์อยากทำหนังสือเกี่ยวกับธรรมะผมก็เลยเอาภาพและคุยกันผู้ใหญ่เลยสนใจ เหมือนได้เวลาได้จังหวะที่ดีที่ได้เอากลับมาทำ ผมอยากทำให้ทศชาติเป็นตัวแทนของฮีโร่ในแต่ละด้าน ที่อยากทำเพราะทุกวันนี้เราไหว้พระอยู่เนี่ย แล้วเราแน่ใจมั้ยว่าลูกหลานเราที่เป็นทารกอยู่ตอนนี้ในอนาคตเรายังจะมีชีวิตอยู่สอนเขามั้ย แล้วถ้าสอนเขาจะเชื่อเรามั้ย เพราะเด็กสมัยนี้เชื่อตัวเองมากขึ้น เขามีอาจารย์ชื่อกูเกิล ผมก็เลยอยากทำหนังสือเล่มนี้ให้เขาอ่าน ผมอยากทำให้ศาสนาเป็นไอดอลของเด็ก ทำไมซูเปอร์ฮีโร่ถึงฮิต ทำไมทุกคนรู้จักสไปเดอร์แมน ไอรอนแมน ทำไมเด็กจำว่าคนเหล่านี้เป็นไอดอล แล้วทำไมเราไม่ทำให้พระเป็นไอดอลในด้านของความดี ความฉลาด เป็นไอดอลในด้านดีด้านต่างๆ ถ้าทำให้เด็กรู้สึกแบบนั้นได้เด็กจะรู้สึกว่าใกล้ศาสนามากขึ้น หนังสือเล่มนี้คงเสร็จปลายปีนี้ครับ”
ไม่ใช่แค่วาดรูปพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ยังนับถือท่านเป็นครูของชีวิต
“ผมว่าท่านสูงส่ง น่าศรัทธาและฉลาด 3 อย่างนี้ชัดเจนมาก ฉลาดพอที่เราจะเชื่อได้ สูงส่งพอที่เราจะนับถือได้ 2 สิ่งนี้สูงส่งพอที่จะเป็นครูเราได้และผมไม่มีข้อกังขาในครูคนนี้เลย สามารถกราบไหว้ได้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นหนึ่งเดียวที่ตัดทุกอย่างได้ และก็ไม่มีใครที่จะมีทุกอย่างได้เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านเลยน่านับถือ คำสอนของท่านที่ผมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันคือการมีสติและหลักของการดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเกิดที่สมองคนเราไม่ได้อยู่ที่ใจ หัวใจมีหน้าที่แค่เต้นเพื่อให้สมองทำงาน ถ้าเราใช้สมองจัดการกับความคิดได้มีเหตุมีผล กำจัดเหตุแห่งทุกข์ไปซะเราก็จะไม่ทุกข์ ผมนำหลักคำสอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ ทุกวันนี้ผมมองเรื่องความตายว่าเป็นเรื่องปกติ คนอยู่ลำบาก คนที่ตายก่อนเราเขาสบายนะ เพราะฉะนั้นความตายไม่น่ากลัว ทุกคนเกิดมาเพื่อรอที่จะตายและใช้ชีวิตก่อนที่จะตายยังไง ผมไม่กลัวตายก็ตาย(ยิ้ม) ตอนนี้แค่สร้างรากฐานให้คนที่อยู่ ให้พ่อ-แม่ ทำยังไงให้เขาลำบากน้อยที่สุดในวันที่เราไม่อยู่แล้วเท่านั้นเอง”
ความคิดขัดแย้ง ยกย่องพระพุทธเจ้าเป็นครูชื่นชมว่าเป็นไอดอลแต่กลับไม่เชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเรื่องบุญ-กรรม ลั่นไม่เชื่อว่าบุญ-กรรมมีจริง ทั้งยังไม่ชอบทำกิจกรรมบุญใดๆ เกี่ยวกับวัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าไปก็เพราะคนอื่นชวนถ้าให้ไปเองไม่ไป
“เด็กๆ ผมเป็นเด็กหลังห้อง พวกวิชาการผมจะไม่ชอบและไม่เชื่อในตัวอาจารย์ ตอนอยู่ชั้นประถมผมไปอ่านเจอคำสอนของพระพุทธเจ้าคำนึงว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นครู ทำให้ผมดูก่อนว่าถ้าเขาน่าเชื่อถือผมถึงจะเชื่อ เราก็จะเถียงจนกว่าจะได้บทสรุปที่ถูกต้อง ผมไม่สวดมนต์ ผมไม่สนใจเรื่องทำบุญมากเพราะผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเกี่ยวกับความประพฤติของคน อย่างเช่น ถ้าสมติว่าวันเกิดเราไปทำบุญใส่บาตรให้ตัวเอง สู้เรานัดพ่อ-แม่-ยายมากินข้าวแล้วเอาเงินให้เขาใช้ดีกว่ามั้ย อันนี้คือบุญสูงสุด ซึ่งผมมองว่าคนเราอ้อนวอนขอเบื้องบนเกินไป”
“ผมไปเข้าวัดทำบุญบ้าง แต่ไปเพราะเขาทำกัน ไปเพราะเขาชวน แต่ถ้าให้ไปเองไม่ไป(ยิ้ม) แต่ไม่ได้มีอคติกับวัดนะครับเพียงแต่ผมไม่ได้ศรัทธาในกิจกรรมบุญเพราะกิจกรรมบุญสร้างโดยกรรมการวัด ถูกสร้างโดยพระรุ่นหลัง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่ชุมชนจะมีอะไรยึดเหนี่ยว สิ่งที่ได้คือวัด เงินเอาไปใช้ในวัด พระสงฆ์ให้ญาติ มันเป็นเรื่องปกติ พระดีๆ ก็มีพระไม่ดีก็มี ผมก็เคยไปร้องเพลงให้วัดบ้างเป็นการไปสร้างความบันเทิงนี่คือสิ่งที่เราทำได้ แต่ผมจะไม่แบบว่าเอาเงินหลายแสนไปถวายวัด เราเอามาให้พระในบ้านดีกว่า และเราใช้ศิลปะที่เรามีเพื่อวัดดีกว่าเพราะผมว่าใครก็ให้เงินวัดได้ อย่างสิ่งที่ผมวาดมันก็คือการทำเพื่อศาสนาอย่างนึง บุญได้รึเปล่าไม่รู้แต่ประโยชน์มันได้ต่อคน”
“ผมเชื่อว่าบุญกับกรรมไม่มีจริง มันเป็นนามธรรม ทุกอย่างเกิดจากการกระทำกับความบังเอิญ บางคนทำดีมาชั่วชีวิตแต่บังเอิญซวยก็ไม่มีความสุข ทหารชายแดนเป็นคนดีมากทำไมโดนระเบิดแล้วตาย บางคนต้องพิการทั้งที่เขาเป็นคนดี โลกเรามันถูกเล่นกับความบังเอิญกับโชคชะตา มันไม่ใช่เรื่องทำบุญ ทำดีแล้วคุณจะมีความสุขชั่วชีวิตหรือร่ำรวย คนชั่วรวยเยอะๆ ก็มี เขาก็มักจะโทษกรรมเก่า จริงๆ กรรมเก่าก็คือความบังเอิญกับความประมาท โลกมีอยู่แค่นี้ครับ มันเป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นมาให้คนเชื่อ เหมือนเขาขีดเส้นใต้ว่าทำแบบนี้ได้บุญ ได้บุญแล้วดีมีความสุข รุ่งเรือง แต่ทำแบบนนี้มันเป็นกรรมมันไม่ดีมันคือความทุกข์”
“มันเป็นกุศโลบายที่ชี้ให้เห็นเหมือนตอนเรียนหนังสือ อย่างมีสีแดง สีขาว สีเหลือง สีดำ แต่ถ้าไม่มีคนชี้แบบนี้ทุกอย่างมันก็คือความบังเอิญ เพราะฉะนั้นเราแค่ยึดมั่นในเป้าหมายของเราว่าเราทำเพื่ออะไรก็พอแล้วชีวิต (มันดูขัดแย้งเพราะเราศรัทธาในพุทธเจ้า แม้กระทั่งวาดรูปเราก็วาดพระพุทธเจ้า แต่ความเชื่อเรื่องบุญ-กรรมเรากลับไม่เชื่อว่ามีจริง?) เราไม่เชื่อได้เพราะท่านบอกว่าไม่ต้องเชื่อ(หัวเราะ) ท่านสอนเองว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะว่าได้ยินมาหรือว่าเขาเป็นครู เราไม่เชื่อได้ครับ แต่เราจะทำความดีมั้ย ผมก็เลือกที่จะทำความดี แต่เราไม่ได้ทำเพราะได้บุญ แบบไปเข้าวัดมาได้บุญรับบุญด้วย บุญมันส่งกันได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ ผมไม่ได้เข้าวัดแล้วคุณมาส่งบุญให้ผม แล้วคุณเอาบุญที่ไหนไว้ใช้ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
“คนเรามันมีพฤติกรรมที่ติดปากจนไม่มีเหตุผล อย่าง อนุโมทนารับบุญด้วยนะ ไปทำบุญเอาบุญมาฝาก คุณมีบุญเยอะขนาดที่จะเอาบุญมาฝากเลยเหรอ แล้วมันอยู่ไหนล่ะ มันไม่มี่หรอก มันคือความปรารถนาดีให้กันเท่านั้นเอง มันคำเดียวกันกับเวลาที่เขาเป็นห่วงเราแล้วเขาบอกดูแลตัวเองนะ แต่เราไม่ได้บุญแต่ได้ความรู้สึกที่ดีกับเขา พอคนเราไม่ได้แปลความหมายมันก็กลายเป็นงมงาย สาธุไปอยู่นั่นน่ะ มันไม่ได้อะไรหรอก แต่มันแค่เหมือนการรับไหว้ครับ ผมจะเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าหลักศาสนา แต่ศาสนาก็คือวิทยาศาสตร์อย่างนึงที่ถูกเขียนไว้อย่างดีด้วยศาสดาที่ฉลาดมาก ผมเชื่อเรื่องจิตวิญญาณความคิดมากกกว่าเรื่องบุญ-กรรม”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |