xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 2

ปวรรุจเดินมาตามทางเดินในกระทรวงจะกลับมาที่โต๊ะทำงานในห้อง แต่ยังครุ่นคิดเรื่องที่ได้พบวรรณรสาโดยบังเอิญ แม้จะเห็นกันเพียงด้านหลัง ระหว่างนั้นแขสวนมาพอดี

“คุณแขครับ เมื่อกี้ใช่ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์รึเปล่า”
“ใช่ค่ะ คุณชายรู้จักด้วยหรือคะ”
“ครับ แต่นานมาแล้ว ตอนนี้ท่านหญิงยังประทับอยู่ไหม”
“อ้อ เด็จออกไปพร้อมท่านชายทัศน์แล้วล่ะค่ะ”
ปวรรุจเสียดายที่ไม่ได้เจอตัว พยักหน้า
“เอ้อ สมที่เขาร่ำลือกันจริงๆ ท่านชายทัศน์เนี่ย” เลขาหน้าห้องพูดขึ้นมาลอยๆ
“ทำไมเหรอครับ”
“เรื่องความเจ้าชู้ประตูดินของท่านน่ะซีคะ เด็จไปอยู่สวิตเกือบสี่ปี ใกล้จะหมดโพสแล้ว เด็จกลับมาแค่วันสองวัน ยังนัดขาเก่ามาเฟลิร์ตกันที่ออฟฟิซจนได้”
ปวรรุจสลดใจเพราะเห็นกับตาตัวเอง
“เออ...ท่านหญิงรสาทรงทราบเรื่องนี้รึเปล่า”
“ไม่ทรงทราบหรอกค่ะ เมื่อกี้ถึงได้ไล่แม่นั่นออกมาทางห้องหนังสืออย่างที่คุณชายเห็น น่าสงสารท่านหญิงนะคะ”
ปวรรุจสลดใจกว่าเดิม

ปวรรุจลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เด็กเดินจดหมายวางจดหมายปึกหนึ่งลงที่โต๊ะ ปวรรุจรับมาตรวจดู
จดหมายของปกรณ์จากสวิตอยู่ด้วย ชายรุจเปิดอ่านทันที ราวกับมีเสียงปกรณ์มาอ่านข้างๆหู
“สวัสดีว่ะเพื่อน

ปกรณ์เขียนจดหมายฉบับนี้อยู่หน้าร้านอาหารไทยของตัวเองในสวิต ท่ามกลางบรรยากาศ
สดใสของฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ใบไม้เบ่งบานสวยสะพรั่ง
“ฉันเขียนมาหาแก จะถามว่าแกจะมาที่เบิร์นวันไหน เวลาใด และหมายกำหนดการของแกเป็นอย่างไร ฉันจะได้วางแผนต้อนรับแกได้ถูก อีกเรื่องที่ฉันจะต้องรายงานให้แกทราบ คือเรื่อง คุณวาดดาว”
อ่านถึงตรงนี้ปวรรุจ ขมวดคิ้วสีหน้าฉงน ก่อนจะอ่านต่อ
“แกคงยังไม่ทราบว่าคุณวาดดาวจะแต่งงาน แกคงเดาไม่ถูกแน่ๆ เพราะเธอแต่งกับอดีตกงสุลกิตติมศักดิ์ของประเทศไทย ประจำซูริคชื่อ มิสเตอร์ฟิลลิป
คราวนี้ปวรรุจ สีหน้าสลดไปในทันที อ่านต่ออีก
“อายุแก่กว่าเธอหลายปี แต่รวยมาก เห็นว่าเธอกลับไปเมืองไทยเพื่อเตรียมตัวมาอยู่สวิตถาวรเลย แกก็ทำใจได้แล้วละนะ เท่านี้ละ รอวันที่แกจะมาสวิต รักว่ะ ปกรณ์”
ปวรรุจพิงกับพนักเก้าอี้ ความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นริ้วๆ สิ่งที่พุฒิภัทรพูดทั้งหมดเป็นความจริง

วันรุ่งขึ้นปวรรุจยืนนิ่งงันอยู่ในห้องใต้โดม ทอดสายตามองออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ระหว่างนั้นธราธรและพุฒิภัทรเดินเข้ามาในห้อง
“ชายรุจ” ธราธรทัก
ปวรรุจหันมาหาทั้งสอง สีหน้าไร้ความรู้สึก
“นายสั่งแจ๋วให้ไปเรียกเราสองคนมาเหรอ” ธราธรว่า
“ครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
ธราธรบอก “ว่ามา”
ปวรรุจหันมาทางพุฒิภัทร “ชายภัทร ที่นายสันนิษฐานเรื่องวาดดาวเป็นเรื่องจริงทั้งหมด วาดดาวกำลังจะแต่งงาน”
พุฒิภัทรถามอย่างสงบ “กับใคร”
“กับอดีตกงสุล ชื่อฟิลลิป เป็นคนสวิต แก่กว่าเธอหลายปี”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ปกรณ์เขียนจดหมายมาบอกจากสวิต”
ปวรรุจส่งจดหมายให้ชายใหญ่และชายภัทรอ่าน พูดสำทับ
“อย่างที่คิดไม่มีผิด ร่ำรวยมากเสียด้วย”
“นายจะเอายังไงต่อ”
ปวรรุจยิ้มอย่างเจ็บปวด “ทำใจ พยายามลืมเรื่องทั้งหมดแล้วก็หลบมาเลียแผลตัวเองจนกว่าจะหายดี”
พูดจบปวรรุจยิ้มเศร้าๆ พุฒิภัทรเดินเข้ามาหา ปวรรุจมองอย่างแปลกใจ พุฒิภัทรจับไหล่ปวรรุจไว้แน่นแล้วพูดด้วยเสียงจริงจัง
“รุจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายจะทำใจแล้วหลบมาเลียแผล นายเจ็บปวดกับความผิดหวังนี้มานานนับปีแล้ว นายต้องเอาคืน”
ปวรรุจชะงัก ฉงน “เอาคืน ยังไง”
“ไปหาวาดดาวเดี๋ยวนี้ ถามเจ้าหล่อนให้รู้เรื่องเรื่องที่หล่อนหลอกนาย ให้เธอสารภาพออกมาให้หมดเปลือก ว่าหล่อนไม่เคยรักนายแม้แต่นิด”
ธราธรตกใจระคนแปลกใจ “ชายภัทร นายจะให้ชายรุจทำไปเพื่ออะไร”
“เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรีและการยอมรับนับถือตัวเองของชายรุจน่ะซีครับ ถ้านายเอาแต่หลบอยู่ไม่ยอมเผชิญหน้า นายก็จะลงโทษตัวเองไปตลอดนายต้องการอย่างนั้นหรือ”
ปวรรุจเงียบงันไป
“ไป ไปกับฉันเดี๋ยวนี้” พุฒิภัทรคะยั้นคะยอ
“ชายภัทร ฉันไม่คิดว่า...” ปวรรุจอิดออด
“ชายรุจ ไปเถอะ พี่ว่าชายภัทรพูดถูกเรื่องนี้”

ปวรรุจมองหน้าธราธร แล้วกลับไปมองพุฒิภัทรที่สีหน้าเอาจริงเอาจังมาก

ด้านวรรณรสาและสองสาวแฝดเพื่อนซี้นั่งทานของว่างอยู่ในภัตตาคารหรูแถวราชวงศ์ ท่านชายภาณุทัศนัยนั่งเคียงข้าง เอื้อยและอ้ายมองทั้งคู่ที่ดูเหมาะสมอย่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะความสง่าหล่อเหลาของชายทัศน์

“สาวๆ ทานกันน้อยจัง” ภาณุทัศนัยเอ่ยเย้า
“หนูอ้าย หนูเอื้อยคงเขินพี่ชายน่ะค่ะ” วรรณรสาว่าพลางยิ้มๆ
สาวคู่แฝดก้มหน้าหัวเราะ ยิ่งเขินใหญ่
“เขินอะไรผม”
“ก็...เราได้เจอองค์จริงท่านชายวันนี้นี่เองเพคะ” อ้ายบอก
“ทรงหล่อเหลากว่าในรูปตั้งเยอะ” เอื้อยว่า
“แหม...ชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ ผมเองกลายเป็นฝ่ายเขินแทน”
ทั้งหมดหัวเราะพร้อมกัน วรรณรสาส่งสัญญาณให้อ้าย ซึ่งอ้ายรับรู้ทันที
“เออ...หนูเอื้อยไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหนูอ้ายหน่อยเถอะ”
“ได้ซี ขอตัวก่อนเพคะ”
สองสาวแฝดลุกเดินออกไป
“เมื่อคืนพี่ชายเด็จไปไหนเหรอคะ หญิงรอนัดพี่ชายอยู่”
“เอ...เมื่อวานเรานัดกันเหรอคะ”
วรรณรสาน้อยใจนิดๆ ทวนความจำให้ “ไม่ได้นัดเป็นกิจจะลักษณะหรอกค่ะ แต่พี่ชายทัศน์รับสั่งเปรยๆ ว่าจะพาไปทานมื้อค่ำและฟังเพลง”
“งั้นพี่ก็ต้องขอโทษ พี่ติดธุระน่ะ ลืมโทร.ไปทูล กลับมาคราวนี้ช่วงสั้นเต็มทีงานล้นมือไปหมด” ภาณุทัศนัยเอางานมาอ้าง
“แล้วเราจะมีเวลาเหลือเหรอคะ พรุ่งนี้พี่ชายทัศน์จะเด็จกลับสวิตแล้ว”
“เอาอย่างนี้เพื่อเป็นการแก้ตัว คืนนี้พี่จะไปรับหญิงไปดินเนอร์กัน”
วรรณรสาดีใจ “จริงนะคะ ที่ไหนดี”
“อุบไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะบอกเมื่อไปถึง หญิงแต้วไม่ต้องทรงห่วง พี่ใกล้จะหมดโพสแล้ว เมื่อกลับมาเมืองไทยพี่จะชดเชยเวลาทั้งหมดให้กับหญิงแต้วของพี่”
“ค่ะ”
ภาณุทัศนัยจับมือของวรรณรสาขึ้นจุมพิตเบาๆ ท่านหญิงรสาหน้าแดง อายม้วน รีบดึงมือกลับ
“พี่ชายทัศน์ อะไรก็ไม่รู้ โต๊ะอื่นมองมากันหมดแล้ว”
“เขาอิจฉาเราสองคนไง” ภาณุทัศนัยพูดตาหวานซึ้ง
วรรณรสายิ่งอาย

ขณะเดียวกันรถธราธรแล่นมาจอดหน้าบ้านวาดดาว ที่อยู่ในซอยร่มรื่น เป็นบ้านเก่าแต่ดูอบอุ่น และแสดงฐานะผู้มีอันจะกิน
สามหนุ่มลงจากรถ ตามด้วยถนอมคนรถ ที่รีบเดินมาที่หน้าประตูรั้ว ตะโกนเข้าไปในบ้าน
“มีใครอยู่บ้างไหมครับ”
สักครู่หนึ่งส้มเดินออกมาจากตัวเรือน ตรงมาที่รั้วหน้าบ้าน
“มาพบใครคะ”
ครั้นเมื่อมองไปหลังถนอมส้มต้องเป็นอึ้งเมื่อเห็นสามหนุ่มจุฑาเทพ

ธราธรและพุฒิภัทรนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ปวรรุจยืนสำรวจรูปภาพที่ติดฝาผนัง และที่ชั้นวาง เห็นกรอบรูปของตนกับวาดดาวถ่ายด้วยกันสมัยยังเรียนอยู่ที่อังกฤษ และภาพที่ถ่ายที่วังจุฑาเทพเมื่อปีกว่ามาแล้ว สองสามรูป ปวรรุจยิ่งเจ็บแปลบเมื่อเห็นว่าวาดดาวยังเก็บรูปของเขาไว้ ส้มออกมาพร้อมเสิร์ฟน้ำ
“ที่คุณจะมาพบแม่วาดน่ะ คงให้พบไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ” พุฒิภัทรสงสัย
“แม่วาดเค้าไม่อยู่”
“ไปไหนครับ อย่าบอกนะครับว่าเดินทางไปต่างประเทศแล้ว เอ...หรือที่จริงไม่ได้ไปไหน แต่หลบหน้าชายรุจ”
ส้มมองชายภัทรอย่างไม่พอใจนัก บอกด้วยน้ำเสียงห้วน ประชดอยู่ในที
“ยังไม่ได้ไปต่างประเทศหรอกค่ะ แต่อีกสองวันก็จะเดินทางแล้ว ตอนนี้เขาไปลาญาติๆ เขาที่ศรีราชา อยากตามไปไหมละคะ ฉันจะได้ให้ที่อยู่ไว้”
“ไม่เป็นไรครับคุณป้า” ธราธรว่า
“เมื่อคุณวาดดาวกลับมากรุงเทพฯ เราก็อยากพบเธออยู่ดี ป้าช่วยส่งข่าวให้เราหน่อยได้ไหม”
ส้มชักสีหน้า “เอ๊ะ...มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน อีกอย่างอยากจะพบเขาน่ะ เจ้าตัวเขาอยากพบด้วยไหม”
เมื่อไม่ให้เกียรติ พุฒิภัทรก็ไม่ไว้หน้า “ผมไม่สนหรอกว่าคุณวาดดาวเขาอยากพบหรือไม่พบ แต่เราต้องการความจริงจากปากคุณวาดดาว”
“ความจริงอะไร” หญิงสูงวัยย้อนถาม
“ก็ความจริงเรื่องที่คุณวาดดาวมาหลอกชายรุจน่ะซีครับ หว่านเสน่ห์มาตั้งแต่สมัยเรียน พอไปเจอเจ้าเศรษฐีแก่นั่น ก็ทิ้งชายรุจอย่างไม่มีเยื่อใย อำมหิตที่สุด ผู้หญิงคนนี้” พุฒิภัทรพูดสิ่งที่ปวรรุจไม่มีวันกล้าพูด
ส้มโกรธขึ้นมาทันที “นี่...อย่ามาลำเลิกหลานฉันนะ ฉันเลี้ยงของฉันมา แม่วาดไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้ามาเพื่อจะมาด่าหลานฉัน เชิญกลับไปได้เลย”
พุฒิภัทรทำท่าจะเถียงต่อ ธราธรรีบห้าม
“ชายภัทรพอแล้ว กลับเถอะ ขอโทษนะครับคุณป้า”
ธราธรดึงพุฒิภัทรออกไป ชายรุจหันมามองป้าส้ม
“บอกวาดดาวด้วยนะครับว่า ขอให้เธอมีความสุขกับการแต่งงาน”
ส้มพูดเชิดๆ “หลานฉันมีความสุขอยู่แล้วละ อ้อ แล้วเข้าใจเสียใหม่นะ ที่เขาเลิกกับคุณน่ะ มันก่อนที่เขาจะเจอมิสเตอร์ฟิลลิปตั้งเกือบปี”
ปวรรุจนิ่งงันไป
“อ้าว...ยืนเซื่องอยู่ทำไมคุณชาย กลับไปได้แล้ว” ส้มไล่อย่างไม่รักษามารยาท

ปวรรุจหน้าชา เดินออกมาจากบ้านด้วยอาการงุนงง

ตกตอนเย็น วรรณรสานั่งคุยกับพระองค์ฉัตรอรุณในห้องนั่งเล่น ท่านหญิงรสาแต่งตัวสวยงามเฉิดฉาย เตรียมไปดินเนอร์ แลเห็นหนุ่ม มหาดเล็กและบัวคอยรับใช้อยู่หน้าห้องตามปรกติ

“เป็นไงลูก วันนี้เด็จไปไหนกับชายทัศน์บ้าง” ฉัตรอรุณเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี
“พี่ชายพาไปทานข้าวกลางวันที่แถวราชวงศ์กับหนูอ้าย หนูเอื้อยค่ะ”
“แล้วคืนนี้ล่ะ”
“พี่ชายยังอุบไว้ก่อนค่ะ เป็นความลับ”
“ชายทัศน์จะมารับกี่ทุ่ม”
“หนึ่งทุ่มค่ะเด็จพ่อ”
โทรศัพท์ในห้องดังขึ้นพอดี นายหนุ่มมหาดเล็กเข้ามารับสายทันที
หนุ่มรับสาย “วังอรุณรัศมิ์ขอรับ ไม่ทราบใครเรียนสาย อ้อ ประทานอภัยกระหม่อม” หนุ่มหันมาทางวรรณรสา “ท่านหญิง สายจากท่านชายทัศน์กระหม่อม”
วรรณรสาตรงมารับสาย หนุ่มแยกตัวออกไป
“ค่ะ พี่ชาย”

ภายห้องแต่งตัวของภาณุทัศนัย ในวังศุภกิจ ชายทัศน์กำลังพูดสาย โดยมีคนรับใช้ชายกำลังแต่งตัวให้ ใส่สูทอย่างดีพร้อมออกงานกลางคืน
“หญิงแต้ว พี่ชายเอง”
“ค่ะ”
“ต้องขอโทษจริงๆ คืนนี้พี่ไม่สามารถไปกับน้องหญิงได้”
วรรณรสาหน้าสลดลง “ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้น”
“เด็จป้าประชวรค่ะ หมอบอกว่าความดันพระโลหิตขึ้นสูง” ภาณุทัศนัยบอกเสียงเรียบ
“ตายจริง ให้หญิงไปเฝ้าไหมคะ” วรรณรสาตกใจ
“ไม่รบกวนหญิงหรอก พักผ่อนเถอะค่ะ ขอบทัยหญิงแต้วมาก พี่ขอตัวก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ก่อนเดินทางพี่จะโทร.หา”
“ค่ะ”
วรรณรสาวางสาย สีหน้าสลดไปอีก ฉัตรอรุณมองมาอย่างใคร่รู้
ด้านภาณุทัศนัยแต่งตัวต่อ คนรับใช้เตรียมหยิบสูทให้ ชายทัศน์ใส่แล้วมองตัวเองในกระจกยิ้มอย่างภาคภูมิในความสง่างามของตนเอง

ครู่ต่อมาภาณุทัศนัยลงจากบันไดมา ร่างอรชรแต่งตัวสีสันจัดจ้านยืนรออยู่ หันมาทันที คือสายสมรนั่นเอง ใส่สร้อยมุกที่ได้จากท่านชายเมื่อวานด้วย
“ท่านชายขา...ทำไมเด็จลงลงมาช้าจัง”
สายสมรเดินเข้ามาคลอเคลียภาณุทัศนัย
“ฉันเป็นใครล่ะ ฉันคือหม่อมเจ้าภาณุทัศนัย ศุภกิจ ทุกคนต้องรอฉันทั้งนั้น”
สายสมรค้อนขวับแล้วฉายยิ้มออกมา
“ค่ะ รอจนตายสมรก็ยอม”
“ตายแน่ เพราะวันนี้เราต้องสนุกจนลืมตัวลืมตายกันเลยละ ฉันจะทิ้งทวนคืนสุดท้ายของพระนครคืนนี้ และเผื่อไว้ทิ้งความเป็นโสดของฉันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า”
“งั้นคืนนี้สมรจะทำให้ท่านชาย ทรงมีความสุขอย่างที่ท่านชายไม่มีวันลืมเลยค่ะ”
ทั้งสองหัวเราะออกจากวังไป ที่แท้ภาณุทัศนัยพูดเท็จกับวรรณรสาทั้งหมด

ค่ำคืนนั้นปวรรุจนั่งขรึมอยู่ลำพังในวงปาร์ตี้ที่วังจุฑาเทพ ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์และรณพีร์นั่งดริงค์กันอยู่มุมหนึ่ง บรรยาศดูเงียบๆ อึดอัดพิกล
ทั้งสี่คุณชายชำเลืองมองมาที่ปวรรุจ จังหวะที่ปวรรุจเหลือบมองมาพอดี ทั้งสี่เหลียวขวับ รีบแสร้งทำกิจกรรมส่วนตัวกันไป ปวรรุจถอนใจลุกขึ้น
“พี่ชายใหญ่ ถ้าผมทำให้บรรยากาศคืนนี้มันอึดอัดนัก ผมขอตัวไปนอนก่อนก็แล้วกัน”
“อะไรกันพี่ชายรุจ อึดอัดอะไรกัน เรากำลังเพลินอยู่กับ…เออ...”
รัชชานนท์ดันนึกไม่ออก กระทุ้งสีข้างรณพีร์ให้ช่วย
“ข่าวในหนังสือนี่ไงครับ คืนนี้มีลีลาศเด็ด เต้นบอลล์รูมประกวดที่มิวสิคฮอลล์ น่าสนใจนะครับ”
“ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนพี่ พี่ไม่เป็นไรหรอก”
ปวรรุจตบไหล่น้องชายทั้งสอง พลางหันมาทางธราธรและพุฒิภัทร
“ขอตัวนะครับ”
ปวรรุจจะเดินออกไปแล้ว พุฒิภัทรโพล่งขึ้น
“แน่ใจเหรอชายรุจว่านายจะนอนหลับ”
ปวรรุจหันมามอง เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“กว่าจะหลับก็คงรุ่งสาง เพราะมัวแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องแม่วาดดาว” พุฒิภัทรว่า
“นายกำลังจะบอกให้ฉันใช้ยานอนหลับของนายงั้นใช่ไหม”
“ใครบอก ฉันกำลังแนะนำให้นายไปออกกำลัง ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยต่างหาก”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ว่าพุฒิภัทรกำลังพูดเรื่องอะไร
“ชายภัทร พูดให้ได้ใจความหน่อย นายกำลังพูดอะไร” ธราธรถามแทนทุกคน
“ก็ที่ชายพีร์บอกไงครับ มีเต้นบอลล์รูมประกวดที่มิวสิคฮอลล์ นายควรจะไปนะชายเล็ก ชายพีร์จัดการพาชายรุจไปที”

คำพูดของพุฒภัทรทำเอาพี่น้องทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน
 

พริบตานั้นเอง ธราธร รัชชานนท์ และรณพีร์ หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“พี่ชายภัทรพูดจริงเหรอครับเนี่ย” รัชชานนท์ไม่อยากเชื่อ
เช่นเดียวกับรณพีร์ “ไม่ได้ยินจากปาก จะไม่เชื่อหูตัวเองเลยนะครับ”
“ชายภัทร พูดให้ได้ใจความหน่อย นายกำลังพูดอะไร” ธราธรงง
“เดี๋ยว เดี๋ยว ฉันไม่ใช่เด็กหกขวบนะ ถึงมาตัดสินใจแทนฉันได้ ถามกันสักคำไหมว่าฉันอยากไปรึเปล่า”
“นั่นซีครับอยากไปรึเปล่า” รณพีร์เหลียวไปทางปวรรุจ
ปวรรุจทำหน้าเบื่อหน่าย
“ไม่”
รัชชานนท์ รณพีร์ ทำหน้าผิดหวัง
“ฉันจะไม่ไปเด็ดขาด ถ้านายไม่ไปด้วย ชายภัทร” ปวรรุจเอ่ยขึ้นพลางยิ้มร่า
พุฒิภัทรอึ้ง ธราธร รัชชานนท์ รณพีร์ หัวเราะลั่น กระโดดเข้ามาหาพุฒิภัทร
“งั้นปฏิเสธไม่ได้แล้ว ต้องไปนะครับ” รัชชานนท์ยิ้มร่า
พุฒิภัทรทำหน้าขรึมได้หน่อยเดียว ก็ยิ้มร่า
“ตกลง ไปก็ไป”
“เฮ...ไปทั้งห้าสิงห์จุฑาเทพ คืนนี้ต้องสุดเหวี่ยงแน่ๆ” รัชชานนท์ว่า
รณพีร์ต่อ “คืนนี้คือคืนของเรา เฮ”
ทั้งห้าคุณชายกอดคอกัน แล้วก้าวออกจากห้องใต้โดมไป

ไม่นานหลังจากนั้น มีเสียงรถขับแล่นออกไปจากวังดังขึ้น ย่าอ่อนวิ่งออกมาดูหน้าเรือนใหญ่ ตามมาด้วยแจ๋ว สมศรีและป้าสายวิ่งมาจากเรือนครัว เห็นรถแล่นออกจากบ้าน ถนอมเป็นคนขับ

หนุ่มๆ ทั้งหมดในรถเฮกันสนุกสนาน โดยเฉพาะรัชชานนท์และรณพีร์นั้นตะโกนลั่นอย่างฮึกเหิม
“ว้าย...เอะอะลั่นบ้าน อย่างกับ...เจ๊กปราศรัย” ย่าอ่อนมองตาม
แจ๋วท้วง “เหมือนไทยตีกันค่ะ”
“ไม่ต้องสอดนังแจ๋ว นี่ยกโขยงกันไปไหนล่ะเนี่ย”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” สมศรีบอก
“อ้าว ผัวหล่อนขับรถให้คุณชาย ทำไมหล่อนไม่ทราบ” ย่าอ่อนหงุดหงิด
“อยู่แต่ในครัว เลยไม่ทราบเจ้าค่ะ” สมศรีว่า
“เมื่อกี้ได้ยินว่าคุณชายทั้งห้าไปเที่ยวเต้นรำกันน่ะค่ะ” สายบอก
ย่าอ่อนถึงกับอุทาน “หา...เต้นรำ คนอื่นฉันไม่ข้องใจหรอก แต่ชายภัทรน่ะนะ ไปเต้นรำ”
“อิชั้น ได้ยินถนอมมันพูดอย่างนั้นจริงๆ” สายย้ำ
“อะไรกัน พิลึก นี่....แล้วเมื่อบ่ายน่ะ เห็นชายใหญ่พากันออกไปไหนกับชายรุจ ชายภัทร”
“อันนี้ทราบค่ะ พี่หนอมบอกว่าไปบ้านคุณวาดดาว”
ย่าอ่อนอุทานลั่น “ตาเถรตกใต้ถุน”
แจ๋วอุทานตาม “ตาฉุนตกท้องร่อง”
“อะไรนะ ไปบ้านแม่วาดดาว”
ย่าอ่อนหน้าถมึงทึง บรรดาสาวใช้หลบตาวูบ

ไม่น่าต่อมา ย่าอ่อนอยู่ในห้องโถงชั้นล่างตึกใหญ่ กำลังพูดสายกับเทวพันธ์ สุ้มเสียงเครียดมาก มีแจ๋วคอยฟังอยู่ข้าง ๆ
“ไม่ได้การแล้วคุณชายเทวพันธ์ ตอนนี้ชายรุจบุกไปหายายวาดดาวแล้ว เกิดตกลงปลงใจขึ้นมา อกแตกกันพอดี แล้วตอนนี้หม่อมหลวงกระถางของคุณชายมารึยัง”
เทวพันธ์พูดสายอยู่ในห้องทำงานของวังเทวพรหม
“กระถินครับ”
“อ้อ กระถิน”
“ข่าวดีครับคุณป้า เกษราพาขึ้นมาจากพังงาแล้วครับ”
“แล้วจะมาถึงเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้เลยครับ ถือโอกาสเชิญคุณป้ามาดูตัวได้เลย”
“โล่งอก แล้วหน้าตาสะสวยอย่างที่คุณบอกสรรพคุณไว้รึเปล่า”
“ยายเกษโทรเลขมาบอก กำลังแตกเนื้อสาว น่ารักน่าชังเชียวละครับคุณป้า”
ย่าอ่อนหัวเราะชอบใจ “แหม....อยากเห็นจริงๆ แล้วพรุ่งนี้สายๆ จะพาชายรุจไปดูตัวนะ”
“ได้ครับคุณป้า”
“เท่านี้ละ”
ย่าอ่อนวางสาย
“เฮ้อ...แต่ถึงจะไม่สวยไปสักนิด แต่ก็สมกับเจ้ารุจมันแล้วละ หญิงชาวเลกับชายก้นครัว ครึ่งหงส์ครึ่งกา ก็สมกันอยู่”

หญิงชรายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับบทบาทแม่สื่อของตัวเอง

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ทางด้านวรรณรสาทานอาหารค่ำกับพระองค์ฉัตรอรุณในห้องเสวยอย่างเหงาหงอย บัว นมแจ่ม และหนุ่ม คอยปรนนิบัติ

“เอ...เสด็จประชวรงั้นเหรอ” ฉัตรอรุณพึมพำ
“ค่ะ...เด็จพ่อเพคะ พี่ชายทัศน์จะเด็จกลับสวิตคืนพรุ่งนี้แล้ว” วรรณรสาเอ่ยขึ้น
“ก็รู้อยู่แล้วนี่ลูก ถามทำไม” ฉัตรอรุณฉงน
“พี่ชายทัศน์กลับมาเมืองไทยระยะสั้นเหลือเกิน สั้นจนหญิงยังไม่มีโอกาสรู้จักพี่ชายสักเท่าไหร่เลย หญิงอยากมีเวลากับพี่ชายมากกว่านี้”
“ลูกกำลังจะบอกอะไรพ่อเหรอ”
“ถ้า...หญิงจะตามพี่ชายทัศน์ไปที่สวิตด้วยล่ะคะ”
ฉัตรอรุณฉุน วางช้อนทันที “หืมม์ อะไรนะ”
“อย่าเพิ่งกริ้วหญิงนะเพคะ หญิงอยากตามไปสวิต ไม่ใช่แค่ได้อยู่ใกล้ชิดและทำความรู้จักพี่ชายทัศน์มากขึ้นเท่านั้น หญิงยังอยากเรียนรู้งานเลขาทูตเอกของพี่ชายด้วย เพื่อ....ต่อไปหญิงจะได้เตรียมตัวเป็น เออ...” วรรณรสาอาย “ภริยาท่านทูตในอนาคต”
ฉัตรอรุณยิ้มอย่างเข้าใจ
“เหตุผลของเราฟังขึ้น”
“เด็จพ่ออนุญาตหญิงนะคะ”
วรรณรสาดีใจนัก ลุกมากอดบิดาแน่น จนฉัตรอรุณหัวเราะร่า บัว นมแจ่ม และหนุ่มอมยิ้มกัน
“ยัง ยัง อย่าเพิ่งดีใจไป บอกมาก่อนว่าเราจะเด็จตามไปยังไง ไปพร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคงซื้อตั๋วเรือบินไม่ทัน”
“หญิงจะตามไปค่ะ”
“ตามไป....เมื่อไหร่”
“ทันทีที่หญิงพร้อม”
“จะบอกชายทัศน์เลยไหม”
วรรณรสาคิดแผน “ยังค่ะ หญิงจะโทรเลขไปบอกพี่ชายเมื่อพี่ชายเด็จไปถึงสวิตแล้ว จากนั้นหญิงค่อยตามไป”
“ทำไมต้องอย่างนั้น” ฉัตรอรุณแปลกใจ
“ให้พี่ชายแปลกใจเล่นไงคะ หญิงไม่กล้าทูลพี่ชายตอนนี้ กลัวพี่ชายไม่โปรด”
วรรณรสาอมยิ้ม ส่งสายตาออดอ้อน
“เอาละ เข้าใจ แต่มีข้อแม้”
“คะ”
“เราจะเดินทางลำพังไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตามไปด้วย บัว เราจะตามเสด็จหญิงแต้วไปไหม ได้โอกาสไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาเชียวนะ” ฉัตรอรุณหันไปทางบ่าว
“อุ๊ย...หม่อมฉันขอสละโอกาสละเพคะ กลัวทั้งเรือบิน กลัวทั้งหิมะ กลัวทั้งฝรั่งตัวโต”
ฉัตรอรุณละสายตามองมาทางนมแจ่ม
“อย่าทอดเนตรมาที่หม่อมฉันซีเพคะ โธ่ หม่อมฉันแก่ปูนนี้แล้ว อย่าว่าแต่เรือบินเลย แค่เรือหางยาวในคลองขึ้นทีลงทียังยักแย่ยักยัน”
ทุกคนหัวเราะสนุกกันไป
“เอ...แล้วใครจะเป็นแชเพอร์รอน” ฉัตรอรุณหมายถึงพี่เลี้ยง “ให้หญิงแต้ว”
“หญิงรู้แล้วเพคะ เด็จพ่ออย่าทรงห่วงเลย หญิงมีสหายร่วมเดินด้วยตั้งสองคนแน่ะ”
ฉัตรอรุณสงสัย เช่นเดียวกับบัว นมแจ่มและนายหนุ่ม


เวลาเดียวกันที่มิวสิคฮอลล์ บรรดาขาเต้นกำลังเต้นบอลรูม ควิกเสต็ปกันอยู่กลางเวที รัชชานนท์ และรณพีร์กำลังโชว์ลีลาวาดลวดลายกับสาวคู่เต้นอย่างสนุกสนานเมามัน ส่วนที่โต๊ะมุมหนึ่งของมิวสิคฮอลล์ เห็นธราธร ปวรรุจและพุฒิภัทรนั่งอยู่ด้วยกัน ปวรรุจดื่มเข้าไปพอประมาณหนึ่ง หน้าเริ่มแดง พุฒิภัทรจิบนิดๆ คอยมองปวรรุจตลอดเวลา
“นายไม่คิดจะออกไปวาดลวดลายหน่อยเหรอ”
“อยากนั่งดูเงียบ ๆ มากกว่า”
“แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าออกมาออกกำลังได้ยังไงละ”
“นั่นซี”
ธราเห็นด้วย พลางโบกมือให้น้องชายทั้งสองกลางฟลอร์ ครู่หนึ่งรัชชานนท์ และรณพีร์ก็พาสองสาวคู่เต้นหนูนา หนูหน่อยกลับเข้ามาที่โต๊ะ
“ชายเล็ก ชายพีร์ อย่ามาสนุกกันลำพัง พาชายรุจออกไปสนุกหน่อย” ธราธรบอก
“ได้ครับ น้องหนูนา พาพี่ชายรุจออกไปแดนซ์หน่อยเถอะ” รณพีร์บอกสาวคู่เต้นของตน
“ได้ค่ะ เชิญค่ะคุณชาย” หนูนาเชื้อชวน
“เออ....ฉันไม่พร้อม” ปวรรุจอิดออด
“ไม่ต้องมาอ้าง ตอนนี้ต้องพร้อมแล้วพี่ชาย หนูนาลากไป”
รัชชานนท์บอก จากนั้นชายเล็กและชายพีร์ดึงร่างปวรรุจลุกขึ้น หนูนาหัวเราะคิก มาดึงชายรุจออกไปกลางฟลอร์ แล้วแดนซ์เข้าจังหวะทันที ปวรรุจยังเก้อๆ เต้นตามสเต็ปไม่ทัน แต่แล้วพอเต้นไปสักหน่อยก็เริ่มตามจังหวะหนูนาได้
ทางกลุ่มสี่คุณชายมองแล้วเฮพร้อมกัน รวมทั้งหนูหน่อย เพื่อนหญิงนักเต้นของรัชชานนท์
“มันต้องอย่างนี้ เฮ้อ....ลืมทุกข์ลืมโศกเสียให้หมด” พุฒิภัทรยิ้มร่า
ธราธร รัชชานนท์และรณพีร์มองมาที่พุฒิภัทรเป็นตาเดียวกัน
ธราธรเอ่ยขึ้น “คะยั้นคะยอชายรุจแล้ว ไม่คิดจะออกไปวาดสเต็ปกับเขาบ้างเหรอ”
พุฒิภัทรหน้าเหลอหลา “พี่ชายใหญ่พูดอะไร รู้อยู่ว่าผมเต้นไม่เป็น”
ธราธรแซว “ไม่เชื่อว่ะ ตอนอยู่ในห้องตามลำพัง ฉันเห็นนายเต้นฟ็อกซ์ทร็อตกับหมอนข้างอยู่บ่อยๆ”
รัชชานนท์กับรณพีร์ ชอบใจหัวเราะร่า พุฒิภัทรหน้าแดง
“งั้นมาเลยครับ พี่ชายภัทร น้องหน่อย รับหน้าที่ไปที” รณพีร์พยักเพยิดให้หนูหน่อย
“แหม...นึกว่าจะชวดเสียแล้ว เชิญค่ะคุณชายหมอ”
หนูหน่อยเข้าถึงตัวพุฒิภัทรแล้ว
“เดี๋ยว เดี๋ยว...มันจะดีเหรอ”
สามพี่น้องโห่ใส่ แล้วช่วยดันพุฒิภัทรออกไปกลางฟลอร์ หนูหน่อยพาพุฒิภัทรมาใกล้ๆ คู่ของปวรรุจและหนูนาที่กำลังเต้นอย่างเมามัน
พุฒิภัทรเริ่มเต้นอย่างประหม่าเต็มที แต่เดี๋ยวครู่เดียวก็ตามจังหวะไปได้คล่อง

ขณะที่อ้าย และเอื้อยเตรียมตัวจะเข้านอนนั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เอื้อยรับสาย
“ท่านหญิง มีอะไรคะ ตอนนี้หนูเอื้อย หนูอ้ายเตรียมตัวจะเข้านอนค่ะ” เอื้อยฟังและทำตาโต “หา...อะไรนะคะ ให้ไปนอนค้างที่วังด่วน คืนนี้เลย”

เอื้อยมองหน้าอ้ายอย่างงุนงงทั้งสองคน

ฝ่ายปวรรุจกลับมาที่โต๊ะด้วยอาการหอบเหงื่อท่วมตัว ปวรรุจทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ หัวเราะหน้าแดงกับธราธร
แสดงว่าเมาไม่น้อย

“เป็นไง”
ปวรรุจเสียงอ้อแอ้เมาหน่อยๆ “โอย...เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งร้อยเมตรอีกครับ”
“ดีแล้ว....เรียกเหงื่อเสียบ้าง ชายรุจเรื่องร้ายๆ น่ะ ลืมมันเสียให้หมดเถอะนะ” พี่ชายใหญ่บอกน้อง
ปวรรุจยิ้ม แต่ยิ้มที่ดูเศร้าเหลือเกิน “ขอบคุณครับพี่ใหญ่ที่เป็นห่วงผม คนอย่างผมมันคงไม่มีบุญวาสนาที่จะรักใครสักคน หรือมีใครมารัก”
ปวรรุจพิงพนักโซฟา ทอดถอนใจ ธราธรมองนิ่ง ยกแก้วเครื่องดื่มกระดกจนหมดแก้ว
“คงเพราะวาดดาวเขารู้ละมังว่า ผมมันแค่ไอ้คุณชายก้นครัว ขืนมาตบแต่งด้วยก็ไม่มีทางได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเกียรติ มาเป็นเมียผมคนเขาก็คงค่อนกันทั้งเมืองว่าเป็นเมียไอ้คนใช้” ปวรรุจระบดระบายตามฤทธิ์เมรัย
“พอได้แล้วชายรุจ หยุดคิดแบบนี้ได้แล้ว”
“แล้วจะให้ผมคิดอย่างไรครับพี่ใหญ่”
“หยุดคิดน้อยเนื้อต่ำใจแบบนี้เสียที นายไม่ใช่ลูกคนใช้ หม่อมช้องนางคือคุณแม่ที่มีเกียรติเท่ากับคุณแม่เราทุกคน”
“ผมทราบดี พี่น้อง หม่อมทุกคนรักผม ให้เกียรติผมเสมอภาคกัน แต่ไม่ใช่สำหรับคนข้างนอกหรอกครับพี่ ข้างนอกแม้แต่ที่ทำงาน ผมมันแค่ไอ้คนใช้ ไอ้คุณชายก้นครัวที่เขาแอบหัวเราะลับหลัง วาดดาวก็คงคิดอย่างนั้น เมื่อมาเห็นสภาพผมในบ้าน”
“ถ้าวาดดาวคิดอย่างนั้นกับนายจริง เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงมีเกียรติที่ควรคู่กับนาย ลืมเรื่องทั้งหมดซะ”
ปวรรุจแค่นหัวเราะออกมา พลางหยิบแก้วขึ้นซดเหล้าต่ออีกอึกใหญ่
“ผมลืมไม่ได้หรอกครับ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของวาดดาว ความผิดมันอยู่ที่ตัวผม ผมมันต้อยต่ำเกินไป ผมไม่คู่ควรกับเธอ”
ปวรรุจลุกหนีเดินเซไป ธราธรมองตามทอดถอนใจ

ครู่หนึ่งนั้น ปวรรุจหลบมาที่มุมหนึ่ง เมาหนักกว่าเดิม นักดนตรีแบนด์กำลังเล่นอย่างเมามันเหมือนเสียงเพลงเต้นรำสนุกสนานคึกคักนั้นจะยั่วล้อให้ปวรรุจเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม
ส่วนที่มุมด้านหนึ่งของฟลอร์ เสียงหัวเราะของชายหญิงคู่หนึ่งแว่วมา เสียงคุ้นหู จนปวรรุจต้องหันไปมอง จึงพบว่าเป็นภาณุทัศนัยกำลังเต้นเมามันอยู่กับสายสมร
ปวรรุจเห็นสายสมรทางด้านหลัง จึงเข้าใจว่าคือท่านหญิงวรรณรสา จึงร้องทัก
“ท่านหญิงแต้ว”
ทั้งภาณุทัศนัยและสายสมรหยุดเต้นทันที หันมามองปวรรุจ นั่นจึงทำให้ปวรรุจเห็นว่าเป็นสมร ใบหน้าสลดลงทันที
ภาณุทัศนัยและสายสมรเมาไม่น้อยเช่นกัน
“อุ๊ย....คุณชายปวรรุจ สวัสดีค่ะ”
“คุณชาย มาเที่ยวกับเขาด้วยเหรอ”
“ขอพระทานอภัย กระหม่อมเข้ามาขัดจังหวะฝ่าบาท”
“เปล่าหรอก ไม่ได้มาขัดความสำราญของฉัน ฮ่ะฮ่ะ นึกว่าเป็นแค่คุณชายติ๋มๆ อยู่แต่ในวัง ไม่คิดว่ามาเที่ยวที่แบบนี้กับเขาด้วย”
“อุ๊ย....ทำไมไปว่าคุณชายแบบนั้นคะ ท่านชาย”
“สมร เธอไม่รู้หรอกหรือ คุณชายปวรรุจ เขาไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวกลางคืนแบบลูกผู้ชายสักเท่าไหร่ เปรียบเป็นผู้หญิง ก็เรียกว่า...นางห้อง”
“ทำไมล่ะค่ะ” สายสมรซัก
“ก็คุณชายเขามีกิติศัพท์ว่า “คุณชายก้นครัว” น่ะซี”
สายสมรและท่านชายทัศน์หัวเราะร่า ปวรรุจพยายามระงับอารมณ์อย่างที่สุด
“คุณพระ...จริงเหรอคะ เป็นหนึ่งในห้าสิงห์จุฑาเทพ ทำไมถึงกลายเป็นคุณชายก้นครัวไปได้”
“ตอบคำถามสมรหน่อยเถอะคุณชาย ถึงกำพืดแท้จริงของคุณชายน่ะ”
ปวรรุจพูดไม่ออก เจ็บจุกจนพูดอะไรไม่ได้ จึงเดินเลี่ยงจากมา ภาณุทัศนัยยังตะโกนตามมา
“อ้าว...หนีไปไหนล่ะ จะกลับไปก้นครัวที่วังรึไง”
สองคนหัวเราะกันดังลั่น
ปวรรุจมองภาพเบื้องหน้าอย่างเลือนราง หันตัวเดินออกจากร้าน

ปวรรุจเดินออกมาที่สวนข้างร้าน ด้วยอาการมึนเมา ฟ้าร้องครืนครันสลับกับแลบแปลบปลาบ ปวรรุจเหลียวมองฟ้าที่สว่างวาบอย่างน่ากลัว แล้วทันใดนั้นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาเหมือนแกล้ง
เสียงเยาะเย้ยของหม่อมเจ้าภาณุทัศนัยดังก้องในหัว
“คุณชายเขามีกิติศัพท์ว่า “คุณชายก้นครัว” น่ะซี”
ตามด้วยเสียงสายสมร “คุณพระ...จริงเหรอคะ เป็นหนึ่งในห้าสิงห์จุฑาเทพ ทำไมถึงกลายเป็นคุณชายก้นครัวไปได้”
“ตอบคำถามสมรหน่อยเถอะคุณชาย ถึงกำพืดแท้จริงของคุณชายน่ะ”
เสียงภาณุทัศนัยและเสียงสายสมรหัวเราะกันดังลั่น ผสานกับเสียงฟ้าร้องลั่นเปรี้ยง ปวรรุจเดินมากลางสวน แล้วทรุดฮวบล้มลงหมดสติไป
มองจากด้านบนลงมา เห็นร่างปวรรุจนอนหมดสติอยู่ใกล้ศาลากลางสวนเพียงลำพัง ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ

ทางด้านรสาและสาวแฝดช่วยกันเปิดหน้าต่าง ฝนโปรยมาบางๆ อากาศเย็นฉ่ำ สองสาวแฝดอยู่ในชุดนอนเช่นเดียวกับรสา กลับมานั่งนอนอยู่บนเตียง มีแก้วนมอุ่นๆ วางอยู่หัวเตียง
“อะไรนะคะท่านหญิง จะให้เราไปสวิตกับท่านหญิง” เอื้อยตื่นเต้น
“หนูอ้ายหูฝาดไปรึเปล่าคะ” อ้ายงงๆ
“เป็นเรื่องจริงไม่ได้ล้อเล่น งานนี้เด็จพ่อเป็นสปอนเซอร์ตั๋วเครื่องบินให้หนูอ้าย หนูเอื้อยด้วยนะ ไปไหม”
อ้ายกะเอื้อยประสานเสียงทันที “ไปค่ะ”
สามสาวหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ท่านหญิงขา หมายความว่าเราจะเดินทางไปสวิตเพื่อไปอยู่กับท่านชายทัศน์งั้นเหรอคะ” เอื้อยถาม
“ใช่จ้ะ หญิงอยากไปอยู่ในโลกของพี่ชายทัศน์บ้าง เพื่อจะได้รู้จักพี่ชายทัศน์มากขึ้น”
“แล้วเราจะทูลท่านชายเมื่อไหร่ดีล่ะคะ ตอนไปส่งท่านชายพรุ่งนี้ งั้นเหรอ” อ้ายถาม
“จุ๊ จุ๊ ไม่ได้หรอก ขืนบอกพี่ชายล่วงหน้า พี่ชายเกิดไม่โปรดขึ้นมาห้ามหญิงเดินทาง แผนเราก็ล้ม อดเที่ยวกันพอดี”
เอื้อยงง “แล้วจะบอกตอนไหนละคะ”
“รสาว่า...” วรรณรสามีสีหน้าเจ้าเล่ห์เจ้ากล “ไม่บอกเลยดีกว่า”
อ้ายกะเอื้อยตกใจ “หา...ไม่บอกเลย จนไปถึงสวิตแล้วน่ะเหรอคะ”
“ใช่...จะไปเซอร์ไพรส์พี่ชายที่สถานทูตที่กรุงเบิร์นเลย” วรรณรสาว่า
อ้ายและเอื้อยมองหน้ากัน
“แล้ว เด็จพ่อละคะ ทรงทราบเรื่องรึยัง” อ้ายสงสัย
“ถึงเรียกหนูอ้าย หนูเอื้อยมานี่ไง เราต้องเตี๊ยมกันให้ดี ต้องปดเด็จพ่อว่าเรารายงานพี่ชายทัศน์เรียบร้อยแล้ว”
อ้ายกะเอื้อยมองหน้ากันอีก
“แล้วถ้าถูกจับได้ ไม่ทรงกริ้วแย่เหรอคะ” เอื้อยกังวล
“จะจับได้ยังไง เมื่อเราไปพบพี่ชายทัศน์แล้ว เราก็บอกพี่ชายทัศน์ไม่ให้ทูลความจริงเด็จพ่อน่ะซี”
อ้ายและเอื้อยเริ่มเห็นทาง
“งั้นได้เลยค่ะ เตรียมตัวเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย”
“เพื่อสวิต ดินแดนแห่งสวรรค์ของเราสามคน”

เอื้อยว่า ทั้งสามหยิบแก้วนมมาชนกัน แล้วดื่มพร้อมกันหัวเราะคิกคัก

เช้าวันรุ่งขึ้น ปวรรุจยังหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง พุฒิภัทรดูอาการอยู่ หม่อมเอียดและย่าอ่อน นั่งอยู่ห่างๆ ธราธร รัชชานนท์ และรณพีร์นั่งหน้าเจื่อนอยู่รอบนอก

“เรื่องก็เป็นอย่างที่ผมเล่านี่ละครับ ชายรุจโดนฝน ไข้ขึ้น เลยหมดสติไป” ธราธรเล่าเรื่องจบพอดี
“คนเราจะหมดสติไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกชายใหญ่ ถ้าไม่ได้สุราเข้าไปช่วยกระตุ้นด้วย นี่...ฉันอยู่ห่างขนาดนี้ฉันยังได้กลิ่นส่าเหล้าจากพวกเราเลย”
หม่อมเอียดมองกราดไปยังหลานๆ ทุกคนก้มหน้าหลบตา
“เจริญนะ ชวนใครไม่ชวนมาชวนชายรุจ แล้วเราก็ด้วยชายภัทร เห็นว่าเป็นตัวตั้งตัวตีไม่ใช่เรอะ ลากชายรุจไปเที่ยว”
“ขอโทษครับหม่อมย่า”
“เราด้วยนะชายเล็ก ชายพีร์ ตัวดีนักเชียว”
“คุณพี่คะอย่าโทษชายเล็ก ชายพีร์เลยค่ะ ชายรุจนั่นแหละตัวก่อเหตุ นี่ คงจะอยากไปสำมะเลเทเมาเพราะอกหักจากแม่วาดดาว” ย่าอ่อนออกความเห็น
“แม่อ่อน ไม่ต้องมาลำเอียง ถ้าผิดก็ต้องผิดด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ”
“ครับ เรื่องนี้ผมขอรับผิดชอบแทนน้องทุกคน ผมดูแลชายรุจไม่ดีเอง” ธราธรหน้าสลดลง
“ยอมรับผิดแบบลูกผู้ชายก็ดีแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ย่าไม่ชอบ เราเป็นข้าราชการรับใช้แผ่นดิน มาทำเหลวไหลแบบนี้มันไม่ถูกไม่ควร”
หม่อมเอียดลุกขึ้น ธราธรเข้าประคอง
“ชายรุจจะต้องเดินทางไปประชุมอยู่ไม่กี่วันนี่แล้ว ถ้าท่านอธิบดีรู้ว่าไปเหลวไหลขนาดนี้ อาจถูกปลดเสียกลางคันก็ได้” หม่อมเอียดนึกกังวลขึ้นมาอีก
“ครับ ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
หม่อมเอียดออกไปพร้อมย่าอ่อน ที่ส่งสายตามาที่รณพีร์พยักเพยิดให้ตามลงไป รณพีร์หน้าเจื่อนเต็มที

รัชชานนท์และรณพีร์ลงมาที่โถงล่างด้วยกัน ย่าอ่อนรออยู่ ทั้งสองหนุ่มได้ยินย่าอ่อนบ่นกับแจ๋ว
“เสียฤกษ์ฉันหมด ชายรุจมาไม่สบายเอาตอนนี้ ฉันนัดกับคุณชายเทวพันธ์เอาไว้แล้ว เฮ้อ...”
“คุณย่าครับ มีอะไรครับ” รณพีร์ถามขึ้น
“ไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ทั้งคู่เลย” ย่าอ่อนบอก
“จะไปไหนเหรอครับคุณย่า” รัชชานนท์สงสัย
“ไม่ต้องถาม ชายเล็กเตรียมกล้องไว้ด้วย เผื่อไปชักรูปเก็บไว้ อีกครึ่งชั่วโมงไปเจอย่าที่หน้าตึก แล้วไม่ต้องบอกชายใหญ่ กับชายภัทรนะ”
ย่าอ่อนแยกไปทางเรือนพัก แจ๋วรีบตาม
“พี่ชายเล็ก...เรื่องอะไรกัน ทำไมต้องเอากล้องไปด้วย” รณพีร์งง
“ไม่รู้จริงๆ แต่ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญ” รัชชานนท์บอก

ไม่นานต่อมา เกษราเดินนำ ย่าอ่อนเข้าในห้องรับแขก รัชชานนท์ และรณพีร์เดินตามมา พบวิไลรัมภารออยู่แล้วพร้อมด้วยมารตีและคุณชายเทวพันธ์ ทั้งหมดในห้องทำความเคารพย่าอ่อน ชายเล็กและชายพีร์ ไหว้เทวพันธุ์เช่นกัน
ทั้งสองสีหน้างงว่ามาทำไม รณพีร์ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเจอสายตาหวานฉ่ำของวิไลรัมภา
“แหมหนูมารตี หนูรัมภา สวยขึ้นทุกวันเลยนะ” ย่าอ่อนทักทายสองสาว
“ขอบคุณค่ะคุณย่า แล้ว...พี่ชายภัทรไม่มาด้วยเหรอคะ” มารตีถาม
“วันนี้เขาพักผ่อนน่ะ เจอกันทุกวันที่โรงพยาบาลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยังจะถามถึงอีก”
มารตีหัวเราะทำท่าเอียงอาย วิไลรัมภารู้สึกพี่สาวแย่งความเด่น เลยรีบพูดขึ้น
“พี่ชายพีร์ เมื่อคืนได้ข่าวว่าเท้าไฟอยู่บนฟลอร์เหรอคะ”
รณพีร์สะดุ้ง “ครับ ทำไมน้องรัมภารู้”
“เรื่องของพี่ชายพีร์ มีนกรู้ส่งข่าวให้ตลอดค่ะ”
รณพีร์ยิ้มเจื่อนๆ วิไลรัมภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ย่าอ่อนและ เทวพันธ์กลับมองสองสาวอย่างพอใจ มีเพียงเกษรารู้สึกอายแทน ที่น้องสาวให้ท่าให้ทางอย่างเปิดเผย
“เอาละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เด็กเป็นยังไงบ้าง มาถึงเมื่อไหร่” ย่าอ่อนเข้าธุระ
“เมื่อเช้าครับ อาจจะดูเพลียๆ ไปบ้าง”
“ไม่เป็นไร เรียกมาเลยซี อยากเห็นจะแย่แล้ว”
“หนูเกษ ไปพาตัวออกมาเลย” เทวพันธ์ว่า
“ค่ะ”
เกษราค้อมตัว ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน
“คุณย่าครับ อยากเห็นตัวใครเหรอครับ” รัชชานนท์สงสัยมากๆ
“เดี๋ยวก็เห็นเองละ”
ขาดคำเกษราพาเด็กสาวตัวดำขำชื่อกระถิน อายุประมาณ 17 ปี หน้าตาเข้มมีเค้าสวย ใส่เสื้อลูกไม้พอดีตัว กระโปรงพลีทบาน ชุดเข้าเอวดูอ้อนแอ้นบอบบาง
กระถินไม่กล้าสบตาใคร ก้มหน้าอยู่ตลอด ย่าอ่อน รัชชานนท์และรณพีร์ มองตะลึง เกษรากระซิบกระถิน
“ไหว้ซีคะกระถิน”
กระถินไหว้ย่าอ่อน ชายเล็ก และชายพีร์ ด้วยท่าทีแข็งกระด้างเล็ก ๆ เทวพันธ์มองท่าทีของย่าอ่อนอย่างลุ้นเต็มที่
รณพีร์กระซิบถาม “คุณย่าครับ ใครน่ะครับ”
“เดี๋ยวก็รู้เองละน่า ไหว้พระไหว้เจ้าเถอะจ้ะ ไหนบอกย่าซิว่าเราอายุเท่าไหร่ เรียนชั้นไหนแล้ว”
กระถินเอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าพูดอะไร ย่าอ่อนเป็นงง
เทวพันธ์รีบแก้สถานการณ์ “อ๋อ คุณป้าครับ กระถินเขาขี้อายน่ะ นานๆ เข้าพระนครที มาเจอคนแปลกหน้า ยิ่งตื่นใหญ่”
“ต่อไปก็จะไม่ใช่คนแปลกหน้ากันแล้วละ” ย่าอ่อนว่า
รัชชานนท์และรณพีร์มองหน้ากัน เริ่มจะเข้าใจอะไรลาง ๆ
“งั้นแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน คุณชายช่วยเกริ่นทีเถอะค่ะ”
“กระถิน นี่คุณย่าอ่อน คุณย่าแห่งวังจุฑาเทพ และนี่หม่อมราชวงศ์รัชชานนท์ กับหม่อมราชวงศ์รณพีร์ พี่ชายของเธอ”
เกษรากระซิบกระถินอีกครั้ง กระถินจึงยกมือไหว้ทั้งสามอย่างแข็งทื่ออีกครั้ง ไหว้เสร็จก็ก้มหน้างุดไปใหม่
“น้องกระถินแนะนำตัวหน่อยซีครับ” รัชชานนท์คุยด้วย
กระถินก้มหน้างุด ยิ่งเขี่ยพื้นเล่นมากกว่าเดิม เกษรา มารตี และวิไลรัมภายิ่งอึดอัด
“เออ...น้องไม่กล้าพูดน่ะค่ะ นี่คือ หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม ธิดาคนเดียวของคุณอาวรพันธ์ เทวพรหม หม่อมหลวงกระถินคือน้องสาวคนสุดท้องของเราค่ะ” เกษราแนะนำ
ชายเล็ก และชายพีร์ ตะลึงงัน กระถินยังก้มหน้างุดเขี่ยพื้นไปมา มารตี และวิไลรัมภาอับอาย ยิ้มอย่างเจื่อนจ๋อยเต็มที
ย่าอ่อนเขม้นมองกระถิน แล้วเริ่มยิ้มออกมา

ไม่นานนักรัชชานนท์และ รณพีร์รีบเดินมาหลบอยู่ที่หน้าร้านขนมของเกษรา สองหนุ่มหน้าตาตื่ คุยกันซีเรียสเอาการ
“หม่อมหลวงกระถิน จะถูกจับให้เป็นคู่หมายพี่ชายรุจ” รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
“คุณย่าคิดอะไรอยู่ครับ ไหนว่าจะไม่เลือกคู่ให้พี่ชายรุจแล้วไง” รณพีร์งง
“ฉันเองก็งงไปหมดแล้ว ที่ฉันสงสัยอีกเรื่อง”
“อะไรครับ”
“หม่อมหลวงกระถินเป็นใบ้รึเปล่า”
“นั่นซี ไม่เห็นพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เฮ้...พี่ หรือเราจะได้พี่สะใภ้เป็นใบ้” รัชชานนท์พูดสนุกๆ
เกษราเดินออกมาจากเรือนใหญ่เดินตรงมาพอดี ทั้งสองหนุ่มดิ่งเข้าไปหา
“คุณเกษ หม่อมหลวงกระถินเป็นน้องคุณเกษจริงๆ หรือ” รัชชานนท์ยิงคำถามคาใจ
“ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เป็นลูกสาวอาเล็ก คุณชายวรพันธ์ น้องคนสุดท้องของคุณพ่อที่เสียไปนานแล้ว”
รณพีร์ซักต่อ “แล้วน้องกระถินอายุเท่าไหร่กันครับ”
“สิบเจ็ดค่ะ”
สองคุณชายอุทาน “สิบเจ็ด”
“แล้วจะให้มาเป็นคู่หมายของพี่ชายรุจได้ยังไงกันครับ เด็กขนาดนี้” รัชชานนท์ประหลาดใจมาก
“เรื่องนี้ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นชอบด้วยกัน เออ...คุณย่าให้มาตามคุณสองคนค่ะ บอกว่าจะให้ถ่ายรูปร่วมกัน”

ทั้งสองหนุ่มขัดใจเป็นอย่างยิ่ง

เวลาต่อมาเกษรา มารตีนั่งอยู้ด้านหนึ่งของโซฟายาว กระถินนั่งอยู่ตรงกลาง วิไลรัมภานั่งติดกับกระถินอีกข้าง หญิงทั้งสามยิ้มแย้ม แต่กระถินกลับหน้านิ่งเฉย รัชชานนท์เป็นคนถ่ายรูป ย่าอ่อน รณพีร์ และเทวพันธ์ดูอยู่มุมห้อง

“เออ...น้องมารตีกับน้องรัมภาจับมือน้องกระถินไว้นะครับ” ชายเล็กบอก
สองสาวจับมือกระถิน ยิ้มอย่างแสนรัก
“นับสามนะครับ หนึ่ง สอง สาม”
รัชชานนท์กดชัตเตอร์
สี่สาวนั่งด้วยกัน ทุกคนยิ้มแย้ม ยกเว้นกระถิน

อีกมุมของห้องรับแขก
ย่าอ่อนนั่งที่เก้าอี้ตัวใหญ่ กระถินนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นข้างย่าอ่อน รัชชานนท์กำลังถ่าย
“หนึ่ง สอง สาม”

คราวนี้กระถินนั่งอยู่ลำพังที่ศาลากลางสวน หน้าเฉยชาเช่นเดิม ตามองกล้องแต่ไร้แวว กลุ่มของเทวพันธ์ ย่าอ่อน รณพีร์ ดูอยู่ เทวพันธ์เหลือบดูย่าอ่อนที่นั่งที่เก้าอี้ริมสวน มารตีและวิไลรัมภาช่วยดูแล รินน้ำเสิร์ฟอย่างเอาใจ พร้อมคอยพัดวี ย่าอ่อนดูพึงใจกระถินมากขึ้นเรื่อยๆ เทวพันธ์ยิ้มกับตัวเอง
“ยิ้มหน่อยครับ น้องกระถิน”
กระถินพยายามยิ้ม แต่ดูเหมือนคล้ายจะเบะปากร้องไห้
“เออ...ไม่ต้องยิ้มก็ได้ครับ” รัชชานนท์บอก
กระถินเลยทำหน้าเฉยเช่นเดิม
“หนึ่ง สอง สาม”
รัชชานนท์กดชัตเตอร์
ใบหน้ากระถินที่มองกล้องเฉยชามึนซึมทุกช็อต

เทวพันธ์ ลูกสาวทั้งสามและกระถินเดินมาส่งย่าอ่อน และสองหนุ่มที่รถ ถนอมรออยู่แล้ว
“คุณชายเล็ก คุณชายพีร์คะ เข้าไปในร้านขนมก่อนไหมคะ มารตีจะฝากขนมไปให้คุณชายหมอ” มารตีว่า
วิไลรัมภาบอกต่อ “แล้วรัมภาก็จะฝากให้พี่ชายพีร์ด้วยค่ะ วันนี้”
“เรื่องขนม ผมยินดีรับฝากไม่อั้นเลยครับ” รณพีร์ยิ้มกว้าง
สองสาวหัวเราะ สองหนุ่มตามเข้าไปในร้านขนม
ย่าอ่อนมองกระถินอย่างพินิจ
“ทีแรกดูจะคล้ำไป แต่พอดูนานๆ กลับคมขำ ตางี้คมกริบเชียว อย่างนี้เขาเรียกงามพิศ ไม่ใช่งามผาด เอ...ไม่พูดไม่จาเลย ขี้อายมากเลยนะเรา”
กระถินก้มหน้าเช่นเคย เกษรารีบพูดแก้ต่าง
“น้องไม่กล้าพูดค่ะ เพราะยังไม่คุ้นกับสำเนียงคนกรุง ยังติดสำเนียงใต้อยู่”
“อ้อ ทองแดงละซี ไม่เป็นไรอยู่ไปนานๆ เดี๋ยวก็ชินกับสำเนียงภาคกลางเองแหละ แล้วอีกสองวันจะพาพี่ชายรุจเขามาเยี่ยม”
“ดีครับ ผมกำลังดำริจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับหลานสาวพอดี เรียนเชิญทางวังจุฑาเทพเลยนะครับ โดยเฉพาะคุณชายปวรรุจ” เทวพันธ์ดี๊ด๊า
“บอกวันเวลามาเลย ชายรุจต้องมาอยู่แล้ว จะได้ให้มาดูตัวกัน รีบๆ นะ เพราะอาทิตย์หน้าชายรุจจะต้องไปต่างประเทศแล้ว”
เทวพันธ์ยิ้มโล่งอก “ได้ครับคุณป้า”
กระถินหน้าสลดลงกว่าเดิม
สี่คนออกมาจากร้านขนม แย้มและแหววตามออกมาด้วย สองหนุ่มหิ้วถุงขนมหลายถุง ถนอมเข้ามารับไปไว้ในรถ
“มากันแล้ว แหม....ได้ของฝากจากสาวๆ มาแล้วซีนะ” ย่าอ่อนว่า
“มารตีฝากกลีบลำดวนฝากพี่ชายหมอด้วยค่ะ ของโปรดของพี่ชาย”
“รู้ใจกันดีจริง อย่างนี้ระฆังวิวาห์คงจะเหง่งหง่างอีกไม่นานแล้วละ” ย่าอ่อนสัพยอก
มารตีหัวเราะเอียงอาย วิไลรัมภาชม้อยชม้ายไปที่รณพีร์ ชายพีร์รีบเสมองไปทางอื่น
“กลับละนะ แล้วย่าจะมาเยี่ยมใหม่ หนูกระถิน”
ทุกคนไหว้ลาย่าอ่อนงดงาม กระถินไหว้แข็งๆ เช่นเคย ไหว้แล้วเอามือลงเกาสะโพก ย่าอ่อนมองเขม็ง
“เอ๊ะ...เป็นอะไรไปล่ะ เห็นเกาหลายหนแล้ว คันในร่มผ้าเหรอลูก” ย่าอ่อนสงสัย
เทวพันธ์รีบชิงพูด “อ๋อ...คงไม่ชินกับสภาพน้ำที่นี่น่ะครับ”
“เอ...น้ำประปาเราสะอาดนะ คงชินกับน้ำทะเลมากกว่าละซี”
ย่าอ่อนพูดเองเออเองหัวเราะ
“แหม...สาวน้ำเค็มก็อย่างนี้ละ น่าเอ็นดู”
ย่าอ่อนกลับมาที่รถ ถนอมเปิดรถให้ย่าอ่อนขึ้นนั่งตอนหลัง รณพีร์นั่งด้านหนึ่ง รัชชานนท์นั่งประกบอีกด้าน
เกษรา มารตีและวิไลรัมภา โอบกอดกระถินแล้วโบกมือลา เกษราบอกให้กระถินโบกมือด้วย

ส่วนในรถยังแลเห็นสาวเทวพรหมกอดกันโบกมือให้อยู่
“คุณย่าครับ จะบอกเรื่องนี้พี่ชายรุจเมื่อไหร่ละครับ” รัชชานนท์รีบถาม
“คืนนี้ เรียกทุกคนมากินข้าวพร้อมหน้ากัน ย่าจะบอกชายรุจตอนนั้น เราสองคนก็อย่าไปหลุดปากพูดก่อนล่ะ” ย่าอ่อนกำชับ
รัชชานนท์มองหน้ารณพีร์ สองหนุ่มถอนใจพร้อมกัน ขณะที่รถแล่นออกจากหน้าวังแล้ว

พอรถย่าอ่อนแล่นลับตาไปแล้ว มารตีและวิไลรัมภารีบผละออกจากกระถินทันที วิไลรัมภาถึงกับผลักกระถินออกให้พ้นๆ กระถินหน้าเสีย อาการคันคะเยอมากกว่าเดิมเพราะแดดเริ่มร้อน
“ยี้...น้องรัมภา ต้องอาบน้ำใหม่แล้วละ จับตัวนังเด็กนี่แล้วเหมือนเชื้อโรคมาติดตัว”
“นั่นซีคะ ดูซีเกาไปทั้งตัว คันคะเยอไปหมดแล้ว ไม่รู้มีเชื้อรา มีเห็บหมัดติดมาด้วยรึเปล่า” วิไลรัมภาผสมโรง
“ยายภา พูดดีๆ น้องเขาเป็นคน พูดเหมือนเขาเป็นสุนัข” เกษราดุ
กระถินเหลียวขวับ “หา...ว่าข้าเป็นหมาเหรอ”
เท่านั้นแหละกระถินก็ร้องไห้โฮออกมาดังลั่น ไม่เหลือมาดเสงี่ยมอีกเลย แถมยังเกายิกๆ พูดออกมาด้วยสำเนียงใต้
“ฮือๆๆ จะกลับบ้าน”
เทวพันธ์ฉุน “เอ้า เอ้า จะกลับบ้านอีกแล้ว บอกแล้วว่ากลับไม่ได้ไง”
“จะกลับบ้าน โฮ...”
“คุณพ่อคะ มันเกาใหญ่แล้ว มันต้องมีเชื้อโรคเต็มตัวแน่ๆ อย่างนี้ต้องเอาไปแช่น้ำด่าง ผสมแอลกอฮอลล์” มารตีหงุดหงิดมาก
เทวพันธ์ชักสงสัย “ยายกระถิน แกเป็นอะไร ทำไมมันคันนัก”
“ก็ไม่เคยใส่เสื้อแบบนี้ เสื้อบ้าอะไร กระโปรงนี่ก็คัน คันจะขาดใจแล้ว”
กระถินพูดแล้วปลดเสื้อออก สามสาว แหววและแย้ม เอะอะร้องออกมาพร้อมกัน
“อย่าถอดตรงนี้กระถิน น่าเกลียด” เกษราบอก
“ก็มันคันนี่...” กระถินไม่ยอม
“แหวว ป้าแย้ม พาเข้าบ้านไปที”
สองคนใช้รีบพากระถินที่ยังร้องไห้โวยวายเข้าตึกไป
“เฮ้อ...ยังดีนะที่มันไม่โวยวายออกมาต่อหน้าย่าอ่อน ไม่งั้นความแตกแน่”
เทวพันธ์กลับเข้าตึก เกษรายิ่งอึดอัด
วิไลรัมภาไม่เข้าใจ “คุณพ่อคิดอะไรน่ะ ดำเป็นเมียจรกาแบบนี้ คุณชายรุจจะยอมแต่งด้วยเหรอ”
“นั่นซี” มารตีเห็นด้วย
เกษราฟังแล้วยิ่งขัดใจ ตามเทวพันธ์เข้าตึก สองสาวรีบตามเพราะรู้ว่าต้องมีคดีเกิดแน่ ๆ

เกษราตามเข้าในห้องรับแขก เทวพันธ์กำลังรินเครื่องดื่ม มารตี รัมภาตามเข้ามา
“คุณพ่อคะ ถ้าเด็กไม่เต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาว คุณพ่ออย่าบังคับเลยนะคะ แกยังเด็กเหลือเกิน
เทวพันธ์หันขวับมา ตวาดลั่น
“แกจะให้ฉันชวดโอกาสที่จะได้ดองกับจุฑาเทพอีกครั้งแล้วใช่ไหม”
“คุณพ่อ” เกษราอึ้ง

มารตี และวิไลรัมภาแอบยิ้มให้กันอย่างสะใจ

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

เทวพันธ์มีสีหน้าถมึงทึง อาการเกรี้ยวกราด เกษราพยายามอธิบายเหตุผล ดีๆ

“คุณพ่อ ที่หนูพูดเพราะเห็นแก่เด็กนะคะ ตั้งแต่มาถึงเมื่อเช้า คุณพ่อก็เห็นว่าสภาพเด็กเป็นอย่างไร”

เหตุการณ์ที่โถงรับแขกของวังเทวพรหมเมื่อเช้า ผุดขึ้นมา
กระถินในชุดผ้าถุงแบบสาวบ้านป่า เนื้อตัวมอมแมม เดินเข้ามาในโถงของวัง หอบชะลอมของพื้นบ้านและหิ้วถุงผ้าใส่เสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นเดินตามเกษราเข้ามา โดยมีแย้มและแหววช่วยถือกระเป๋าเดินทางของเกษราตามมาอีกกลุ่ม
กระถินมองไปรอบตัวอย่างหวาดหวั่น เทวพันธ์ มารตี และวิไลรัมภา นั่งรออยู่แล้ว สามคนมองกระถินอย่างตะลึงพรึงเพริด เทวพันธ์เขม้นมองตกใจในความเป็นเด็กสาวบ้านป่าของกระถิน มารตีและวิไลรัมภามองอย่างรังเกียจ
เทวพันธ์อึ้ง “ยายเกษ แกอย่าบอกนะว่าแม่นี่คือ...”
“นี่ล่ะค่ะ หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม หลานของคุณพ่อ”
“คุณพ่อขา หม่อมหลวงหรือเงาะป่าซาไกคะเนี่ย” มารตีว่า
“ตายแล้ว ดำจนนับญาติไม่ได้เลยละค่ะคุณพ่อ” วิไลรัมภาเสริม
“ทำไมมันมือไม้แข็งอย่างนี้ ไม่เห็นมันไหว้ฉันเลย” เทวพันธ์ไม่พอใจ
กระถินหน้าตึง มองทั้งสามนิ่งตาถลึง
“ไหว้คุณลุงซีจ๊ะ นั่นคุณลุงเทวพันธ์ พี่ชายของคุณพ่อเธอ”
กระถินยกมือไหว้ด้วยอาการแข็งทื่อ เทวพันธ์มองอย่างไม่ชอบใจ
“แล้วนั่น พี่มารตี กับพี่วิไลรัมภา พี่สาวของเธอ”
กระถินยกมือไหว้ ทั้งสองนางไม่รับไหว้ แถมทำหน้าเหยียดหยาม
“พี่มารตี ดูไหว้ซีคะ เหมือนลิงหลอกเจ้า”
สองสาวหัวเราะร่วน
“ตาย บ้านเรามะพร้าวเยอะเสียด้วย น่าจะให้ปีนเก็บมะพร้าวมาทำขนมนะคะพี่เกษ” มารตีแขวะ
เกษรา แหวว แย้ม ต่างตกใจ แต่สองสาวและเทวพันธ์กลับหัวเราะร่า
“ทำไมมันเงียบละคะพี่เกษ มันพูดได้ไหมคะ” วิไลรัมภาสงสัย
“พูดอะไรหน่อยซีกระถิน”
กระถินพูดคำแรกสำเนียงใต้ชัดเจน “ข้าจะกลับบ้าน โฮ”
กระถินร้องไห้โฮ
“พาข้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“กระถิน ไม่เอานะคะ กระถินต้องอยู่เพราะคุณแม่อนุญาตแล้วนะคะ” เกษราปลอบเป็นการใหญ่
“ไม่เอาไม่อยู่ คิดถึงบ้าน โฮ”
กระถินลงไปชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้น ของในชะลอมกระจัดกระจาย
“พาเข้าห้องไปก่อน อย่าให้มันอาละวาดมากกว่านี้ ถ้ามันยังแหกปากอยู่ บอกว่าพ่อจะเฆี่ยนด้วยหวายนี่แหละ” เทวพันธ์โมโหมาก
กระถินยิ่งแหกปากดังกว่าเดิม เกษรา แหวว และแย้ม ช่วยกันทั้งลากทั้งดึงเข้าไปด้านใน
“คุณพ่อ จะไหวเหรอคะ คุณชายรุจมาเห็นนังนี่ คงรีบเผ่นหนีไปไกลสุดหล้าล่ะค่ะ” วิไลรัมภาว่า
“ไม่หรอกลูก ย่าอ่อนอยู่ทั้งคน ยังไงแกก็ต้องเห็นดีเห็นงามด้วย อย่าลืมว่านังกระถินมันก็มียศเป็นหม่อมหลวงเหมือนลูกเหมือนกันนะ”
วิไลรัมภาสุดจะทน “ยี้...หม่อมหลวงขี้ข้าน่ะซีคะ”
“อ้าว....หม่อมหลวงขี้ข้า ก็เหมาะกับ “คุณชายก้นครัว” ไม่ใช่เหรอน้องรัมภา”
วิไลรัมภานึกขึ้นได้ ทั้งสามหัวเราะประสานเสียงด้วยกันเป็นที่ครึกครื้น

เกษราพูดอธิบายกับบิดาอย่างต่อเนื่อง
“และถ้าคุณย่าอ่อนรู้ความจริงว่ากระถินเป็นเด็กบ้านป่าจริงๆ การบ้านการครัวอะไรไม่เป็นสักอย่าง จะเกิดอะไรขึ้นคะ”
“แกก็ต้องไม่ให้มันเกิดขึ้น ไปจัดการยายกระถินให้มันดูดีสมเป็นกุลสตรี ให้มันพูดสำเนียงภาคกลาง ขัดสีฉวีวรรณให้มันหายกระดำกระด่าง แล้วสอนเรื่องการครัวให้มันเป็นการด่วน วันนี้พรุ่งนี้เจ้ารุจมันจะมาดูตัวแล้ว แกต้องทำให้มันหายจากสาวป่ามาเป็นสาวกรุงให้ได้”
เกษราท้วง “คุณพ่อคะ ของอย่างนี้ไม่ได้ทำกันได้ในวันสองวันนะคะ”
เทวพันธ์ตวาด “ต้องทำให้ได้”
เกษราหน้าสลด หนักใจมาก มารตี และวิไลรัมภาแอบยิ้มให้กันอย่างสะใจ
เทวพันธ์หยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมาเปิดดู พบว่ามีแต่เศษสตางค์ จึงหันมาทางเกษรา
“มีเงินอยู่เท่าไหร่ตอนนี้”
“เออ...ห้าร้อยค่ะ”
“เอามาก่อน”
เกษราอึ้ง หยิบเงินจากกระเป๋าตัวเองส่งให้เทวพันธ์
“คุณพ่อจะเอาเงินไปทำอะไรคะ”
“ไม่น่าถาม คนไปบ่อนน่ะ เอาเงินไปทำอะไรล่ะ”
เทวพันธ์ปึงปังออกไป เกษราได้แต่ถอนใจ มารตีและวิไลรัมภาเดินกรีดกรายเข้ามา
“ยากนะคะพี่เกษ จะแปลงนางสำมนักขาให้กลายเป็นนางสีดาน่ะ”
“แล้วถ้าจะแปลงกายจริง คงต้องใช้ทุนรอนไม่น้อยเลยนะคะ” วิไลรัมภาบอก
“เราอาสาจะช่วยนะคะพี่เกษ” มารตีเสริม
“จริงเหรอ”
“จริงซีคะ พี่เกษมีภาระเรื่องร้านขนม งานล้นพ้นตัวอยู่แล้ว น่าจะให้เราช่วยแบ่งเบาบ้าง”
“ก็ดี ขอบใจที่คิดจะช่วย”
เกษราจะแยกไป วิไลรัมภาเอ่ยขึ้นอีก
“แต่พี่เกษคะ เรื่องความสวยความงามมันต้องใช้เงินนะคะ”
เกษรารู้ทัน ทอดถอนใจ
“ต้องการเท่าไหร่”
“ไม่มากหรอกค่ะ แค่เศษเงินจากร้านขนมของพี่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น” มารตีว่า

เกษรามองน้องสาวทั้งสองอย่างอ่อนใจ

ฟากย่าอ่อนไม่รู้สักนิดว่าถูกเทวพันธ์ย้อมแมว กำลังรายงานหม่อมเอียดอย่างภูมิใจนำเสนอ รัชชานนท์และรณพีร์นั่งฟังอยู่ด้วย

“สวยค่ะ คมขำแบบสาวใต้เชียว กิริยามารยาทก็แช่มช้อย เห็นว่าการบ้านการเรือนไม่มีที่ติเชียวค่ะ”
สองหนุ่มแอบสบตากัน
หม่อมเอียดเอ่ยขึ้น “ที่ฉันสงสัยก็คือทำไมคุณชายเทวพันธ์ไม่เคยพูดถึงครอบครัวคุณชายคนน้องนี่
ให้ฟังมาก่อนเลย”
“อ้อ...คงจะมีอะไรกินแหนงแคลงใจกันอยู่ละมังคะ เพราะหนีไปทำเหมืองเสียที่พังงา ไปได้ลูกเมียชาวบ้านที่นั่น คุณชาย เทวพันธ์ เธอคงอาย”
“อ้าว...แล้วแม่กระถินที่ว่า ไม่กลายเป็นเด็กบ้านป่าไปหรอกรึ”
“ไม่เลยค่ะ เห็นว่าอบรมกันมาดี เป็นลูกผู้ดีเชียวละ”
“แล้วถ่ายรูปมาให้ดูรึเปล่า”
“ถ่ายครับคุณย่า ตอนนี้เอาไปอัดล้างอยู่ พรุ่งนี้ก็คงจะได้” รัชชานนท์บอก
“ในสายตาเราสองคน แม่กระถินเขาเป็นยังไงล่ะ”
รัชชานนท์และรณพีร์เก้อๆ ไป
“ก็...ไม่ค่อยพูดนะครับ ที่จริงไม่พูดอะไรเลยครับ”
หม่อมเอียดเขม้นมอง ย่าอ่อนค้อนรณพีร์
“อ๋อ....เด็กเขาขี้อายค่ะ”
“ผมว่าน้องเขาคล้ำไปนิดนะครับ ก็ไม่นิด คล้ำเยอะเชียวครับ” รัชชานนท์ว่า
“นี่ชายเล็ก...เด็กมันโดนแดดโดนลม มันก็มีหมองมีคล้ำไปบ้าง” ย่าอ่อนแก้ต่างทุกประตู
“เท่าที่ฟังดู เด็กคงบ้านป่าบ้านเขาเต็มที แม่อ่อนคิดว่าเหมาะกับชายรุจแล้วหรือ เพราะต่อไปเด็กคนนี้จะต้องไปเป็นภรรยาข้าราชการนักการทูตนะแม่อ่อน”
“แหม...ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่ ชายรุจก็แค่ลูกแม่ช้องนาง ต้นห้องหม่อมอุบล ได้เทวพรหมปลายสายมาเป็นคู่หมายก็ถือว่าดีมากแล้ว”
หม่อมเอียด และสองหนุ่มถอนใจกับความคิดของย่าอ่อน
“แล้วชายรุจล่ะ รู้เรื่องนี้แล้วรึยัง”
“ยังค่ะ น้องต้องมารายงานคุณพี่ก่อน ถ้าคุณพี่เห็นชอบ น้องก็ว่าคืนนี้แหละเหมาะที่จะเรียกมาบอก เพราะอยู่กันพร้อมหน้า”
หม่อมเอียดพยักหน้า “งั้นคืนนี้ย่าจะขึ้นตึกไปกินข้าวเย็นด้วยนะ ขอให้ทุกคนอยู่ให้พร้อมหน้ากัน”
“ครับคุณย่า”
รัชชานนท์รับคำและหันไปมองหน้ารณพีร์ สองหนุ่มสบตากัน

ไม่นานหลังจากนั้น ธราธรและพุฒิภัทรอุทานออกมาพร้อมกัน ต่อหน้ารัชชานนท์และรณพีร์ที่เล่าเรื่องจบ
“หมั้นกับหลานสาวคุณชายเทวพันธ์ ยังมีหลงเหลืออยู่อีกหรือ” ธราธรเอ่ยขึ้น
“ครับ คราวนี้ไปหลงอยู่ที่พังงา” รณพีร์เหน็บ
“ชื่อ “กระถิน” งั้นเหรอ” พุฒิภัทรถาม
“ครับ” รัชชานนท์ตอบ
“แล้วหน้าตาเป็นยังไง” ธราธรถาม
“ก็คล้ำๆ คมๆ แบบสาวใต้ อายุเพิ่ง17 ครับ” รัชชานนท์บอก
พุฒิภัทรตกใจ “17! แล้วพูดจาเป็นอย่างไร”
“ไม่พูดไม่จาครับ เอาแต่ก้มหน้า ไม่รู้ว่าขี้อายหรือคงกลัวสำเนียงทองแดงหลุดก็ไม่ทราบ” รณพีร์ว่า
รัชชานนท์เสริม “ฉันว่าอย่างหลังนั่นแหละ ผมแน่ใจครับว่าคุณชายเทวพันธ์ เอาหลานตัวเองมาหลอกขายย่าอ่อนแน่ๆ เด็กไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆ อย่างที่อ้างเลยแม้แต่นิด”
ธราธรปรารภ “ทำไมคุณย่าอ่อนถึงทำแบบนี้”
“คงเพราะรู้เรื่องชายรุจติดต่อคุณวาดดาวละมังครับ เลยรีบหาคู่หมายให้” พุฒิภัทรเดาออก
“แต่ก็ไม่น่าหาคนที่ต่างกันถึงขนาดนี้” ธราธร ไม่สบายใจ
“เอาไงดีครับพี่ชายใหญ่ จะบอกพี่ชายรุจเลยไหมครับ” รัชชานนท์หารือ
“รอดูสถานการณ์ก่อน” ธราธรบอกน้องๆ
ระหว่างนั้นสมศรีและนายถนอมเดินผ่านมาพอดี สีหน้าดูมีเรื่องไม่ชอบมาพากล
“เออ....คุณผู้ชายคะ”
“มีอะไรแม่ศรี” พุฒิภัทรถาม
“แวะเข้าไปในครัวหน่อยไหมคะ คุณชายรุจอยู่ในโรงครัวค่ะ” สมศรีบอก
“แล้วทำไมละครับแม่ศรี” รณพีร์งง
“วันนี้คุณชายรุจลงครัวเองครับ กำลังตำน้ำพริกง่วนเลย” ถนอมบอก
สี่หนุ่มมองหน้ากันงงๆ

ทั้งสี่หนุ่มเข้ามาในโรงครัวที่อยู่แยกออกมาจากตัวตึก ตามมาด้วยสมศรีและถนอม สี่หนุ่มอึ้งไปกับภาพที่เห็น เพราะปวรรุจกำลังนั่งตำน้ำพริกอย่างขมักเขม้น แม่สาย กับแจ๋วช่วยเป็นลูกมืออยู่ ทุกคนดูเหมือนจะรู้เรื่อง “กระถิน” กันหมดแล้ว ยกเว้นชายรุจคนเดียว ทั้งสี่หนุ่มทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ชายรุจ วันนี้ลงครัวเองเลยนะ” ธราธรทัก
“หายแฮงค์แล้วเหรอ” พุฒิภัทรถามต่อ
“อาเจียนออกมาเมื่อกลางวัน แถมได้ซดต้มโคล้งป้าสาย เผ็ดจนควันออกหู เลยหายเมาเป็นปลิดทิ้งเลย” ปวรรุจว่า
“พี่ชายเลยลงครัว ตำน้ำพริกเองเลย” รัชชานนท์แปลกใจมาก
รณพีร์ด้วย “ทำไมถึงลงครัวเองละครับ”
“อ้าว...เห็นว่าคืนนี้หม่อมย่าจะมาร่วมโต๊ะกับพวกเราด้วย พี่ก็เลยโชว์ฝีมือน้ำพริกลงเรือเสียหน่อย”
ทุกคนมองหน้ากันเจื่อนๆ เช่นเดียวกับกลุ่มบ่าว
“เอ...หม่อมย่ามาร่วมโต๊ะแบบนี้ คงมีเรื่องสำคัญ เรื่องอะไรใครพอรู้บ้างไหม”
ทั้งสี่หนุ่มพูดออกมาพร้อมกัน ทำนองเดียวกัน
“ไม่มีอะไร” / “นึกไม่ออก” / “ไม่รู้จริงๆ ครับ” / “ไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่”
ปวรรุจมองทั้งสี่อย่างงุนงงในอาการ สีหน้าเหมือนจับพิรุธทั้งสี่ได้
“ฉันรู้แล้ว”
รณพีร์ตกใจโพล่งออกมาเป็นคนแรก “รู้อะไรครับพี่”
“หม่อมย่าคงดุที่พวกเราไปเมากันมาเมื่อคืนน่ะซี”
ทั้งสี่โล่งอกทันที พูดพร้อมกันอีกครั้ง
“คงเรื่องนั้นแหละ” / “ใช่ ใช่” / “ครับ ดุมาตั้งแต่เช้าแล้ว” / “คงอบรมภาคค่ำอีกที”
ปวรรุจมองหน้าทั้งสี่อีกครั้ง
“งั้น เดี๋ยวถึงเวลาอาหารค่ำเจอกัน”
ธราธรดันน้องๆ ออกจากห้องไป
“เดี๋ยวครับ”
ทั้งสี่หันมา ปวรรุจเดินมาตบไหล่พุฒิภัทร
“ขอบใจนายนะชายภัทรที่ชวนไปสนุกเมื่อคืน ทุกๆ คนด้วยที่เป็นห่วง แค่รู้ว่าทุกคนยังเป็นห่วงฉัน เท่านี้ก็ทำให้ฉันคลายใจเรื่องทุกข์ส่วนตัวไปได้มากแล้ว ขอบคุณทุกคนจริงๆ”

ปวรุจดึงพุฒิภัทรมากอดไว้ ทุกคนทั้งซึมทั้งอึ้งตามๆ กันรณพีร์เบือนหน้าไปทางอื่นกลัวน้ำตาซึม

“พอ พอ อย่าซึ้งมาก นี่...กลิ่นกะปินายยังหึ่งอยู่เลย” พุฒิภัทรแซว
ปวรรุจคลายกอด
“ถ้าหม่อมย่าดุพวกนาย เดี๋ยวฉันออกรับแทนเอง”
ทุกคนยิ่งอึ้ง
“เราจะรับผิดกันทั้งหมดนั่นแหละ”
รัชชานนท์และรณพีร์ก้มหน้า แล้วออกจากห้องครัวไปอย่างสลด ปวรรุจกลับไปตำน้ำพริกต่ออย่างขันแข็ง
“ป้าสาย หยิบมะนาวให้ที”

“ค่ะ”

คืนนั้นวรรณรสา อ้าย เอื้อย มาส่งหม่อมเจ้าภาณุทัศนัย กำลังยืนรออยู่ที่โถงท่าอากาศยาน ขณะที่ท่านชายทัศน์กำลังยื่นเอกสารที่เคาน์เตอร์สายการบิน

“ท่านหญิง จะไม่ทูลความจริงท่านชายจริงๆ เหรอคะ” เอื้อยถามย้ำ ยังกังวลอยู่
“ไม่หรอก อย่าลืมซี ทริปนี้เราจะต้องไปแบบผจญภัยสุดเหวี่ยงเลย” วรรณรสายืนยัน
อ้ายเห็นดีด้วยเต็มที่ “ใช่ ใช่ จะต้องเป็นการไปเที่ยวสวิตครั้งที่เราจะลืมไม่ลงเชียวละ หนูอ้ายจะนำทัวร์เอง
เพราะสวิตสำหรับหนูอ้ายหลับตาเดินยังได้”
เอื้อยมองอ้ายอย่างหมั่นไส้เพราะราคาคุยทั้งนั้น
ภาณุทัศนัยออกมาจากเคาน์เตอร์ตรงมาหาสามสาว
“เรียบร้อยแล้ว ขอบทัยหญิงแต้ว แล้วก็ขอบใจหนูอ้าย หนูเอื้อยที่อุตส่าห์มาส่ง”
“พี่ชายทัศน์เดินทางทั้งที ไม่มาส่งได้ยังไงละคะ” วรรณรสาว่า
“หญิงแต้ว พี่ชายคงคิดถึงหญิงแต้วมาก” ภาณุทัศนัยพูดหวานซึ้ง
“หญิงก็เช่นกันค่ะ”
“ส่งข่าวไปบ้างนะ พี่ชายทัศน์จะรออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
อ้ายกะเอื้อยอมยิ้ม
“ที่จริงหญิงอยากเดินทางไปสวิตบ้างจัง ถ้าหญิงจะทูลขอพี่ชายตามเด็จไปสวิตบ้างละคะ” วรรณรสาหยั่งเชิง
ภาณุทัศนัยชักสีหน้าทันที “ไม่ได้นะคะหญิง เด็จไปต่างแดนองค์เดียวตามลำพังได้ยังไง”
“ไม่ลำพังค่ะ มีหนูอ้าย หนูเอื้อยไปกับหญิงด้วย”
แฝดหัวเราะคิกท่านชายทัศน์หน้าเครียด
“ยิ่งไม่เหมาะใหญ่”
สามสาวเจื่อนลงทันที
“ทำไมล่ะคะ”
ภาณุทัศนัยดึงวรรณรสาแยกมา สาวแฝดยิ่งเจื่อนลง
“พี่ต้องทำงานนะ ไม่มีเวลารับรองหญิงกับเพื่อนหรอก ไปกันเยอะคนเท่าไหร่ก็ยิ่งรบกวนสถานทูตมากขึ้นเท่านั้น หญิงประทับรอพี่อยู่ที่นี่แหละ อีกไม่กี่เดือนพี่ชายก็จะหมดโพสท์ จะกลับมาถาวรแล้ว และวันนั้น เราจะมีความสุขที่สุด”
“ทำไมเหรอคะ”
“อ้าว...เราจะเข้าพิธีเสกสมรสกันไง” ภาณุทัศนัยจ้องตาซึ้ง
วรรณรสาหน้าแดง เอียงอาย
“คราวนี้แหละ เราจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน ไปเที่ยวให้รอบโลกเลย”
“จริงนะคะพี่ชาย”
“ไม่ปดหญิงแต้วอยู่แล้ว”
เสียงเตือนเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องดังขึ้น
“พี่ชายต้องไปแล้วค่ะ”
“เดินทางปลอดภัยนะเพคะ บอง วัวยาจ”
ภาณุทัศนัยจูบที่ข้างแก้ม วรรณรสาหน้าแดงซ่าน ท่านชายทัศน์หันไปลาสองสาว คู่แฝดรีบไหว้ลา
ภาณุทัศนัยแยกไป วรรณรสาได้แต่มองตามอย่างอาลัย

ส่วนที่ห้องอาหารวังจุฑาเทพ ทุกคนนั่งร่วมกันพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร หม่อมเอียดนั่งหัวโต๊ะ ย่าอ่อนนั่งถัดมา จากนั้นพี่น้องทั้งห้านั่งประจำที่ของตน ทุกคนอยู่ในอาการสำรวม

แจ๋ว และสมศรีคอยปรนนิบัติเสิร์ฟข้าวและน้ำ
“เอาละ ที่เรียกมาทานข้าวร่วมกันในวันนี้ ย่ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเราทุกคน โดยเฉพาะเรา...ชายรุจ” หม่อมเอียดเอ่ยขึ้น
“ครับหม่อมย่า ถ้าเป็นเรื่องไปเที่ยวเมื่อคืน ผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวครับ” ปวรรุจว่า
“เรื่องเมื่อคืนย่าไล่เบี้ยตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเรียบร้อย รับผิดกันไปทั้งหมดนั่นแหละ”
“แล้วเรื่องอะไรหรือครับหม่อมย่า” ปวรรุจสงสัย
“ยังไม่มีใครบอกละซีนะ เมื่อบ่ายย่าอ่อนแวะไปที่วังเทวพรหม เพื่อไปดูหน้าค่าตาของหลานสาวคนสุดท้องของคุณชายเทวพันธ์”
ปวรรุจมองเห็นย่าอ่อนที่มีอาการกระหยิ่ม
“หลานสาวที่ว่าเป็นลูกสาวของหม่อมราชวงศ์วรพันธ์ น้องชายคนที่สามของตระกูล เธอชื่อว่าหม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม”
ปวรรุจหน้าเจื่อนลงทุกที เช่นเดียวกับพี่น้องทั้งสี่คน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอครับหม่อมย่า” ปวรรุจยังสงสัย
“เกี่ยวซี ย่ากับย่าอ่อนกับทางคุณชายเห็นพ้องต้องกันว่า หม่อมหลวงกระถินเหมาะจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเรา ชายรุจ”
ปวรรุจนิ่งงันไป วางช้อนและส้อมลง สีหน้านั้นสงบนิ่งจนทุกคนแปลกใจ
“ไม่ดีใจหรอกเหรอชายรุจ” หม่อมเอียดถาม
“ผมอยากทราบว่าหม่อมหลวงคนนั้นเหมาะสมกับผมอย่างไรครับ” ปวรรุจถาม
“เป็นถึงหม่อมหลวง จะไม่เหมาะได้ยังไง ก็ยังดีกว่าไปคว้าลูกพ่อค้าสามัญชนมาเป็นเมียละ” ย่าอ่อนว่า
“ถ้าคุณย่าหมายถึงวาดดาว ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะวาดดาวกำลังจะแต่งงานกับเศรษฐีชาวสวิตอยู่แล้ว”
ย่าอ่อนแปลกใจ “อะไรนะ”
“ผมขอถามรายละเอียดว่าคุณกระถินอายุเท่าไหร่ การศึกษาระดับไหน นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ที่หม่อมย่าบอกว่าเหมาะสมกับผม” ปวรรุจถามอีก
“แม่อ่อน อธิบายซิ หรือชายเล็ก ชายพีร์ก็ได้ เราไปเจอตัวเขามาแล้วเล่าให้ฟังหน่อย”
ทุกคนหันมามองรัชชานนท์และรณพีร์ ทั้งสองพูดอย่างลำบากใจ
“หม่อมหลวงกระถิน ยังเด็กมากครับ อายุแค่ 17 ปี” รัชชานนท์เล่า
รณพีร์เสริม “การศึกษาเห็นว่าจบมัธยมต้นเท่านั้นเอง”
“อุปนิสัยใจคอ” ปวรรุจซักต่อ
“ไม่ทราบเลยครับ เพราะน้องไม่ยอมพูดอะไรเลย ได้แต่ก้มหน้านิ่ง แล้วก็....เอ...ไม่รู้จะพูดดีไหม”
ทุกคนมองมาที่ชายเล็ก ย่าอ่อนตาเขียว
“พูดมาเถอะชายเล็ก” หม่อมเอียดบอก
“มีอาการ “คัน” ครับ คันในร่มผ้า เห็นเกายุกยิกอยู่ตลอดเวลา” รัชชานนท์เล่า
ย่าอ่อนหน้าเจื่อนไป
“เอาละ ผมได้คำตอบแล้ว หม่อมหลวงกระถินเหมาะสมกับผมตรงนี้เอง” ปวรรุจเอ่ยขึ้น
ธราธรงง “นายหมายความว่าอย่างไร ชายรุจ”
“เธอไม่ได้เหมาะกับผมในฐานะที่เธอเป็นหม่อมหลวง แต่เหมาะที่เธอเป็นเด็กสาวสามัญ มาจากป่าจากดอย เหมาะแล้วกับความเป็นคุณชายก้นครัวของผม” ปวรรุจประชดตัวเอง
ย่าอ่อนฉุน “ชายรุจ หยุดนะ ไม่ต้องมาพูดประชดประชัน ฉันไม่ได้หาเมียให้แกเพื่อจะแกล้งทับถมแก
ฉันหวังดีกับแกแท้ๆ”
“ก็เลยยกสาวบ้านป่าให้ผมอย่างนั้นซีครับ”
“ไม่ต้องมาย้อน ทางผู้ใหญ่คิดดีกันแล้วทั้งสองฝ่าย อ้อ หรือแกจะปฏิเสธ”
ปวรรุจพูดในท่าทีสงบ แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ไม่ครับ ผมยอมรับการตัดสินใจของผู้ใหญ่ เมื่อเห็นดีเห็นชอบ ผมก็ยินดี”
พี่น้องทั้งสี่หันมามองหน้ากัน หม่อมเอียดมองอย่างจับสังเกตปวรรุจ
“เพียงแต่ ผมขออย่างเดียว ให้ผมเสร็จภารกิจที่สวิตเสียก่อน เมื่อกลับมาผมยินดีแต่งงานกับหม่อมหลวงกระถินทันที”

ย่าอ่อนยิ้มออกมาได้ พี่น้องทั้งสี่มีสีหน้าไม่พอใจ

ปวรรุจหันมาทางหม่อมเอียด 

“หม่อมย่าครับ...ถ้าผมแต่งงานกับตระกูลเทวพรหมแล้ว ขอให้เป็นตามที่หม่อมย่าเคยดำริไว้นะครับ” 
“ว่าอย่างไรชายรุจ”
“ที่หม่อมย่าดำริว่ามีเพียงคนเดียวในพี่น้องทั้งห้า ถ้าได้แต่งกับทางเทวพรหม ก็ถือว่าปฏิบัติตามพระประสงค์ของท่านพ่อกับทางคุณลุงเทวพันธ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องบังคับน้องคนไหนให้แต่งกับสาวเทวพรหมอีกต่อไป”
“ได้...เป็นตามนั้น” หม่อมเอียดรับคำ
“เดี๋ยวค่ะคุณพี่”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วแม่อ่อน”
“ครับ ผมอิ่มแล้ว ผมขอตัว”
ปวรรุจออกจากห้องอาหารไป ทั้งหมดนิ่งงัน ย่าอ่อนค้อนหลานชายทุกคน สี่พี่น้องทำตาปริบๆ ส่วนแจ๋วและสมศรีมองหน้ากันอย่างอยากกระจายข่าวเต็มที

แจ๋วและสมศรีวิ่งเข้ามาในครัว ถนอมและป้าสายกำลังกินข้าวกันอยู่
“เรื่องใหญ่แล้วค่ะ” แจ๋วบอก ทุกคนหันมา
“คุณชายรุจปฏิเสธไม่รับหลานสาวเทวพรหมใช่ไหม” สายถาม
“ใครบอกละคะป้า รับค่ะ รับอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย”
ถนอมงงปนตกใจ “หา...ได้ยังไง คุณชายยังไม่เคยเจอตัวเด็กกระถินเลยนะ”
สมศรีนึกสงสัย “แล้วถ้าได้เจอล่ะพี่”
“ไม่มีวันรับแต่งน่ะซี โธ่ เด็กมาจากป่าแท้ๆ ตัวดำเป็นเหนี่ยง เห็นยายแย้มบอกว่า มาถึงวังตอนเช้าก็อาละวาดใหญ่เลย ร้องไห้แหกปากลั่น บอกจะกลับบ้านท่าเดียว แถมสำเนียงก็แปร่งฟังแทบไม่รู้เรื่อง”
สมศรีท้วง “เอ๊ะ แต่ที่เห็นคุณชายเล็กกับคุณชายพีร์พูดว่า สงบเสงี่ยมเจียมตัว คำน้อยก็ไม่พูด
เหมือนกลัวมะลิหลุดจากปาก”
ถนอมแฉ วงในสุดๆ “ก็ถูกขู่ไว้ บังคับให้เด็กมันเก็บงำอาการ จริงๆ น่ะ ทโมนไพรของแท้เลย”
สายตกใจ “อกอีแป้น”
แจ๋วต่อทันที “แล่นลึกเข้าตึกแขก”
“ต่อไปนี้ สะใภ้เข้าวังจุฑาเทพกลายเป็นสะใภ้บ้านป่าไปเสียแล้วละโว้ย คงสนุกละทีนี้”
สายว่า ทุกคนอึ้งทั้งแถบ

พี่น้องทั้งห้ารวมตัวกันอยู่ในห้องใต้โดม ปวรรุจสงบนิ่ง แต่สายตานั้นว่างเปล่าและอ่อนล้าเต็มที
“พี่ชายรุจตัดสินใจอย่างนี้ไม่ได้นะครับ ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ หน้าตายังไม่เคยเห็น จะมาร่วมหอลงโรงกันได้ยังไง” รณพีร์เปิดประเด็น
“แล้วถ้าได้เห็นตัวจริง พี่ชายก็ไม่มีวันยอมรับในตัวน้องกระถินได้หรอกครับ” รัชชานนท์ว่า
“จะบอกว่าน้องเขาไม่สวยเหรอ ไม่สำคัญหรอกเรื่องนั้น” ปวรรุจบอก
“ไม่ใช่เรื่องสวยไม่สวยครับ แต่น้องยังเด็กเหลือเกิน แถมยังไม่ประสีประสา” รัชชานนท์เสริม
ปวรรุจนิ่งไป
“อีกเรื่อง ที่นายเสียสละยอมแต่งกับเทวพรหมเพื่อให้อิสระกับพวกเรา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่นายพึงกระทำเลยแม้แต่นิด” พุฒิภัทรตำหนิ
“ฉันช่วยน้องๆ และนายด้วย พวกนายเองก็ไม่ชอบสาวเทวพรหมเลยสักคนไม่ใช่หรือ”
“รุจ นายควรปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพวกเรามากกว่านะ” พุฒิภัทรว่า
“ใช่ครับ ยิ่งพี่เสียสละให้พวกเราแบบนี้ พวกเรายิ่งรู้สึกผิด” รณพีร์บอก
“พี่ไม่มีทางเลือกหรอก เด็กบ้านป่าอย่างกระถินก็คงเหมาะกับคุณชายก้นครัวอย่างพี่ที่สุดแล้ว”
ธราธรขัดขึ้น “พอได้แล้วชายรุจ ที่นายทำทั้งหมด มันคือการประชดประชันตัวเอง ถ้านายเป็นคุณชายก้นครัว เราทั้งหมดมันก็แค่คุณชายกำมะลอ”
ปวรรุจก้มหน้า สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ชีวิตผมไม่มีทางเลือกนักหรอกครับ”
พุฒิภัทรเอ่ยขึ้นทันที “มีซี.....นายจะมาสิ้นหวังอย่างนี้ไม่ได้ รีบเดินทางไปสวิตเถอะ ให้เร็วที่สุด”
ปวรรุจเงยหน้ามองพุฒิภัทร ทุกคนประหลาดใจเช่นกัน
“อาทิตย์หน้าฉันต้องเดินทางอยู่แล้ว” ปวรรุจบอก
“ไม่ต้องรออาทิตย์หน้า เลื่อนไพลท์ ไปภายในอาทิตย์นี้เลย”
“ไม่ได้ ย่าอ่อนจะให้ฉันไปพบน้องกระถินก่อน” ปวรรุจไม่ยอม
“ไม่ควรไปพบอย่างยิ่ง ใช่ไหมชายเล็ก ชายพีร์”
“ใช่ครับ ไม่ควรครับ” รัชชานนท์บอก
“ยิ่งพบ ยิ่งสงสารทั้งตัวเอง ทั้งน้องกระถินครับ” รณพีร์ว่า
“รีบเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของนาย แล้วลืมเรื่องทางนี้เสียให้หมด ค่อยมาหาทางกันใหม่เมื่อนายกลับมาเมืองไทยแล้ว”
ปวรรุจมองหน้าพี่น้อง ทุกคนยิ้มอย่างเห็นด้วย
“ไปสวิต...ให้เหมือนครั้งที่นายยังเรียนอยู่ที่อังกฤษ คงไม่มีครั้งไหนในชีวิตนายที่มีความสุขเท่าครั้งนั้นใช่ไหม ชายรุจ” พุฒิภัทรว่า
ปวรรุจลุกขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ใช่...ไม่มีครั้งไหนมีความสุขเท่าสมัยเรียนอีกแล้ว ฉันควรกลับไปตามหาความฝันเก่าๆ อีกครั้ง ขอบใจที่เตือนนายภัทร”
ชายเล็กและชายพีร์ช่วยกันรินเครื่องดื่มให้ทุกคน
“เพื่อสิงห์จุฑาเทพของเรา” ธราธรนำดื่ม
ปวรรุจยิ้มออกมาได้ ทุกคนชูแก้ว
“เพื่อสิงห์จุฑาเทพของเราครับ”

ทั้งห้าคุณชายประสานเสียงชนแก้วแล้วดื่ม

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 2 (ต่อ)

สองวันต่อมา วรรณรสาและสาวแฝดกำลังร่วมโต๊ะเสวยกับฉัตรอรุณ

“เด็จพ่อเพคะ หญิงโทรเลขทูลพี่ชายทัศน์ไปแล้ว เรื่องจะตามเด็จไปสวิต”
“แล้วชายทัศน์ว่าอย่างไร”
“ทรงอนุญาตแล้วค่ะ พี่ชายทัศน์บอกว่าจะเตรียมต้อนรับพวกเราอย่างดีที่สุด เด็จพ่อทรงสบายพระทัยได้”
“แล้วลูกจะเดินทางกันเมื่อไหร่”
“วันจันทร์นี่แหละเพคะ”
“ดีละ เดี๋ยวพ่อจะโทรไปบอกชายทัศน์ไว้แต่เนิ่นๆ”
วรรณรสาและแฝดสะดุ้งมองหน้ากัน
“อย่าทรงโทรหาเลยเพคะ พี่ชายตอนนี้ทรงยุ่งอยู่กับงานประชุม แทบไม่มีเวลารับโทรศัพท์ด้วยซ้ำ”
“เอ...ลูกรู้ได้ยังไง”
“พี่ชายทรงตอบมาในโทรเลขน่ะซีคะ”
“ไม่เป็นไร งั้นเราสามคนเตรียมตัวเดินทางให้พร้อมนะ หนูอ้าย หนูเอื้อยดูแลหญิงแต้วด้วย อย่าให้ไปเที่ยวเตร่จนลืมพี่ชายทัศน์เสียล่ะ” ฉัตรอรุณบอก
อ้ายกะเอื้อยรับพร้อมกัน “เพคะ”
“อ้อ แล้วก็อย่าไปวุ่นวายกับชายทัศน์เสียจนเขาเสียงานด้วยนะ” ฉัตรอรุณกำชับ
“เพคะ” สามสาวรับพร้อมเพรียง
แฝดหัวเราะระรื่น สบตากับวรรณรสา ดีใจที่พระองค์ฉัตรไม่ทรงสงสัย

ในวันต่อมา ย่าอ่อนพาตัวเองมาอยู่ที่บ่อนคุณนายทองสุขตามปรกติ เล่นรัมมี่เช่นเดิม
“อ่อนอกอ่อนใจจริงจริ๊ง” ย่าอ่อนเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรอีกละคะคุณนาย” ทองสุขถาม
“ก็เจ้าชายรุจน่ะซี จะให้ไปดูตัวเด็กกระถินที่เป็นคู่หมาย ทำพิโยกพิเกนติดงานหลวงงานราษฎร์ นี่เข้ามาตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ยอมไปดูตัวเสียที ทางนั้นก็เลยเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อคอยอยู่”
สดใส ทองสุข และคุณนายมิ่งมองหน้ากันอมยิ้ม
“แน่ใจนะคะคุณนายว่าทางนั้นแต่งตัวเก้ออยู่จริงๆ” มิ่งถาม
“อ้าว ทำไมล่ะ เอ๊ะ แม่มิ่งพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ วันนั้นอิชั้นไปซื้อขนมน้องเกษรา เห็นหม่อมหลวงกระถินที่คุณนายบอกเข้าพอดี คงจะใช่แน่ๆ เพราะ...”
“สวยสมชายรุจใช่ไหมล่ะ” ย่าอ่อนว่า
มิ่งหัวเราะร่วน “อุ๊ย...สมค่ะ อย่างกะกิ่งทองใบหนาด เอ๊ย กิ่งทองใบหยก”
ย่าอ่อนค้อนคุณนายมิ่ง
“ทิ้งรึยังคะคุณ” สดใสเร่ง
“เร่งนัก ทิ้งก็ได้” ย่าอ่อนทิ้งอย่างหงุดหงิด
สดใสร้อง “ว้าย...ขอบคุณค่ะคุณนาย ทั้งโง่ ทั้งมืดนะคะ แถมมอมอีกต่างหาก”
ทองจันทร์ร้องตาม “ฮะเหย ฮะเหย เสียไม่รู้กี่ต่อค่ะ”
ย่าอ่อนโวยวาย “โอ๊ย....เลิกเล่นแล้ว มีแต่เสีย”
จู่ๆ แจ๋ววิ่งขึ้นมาบนบ้าน ร้องเรียกเสียงดัง
“คุณท่านขา เรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
ย่าอ่อนหมั่นไส้ “นังแจ๋ว แกก็เรื่องใหญ่ทั้งปีทั้งชาติ”
“แต่นี่ใหญ่จริงๆ ค่ะ วันนี้คุณชายรุจจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วค่ะ” แจ๋วบอก
“หา...ไปเมืองฝรั่งวันนี้ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ทราบค่ะ คงไม่อยากให้คุณท่านทราบมังคะ”
ย่าอ่อนลุกพรวดทันที
“อ้าว เดี๋ยวนะคะคุณนาย ค่าไพ่ยังไม่ได้จ่ายนะคะ” ทองสุขโวย
“ติดไว้ก่อนละกัน ฉันต้องไปแล้ว”
ย่าอ่อนวิ่งแจ้นออกไปกับแจ๋ว

สามคุณนาย ทองสุข มิ่ง และสดใสวิ่งตามออกมาดู ย่าอ่อนวิ่งลงเรือนพร้อมแจ๋ว
“นี่...ตกลงเป็นสาวบ้านป่าจริงๆ ใช่ไหม” ทองสุขถาม
“ก็ใช่น่ะซีคะ ตัวดำเป็นถ่าน แหกปากร้องลั่นวัง” สดใสว่า
“แหม...แล้วที่คุณนายเธอพูด สวยเหมือนชะลอมาจากสวรรค์” ทองสุขเหน็บ
“อย่าไปเชื่อน้ำมนต์คุณนายแกเลยค่ะ” มิ่งบอก
“แล้วที่ว่าแหกปากร้องน่ะ เรื่องอะไรคะ” ทองสุขสงสัย
“ก็ทางบ้านกำลังขัดสีฉวีวรรณ ให้หายจากกระดำกระด่างน่ะซี เด็กมันไม่เคย มันก็ร้องลั่นเหมือนโดนเชือด” สดใสบอก
“ก็แสดงว่าทางคุณชาย เอายายเด็กเมื่อวานซืนมาย้อมแมวขายคุณนายอ่อนแน่ๆ” ทองสุขว่า
“ไม่ผิดจากที่ว่าหรอกค่ะ เอานางลำหับมาชุบตัวให้เป็นนางบุษบาแท้ๆ เลย” มิ่งบอก
ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกัน

คุณชายทั้งหมด แต่งตัวหล่อเหลาพร้อมเดินทางไปส่งปวรรุจ ถนอม สาย และสมศรี ช่วยยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ ชายรุจกำลังร่ำลาหม่อมย่าเอียด
“เดินทางปลอดภัยนะลูก พระคุ้มครอง”
“ครับ หม่อมย่า”
“อย่าลืมเรื่องของฝากให้ท่านทูตพลเทพกับภริยาคุณหญิงท่านด้วยนะ”
“ครับ”
“ชายรุจ อย่าลืมนะ ไปปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ เกี่ยวกับกฎหมายทะเลอะไรนั่นย่าไม่รู้เรื่องด้วยหรอก ย่ารู้แต่ว่านี่เป็นงานสำคัญระดับชาติ เราต้องทำด้วยความมุมานะ มุ่งมั่นเพื่อประโยชน์ของชาติจริงๆ จะย่อท้อไม่ได้เลยนะลูก”
“ครับหม่อมย่า”
“อีกเรื่อง...ถึงย่าจะแก่ปูนนี้ แต่ความคิดย่าไม่ได้โบร่ำโบราณไปเสียทั้งหมด เรื่องเรากับเด็กกระถิน ถ้าไม่ชอบพอกัน ไม่ถูกใจกันจริง ๆ ย่าไม่ห้ามหรอกนะที่เราจะปฏิเสธ”
ปวรรุจเสียงเครือ “หม่อมย่า ขอบคุณครับ”
ปวรรุจน้ำตารื้น
“อีกอย่างที่เราพูดประชดน้อยใจตัวเองเรื่อง คุณชายก้นครัว น่ะ รู้ไหม ใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เรา”
“ย่าอ่อนมังครับ” ปวรรุจว่า
“ไม่ใช่ แม่ช้องนาง แม่ของเรานั่นแหละเป็นคนตั้ง” หม่อมเอียดบอก

ปวรรุจฉงน “แม่ช้องนางเหรอครับ”

พี่น้องทั้งสี่มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ หม่อมเอียดเล่าต่อ

“ใช่...เขาตั้งตามนิสัยชอบปรนนิบัติเอาใจทุกคนของเราไงล่ะ ด้วยความที่เราเอื้ออารีกับทุกคน ชายรุจถึงเป็นที่รัก เป็นที่พึ่งของพี่น้องมาถึงบัดนี้ เพราะฉะนั้นภูมิใจไว้เถิด คำว่า “คุณชายก้นครัว” มันคือคำชื่นชมแท้ๆ ไม่ใช่คำที่ดูถูกดูแคลนเราแม้แต่สักนิด”
ปวรรุจซาบซึ้ง น้ำตาไหล โผเข้ากอดย่าเอียดแน่น พี่น้องคนอื่นพลอยซึ้งตามไปด้วย ระหว่างนั้น ย่าอ่อนวิ่งเข้ามา ตามด้วยแจ๋ว
“อะไรกันคะคุณพี่ ชายรุจ แกจะเดินทางวันนี้เหรอ”
“ใช่ครับย่าอ่อน” ปวรรุจบอก
“แกไม่คิดจะบอกฉันสักนิดเลยใช่ไหม” ย่าอ่อนเสียงดัง มองไปที่พี่น้องและบ่าว “อ้อ ร่วมมือกัน
ไม่มีใครบอกฉันสักคน คุณพี่คะ นี่แสดงว่าชายรุจไม่ทำตามที่ตกลงไว้”
“อะไรเหรอ” หม่อมเอียดสงสัย
“ก็จะต้องไปพบหนูกระถินก่อนเดินทางน่ะซีคะ ทางคุณชายเขาก็ถามอยู่ทุกวัน”
“ฉันอนุญาตให้ชายรุจไม่ไปพบเด็กกระถินเองแหละ” หม่อมเอียดว่า
ย่าอ่อนอึ้ง “อ้าว”
“ชายรุจกำลังคร่ำเคร่งเรื่องเอกสารทางกฎหมาย จะมาเสียสมองกับเรื่องส่วนตัวอยู่ไม่ได้ การเลื่อนการเดินทางให้เร็วขึ้นก็เป็นอีกเหตุผลนึง”
ย่าอ่อนเหน็บแนม “แหม...น้องกลับนึกว่าอีกเหตุผลนึงที่รีบไปสวิต ก็คือรีบไปพบแม่วาดดาวเสียละมากกว่า”
ปวรรุจหน้าเจื่อน
“เออ...ผมว่ารีบเดินทางเถอะครับ ใกล้เวลาแล้ว”
ปวรรุจเอ่ยขึ้น “ย่าอ่อนครับ สิ่งที่ผมให้คำมั่นไปแล้ว ผมไม่คืนคำหรอกครับ ผมลา”
ปวรรุจไหว้ลา แล้วเข้ากอดย่าอ่อนทันที ย่าอ่อนมีอาการแข็งขืนเล็กๆ ปวรรุจผละออก แล้วขึ้นรถ ย่าอ่อนใจหายวาบ พี่น้องทั้งหมดตามขึ้นไป รถแล่นออก
ย่าอ่อนมองตามรถไปแอบซ่อนสีหน้าจากพี่สาว เพราะน้ำตากำลังรื้นขึ้นมา

พี่น้องทั้งหมดยืนส่งปวรรุจหน้าเกท ตรงโถงผู้โดยสารขาออก
“หนีไปนานๆ เลยพี่ชายรุจ เสร็จภารกิจแล้ว หาเรื่องอยู่ต่อได้ยิ่งดี” รณพีร์แนะนำ
ธราธรเอ็ดเอา “ทำไมพูดอย่างนั้นชายพีร์ ชายรุจไปทำงานนะ ไม่ได้หนีอะไรสักหน่อย”
รณพีร์ไม่วาย “แต่ก็ควรหนีนะครับ ผมอยากให้ย่าอ่อนผิดหวังอีกรอบ หลังจากพี่ชายใหญ่หนีพ้นบ่วงแร้วไปได้คนนึงแล้ว ตอนแรก คิดว่าพี่ชายรุจจะรอด สุดท้ายไปหามาให้จนได้”
พุฒิภัทรเสริม “ถ้าเป็นฉันนะชายรุจ ฉันจะรีบขอออกโพสท์ ไปประจำประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่างน้อยก็หนีได้อีกสี่ปี”
ระหว่างนั้นอีกด้านหนึ่งของโถง วรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินมาด้วยกัน กระเป๋าเดินโหลดเข้าเครื่องเรียบร้อย อ้ายดูหนังสือท่องเที่ยวสวิต ส่วนเอื้อยดูหมายกำหนดการเดินทาง
“เราจะต้องแวะพักเครื่องที่เตหะรานก่อน” เอื้อยบอก
วรรณรสาหยุดเดิน ยืนนิ่งมองไปที่ปวรรุจ ที่ยืนอยู่พร้อมหน้ากับสี่พี่น้อง
อ้ายอ่านไปด้วยถามไปด้วย “ท่านหญิงคะ เราไปลงเครื่องที่ซูริค จากนั้นเราจะต่อรถไฟไปที่เบิร์น”
เอื้อยเห็นอาการของวรรณรสา รีบสะกิดอ้าย
“ท่านหญิงคะ เป็นอะไรไป”
“ดูนั่นซี”
แฝดทั้งสองมองตามเห็นกลุ่มคุณชายทั้งห้า ปวรรุจยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ในกลุ่มพี่น้อง
“คุณชายจุฑาเทพ ครบทั้งห้าเลยค่ะ” เอื้อยตื่นเต้น
“โอ้โฮ...คราวนี้คุณชายพุฒิภัทรก็มาด้วย” อ้ายบอก
“จะไปไหนกันคะ เราเข้าไปถามเลยดีไหม”
ขาดคำของเอื้อย ปวรรุจหันมาสบตาเข้ากับวรรณรสาพอดี ท่านหญิงยืนตะลึงไป ส่วนปวรรุจมองวรรณรสานิ่ง ตะลึงในความงาม
วรรณรสามองตอบใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะเป็นการเห็นกันจะจะครั้งแรก วรรณรสาหวังว่าปวรรุจจะจำเธอได้
เห็นปวรรุจออกอาการแปลกไป รัชชานนท์เลยเรียกขึ้น
“พี่ชายรุจครับ”
ปวรรุจเบือนหน้าจากวรรณรสาหันไปทางชายเล็ก
วรรณรสาหน้าเจื่อนไป
“อุ๊ย คุณชายเห็นท่านหญิงแล้ว เข้าไปทักเลยดีไหมคะ” เอื้อยเนื้อเต้น
“ไม่...ก็เห็นอยู่ว่าเขาจำหญิงไม่ได้ เข้าเกทเถอะ”
สามสาวแยกเข้าประตูผู้โดยสารไปขึ้นเครื่อง

รัชชานนท์เอ่ยถามขึ้น “พี่ชายไม่อยากเห็นหน้าน้องกระถินสักหน่อยหรือครับ”
“เห็นหน้า” ปวรรุจฉงน
รัชชานนท์ยื่นซองส่งให้ “นี่ไงครับรูปว่าที่คู่หมั้นพี่ชายรุจ เพิ่งอัดล้างมาสดๆ ร้อนๆ”
ทั้งสี่มองหน้ากันอมยิ้ม ปวรรุจมองซองน้ำตาลนิ่ง
“ไม่เปิดดูเสียหน่อยละครับ” รณพีร์คะยั้นคะยอ
ปวรรุจถอนใจ ส่ายหน้า
“ไม่ละ” พลางยิ้มกลบเกลื่อน “พี่ไม่เปิดต่อหน้าพวกนายหรอก เอาไว้อยู่ลำพังค่อยเปิดดู”
ทั้งหมดหัวเราะสนุก
“แน่ะ เผื่อจะเกิดติดตาต้องใจขึ้นมาละซี” รณพีร์เย้า
“ทำนองนั้น” ปวรรุจยิ้มขำ
พี่น้องทั้งสี่เห็นปวรรุจอารมณ์ดี พลอยดีใจกันทุกคน
“ทำงานเพื่อชาติให้เต็มที่นะน้องพี่”
ธราธรดึง ปวรรุจมากอด พุฒิภัทรเข้ามากอดเป็นคนที่สอง
“เข้มแข็งนะ เลือกในสิ่งที่หัวใจนายต้องการที่สุด”
ปวรรุจพยักหน้า รัชชานนท์และรณพีร์เข้ามากอดพร้อมกัน
“อีกสองเดือนเจอกันครับพี่ชาย”
“เทคแคร์ครับ ซื้อมีดพกสวิสอาร์มี่ฝากผมด้วยนะ” รณพีร์ย้ำเรื่องของฝาก
ปวรรุจหัวเราะ “ไม่ลืมอยู่แล้วชายพีร์”
ปวรรุจยิ้มให้กับพี่น้องทุกคน ก่อนแยกเข้าเกทไป สี่พี่น้องมองตาม ธราธรรำพึงอวยพรน้องออกมา
“ขอให้ชายรุจพบสิ่งที่เขาปรารถนาเถิด”

น้องทั้งสามอำนวยพรให้คุณชายปวรรุจอยู่ในใจเช่นกัน

ส่วนวรรณรสาและสองแฝดนั่งรอตรงโถงพักหน้าทางออกขึ้นเครื่อง เตรียมจะออกประตูไปขึ้นเครื่อง อ้ายยังจดจ่ออ่านไกด์บุคอย่างขะมักเขม้น เพราะไม่เคยศึกษามาก่อน เพิ่งมาอ่านเอาตอนนี้

ระหว่างนั้นปวรรุจเดินมานั่งตรงข้ามสามสาวพอดี วรรณรสากำลังคุยกับเอื้อยเพลินอยู่ เอื้อยเหลือบมองปวรรุจ ที่กำลังหยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านรายละเอียดและขั้นตอนการทำงาน
เอื้อยกระซิบบอกเบาๆ “ท่านหญิง คุณชายค่ะ”
อ้ายและวรรณรสามองมาที่ปวรรุจที่มานั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนแกล้ง วรรณรสาตื่นเต้นเนื้อตัวเย็นฉียบ
อ้ายกระซิบ “คุณชายรุจ อุ๊ย...มานั่งตรงนี้เหมือนแกล้งเลยค่ะท่านหญิง แสดงว่าไปไฟลท์เดียวกับเรา”
เอื้อยมั่นใจ “ไปสวิตแน่เลย แสดงตัวเลยไหมคะท่านหญิง จะได้รู้กันไปเลยว่าคุณชายจำท่านหญิงไม่ได้จริงรึเปล่า”
อ้ายเห็นงามตาม “เห็นด้วยค่ะ จำไม่ได้หรือทำขี้เก๊กกันแน่ ต้องพิสูจน์ค่ะท่านหญิง”
“รสาว่าเราย้ายที่นั่งกันเถอะ อย่าไปยุ่งกับคุณชายขี้เก๊กเลย”
ปวรรุจเหมือนจะได้ยินคำท้าย จึงเงยหน้าขึ้นมองสามสาว แล้วยิ้มให้ อ้ายและเอื้อยยิ้มตอบทันที
มีวรรณรสาคนเดียวที่หน้าเชิด ปวรรุจยิ้มให้อยู่อย่างนั้น อ้ายและเอื้อยรีบยกมือไหว้พร้อมกัน ชายรุจรับไหว้อย่างเก้อๆ งงๆ
“สวัสดีค่ะคุณชายปวรรุจ”
“สวัสดีครับ เราเคยรู้จักกันมาก่อนไหม” ปวรรุจมีสีหน้าฉงนสนเท่
“ค่ะ แต่นานมากแล้ว สมัยเมื่อคุณชายไปเที่ยวที่วัง...”
อ้ายจะหลุดคำว่าวังอรุณรัศมิ์ เลยถูกวรรณรสาแอบหยิกเอาเสียก่อน อ้ายสะดุ้ง
“ขอโทษจริงๆ ผมจำพวกคุณไม่ได้เลย ผมไปที่เที่ยวที่ไหนหรือ”
ปวรรุจไม่มีท่าว่าจะจำได้ วรรณรสาหน้าเชิดขึ้นกว่าเดิม
อ้ายเลยรีบปด “เอ...จำไม่ได้แล้วเหมือนกันค่ะ”
“รู้จักผมแล้ว ช่วยแนะนำตัวพวกคุณด้วยซีครับ”
“อ๋อ ค่ะ หนูอ้ายเป็นแฝดกับหนูเอื้อยค่ะ ส่วนนี้ท่าน...”
วรรณรสาชิงพูดก่อน “รสาค่ะ เพื่อนสนิทของหนูอ้าย หนูเอื้อย”
ปวรรุจอึ้งไปกับเสียงห้วนๆ ของหญิงสาว และใบหน้าเย็นชาเชิดหยิ่ง สายตาที่ปรามแฝดทั้งสอง
“ไปเที่ยวสวิตเหรอครับ”
“ค่ะ แล้วคุณชายละค่ะ” เอื้อยบอกพลางย้อนถาม
“ผมไปประชุมที่สวิต”
เอื้อยซักต่อ “ประชุมอะไรเหรอคะ ทานโทษ...คุณชายทำงานอะไรไม่ทราบ”
“เออ...ผมเป็นข้าราชการนักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ”
วรรณรสาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าปวรรุจอยู่กระทรวงต่างประเทศ สามสาวมองหน้ากัน คิดไปในทำนองเดียวกัน
“งั้นก็ต้องไปร่วมประชุมงานเดียวกับท่านชายทัศน์”
“ขึ้นเครื่องเถอะ พนักงานเรียกแล้ว” วรรณรสาบอกสองสาว
ปวรรุจพยักหน้าให้ วรรณรสาลุกทันที อ้ายและเอื้อยยิ้มเจื่อนๆให้ปวรรุจ แล้วตามท่านหญิงไป
“เดี๋ยวเจอกันบนเครื่องนะคะคุณชาย”
วรรณรสาแยกไปโดยไม่สนใจปวรรุจอีก นั่นยิ่งทำให้ชายรุจสงสัยในท่าที
กลุ่มสาวสาวเดินพ้นมา เอื้อยรีบถาม
“งั้นก็ไปประชุมงานเดียวกับท่านชายทัศน์น่ะซี ท่านหญิง”
“เพิ่งรู้ว่า พี่ชายรุจทำงานกระทรวงต่างประเทศ งั้นซีท่าทางเปลี่ยนไปจากสมัยเด็กๆ เป็นคนละคน” วรรณรสา
“เท่ห์ สมาร์ท มากเลยค่ะ” อ้ายยิ้มระรื่น
วรรณรสาทำหน้าไม่เห็นด้วย ทั้งๆ ที่ในใจก็เห็นด้วยอยู่ไม่น้อย

เครื่องบินจอดรอผู้โดยสารที่ลานบิน วรรณรสาลงนั่งที่นั่งติดกับหน้าต่าง เอื้อยนั่งข้าง อ้ายนั่งถัดมาเก้าอี้สามที่นั่งตอนกลาง ติดกับผู้โดยสารอื่น
“หนูอ้าย หนูเอื้อย ต่อหน้าอีตาคุณชาย เรียกรสาว่ารสาเท่านั้นนะ อย่าเรียกท่านหญิงเด็ดขาด” วรรณรสากำชับสองแฝด
เอื้อยงง “ทำไมละคะ”
“รสาไม่อยากให้เขารู้ว่ารสาคือใคร ในเมื่อจำไม่ได้ ก็ให้จำไม่ได้ตลอดไป” วรรณรสางอนนิดๆ
ปวรรุจเดินตรงมาพอดี ดูนัมเบอร์เลขที่นั่งไปด้วย สองสาวแฝดยิ้มให้
“นั่งตรงไหนคะคุณชาย” อ้ายถาม
“เออ....สงสัยที่นั่งตรงนี้เป็นของผม”
ปวรรุจมองมาที่เอื้อยนั่งอยู่ วรรณรสาตัวเย็นเฉียบ คิดในใจ...ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
“ขอโทษค่ะ ตายจริงของหนูเอื้อยติดกับหนูอ้ายนี่นา”
เอื้อยลุกทันที
“เดี๋ยว...หนูเอื้อยมานั่งแทนรสาก็ได้ รสาไปนั่งกับหนูอ้ายเอง”
อ้ายสวนออกมาทันที “ไม่เป็นไรหรอกรสา รสาอยากเห็นวิวไม่ใช่เหรอ รสานั่งตรงนั้นถูกแล้ว มาหนูเอื้อยมานั่งข้างกันตรงนี้”
เอื้อยแยกไปนั่งข้างหนูอ้ายทันที วรรณรสาพูดไม่ออก ปวรรุจมองหน้าราชนิกุลสาว วรรณรสารู้ตัวสะบัดหน้าไปทางหน้าต่าง
ปวรรุจเก็บกระเป๋าใบเล็กเหนือหัว เหลือแต่กระเป๋าสะพาย แล้วลงนั่งข้างวรรณรสา
วรรณรสาพยายามกระเถิบเบียดร่างชิดหน้าต่าง เหมือนรังเกียจปวรรุจ

ปวรรุจมองด้วยท่าทีอึดอัดนิดหน่อย อ้ายเอื้อยแอบมองแล้วยิ้มให้กัน

เวลาผ่านไป เครื่องบินกำลังบินผ่านเมฆกลุ่มใหญ่ ปวรรุจและท่านหญิงรสานั่งกันอยู่ในความมืด ทั้งสองหลับตา ไฟในเครื่องบินปิดทั้งลำ มีเพียงแสงจากด้านในสุดของโถงที่เป็นห้องครัวและห้องสุขา

ทันใดนั้นเครื่องบินสะท้านไปทั้งลำ แสงไฟเตือนให้รัดเข้มขัดกระพริบขึ้น ผู้โดยสารทุกคนสะดุ้งตื่น พนักงานเตือนให้รัดเข็มขัด ทุกคนปฏิบัติตาม เครื่องสะท้านอีกครั้ง พนักงานเซไป อ้ายและเอื้อยหวีดร้องออกมาเช่นเดียวกับผู้หญิงอื่นๆ ในเครื่อง
วรรณรสาตัวเกร็ง จิกที่นั่งแน่น เครื่องสั่นรุนแรงอีกครั้ง คราวนี้รถเข็นเครื่องดื่ม กระจายเกลื่อน พนักงานหวีดร้อง แล้วรีบกลับมานั่งรัดเข็มขัด
เครื่องกระแทกแรง ที่เก็บสัมภาระเหนือหัวมีของหล่นกระจาย ผู้โดยสารทั้งไทยทั้งต่างชาติร้องกันเอะอะ
วรรณรสาหวีดร้องมือที่จิกพนักแน่น กลับมาจิกที่แขนของปวรรุจโดยไม่รู้ตัว ปวรรุจหน้าเหยเพราะเจ็บ
“คะ คุณรสา...เป็นอะไรรึเปล่า”
วรรณรสาหอบหายใจ “มะ...มะ...ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร”
เครื่องสะท้านเสียงลั่นทั้งลำ วรรณรสาเบือนหน้ามาทาง ปวรรุจ แล้วซบหน้ากับไหล่ของเขา แขนที่จิกอยู่เปลี่ยนเป็นกอดร่างไว้แน่น ปวรรุจตัวเกร็ง เหลือบมองไปทางแฝด เห็นว่าทั้งสองหลับตาปี๋ พนมมือสวดมนต์พึมพำพร้อมกันทั้งสองนาง ถัดไปเห็นผู้โดยสารชาติต่างๆ ทำการหลับตาสวดมนต์ตามศาสนาตัวเองทั้งแถบ ปวรรุจโอบร่างของวรรณรสาไว้กอดกระชับแน่น วรรณรสากอดครางฮือๆ ซบหน้ากับอกปวรรุจ เครื่องยังสั่นไม่เลิก แล้วจังหวะหนึ่งวรรณรสาเกิดอาการขยักขย่อน ทำท่าจะอาเจียน ปวรรุจรีบดันร่างวรรณรสาออก แล้วคว้าหยิบถุงอาเจียนส่งให้ วรรณรสาโอ้กอ้าก ปวรรุจเอื้อมมือมาลูบหลังให้
จนวรรณรสาอาเจียนเรียบร้อย ปวรรุจส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ท่านหญิงรับผ้าเช็ดหน้าไปอย่างเร็ว ทั้งกลัวทั้งอับอาย
เมื่อเครื่องหายสั่นแล้ว พนักงานเริ่มมาดูแลผู้โดยสาร เสิร์ฟน้ำให้ ปวรรุจส่งแก้วน้ำให้วรรณรสา
“ดื่มน้ำเสียสิ”
“ขอบคุณค่ะ ผ้าเช็ดหน้าคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอก เก็บไว้เถอะ”
วรรณรสามอง ปวรรุจแว่บหนึ่ง แล้วไม่กล้าสบตาอีก
“ยังให้รัดเข็มขัดอยู่ อีกสักพักค่อยไปห้องน้ำก็ได้”
วรรณรสามองไปทางสาวแฝด ที่ยังหลับตาสวดมนต์อยู่
“ไม่ต้องห่วงเพื่อนเธอหรอก เขา...ไม่ตกใจเท่าเธอ” ปวรรุจว่า
วรรณรสามองค้อนหนึ่งวง
“เมื่อกี้คุณคงอยากหัวเราะเยาะฉันซีนะ”
“หืมม์ ฉันจะไปหัวเราะเยาะเธอเรื่องอะไร”
“ก็ฉัน... เสียขวัญขนาดนั้น”
“มีคนที่เสียขวัญมากกว่าเธอเยอะ อย่างเธอนี่นับว่าเก่งมากแล้ว”
วรรณรสาไม่ต่อความปวรรุจ อ้ายกับเอื้อยลืมตาขึ้นพอดี
“เรายังไม่ตายนะหนูอ้าย”
“ใช่ ท่าน....เอ๊ย รสา เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรแล้ว หนูอ้าย หนูเอื้อยล่ะ” วรรณรสาหันไปถาม
“สวดหาหลวงพ่อโตแล้ว ท่านคุ้มครองเราปลอดภัยแล้วละ” อ้ายว่า
ปวรรุจยิ้มกับสามสาว
“แล้วคุณชายละคะ เป็นยังไงบ้าง” เอื้อยถาม
“ไม่เป็นไรเลย ฉันนั่งเครื่องบ่อยสมัยอยู่อังกฤษ ค่อนข้างชินกับเครื่องตกหลุมอากาศแบบนี้”
ระหว่างไฟเตือนรัดเข็มขัดดับลงพอดี วรรณรสาถอดเข็มขัด
“ขอโทษค่ะ ฉันจะเข้าห้องน้ำ”
ปวรรุจขยับให้ วรรณรสาลุกไปทันที ปวรรุจถอนใจ

ขณะเดียวกัน เทวพันธ์รับสายจากย่าอ่อนอยู่ในห้องโถง มารตี และวิไลรัมภา เดินเข้ามาฟัง
“อะไรนะครับคุณป้า ชายรุจเดินทางไปสวิตแล้วเหรอครับ”
ย่าอ่อนโทร.มาจากห้องโถงใหญ่ชั้นล่างของวังจุฑาเทพ
“ป้าก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน ทุกคนปิดเป็นความลับกันหมดว่าชายรุจจะเดินทางวันนี้ คุณชายเทวพันธ์อย่าถือเป็นอารมณ์เลยนะคะ”
“มันก็ต้องถือละครับ ชายรุจหนีไปไม่บอกกล่าวกันอย่างนี้ แสดงว่าชายรุจไม่อยากพบกระถิน อย่างนี้กระถินหลานผมเสียนะครับคุณป้า” เทวพันธ์ฉุนนิดๆ
“ใจเย็น ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ชายรุจเขายืนยันมั่นเหมาะแล้วล่ะค่ะ ว่ากลับมาจากสวิต เขายินดีเข้าพิธีแต่งกับกระถินทันที”
เทวพันธ์ยิ้มออกมาได้ “จริงนะครับคุณป้า”
“จริงซีคะ”
“ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องซ้ำรอยอย่างคราวเกษรากับคุณชายธราธร ผมละอับอายเหลือเกิน”
“ไม่แน่นอนค่ะ ชายรุจจะไม่เป็นอย่างชายใหญ่แน่นอน คุณชายนอนใจเถอะนะ” ย่าอ่อนย้ำหนักแน่น
“ขอบคุณครับคุณป้า”
แล้วเทวพันธ์ก็วางสาย
“พี่ชายรุจเดินทางไปสวิตแล้วเหรอคะคุณพ่อ” มารตีถามทันที
“ใช่”
“แสดงว่าไม่มาหายายกระถินแล้ว คงจะรังเกียจ แหม...นึกแล้วขายขี้หน้าจัง คุณชายจุฑาเทพรังเกียจสาววังเทวพรหม” วิไลรัมภาว่า
“คุณพ่อส่งตัวนังกระถินกลับไปเถอะค่ะ แล้วก็เลิกล้มการจับแต่งเสียที” มารตีบอกบิดาอย่างฉุนเฉียว
“เอ๊ะ แกสองคนนี่คิดเหมือนยายเกษราเข้าไปทุกทีแล้ว นึกซี นึกถึงสมบัติของจุฑาเทพที่เราจะได้มา ทั้งที่ดินทั้งทรัพย์สินเงินทอง”
“คุณพ่อคะ คุณชายก้นครัวอย่างคุณชายปวรรุจ จะได้สมบัติมาสักกี่มากน้อยกันเชียว หม่อมช้องนางก็แค่นางคนใช้ ไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง สมบัติที่ตกกับคุณชายรุจ ก็คงแค่เศษๆ เงินเท่านั้นแหละค่ะ” มารตีดูแคลน
“ถึงจะเศษเงิน แต่มันมีมูลค่าเป็นล้านๆ ละ แกจะเอาไหมล่ะ” เทวพันธ์ถาม
สองสาวประสานเสียง “เอาค่ะพ่อ”
“ก็เท่านั้น”
จู่ๆ ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากหลังบ้าน
“อ้าว เสียงอะไรน่ะ” เทวพันธ์ถาม
“จะเสียงใครละค่ะ ถ้าไม่ใช่นังลิงกังกระถิน” มารตีบอก
ทั้งสามออกจากห้องทันที

สามพ่อลูกวิ่งออกมาที่ลานหลังวัง พบว่ากระถินกำลังแช่อยู่ในอ่างใบใหญ่ น้ำที่แช่อยู่เป็นน้ำสีเหลืองปนสีขาวขุ่นของขมิ้นผสมน้ำนม เกษรา แหวว และแย้ม กำลังช่วยกันกดร่างของกระถินลงในน้ำนั้น  
“ไม่เอา ไม่อาบ พ่อแม่ช่วยลูกด้วย” กระถินร้องเสียงดัง
“เงียบๆ ค่ะคุณกระถิน จะร้องไปไหน” แย้มบอก
“อยู่เฉยๆ ค่ะ แค่ขัดตัว ไม่เจ็บหรอก” แหววปลอบ
เทวพันธ์ได้โวยวายลั่น “อะไรกัน ร้องเอะอะลั่นบ้าน”
“กระถินน่ะซีคะ ไม่ยอมอาบน้ำ จะขัดตัวด้วยน้ำขมิ้นผสมน้ำนม ยังไม่ยอมอาบเลยค่ะ” เกษราว่า
“ก็มันแสบ ขมิ้นก็คัน เมื่อวานก็อาบ คันคะเยอทั้งตัวเลย” กระถินเถียง
“สงสัยจะแพ้ค่ะ แพ้ทุกอย่างที่ทำให้มันดูเป็นผู้ดี” มารตีแดกดัน
“ปล่อยกลับเข้าป่าไปเลยดีกว่าค่ะ” วิไลรัมภาว่า
“ยายกระถิน แกฟังนะ แม่แกให้ฉันเป็นผู้ปกครองแกแล้ว เพราะฉะนั้นพี่ๆ เขาสั่งให้ทำอะไรแกต้องทำ ไม่ใช่มาร้องแหกปากเป็นลิงค่างอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าแกไม่เชื่อฟัง ฉันจะเฆี่ยนด้วยหวายให้หลังลายไปเลย”
กระถินชักกลัว สงบปากลง แต่ยังสะอื้นอยู่
เทวพันธ์เรียกเสียงดัง “ยายเกษ”
“คะ”
“วันนี้ขายขนมดีไหม”
“ดีค่ะ”
“ขายได้เท่าไหร่ เอาเงินมาให้พ่อทั้งหมด”

ทุกคนอึ้งไปทั้งแถบ

โปรดติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น