xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 4

ครั้นพอ มารตี แหวว และแย้ม วิ่งเข้ามาในห้องนอนกระถิน แล้วสามคนต่างอุทานออกมาพร้อมๆ กัน

“ตายแล้ว” / “พระช่วย” / “นั่นผมคนเหรอคะ”
ทุกคนเห็นผมกระถินชี้โด่เด่ และผมทั้งหัวกลายเป็นสีม่วงสด
“พี่เกษ ช่วยกระถินด้วย ยายคุณกระตี๊กับคุณลำพองมันแกล้งกระถิน”
กระถินถลาเข้าไปหาเกษราทันที มารตีและวิไลรัมภา ตามมาดูผลงานหัวเราะคิกคักกันเบา ๆ
“นี่เธอสองคนทำอะไรกับผมกระถิน” เกษราไม่พอใจ
“เราช่วยหมักผมมันให้เป็นสีม่วงไงคะคุณพี่” มารตีเหยียดยิ้ม
“เธอแกล้งกระถินทำไม”
“แหม...นึกภาพซีคะ เวลาคุณชายปวรรุจมาเยี่ยมกระถิน แล้วเห็นว่าที่เจ้าสาวหม่อมหลวงกระถิน ผมสีม่วง คงดูไม่จืดเลยนะคะ” วิไลรัมภาเยาะเย้ย
สองสาวหัวเราะกันลั่น
“ฉันจะฟ้องคุณพ่อ” เกษราสุดทน
มารตีท้า “เชิญค่ะ ฟ้องเลย แต่ถ้าพี่เกษฟ้อง น้องจะรายงานเรื่องเงินเก็บของพี่ที่ซ่อนไว้ไม่ให้คุณพ่อทราบ เงินเก็บที่ว่าจะเอาไปขยายร้านใหม่ของคุณพี่ไงล่ะคะ”
“ถ้าคุณพ่อทราบ คงขอคุณพี่จนหมดคลังแน่ๆ” วิไลรัมภาบอก
เกษราฉุน “นี่เธอกำลังข่มขู่พี่นะ”
“ก็ใช่น่ะซีคะ” มารตีบอกอย่างไม่กลัวเกรง
“ป้าแย้ม แหวว พากระถินออกไปก่อน”
“ค่ะ”
แย้มกับแหววพากระถินออกไป
“หัวม่วงเหมือนหัวปลีเลย ฮือๆ” กระถินเดินไปร้องไห้ไป
พอสามคนลับตัวไป เกษราเผชิญหน้ากับน้องสาวทั้งสองอย่างเอาเรื่อง
“เธอกำลังข่มขู่ฉันนะ”
“ค่ะ” มารตียอมรับ
“เธอต้องการอะไรพูดมาตรงๆ”
“ได้ค่ะ น้องไม่ต้องการให้นังกระถินมาเป็นสะใภ้คุณชายรุจ”
“ทำไม”
“ไม่อยากนับญาติกับมัน เพราะถ้ามันได้ตบแต่งจริง น้องกับน้องรัมภา ต้องกราบไหว้นับถือมันในฐานะพี่สะใภ้ เสียมือค่ะ” มารตีบอก
“เหตุผลแค่นี้เองเหรอ”
“ไม่ใช่เท่านี้ ถ้ามันได้ดิบได้ดี เป็นภริยาทูตของคุณชาย อยู่เมืองนอกกลายเป็นแหม่มผู้ดี พวกเราไม่ยิ่งแย่เหรอคะพี่เกษ เราจะต่ำต้อยกว่ามันไม่ได้หรอกค่ะ” วิไลรัมภาบอกอย่างริษยา
“เหตุผลก็คือเธออิจฉากระถินนั่นเอง และถ้าด้วยเหตุผลแค่นี้ พี่บอกได้คำเดียวว่าพวกเธอไม่มีสิทธิ์แกล้งญาติผู้น้องของเราแบบนี้ และถ้าเธอยังยืนยันที่จะกลั่นแกล้ง พี่นี่แหละที่จะลุกขึ้นมาปกป้องกระถินเอง”
มารตีไม่แยแส “งั้นก็ช่วยไม่ได้ ที่น้องต้องรายงานเรื่องเงินสะสมของพี่ให้คุณพ่อทราบ”
“รายงานไปเลย เพราะเงินก้อนนี้เป็นเงินที่คุณชินกรดูแลอยู่ คุณพ่ออยากได้ก็ต้องไปคุยกับคุณชินกรเอาเอง” เกษราบอก
มารตีและวิไลรัมภามองหน้ากันอย่างคิดไม่ถึง เกษราจะออกจากห้อง แต่หยุดพูดทิ้งท้ายไว้เสียงกร้าว
“อ้อ เมื่อเธอขู่พี่แบบนี้ พี่จะไม่แค่ปกป้องกระถิน แต่จะผลักดันทุกวิถีทางให้กระถินได้แต่งงานกับคุณชายรุจ”
มารตีและวิไลรัมภา ตะลึงอึ้ง เกษราออกไปจากห้องทันที สองสาววิ่งตาม

สองสาววิ่งตามออกมา แต่เกษราเดินตรงไปโดยไม่แยแส
“ถ้าพี่ทำอย่างนี้ เท่ากับประกาศสงครามกับเราสองคน” มารตีบอกเสียงดัง
เกษราหยุดเดินหันมาหา พูดแน่วนิ่ง “ใช่จ้ะ และสงครามครั้งแรก คือเงินค่าขนมที่เธอสองคนเคยได้จากพี่ทุกอาทิตย์ ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว”
สองสาวแทบร้องกรี๊ดออกมาพร้อมกัน เกษราแยกไปทันที
วิไลรัมภาตีโพยตีพาย “พี่มารตี ไม่มีเงินค่าขนม รัมภาจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเครื่องสำอางละคะ ข้าวของเครื่องใช้อีก”
มารตีหน้าเชิด “ไม่ต้องคร่ำครวญน้องรัมภา ต่อไปนี้ภาวะคือสงคราม”
วิไลรัมภามองพี่สาวอย่างงุนงง มารตียิ้มร้าย มีแผนในใจ

กระถินนั่งสะอื้นอยู่ในอ่างน้ำอีกครั้ง แหววและแย้มกำลังล้างผมที่เป็นสีม่วงออก แต่ผมก็ยังเป็นสีม่วงอยู่ไม่หาย เกษราตามเข้ามาดู
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ออกเลยค่ะ คุณสองคนเธอคงเอาดอกอัญชันใส่ลงในสีใส่ขนมของเรา แล้วคงผสมน้ำยาทำผมเข้าไปอีก มันเลยติดสนิทแน่นไปเลย” แย้มบอก
แหววสงสารกระถิน “ใจร้ายจังนะคะ”
กระถินครวญคร่ำ “ฮือ...ผมเป็นหัวปลีอย่างนี้ ฉันไม่กล้าออกไปไหนให้ใครเห็นหรอก ฮือๆ อยากกลับบ้าน ถ้าอยู่ที่บ้าน ใครรังแกกระถิน พี่คล้าวจะมาช่วยทุกครั้ง คิดถึงพี่คล้าว ฮือๆๆ”
เกษรามองกระถินทั้งสงสารและสังเวชใจ

เวลาตอนเช้าที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สามสาวนั่งจิบกาแฟอยู่หน้าร้านที่ปกรณ์แนะนำ โดยฝากกระเป๋าไว้เรียบร้อยแล้ว วรรณรสามองตรงไปยังโรงแรมหรู ในโต๊ะที่ไม่ห่างกันนักเห็นสาวสวยฝรั่ง ผมบลอนด์นั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ลำพัง เหมือนรอใครอยู่
“วิวดีอย่างที่คุณ ปกรณ์แนะนำเลยนะ” เอื้อยว่า
อ้ายยิ้มร่า “ใช่...โลซานน์สวยจริงๆ สถานที่ก็สวย ผู้คนก็น่ามอง ท่านหญิง หนูเอื้อย ลองดูแหม่มผมบลอนด์คนนี้ซี สวยจัง”
วรรณรสามองตามเห็นด้วย “นั่นซี”
“เป็นดารารึเปล่า อาจจะเป็นบริจิตต์ บาร์โดต์ก็ได้นะ”
“ถ้าเป็นจริง แฟนคงรุมแห่มาขอลายเซ็นแล้วละ ไม่เหมือนสักหน่อยคงไม่ใช่ดาราด้วย” อ้ายว่า
วรรณรสามองหญิงฝรั่งผมบลอนด์นิ่งๆ
“แต่รสาว่าเธอหน้าคล้ายดาราคนนึงนะ”
“ใครคะ ดาราคนไหน” เอื้อยตื่นเต้น
“ไมใช่คน แต่เป็นดาราการ์ตูนน่ะ”
“หา...การ์ตูน การ์ตูนอะไร” เอื้อยยิ่งตื่นเต้น
“เหมือนหนูแต้วไง” ท่านหญิงว่า
สองแฝดทำหน้างง วรรณรสาหยิบตุ๊กตา ลิลลี่ ไบลด์ ออกมาจากกระเป๋า อ้ายกะเอื้อยรับมาดู
“ท่านหญิงหมายถึงการ์ตูน ไบลด์ ลิลลี่ ตัวนี้”
“ช่าย ลองดูซี”
สองแฝดแอบเทียบตุ๊กตา กับใบหน้าของแหม่มสาว แล้วหัวเราะกิ๊ก จนแหม่มหันมามองตาขวาง
“อุ๊ย...ละม้ายกันจริงๆ ด้วย” อ้ายว่า
“ท่านหญิงตาแหลมจัง ผมบลอนด์ ปากเจ่อๆ เป็นรูปกระจับเหมือนกันเลย” เอื้อยเสริมขำๆ
“เธอคงพยายามแต่งหน้าให้เหมือน ไบลด์ ลิลลี่ นะ”
สามสาวหัวเราะคิกคักจนแหม่มสาวเริ่มเขม่น สามนางจึงต้องรีบทำตัวเป็นปรกติ
“เสียมารยาทจัง เธอหันมามองแล้ว” เอื้อยว่า
“อย่าไปสนใจเลย ท่านหญิง...หนูอ้ายว่าเราน่าจะเข้าไปสร้างเซอร์ไพรส์ให้ท่านชายได้แล้วนะคะ”
“จ้ะ...หญิงพร้อมแล้ว” วรรณรสายิ้มแย้ม
สามสาวลุกขึ้น สายตาของเอื้อยมองตรงไป แล้วสะดุ้ง
“ท่านหญิงเดี๋ยวค่ะ ดูนั่น” เอื้อยพยักเพยิด
วรรณรสาและเอื้อยมองตามไป เห็นชายทัศน์เดินออกมาจากโรงแรม กำลังข้ามถนนตรงมา
“ชายทัศน์ตรงมาแล้ว ท่านหญิงหลบก่อนค่ะ”

อ้ายดึงวรรณรสาหลบเข้าในร้านทันที

สามสาวเข้ามาหลบในร้าน แอบมองทางกระจก โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ภาณุทัศนัยตรงมาที่แหม่มสาว แล้วทั้งสองสวมกอดกัน ท่านชายทัศน์ประทับจูบที่ข้างแก้มอย่างรักใคร่ วรรณรสาตะลึงงัน

ภาณุทัศนัยทักทายเป็นภาษาอังกฤษ “ลิลลี่...รอนานไหม”
“ไม่หรอกค่ะ แต่เมื่อกี้น่ารำคาญจัง” ลิลลี่หงุดหงิด
“อะไรเหรอ”
“มีผู้หญิงเอเชียนมารยาททรามสามคนนั่งหัวเราะเยาะฉัน”
ชายทัศน์ฉงน “เขาหัวเราะเธอเรื่องอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้ หลบเข้าไปในร้านแน่ะ คุณอยากไปดูหน้าไหม”
“อย่าไปสนใจเลย ว่าแต่เธอจะทานอะไรดี”
“อะไรก็ได้ที่ไปให้พ้นจากร้านนี้ แล้วก็ยายผู้หญิงสามคนนั่น”
ภาณุทัศนัยเอะใจเล็กๆ “ผู้หญิงสามคนที่ว่า หน้าตาเป็นยังไง”
“ทำไมเหรอ”
“สวยไหม แล้วคู่นึงหน้าตาเหมือนกันแบบคู่แฝดรึเปล่า”
สามสาวที่อยู่ในร้าน ได้ยินทั้งหมด กลัวว่าท่านชายจะรู้ความจริง
“ฉันไม่ได้สนใจจดจำหน้าของพวกหล่อนหรอกนะ” ลิลลี่ว่า
“งั้นไปกันเถอะ วันนี้เราจะทานร้านไหนกันดี” ภาณุทัศนัยเลิกสนใจ
“ให้ฉันเลือกละกัน”
“ได้ซี ดาร์ลิ่ง”
ภาณุทัศนัยยิ้มหวานซึ้งโอบร่างของลิลลี่ออกไปอย่างรักใคร่ สามสาวยังตะลึงโดยเฉพาะวรรณรสา ที่ยืนแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
“ท่านหญิง...อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้” เอื้อยปลอบ
วรรณรสาจะร้องไห้ “แล้วจะให้คิดว่ายังไงหนูเอื้อย”
“เขาอาจจะเป็นแค่เพื่อนกัน” เอื้อยว่า
“บ้าซี หนูเอื้อย เพื่อนไม่โอบกอดกันอย่างนี้ แล้วไม่ได้ยินเหรอ ท่านชายรับสั่งกับแม่นั่นว่า ดาร์ลิ่ง”
เอื้อยหน้าเบะไปด้วย
“โอ๊ย....ไม่อยากนึกเลย”
วรรณรสาตัดสินใจวิ่งออกจากร้านไป
“ท่านหญิง”
สาวแฝดวิ่งตาม

เอื้อยตามมาดึงแขนวรรณรสาไว้ได้ทัน ท่านหญิงน้ำตานองหน้า ภาณุทัศนัยและลิลลี่เดินเลี้ยวมุมถนนไปแล้ว
“ท่านหญิงจะทำอะไร”
“ตามพี่ชายทัศน์ไปน่ะซี จะไปถามให้รู้เรื่องว่ายายแหม่มนั่นเป็นใคร แล้วเป็นอะไรกับพี่ชายถึงได้โอบกอดกันแบบนั้น” วรรณรสาบอก
“มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะท่านหญิง” เอื้อยว่า
“ยังไงหญิงก็ต้องรู้ความจริง”
วรรณรสาสะบัดจากอ้าย แล้ววิ่งไปทางเดียวกับชายทัศน์ เลี้ยวมุมถนน สองแฝดรีบตาม

วรรณรสาวิ่งเลี้ยวมาอีกมุมถนน แล้วต้องชะงักกับภาพตรงหน้า อ้ายและเอื้อยตามมา ต่างตะลึงไปพร้อมๆ กัน
สามสาวเห็นท่านชายทัศน์และลิลลี่ ทั้งสองกำลังจูบปากกันเบาๆ ลิลลี่ซบอิงกับไหล่กว้างของภาณุทัศนัย
แสดงความรักอย่างไม่แคร์สายตาใคร ตามประสาฝรั่ง
วรรณรสาเจ็บในใจที่ถูกหลอกลวง น้ำเสียงแหบแห้งเต็มที “พี่ชาย”
ภาณุทัศนัยโอบลิลลี่ พาข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง และยังคลอเคลียกันไม่เลิก
“ทนไม่ไหวแล้วท่านหญิง ตามไปแสดงตัวกันเดี๋ยวนี้เลย” อ้ายโมโห
“เพื่ออะไรล่ะหนูอ้าย” เอื้อยปราม
อ้ายโกรธแทน “ก็จะได้รู้กันไปเลยไง...ว่าท่านชายทรงหลอกลวงพระคู่หมั้นอย่างไร้เกียรติที่สุด แอบมาควงหญิงฝรั่งต่างแดน คงคิดว่าพ้นหูพ้นตาท่านหญิง นี่ถ้าท่านหญิงไม่ตามมา ก็คงไม่มีวันรู้ความจริง ไปค่ะท่านหญิง ไปแสดงตัวเดี๋ยวนี้”
อ้ายดึงวรรณรสาจะเข้าไป แต่แล้วท่านหญิงกลับโงนเงนเหมือนจะเป็นลม
“ว้าย...ท่านหญิง”
สองแฝดเข้าประคอง แล้วพาท่านหญิงไปนั่งพักที่เก้าอี้ริมถนน

ตรงริมถนนสวย สองแฝดประคองวรรณรสาลงนั่ง ท่านหญิงหมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้สะอึกสะอื้น สองแฝดร้องตามไปด้วย เอื้อยกอดท่านหญิงไว้ สามสาวร้องไห้ไปพร้อมกัน
“หนูอ้าย หนูเอื้อย ทำไมท่านชายทรงทำแบบนี้กับหญิง ทั้งๆ ที่หญิงเป็นพระคู่หมั้นของท่าน แล้วหญิงจะทำยังไงดี” วรรณรสาครวญคร่ำ
อ้ายเช็ดน้ำตาตัวเอง พลางปลอบโยน “เราต้องตั้งสติก่อนนะคะ ก่อนอื่น...เราจะต้องถามคนไทยที่นี่ว่าท่านชายคบกับยายแหม่มนั่นในฐานะอะไรกันแน่”
“หญิงได้คำตอบหมดแล้ว ไม่ต้องถามใครอีกแล้ว ท่านชายคบหญิงอื่นอยู่ท่านทรงปดหญิง ปดท่านพ่อ ท่านไม่ได้รักหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว ฮือๆ”
“อย่าร้องค่ะท่านหญิง สงบพระทัยเถอะค่ะ” เอื้อยปลอบ
“ไม่...ร้องไปเถอะท่านหญิง ร้องไปให้พอ เพื่อวันข้างหน้าท่านหญิงจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับความหลอกลวงนี้อีก”
วรรณรสาพยักหน้า เชื่อตามอ้าย เริ่มสงบลงได้ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง
“งั้นเรามาสวิตครั้งนี้ ก็เสียเที่ยวน่ะซี” เอื้อยหน้าม่อย
อ้ายบอกด้วยสีหน้าเข้มแข็งขึ้น “ใครบอก ไม่มีอะไรเสียเที่ยวหรอกหนูเอื้อย ทุกอย่างคือกำไรต่างหาก ท่านหญิงได้รู้ความจริงตอนนี้ ดีกว่าจะไปรู้หลังเสกสมรส แล้วทุกอย่างก็สายเกินแก้”
“ท่านหญิงจะทำยังไงต่อ” เอื้อยถาม
“หญิงจะกราบทูลท่านพ่อ แล้วให้ระงับการหมั้นเสีย” วรรณรสาบอก
เอื้อยตกใจ “หา...หมายความว่า ท่านหญิงจะเป็นม่ายขันหมากนะคะ”
“ก็ดีกว่าเป็นหลวงที่ต้องกินน้ำใต้ศอกคนอื่นละหนูเอื้อย”

อ้ายเห็นด้วย วรรณรสาเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ และเจ็บปวดเป็นที่สุด

ขณะเดียวกันปวรรุจและปกรณ์เดินเที่ยวไปในย่านเมืองเก่าของโลซานน์ ตรงร้านรวงละแวกจัตุรัส

“เดี๋ยวจะพานายไปโบสถ์ โนเตรอะดาม” ปกรณ์ว่า
“หืมม์ โนเตรอะดาม อยู่ที่ปารีสนี่นา” ปวรรุจท้วง
ปกรณ์หัวเราะ “ที่นี่ก็มีโว้ย เขาเรียก โนเตรอะดาม แห่งโลซานน์...แล้วจากนี่จะพานายไปพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ที่ประทับของสมเด็จย่า แล้วจะไปดู...”
ปวรรุจเหมือนไม่ได้สนใจฟัง มองจ้องนิ่งไปเบื้องหน้า ปกรณ์เห็นมองปวรรุจอย่างสงสัยท่าที
“ฟังฉันอยู่รึเปล่า ไอ้คุณชาย”
“ดูนั่น” ปวรรุจบอก
ปกรณ์มองตามไปแล้วเห็นท่านชายภาณุทัศนัยกำลังนั่งโอบกอดกับลิลลี่ ทานอาหารด้วยกันที่โต๊ะของร้านกลางจัตุรัส
“อ้าว นั่นท่านชายภาณุทัศนัยนี่หว่า ไม่ยักรู้ว่ามาเที่ยวที่โลซานน์”
“ท่านประทับอยู่กับใคร นายรู้จักรึเปล่า” ปวรรุจสะท้อนใจ นึกถึง ท่านหญิงแต้ว ขึ้นมา
“ก็พอรู้ เพราะยายคนนี้เป็นสาวสังคมพอตัว ชื่อลิลลี่ ไปทานที่ร้านหลายครั้งแล้ว” ปกรณ์ว่า
“เป็นอะไรกัน”
“ก็แฟนน่ะซี ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดจนคนไทยที่นี่เขาลือกัน” ปกรณ์สงสัย “ทำไมวะ ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น”
“นายไม่รู้ใช่ไหม ท่านชายมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมล่ะ”
“มันเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปคบหญิงอื่น ทั้งๆ ที่ทรงหมั้นหมาย กับ...ท่านหญิงพระองค์หนึ่งที่เมืองไทย”
ปกรณ์งวยงง “แล้วทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องของนายเลยนี่หว่า”
“ท่านหญิงพระองค์นั้นฉันเคยรู้จักสมัยเด็กๆ” ปวรรุจบอกเสียงเศร้า
“นี่มันกี่ปีแล้วล่ะ นี่...จะบอกให้ ท่านชายพระองค์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ ยายแหม่มนั่นไม่ใช่คนเดียวหรอกนะที่ท่านควงด้วย ยังมีอีกหลายนาง ทั้งผมดำ ผมบลูเน็ตต์ แต่ละนางสวยระดับนางเอกทั้งนั้น”
ปวรรุจยิ่งไม่พอใจ จะเดินตรงไปหา ปกรณ์รั้งไว้
“เฮ้ย...จะไปไหน”
“ไปทักทายท่านชายสักหน่อย”
ปวรรุจเดินตรงเข้าไปหาทันที

ปวรรุจตรงไปที่โต๊ะภาณุทัศนัย ปกรณ์ตามมา ชายทัศน์หันมาพอดี ตกใจเล็กน้อย ปวรรุจก้มคำนับ
ปกรณ์เลยต้องทำตาม
“อรุณสวัสดิ์ฝ่าบาท”
“คุณชาย”
ลิลลี่มองสองหนุ่มตาหวาน เหมือนหล่อนจะชอบหนุ่มเอเชี่ยนเป็นพิเศษ
“มิสเตอร์ปกรณ์ สวัสดี” ลิลลี่ทักทาย
ปกรณ์ยิ้มทักตอบ “สวัสดีลิลลี่”
ภาณุทัศนัยมองปกรณ์และลิลลี่อย่างไม่พอใจ
ปวรรุจเอ่ยขึ้น “กระหม่อมไม่ทราบเลยว่าท่านชายเสด็จมาที่โลซานน์”
“ฉันก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน ที่เห็นคุณชายมาเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ทั้งๆ ที่โดยหน้าที่ คุณชายต้องไปเตรียมงานอยู่ที่เจนีวาแล้วไม่ใช่เหรอ” ภาณุทัศนัยพูดเป็นเชิงตำหนิ
“ฝ่าบาททรงลืมแล้วกระมังว่าวันพรุ่งนี้คือวันเริ่มทำงาน”
ชายทัศน์ถูกย้อน พูดตอบเสียงเข้ม “ฉันไม่ลืม”
“งั้นกระหม่อมก็มีสิทธิ์มาเดินเพ่นพ่านในโลซานได้ใช่ไหมกระหม่อม”
“ไม่ต้องมาตีฝีปากกับฉัน คุณชาย”
“เปล่าเลย กระหม่อมมิบังอาจ”
“หยุดรบกวนเวลาส่วนตัวของฉันเสียที ไปไหนก็ไป”
“กระหม่อมขออภัย อ้อ...เมื่อวานที่สถานทูต เห็นท่านทูตพลเทพพูดถึงพิธีเสกสมรสของฝ่าบาทกับท่านหญิงแต้ว เห็นว่าจะทำการ์ด Royal Wedding อย่างงดงามแจกในพิธีด้วย”
ภาณุทัศนัยอึ้ง ลิลลี่หันขวับมามองท่านชาย ปกรณ์ตกใจกับความกล้าบ้าบิ่นของปวรรุจ
“กระหม่อมยินดีกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง”
ภาณุทัศนัยโกรธจนตัวสั่น ปวรรุจยิ้มเยือกเย็น โค้งให้ลิลลี่ แล้วแยกไปพร้อมปกรณ์
ลิลลี่คาดคั้นทันที “หมายความว่ายังไง Royal Wedding”
“ไม่มีอะไรลิลลี่”
“แต่ฉันว่าต้องมีอะไรแน่ๆ บอกความจริงมานะ เธอจะแต่งงานกับใคร”
ท่านชายทัศน์อึกอักพูดไม่ออก

ปวรรุจและปกรณ์เดินมาด้วยกันตรงมุมหนึ่ง ปวรรุจยิ้มอย่างสบายใจ
“เฮ่ย ไอ้คุณชาย นายบ้าไปแล้วเหรอ ไปพูดอย่างนั้นกับท่านชายได้ไง ท่านเป็นหัวหน้านายนะ”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดนี่”
“เออ ไม่ผิด แต่ทำท่านชายหน้าถอดสีไปเลย”
“ก็สมควรแล้ว”
“มีปัญหาอะไรกับท่านเหรอวะ”
“เดี๋ยวจะเล่าให้แกฟัง เอ้า ตอนนี้พาฉันไปเที่ยวตามโปรแกรมของแกได้แล้ว ฉันกำลังสบายใจมากๆ เลย
ปวรรุจยิ้มร่าเดินนำไป ปกรณ์ส่ายหน้า

ฟากวรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินมาริมสะพานสวย วรรณรสาหยิบตุ๊กตาไบลด์ลิลลี่ออกมา
“ฮึ...ในที่สุดหญิงก็รู้ความจริง พี่ชายซื้อ ไบลด์ ลิลลี่ มาให้หญิง ก็เพราะไปติดใจยายแหม่มนั่นต่างหาก ดูซี หน้าตาถึงได้เหมือนกันขนาดนี้”
เอื้อยสงสัย “แล้วท่านหญิงพา ลิลลี่ ไบลด์มาด้วยทำไมคะ”
วรรณรสาจะร้องไห้อีก “หญิงจะให้พี่ชายทัศน์ทรงทราบไงว่า “หนูแต้ว” มาทั้งตัวจริง และตัวแทนของหญิงตัวนี้ เราจะมาเซอร์ไพรส์ท่านชายด้วยกัน”
วรรณรสาปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมา เอื้อยดึงร่างท่านหญิงมากอดปลอบ อ้ายหน้าเครียด
“หญิงเข้าใจแล้ว ทำไมพี่ชายทัศน์ถึงไม่เด็จไปเยี่ยมเยียนหญิงที่ปีนังเลย แค่ปีละครั้งหรือสองปีครั้ง เพราะเขาไม่ได้รักหญิงนั่นเอง”
“ตกลง ตุ๊กตาตัวนี้ไม่ใช่ “หนูแต้ว” หรอกค่ะท่านหญิง แต่มันคือยายแหม่มคนนั้นต่างหาก แถมยังชื่อ “ลิลลี่” เหมือนกันเสียอีก” อ้ายฉุน
“ใช่...ท่านชายซื้อตุ๊กตาแหม่มมาหลอกหญิง” วรรณรสาครวญ
“เป็นหนูอ้าย หนูอ้ายจะเอามาทำให้เสียโฉม แล้วเอากลับไปคืนท่านชาย คงสาแก่ใจพิลึก”
“ไม่ดีนะหนูอ้าย อย่าคิดร้ายขนาดนั้นเลย”
วรรณรสาเกิดความคิดบางอย่าง สายตาดูหม่นหมอง มองไปที่สะพานข้ามแม่น้ำ
“หนูอ้าย หนูเอื้อย รสาขออยู่ลำพังสักครู่เถอะนะ”
“ค่ะ” อ้ายรับคำ

สองแฝดแยกไป วรรณรสาถือตุ๊กตาเดินตรงไปที่สะพาน

ขณะที่ปวรรุจและ ปกรณ์เดินมาด้วยกัน ปกรณ์เห็นสองแฝดเดินหน้าซึมอยู่ไกลๆ

“เฮ้ยนั่น เจอกันอีกแล้ว คุณหนูอ้าย หนูเอื้อย”
“เอ...ทำไมมาเดินอยู่ ไม่ได้ไปพบคู่หมั้นของคุณรสาหรอกเหรอ” ปวรรุจแปลกใจ
“แสดงว่าคุณรสาคงอยากอยู่กับแฟนสองต่อสองแล้วละ เยี่ยม งั้นก็เป็นโอกาสอันดีของฉันที่จะทำคะแนนกับหนูอ้ายละทีนี้”
ปกรณ์จะเดินตรงไป ปวรรุจตามมา
“เดี๋ยว คุณชายรุจขอรับ”
“อะไรล่ะ”
“เดินตามกระผมมาทำไมขอรับ”
“อ้าว....ฉันก็จะไปคุยกับหนูอ้าย หนูเอื้อยน่ะซี”
“กระผมขอเวลาส่วนตัวกับสาวๆ สักหน่อยนะขอรับ”
“จะไล่ฉันใช่ไหม”
“ทำนองนั้นขอรับ” ปกรณ์บอกขึงขัง
“ได้ งั้นฉันเดินเล่นอยู่ด้านโน้น เสร็จเวลาส่วนตัวแล้วไปตามฉันได้”
“เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับ คุณชายรุจ”
ปวรรุจส่ายหน้าแยกไปอีกทาง ปกรณ์ตรงรี่ไปหาสองสาว อ้ายและเอื้อยสะดุ้ง ตายังแดงช้ำอยู่
“ฮั่นแน่.....มาเดินช็อปปิ้งกันจนได้นะครับ”
สองสาวรีบปาดเช็ดน้ำตา
“ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ผมว่าคุณสองคนกำลังร้องไห้นะ”
เอื้อยสูดน้ำมูกรีบปรับสีหน้า “เปล่าค่ะ”
“เราแค่ปลาบปลื้มที่...ที่...” อ้ายกลั้นก้อนสะอื้นสุดขีด “โลซานน์สวยเหมือนเมืองสวรรค์”
“ใช่...แต่พอเรามาถึงกลับกลายเหมือนเราอยู่ในนรก ฮือ เสียดายความสวย”
แต่แล้วอ้ายและเอื้อยกลับคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องไห้โฮออกมาพร้อมๆ กัน ปกรณ์เป็นงง

วรรณรสาเดินมาที่สะพาน มือยังถือตุ๊กตาไบล์ด นิ่ง แล้วปีนราวสะพานขึ้นไป จังหวะนั้นปวรรุจเดินตรงมาพอดี เห็นวรรณรสาทำท่าปีนสะพานเหมือนจะกระโดดลงน้ำ ชายรุจรีบวิ่งมาหา
“รสา อย่า”
ปวรรุจพุ่งมาดึงร่างวรรณรสาไว้ สองคนยื้อยุดฉุดรั้งกันไปมา
“คุณชาย”
“ลงมาเดี๋ยวนี้รสา”
“ปล่อยฉันนะ”
“ปล่อยไม่ได้ เธอกำลังคิดสั้นใช่ไหม”
“อะไรนะ” วรรณรสาตกใจ
“ลงมาเดี๋ยวนี้”
ไม่พูดเปล่าปวรรุจดึงรั้งจนร่างบอบบางของวรรณรสาปลิวมาจากราวสะพาน ลงมาที่พื้นโดยสวัสดิภาพ ปวรรุจยังกอดวรรณรสาไว้แน่น มองดูใบหน้างามที่ยังมีคราบน้ำตาให้เห็น
“เป็นอะไรของเธอ คิดจะกระโดดสะพานทำไม เธอจะฆ่าตัวตายเหรอ”
“คุณชาย...ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย”
ปวรรุจอึ้ง “อ้าว...แล้วปีนขึ้นไปบนสะพานทำไม”
“ฉันแค่....จะโยนตุ๊กตาบ้านี่ลงแม่น้ำเท่านั้นเอง”
ปวรรุจมองตุ๊กตาไบลด์อย่างไม่อยากเชื่อนัก
“เธอแค่จะโยนตุ๊กตาทิ้งงั้นเหรอ”
“ค่ะ แล้วตอนนี้คุณชายก็ปล่อยฉันได้แล้ว”
ปวรรุจรู้สึกตัว รีบปล่อยร่างวรรณรสา มีอาการเก้อเขินไป
“ขอโทษ”
“ไม่ถือค่ะ”
“งั้นบอกฉันหน่อยได้ไหม ทำไมต้องโยนตุ๊กตาตัวนี้ทิ้ง แล้วทำไมเธอถึงร้องไห้”
วรรณรสาฉงน “รู้ได้ยังไงว่าฉันร้องไห้”
“ที่แก้มเธอยังมีคราบน้ำตาอยู่เลย”
วรรณรสาเอาหลังมือพยายามเช็ดออก ปวรรุจส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ท่านหญิงรสาชะงัก ก่อนจะรับผ้ามา
“ขอบคุณค่ะ”
วรรณรสาเช็ดหน้า ปวรรุจมองท่านหญิงนิ่งๆ อีกฝ่ายหลบตา
“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันก่อนดีกว่า เรื่องของเธอน่าจะยาว เพราะมันคงเกี่ยวข้องกับคู่หมั้นของเธอแน่ๆ”
วรรณรสามองปวรรุจอย่างหมั่นไส้นิดๆ ที่ช่างรู้ลึกรู้ดีนัก แต่ก็ยอมเดินไปกับคุณชาย

ครู่ต่อมา สองคนนั่งด้วยกันในสวนสาธารณะ แลเห็นด้านหลังเป็นบ้านเมืองอันสวยงามของโลซานน์
“เข้าใจละ เธอมาสวิตเพื่อจะมาเซอร์ไพรส์คู่หมั้นของเธอ”
“ค่ะ ฉันถึงไม่ได้เตรียมการอะไรมาก่อนเลยอย่างที่คุณชายเห็น”
“แล้วเธอก็พบคู่หมั้นของเธออยู่กับผู้หญิงอื่น”
“ค่ะ...เมื่อกี้นี่เอง ไบลด์ ลิลลี่ คือตุ๊กตาที่เขาให้ฉันไว้ ฉันก็เลยจะเอาไปโยนทิ้งซะ”
ปวรรุจยิ้มขำ “แล้วจากนี้เธอจะทำอะไรต่อ”
“ไม่ทราบค่ะ ถ้าไม่กลับเมืองไทย ฉันก็คงอยู่เที่ยวสักพักไม่ให้ทางบ้านสงสัย คอยดูเถอะ ฉันกลับบ้านคราวนี้ ฉันจะไปถอนหมั้น ท่าน....เออ คุณพ่อบังคับยังไง ฉันก็ไม่ยอมเด็ดขาด ฉันเกลียดที่สุดในชีวิตคือการหลอกลวง”
ปวรรุจดูอาการแค้นเคืองของวรรณรสาอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะตอนท้ายที่เน้นคำเป็นพิเศษ
“อย่าหาว่าฉันสอดรู้เรื่องของเธอเลยนะ เธอ....รักเขาแค่ไหน”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจอย่างแปลกใจระคนสงสัย
“ทำไมคุณชายถามฉันอย่างนั้น”
“อาการของเธอไม่ใช่อาการของคนอกหักสักนิด”
“แล้วคนอกหักต้องมีอาการยังไง”
“ไม่รู้ซี...” จู่ๆ ปวรรุจก็นึกถึงอาการของตัวเอง เลยเล่าเป็นฉากๆ “ต้องซึม...ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยว ต้องหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เหมือนโลกทั้งโลกมันพังทะลายไปต่อหน้า แบบนี้ละมั้ง”
“ตายจริง ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างนั้นเลย...มีอย่างเดียวคือความโกรธที่ถูกหลอกเท่านั้น” วรรณรสาบอกตามตรง
ปวรรุจยิ้มนิดๆ “งั้นฉันก็ดีใจกับเธอด้วย”
“ดีใจทำไมคะ” ท่านหญิงนิ่วหน้า
“ก็แสดงว่า...เออ...คงไม่ว่ากันนะถ้าฉันจะพูด”
“พูดมาเถอะค่ะ”
“เธออาจจะรักเขาน้อยกว่าที่คิด หรืออาจจะไม่ได้รักเลยก็ได้”
วรรณรสาคิดตาม เริ่มเห็นด้วย
“เป็นไปได้ค่ะ เราถูกหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนที่โตมา ฉันกับเขาก็แทบไม่ได้เจอกันเลย”
“เพราะอะไร”
“ฉันเรียนอยู่ที่ปีนัง ส่วนเขาก็ทำงานต่างประเทศตลอด ปีนึงอาจจะเจอกันสักครั้งสองครั้งเท่านั้น”
วรรณรสารู้สึกดีขึ้น
“เราคงไม่ได้รักกันเลยอย่างที่คุณชายบอกนั่นแหละ ขอบคุณนะคะคุณชาย...ที่ทำให้ฉันเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีขึ้น”
“ยินดีที่ได้ช่วย แปลกนะ...เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งพบคนที่แอบนอกใจแฟนตัวเองไปหยกๆ เหมือนกัน”
วรรณรสาสะดุ้ง “ใครคะ”
“เป็นท่านชายพระองค์นึงน่ะ ฉันมาเจอท่านโดยบังเอิญ”
วรรณรสารีบหลบตากลัวปวรรุจจะจับได้
“ไปกันเถอะ หนูอ้าย หนูเอื้อยคงรอเธอแล้วละ”
ปวรรุจลุกขึ้น แล้วยื่นมือให้ท่านหญิงจับ วรรณรสามองหน้าคุณชายก่อนจะยื่นมือให้ ปวรรุจประคองวรรณรสาขึ้นมา ท่านหญิงรู้สึกถึงความอบอุ่นในไมตรีนั้นอย่างประหลาด

ทั้งสองเดินเคียงคู่ไปด้วยกันท่ามกลางทิวทัศน์บ้านเรือนอันสวยงามของโลซานน์

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ปวรรุจและวรรณรสาเดินกลับมาที่ร้านอาหารเดิม ตรงหน้าโรงแรมที่ภาณุทัศนัยพัก ซึ่งสามสาวฝากกระเป๋าไว้ พบว่าปกรณ์ อ้าย และเอื้อย นั่งรออยู่แล้ว

สองแฝดอาการดีขึ้น รีบวิ่งมาหาท่านหญิง วรรณรสาเก็บตุ๊กตาลงกระเป๋าแล้ว
“รสา ตามหาเสียทั่ว ที่แท้ก็อยู่กับคุณชายนี่เอง”
“รสาเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วละ”
ทั้งสี่กลับมานั่งร่วมโต๊ะกับปกรณ์ วรรณรสาระแวดระวังกลัวว่าท่านชายทัศน์จะกลับมาเห็น
“เออ..หนูอ้าย หนูเอื้อยเล่าให้ผมฟังหมดแล้วเรื่องคู่หมั้นของคุณรสา ผมเสียใจด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” วรรณรสายิ้มบางๆ
“เออ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ คู่หมั้นของคุณรสาชื่ออะไร เผื่อผมจะรู้จัก เพราะคนไทยที่สวิตคนดังๆ ผมรู้จักแทบทั้งหมด” ปกรณ์ถาม
“เออ...ชื่อ...”
อ้าย กะเอื้อยมองหน้าวรรณรสา ท่านหญิงมองมาอย่างขอความช่วยเหลือ
“เฮียเพ้งค่ะ” อ้ายโพล่งขึ้น
วรรณรสามองหน้าอ้ายงงๆ เอื้อยเองก็งง
ปกรณ์ฉงน “เฮียเพ้ง”
อ้ายพยักหน้า “ใช่ค่ะ รู้จักไหม”
ปกรณ์ซักต่อ “ชื่อจริงละครับ”
“เอ...อาเพ้งชื่อจริงชื่ออะไรนะรสา เราเรียกกันแต่อาเพ้ง อาเพ้ง” อ้ายไปไม่เป็น
“ชื่อเพ้งนั่นแหละค่ะ ไม่มีชื่ออื่น” วรรณรสาว่า
“อ้อ...อยู่โรงแรมหรูขนาดนี้ ทำธุรกิจอะไรเหรอครับ” ปกรณ์ยังไม่เลิกซัก
“เออ...เป็นตัวแทนนำเข้านาฬิกาสวิสน่ะค่ะ” เอื้อยผสมโรง
ปกรณ์งงหนัก “ครับ....แต่...ผมไม่คุ้นเลยแฮะ”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ ฉันพยายามจะไม่นึกถึงเขาอยู่” วรรณรสาตัดบท
ปกรณ์ยิ้มๆ “ดีครับ”
ปวรรุจจับอาการสามสาวนิ่งๆ จึงเอ่ยขึ้น “แล้วจากนี้เธอจะทำอะไรต่อ จะพักที่ไหน อยู่กันยังไง”
“ฉันอยากพักก่อนน่ะค่ะ อยู่นิ่งๆ สักพัก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันอยากไปจากโลซานน์ แล้วก็ไปจากร้านนี้ด้วย”
“ทำไมครับ”
“ฉันไม่อยากเห็นหน้าเฮียเพ้งมาเพ่นพ่านแถวนี้น่ะซีคะ เพราะร้านนี่มันหน้าโรงแรมที่เขาพัก”
ปกรณ์เห็นด้วย “จริงด้วย ถ้างั้นจะไปไหน ไปพักโรงแรมอะไร ผมยินดีช่วยเต็มที่ครับ ก่อนที่ผมจะต้องไปส่งเจ้าคุณชายที่เจนีวาเย็นนี้”
“เยี่ยมเลย เราอยากล่องเมืองเลียบทะเลสาบเจนีวา ตั้งแต่มองเตรอซ์เวเว่ย์...ไปจนถึง...”
อ้ายพูดไม่ทันจบ เอื้อยมองเลยไป เห็นภาณุทัศนัยกับลิลลี่กำลังเดินมา ทั้งสองกำลังเถียงกันหน้าเครียด
“เออ...รสา หนูอ้าย ตอนนี้อย่าเพิ่งวางแผนอะไรเลยนะ หนูเอื้อยว่าเราเข้าร้านไปเอากระเป๋าเดินทางกันเถอะ”
“ทำไมต้องรีบด้วยล่ะ” อ้ายแปลกใจ
“ต้องรีบ ไปเถอะน่า เร็ว”
เอื้อยรีบดึงวรรณรสาและอ้ายลุกขึ้น แล้วรีบดึงเข้าในร้านทันที
“สาวๆ เขาท่าทีแปลกๆ” ปกรณ์ชักงง
“นั่นซี”
ภาณุทัศนัยและลิลลี่เดินผ่านมา เห็นปวรรุจและปกรณ์ ยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิม
“เฮ้ย ท่านชายของแกมาแล้วว่ะ” ปกรณ์พยักเพยิด

ฝ่ายสามสาวเข้ามาในร้าน แล้วแอบมองออกไป
“พี่ชายทัศน์”
ด้านนอกร้าน ภาณุทัศนัยกำลังจะพาลิลลี่ข้ามถนนตรงไปยังโรงแรมที่พัก
“เดี๋ยว”
ลิลลี่ว่า พลางเดินกลับมาหา ปกรณ์และ ปวรรุจ ท่านชายทัศน์มองอย่างประหลาดใจ
สามสาวที่อยู่ในร้านก็ตกใจเช่นกัน
“อ้าว ยายลิลลี่เดินมาคุยกับคุณชายแล้ว” อ้ายบอก
เอื้อยงง “รู้จักกันด้วยเหรอ”
“คุณชายเพิ่งเจอพี่ชายทัศน์เมื่อกี้นี้เอง”
สามสาวเห็นว่าลิลลี่คุยบางอย่างกับ ปกรณ์ มีปวรรุจฟังอยู่ด้วย ภาณุทัศนัยเดินตรงมาหา
“เธอทำอะไรลิลลี่ กลับไปที่โรงแรมกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ยังไม่กลับจนกว่าฉันจะรู้ความจริง” ลิลลี่พูดกับ ปกรณ์ และ ปวรรุจท่าทีจริงจัง “เป็นเรื่องจริงใช่ไหมที่มิสเตอร์ภาณุ มีฟิอองเซ่อยู่ที่เมืองไทย และกำลังจะแต่งงานกัน”
“อืมม์ ถ้าผมปฎิเสธมันก็เป็นเรื่องโกหก งั้นก็คงต้องพูดความจริง ครับ เป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
ภาณุทัศนัยมองปวรรุจอย่างเดือดดาล
“แก”
ลิลลี่โกรธจัด “You Liar คุณหลอกลวงฉัน ภาณุ”
“อย่าไปฟัง ไอ้ Bastard สองคนนี่เลย”
ปกรณ์อ้าปากหวอ ปวรรุจลุกขึ้น โกรธเพราะคำหยาบที่ชายทัศน์ใช้เรียก โดยไม่มีใครคาด ลิลลี่หยิบแก้วเครื่องดื่มสาดเข้าหน้าชายทัศน์เต็มหน้า เลอะเสื้อผ้าหน้าตาหัวหู
ส่วนในร้าน สามสาวอุทานออกมาพร้อมกัน “อุ๊ย”
ลิลลี่สะบัดตัวเดินหนีไป ภาณุทัศนัยหน้าแตกยับ ถูกสาวทิ้ง
“ลิลลี่ ลิลลี่ กลับมานะ”
ปกรณ์พูดเตือนโดยไม่ใช้ราชาศัพท์ “ท่านชายครับ อย่าตะโกนเลยนะครับ คนยิ่งมองกันใหญ่ ผมว่าเข้าร้านไปล้างตัวก่อนดีกว่า”
“ไม่...” ภาณุทัศนัยชี้หน้าปวรรุจ “เพราะนายที่ทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้”
ปวรรุจคำนับ แต่หน้าแอบยิ้มสะใจ “กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย”
“ไอ้เจ้ารุจ...นายนี่มันไม่ได้เรื่อง ทำให้ท่านชายเสียหน้าได้ยังไง ท่านอย่าถือสาเพื่อนผมเลยนะครับ ตอนนี้เข้าร้านก่อนดีกว่า เพราะคนมองกันใหญ่แล้ว”
ท่านชายทัศน์ปัดมือปกรณ์ออก “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันจะกลับโรงแรม”
“ระวังนะครับท่าน โรงแรมหรูขนาดนั้น เห็นท่านเลอะเทอะมอมแมมแบบนี้ อาจจะไม่ให้ท่านผ่านล็อบบี้เข้าไปถึงห้องพักก็ได้” ปกรณ์บอก
ภาณุทัศนัยจนด้วยเหตุผล ปวรรุจมองนิ่ง นัยน์ตาคู่นั้นเห็นแววขบขันอย่างชัดเจน
“เชิญในร้านก่อนดีกว่าครับ เพราะเจ้าของร้านรู้จักกับผมดี เดี๋ยวผมจะช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้” ปกรณ์ว่า
“ก็ได้”

ปกรณ์จะพาท่านชายทัศน์เข้าร้าน ภาณุทัศนัยยังมองปวรรุจตาขวาง

สามสาวซึ่งมองดูอยู่สะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นปกรณ์กำลังพาท่านชายทัศน์เข้ามาในร้าน

“อุ๊ย....ทำไงดี ท่านชายจะเข้ามาแล้ว” เอื้อยถาม
“กระเป๋าอยู่หลังร้าน รีบหนีเร็ว”
ทั้งสามรีบวิ่งไปทางหลังร้าน ในจังหวะที่ปกรณ์พาภาณุทัศนัยเปิดประตูเข้ามาพอดี ปกรณ์ปรนนิบัติดูแลท่านชายทัศน์ดีจนดูเวอร์ๆ แต่ก็แอบหันมายักคิ้วให้ปวรรุจที่ตามเข้ามา
“น้อง ดูแลเสื้อผ้าให้ท่านชายหน่อย”
ปกรณ์บอกอย่างคุ้นเคยกันดี พนักงานเข้ามาพาท่านชายเข้าห้องด้านใน ภาณุทัศนัยยังหัวเสียมองปวรรุจอย่างเคียดแค้น ปวรรุจมองไปรอบร้าน แปลกใจนิดๆ ที่ไม่เห็นกลุ่มสาวๆ
“เอ...รสากับแฝดไปไหนแล้ว”
“หลังร้านละมั้ง”
ทั้งสองหนุ่มเดินไปดูหลังร้าน

สามสาวกระเตงกระเป๋าเดินทางออกมาแล้ว
“เอายังไงดีคะท่านหญิง หนูอ้าย”
“ต้องหลบก่อน พี่ชายทัศน์มาเห็นหญิงตอนนี้ ความแตกต่อหน้าคุณชายแน่ๆ” วรรณรสาบอก
“ก็ให้ความแตกไปเลยซีคะ ไม่เห็นต้องแคร์” อ้ายฉุนอยู่
“ได้ยังไงล่ะหนูอ้าย หญิงโกหกคุณชายไปตั้งเท่าไหร่แล้ว เรารีบหนีก่อนดีกว่าที่พวกเขาจะตามมาเจอเถอะ”
“โธ่...เลยอดให้คุณปกรณ์พาเที่ยวเลย” อ้ายครวญ
“แล้วเราจะไปไหน อย่างไรคะ” เอื้อยถาม
“ไม่รู้ แต่ยังไงก็ต้องไปแล้วละ”
“ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้หนูอ้ายเห็นสถานีรถไฟแล้ว คุณปกรณ์แนะนำว่าเรานั่งรถไฟไปมองเตรอซ์ได้สบาย ๆ เลย ไม่ไกลด้วย ตกลงคืนนี้เราจะไปพักที่มองเตรอซ์กัน”
“หนูอ้าย หนูเอื้อย แต่หญิงไม่อยากเที่ยวแล้ว หญิงอยากกลับบ้าน”
“ยังกลับไม่ได้ค่ะ ขืนกลับตอนนี้เด็จพ่อต้องทรงสงสัยท่านหญิงแน่ๆ” อ้ายบอก
“จริงด้วย” วรรณรสานึกได้
“เดินทางต่อดีกว่าค่ะ เดี๋ยวท่านหญิงก็จะลืมเรื่องท่านชายทัศน์ไปเอง”
วรรณรสาพยักหน้า ทั้งที่ความหดหู่ยังท่วมท้นล้นใจ ทั้งสามลากกระเป๋าเดินไปด้วยกัน ปกรณ์ และ ปวรรุจออกมาที่ตรอกหลังร้าน ไม่เห็นใครแล้ว
“หายไปไหนแล้ว สาวๆ ของผม”
“หรือว่าหนีเราไปแล้ว”
“แล้วจะหนีเราไปทำไมละวะ เราไม่ได้แกล้งหลอกอะไรพวกเธอสักหน่อย”
“ใช่…เราไม่ได้หลอกพวกเธอ แต่พวกเธอนั่นแหละที่หลอกเราบางเรื่อง” ปวรรุจมั่นใจ
“หลอกอะไรเราวะ”
“ไม่รู้ ช่างเถอะ ยังไงพวกเธอก็จากเราไปแล้ว”
“เสียดายว่ะ...หนูอ้ายกับฉันทำท่าจะไปกันได้ดีเสียด้วย”
ปกรณ์บ่นพงึมงำ
“ไม่แน่....เราอาจจะได้เจอพวกเธออีกก็ได้นะ ฉันสังหรณ์อย่างนั้น”

วันต่อมา ตอนกลางวันที่เมืองไทยมารตี วิไลรัมภานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่น วิไลรัมภามองออกไปที่นอกตึก เห็นกระถินกำลังซุ่ม ท่าทีลับๆ ล่อๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ในพุ่มไม้ ริมสระบัวที่สวนหลังวัง เห็นผมของกระถินรวบไว้เป็นมวย สีม่วงชัดกว่าเมื่อคืน
“พี่มารตี ดูซีคะ ผมนังกระถินม่วงจนเกือบแดงเชียวค่ะ ขำจังแสดงว่าสูตรยาย้อมผมของเราได้ผล”
มารตีสงสัย “เอ...แล้วมันกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
สองสาวมองไปอย่างสนใจใคร่รู้

ไม่นานนักมารตีและวิไลรัมภาเดินมาดูที่ริมสระบัว เห็นกระถินใส่ผ้าถุง สวมเสื้อคอกระเช้า กำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรบางอย่าง โดยมีถังดินอยู่ข้างตัว สองสาวเดินตรงไปหาทันที
“นังกระถิน แกทำอะไร”
กระถินสะดุ้ง แล้วซ่อนมือไว้ข้างหลัง
“ซ่อนอะไรไว้ เอาออกมาให้ดูเดี๋ยวนี้” วิไลรัมภาคาดคั้น
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ คุณกระตี๊ คุณลำพอง”
วิไลรัมภาปรี๊ด “แหม....น่าตบปากนัก มาเรียกฉันแบบนี้”
“ในมือซ่อนอะไรไว้ เอาออกมาให้ดูเดี๋ยวนี้นะ” มารตีถามอีก
“ขโมยขนมที่ร้านมาแอบกินแน่ๆ เลยค่ะ วางมาบนมือฉันเดี๋ยวนี้ขนมอะไร” วิไลรัมภามั่นใจ
กระถินบอก “ไม่มี”
“วางมา” วิไลรัมภาขึ้นเสียง
กระถินถอนใจ วางของในมือที่เปื้อนดินลงบนฝ่ามือของสองสาว วิไลรัมภาเบิกตาโพลง เพราะในมือที่เปื้อนดินของตัวเองนั้น คือไส้เดือนสองสามตัว กำลังดิ้นไปมาอยู่บนฝ่ามือ
“อ๊าย” สองสาวร้องกรี๊ดพร้อมๆ กัน
วิไลรัมภาสะบัดมืออย่างแรง แล้วเสียหลัก เซตกลงไปในสระบัว
มารตีโกรธจัดเต้นเร่าๆ “ว้าย...แก นังกระถิน แกแกล้งฉัน”
มารตีบันดาลโทสะตบหน้ากระถินฉาดใหญ่ กระถินเซไป เหลียวขวับมามองมารตีอย่างแค้นจัด
“น้องรัมภา ขึ้นมาค่ะ”
“พี่มารตี ช่วยน้องด้วย”
“ยื่นมือมาค่ะ”
มารตียื่นมือให้วิไลรัมภาจับ

และแล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด กระถินเดินมาข้างหลังมารตี แล้วถลกผ้าถุงรวบขึ้น ยกเท้าถีบมารตีที่ก้นเต็มแรง มารตีตกน้ำโครมใหญ่ สองสาวกรี๊ดลั่นบ้าน

ขณะที่เกษรา แย้ม และแหวว กำลังทำขนมกันอยู่หลังร้าน สามคนต้องสะดุ้งกับเสียงกรีดร้องโหยหวนดังเข้ามา

“ว้าย เสียงเปรตที่ไหนร้องคะ” แหววว่า
ทั้งสามวางงานในมือวิ่งออกจากร้านทันที

สามคนวิ่งมาถึงสระแล้วร้องตกใจเพราะมารตีและวิไลรัมภาลงไปอยู่ในสระ เต้นเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆ กันไม่หยุด โดยมีกระถินหัวเราะร่าอยู่ข้างสระ
“นี่มันอะไรกัน กระถิน แหววช่วยดึงขึ้นมาหน่อย”
แหววช่วยดึงมารตีและวิไลรัมภาขึ้นมาจากสระ มารตีฟ้องฉอดๆ
“นังเลว แกแกล้งฉัน มารตีไม่ยอมนะคะพี่เกษ นังนี่มันแกล้งถีบน้องตกสระ”
“เอาไส้เดือนมาใส่มือรัมภาด้วยค่ะ”
“ทำจริงรึเปล่ากระถิน”
กระถินยอมรับหน้าตาเฉย
“จริง...แต่ทำเพราะถูกแกล้งก่อน ถ้าแกสองคนไม่มาแกล้งทำให้ผมฉันกลายเป็นหัวปลีแบบนี้ ฉันจะไม่แกล้งแกหรอก ส่วนแกตบหน้าฉัน สมควรโดนถีบ”
แหววและแย้มกลั้นหัวเราะ
“นังนี่มันเลวมาก พี่เกษยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ” มารตีไม่ยอม
“แล้วเธอไปตบหน้ากระถินจริงๆ รึเปล่า” เกษราถาม
มารตีหน้าเชิด
“อ้อ ถามอย่างนี้แสดงว่าพี่เข้าข้างมัน”
“พี่ไม่เข้าข้างใครอยู่แล้ว พี่ยุติธรรมเสมอ”
“พี่ต้องลงโทษมัน” มารตีบอก
“ไม่ พี่ถือว่ากระถินป้องกันตัว กระถินไม่มีความผิด”
“อ้อ เข้าใจ นี่คือสงครามระหว่างเรา ได้ งั้นก็รอระเบิดลูกใหญ่ ได้แล้วละค่ะ งานนี้ฉันไม่เลิกราแน่ๆ”
มารตีขู่แล้วสะบัดตัวไป วิไลรัมภาร้องไห้วิ่งตาม
“พี่เกษ ไม่ทำโทษหนูเหรอ” กระถินถาม
“ไม่หรอก นี่เรากำลังทำอะไร”
“อย่าบอกใครนะ หนูกำลังตกปลา ปลาในบ่อเต็มเลย”
ว่าพลางกระถินหยิบถังใส่อาหารปลามาโชว์ รวมทั้งสายเบ็ด แหวว กะแย้มหัวเราะขำ เกษราส่ายหน้า

วันรุ่งขึ้น ขณะที่พุฒิภัทรเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล มารตีในชุดพยาบาลรีบวิ่งตามมา
“พี่ชายภัทรคะ”
พุฒิภัทรหันมามอง
“มีอะไรครับ น้องมารตี”
“พี่ชายภัทรว่างรึเปล่าคะ น้องอยากคุยสักครู่”
“ว่ามาเถอะ เพราะเดี๋ยวพี่จะต้องไปสอนนักศึกษาแล้ว”
“แหม...ไม่มีเวลาให้น้องบ้างเลยนะคะ” มารตีกระเง้ากระงอดใส่
“มีอะไรก็รีบพูดเถอะครับ ไม่มีเวลาจริงๆ”
“เรื่องน้องกระถินน่ะค่ะ คุณพ่ออยากให้หม่อมย่าเอียดได้มาดูตัวกระถินเป็นเรื่องเป็นราวเสียที เลยอยากเรียนเชิญทุกคนที่วังจุฑาเทพมาที่วังเทวพรหมค่ะ”
“แต่ชายรุจยังไม่กลับนะครับ รออีกสองเดือนข้างหน้าไม่ดีกว่าหรือ”
“ทางคุณพ่อร้อนใจค่ะ เพราะพี่ชายรุจน่ะซีคะ รีบไปต่างประเทศเหมือนกับหนีหน้าไม่อยากพบน้องกระถินอย่างนั้น คุณพ่อถึงอยากให้ทุกคนได้เห็นน้องกระถินไงคะ ยังไงจะได้สยบข่าวลือร้ายๆ ไปเสียบ้าง”
“ข่าวลืออะไรครับ”
“ข่าวลือที่ว่าน้องกระถินเป็นเด็กบ้านป่าไงคะ ไม่ประสีประสา โง่เง่าเต่าตุ่น ที่จริงน้องกระถินเป็นเด็กที่ถูกอบรมมาอย่างดี ถึงแม้จะอยู่ในเหมืองพังงา แต่ก็มีความเป็นกุลสตรีเพียบพร้อมเชียวค่ะ”
“ได้ น้องมารตีนัดมาละกันครับ พี่จะเรียนหม่อมย่าให้”
“ขอเป็นวันหยุดสิ้นอาทิตย์นี้เลยนะคะพี่ชายภัทร”
พุฒิภัทรแปลกใจ “เร็วขนาดนั้นเชียว”
“ค่ะ บอกแล้วไงคะ คุณพ่อท่านร้อนใจ”
คุณชายพุฒิภัทรพยักหน้า
“เข้าใจ พี่ขอตัวก่อนนะ ได้เวลาเข้าคลาสแล้ว”
“ค่ะ”
พอพุฒิภัทรแยกไปมารตียิ้มร้ายออกมา

ไม่นานต่อมา ภายในห้องนั่งเล่นวังเทวพรหม วิไลรัมภารับสายมารตี เห็นเทวพันธ์นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมประจำ
“ค่ะ พี่มารตี น้องจะเรียนคุณพ่อตามนั้น”
วิไลรัมภาวางสายแล้วเดินไปหาเทวพันธ์
“คุณพ่อคะ ภามีเรื่องปรึกษา”
“ว่าไงลูก”
“เรื่องกระถินน่ะค่ะ ภาว่าเราควรจะรีบให้ทางหม่อมย่าเอียดมาดูตัวกระถินเสียแต่เนิ่นๆ นะคะคุณพ่อ”
“ทำไมเหรอ”
“ภากลัวว่ากระถินจะหลุดจากคุณชายรุจไปอีกคนน่ะซีคะ”
“ไม่หลุดแล้ว เพราะทางย่าอ่อน หม่อมเอียด เห็นพ้องต้องกันแล้วนี่”
“ค่ะ แต่ทางคุณชายรุจกับพี่ๆ น้องๆ น่ะซีคะ อาจไม่เห็นด้วย คุณพ่อไม่ทราบเหรอคะ ว่าเรื่องกระถินกำลังลือกระฉ่อนกันไปทั่วพระนคร” วิไลรัมภาตีไข่
“ลือเรื่องอะไรลูก”
“ลือว่าเป็นเด็กบ้านนอกคอกนา พูดได้แต่ภาษาถิ่น โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีการศึกษา แถมหน้าตาก็ดูไม่ได้ ดำเป็นตอตะโก เฮ้อ...ภาฟังแล้วกลุ้มใจแทน กลัวว่าทางสกุลจุฑาเทพจะรังเกียจน่ะค่ะ”
“ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นนะ แต่ตอนนี้ยายเกษกำลังอบรมอยู่นี่ให้มันทำตัวเป็นสาวกรุงก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ค่อยเรียกทางหม่อมเอียดมาดู” เทวพันธ์ว่า
“ตอนนี้กระถินดีขึ้นมากแล้ว ทั้งหน้าตาผิวพรรณ ทั้งกิริยามารยาท”
เทวพันธ์ตื่นเต้น “จริงนะลูกภา”
“ค่ะ ภาและพี่มารตีช่วยบ่มผิว อาบน้ำนมผสมน้ำผึ้ง อบด้วยขมิ้น ผิวพรรณผ่องใสเป็นยองใย หายกระดำกระด่าง แถมยังให้ฝึกทำขนม ทำอาหาร กะล่อยกะหลิบเชียวค่ะ พี่เกษน่ะมัวแต่ขายขนม ไม่เอาธุระสักเท่าไหร่หรอก” มารตีไม่วายพูดเอาดีเข้าตัว
“ฟังอย่างนี้พ่อค่อยคลายใจหน่อย งั้นเรียกหม่อมเอียดมาเลย”
“ค่ะ คุณพ่อ สุดสัปดาห์นี้นะคะ เดี๋ยวภากับพี่มารตีจะจัดการให้”

วิไลรัมภาบอกพร้อมกับหันไปลอบยิ้มอย่างรู้กันกับพี่สาวแสบ

ค่ำนั้นหม่อมเอียดนั่งทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากับย่าอ่อนและคุณชายจุฑาเทพทั้งสี่ อยู่ในห้องอาหารวังจุฑาเทพ มีแจ๋ว และสมศรีปรนนิบัติอยู่

“งั้นเหรอ หนูมารตีบอกมาอย่างนั้นเหรอ” หม่อมเอียดย้อนถาม
“ครับ หม่อมย่า ทางเทวพรหมเขาร้อนใจมาก” พุฒิภัทรว่า
“ตายจริง ถ้าข่าวลือเรื่องหนูกระถินออกไปอย่างนั้น มันก็น่าร้อนใจอยู่นะ เอ...ใครนะที่มันเอาไปลือ” ย่าอ่อนสงสัย
“จะมีใครละจ๊ะ ก็แม่ทองสุขกับบรรดาที่หล่อนไปร่วมวงรำพัดกับเขาอยู่นั่นแหละ”
หม่อมเอียดเหน็บน้องสาว หนุ่มๆ หันมายิ้มให้กัน
“คุณพี่คะ อิชั้นไม่ได้ไปรำพัดค่ะ แค่ไปสังสรรค์ชั่วมื้อชั่วคราว แต่...เดี๋ยวต้องไปถามให้ได้ความ ใครที่มันปากบอน” ย่าอ่อนฉุนเฉียวไม่หาย
“คุณย่าครับ แล้ววันหยุดนี่ พวกเราต้องไปกันทั้งหมดเลยเหรอครับ” ธราธรเอ่ยขึ้น
“ทางคุณชายเขาเชิญพวกเราทั้งหมด ก็ควรจะให้เกียรติไปกันทุกคน มีใครติดธุระอะไรรึเปล่า”
ท้ายประโยคหม่อมเอียดถาม พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ประสานเสียง
“ไม่มีครับ”

วันต่อมาสี่หนุ่มประชุมกันในห้องใต้โดม รัชชานนท์เปิดประเด็น
“ยังไงครับ แสดงว่าทางเทวพรหมมั่นใจในตัวน้องกระถินมากๆ เลยเหรอครับเนี่ย”
“ไม่มั่นใจคงไม่เชิญหม่อมย่าไปดูตัวหรอกครับ” รณพีร์เสริม
“ทางคุณมารตีเขามีท่าทียังไงชายภัทร” ธราธรแปลกใจ
“มั่นใจมากครับ และยืนยันด้วยว่าน้องกระถินถูกอบรมมาดี เป็นกุลสตรีเพียบพร้อม” พุฒิภัทรบอก
“พวกนายเชื่อไหม”
ชายเล็ก กับชายพีร์ ยกมือทันทีบอกพร้อมกัน
“ไม่เชื่อครับ”
“นายล่ะชายภัทร”
พุฒิภัทรยกมือตาม “ไม่เชื่อเหมือนกัน พี่ชายใหญ่ละครับ”
“เสียงส่วนมากไม่เชื่อ ฉันก็คงไม่เชื่อตามพวกนายนั่นแหละ” ธราธรว่า
“ถ้าอย่างนั้นต้องลุ้นกันแล้วละครับว่า สิ้นอาทิตย์นี้น้องกระถินจะถูกจับย้อมแมวให้พวกเราดูรึเปล่า” พุฒิภัทรสรุป

ที่โต๊ะอาหารมือค่ำ เกษราวางช้อนทันที ต่อหน้าเทวพันธ์ มารตี และวิไลรัมภา แหวว และแย้ม คอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ลุ้นระทึก
“จะมาดูตัวกระถินสิ้นอาทิตย์นี้”
เทวพันธ์ไม่พอใจนัก “ใช่...ทำไม มีปัญหาอะไรเหรอ”
“คุณพ่อคะ จะนัดหมายทำไมไม่ถามเกษสักคำ กระถินยังอบรมขัดเกลาไปไม่ถึงไหน ทำไมถึงรีบนัดทางจุฑาเทพ”
มารตีและวิไลรัมภายิ้มหยัน
“อ้าว หนูรัมภาบอกว่ามันดีขึ้นแล้วนี่ ดีขึ้นทั้งกิริยามารยาท ทั้งหน้าตาผิวพรรณ”
วิไลรัมภาสอดขึ้น “ดีขึ้นจริงๆ นะคะคุณพ่อ พี่เกษน่ะมองน้องในแง่ร้ายเกิน”
“หนูกับน้องรัมภาช่วยกันปลุกปั้นน้องกระถิน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยพี่เกษไม่ได้ช่วยเลยสักนิด มัวแต่หาเงินขายขนมงกๆ ไม่คิดจะดูแลน้องกระถินเลย” มารตีสอพลอ
เกษรา แหวว และแย้ม อ้าปากค้าง
“อ้าว ฉันบอกให้เป็นหน้าที่แกไม่ใช่เหรอ ยายเกษ”
เกษราพูดไม่ออก
“พอน้องกระถินเริ่มจะเป็นสาวกรุงเข้าหน่อย พี่เกษก็เกิดอิจฉาน่ะค่ะ กลัวว่ามารตีกับรัมภาจะได้หน้า เลยทำเป็นรังคัดรังแค” ” มารตีใส่ไฟต่อ
“ทำไมแกเหลวไหลอย่างนี้ยายเกษ อ้อ หาเงินงกๆ คงถูกเจ้าชินกรมันสอนมาละซี ลูกพ่อค้ามันก็อย่างนี้แหละ คิดแต่เรื่องเงินเป็นใหญ่”
เกษราถูกบิดาด่า จึงนิ่งงันไป น้ำตาซึม
“ไม่รู้ละ พ่อนัดกับทางหม่อมเขาแล้ว จะคืนคำไม่ได้ วันดูตัวนังกระถินมันจะต้องชนะใจจุฑาเทพทุกคน”
เทวพันธ์ตัดบทปึงปังลุกขึ้นทันที
“ยายเกษ วันนี้ฉันจะไปนางเลิ้ง”
เกษราเช็ดน้ำตา “สนามม้าใช่ไหมคะ ค่ะ เงินอยู่ที่ร้านขนม แหววช่วยเปิดลิ้นชักที สองร้อยนะคะคุณพ่อ”
“สองร้อยก็สองร้อย”
เกษรารู้งานส่งกุญแจให้แหวว เทวพันธ์เดินตามแหววไปอย่างไม่ละอายใจใด ๆ
“ที่พูดเท็จออกมาทั้งหมด เธอมีความละอายบ้างไหม” เกษราจ้องหน้า น้องสาวดาวร้ายทั้งสองนาง
“ในภาวะสงคราม ไม่มีอะไรต้องละอายอยู่แล้ว” มารตีบอก
“สิ่งที่น่าละอาย คือวันนัดดูตัวต่างหากละคะ ยายกระถินคงดูไม่จืดแน่ โดยเฉพาะผมสีหัวปลีที่ล้างไม่ออกของมัน” วิไลรัมภาพูดอย่างสะใจ
“น้องเสนอนะคะ ให้ต้อนรับจุฑาเทพ ด้วยการให้นังกระถินมันตกปลาบู่ในสระโชว์ คงประทับใจพิลึก”
สองสาวหัวเราะ แล้วลุกจากโต๊ะอาหารไป เกษราหน้าสลดลง
“เอาไงดีคะคุณ” แย้มถาม
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกระถินคนเดียวแล้วละ” เกษรามีสีหน้าเครียดอย่างชัดเจน

ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวลาช่วงบ่าย ปวรรุจเข้าประชุมร่วมกับคณะทูต ท่านทูตพลเทพ และทีมงานคร่ำเคร่งกับการประชุม
คนที่นั่งข้างๆ ท่านทูตพลเทพ คือภาณุทัศนัย ที่ชำเลืองมองมาทางปวรรุจตลอด ปวรรุจหันมาเห็นเข้าพอดี
แต่ชายทัศน์เบือนหน้าไป แสดงอาการรังเกียจอย่างไม่สงวนท่าที
ปวรรุจพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ เวลาต่อมาขณะที่คุณชายปวรรุจกำลังพูดต่อหน้าที่ประชุม ท่านชายภาณุทัศน์ยกมือค้าน ไม่เห็นด้วยกับไอเดียปวรรุจเต็มที่ ปวรรุจเก้อไปแล้วตั้งสติยกเหตุผลมาประกอบ แต่ภาณุทัศนัยทัศน์ค้านชนิดหัวชนฝา ทั้งสองประฝีปากกันดุเดือด

จนพลเทพต้องเจรจาไกล่เกลี่ย ทุกคนในห้องประชุมต่างหน้าเจื่อนๆ กันไป

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ส่วนที่เมืองไทยวันต่อมา กระถินนั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องทำขนมไทยนานาชนิด เกษรา แย้ม และแหวว กำลังเตรียมเครื่องและอุปกรณ์ มีทั้งใบตอง สีทำลูกชุบ พู่กัน แป้ง เครื่องนวด น้ำตาลและมะพร้าว

“หา...พวกทางวังเขาจะมาดูตัวหนู” กระถินอ้าปาก ด้วยความตกใจ
“ใช่...เพราะฉะนั้นกระถินจะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง กระถินต้องแสดงความสามารถให้พวกเขาเห็น”
เกษราบอก
“ได้เลย เดี๋ยวกระถินจะปีนต้นมะพร้าว เก็บลูกมะพร้าวให้พวกเขาดู เก็บเร็วกว่าลิงสมุยอีก”
กระถินว่า แหววและแย้มหัวเราะออกมา
“ไม่ใช่ความสามารถแบบนั้น ต้องเป็นความสามารถแบบกุลสตรี นี่ไง วันนี้เราจะมาเริ่มที่การทำขนมหลายๆ แบบ เริ่มต้นที่การห่อใบตอง กลัดไม้กลัด ร้อยดอกไม้ มาลัย ธูปเทียนแพ”
กระถินรีบบอก “ทำไม่เป็น ทำไมต้องทำ บอกแล้ว หนูไม่อยากเป็นเมียไอ้คุณชาย”
“ไม่เอา กระถิน พูดจาให้ไพเราะงานนี้กระถินต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ เพื่อเราจะได้เอาชนะคนที่แกล้งเราไง”
“พี่เกษหมายถึง ยายคุณกระตี๊ กับคุณลำพองเหรอ”
สองบ่าวหัวเราะคิกอีก
“นั่นแหละ สองคนนั่นวางแผนแกล้งกระถินอีกแล้ว นัดคนที่วังจุฑาเทพมาดูตัวกระถิน เพื่อให้ทางวังโน้นเขาดูถูกกระถินไง”
กระถินโกรธ “มันแกล้งกระถินอีกแล้ว อีกะแหร่ง”
เกษราดุ “บอกแล้วไงอย่าพูดหยาบ เพราะฉะนั้นเราจะให้เขามาแกล้งเราไม่ได้ เราต้องสู้คืนนะ”
“ได้ กระถินจะสู้กับพวกมัน” กระถินฮึดสุดๆ
“เพราะฉะนั้นรับปากกับพี่นะคะ ว่ากระถินจะอดทน ทำตัวให้เรียบร้อย และฝึกงานครัวให้ชำนาญ”
“รับปาก”
“มีหางเสียงด้วย รับปากค่ะ”
“รับปากค่ะ”
“ดีค่ะ”
“เรามีเวลาแค่ไม่กี่วันนี้เท่านั้นนะคะ จะทันเหรอคะคุณเกษ” แย้มอดกังวลไม่ได้
“กระถินทำได้ไหม สามสี่วันนี่” เกษราถาม
“กระถินจะทำให้ได้ค่ะ”
กระถินฮึดสู้เต็มที่ สีหน้าจริงจังมาก
“ดีมาก งั้นเรามาเริ่มที่ร้อยมาลัยนี่เลย”
กระถินหยิบเข็มร้อยมาลัย แล้วทิ่มนิ้วทันที
“โอ๊ย” เอาปากดูดเลือดที่นิ้วทันที
“เบาๆ ทุกอย่างต้องช้าๆ งดงามนะคะ ทำตามพี่”
เกษราร้อยดอกไม้อย่างคล่องแคล่วและงดงาม กระถินมองอย่างทึ่งๆ แล้วเริ่มทำตาม

วันต่อมาที่กรุงเบิร์น พอปกรณ์เข้ามาในร้านอาหารตัวเอง แล้วต้องชะงักไปเพราะที่โต๊ะด้านใน อิ่มกับอั๋นนั่งทานอาหารกลางวันกันอยู่
อิ่มนั้นกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารเต็มโต๊ะ ปกรณ์เดินเข้าไปทักทายตามมารยาท
“สวัสดีครับ แหม....วันนี้มาอุดหนุนอาหารร้านผมเสียเต็มโต๊ะ เดี๋ยวจะลดให้พิเศษนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ใจดีจัง เพราะนี่แค่ออเดิร์ฟนะคะ อาหารจานหลักยังไม่ได้สั่งเลย”
“เหรอครับ”
“ทานกับเราด้วยซีครับคุณปกรณ์ เออ...เรามีเรื่องจะปรึกษาคุณปกรณ์ด้วย”
ปกรณ์ลงนั่งทันที
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
อั๋นเกรงใจไม่กล้าพูด
“พูดซีพี่อั๋น” อิ่มคะยั้นคะยอ
“พี่ไม่กล้าน่ะ คุณอิ่มพูดเองก็แล้วกัน”
“คืออย่างนี้ค่ะ เราได้ข่าวมาว่าคุณปกรณ์กับคุณชายรุจ มีแผนจะเที่ยวอินเตอร์ลาเก้นกัน จะขึ้นไปยอดยุงเฟรา เราก็เลยอาสาไปเป็นเพื่อนเที่ยวด้วย”
ปกรณ์ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก “เออ...คือว่าทริปครั้งนี้ ผมไม่ต้องการเพื่อนร่วมเดินทางอื่นน่ะครับ เราจะไปกันลำพังสองคน”
“บอกแล้ว คุณอิ่ม ว่าเขาไปกันส่วนตัว” อั๋นตำหนิ
“ไม่ได้นะคะ อิ่มได้ทูลขอคุณชายแล้วตั้งแต่วันนั้น ว่าเสด็จเที่ยวเมื่อไหร่ อิ่มจะขอตามเสด็จไปด้วย และคุณชายก็อนุญาตแล้ว” สาวอวบยังใช้ราชาศัพท์มั่วตลอดศก
“เอ...คุณชายไปอนุญาตคุณอิ่มตอนไหน ผมไม่ยักได้ยิน” ปกรณ์ว่า
“คุณชายได้ยินค่ะ คุณปกรณ์หูหนวกเอง ถ้าคุณปกรณ์ห้ามเราก็เท่ากับว่าขัดพระประสงค์ของคุณชาย ความผิดร้ายแรงนะคะ
ปกรณ์มึนตึ๊บ มองอั๋นอย่างขอความช่วยเหลือ อั๋นยิ้มเจื่อนเต็มที

อีกวันถัดมา ที่มองเตรอซ์ เมืองตากอากาศริมทะเลสาบช่วงกลางวัน มองจากตรงถนนเลียบทะลสาบ เห็นบ้านพักตากอากศเรียงรายตามไหล่เขางดงาม
ปราสาทชิยอง ตั้งริมทะเลสาป แลเห็นทุ่งดอกไม้ เห็นดอกเอเดลไวซ์และดอกนาซีซัสบานสะพรั่ง
วรรณรสาและอ้าย กำลังดูแผนที่และหมายกำหนดการอยู่หน้าวิลล่า สามสาวเห็นทะเลสาบสวยเบื้องหน้า
“เราอยู่ที่นี่มาสี่วันแล้วนะคะท่านหญิง เราควรจะออกเดินทางไปดูเขาเล่นสกีกันที่อินเตอลาเก้นได้แล้วค่ะ”
“หญิงยังไม่อยากไปไหน ไม่อยากไปเจอที่คนเยอะๆ ที่นี่ทั้งสวยทั้งสงบ หญิงชอบเมืองเล็กๆ แบบนี้”
“ท่านหญิงจะชอบไม่ได้หรอก เพราะท่านหญิงยังไม่ได้เที่ยวที่ไหนสี่วันมานี่ท่านหญิงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง”
“หญิงหมดอารมณ์จะเที่ยวน่ะ”
“แสดงว่าท่านหญิงยังอาลัยอาวรณ์ท่านชายทัศน์อยู่”
“ใครบอกล่ะ หญิงไม่ใส่ใจเขามานานแล้ว เพียงแต่ที่ยังอยากอยู่ที่นี่ เพราะมีอะไรบางอย่างเหมือนจะบอกหญิงว่าให้รออยู่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน มีอะไรบางอย่างอาจจะเกิดขึ้น”
อ้ายฟังแล้วชักสยอง ออกอาการกลัวๆ พลางเขยิบเข้ามานั่งใกล้วรรณรสา

“ท่านหญิง อะไรที่ว่านั่นมันคืออะไรล่ะ ผีเหรอ...แล้วผีสวิตเนี่ย มันเหมือนผีที่บ้านเรารึเปล่า”

มองจากระเบียงห้องพักสามสาวเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบสวยงาม ส่วนที่เตียงในห้องเอื้อยยังนอนหลับอยู่ลำพัง เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น

เอื้อยค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย แล้วค่อยๆ คลานมาที่ข้างเตียง เอื้อมมือจะมาหยิบนาฬิกาที่หัวเตียง แต่แล้วก็ไม่เห็น
“อ้าว แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
เอื้อยลงมาจากเตียง เสียงนั้นดังมาจากกระเป๋าที่วางกองๆ กันอยู่ เอื้อยเริ่มค้น เปิดกระเป๋าวรรณรสาออกมานาฬิกาอยู่ในกระเป๋านั่นเอง เอื้อยปิดเสียง แล้วทำท่าจะทิ้งกระเป๋าขึ้นนอนอีก แต่แล้วกลับเห็นอะไรบางอย่างในกระเป๋า เอื้อยหยิบตุ๊กตาไบลด์ ลิลลี่ขึ้น มา แต่เพราะจับด้านหลังจึงยังไม่เห็นหน้าตุ๊กตา
ครู่เดียวเท่านั้นเอื้อยเบิกตาโพลง กรี๊ดลั่นห้อง

เสียงของเอื้อยดังลั่น อ้ายที่กำลังกลัวเลยร้องกรี๊ดขึ้นมาบ้าง วรรณรสาร้องตามอีกคน

“เกิดอะไรขึ้น ใครร้อง”
“ผีน่ะซี ผีทะเลสาบรึเปล่า”
“ไม่ใช่ เสียงหนูเอื้อยนี่...ดังมาจากในบ้าน”
สองสาววิ่งเข้าบ้านไป
พอสองสาววิ่งเข้ามา พบว่าเอื้อยยังร้องกรี๊ดขดตัวอยู่บนเตียง มีตุ๊กตาไบลด์ ลิลลี่นอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น
อ้ายเข้ากอดน้องสาวตกใจมาก
“หนูเอื้อย เป็นอะไร”
“ตุ๊กตาผี น่ากลัวมาก”
“ทำไมเหรอ” วรรณรสาสงสัย
“ลองดูหน้ามันซีคะ”
วรรณรสาหยิบตุ๊กตาขึ้นมา แล้วหันมาทางสองสาว อ้ายและเอื้อยกรีดร้องพร้อมๆ กัน
“อ๊ายยย”
“เป็นอะไร ทั้งสองคนเลย”
“ก็หน้ามันมีรอยขีดอยู่”
“เหมือนตุ๊กตาผีวูดู อย่างในหนังที่เขาทำคุณไสยเลยละ”
“เฮ้อ...เพ้อใหญ่แล้ว หญิงเป็นคนขีดเองแหละ” วรรณรสาส่ายหน้าขำ
สองแฝดมองหน้ากันงงๆ
“แล้วท่านหญิงขีดทำไมคะ นั่น “หนูแต้ว” นะคะ”
“ไม่ใช่หนูแต้วอีกต่อไปแล้ว หญิงโง่โดนหลอก เพราะฉะนั้นยายนี่ต้องชื่อ “หนูตุ่น” เท่านั้น”
“แล้วท่านหญิงขีดหน้าผาก หนูตุ่น ไปเพื่ออะไร” อ้ายงงอยู่
“เป็นเครื่องเตือนใจตัวเองไงว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นแค่ไหน หญิงจะขีดหน้ายาย “หนูตุ่น” นี่จนกว่าจะไม่มีเนื้อที่จะให้ขีด เป็นการชำระความแค้นไปในตัว เอาละ เลิกกลัวได้แล้ว วันนี้เราจะเดินทางกันไม่ใช่เหรอ แต่งตัวกันได้แล้ว”
วรรณรสาออกจากห้องไป สาวแฝดมองหน้ากัน
“เร็ว หนูเอื้อย แต่งตัว ก่อนที่ท่านหญิงจะเปลี่ยนใจ”

เวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเวลากลางคืนในเมืองไทย มีเสียงเพลงสุนทราภรณ์ดังแว่วมาจากห้องกระถิน มารตีและวิไลรัมภาเดินมา เห็นไฟจากห้องสว่างเรืองออกมาที่ทางเดิน
“พี่มารตีคะ สองสามคืนมานี่ พี่เกษมาขลุกอยู่แต่ในห้องของนังกระถิน ทำอะไรกันคะ”
“นั่นซี แอบดูหน่อยดีกว่า”
ทั้งสองแอบลอบมองเข้าไปในห้อง

สองนางตาลุกโพลง มองภาพในห้องแทบไม่เชื่อสายตา เพราะในห้องกระถินกำลังหัดเต้นรำแนวบอลรูมกับเกษรา แต่ยังอยู่ในชุดอยู่กับบ้าน แหววและแย้มหัวเราะกันคิกคัก กระถินเต้นเก้ๆ กังๆ เซบ้าง หมุนตัวผิดบ้าง
“หนูขอโทษค่ะ หนูผิดอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ นับนะ หนึ่ง สอง สาม หมุน หนึ่ง สอง สาม หมุน”
มารตีกับวิไลรัมภายังคงแอบดูอยู่ที่หน้าประตูด้วยแววตาริษยา
“ตายแล้ว พี่เกษกำลังสอนมันเต้นรำ อ้อ คงจะเตรียมตัวสำหรับวันดูตัวละมัง”
“น่าสังเวชที่สุด นี่คงคิดว่าจะเอานางเถื่อน มาเป็นนางเมืองงั้นสิ เวลาแค่นี้คงเปลี่ยนมันได้หรอกนะ”
“เราต้องขัดขวางนะคะพี่”
“ไม่ใช่แค่ขัดขวาง มันต้องทำลายเลยละ”
มารตีและวิไลรัมภาแยกไป
กระถินเริ่มเต้นคล่องขึ้น
เกษราชม “เห็นไหม คล่องขึ้นแล้ว”
“ฮิฮิ ค่ะ ที่จริงก็ไม่ยากเท่าไหร่นะคะ”

สองสาวเต้นกันไป ท่ามกลางเสียงเพลง และเสียงหัวเราะคิกคักของแหววและแย้ม

ปวรรุจนั่งรออยู่ตรงหัวมุมถนนในโลซานน์ พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทาง รถของปกรณ์มาจอดอยู่ที่ลานจอด สักครู่จึงเห็นปกรณ์เดินตรงมาหา ปวรรุจสีหน้าเครียด

“อ้าว...ทำไมเพิ่งมา รออยู่เป็นชั่วโมงแล้ว”
“มีเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร” ปวรรุจฉงน
“ดูเอาเองก็แล้วกัน”
ปวรรุจมองตามไปเห็นอิ่มและอั๋นลงจากรถ เดินตรงมาหา
“อ้าว...สองคนนั่นมากับนายเหรอ มาทำไม”
“ถามเอาเองก็แล้วกัน”
อิ่มเดินมาถึง ไหว้อย่างชดช้อย อั๋นคำนับให้
“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบคุณชายรุจ” อิ่มทักทาย
“คุณอิ่ม คุณอั๋นมาเที่ยวโลซานเหรอครับ” ปวรรุจทักสองพี่น้อง
“เออ คือ...” อั๋นอึกอัก
“เปล่าค่ะ แต่เราจะมาเที่ยวสุดสัปดาห์ร่วมกับคุณชายค่ะ” สาวร่างอวบตอบอย่างไร้มารยาทเช่นเคย
ปวรรุจฉงน “ร่วมกับผม...”
“ค่ะ...คุณชายคงอนุญาตนะคะ เพราะเราเคยสัญญากันไว้แล้ว”
ปวรรุจยิ่งงวยงงหนัก
“ที่ร้านอาหารคุณปกรณ์ไงคะ เราสัญญากันแล้วว่าคุณชายจะพาอิ่มทัวร์สวิตด้วยกัน ลืมแล้วเหรอคะ”
ปวรรุจเลยต้องเออออไปอย่างเสียไม่ได้ “เออ....ก็....ยินดีครับที่ได้เพื่อนร่วมทาง”
ปกรณ์ยิ่งทำหน้าเซ็ง
“ที่จริงผมเกรงใจคุณชายกับคุณปกรณ์มากนะครับ” อั๋นว่า
ปกรณ์ชักทนไม่ไหวพูดเหน็บแนม “ถ้าเกรงใจก็ไม่ต้องมา...”
อิ่มสวน “พี่อั๋นคะ อย่าพูดมากเลย กลับไปที่รถกันเถอะค่ะ อากาศวันนี้หนาวเยือกเลย อิ่มอยากได้ไออุ่นในรถ”
อั๋นไม่ทันพูดอะไรอีก อิ่มเดินเข้าควงแขนปวรรุจหมับ แล้วพาเดินไปที่รถทันควัน
“เฮ้อ หมดสนุกเลยเรา” ปกรณ์เซ็งสุดๆ

ฝ่ายสามสาวเดินท่องทะเลสาบแสนสวยด้วยกัน วรรณรสาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สัมผัสถึงความสดชื่นของอากาศปลอดโปร่ง
“สวยจัง อากาศก็สดชื่น”
“บอกแล้วไงคะว่าให้ออกมาเที่ยวเสียบ้าง” เอื้อยบอก
“ท่านหญิงรู้ไหมว่าที่ริมทะเลสาบเจนีวาเขามีความเชื่อด้วยนะ” อ้ายว่า
“ความเชื่ออะไรเหรอ”
“นี่ค่ะ”
อ้ายเปิดฝ่ามือ เห็นเหรียญรัปเพน วรรณรสาประหลาดใจ
“ที่นี่มีความเชื่อว่า ถ้าใครมายืนริมทะเลสาบเจนีวา หันหลัง แล้วก็อธิษฐานอย่างนี้”
พลางอ้ายหลับตาพนมมืออธิษฐาน เอื้อยและวรรณรสามองอย่างสนใจ อ้ายโยนเหรียญข้ามหัวไปตกในทะเลสาบถึงได้ลืมตา
เอื้อยสงสัย “ทำไปแล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอหนูอ้าย”
“ก็จะโชคดี สมหวังอย่างคำขอทุกประการ ท่านหญิงลองดูซี”
อ้ายวางเงินลงกับมือของวรรณรสา หนูเอื้อยหยิบเงินของตัวเองออกมา
“ทำบ้าง”
เอื้อยแยกไปอีกมุม หันหลังให้ทะเลสาบ แล้วหลับตาอธิษฐาน
วรรณรสามองเหรียญในมือ แล้วหันหลังให้ทะเลสาบ หลับตาลงตั้งจิตอธิษฐาน พูดเบาๆ
“เมื่อพ้นจากความหลอกลวง ของคนที่เคยตั้งใจจะร่วมชีวิตมาแล้ว...หญิงก็ขอให้ได้เจอใครสักคน...ที่จะเป็นความรักที่จริงแท้ของหญิงเสียทีเถิด”
วรรณรสาโยนเหรียญข้ามเหนือหัว เหรียญนั้นตกลงในน้ำและจมลงไปอย่างสวยงาม วรรณรสาหันมามองคลื่นน้ำระลอกเล็กๆ นั้น แล้วยิ้มออกมา เกิดความรู้สึกปิติ ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก อ้ายและเอื้อยเข้ามามองท่านหญิงรสาที่ยิ้มปิติอย่างยินดี
“ท่านหญิง ต่อไปนี้ก็จะเจอแต่เรื่องสมปรารถนาละนะท่านหญิง” อ้ายว่า
เอื้อยบอกต่อ “ลืมเรื่องทุกข์โศกให้หมดเถอะนะคะ เรามาเริ่มทุกอย่างใหม่นับแต่เวลานี้เป็นต้นไป”
ท่านหญิงปลื้มน้ำตาคลอ “ขอบคุณมากนะหนูอ้าย หนูเอื้อย”
วรรณรสาเข้ากอดสองแฝด ที่น้ำตารื้นด้วยเช่นกัน
“ใช่...เราอุตส่าห์มาถึงสวิต ดินแดนที่สวยเหมือนสวรรค์ขนาดนี้ หญิงจะไม่ยอมจมปลักอยู่กับเรื่องไร้สาระอีกแล้ว”
“งั้น...เรามาจับมือกันนะ”
สามสาวจับมือกัน
“เราจะตะลุยสวิตกันให้สนุกที่สุดเลย เพื่อความสุขของเราในทริปนี้”
“เพื่อสวิตแสนสวย”
“เพื่ออิสรภาพของเรา”
ทั้งสามหัวเราะแล้วกอดกันกลม ท่ามกลางทะเลสาบสีเงิน และขุนเขากว้างใหญ่

ที่ปราสาทชิยง แลเห็นภาพหอคอยของปราสาทตระหง่าน ตัวปราสาทเก่าทะมึนตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ริมฝั่งน้ำ
ปวรรุจ ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม เดินเที่ยวชมปราสาทเก่าที่ดูศักดิ์สิทธิ์ปนน่ากลัว ภาพวาดปูนเปียก และเฟอร์นิเจอร์งดงาม อิ่มอยู่ในชุดทรงเอ็มไพร์ คล้ายๆ ชุดที่โมนาลิซ่าใส่ในภาพบันลือโลก ลากหางยาวเหมือนสาวในยุคกลาง อั๋นถือกล้อง ต้องถ่ายอิ่มไปตลอดทาง โดยอิ่มถือกระเป๋าใบใหญ่พอควรตลอดเวลา
“อุ๊ย...มุมนั้นสวยค่ะ พี่อั๋นถ่ายให้หน่อย”
อิ่มไปยืนโพสทำท่าสวยซึ้ง
“คุณชายคะ มาถ่ายกับอิ่มหน่อยซีคะ”
“เออ.....ฉังคงต้องขอตัวนะ”
ปกรณ์และปวรรุจเดินแยกมา ปกรณ์กระซิบ
“คุณอิ่มนี่นอกจากจะพูดมากแล้ว แต่งตัวก็ยังประหลาดอีกด้วย ดูซีชุดเลดี้ยุคกลางลากหางยาวแบบนี้ เกิดสะดุดล้มไป นาย ฉัน คุณอั๋นไม่มีทางช่วยได้แน่”
“ทำไมล่ะ”
“ก็หนักเสียขนาดนั้นน่ะซี เราสามคนแบกไม่ไหวหรอก ต้องเรียกปั้นจั่นมายกถึงจะได้” ปกรณ์ว่า
ปวรรุจอมยิ้ม
“แต่ที่ฉันแปลกใจคือกระเป๋าของคุณอิ่มน่ะ ไม่รู้แบกอะไรมา” ปวรรุจสงสัย

ทั้งสองหนุ่มแยกไปอีกห้อง

ฝ่ายอั๋นกำลังถ่ายรูปอิ่ม

“พี่อั๋นคะ อิ่มว่า เราเปิดกระเป๋ากันเถอะค่ะ”
“อย่าเลยน้องอิ่ม อายเขา”
“อายทำไม ไม่เห็นต้องอาย เปิดกระเป๋าเดี๋ยวนี้เลยนะพี่อั๋น” อิ่มตวาด
อั๋นถูกตวาด ยอมเปิดกระเป๋า
ปวรรุจและปกรณ์เดินบ่นผ่านโถงไป อีกประตูด้านหนึ่งสามสาวเดินเข้ามาพร้อมกล้องถ่ายรูปในมือเอื้อย
“เดี๋ยวเราลงไปดูคุกใต้ดินกันนะ ที่คุมขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด”
“ใครเหรอ”
“อ้าว...ไหนว่าหนูอ้ายรู้ไง ศึกษามาอย่างดีไม่ใช่เหรอ” วรรณรสาเย้า
“อ๋อ...รู้ค่ะ รู้” อ้ายรีบพลิกหนังสือไกด์ทัวร์ “นี่ไง...ฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด เป็นนักบวชที่ออกมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย”
“ท่าทางคุกข้างล่างจะน่ากลัวนะ คนตายกันเยอะรึเปล่าไม่รู้” เอื้อยว่า
“อย่าพูดซี บรรยากาศยิ่งน่ากลัวอยู่”
“มุมนี้สวยจัง ถ่ายรูปกันก่อนนะ”
เอื้อยไปยืนโพส อ้ายเป็นคนถ่ายสองสามรูป วรรณรสาเดินเลี่ยงไปลำพังที่ห้องข้าง ๆ

วรรณรสาเดินเข้ามาในห้องที่อิ่ม และอั๋นถ่ายรูปอยู่ วรรณรสาตะลึงงันไปเมื่อเห็นอิ่มกำลังทำท่าเดียวกับโมนาลิซ่า ยืนอยู่หลังกรอบรูปที่ตั้งแสตนด์ไว้ ด้านหลังเป็นหน้าต่างของปราสาท อั๋นกำลังดูรูปโมนาลิซ่าในมือ กล้องตั้งขาไว้ อีกมือหนึ่งพร้อมกดชัตเตอร์
อิ่มยิ้มอ้าปาก “เหมือนรึยังคะพี่อั๋น”
“เดี๋ยวนะ....อย่ายิ้มมากซี ต้องยิ้มน้อยๆ อย่าเปิดปาก หุบปากไว้”
อิ่มหุบปากทำยิ้มน้อยๆ ตาแบ๊ว ดูประดิษฐ์อย่างน่าขัน วรรณรสาทึ่งที่รู้ว่าทั้งสองเป็นคนไทย กลั้นหัวเราะ
“ได้รึยังคะ”
“อย่าลืมนะว่าอิ่มต้องยิ้มแบบโมนาลิซ่า ยิ้มแบบเป็นปริศนา”
“ยังไงล่ะค่ะ ปริศนา”
“ก็คือต้องไม่ให้รู้สึกว่ายิ้มเพราะดีใจ เศร้าใจ หรือว่ายิ้มเยาะหยัน ต้องเป็นกลางๆ ตีความไม่ออก มันคือปริศนาที่คนทั้งโลกสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเป็นรอยยิ้มแบบไหนกันแน่ไง”
“ยากจัง”
อิ่มบ่น ทำหน้าใหม่ แต่ยิ่งน่าขันกว่าเก่า อั๋นส่ายหน้า วรรณรสาปิดปากหัวเราะ
“เอ้า เอ้า ถ่ายแล้ว หนึ่ง สอง สาม”
อั๋นกดชัตเตอร์ พร้อมกับวรรณรสาหัวเราะก๊ากออกมา อิ่มแสยะแยกเขี้ยวหน้าหันมามอง
“ใครน่ะ ใครหัวเราะ”
“อิ่ม...โธ่....หมดกัน”
สองพี่น้องหันมามองวรรณรสา สามคนยังไม่เคยเจอกัน เพราะในร้านปกรณ์ วรรณรสาก็ออกมาเสียก่อน
“หัวเราะเยาะฉันเหรอ You’re laughing at me”
“โทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”
อั๋นยิ้มทัก “คนไทยเหรอครับ”
“ค่ะ คนไทย ถ่ายแบบโฆษณาเหรอคะ” วรรณรสาถามดีๆ
“อ๋อ เปล่าครับ ถ่ายกันเล่นๆ เฉยๆ”
อิ่มเดินออกมาจากกรอบรูป เอาเรื่องทันที
“แล้วมาหัวเราะเยาะฉันทำไมไม่ทราบ”
“ขอโทษค่ะ ไม่รบกวนแล้วค่ะ”
วรรณรสาชักกลัวอิ่ม หลบตาแล้วแยกไป อั๋นเหลียวมองตาม
“เสียอารมณ์หมดเลย เรากำลังอินกับอารมณ์ของโมนาลิซ่า พี่อั๋นถ่ายใหม่นะคะ
“จ้ะ”
อั๋นมองตามวรรณรสาไปด้วยความเสียดายในความสวย
“พี่อั๋น มองอะไรแม่นั่น”
“อิ่ม...ดูผู้หญิงคนนั้นดีๆ ซี”
“ทำไม พี่รู้จักเหรอ”
“เปล่า...สีหน้าเขาน่ะ สวยคลาสสิค ยิ้มเศร้าๆ ตาซึ้งๆ เหมือนโมนาลิซ่ายังไงยังงั้นเลย”
“ยี้ เหมือนตรงไหน ตัวผอมยังกะจิ้งจกถูกประตูหนีบ หน้างี้ขึ้นกระดูกโปนเชียว โมนาลิซ่าต้องสวยอวบอิ่มเหมือนอิ่มค่ะ มา...ถ่ายต่อ”
อิ่มกลับเข้าหลังกรอบรูป แล้วทำท่าพริ้มต่อ

อ้ายและเอื้อยฟังความจากวรรณรสาท่าทีฉุนเฉียว
“อะไรนะท่านหญิงโดนเอ็ด”
“คนไทยด้วยเหรอ” เอื้อยถาม
อ้ายฉุน “ใครมันบังอาจ ขอเจอหน้าหน่อยเถอะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว”
“อย่าเลยหนูอ้าย รสาผิดเองแหละที่ไปหัวเราะเยาะเขาก่อน”
“ยังไงก็อยากเห็นหน้าค่ะว่าเป็นใคร”
“รู้สึกจะชื่ออิ่ม กับอั๋น” วรรณรสาบอก
อ้ายกะเอื้อยอุทานพร้อมกัน “หา...อิ่ม อั๋น”
ทั้งสองรีบวิ่งไปดูทันที วรรณรสาวิ่งตาม
“หนูอ้าย หนูเอื้อย มีอะไรเหรอ”

อ้าย และเอื้อย วิ่งเข้ามาในห้องที่อั๋นและอิ่มถ่ายรูป พอเห็นภาพอิ่มเท่านั้น สองสาวก็หัวเราะลั่น
“โอ๊ย...อะไรอีกล่ะ”
อิ่มฉุนหันมาทางแฝดพร้อมกะอั๋น
อั๋นดีใจ “หนูอ้าย หนูเอื้อย”
“เธอสองคนอีกแล้ว นี่ฉันอุตส่าห์หนีมาถึงมองเตรอซ์ พวกเธอยังตามมารังควาญฉันอีกเหรอ”
“เอ๊ะ พูดดีๆ นะคุณอิ่ม ปราสาทชิยงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้ใครๆ ก็ย่อมจะมาได้ทั้งนั้น”
“ดีใจมากเลยครับ ได้เจอหนูอ้าย หนูเอื้อยอีก”
อั๋นทักทายแล้วมองเอื้อยส่งสายตาหวานซึ้ง เอื้อยหลบตาเกิดอาการเขิน อิ่มเห็นยิ่งไม่พอใจ
“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ” อ้ายอดถามไม่ได้
“อ๋อ ผมถ่ายรูปให้อิ่มน่ะครับ” อั๋นบอก
อ้ายกลั้นหัวเราะ “แล้ว...ต้องไปยืนหลังกรอบรูปด้วยเหรอคะ”

“อิ่มเขาอยากให้ตัวเองเหมือน โมนาลิซา น่ะครับ” อั๋นว่า

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 4 (ต่อ)

พอได้ฟังอ้ายและเอื้อยเบือนหน้าหนีด้วยความขำ อิ่มโมโหตะเพิดไล่สองสาว

“ฉันว่าหมดธุระของเธอสองคนแล้ว ไปให้พ้นๆ เลย แล้วอย่าได้โคจรมาพบพานกันอีกในชาตินี้”
“เดี๋ยว…ฉันยังไปไม่ได้ เพราะเมื่อกี้เพื่อนฉันบอกว่าถูกเธอเอ็ดตะโรใส่” อ้ายหมายถึงวรรณรสา
“ใคร ที่ไหน ไม่รู้เรื่อง” อิ่มนึกได้ “อ้อ คงยายซิ้มหน้าซีดคนนั้นน่ะเหรอ ก็สมควรแล้ว ไม่มีมารยาทมาหัวเราะใส่ฉันได้ยังไง”
อ้ายของขึ้นทันควัน “ต๊าย....ว่าเพื่อนฉันยายซิ้มหน้าซีดงั้นเหรอ คนไร้มารยาทน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ รู้ไหมว่าเพื่อนฉันเป็นใคร ฐานะระดับไหน”
เอื้อยเห็นอ้ายจะหลุดปากรีบปราม “อ้าย พอเถอะ”
อิ่มเยาะ “อ้อ จะมาอวดมั่งอวดมีงั้นซิ ได้...ฉันก็รวย ตระกูลผู้ดีเก่าของแท้ ไม่ใช่ผู้ดีหางแถวหรือตกยาก ฉันไม่เคยต้องก้มหัวให้ใครอยู่แล้ว”
อ้ายสวนออกไปอีก “ถ้าเธอรู้ว่า “รสา” เป็นใคร เธอนั่นแหละที่จะต้องก้มหัวแบนๆ ของเธอลงคารวะทันที”
อิ่มหยันไม่หยุด “ขำจัง พูดเหมือนเพื่อนหล่อนเป็นเจ้าเป็นนาย หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ พระองค์หญิง อย่างนั้นละ โถ...ดูหน้าก็รู้ อีแค่ลูกเจ๊กลูกจีน”
อ้ายด่ากลับ “พูดออกมาได้ นังอึ่งอ่างลืมตัว”
“ต๊าย หยาบช้า นังผีคาบูกิ” อิ่มด่ากลับ
“งั้นเข้ามาเลย เห็นฉันตัวเล็กแบบนี้ เคยล้มช้างมาแล้ว” อ้ายท้า
“ได้เลย งั้นฉันจะล้มทับหล่อนให้กลายเป็นกล้วยปิ้งเดี๋ยวนี้แหละ”
ทั้งสองทำท่าจะโผนเข้าหากัน อั๋นเข้ารั้งร่างน้องสาวไว้
“พอ...ขอเถอะครับ นี่มันสถานที่ท่องเที่ยวนะครับ อย่าให้เจ้าหน้าที่มาไล่เราออกไปเลย”
“อ้าย จริงของคุณอั๋นนะ ที่นี่ต้องการความสงบ ออกมาก่อนเถอะ”
เอื้อยดึงอ้ายจะออกไป อ้ายไม่วายทิ้งทวน
“นี่...ยายคางคกขึ้นวอ อย่าฝันเลยนะว่าจะเป็นโมนาลิซา เพราะหล่อนน่ะสมควรจะเป็นนางผีเสื้อสมุทรมากกว่า”
อ้ายหัวเราะแล้วเดินหนีไป
“พี่อั๋น มันว่าน้องเป็นคางคก เป็นผีเสื้อสมุทร ไม่ยอมนะ”
ว่าพลางอิ่มทำหน้ากลมเป็นปลาปักเป้าอีก อั๋นทั้งเบื่อทั้งรำคาญ ได้แต่เหลียวมองตามเอื้อยไปอย่างอาลัย
อาวรณ์

วรรณรสาแยกเดินไปด้านหนึ่งของปราสาท แล้วเกิดอาการงง ๆ เพราะหาทางกลับทางเดิมไม่เจอ นานเข้านักท่องเที่ยวก็เหลือน้อยลงทุกที
ท่านหญิงเดินตามนักท่องเที่ยวต่างชาติไป แต่ทุกคนกลับเดินเข้าทางแยกไปจนหมด เหลือวรรณรสาเดินอยู่ลำพังจึงเริ่มหวั่นใจ เพราะความเก่าแก่ของปราสาท ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัว ท่านหญิงรีบเดินเร็วเร็วรี่มาจนสุดทางเดิน มองตรงไปเหมือนตาฝาดพร่ามัวไปชั่วครู่ เพราะที่วรรณรสาเห็นยืนอยู่สุดโถงนั้นคือร่างของปวรรุจที่กำลังยืนอยู่ศิลปกรรมฝาผนังอยู่
วรรณรสาเดินตรงมาหาปวรรุจด้วยความรู้สึกว่าเธออาจจะฝันไป ปวรรุจหันมาพอดี
“รสา”
“คุณชาย นี่ฉันฝันไปรึเปล่า”
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
“ทางเดินนี่ทั้งเปลี่ยวทั้งหนาว กำลังคิดว่าตัวเองจะไปทางไหนดี แล้วฉันก็เห็นคุณชาย”
ปวรรุจยิ้มอย่างอบอุ่น “หลงทางอีกแล้วใช่ไหม”
วรรณรสาเขิน “ค่ะ แต่พอมาพบคุณชายฉันก็แน่ใจว่าฉันไม่หลงอีกแล้ว เฮ้อตอนแรกที่เห็นคุณชาย ฉันคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอีก”
“ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันตอนที่เห็นเธอ”
“ทำไมคะ”
“บทเธอจะหายไป เธอก็หายไปจากโลซานน์อย่างไร้ร่องร้อย แล้วบทเธอจะมา เธอมาปรากฏตัวอยู่ในปราสาทชิยองเหมือนปาฏิหาริย์”
“ขอโทษค่ะที่ฉันไม่ได้ลาคุณชายกับคุณปกรณ์ วันนั้นเรากำลังรีบเดินทาง ก็เลยตรงไปสถานีรถไฟเลย”
“เธอพักอยู่ที่นี่เหรอ”
“ฉันอยู่มองเตรอซ์มาสี่วันแล้วค่ะ วันนี้เพิ่งออกมาเที่ยว แล้วคุณชายล่ะคะ”
“ฉันเพิ่งเสร็จงานที่เจนีวา มีเวลาว่างช่วงอาทิตย์นี้ก็เลยถือโอกาสมาเที่ยว ก่อนจะถึงการประชุมใหญ่ในอาทิตย์หน้าไปทั้งเดือน”
วรรณรสาเก้อไปเมื่อพบกับสายตาคมของปวรรุจจับจ้องอยู่
“บังเอิญจังเลยนะคะที่เรามาเจอกันอีกครั้ง”
“มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้”
วรรณรสาเอียงคอถามท่าทีน่ารัก “หืมม์...อะไรนะคะ”
ปวรรุจยิ้มเขินๆ ไปเหมือนกัน “ไม่รู้ซี...ฉันนึกอยู่เสมอว่าจะต้องได้เจอเธออีกแน่ๆ”
วรรณรสายิ้มรับ ประสานสายตากันอย่างมีนัยบางอย่าง

อ้ายและเอื้อยเดินออกมาอีกมุม อ้ายบ่นพึมพำ
“ทำไมเราต้องมาเจอยายอ้วนเน่าคนนี้อีกนะ”
“นี่....อย่าไปว่าเขาเลย หนูเอื้อยขำจะตาย”
“ขำอะไร”
“ขำที่เธออุตริไปยืนในกรอบรูปทำท่าเป็น โมนาลิซา น่ะซี”
เอื้อยหัวเราะ อ้ายเลยหัวเราะตาม
“นั่นซี ก็ดีเหมือนกันนะที่เธอทำให้เราขำได้”
“แล้ววันนี้คุณอั๋นแต่งตัวเท่ห์ดีนะ” เอื้อยว่า
“หืมม์ ตาแว่นเด๋อนั่นน่ะเหรอเท่ห์ หนูเอื้อยคิดอะไรอยู่รึเปล่า”
“ไม่ได้คิดเสียหน่อย แค่เห็นเขาดูสุภาพเรียบร้อยดีน่ะ”
“แน่ะ แน่ะ อย่าบอกนะว่าชอบเขาแล้ว จริงซี หนูเอื้อยชอบผู้ชายท่าทางคงแก่เรียนแบบนี้ใช่ไหม”
“บ้า...อย่ามาใส่ความหน่อยเลย แล้วทีหนูอ้ายล่ะ”
จังหวะนั้น ปกรณ์เดินมาเห็นสองสาวเข้าพอดี
“ทำไม หนูอ้ายทำไม” แฝดน้องถาม
“ก็ชอบผู้ชายขี้เล่นอย่างคุณ ปกรณ์ใช่ไหม”
 
เอื้อยแซวแทงใจดำ

ปกรณ์หูผึ่ง ที่ทำท่าจะทักเลยหยุดไป ฟังสองสาวคุยต่อ 

“ก็น่ารักไม่ใช่เหรอ” อ้ายบอก
“หนูอ้าย ยอมรับหน้าไม่อายเลยนะ”
“จะอายทำไมล่ะ ชอบก็บอกว่าชอบ...”
พูดจบอ้ายหันไปเห็นปกรณ์พอดี
“ว้าย...คุณ ปกรณ์” อ้ายตกใจ คาดไม่ถึง
ปกรณ์เองก็หน้าแดง ทักทายด้วยความเขิน
“สวัสดีครับ”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เอื้อยถาม
อ้ายซัก “แล้วได้ยินอะไรบ้าง”
“ได้ยินหนูอ้ายชมใครก็ไม่รู้ว่าน่ารักน่ะครับ”
อ้ายบอก “แล้วไป”
“แล้วชมใครล่ะครับ”
“ฝรั่งที่ผ่านไปเมื่อกี้น่ะค่ะ หล่อน่ารักมาก”
เอื้อยเปลี่ยนเรื่อง “มาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ผมเป็นไกด์น่ะครับ พาเจ้ารุจเที่ยว”
“เอ...แล้วมีคนไทยคนอื่นร่วมทัวร์ด้วยรึเปล่าคะ” อ้ายถาม
“ทำไมถามอย่างนั้นละครับ”
“เราเพิ่งเจอคุณอั๋นกับยายคางคก” อ้ายบอก
“ใครครับยายคางคก ฮ่ะฮ่ะ...นึกออกแล้ว...คุณอิ่มนั่นเอง ใช่ครับ ผมกลายเป็นไกด์จำเป็นให้สองพี่น้องด้วย นี่คุณเจอคุณอิ่มแล้วเหรอ”
“เจอแล้วค่ะ แล้วก็ด่ากันแล้วด้วย”

ส่วนภายในห้องประชุมของปราสาท วรรณรสาและปวรรุจเดินมาด้วยกัน อั๋นและอิ่มเดินเข้ามาจากอีกด้าน อิ่มหน้าเชิดทันทีที่เห็นรสาเดินมากับปวรรุจ
“พี่อั๋น อิ่มรู้แล้วล่ะค่ะ ยายรสาคนนี้นี่เองที่ดึงคุณชายไปจากโต๊ะดินเนอร์ที่ร้านคุณปกรณ์คืนนั้น ทำให้อิ่มไม่ได้คุยกับคุณชายอีกเลย”
“แล้วทำไมล่ะอิ่ม”
“อ้าว ก็ยายนี่แหละที่ยายแฝดผีญี่ปุ่นบอกว่าทำตัวเป็นเจ้าเป็นนาย โถ…ก็แค่มีเงินแบบลูกพ่อค้าเศรษฐีใหม่ ทำเผยอหน้าเป็นผู้ดีเก่า นี่มาให้ท่าให้ทางคุณชาย หวังจะได้สามีเจ้าละซี”
อั๋นเอ็ดเอา “อิ่ม ที่อิ่มพูดมาทั้งหมดน่ะ คิดไปเองทั้งนั้นเลยนะ จริงเท็จยังไงก็ไม่รู้”
“เชื่ออิ่มเถอะค่ะ ทุกอย่างที่อิ่มพูดเป็นความจริง”
อิ่มตรงไปหารสาและ ปวรรุจทันที
“อิ่ม” อั๋นรีบตาม

อิ่มเข้าไปหาทั้งคู่ วรรณรสามองอิ่มอย่างงง ๆ อั๋นเข้ามาสมทบ อิ่มเข้ามากอดแขนปวรรุจทันที
“คุณชายขา...มาเสียเวลาอยู่ตรงนี้ทำไมคะ เราจะลงไปดูคุกใต้ดินกันดีกว่า”
“ฉันเพิ่งพบรสาเมื่อกี้ รสานี่คุณอิ่ม คุณอั๋น หลานของท่านทูตพลเทพ ทั้งสองคนมาเรียนต่อที่สวิต”
วรรณรสาอึ้งไปเล็กน้อย กลัวว่าทั้งสองจะเคยเห็นรูปของตนจากท่านทูตบ้างรึเปล่า แต่ก็คงไม่
“สวัสดีค่ะ”
“ไม่แนะนำตัวเองให้รู้จักบ้างเหรอคะ รสา นามสกุลอะไร ตระกูลไหนจะได้รู้เทือกเถาเหล่ากอ”
“คงไม่สำคัญหรอกค่ะ ฉันก็แค่ลูกพ่อค้าคนนึง”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่เสียกิริยา เที่ยวหัวเราะเยาะคนเขาไปทั่วแบบนี้”
วรรณรสาหน้าตึงขึ้นมา
“ขอโทษนะคะที่หัวเราะขำไปเมื่อกี้ เพราะตอนแรกนึกว่าคุณคือพวกละครเร่ โชว์ตลกที่เขามักเล่นกันที่สาธารณะ ไม่นึกว่าจะเป็นของจริง”
“หา....นี่เธอว่าว่าฉันเป็นพวกละครเร่งั้นเหรอ”
“ค่ะ เพราะมันขำจริงๆ นี่คะ โมนาลิซาในกรอบรูป”
“คืออะไรเหรอ โมนาลิซาในกรอบรูป” ปวรรุจงง
“ไม่สาธิตให้คุณชายดูหน่อยละคะ”
ปวรรุจดูการโต้ตอบของวรรณรสาอย่างพึงใจ อิ่มโกรธตัวสั่น จังหวะนั้น อ้าย เอื้อย และปกรณ์เข้ามาพอดี
“เจอกันอีกแล้วครับคุณรสา อ้าว เจอเจ้ารุจแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ เจอแล้วจะกำลังจะไปแล้ว หนูอ้าย หนูเอื้อย เราไปกันเถอะ อย่ารบกวนคุณชายและเพื่อนๆ ของเขาเลย” วรรณรสาว่า
อ้ายและเอื้อยหน้าเจื่อนไป เพราะยังอยากใกล้ชิดปกรณ์และอั๋น
“อ้าว จะรีบไปไหนละครับ ทำไมเราไม่ทัวร์ปราสาทด้วยกันเลย”
“ไม่ดีหรอกค่ะ เรามากันสี่คน ก็ควรไปด้วยกันสี่คน อิ่มไม่ชอบให้มีคนนอกเข้ามายุ่มย่าม ยิ่งเป็นพวกลูกพ่อค้าวาณิช ยิ่งไม่น่าเสวนาด้วยใหญ่” อิ่มบอก
อ้ายหันมามองอิ่มอย่างเอาเรื่อง แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวาน
“คุณปกรณ์คะ อยากดูคุกใต้ดิน แต่หนูอ้ายกลัวค่ะ พาไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”
“ยินดีครับ”
“อ้อ คุณอั๋นคะ หนูเอื้อยเป็นคนกลัวความมืด ความชื้น เห็นว่าข้างล่างทั้งมืดทั้งชื้น ดูแลหนูเอื้อยให้หน่อยนะคะ”
อั๋นหูแดง “ดะ ดะได้ครับ ทะ...ทะ...ทางนี้เลยครับหนูเอื้อย”
“ขอบคุณค่ะ”
เอื้อยไปกับอั๋น และอิ่มอ้าปากค้าง อ้ายฝากฝังวรรณรสากับปวรรุจ
“คุณชายคะ ช่วยดูแลรสาด้วยนะคะ รสาเองก็กลัวความมืด”
“ไม่ต้องห่วง”
ปวรรุจรับคำ แล้วพาวรรณรสาไป
“เดี๋ยว...แล้ว...แล้วฉันล่ะ คุณปกรณ์ อิ่มก็กลัวความมืดเหมือนกัน”
“ก็ไม่อยากเสวนากับเราก็ไปเองละกันนะคะ คุณอึ่ง” อ้ายยั่ว
“ฉันชื่ออิ่ม”
“ไปค่ะ คุณปกรณ์”

อ้ายควงปกรณ์ไปเลย อิ่มฉุนจัดอยากร้องกรี๊ด

ทั้งหมดพากันเดินลงมาที่โถงใหญ่หน้าคุกใต้ดิน บรรยากาศทะมึนน่ากลัว สาวๆ เบียดชิดกับหนุ่มทั้งสาม มีเพียงอิ่มที่เดินหน้าคว่ำอยู่ลำพัง อากาศหนาวเย็นยะเยียบมากขึ้นทุกที เอื้อยเอ่ยขึ้น

“แปลกจังนะคะ สร้างปราสาททั้งที ทำไมต้องสร้างคุกอยู่ในปราสาทด้วย ไปสร้างที่อื่นไม่ได้เหรอ”
อั๋นเห็นด้วย “นั่นซีครับ แค่เสียงร้องโหยหวนของคนคุก เจ้าของปราสาทก็คงนอนไม่หลับแล้ว”
“อย่าพูดซีคะ กลัว”
จู่ๆ มีเสียงนักท่องเที่ยวกระแอมเสียงดังลั่น
“ว้าย”
เอื้อยสะดุ้ง เผลอตัวเข้ากอดอั๋น ทำเอาอั๋นตะลึงไป หน้าแดงหูแดง แต่แขนรีบโอบเอื้อยไว้
“เสียงอะไร”
“ฝรั่งกระแอมครับ”
“อุ๊ย” เอื้อยรู้สึกตัวว่าเข้ากอดอั๋นแน่น “โทษค่ะ”
อั๋นยิ้มเขินอาย ไม่กล้าสบตา “ไม่เป็นไรครับ”
ปวรรุจพาวรรณรสามาที่รอยจารึกของ ลอร์ด ไบรอน ที่เสาใหญ่ต้นที่สาม
“นี่ไงครับ รอยจารึกของ ลอร์ด ไบรอน ที่ได้แรงบันดาลใจจากฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด ไปแต่งกวีที่ชื่อ “นักโทษแห่งชิยอง” อันลือลั่น”
“บทกวีว่ายังไงบ้างคะ”
“เคยเรียนสมัยอยู่ที่อังกฤษ พอจะจำได้บ้าง”
“ท่องให้ฟังหน่อยซีคะ”
ปวรรุจเขินนิดๆ “เธออยากฟังจริงๆ เหรอ”
“จริงค่ะ”
“งั้นฉันจะท่องที่แปลแล้วให้เธอฟัง เพราะฉันจำได้แม่นยำ”
ปวรรุจทำท่านึก แล้วพูดออกมาเป็นกลอน
“ปราสาทแห่งชิยงทรงตระหง่าน อยู่ท่ามกลางธารเลอมองท่องน้ำใส
ลงดำดิ่งพันฟุตสุดฤทัย น้ำบ่าไหลเวียนนทีสุดลีลา
เจ็ดเสาหลักค้ำจอมคุกแห่งยุคมืด ทั้งเย็นชืด ลึกล้ำ เก่าคร่ำคร่า
อาทิตย์ฉายอรุณฉานผ่านนภา มิอาจกล้าส่องผ่านย่านจองจำ”
“เพราะจัง คุณชายเก่งจังที่จำได้ ใครแปลคะ”
“คนแปลคือ...” ปวรรุจออกอาการเขิน “หม่อมราชวงศ์...ปวรรุจ ไงครับ”
วรรณรสาหัวเราะคิก ปวรรุจอมยิ้ม
“ขำอะไร”
“พูดจริงๆ นะคะ คุณชายแปลเอง”
“ใช่....ฉันแปลเอง ถึงได้จำได้ไง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
ปวรรุจเขินอีกหน่อยๆ “ฉันแปลแบบเก็บใจความน่ะ ไม่ได้แปลตรงตัว”
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉันไม่มีปัญญาแปลน่ะซี เพราะบทกวีดั้งเดิมเพราะมาก เพราะจนความสามารถระดับฉัน ไม่อาจจะแปลออกมาได้อย่างหมดจดครบถ้วน”
“แต่ในความคิดของ รสา มันเพราะมากค่ะ”
ปวรรุจมองวรรณรสานิ่ง ยิ้มให้อย่างอบอุ่นจนวรรณรสาต้องหลบตา
“ทำไมมองรสาอย่างนั้น”
“ฉันกำลังขอบใจเธอ ที่ชมบทกวีแปลของฉันว่าเพราะ และอีกอย่างขอบใจที่เธอไม่ใช้คำว่า “ฉัน” กับฉันแล้ว แต่เธอใช้คำว่า...รสา”
วรรณรสานิ่งงัน เพราะไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ
“คุณชายทำให้ “ฉัน” ...”
ปวรรุจสวนตำออกมา “ไม่ “ฉัน”...“รสา” ซี”
“คุณชายทำให้รสาคุ้นเคยกับคุณชายมากขึ้นละมังคะ”
“ยินดีมาก”
ทั้งสองยิ้มให้กัน โดยไม่รู้ว่าอิ่มมองอยู่ห่างๆ อย่างหมั่นไส้เต็มที

เวลาต่อมา ทั้งหมดพากันมาหยุดที่ทางลดระดับ เป็นทางแยกลงไปห้องใต้ดิน อิ่มท้วง
“เดี๋ยวค่ะ จะลงไปจริงๆ เหรอคะ”
“ก็ลงซีครับ” ปกรณ์บอก
“อุ๊ย...เราอย่าลงกันไปเลยค่ะ อิ่มรู้สึกวูบๆ เหมือนจะมีผีอยู่ข้างล่างยังไงก็ไม่รู้” สาวร่างอวบว่า
“ถ้างั้นคุณอิ่มรออยู่ข้างบนนะครับ ผมกับไอ้รุจจะลงไปดูผีสักหน่อย” ปกรณ์ฉุน
“ทิ้งอิ่มไว้คนเดียวได้ยังไงละคะ” อิ่มโวยวาย
“แหม...ที่จริงหนูอ้ายว่าคุณอิ่มคงไม่ได้กลัวผีหรอกค่ะ แต่ว่าทางเดินมันต้องมุดลงไป คุณอิ่มคงอ้วนเกินกว่าจะมุด”
อิ่มจะด่าอ้าย แต่อั๋นสวนขึ้น
“งั้นอิ่มกลับไปรอข้างบนดีกว่านะ”
“ก็ได้ งั้นพี่อั๋นไปเป็นเพื่อนอิ่ม”
“เออ...ไม่ได้หรอก เพราะพี่อยากลงไปดูคุกใต้ดินน่ะ”
“ฮึ...ก็ได้ อยากไปดูคนตายก็ตามใจ เชิญดูกันไปเถอะ”
อิ่มสะบัดกลับไปทันที ทุกคนต่างดูจะสบายใจขึ้น ค่อยๆ ไต่ระดับลงไป
ปวรรุจส่งมือให้วรรณรสาเดินไปตามทางแคบ ท่านหญิงยิ้มขอบใจ ปกรณ์ประคองอ้าย อั๋นประคองเอื้อย

ทั้งหกตะลึงกับบรรยากาศสยองของชั้นล่างคุกใต้ดิน เพราะมีทั้งขื่อแขวนคอนักโทษ เสาหลักประหาร เตียงหิน อ่างหินไว้ทรมานนักโทษ
วรรณรสาใจเต้นระทึก เดินเบียดปวรรุจจนเขารู้สึกได้ ปวรรุจจึงกุมมือของวรรณรสาเอาไว้ แฝดพี่หนูอ้ายเบียดร่างกับปกรณ์ เมื่อยามสยองขวัญกับสถานที่ประหาร มีอาการสะท้านเพราะความเย็นเยียบ ปกรณ์อมยิ้ม แล้วถอดแจ็คเก็ตให้อ้ายสวมกันหนาว อ้ายยิ้มขอบคุณ
ฟากอั๋นพอเห็นปกรณ์ทำเช่นนั้น ก็เลยถอดแจ็คเก็ตของตัวให้เอื้อยใส่บ้าง

ไม่นานต่อมาปวรรุจและวรรณรสาออกมาเดินด้านนอกของปราสาท ตรงมุมธรรมชาติสวยงาม เห็นอ้าย เอื้อยกำลังถ่ายรูปกับปกรณ์และอั๋น สองคู่สี่คนหัวเราะกันสนุกสนาน
“แล้วท่านนักบวชฟรังซัวส์ โบนิวาร์ดผู้นี้ได้ออกไปจากคุกที่นี่ไหมคะ” วรรณรสาถาม
“ท่านยังโชคดี กองทัพสวิตจากเบิร์นเข้ามายึดอำนาจของเคาน์แห่งซาวอย ทำให้โบนิวาร์ดเป็นอิสระหลังจากถูกจำคุกนานถึง 6 ปี แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือที่เจนีวา”
วรรณรสาถอนใจดัง...เฮ้อ “โล่งอก อิสรภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการนะคะ”
พูดแล้ววรรณรสาหน้าหม่นเศร้าลงอย่างชัดเจน เพราะเกิดคิดถึงปัญหาของตัวเอง จะปฏิเสธการแต่งงานกับภาณุทัศนัยอย่างไรดีหนอ ท่านพ่อหม่อมเจ้าฉัตรอรุณต้องไม่ยอมแน่ๆ ปวรรุจสังเกตอาการนั้นอย่างสงสัยใคร่รู้
“คิดอะไรอยู่เหรอรสา”
“เออ...ฉันกำลังคิดถึงอิสรภาพของตัวเอง”
“กับคู่หมั้นของเธอใช่ไหม”
“ค่ะ...ฉันยังไม่รู้จะปฏิเสธทางครอบครัวฉันและทางเขาอย่างไรดี”
“เข้าใจ”
ปกรณ์ตะโกนเรียก “ไอ้รุจ คุณรสา มาถ่ายรูปตรงนี้เถอะ วิวสวยมากเลย”
ปวรรุจและวรรณรสาเดินไปสมทบด้วยกัน

ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นอิ่มที่ยืนหน้าคว่ำอยู่มุมหนึ่ง มองมายังสามสาวด้วยสีหน้ามุ่งร้าย

ไม่นานหลังจากนั้น หนุ่มสาวทั้งเจ็ด นั่งทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารบรรยากาศสวย เห็นทิวทัศน์ตัวเมืองที่ไต่ระดับบนภูเขาและทะเลสาบสีเงินเบื้องล่าง

ปวรรุจ วรรณรสา อ้าย เอื้อย และปกรณ์ นั่งร่วมโต๊ะกัน ส่วนอิ่มกะอั๋นแยกไปนั่งเยื้องๆ
“ขอบคุณนะคะคุณชาย คุณปกรณ์ ที่เป็นไกด์พาเที่ยวปราสาท ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ” เอื้อยว่า
“จากนี่แล้วคุณสามคนจะไปไหนต่อละครับ”
คำถามของปกรณ์ ทำเอาสามสาวมองหน้ากัน
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ที่จริงเรายังไม่ได้เที่ยวที่ไหนเลย” อ้ายบอก
“งั้น...ผมขอเสนอข้อเสนอเดิม ไปกับเราไหมครับ” ปกรณ์รีบเสนอตัว
อ้ายรับคำชวนทันที “ไปค่ะ ไปไหนคะ”
“เรากำลังจะไปอินเตอร์ลาเคน ไปเที่ยวยอดจุงเฟรา ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปครับ” ปกรณ์บอก
“ไปค่ะ ไม่ปฏิเสธเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะไปเก็บกระเป๋าที่ที่พัก แล้วพร้อมเดินทางเลย”
ปวรรุจ วรรณรสา เอื้อย อมยิ้ม อิ่มลุกพรวดเข้ามาห้ามทันที
“ไม่เหมาะมังคะ คนตั้งเจ็ดคนจะยัดทะนานลงไปในรถคันเดียวได้ยังไง”
“อ้าว คุณอิ่ม อย่าลืมซีครับว่ารถผมเป็นสเตชันแวกอน นั่งได้ตั้งแปดที่” ปกรณ์แย้ง
“แต่สัมภาระอีกล่ะคะ” อิ่มไม่ลดละ
ปกรณ์บอกอีก “ก็แบกไว้บนหลังคาได้ครับ”
“ไม่น่าจะมีปัญหาเลยนะคะ เพราะเราสามคน “ผอมแห้งแรงน้อย” กันทั้งนั้น คงไม่กินที่สักเท่าไหร่” อ้ายไม่วายแดกดัน
วรรณรสา เอื้อย และปกรณ์กลั้นหัวเราะ อิ่มหน้าเชิด
“คุณชายเห็นว่าฉันควรร่วมเดินทางไปด้วยไหมคะ” วรรณรสาถามปวรรุจ
“ฉันต้องถามเธอมากกว่า ว่าจะรังเกียจไหมถ้าจะไปด้วยกัน”
วรรณรสายิ้มรับแทนคำตอบ ทุกคนยิ้มตาม มีเพียงอิ่มเท่านั้นที่ทำหน้ายักษ์ขมูขีอยู่คนเดียว

ขณะที่วรรณรสาออกมาจากห้องน้ำ พบว่าอิ่มยืนรออยู่แล้ว
“นี่เธอ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“มีอะไรคะ”
“ฉันรู้นะว่าเธอต้องการอะไรจากคุณชายรุจ”
“ฉันต้องการอะไร” วรรณรสาถามนิ่งๆ
“อยากจะจับคุณชายใช่ไหม” อิ่มจ้องหน้า
“นี่คุณ” วรรณรสาฉุน
“พวกลูกสาวพ่อค้าก็แบบนี้ จ้องจะจับเจ้ารวยๆ หวังจะได้สกุลเก่าเหง้าผู้ดีมาเสริมบารมีของตัวเอง”
“คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะคุณอิ่ม”
“ไม่เกินไปหรอก เพราะฉันเพิ่งแอบได้ยินเรื่องของเธอมาเมื่อกี้ เธอมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ที่เธอมาที่สวิตเพื่อมาตามคู่หมั้นของเธอ แล้วเธอก็ผิดหวังเสียเหลือเกินที่รู้ว่าคู่หมั้นเธอนอกใจ”
วรรณรสาหน้าซีด พูดไม่ออก
“เธอก็เลยรีบหันมาจีบคุณชายรุจ ไว้เป็นหลักยึดคนใหม่ แทนอาเฮียใจง่ายของเธอ”
“ที่เธอพูดทั้งหมดเนี่ย เพื่ออะไร”
“อ้าว....ก็ให้เธอเลิกหวังว่าจะจับคุณชายเสียทีไงล่ะ เลิกรากับคุณชายเสีย แล้วก็กลับไปหาอาเฮียคู่หมั้นของเธอ เพราะลูกพ่อค้าด้วยกันย่อมเหมาะสมกันอยู่แล้ว”
“เพื่อหลีกทางให้เธออย่างนั้นใช่ไหม”
อิ่มไม่โกรธแถมยิ้มรับ “ฮิฮิ...ก็ใช่...ไม่อยากบอกเลยว่า คุณชายจีบฉันตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง”
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นคุณชายจะปฏิเสธคู่หมั้นของเธอได้ยังไงกันล่ะ”
“หา...อะไรนะ คู่หมั้น คู่หมั้นที่ไหน” สาวอวบลนลาน
“อ้าว เธอไม่รู้หรอกหรือว่าคุณชายมีคู่หมั้นอยู่แล้ว”
“มะ...มะ...ไม่รู้”
“ตายจริง ถ้าคุณชายไม่ได้บอกเธอ ก็แสดงว่าคุณชายหลอกจีบเธอเข้าแล้วละ ถ้าอย่างนั้น เราก็หัวอกเดียวกันนะ ทั้งคุณชายรุจ ทั้งอาเฮียของฉันหลอกจีบเราทั้งคู่ เฮ้อ...ผู้ชายนะผู้ชาย”
วรรณรสาทำเป็นบ่นแล้วแยกไป อิ่มอ้าปากค้าง
“เดี๋ยว....ยังไม่รู้เรื่องเลย คู่หมั้นคุณชาย ไม่เชื่อ ฮือ
อิ่มทำปากจู๋แก้มพองเป็นปลาปักเป้าอีกแล้ว

วรรณรสาออกมาหน้าร้าน ถอนใจเฮือกใหญ่ มองมาที่ปวรรุจที่กำลังยิ้มละไมฟังปกรณ์คุยสนุกอยู่กับสองแฝด อั๋นที่ไม่ค่อยพูดหัวเราะไปกับสองแฝดด้วย ปกรณ์ดึงอ้ายมาเต้นแบบพื้นเมืองบาวาเรียน หัวเราะกันใหญ่ วรรณรสามองปวรรุจอย่างตัดใจ

วรรณรสาเหนื่อยใจเรื่องอิ่ม รวมทั้งเรื่องภาณุทัศนัย มีสีหน้าเครียด แยกตัวออกมานั่งลำพัง ใกล้รถที่จอด สามชายและแฝดอยู่ในที่พัก อิ่มเห็นกระเป๋าสะพายของวรรณรสาวางอยู่ในรถ จึงเดินตรงมาหา
“คุณรสา”
“เราหมดเรื่องคุยกันแล้วค่ะ”
“แต่ฉันยังไม่หมดเรื่องคุยกับเธอ ฉันไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดแม้แต่นิด คุณชายไม่มีคู่หมั้นคู่หมายที่ไหน เธอสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น”
วรรณรสาตัดรำคาญ ลุกขึ้นจะเดินหนี
“เดี๋ยว ยังพูดไม่จบ คิดให้ดีๆ นะ เรื่องที่เธอจะร่วมเดินทางไปกับฉัน กว่าจะถึงอินเตอร์ลาเก้นเราต้องร่วมทางกันไปอีกกว่าสองชั่วโมง คงไม่สนุกนักหรอกนะที่เราจะต้องเบียดอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น”
วรรณรสาถอนใจ ที่จริงก็เห็นด้วยกับอิ่ม จึงผละไปทันที อิ่มยิ้มเยาะ แล้วหันมาเห็นกระเป๋าสะพายของวรรณรสาอยู่ในรถ

อิ่มตาลุกวาว ยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบหยิบกระเป๋าของท่านหญิงรสาขึ้นมา

โปรดติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น