xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 5

ฝ่ายอ้ายและเอื้อยนั้นดี๊ด๊าสุดๆ ลากกระเป๋ามายังรถของปกรณ์ที่จอดรออยู่ ปวรรุจ ปกรณ์ และอั๋นกำลังช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถ อิ่มนั่งหน้าเชิดอยู่อีกมุม วรรณรสาหันมาทางสามหนุ่มที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นรถแข็งขัน และร้องบอกขึ้น

“เดี๋ยวค่ะ”
ทุกคนชะงัก
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่อยากไปอินเตอร์ลาเคนกับพวกคุณแล้ว”
ทุกคนอึ้ง ปวรรุจมองวรรณรสานิ่ง อิ่มยิ้มย่องออกมา
“ทำไมล่ะ รสา” เอื้อยแปลกใจ
“มีเหตุผลไหม” ปวรรุจถาม
วรรณรสาปรายตาชำเลืองมองไปทางอิ่มก่อนบอก “ฉันอยากไปเที่ยวเจนีวาที่คุณชายเพิ่งจากมามากกว่า”
อ้ายและเอื้อยเป็นงง
“ขอบคุณน้ำใจของคุณชายและคุณปกรณ์มากนะคะ แต่เราสามคนคงไม่รบกวน ขอลาตรงนี้เลย”
ปวรรุจผิดหวังไม่น้อย ก่อนจะพยักหน้ากับสองหนุ่ม และลำเลียงกระเป๋าของสามสาวลงจากรถ
“รสา” อ้ายแปลกใจมาก
วรรณรสามองไปทางอิ่มอีกครั้ง สาวอวบยิ้มเยาะมาให้

รถของปกรณ์แล่นเลียบทะเลสาบ ปวรรุจและปกรณ์นั่งหน้าเซ็งๆ ตลอดทาง อั๋นเองก็พลอยเซ็งไปด้วย มีอิ่มคนเดียวเท่านั้นที่หน้าระรื่น อั๋นมองน้องสาวอย่างแปลกใจ

ส่วนสามสาวเดินลากกระเป๋าไปตามทางเดินสวยๆ เลียบทะเลสา
“ท่านหญิงนะท่านหญิง ไปสนใจอะไรกับคำขู่ของยายช้างน้ำ” เอื้อยขัดใจนัก
“นั่นซี...แทนที่เราจะได้นั่งรถสบายๆ ไปอินเตอร์ลาเคน ต้องมาลากกระเป๋ากันเหนื่อย อีกตั้งไกลกว่าจะถึงสถานีรถไฟ” เอื้อยบ่นด้วย
“ยอมเหนื่อยเถอะ รสาว่าดีกว่าต้องไปนั่งเบียดยายคุณอิ่มตลอดทางถึงอินเตอร์ลาเกน คงไม่สนุกแน่ๆ”
อ้ายเผลอตัวบ่น “เสียดาย...เฮ้อ...แล้วจะได้เจอกันอีกไหมน้อ”
เอื้อยเผลอเช่นกัน “นั่นซี...ใครจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตให้เรายามหนาว”
“เอ๊ะ หนูอ้าย หนูเอื้อย ที่บ่นเพราะไม่ได้นั่งรถฟรี หรือว่าไม่ได้ที่ยวกับคุณปกรณ์ กับคุณอั๋นกันแน่”
แฝดสะดุ้ง เอื้อยหน้าแดง อ้ายไม่เขินแต่ค้อนท่านหญิงวงใหญ่
“บอกมาเสียดีๆ ชอบสองหนุ่มนั่นแล้วใช่ไหมล่ะ” วรรณรสาคาดคั้น
เอื้อยอายม้วน “ท่านหญิงน่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ แค่เจอกันแป๊บเดียว จะไปชอบได้ยังไง”
“ก็รสาเห็นเดินคุยกันสนิทสนมออกอย่างนั้น”
“แหม...แล้วทีท่านหญิงกับคุณชายล่ะ ก็สนิทกันไม่แพ้พวกเราหรอก”
ถูกอ้ายย้อน วรรณรสาหน้าแดง ค้อนกลับสองสาว แฝดอมยิ้ม
“เหนื่อยแล้วค่ะ หาร้านนั่งก่อนเถอะ”
สามสาวมองเลยไป เห็นที่หมาย
“ร้านนั้นน่ารักดีเนอะ”
สามสาวตรงไปทันที

วรรณรสา อ้าย และเอื้อย มาหยุดที่ร้านกาแฟและขนมเล็กๆ ข้างทาง มองไปเห็นคนขาย เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาน่ารักดูออกว่าเป็นชาวเอเชียน กำลังจัดโต๊ะหน้าร้านอยู่
“อุ๊ย....คนขายเป็นเอเชียน หน้าตาน่ารักด้วย” อ้ายดี๊ด๊า
สามสาวลงนั่งทันที ภัทรพนักงานเสิร์ฟหนุ่มไทยยิ้มรับเดินมาวางเมนู
“ไฮ....ยูไชนีส แจแปนนิส ออร์ โคเรียน” อ้ายถาม
ภัทรตอบกวนๆ “ไทย สมุทรปราการนี่เองละครับ”
“อ้าว” เอื้อยอึ้ง
สามสาวหัวเราะคิก
“ผมชื่อภัทร” ภัทรแนะนำตัว
“แล้วมาทำอะไรที่นี่คะ” เอื้อยถาม
“ผมมาเรียนครับ ดีใจมากครับที่เจอคนไทยด้วยกัน ชื่ออะไรครับ”
“ฉันหนูเอื้อย หนูอ้าย และนี่ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์” เอื้อยแนะนำ
ภัทรมองวรรณรสาอึ้งๆ
“ท่านหญิง”
วรรณรสาตีแขนเอื้อย “หนูเอื้อยน่ะ ไปบอกเขาทำไม”
“ไหนๆ บอกไปแล้วก็บอกไปเถอะ นี่....ท่านหญิงจริงๆ นะ เราไม่ได้หลอกคุณเล่น” อ้ายผสมโรงบอกภัทร
ภัทรคำนับ “งั้นกระหม่อมขอต้อนรับท่านหญิงที่เสด็จมาร้านเล็กๆ ของกระหม่อมขอรับ”
แฝดหัวเราะคิกคัก วรรณรสาส่ายหน้า
“ยินดีค่ะ”

รถปกรณ์จอดอยู่ปั้มข้างทาง
อิ่มอยู่ในร้านค้าของปั๊มเพียงลำพัง กำลังอมยิ้มกับถุงกระเป๋าเงินของวรรณรสาที่หยิบมาจากย่ามอีกที
อิ่มหยิบกระเป๋าเงินออกมาถึงสามกระเป๋า
“ฮิฮิ...โง่จริงๆ ดันเก็บกระเป๋าเอาไว้รวมกัน ได้มาสามกระเป๋าเลย สมน้ำหน้า คงไม่มีเงินกินข้าวกันแน่ ๆ”
อั๋นเดินมาเบื้องหลัง ตกใจมาก
“ยายรสากับยายแฝดผี พวกหล่อนจะต้องอดตายอยู่ที่สวิต ฮิฮิ” สาวอวบนิสัยแย่ หัวเราะชอบอกชอบใจ
อั๋นแสดงตัวทันที
“อิ่ม ทำอะไรน่ะ”
อิ่มหันขวับมา รีบซ่อนกระเป๋าไว้เบื้องหลัง
“มะ...มะ...ไม่มีอะไรค่ะพี่อั๋น”
“ซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง เอาออกมาให้พี่ดูเดี๋ยวนี้”
“ไม่มีอะไร”
“เอาออกมา” อั๋นเสียงดัง
อิ่มจำยอมยื่นกระเป๋าให้อั๋น
“นี่กระเป๋าสตางค์ของใครอิ่ม”
“พี่อยากรู้ไปทำไม”
“บอกพี่มา”

อิ่มหน้าเชิด คอแข็งขึ้นมา

ฟากสามสาวนั่งดื่มกินเป็นที่เรียบร้อยสำราญใจ ไม่สำเหนียกว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้าย ขณะที่ภัทรกำลังเดินมาเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ

“เราไปกันเถอะค่ะ เช็คค่ะคุณภัทร” อ้ายบอก
ภัทรพยักหน้า แต่กำลังรับออเดอร์อีกโต๊ะอยู่ ระหว่างนั้นวรรณรสาเปิดกระเป๋าสะพายของตน แล้วควานหากระเป๋าสตางค์ แต่ไม่เจอ
“อะไรคะท่านหญิง” เอื้อยแปลกใจ
วรรณรสาเปิดกระเป๋าย่ามออกดู ใจหาย
“หนูอ้าย หนูเอื้อย กระเป๋าสตางค์อยู่ไหน”
แฝดมาช่วยดู เทกระเป๋าออกมาทั้งหมด
“แล้วกระเป๋าสตางค์ของเราสองคนที่ฝากท่านหญิงไว้” เอื้อยถาม
“ไม่มีเลย”
“ท่านหญิง อย่าบอกนะคะว่าทำกระเป๋าสตางค์ของเราหายทั้งสามใบ” อ้ายตกใจมาก
วรรณรสาจะร้องไห้ “หนูอ้าย”
“เดี๋ยว ตั้งสติก่อนค่ะ ค้นดูในตัวเรา ในกระเป๋าเดินทาง ค้นให้ทั่วก่อนค่ะ”
สามสาวลุกขึ้นทันที แล้วรีบสำรวจตามเสื้อผ้า และยังช่วยดูกันเองด้วย ภัทรเดินเข้ามา
“เช็คบิลนะครับ”
สามสาวหันมาทันที พูดพร้อมกัน
“ยังค่ะ”
ภัทรทำหน้างง
“ยังไม่อิ่มเลย ขอสั่งเพิ่มละกันนะคะ”
“ได้ครับ”
วรรณรสา และเอื้อย มองหน้าอ้ายว่าสั่งเพิ่มทำไม จะยิ่งเดือดร้อนกว่าเดิม

รถปกรณ์ในที่จอดของปั้ม เวลา กลางวัน(เนื่อง)
กระเป๋าสตางค์ทั้งสามใบอยู่ในมือของปวรรุจ ปกรณ์หน้าเครียดอยู่ต่อหน้าสองพี่น้อง อิ่มหน้าเจื่อน ไม่กล้าสบตาปวรรุจและปกรณ์
“กระเป๋าสตางค์ของรสา และคู่แฝดงั้นเหรอ”
“ผมว่าใช่นะครับ...” อั๋นบอก
“แล้วคุณอั๋นไปเจอที่ไหน”
“ตกอยู่ในรถนี่ละครับ” อั๋นเหลือบมองอิ่ม “ผมเก็บไว้เพราะนึกว่าเป็นของอิ่ม แต่เมื่อกี้เอาไปคืนอิ่ม อิ่มบอกไม่ใช่ของตัว ผมเลยแน่ใจว่าสามสาวทำตกไว้ในรถแน่ๆ”
อิ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ปวรรุจและปกรณ์เครียดทันที
“งั้นเราก็ต้องกลับไปคืนทั้งสามเดี๋ยวนี้”
“หา...ต้องกลับไปเหรอคะ”
ปวรรุจเสียงดังขึ้น “ต้องกลับซี นี่เรื่องใหญ่นะ”
“รีบไปเถอะครับ”
ปวรรุจ และ ปกรณ์ขึ้นรถทันที
“เฮ้อ...โล่งอก เขาไม่สงสัยอิ่มนะคะ พี่อั๋น”
อั๋นยังโกรธอยู่ “อยากให้สงสัยไหมล่ะอิ่ม ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
สองพี่น้องขึ้นรถไป

ขนมบนโต๊ะมากกว่าเดิม สามสาวทานไม่ลงมองหน้ากันจ๋อยๆ เอื้อยและอ้ายนับเศษเงินที่ยังเหลือติดกระเป๋าของทั้งสาม
“โอย...ไม่พอหรอก มีแค่เศษเงิน แล้วหนูอ้ายไปสั่งเพิ่มมาได้ยังไง ยิ่งแพงกว่าเดิมอีกเท่าตัว” เอื้อยโวยวาย
“ไม่สั่งเพิ่ม ก็ต้องจ่ายเงินน่ะซี นี่ยังพอถ่วงเวลาไปได้”
“แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้”
“บอกความจริงไปเลยดีไหม แล้วเดี๋ยวรสาจะไปโทร.ไปขอยืมเงินที่สถานทูตก่อน”
“เขาจะยอมเหรอคะ เราต้องไปเบิกเงินที่แบงค์อีกนะ” เอื้อยวิตกไปหมด
“งั้น....มีทางเดียวเท่านั้นละ” อ้ายบอก
“ยังไง” วรรณรสาสงสัย
“เผ่น”
“หา...ไม่นะ หนูอ้าย
“ไม่มีทางเลือกแล้วค่ะท่านหญิง รีบเผ่นเถอะ นายภัทรอยู่ในร้าน ยังไม่รู้ตัวหรอก”
อ้ายเก็บกระเป๋า
“เร็วค่ะ”
เอื้อยฉุดวรรณรสาลุกขึ้น สามนางคว้ากระเป๋าเดินทาง แล้วรีบวิ่งออกไปทันที โชคร้ายภัทรออกมาจากร้าน แล้วเห็นสามสาววิ่งไปไกลแล้ว
“อ้าว....คุณ....กินไม่จ่ายนี่”
ภัทรวิ่งตามไป สามสาววิ่งกระเจิง

สามสาวกำลังลากกระเป๋าวิ่งกระเจิงหนีมา มีภัทรวิ่งไล่ตามไม่ลดละ
“หยุดนะ คุณยังไม่ได้จ่ายเงิน”
“ว้าย นายภัทรตามมาแล้ว” อ้ายร้องลั่น
“เอาไงดี” วรรณรสากังวลมาก
“เพื่อความคล่องตัว ทิ้งสัมภาระก่อนค่ะ” เอื้อยบอก
ทั้งสามทิ้งกระเป๋าเดินทาง แล้ววิ่งกระเจิงเข้าถนนฝั่งตรงข้าม ภัทรวิ่งตามมา กระโดดข้ามกระเป๋าสัมภาระทั้งสามใบที่ขวางทางเป็นที่วุ่นวาย

ด้านปกรณ์ขับรถเลียบทะเลสาบมา ปวรรุจกับอั๋นมองหาสามสาว อิ่มนั่งหน้าเชิด
“ไม่เห็นเลย”
“ต้องมาทางนี้แน่ๆ เพราะทางไปสถานีรถไฟ” ปกรณ์มั่นใจ
อั๋นเห็นกระเป๋า “นั่นครับ กระเป๋าถูกทิ้งไว้”
ปกรณ์จอดรถข้างทางทันที ทั้งสามชายวิ่งจากรถมาดูกระเป๋าของสามสาว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเธอทิ้งกระเป๋าไว้แบบนี้” ปวรรุจแปลกใจมาก
“ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ”
“ทิ้งกระเป๋าไว้ตรงนี้ แสดงว่าต้องหนีอะไรสักอย่าง คงอยู่ไม่ไกลแถวนี้หรอก แยกกันตามหาเลย”
ปวรรุจและ ปกรณ์ข้ามถนนไปพร้อมกัน อั๋นหันมาที่อิ่มที่ยืนสะใจอยู่
“เพราะอิ่มคนเดียว งานนี้น้องต้องไปขอโทษทั้งสามคนนั่น”

สาวอวบหน้าเชิด ไม่สนใจไม่สำนึกใดๆ อั๋นถอนใจเฮือกใหญ่ระอาเหลือ แล้วตัดใจวิ่งตามหาสามสาวไปอีกคน

สามสาวพากันวิ่งเตลิดเข้ามาในตรอกแคบๆ ทั้งสามวิ่งมาถึงทางแยก วรรณรสาวิ่งนำมาก่อนและพอพ้นแยกท่านหญิงรสาเลี้ยวเข้าตัวตึกเก่ารูปทรงโบราณ

แต่อ้ายและเอื้อยไม่รู้จึงวิ่งเลยไป ภัทรวิ่งตามแฝดมาทิ้งระยะไม่มาก วรรณรสาหลบอยู่ในตัวตึกที่ดูทึบทึมและน่ากลัว
ส่วนอ้ายและเอื้อยวิ่งไม่คิดชีวิต เลี้ยวมามุมหนึ่ง หอบตัวโยน
“หนูอ้าย ท่านหญิงล่ะ”
“ไม่รู้”
เอื้อยเหลือบมองไป “อ้าย นายภัทรมันไล่ตามเรามาแล้ว”
สองสาวกรี๊ดแตก แล้ววิ่งกระเจิงไปข้างหน้าที่เป็นทางสามแพร่ง แฝดเลี้ยวไปทางหนึ่ง

ภัทรวิ่งตรงมา มีเสียงตะโกนมาจากเบื้องหลัง เป็นปกรณ์และคุณอั๋นวิ่งตามมา
“เฮ้ย ภัทร”
“อ้าว...พี่ ปกรณ์ มาได้ไงเนี่ย” ภัทรหยุด ถาม
“ตามหาคนอยู่ แกเห็นสาวฝาแฝดหน้าหมือนญี่ปุ่นไหม กับสาวสวยอีกคน”
“นี่ละครับที่ผมวิ่งไล่ตามอยู่”
“หา...ไล่ตาม”
“เอางี้ ทางข้างหน้านี่มันมาบรรจบกัน พี่เลี้ยวไปดักทางนู้น ผมจะดักทางนี้เอง”
ภัทรวิ่งไปเลย ไม่ทันฟังคำถามปกรณ์
“เฮ้ย...แล้วแกวิ่งไล่เขาทำไม”
อั๋นรีบบอก “ไปทางนี้ก่อนเถอะครับ”
สองหนุ่มเลี้ยวไปตามที่ภัทรบอก

แฝดวิ่งกระเจิงมาอีกตรอกหนึ่ง
“เร็วหนูเอื้อย”
“เราจะถูกจับรึเปล่า”
“ไม่ถูกจับหรอกถ้าเราหนีทัน ไปเร็ว”
แฝดวิ่งมาถึงอีกทางเลี้ยว และโดยไม่ทันรู้ตัว สองสาวปะทะโครมใหญ่เข้ากับร่างบึกบึนของปกรณ์ และอั๋น อ้ายปะทะปกรณ์ จนปกรณ์เสียหลักหงายล้มลงไปโดยมีร่างของอ้ายหล่นล้มทาบทับไปทั้งตัว
ส่วนเอื้อย ชนอั๋นจนหมุนคว้าง เอื้อยกำลังเสียหลักจะล้มไป แขนแข็งแรงของอั๋นรวบร่างเอื้อยไว้ได้แต่ก็เซล้มไปด้วยกัน
ร่างอ้ายนอนทาบทับไปบนร่างปกรณ์ หน้ากับหน้าสองคนตรงกันพอดีเป๊ะ
ร่างเอื้อยล้มไปในอ้อมแขนของอั๋น ทั้งสองประสานสายตากัน
อ้ายและ ปกรณ์ตะลึงงันกันไป ส่วนอั๋นและเอื้อยส่งสายตาหวานซึ้งให้กัน
ภัทรวิ่งมาถึง แล้วเป็นงง เพราะหนุ่มสาวทั้งสองคู่กำลังอยู่ในภวังค์
“อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย คุณ คุณ”
ภัทรข้ามาสะกิดหลังอ้ายยิกๆ จนอ้ายสะดุ้ง
“อุ๊ย...”
อ้ายรีบขยับออกจากร่างของปกรณ์อย่างเร็ว ปกรณ์ก็รีบลุก ดึงร่างอ้ายลุกขึ้น อั๋นช่วยดึงเอื้อยลุกตาม
ทั้งสองเกิดอาการอายม้วนเขินไปด้วยกัน
“เอาละ ไม่ต้องคิดหนีเลยนะครับ เราจับคุณได้แล้ว” ภัทรบอกสองแฝด
ปกรณ์มองหน้าภัทร
“ขอบคุณมากครับพี่ปกรณ์ ที่พี่ช่วยผมจับยายโจรแฝดสองคนนี่”
ปกรณ์งง “เดี๋ยว....โจรไหนวะ”
“อ้าว...ก็ยายสองคนนี่ไง กินฟรีไม่ยอมจ่าย แถมหนีกระเจิง”
อ้ายชะงัก “คุณปกรณ์รู้จักคุณภัทรเหรอคะ”
“มันเคยเสิร์ฟอยู่ที่ร้านผมน่ะครับ”
อ้ายดีใจ “ดีเลย...ช่วยพูดให้หน่อยนะคะ”
เอื้อยรับเสริม “เราไม่ได้เจตนาที่จะหนีนะคะ แค่กำลังจะหาโทรศัพท์ โทร.ไปหาแหล่งที่จะยืมเงินได้”
“แล้วพอผมวิ่งตาม ทำไมถึงวิ่งหนี”
เอื้อยกะอ้าย พูดไม่ออก
ปกรณ์ตัดบท “เออ เอาอย่างนี้ หนูเอื้อย หนูอ้าย เป็นเพื่อนฉัน แล้วเขาก็ทำกระเป๋าสตางค์ตกในรถฉัน มันถึงเกิดเหตุขึ้น เราไปเคลียร์ปัญหากันที่ร้านแกดีกว่านะ”
ท่าทีภัทรอ่อนลงเมื่อรู้ว่าสองสาวทำกระเป๋าหาย

วรรณรสาเดินฝ่าความมืดเข้าไปในตัวอาคาร โดยไม่รู้ว่าเป็นอาคารร้าง เห็นแสงสว่างรำไรอยู่ที่ปลายทาง ท่านหญิงรสาเดินตรงไปที่ปลายทางนั้น ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนดังก้อง วรรณรสาเริ่มหวาดหวั่น เพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นกับตนเมื่อครั้งเยาว์วัย

ตอนกลางวันวันนั้น เด็กหญิงวรรณรสาเดินหลงอยู่ในบ้านร้างหลังวังอรุณรัศมิ์
“พี่ชายรุจ....อย่าแกล้งหญิงแบบนี้นะ พี่ชายรุจอยู่ที่ไหน หญิงกลัวความมืด ฮือ...”

วรรณรสากลัวจับจิตเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น พยายามเดินมาตามทาง เอามือคลำผนังที่ทั้งชื้นและแฉะ
“ช่วยด้วย...ฉัน...ฉันกลัวความมืด ช่วยที มีใครอยู่บ้าง”
ทว่าเสียงสะท้อนก้องกลับมา
“มีใครอยู่บ้าง...มีใครอยู่บ้าง...มีใครอยู่บ้าง”

วรรณรสาขนลุกเกรียวกับเสียงสะท้อนชวนสยองขวัญนั้น

และเสียงนั้นเองทำให้ภาพจำสมัยวัยเด็กผุดขึ้นมาหลอกหลอนท่านหญิงจนได้

ครั้งนั้นเด็กหญิงวรรณรสาเดินจะออกไปด้านหลัง มีกองไม้ระเกะระกะอยู่ ท่านหญิงตัวน้อยก้าวเหยียบย่างผ่านไป
“พี่ชาย หญิงกลัว ช่วยหญิงด้วย หญิงจะไม่ดื้อกับพี่ชายรุจอีกแล้ว ฮือ ฮือ”
เด็กหญิงวรรณรสาหยุดชะงักตัวแข็งทื่อ เมื่อมองไปเห็นงูตัวยาวใหญ่ลำตัวดำมะเมื่อมกำลังเลื้อยอยู่เบื้องหน้า วรรณรสาขยับร่างไม่ได้ ช็อกเพราะความกลัว

วรรณรสาดึงตัวเองกลับมา เพ่งมองไปที่พื้นเบื้องหน้าเขม็ง เห็นอะไรบางอย่างเป็นเงาเลื่อมเหมือนเกร็ดงู ท่านหญิงกรีดร้องผงะ ไปติดผนัง แสงสว่างเจิดจ้าปะทะเข้าหน้าจังๆ พร้อมๆ กับที่ประตูตรงสุดห้องโถงเปิดออก วรรณรสาเพ่งมองไป
ภาพจำในวัยเด็กตอนท่านหญิงรสาผุดขึ้น ครานั้นเด็กหญิงวรรณกรีดร้องลั่น แสงจากประตูสุดห้องโถงส่องเข้ามา เห็นร่างของเด็กชายปวรรุจวัยวิ่งเข้ามาพร้อมไม้ยาวในมือ
“พี่ชาย...ช่วยด้วย งูมันจะกัดรสา”
ชายรุจเขี่ยงูกระเด็นพ้นไป ท่านหญิงรสากรีดร้อง ปวรรุจกอดวรรณรสาแน่น

ภายในปราสาทร้างร่างของปวรรุจยืนเป็นเงาดำอยู่กลางแสงสว่าง ปวรรุจวิ่งตรงมาหาวรรณรสา ที่แท้พื้นที่ท่านหญิงเห็นเป็นเงาเลื่อมพรายนั้น ความจริงคือเศษกระเบื้องเป็นลวดลายที่ตกอยู่ที่พื้น
“รสา”
วรรณรสาผวาเข้ากอดร่างปวรรุจไว้ ซบหน้ากับแผงอกแกร่งกำยำ
“พี่ชาย ช่วยด้วย ช่วยรสาด้วย”
“ไม่เป็นไรแล้วรสา”
“งู งูเลื้อยอยู่ตรงนั้น”
“ไม่ใช่หรอกรสา มันแค่เศษกระเบื้องน่ะ”
วรรณรสายังหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ซบหน้ากับอกของปวรรุจอยู่อย่างนั้น
“พี่ชายอย่าแกล้งรสาแบบนี้อีก รสากลัวความมืดพี่ชายก็รู้”
ปวรรุจมองรสาอย่างฉงนสนเท่ห์ นึกสงสัยในเรื่องราวชีวิตของวรรณรสา
“รสาจะไม่ดื้อกับพี่ชายอีกแล้ว”
ปวรรุจตระกองกอดหญิงสาวไว้ สัมผัสนั้นทำให้วรรณรสาค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา ลืมตาขึ้นมองปวรรุจ
“คุณชาย”
วรรณรสาตกใจ รีบผละจากอ้อมแขนของปวรรุจทันควัน
“เกิดอะไรขึ้น”
ปวรรุจเยื้อนยิ้มให้อย่างอบอุ่น “เราออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
ปวรรุจยื่นมือให้วรรณรสาจับ ประคองลุกขึ้น แล้วพาออกไปทางประตูที่แสงสว่างลอดเข้ามา

ไม่นานนัก ปวรรุจและวรรณรสาเดินออกมาจากตัวอาคาร
“เห็นไหม ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด” ปวรรุจบอก
“น่าอายจังที่ฉันกลัวจนขาดสติแบบนี้”
“เธอร้องเหมือนเด็กๆ คงเป็นวัยเด็กของเธอละมัง”
“ใช่ค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
วรรณรสาหลบตา ด้วยกลัวว่าเล่าแล้วปวรรุจจะรู้ว่าคือเรื่องของเขาเอง
“เรื่องของฉันมันก็แค่เรื่องเด็กๆ ไร้สาระแค่นั้น”
“แต่มันต้องสำคัญกับเธอมาก และการที่เธอได้ระบายมันออกมา มันอาจจะช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายกับมันมากขึ้น”
“คุณชายอยากฟังจริงๆ เหรอคะ”
ปวรรุจยิ้มบางๆ “จริงซี ฉันอยากฟังเรื่องทั้งหมด รวมทั้งเรื่องของ “พี่ชาย” ของเธอ ที่แกล้งเธอนั่นด้วย”
วรรณรสายิ้มและเริ่มต้นเล่าเรื่องในวัยเด็ก
“ค่ะ พี่ชายคนนั้นเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของฉันหรอก แต่เขาก็เป็นพี่ชายคนเดียวที่ยอมเล่นกับฉัน ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าการมาเล่นกับเด็กผู้หญิงเอาแต่ใจตัวเองอย่างฉัน มันน่าเบื่อแค่ไหน”

ฝ่ายปกรณ์ อ้าย เอื้อย อั๋น และอิ่ม รออยู่ที่โต๊ะเดิมหน้าร้านภัทร กระเป๋าเดินทางของสามสาวถูกเก็บตั้งอยู่ที่เดิมแล้ว อิ่มทำหน้าไม่พอใจที่แฝดกลับมา
“คุณปกรณ์คะ ท่านหญิงหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้” เอื้อยเอื้อนเอ่ย ในท่าทีวิตก
“เจ้ารุจก็หายไปด้วย”
“ไปตามกันไหมคะ” แฝดพี่จอมห้าวเสนอ
“ผมว่าเรารออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะคลาดกันอีก” อั๋นว่า
ระหว่างนั้นภัทรเดินหน้าเครียดออกมา
“นี่ครับ...ทางร้านคิดค่าปรับคุณสามคน เป็นเงินสามเท่าของราคาอาหาร”
สองสาวแฝดมองหน้ากัน ดูบิลที่ภัทรส่งให้
“ว้าย...เราไม่มีเงินจ่ายขนาดนั้นหรอก” อ้ายร้องอย่างตกใจ
“ต้องรอรสาน่ะค่ะ ถึงจะจ่ายได้” เอื้อยบอก
“งั้นผมจ่ายให้ก่อนก็แล้วกัน”
ปกรณ์ควักเงินสดฟรังก์สวิสออกมายื่นให้ภัทร แฝดยิ้มดีใจ อ้ายมองปกรณ์อย่างเป็นปลื้มและเทิดทูน

สองคนเดินเคียงกันอยู่ตรงทางเดินสวยริมทะเลสาบเจนีวา วรรณรสาเล่าเรื่องราวครั้งอดีตให้ปวรรุจฟังต่อเนื่องจนจบ
“เรื่องราวของฉันก็มีเท่านี้ค่ะ”
“เรารอตรงนี้ก่อนละกัน เดี๋ยวทั้งหมดก็คงตามกันมาสมทบที่นี่”
ทั้งสองหยุดที่ริมทะเลสาบสวย
“ค่ะ”
ปวรรุจครุ่นคิด
“อืมม์...เรื่องราวของเธอมันคล้ายๆ เรื่องของฉันเหมือนกันนะ”
วรรณรสาสะดุ้งเล็กๆ “ยังไงคะ”
ปวรรุจหยุดผินหน้ามองไปยังผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มเบื้องหน้า
“เรื่องของฉันกับพระองค์หญิงองค์น้อยองค์นึง”
วรรณรสามองปวรรุจอย่างคาดหวัง
“ใครคะ”
“หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ หรือที่เรียกกันว่า ท่านหญิงแต้ว”
วรรณรสายิ้มกว้างออกมา ปวรรุจไม่ทันสังเกตเพราะมองเหม่อไปในสายน้ำ
“แล้วเรื่องมันคล้ายกันยังไงคะ”
“ฉันเคยแกล้งหญิงแต้ว พาเข้าไปในตึกร้างหลังวังท่านหญิงน่ะซี เหมือนเรื่องของเธอเลย”
“เหรอคะ แล้วเกิดอะไรขึ้น” วรรณรสาตื่นเต้นยิ่งนัก

ปวรรุจหันมายิ้มเศร้าๆ เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าด้วยสายตาหม่นที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้า

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 5 (ต่อ)

ครั้งนั้นเด็กชายปวรรุจพาเด็กหญิงวรรณรสา มาหยุดยืนหน้าตึกร้างหลังวังอรุณรัศมิ์ ท่านหญิงรสายังอุ้มตุ๊กตากระต่ายไว้ในอ้อมอก

“พี่ชายพาหญิงมาที่นี่ทำไม น่ากลัวออก กลับเถอะ”
ปวรรุจมองวรรณรสาอย่างหมั่นไส้เต็มที
“ยังกลับไม่ได้ หม่อมอยากเข้าไปเล่นในนั้น”
“ไม่นะ ในนั้นมีผีสิง พาหญิงกลับเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“พาหญิงกลับเดี๋ยวนี้”
ปวรรุจกระชากตุ๊กตาจากวรรณรสา
“เอามานี่นะ”
“อยากได้ก็ตามไปเอาในตึกนั่น”
ปวรรุจวิ่งหายเข้าไปในตึกร้าง วรรณรสาตกใจ
“เอาพี่กระต่ายของหญิงคืนมา”
วรรณรสาจะร้องไห้ ปวรรุจชะโงกหน้ามาจากหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งแตก ด้านใน
“อยากได้ก็มาเอาเองซี”
วรรณรสาสะอื้นเบาๆ แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในตึกร้างด้วยท่าทีหวาดกลัวมากๆ
ในที่สุดเด็กหญิงวรรณรสาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในโถงของตึกร้าง แสงส่องจากเพดานผุๆ สาดเป็นลำเข้ามายิ่งดูน่าสะพรึงกลัว
“พี่ชายรุจ เอาพี่กระต่ายคืนมานะ พี่ชายรุจอยู่ไหน มันมืด หญิงกลัว มีผีสิงในนี้จริงๆ”
เด็กชายชายปวรรุจแอบอยู่นอกอาคารแล้ว ได้ยินเสียงวรรณรสาตะโกนมาจากด้านใน ก็หัวเราะคิกคัก วางกระต่ายไว้ที่คาคบไม้เตี้ย ๆ
ในตึกร้างท่านหญิงตัวน้อยยังอยู่ในอาการหวาดหวั่นขวัญผวา ร้องเรียกหาปวรรุจไม่หยุด
“พี่ชายรุจ....อย่าแกล้งหญิงแบบนี้นะ พี่ชายรุจอยู่ที่ไหน หญิงกลัวความมืด ฮือ...”
เด็กหญิงวรรณรสา เดินมาจะออกไปทางด้านหลัง ซึ่งมีกองไม้ระเกะระกะ วรรณรสาก้าวเหยียบผ่านไป
“พี่ชาย หญิงกลัว ช่วยหญิงด้วย หญิงจะไม่ดื้อกับพี่ชายรุจอีกแล้ว ฮือ ฮือ”
วรรณรสาหยุดชะงักตัวแข็งทื่อ เมื่อมองไปเห็นงูตัวยาวใหญ่ผิวดำมะเมื่อมื กำลังเลื้อยอยู่เบื้องหน้า ท่านหญิงขยับตัวไม่ได้ ช็อคเพราะความกลัว วรรณรสากรี๊ดลั่น
เด็กชายปวรรุจที่อยู่นอกตึกสะดุ้ง ยินเสียงกรี๊ดดังมาจากในตึก
“ท่านหญิง”
ปวรรุจวิ่งกลับเข้ามาในตึก เห็นเด็กหญิงวรรณรสาทรุดนั่งกลัวงูจนตัวสั่น ปวรรุจเห็นงูรีบหยิบไม้เขี่ยงูพ้นไป
งูเลื้อยหนีไปทันที
“ท่านหญิง”
วรรณรสาครางฮือฮือ
“ไม่ต้องกลัวแล้ว หม่อมมาช่วยแล้ว”
วรรณรสานิ่งไป เหมือนเป็นลม
“ท่านหญิง หม่อมขอโทษ อย่าเป็นอะไรนะ”
เด็กชายปวรรุจดึงวรรณรสาให้ขี่หลัง แล้วพาออกมาจากอาคาร
ปวรรุจหน้าซีดเผือด แบกร่างของวรรณรสาที่หมดสติซบหน้ากับไหล่ของปวรรุจ คุณชายวางร่างท่านหญิงรสาลง วรรณรสาหลับนิ่งไม่ไหวติง
“ท่านหญิง หม่อมไม่ได้ตั้งใจ ประทานอภัยให้หม่อมด้วย” ปวรรุจน้ำตาไหลพราก
“ท่านหญิง อย่าทรงเป็นอะไรนะ ไม่อย่างนั้นหม่อมจะไม่ยกโทษให้ตัวเองไปทั้งชีวิต”
ปวรรุจสะอื้นกับร่างแน่นิ่งของวรรณรสาอยู่อย่างนั้น ด้วยความรู้สึกผิดในใจ
ปวรรุจเล่ามาถึงตรงนี้ และนั่งนิ่งอยู่ริมทะเลสาบ วรรณรสามองปวรรุจอย่างปลื้มปิติ ที่คุณชายยังจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้
“ฉันรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ ที่แกล้งหญิงแต้วจนเธอหมดสติไป ฉันน่าจะดูแลหญิงแต้วให้ดีตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่” ปวรรุจบอก
“คุณชายบอกเองว่าหญิงแต้วดื้อและเอาแต่พระทัย เล่นด้วยไม่สนุกนี่คะ”
“ก็ใช่...แต่ฉันก็ไม่ควรแกล้งท่านหญิง ให้ทรงเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้น ถ้างูตัวนั้นฉกกัดท่านหญิง และท่านหญิงเป็นอะไรไป ฉันคงไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองอีกเลย”
ได้ฟังดังนั้น วรรณรสายิ่งปลื้มใหญ่
“คุณชายจำทุกอย่างของท่านหญิงได้เหรอคะ”
“ไม่เคยลืม ยิ่งวันสุดท้ายที่ฉันได้เจอท่านหญิง และรู้ความจริงบางอย่าง ฉันยิ่งไม่มีวันลืมท่านหญิงอีกเลย”
“ความจริงอะไรคะ” วรรณรสาเนื้อเต้น อยากรู้เต็มทน

ปวรรุจกำลังจะเล่า แต่แล้วปกรณ์วิ่งตรงมาหาขัดจังหวะ
“คุณชาย คุณรสา โธ่....มาอยู่ที่นี่เอง”
“เป็นไงบ้างปกรณ์”
“หนูอ้าย หนูเอื้อยล่ะคะ”
“รออยู่ที่ร้านแล้วครับ เคลียร์ค่าปรับให้เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ” ปกรณ์บอก
ทั้งสามเดินกลับร้าน วรรณรสาเสียดายที่ไม่ได้ฟังเรื่องของ ปวรรุจต่อ

สามสาวแยกมานั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมหน้าร้านลำพังสามคน เอื้อยเอ่ยขึ้น
“นึกว่าท่านหญิงหายไปข้างไหนเสียแล้ว ที่แท้อยู่กับคุณชายรุจนี่เอง”
“หญิงหลบเข้าไปในตึกร้างน่ะ แล้วเดินหลง คุณชายช่วยตามหญิงออกมา”
อ้ายและเอื้อยยิ้มให้กัน
“ก็เลยคุยกันกระหนุงกระหนิง” อ้ายว่า
วรรณรสาค้อนแฝด
“หนูอ้ายคงนึกไม่ถึงหรอกว่าคุณชายพูดเรื่องอะไรกับรสา”
“แล้วเรื่องอะไรล่ะคะ” อ้ายอยากรู้
“คุณชายพูดเรื่องของรสาล้วนๆ “หญิงแต้ว” ในวัยเด็ก”
เอื้อยตาโต “หา...อย่าบอกนะคะว่าท่านหญิงบอกความจริงคุณชายไปแล้วว่าท่านหญิงคือใคร”
“เปล่าเลย...แต่คุณชายยังจำเรื่อง “หญิงแต้ว” ได้ต่างหาก จำสมัยที่เราเล่นกันที่สวนหลังวังได้อย่างแม่นยำเลยด้วย เล่าออกมาเป็นฉากๆ เลยละ”
“คุณชายเล่าเรื่องท่านหญิงให้ฟัง โดยไม่รู้เลยว่าคือเรื่องของท่านหญิงเอง” อ้ายงงปนขำ
“ใช่แล้ว”
“แสดงว่าคุณชายไม่เคยลืมท่านหญิงเลย” เอื้อยว่า
“จ้ะ...เพียงแต่เขาจำรสาในวันนี้ไม่ได้เท่านั้นเอง”

วรรณรสามีสีหน้าสลดไป

ระหว่างนั้นปวรรุจ ปกรณ์ และภัทรเดินออกมาจากร้าน ภัทรยังมองสามสาวอย่างไม่เป็นมิตร

“โอเคนะ ทุกอย่างเคลียร์แล้ว จ่ายค่าปรับแล้ว และสามสาวนั่นเขาก็ขอโทษนายแล้วด้วย”
“ครับพี่...แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ พี่ไปคบกับยายสามคนจอมโกงนี่ได้ยังไง”
ปกรณ์เลยงง “อ้าว...ฉันก็บอกนายแล้ว เขาไม่ได้โกง เขาแค่ลืมกระเป๋าสตางค์ สามคนนี่รวยกันทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นคนคนรวยโรคจิต ชอบแกล้งชาวบ้าน” ภัทรว่า
“ยังไงวะ” ปกรณ์งง
สามสาวตรงมาขัดการสนทนาพอดี
“ขอเราใช้ห้องน้ำหน่อยนะคะคุณภัทร คงไม่มีปัญหา” อ้ายว่า
“เชิญครับ ไม่มีปัญหาครับ แต่ขอเตือนหน่อย อย่าไปหลอกชาวบ้านเขาแบบนี้ โดยเฉพาะคนไทยอย่างผม”
“เอ๊ะ คุณพูดเรื่องอะไร” วรรณรสางง
“ก็เรื่องที่คุณอ้างว่าคุณเป็นท่านหญิงน่ะซีครับ คุณรสา”
สามสาวอ้าปากค้าง ปวรรุจมองตรงมาที่วรรณรสาเขม็ง ท่านหญิงรสาอึ้งพูดไม่ออก
“ถึงผมจะอยู่ไกลบ้านไกลเมือง ผมก็ไม่ใช่ไอ้โง่ที่พวกคุณมาหลอกกันได้ง่ายๆ เชิญเข้าห้องน้ำ แล้วรีบออกไปจากร้านผมเลยครับ”
ภัทรหน้าตึงกลับเข้าร้านไป
“พวกคุณหลอกนายภัทรว่าเป็นท่านหญิงเหรอ” ปกรณ์ถาม
“เออ...คือ เราพูดเล่นกันน่ะค่ะ นายภัทรมาได้ยินเข้า ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องจริง”
“แต่ก็ไม่สมควรไปหลอกเขาแบบนั้น”
วรรณรสาหลบตาปวรรุจที่มองมาอย่างดุๆ อ้ายและเอื้อยหน้าเจื่อนไป
“รสา ขอคุยส่วนตัวสักเดี๋ยวเถอะ”
ปวรรุจออกเดินนำ วรรณรสาตามไป สาวแฝดและปกรณ์มองตามอย่างเป็นห่วง

ปวรรุจเดินนำ วรรณรสาตามมา พอห่างจากคนอื่นๆ ปวรรุจก็เฉ่งท่านหญิงทันที
“ฉันไม่นึกว่าเธอจะชอบเล่นตลกแผลงๆ แบบนี้”
“ยังไงคะ”
“ก็อ้างตัวเป็นท่านหญิงน่ะซี”
“อ้าย เอื้อยแกล้งพูดเล่นขึ้นมา เขาไม่ได้ตั้งใจ” วรรณรสาบอก
“แต่เธอก็รับสมอ้างไม่ใช่เหรอ ถ้ามีคนเข้าใจผิดเธอก็ควรจะรีบแก้ไขเสีย เรื่องพระยศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เธอไม่ควรเอามาล้อเล่น”
วรรณรสาฉุน “เหรอคะ ที่คุณชายเตือนฉัน เพื่อให้ฉันเคารพในตัวคุณชายมากขึ้นกระมัง ให้สมกับความเป็น “หม่อมราชวงศ์” ของคุณชาย”
“รสา...ทำไมพูดอย่างนั้น ฉันไม่ได้คิดถึงตัวเองแม้แต่น้อย แต่ที่เตือนเธอเพราะเธอเคยพูดเองว่า เธอไม่ชอบ “การหลอกลวง” ไม่ใช่หรือแต่ทำไมเธอกลับทำเสียเอง”
วรรณรสาโกรธที่เถียงไม่ออก เพราะบอกความจริงไม่ได้ น้ำตารื้น
“ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่เคยโกหกหลอกลวงใคร สักวันนึงคุณชายคงทราบ”
วรรณรสาสะบัดกลับด้วยความน้อยใจ ปวรรุจมองตามอย่างเสียใจไม่น้อย

ด้านสาวแฝดกำลังเดินมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำของร้านนั้น ก็บังเอิญได้ยินอั๋นกำลังคุยเครียดอยู่กับอิ่ม

“ไม่ค่ะ อิ่มไม่ขอโทษ” สาวอวบยืนกรานเสียงแข็ง
“เดี๋ยวเราก็จะต้องแยกกับทั้งสามแล้ว เราจะไม่เจอเขาอีกแล้ว อิ่มควรจะรู้ว่าอิ่มทำผิด และไปขอโทษเขาเสีย ในฐานที่ตัวเองขโมยกระเป๋าสตางค์ของเขา” อั๋นว่า
สาวแฝดอ้าปากค้าง อ้ายของขึ้นทันควัน
“อ้อ นังตุ่มนี่เอง”
พร้อมกันนั้นอ้ายจะเข้าไปเอาเรื่อง เอื้อยรั้งไว้
“ฟังก่อน หนูอ้าย”
“ไม่ใช่เรื่องที่อิ่มจะต้องไปขอโทษ ยายสามตัวนั่นมาระรานอิ่มก่อน พี่อั๋นไม่ต้องมาสั่งอิ่มนะคะ ถ้าสั่งมาก ๆ อิ่มจะไปฟ้องคุณพ่อ”
อั๋นสลดไปทันที
“คงจำได้นะคะ คราวที่แล้วที่อิ่มฟ้องคุณพ่อ พี่อั๋นถูกส่งไปอยู่ประจำตั้งสามเดือน”
อั๋นพูดไม่ออก อิ่มเชิดหน้าเดินออกมา แฝดรีบหลบ อั๋นตามไป
เอื้อยพึมพำ “ยายคุณอิ่มเป็นคนขโมยกระเป๋าสตางค์เรา”
“ต้องประจานให้ได้อาย เดี๋ยวหนูอ้ายจะประกาศให้ทุกคนรู้ก่อนที่เราจะแยกกัน”
“แล้วถ้ายายคุณอิ่มปฏิเสธ”
“ยังไงคุณอั๋นก็ต้องยอมรับ”
จังหวะนี้ภัทรเดินผ่านมาพอดี
“หนูอ้าย เราบอกเรื่องนี้ให้ท่านหญิงรู้ก่อนดีกว่า”
ภัทรได้ยินคำว่าท่านหญิงอีก ถึงกับส่ายหน้าดิก
“ดีๆ เดี๋ยวเราให้ท่านหญิงประจานต่อหน้าเลย ฮิฮิ”
แฝดจะออกไป เจอภัทรเข้าพอดี
“ยังโกหกเรื่องท่านหญิงไม่เลิกนะครับ”

ภัทรเยาะหยัน พร้อมกับส่ายหน้าระอาใจ แล้วแยกไปเลย สองสาวแฝดหัวเราะคิก

ครู่ต่อมาทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าร้าน ปวรรุจ ปกรณ์ อั๋นและอิ่มเตรียมเดินทางต่อ สามสาวเดินมาส่งพร้อมกระเป๋า วรรณรสาได้รับรู้เรื่องทั้งหมดจากแฝดแล้ว

ปกรณ์บอกลาอย่างอาลัยอาวรณ์ “แน่ใจนะครับว่าจะไม่ให้เราไปส่งที่สถานีรถไฟ”
“ไม่ละคะ เพราะเราจะไม่ไปทางรถไฟ”
ปกรณ์เป็นงง
“ขึ้นรถเถอะค่ะ เราเสียเวลามากแล้ว ที่จริงไม่น่าเอาของมาคืนนะคะ จะได้ดัดนิสัยพวกสะเพร่าที่ชอบทำของตกเรี่ยราด เดือดร้อนชาวบ้านเขา” อิ่มแหลมขึ้นมา
อ้ายและเอื้อยโกรธเลือดขึ้นหน้า ปวรรุจเดินตรงมาหาสามสาว
“ฉันไปนะ”
วรรณรสาหน้าเชิด ไม่ตอบ
อ้ายกะเอื้อยรับ “ค่ะ” พร้อมกัน
ปวรรุจถอนใจ “แล้วถ้าพวกเธอจะไปเจนีวาโดยไม่ขึ้นรถไฟเธอจะไปยังไง”
“ฉันไม่ไปเจนีวาแล้วละค่ะ”
อ้ายกะเอื้อยอมยิ้ม
ปวรรุจงวยงง “หืมม์ แล้วเธอจะไปไหน”
“เราสามคนเปลี่ยนใจแล้ว เราจะไปอินเตอร์ลาเคนกับคุณชาย” วรรณรสาบอก
อิ่มเหวออ้าปากค้าง แต่ปกรณ์และอั๋นยิ้มร่า ปวรรุจมองอย่างฉงนสนเท่ห์ วรรณรสายิ้มมาอย่างท้าทาย

ครู่ต่อมารถปกรณ์ แล่นไปตามถนนสวย ผ่านทุ่งดอกนาซิสซัส ไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตา และธารน้ำแข็งบนยอดเขาสูง

สามสาวนั่งตอนกลางของรถยิ้มระรื่น ส่วนด้านหลังอิ่มนั่งหน้าบูดบึ้ง อั๋นยิ้มสบายใจ ส่วนหน้าปกรณ์และ ปวรรุจนั่งอยู่ข้างหน้า
“พี่อั๋น ทำไมเราต้องมานั่งตอนท้ายด้วยล่ะ” อิ่มบ่นอุบ
“ก็สบายดีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สบายสักนิด อิ่มเริ่มเวียนหัวแล้วนะ”
สามสาวได้ยิน หัวเราะกันคิกคัก
“แหม...นั่งสบายจังเลยนะ ถึงแม้เราจะนั่งกันสามคน แต่ความที่เราเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เราเลยไม่ต้องเบียดกัน” อ้ายแดกดัน
อิ่มยิ่งโกรธ บอกเสียงดัง
“คุณ ปกรณ์คะ”
“ว่าไงครับ”
“เดี๋ยวช่วยจอดปั้ม หรือร้านข้างทางหน่อยนะคะ อิ่มนั่งตอนหลังแล้วเวียนหัว อยากจะอาเจียน”
“คุณอิ่มครับ อดทนหน่อยนะ เพราะแถวนี้ทางขึ้นเขา ไม่มีที่พักจอดรถหรอกครับ” ปกรณ์รำคาญนิดๆ
อิ่มฟังแล้วอยากจะร้องไห้ สามสาวสะใจ ปวรรุจมองมาทางวรรณรสา ยังสงสัยการตัดสินของเธอไม่หาย

ปกรณ์จอดรถในปั้มข้างทาง เติมทั้งน้ำมันและลมยาง สามสาวและปกรณ์ วิ่งไปถ่ายรูปวิวข้างทางแสนสวย ปกรณ์เป็นคนถ่ายให้เป็นที่สนุกสนาน ปวรรุจจิบกาแฟอยู่หน้าร้านขายของในปั๊ม อั๋นดูแลเรื่องเติมยางลม อิ่มเดินมาข้างรถ คิดแผนร้าย
“พี่อั๋นทำอะไร”
“เติมลมยางน่ะซี”
“ต้องเฝ้าด้วยเหรอ อิ่มดูให้ก็ได้”
“จริงนะ”
“ไม่ยากเลย อิ่มทำให้ก็ได้”
“จริงนะ พี่จะได้ไปถ่ายรูปสักหน่อย”
“เชิญ”
อั๋นรีบวิ่งไปถ่ายรูปกับ ปกรณ์และสามสาว อิ่มมองดูยางรถหลังแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง

ครู่ต่อมารถปกรณ์แล่นมาบนถนนสวย รถกำลังแล่นมาอย่างราบรื่น แต่แล้วก็เกิดเสียงดัง และรถเสียหลัก แฉลบออกนอกทาง สะบัดซ้ายขวา สี่สาวในรถกรีดร้องพร้อมกัน
รถยังคงปัดไปมา ปวรรุจหันมาทางปกรณ์ที่กำลังตื่นเต้น เท้ากำลังจะเหยียบเบรค
“อย่าเพิ่งเหยียบเบรกปกรณ์ ถอนคันเร่ง แล้วปล่อยรถวิ่งไป”
ปกรณ์หน้าซีด ทำตามที่ปวรรุจสั่ง รถคลายจากการเสียหลัก และค่อยๆ ชะลอตัวลง และจอดนิ่งข้างทางตรงช่วงถนนเปลี่ยว
ปกรณ์ถอนใจเฮือก วรรณรสามองปวรรุจอย่างที่งและนับถือในความมีสติและเด็ดขาด
“ทุกคนลงจากรถก่อนครับ”

ทุกคนลงจากรถด้วยอากาศที่กำลังหนาวเย็นยะเยือก ปวรรุจ ปกรณ์และอั๋นกำลังสำรวจยางรถที่แตก
“เอาไงดีหว่า ฉันไม่ค่อยชำนาญเรื่องเปลี่ยนยางอะไหล่เสียด้วย” ปกรณ์บอก
“ผมก็ทำไม่เป็นเลยครับ ขับเป็นอย่างเดียว” อั๋นออกตัว
“ไม่ต้องห่วงฉันจัดการเอง นายเตรียมอุปกรณ์ไว้ก็แล้วกัน”
ปกรณ์เดินไปเปิดท้ายรถ
“นี่แหละน้า อิ่มบอกแล้วอย่าบรรทุกคนเกินอัตรา ดูซี....เสียเวลาอีกแล้ว แล้วนี่ก็หนาวเจ็บกระดูก ทำไงดีคะคุณชาย” อิ่มไม่วายเหน็บแนมสาวสาม
“คุณอั๋นครับ ผมเห็นกระท่อมอยู่ตรงโน้น ช่วยพาสาวๆ ไปพักที่นั่นที”
“ได้ครับ ไปครับ ไปกับผม”
อั๋นพาแฝดและอิ่มไปด้วยกัน วรรณรสาหันมาทางปวรรุจ
“แล้วคุณชายล่ะคะ”
“ฉันจะเปลี่ยนยางล้อก่อน”
“อากาศหนาวอย่างนี้เหรอคะ”
“ไม่มีทางเลือก เธอไปพักที่โรงนาตรงโน้นเถอะ”
“ค่ะ”
วรรณรสายอมแยกไป แต่ยังเหลียวมามองปวรรุจ ที่กำลังใช้แม่แรงยกรถช่วยกันกับปกรณ์ อย่างไม่คิดว่าตัวเองเป็นหม่อมราชวงศ์แม้แต่นิด ท่านหญิงรสายิ้มปลื้ม ทึ่งในตัวปวรรุจ ก่อนจะตรงไปยังโรงนา

วรรณรสาเดินมาถึงหน้าโรงนา อ้ายและเอื้อยแอบฟังอยู่ เรียกท่านหญิงให้มาร่วมแอบฟัง ในโรงนา อั๋นกำลังซักฟอกอิ่ม
“เธออาสามาช่วยพี่เติมลมยาง แล้วก็เกิดเหตุยางแตก คุณอิ่มแกล้งปล่อยลมยางใช่ไหม”
“พี่อั๋นพูดอะไร อิ่มไม่รู้เรื่อง” สาวอวบปฏิเสธอีก
สามสาวของขึ้น โดยเฉพาะอ้ายสุดทน เดินเข้าไปแสดงตัวทันที
“ยายคุณอิ่ม เธอปล่อยลมยางเหรอ”
“อย่ามากล่าวหานะ ฉันจะทำไปทำไม”
“คุณจะได้โทษพวกเราไง เพราะพวกเรานั่งมา ยางถึงแตก”
อิ่มยิ้มกวนใส่ “เอ...มันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ”
“อย่างนี้ต้องสำเร็จโทษ”
อ้ายตรงเข้าหาอิ่มทันทีอย่างเอาเรื่อง อิ่มถอยกรูด
“หนูอ้าย อย่ามีเรื่องเลย” เอื้อยร้องขอ
“ไม่ได้ ต้องเอาเรื่อง จะหนีไปไหนยายอ้วน”
อิ่มกระโดดไปหลบหลังอั๋น
“พี่อั๋นช่วยอิ่มด้วย”
อ้ายผลักเอื้อยที่พยายามเข้ามารั้ง จังหวะเดียวกับที่อั๋นถูกอิ่มผลัก ทั้งอั๋นและเอื้อยเลยเซมาชนกัน
อั๋นรับร่างของเอื้อยไว้ทัน แล้วทั้งสองก็ล้มลงไปบนกองฟาง ร่างเอื้อยทับไปบนร่างของอั๋น
ส่วนอ้ายยังวิ่งไล่ตีอิ่มไม่หยุด อิ่มร้องเอะอะ วรรณรสาตวาดขึ้น
“หยุดเถอะค่ะ”
อ้ายและอิ่มหยุดทันที
“คุณอิ่ม คุณเห็นแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่คุณทำลงไปมันส่งผลเสียให้เราต้องลำบากกันหมด ที่ลำบากที่สุดก็คือคุณชายรุจและคุณปกรณ์ ที่ต้องลำบากเปลี่ยนยางอยู่ริมถนนนั่น”
“ฉันบอกเธอตอนไหนว่าฉันเป็นคนทำ เธอไม่มีสิทธิ์มาโทษฉัน”
อิ่มหน้าเชิดสะบัดตัวอวบๆ ออกไป
“มันน่านัก”
อ้ายฮึดฮัด แล้วมองตามวรรณรสาไปที่กองฟาง พบว่าเอื้อยและอั๋นยังคุยกระหนุงกระหนิงกันไม่เลิก ทั้งที่เค้าจะตีกันตายอยู่แล้ว
“หนูเอื้อย”
“คุณอั๋น”
ทั้งสองสะดุ้ง อั๋นผลุดลุกขึ้นทันที แล้วช่วยประคองเอื้อยลุกตาม ทั้งสองรีบปัดฝุ่น ปัดฟางออกจากตัว
อ้ายถาม “ทำอะไรกันคะ”
“นอนคุย เอ๊ย...ไม่มีอะไรครับ”
อั๋นหน้าแดง แล้วรีบผลุนผลันออกไป
“เปื้อนฟางหมดแล้ว ไปล้างตัวก่อนนะ”
เอื้อยเขินรีบออกไปอีกคน

วรรณรสาและอ้ายมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

เอื้อยออกมาที่หลังโรงนา พบว่าอั๋นกำลังล้างหน้า ล้างมืออยู่ เอื้อยเดินเข้ามาหาท่าทางเขินๆ

“ขอล้างด้วยคนนะคะ”
“ได้ครับ”
อั๋นตักน้ำให้
“เอื้อยถามตรงๆ นะ ทำไมคุณอั๋นถึงยอมคุณอิ่มไปเสียทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”
สีหน้าอั๋นสลดไป “ผมเป็นพี่ชายที่ไม่ดีเอง ผมกลัวฝังใจมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า จะถูกคุณพ่อทำโทษถ้าผมขัดใจอิ่ม คุณอิ่มรู้จุดอ่อนตรงนี้ เธอเลยขู่ว่าจะฟ้องคุณพ่อทุกครั้งที่ผมเตือนเธอเรื่องทำผิด”
“นั่นมันเรื่องวัยเด็กนี่คะ แต่ตอนนี้คุณอั๋นโตแล้ว ไม่น่าจะต้องกลัวคุณพ่ออีกแล้ว”
“นั่นซีครับ...”
“อย่ากลัวอีกเลยค่ะ คุณอั๋นต้องออกกฎบังคับคุณอิ่มบ้างแล้ว จะช่วยให้คุณอิ่มไม่ถูกตามใจจนเคยตัวแบบนี้”
“ขอบคุณครับที่แนะนำ โทษนะครับ”
“อะไรคะ”
“เศษฟางติดที่ผมน่ะครับ”
อั๋นช่วยดึงเศษฟางออกให้ เอื้อยยิ้มรับเขินๆ

วรรณรสากลับออกมาที่รถ พบว่าปกรณ์และปวรรุจเปลี่ยนยางเรียบร้อยแล้ว แต่เนื้อตัวมอมแมมหน้าเลอะฝุ่นโคลน วรรณรสายืนฟังอยู่ห่าง ๆ
“นายนี่มันเก่งสารพัดเลยว่ะ ไม่ได้นายฉันคงเปลี่ยนยางเองไม่ได้”
“โธ่...ขับรถประสาอะไร เปลี่ยนยางเองไม่เป็น”
“ก็ได้แต่ขับน่ะซี อ้าว...คุณรสา ในกระท่อมเป็นยังไงแล้วครับ”
“ทุกคนสบายดีค่ะ”
“งั้นผมขอตัวไปล้างหน้าล้างตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
ปกรณ์แยกไป วรรณรสายิ้มให้ปวรรุจอย่างขอบคุณ ปวรรุจกำลังเช็ดมือที่เปื้อนทั้งน้ำมันเครื่องและฝุ่นโคลน
“คุณชายเก่งจัง ฉันไม่นึกเลยว่าคุณชายจะเปลี่ยนยางรถได้คล่องแคล่วแบบนี้”
“อยู่ที่บ้าน ฉันเป็นคนซ่อมรถประจำตัวท่านพ่อเลยละ ท่านทรงสอนเรื่องเครื่องยนต์กลไก งานช่างสารพัด”
“ได้ข่าวว่าคุณชายทำอาหารก็เก่งด้วย”
“นั่นก็ได้จากคุณแม่ ฉันถูกฝึกให้ทำงานบ้านได้ทุกอย่าง รับใช้พี่ชายน้องชาย จนคนทั่วไปเรียกฉันว่า...คุณชายก้นครัว”
วรรณรสาทึ่งที่ปวรรุจสารภาพออกมาอย่างไม่อายสักนิด ย้อนถามท่าทีเกร็งๆ
“หมายความว่า...ถูกกดขี่ให้รับใช้พี่น้องทุกคนเหรอคะ”
ปวรรุจหัวเราะ “ใครบอกล่ะ ฉันเต็มใจทำเองต่างหาก เพราะคุณแม่สอนมาแต่เด็กให้ฉันเจียมตัวและรับใช้พี่น้องทุกคน”
วรรณรสารู้อยู่แล้ว แต่แกล้งถาม “โทษนะคะ ทำไมคุณชายต้องเจียมตัว”
“เธอคงไม่รู้ คุณแม่ “ช้องนาง” ของฉันเป็นนางต้นห้องของ “แม่ใหญ่” หม่อมอุบลวรรณ ไม่ใช่แค่คุณแม่หรอกนะ เป็นมาตั้งแต่คุณตาคุณยาย เป็นข้ารับใช้ตระกูลหม่อมอุบลวรรณ มาทั้งตระกูล” ปวรรุจเล่าอย่างภาคภูมิ
“คุณชายไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยเหรอคะ”
“ไม่เลยแม้แต่นิด เพราะทุกคนในบ้านไม่เคยมองว่าฉันต้อยต่ำ โดยเฉพาะพี่น้องทุกคน รัก เคารพและให้เกียรติในตัวฉันทั้งในฐานะพี่ชายและน้องชาย”
“งั้นสิ คุณชายถึงยอมเสียสละเวลาแทนพี่ๆ น้องๆ มาเล่นกับท่านหญิงแต้ว”
ปวรรุจยิ้มเมื่อนึกถึงอดีตเรื่องนี้ขึ้นมาอีก “ใช่”
“คุณชายยังเล่าค้างอยู่เรื่อง ความจริง ที่คุณชายพบท่านหญิงครั้งสุดท้ายคือเรื่องอะไรคะ”
แต่แล้วอิ่มเดินหน้าบึ้งตึง เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“อุ๊ย คุณชายรุจคะ เปื้อนหมดเลย มาค่ะ อิ่มจะพาไปทำความสะอาดให้”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจัดการเองได้ เออ...รสา ช่วยพาฉันไปที”
วรรณรสาอมยิ้ม มองปวรรุจอย่างรู้กัน
“ทางนี้ค่ะคุณชาย”
สองคนพากันเดินไป อิ่มทำแก้มป่องปากจู๋เป็นปลาปักเป้าอีกครั้ง
“คุณชายนะคุณชาย เห็นอะไรดียายคนนี้ หน้าเป็นซิ้มโบะ ผอมยังกะกระดูกเดินได้ สู้เราไม่ได้สักนิด ทั้งอวบทั้งอิ่ม”

สาวอวบขัดใจ และพาลไม่ชอบวรรณรสามากขึ้นเรื่อยๆ

อ้ายกำลังเช็ดหน้าเช็ดมือให้ ปกรณ์ที่หลังกระท่อม ใกล้กับที่มีถังน้ำตั้งอยู่
“แหม...มือเบาดีจัง”
“สะอาดแล้วค่ะ”
ปกรณ์แอบเอามือเปื้อนๆ ทาข้างแก้มตัวเอกอีก
“ยังเปื้อนอยู่เลย”
“เอ๊ะ ก็เช็ดแล้วนี่”
“ยังไม่หมดนี่ครับ”
“งั้นต้องล้างแบบนี้”
ขาดคำอ้ายสาดน้ำเต็มหน้าปกรณ์ แล้วหัวเราะลั่นชอบใจ ปกรณ์ฉุน
“งั้น...ขอผมบ้าง”
ปกรณ์วิ่งไล่สาดน้ำอ้าย แฝดพี่ผู้ก๋ากั่นร้องกรี๊ดวิ่งผ่านไปทาง ปวรรุจและรสาที่กำลังเดินมาพอดี ปกรณ์ไล่ตามถือถังน้ำในมือมาด้วย
“จะหนีไปไหนหนูอ้าย มาให้สาดน้ำเสียดี”
อ้ายโวยวาย “จะมาเล่นสงกรานต์ที่สวิตเหรอ”
ทั้งสองวิ่งหายไป วรรณรสาพาปวรรุจมาที่บ่อน้ำ
“ฉันเช็ดให้ค่ะ”
ปวรรุจเกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอก”
“คุณชายทำเพื่อพวกเรามามากแล้ว ให้ฉันได้ช่วยบ้าง”
วรรณรสาอ้อนนิดๆ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาชุบน้ำ แล้วบรรจงเช็ดมือของปวรรุจทั้งสองมือ ปวรรุจยิ้มให้อย่างขอบคุณ
“เมื่อกี้...ฉันขอโทษ ที่พูดไม่ดีกับคุณ”
“เธอมีสิทธิ์โกรธ เพราะฉันดุเธอ”
วรรณรสาหยิบผ้าผืนใหม่ มาชุบน้ำ พลางสบตากับปวรรุจ แล้วบรรจงเช็ดที่ข้างแก้ม ปวรรุจนิ่งงันไป
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองได้”
“อยู่นิ่งๆ เถอะค่ะ”
วรรณรสาไม่ยอม เช็ดแก้มให้ปวรรุจจนสะอาดสะอ้าน
“หายมอมแมมแล้วค่ะ”
“ไม่บ่อยครั้งนักหรอก ที่จะมีใครทำอะไรเพื่อฉันอย่างนี้ ขอบคุณนะ” ปวรรุจบอกอย่างซึ้งใจ
“ด้วยความยินดีค่ะ”
ปวรรุจยิ้มให้ “เราหายโกรธกันแล้วนะ”
“ค่ะ”

ปวรรุจกุมมือวรรณรสา สองคนยิ้มให้กัน วรรณรสาเขินอายไม่กล้าสบตา

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 5 (ต่อ)

เวลายามเย็นภายในห้องพักของโรงแรมในรูจมอนต์ ปวรรุจกำลังนั่งเขียนโปสการ์ดถึงทางบ้าน ปกรณ์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำเดินมาหา

“ทำอะไร ไอ้คุณชาย”
“ส่งโปสการ์ดไปที่บ้านน่ะ”
“เฮ้ย...ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายว่ะ”
“ว่ามา”
“พรุ่งนี้เราจะเข้าอินเตอร์ลาเคนแล้ว นายไม่คิดอะไรบ้างเหรอ”
“คิดอะไรล่ะ”
“นี่...อย่ามาทำเป็นไม่รู้นะว่าคุณวาดดาวน่ะอยู่ที่อินเตอร์ลาเคนไง...หรือว่าไม่รู้จริงๆ”
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ นายกำลังจะบอกอะไรฉัน” ปวรรุจฉงน
“คืองี้...คุณวาดดาวบอกฉันตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า ถ้าพานายมาเที่ยวอินเตอร์ลาเคน ขอให้พานายไปที่ชาโตส์ของเธอกับสามี”
ปวรรุจนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนถามออกมา
“เขาแต่งงานกันแล้วใช่ไหม”
“ใช่....แล้วตกลงจะแวะไปไหม”
“ฉันไม่เข้าใจ วาดดาวจะเชิญฉันไปทำไมในเมื่อเรื่องของเราจบไปแล้ว หรือว่า...เขาต้องการจะเยาะเย้ยฉัน”
“เฮ้ย อย่าคิดอย่างนั้นซีวะ น้ำเสียงเขาที่โทรมาหา ไม่ได้เยาะเย้ยเลยเขาอยากให้นายไปพบเขาจริงๆ”
ปวรรุจครุ่นคิด ท่าทีลังเล

เวลาเดียวกันเป็นตอนกลางดึกที่ประเทศไทย
ธราธรรับสายอยู่ในห้องใต้โดมของวังจุฑาเทพ โดยมีพุฒิภัทรจิบกาแฟอ่านหนังสืออยู่กลางห้อง ชายภัทรมองมาที่ธราธรสงสัยว่าใครโทรมาดึกมาก เพราะเป็นเวลาเวลาห้าทุ่มกว่าๆ แล้ว
ธราธรหันมาบอกพุฒิภัทร “ทางไกลจากสวิต”
ชายภัทรเดินมาฟังด้วยทันที
ธราธรทักทายน้อง “ว่าไงชายรุจ”
ปวรรุจอยู่ในห้องพัก ปกรณ์เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
“คิดถึงทุกคนครับพี่ชายใหญ่”
“ทุกคนที่นี่ก็คิดถึงนาย...เป็นอย่างไรบ้างการประชุมที่เจนีวา”

“เรื่องงานไม่มีปัญหาหรอกครับ ตอนนี้ผมได้เวลาพักหนึ่งอาทิตย์ กำลังท่องเที่ยวเพลินๆ อยู่ ก็พบว่ามีปัญหาหนักอกรออยู่”
“ว่ามาเถอะ มีอะไรที่พี่จะช่วยได้บ้าง”
“ผมถึงได้โทร.มาขอคำปรึกษาจากพี่ชายใหญ่ไงครับ…เรื่องวาดดาว”
ธราธรนิ่งไป มองไปที่พุฒิภัทร
“นายเจอวาดดาวที่สวิสเหรอ”
“ยังครับ แต่กำลังจะเจอในวันพรุ่งนี้ เธอเชิญผมกับปกรณ์ไปพักที่ชาโตส์ของเธอกับสามีที่อินเตอร์ลาเค่น ผมสับสนไปหมดแล้ว ไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของเธอ ว่าเธอต้องการพบผมอีกครั้งเพื่ออะไร ผมจะตัดสินใจยังไงดีครับพี่ชายใหญ่”
“เอาอย่างนี้ พี่ว่าคนที่ให้คำตอบชายรุจได้ดีที่สุด คือชายภัทร”
พุฒิภัทรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ธราธรส่งสายให้ชายภัทรพูดสายต่อ
“ไง ชายรุจ”

ด้านวรรณรสาและแฝดกำลังจัดการกับกระเป๋าเสื้อผ้า รสาหยิบกล่องไวโอลินขึ้นมา ตุ๊กตาหนุตุ่นตกอยู่ที่พื้น เอื้อยเดินมาช่วยเก็บให้
“อุ๊ย...หนูตุ่นตกพื้นแล้วค่ะ”
“ใส่กระเป๋าไปเถิด รสาไม่อยากเห็นหน้า”
“ทำไมไม่ทิ้งไปละคะท่านหญิง”
“ไม่หรอก หญิงจะเก็บไว้ให้พี่ชายทัศน์ไว้ดูเมื่อกลับเมืองไทย ให้พี่ชายรู้ว่าหญิงรู้เรื่องทั้งหมดของพี่ชายแล้ว”
สาวแฝดมองหน้ากัน วรรณรสาเดินแยกตัวไปหยุดยืนที่หน้าต่าง มองออกไปเห็นทิวทัศน์ยามค่ำเบื้องนอก
ไฟโรงแรมเปิดสว่างไสวทั่วลานหน้าตึก
“สวยจัง รสาขอไปเดินเล่นหน่อยนะ”
“จะไปไหนคะท่านหญิง ให้เราไปด้วยเถอะค่ะ เดี๋ยวท่านหญิงจะหลงอีก”
“ไม่หรอกน่า แค่เดินเล่นหน้าโรงแรมนี่เอง”
วรรณรสาคว้ากล่องไวโอลินไปด้วย แฝดมองหน้ากันอย่างแปลกใจ

ส่วนปวรรุจยังคุยสายต่อเนื่องกับพุฒิภัทร
“นายควรไปพบคุณวาดดาว”
“บอกเหตุผลที่สมควรหน่อย”
“เหตุผลก็คือ นายจะได้รู้จักผู้หญิงคนนี้อย่างถ่องแท้เสียที”
“นายไม่คิดว่า ฉันจะบาดเจ็บไปจนวันตายหรอกหรือ”
“ชายรุจนั่นคือสิ่งที่นายเป็นอยู่ตอนนี้ ฉันขอย้ำคำเดิม นายกำลังโทษตัวเอง โทษปมด้อยของนายเอง ถ้านายไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง เอาแต่กลัวอยู่ นายจะไม่มีวันเรียกความนับถือตัวเองของนายกลับคืนมาได้เลย อีกอย่าง...”
“อะไร”
“เรื่องที่ว่าวาดดาวหลอกนาย มันเป็นแค่สมมุติฐานที่เราตั้งขึ้นเอง ความจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะฉะนั้นนายจะต้องไปพบวาดดาว และถามความจริงทั้งหมดจากเธอ”
ปวรรุจได้ข้อคิดแล้ว “เอาละ นั่นเป็นเหตุผลที่สมควรที่สุดแล้ว ฉันจะไปพบวาดดาวพรุ่งนี้ ขอบใจมากชายภัทร”
พุฒิภัทรยิ้มออกมา “ด้วยความยินดี แล้วส่งข่าวบอกด้วย พวกเราทุกคนเป็นห่วงนายนะ” ชายภัทรมองมายังธราธร “พี่ชายใหญ่จะพูดกับนายต่อ” พลางส่งสายให้ธราธร
“ชายรุจ พี่จะลาพักร้อนที่มหาวิทยาลัย พี่จะไปเยี่ยมน้องมะปรางช่วงกลางเดือนนี้ อาจจะแวะไปสวิต ไปเยี่ยมนายที่นั่น”
“ยินดีครับพี่ มาพักกับผมที่เบิร์นได้เลยครับ ฝากความคิดถึงหม่อมย่าและย่าอ่อนด้วยครับ”
ปวรรุจวางสาย แล้วเดินไปที่หน้าต่าง เห็นบรรยากาศยามค่ำหน้าโรงแรมแล้วนึกอยากออกไปเดินเล่น ปวรรุจได้ยินเสียงไวโอลินแว่วมา แต่แปลกใจที่เป็นเสียงเพลงไทย “ลาวดวงเดือน”

ปวรรุจคว้าเสื้อแจ็คเก็ตออกไปจากห้องทันที

ปวรรุจเดินออกมาที่ลานกว้างหน้าโรงแรม เห็นทิวทัศน์เมืองเล็กๆ น่าประทับใจกับแสงยามเย็นที่อาบแสงทองไปทั่ว

เสียงเพลง “ลาวดวงเดือน” ที่วรรณรสากำลังเล่นอยู่นั้น มีนักท่องเที่ยวนั่งฟังอยู่กลุ่มหนึ่ง ปวรรุจเข้ามารับฟังอยู่ในกลุ่มด้วย มองวรรณรสาอย่างทึ่ง
วรรณรสาเล่นจบเพลง ทุกคนปรบมือให้ ท่านหญิงยิ้มเขินๆ กับทุกคน พร้อมพูดขอบคุณเป็นภาษาสวิต
ปวรรุจ เดินตรงมาหา
“ไม่ยักรู้ว่ารสาเล่นไวโอลินได้ไพเราะขนาดนี้”
“ขอบคุณค่ะ ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจเล่นให้ใครฟังหรอก แต่มองเห็นเมืองสวยข้างหน้ากับแสงยามเย็นแบบนี้ มันอดไม่ได้ที่จะหยิบไวโอลินมาเล่นเพลงโปรด”
“นี่คือเพลงโปรดของเธอ...ลาวดวงเดือน”
“ค่ะ ภาพที่เห็นเบื้องหน้ามันสวยราวภาพวาด รสาเลยนึกว่ามันจะคงอยู่เรื่อยไป ชั่วกาลปาวสาน เลยอยากเล่นเพลงนี้เป็นที่ระลึกกับสถานที่แห่งนี้”
“พลอยทำให้ฉันหลงรัก...”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจนิ่ง
ปวรรุจพูดต่อ “...เสียงเพลงของเธอเข้าให้แล้ว”
วรรณรสาถอนใจเล็ก ๆ หลบตาวูบ “คุณชายคะ ช่วยเล่าเรื่องที่ค้างอยู่เสียทีเถอะ”
“เรื่องอะไรนะ”
“เรื่อง “ ความจริง” ของคุณชายกับท่านหญิงแต้ว น่ะซีคะ”
ปวรรุจพยักหน้า ทอดสายตามองไปไกลหวนนึกถึงเรื่องครั้งอดีต

ตอนกลางวันวันนั้น ที่วังอรุณรัศมิ์ เด็กชายปวรรุจยืนกอดอกให้ย่าอ่อนฟาดด้วยไม้เรียว บรรดาคุณชายที่เหลือยืนหน้าสลดไปตามๆ กัน บรรดาข้าราชบริพารยืนมองดูอย่างสลดใจเช่นกัน
“แกล้งท่านหญิงทำไม ชันษาก็เท่านี้ ยังจะไปแกล้งท่านอีก ต้องโดนไม้เรียวแบบนี้แหละ ไม่ต้องมาหันก้นหนีนะชายรุจ”
ปวรรุจเจ็บจนพยายามบิดหนีไม้เรียว ย่าอ่อนยึดร่างไว้
“รู้ตัวรึเปล่าชายรุจ ว่าเราเกือบทำให้ท่านหญิงสิ้นชีพตักษัย พาเข้าไปเล่นในบ้านร้างได้ยังไง ในนั้นมีแต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ รับสั่งอยู่ตลอดว่างูกัด งูกัด ถึงกับทรงเป็นลมเป็นแล้งไปเลย” ย่าอ่อนโกรธมาก
“ผมผิดไปแล้วครับย่าอ่อน ผมขอโทษ”
“อ้อ...ขอโทษหวังจะลดโทษให้งั้นสิ ไม่มีวันเสียละ”
ย่าอ่อนฟาดอีกเต็มแรง ปวรรุจเจ็บน้ำตาไหลพราก
ทันใดนั้นที่ด้านนอกห้องโถง นมแจ่มอุ้มร่างของท่านหญิงแต้วเข้ามาตามทางเดิน วรรณรสายามนั้นหน้าตายังซีดเซียว หม่อมเจ้าหญิงวริษาตามมาด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“ประชวรขนาดนี้ เด็จกลับที่ห้องบรรทมเถอะเพคะ” แจ่มบ่น
“ไม่ หญิงจะหาพี่ชายรุจ พาหญิงไปหาพี่ชายรุจ” เด็กหญิงราชนิกุลร้องงอแง
ทั้งสามเลี้ยวเข้ามาในโถง วรรณรสาเห็นปวรรุจกำลังถูกเฆี่ยนก็ร้องกรี๊ด
“รสา เป็นอะไรลูก” ท่านหญิงวริษาตกใจมาก
“ปล่อยหญิง”
วริษาบอก “ปล่อยเถอะนมแจ่ม”
พอแจ่มวางร่างวรรณรสาลง ท่านวิ่งเข้าไปยึดไม้เรียวของย่าอ่อน แล้วปาทิ้งไป
ย่าอ่อนตกใจ “ท่านหญิง”
“อย่าเฆี่ยนพี่ชายอีกเลยคุณย่าอ่อน สงสารพี่ชายเถอะ”
“แต่ชายรุจแกล้งท่านหญิง ชายรุจต้องถูกลงโทษเพคะ”
“ไม่...พี่ชายแกล้งเพราะหญิงดื้อกับพี่ชายต่างหาก”
ว่าพลางวรรณรสาก้าวเข้ามาหาปวรรุจ น้ำตาไหลพราก
“พี่ชายเจ็บรึเปล่า”
ปวรรุจสะอื้น “ท่านหญิง กระหม่อมไม่เจ็บหรอก แค่ท่านหญิงประทานอภัยให้ กระหม่อมก็ดีใจอย่างที่สุดแล้ว”
“หญิงไม่โกรธพี่ชายเลย พี่ชายรุจเป็นคนเดียวที่ยอมเล่นกับหญิง”
สี่คุณชายที่เหลือมองหน้ากัน แล้วหลบตาผู้ใหญ่ทั้งหมด
ท่านหญิงแต้วมองหน้าชายรุจ สะอื้นไห้กันทั้งคู่ แล้วอย่างที่ไม่มีใครคาด วรรณรสาโผเข้ากอดปวรรุจแน่น ชายรุจก็กอดท่านหญิงไว้แน่นเช่นกัน คนทั้งโถงตกตะลึง
ย่าอ่อนตกใจมาก “ชายรุจ ปล่อยท่านหญิงนะ อย่าอาจเอื้อม”
วริษาห้าม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณป้า ปล่อยแกเถอะ
สายตาทุกคู่มองมายังเด็กชายและเด็กหญิงที่กอดกันอย่างไร้เดียงสา ย่าอ่อนถึงกับน้ำตาซึม เช่นเดียวกับ
นมแจ่ม และท่านหญิงวริษา

ปวรรุจเล่าต่ออีก
“ฉันเพิ่งรู้ว่า ท่านหญิงไม่ได้ทรงโกรธเกลียดอะไรฉันเลย แต่กลับกรรแสง ขอร้องให้ย่าอ่อนหยุดเฆี่ยนตีฉัน นอกจากไม่ถือโทษฉันแล้ว ท่านกลับทรงห่วงว่าฉันจะเจ็บจากรอยหวาย”
ปวรรุจหันไปมองวรรณรสา ที่น้ำตาไหลพราก เพราะจำเหตุการณ์นี้ไม่ลืมเลือน
“รสา เป็นอะไรน่ะ” ปวรรุจฉงน
“ฉันปลาบปลื้มกับเรื่องของคุณชายน่ะซีคะ คุณชายจำเรื่องท่านหญิงได้หมด...หมดทุกอย่าง”
“ไม่มีวันลืม และฉันยังจำได้อีกว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้พบท่านหญิง”
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“หลังจากนั้นไม่นาน ฉันสูญเสียครอบครัวไป ทั้งท่านพ่อและหม่อมแม่ทั้งสาม พวกท่านจากไปอย่างไม่มีวันกลับ”
สีหน้าปวรรุจสลดลงชัดเจน วรรณรสาเอื้อมมือมาจับแขนของปวรรุจไว้
“ฉันเลยไม่ได้กลับไปที่วังอรุณรัศม์อีกเลย เพราะหลังจากนั้นหม่อมย่าก็ส่งพวกเราไปเรียนต่างประเทศ...แต่แปลกนะ ความทรงจำเกี่ยวกับท่านหญิง ยังชัดเจนอยู่เสมอ ไม่เคยคลายจางไปแม้แต่วันเดียว”
วรรณรสาสะท้อนใจเผลอหลุดปากออกมาเบาๆ “พี่ชายรุจ...”
ปวรรุจหันมาหาทางวรรณรสา
“เธอเรียกฉันเหรอ”
“เออ.....รสาเรียกตามท่านหญิงน่ะค่ะ”
ปวรรุจเยื้อนยิ้ม “ขอบใจที่รับฟังเรื่องของฉัน”
“ขอบใจที่เล่าเรื่องให้รสาฟังต่างหาก ขอบใจสำหรับความทรงจำของคุณชายที่ไม่เคยลืม...ท่านหญิง”
ปวรรุจมองวรรณรสานิ่งนาน จนท่านหญิงต้องหลบตา
“มองรสาแบบนั้นทำไม”
“รู้ไหม...บางครั้งเธอก็ทำให้ฉันนึกถึงท่านหญิงขึ้นมา”
“เหรอคะ ฉันละม้ายท่านเหรอ” วรรณรสาใจเต้นโครมคราม
“ใช่...ทั้งชื่อ รสา และเค้าหน้า รู้ไหม...ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้....มองหน้าเธอ”
“คุณชาย”
ปวรรุจประสานสายตากับวรรณรสาอีกครั้ง วรรณรสาหลบตา ลมเย็นพัดผ่าน ร่างท่านหญิงสะท้านด้วยความหนาว
“ขออนุญาตฉันนะ”
ปวรรุจถอดผ้าพันคอของตนออก แล้วบรรจงพันผ้าให้ วรรณรสาช้อนตามองนิ่ง ปวรรุจดึงวรรณรสามากอดไว้คลายหนาว วรรณรสาอิงแอบกับอกแกร่งของปวรรุจ
ภาพทั้งสองหนุ่มสาวกอดกัน อยู่ท่ามกลางความสวยงามของบรรยากาศยามเย็น อาทิตย์กำลังอัสดง
วินาทีนั้นทั้งสองคนรับรู้ในความรักที่มีต่อกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ 

วันรุ่งขึ้น ปวรรุจ วรรณรสา ปกรณ์ อ้าย อั๋น เอื้อย และอิ่ม กำลังชมวิวตัวเมืองอินเตอร์ลาเคน กับทะเลสาบใหญ่ซึ่งแลเห็นยอดจุงเฟราเห็นอยู่เป็นเบื้องหลัง และถ่ายรูปร่วมกัน

“นี่ละครับ อินเตอร์ลาเคน ที่แปลว่า...เมืองแห่งสองทะเลสาบ” ปกรณ์ยิ้มแย้มแนะนำ
อ้ายนึกสงสัย “ทะเลสาบอะไรบ้างคะ”
“ที่เห็นด้านนั้นคือทะเลสาปทูน ส่วนอีกด้านคือ เบรียนซ์ ครับ”
“เฮ้อ...มีตรงไหนไม่สวยบ้างเนี่ย สวยเหมือนสวรรค์เราดีๆ นี่เอง” เอื้อยเป็นปลื้ม
“แล้วเราจะขึ้นยอดจุงเฟราเมื่อไหร่คะ” อ้ายถามอีก
“พรุ่งนี้ไงครับ เราจะนั่งรถไฟขึ้นจุงเฟรากัน จะเป็นรถไฟที่แล่นช้าที่สุดในโลกเลย” ปกรณ์ยิ้มย่อง
อิ่มสงสัย “เอ๊ะ ทำไมเราไม่ขึ้นกันวันนี้ รอพรุ่งนี้ทำไมคะ”
“เออ...วันนี้เราจะต้องไปแวะพักที่บ้านเพื่อนน่ะครับ”
ทั้งหมดหันมามองปกรณ์ ปวรรุจนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาใดๆ
“ใครคะ” อิ่มซัก
“เออ...เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองละครับ”
ปวรรุจถอนใจ รู้สึกลำบากใจเช่นกัน แต่ก็ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้ว

รถปกรณ์แล่นมาจอดหน้าชาโตว์แห่งหนึ่งในอินเตอร์ลาเคน สาวๆ ลงจากรถแล้วมองรอบๆ อย่างตะลึงในความงาม อิ่มวิ่งถลาราวนกน้อยๆ
“สวย งดงามอะไรเยี่ยงนี้ เหมือนได้อยู่ในฟาร์มโคนมแถบเทือกเขาร็อคกี้”
ปกรณ์ท้วง “แต่นี่สวิตนะครับคุณอิ่ม”
“คงนึกถึงวัวไบซันมังคะ รูปร่างก็คล้ายๆ อยู่แล้ว” อ้ายแขวะ
อิ่มหันขวับมาจะด่า แต่ถูกอั๋นห้ามไว้
ปวรรุจมองไปรอบๆ อย่างทึ่ง วรรณรสา อ้าย และเอื้อย ตามลงมาจากรถ อั๋นตามลงมาสุดท้าย
“คุณ ปกรณ์คะ ตกลงที่นี่เป็นบ้านใครคะ” วรรณรสาถามอีก
“อ๋อ...บ้านคุณวาดดาวครับ เธอเพิ่งแต่งงานกับมิสเตอร์ฟิลลิป เจ้าของชาโตว์นี่ละครับ”
วรรณรสาปรายตามองมาที่ปวรรุจ เห็นว่าปวรรุจขรึมลงไป
ระหว่างนั้นมิสเตอร์ฟิลลิปออกมาจากบ้านพอดี ปวรรุจมองอย่างทึ่งๆ อีก ฟิลลิปอายุมากแล้ว แต่ยังสง่างาม ผึ่งผายแบบนักกีฬา เดินตัวตรง ผมสีดอกเลา หน้าตายังเห็นเค้าความหล่อเหลา
ปกรณ์ร้องทักก่อนใคร “มิสเตอร์ฟิลลิป สวัสดีครับ”
ฟิลลิปทักกลับด้วยสำเนียงไทยค่อนข้างชัด
“สวัสดีครับคุณปกรณ์ ยินดีต้อนรับทุกคนครับ”
ทุกคนต่างทึ่งเมื่อได้ยินฟิลลิปพูดไทยค่อนข้างชัด และพากันยกมือไหว้ ยกเว้นปวรรุจ ฟิลลิปรับไหว้ทุกคน
เมื่อมองมาที่ปวรรุจ ฟิลลิปยิ้มให้อย่างมีไมตรีและนบนอบอย่างรู้กาละ แล้วโค้งคำนับอย่างงาม
“คุณชาย ปวรรุจใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“คุณชายให้เกียรติผมอย่างมาก ที่แวะมาพักบ้านผม เชิญข้างในครับ วาดดาวรอคุณอยู่”
วรรณรสาเหลียวมามองที่ปวรรุจทันที สะกิดใจกับคำว่า “วาดดาวรอคุณอยู่” มากๆ
อั๋น อิ่มปกรณ์ตามไป วรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินรั้งท้าย
“ทำไมพูดไทยชัดจัง” เอื้อยทึ่ง
อ้ายด้วยอีกคน “นั่นซี ดูภูมิฐานจังเลย”
“แล้วคุณวาดดาวเป็นใครเหรอ” วรรณรสานึกสงสัย
สามสาวมองหน้ากันก่อนเดินเข้าชาโตว์ไป

ครู่ต่อมา ทั้งกลุ่มเข้ามาในห้องนั่งเล่นบ้านฟิลลิป ที่โอ่โถงสวยงาม
“ตามสบายนะครับ”
อิ่มถาม “คุณฟิลลิปคะ ทำไมพูดไทยชัดจัง”
ฟิลิปหัวเราะ “ผมเคยเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ของประเทศไทย ประจำนครซูริค ผมเคยอยู่เมืองไทยหลายปีครับ ก็เลยพูดไทยชัดเจน ตอนนี้เกษียณแล้ว เลยมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่”
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ
“วาดดาวละครับ” ปวรรุจถามถึง
“สักครู่นะครับ”
ฟิลิปหายเข้าไปห้องด้านใน อิ่มและสาวแฝดลงนั่งที่เก้าอี้ ปวรรุจแยกไปดูภาพติดผนัง เป็นภาพแต่งงานของวาดดาวกับฟิลิปที่เพิ่งแต่งเมื่อไม่นานนี้ ปวรรุจสะท้อนใจ วรรณรสาตามมาสังเกตท่าทีของปวรรุจ
“นี่ใช่ไหมคะมาดามวาดดาว”
ปวรรุจเจื่อนไปขณะบอก “ใช่ครับ”
“สวยจัง คุณชายรู้จักเธอเหรอคะ”
“เราเป็นเพื่อนกันครับ เรียนด้วยกันที่อังกฤษ ทั้งผม ปกรณ์ และวาดดาว” ปวรรุจบอกเพียงเท่านั้น

วรรณรสาพยักหน้า มองอาการของปวรรุจที่ดูสลดไปอีก ด้วยความสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม

ฟิลลิปกลับออกมาพร้อมวาดดาว ที่ดูสะสวย สง่า และดูสดชื่น ทั้งสองควงแขนกันออกมา ปวรรุจหันมามองวาดดาว

“สวัสดีค่ะคุณปกรณ์ สวัสดีค่ะทุกคน”
ทุกคนขานรับ วาดดาวหันมาทางปวรรุจ
“คุณชายรุจ”
วาดดาวเดินตรงรี่มาหาปวรรุจ ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง วาดดาวหยุดยืนตรงหน้าปวรรุจแล้วสวมกอดแนบแน่น วรรณรสามองอย่างตกตะลึง แฝดมองงงๆ วาดดาวค่อยๆ คลายวงแขนออก น้ำตารื้น
“ขอบคุณนะคะที่มาตามคำเชิญ ไม่นึกเลย ว่าจะได้ต้อนรับคุณชายที่นี่ แบบนี้”
“ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”
วาดดาวผละจากปวรรุจ เช็ดน้ำตา ฟิลลิปรีบพูดขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด
“เดินดูบ้านกันตามสบายนะครับ ด้านหลังมีคอกม้าด้วย วันนี้อากาศดี มีใครอยากขี่ม้าชมวิวทะลสาบกันบ้างมั้ยครับ”
“อุ๊ย...อยากค่ะ อยากขี่ม้ามากๆ” อิ่มเสนอหน้าทันที
ปกรณ์มองๆ แล้วบอก “อย่าเลยครับคุณอิ่ม ผมกลัวเออ...”
“กลัวอะไรคะ” อิ่มซักไซ้
“กลัวม้ามันจะหลัง...” ปกรณ์บอกไม่ทันจบคำ
อิ่มแหวขึ้นมา “ม้าจะหลัง...อะไรคะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมกลัวว่าเราจะเสียเวลาเกินไปน่ะครับ เราต้องกลับไปพักในเมืองคืนนี้นะ” ปกรณ์ว่า
“ทำไมต้องกลับไปพักในเมืองละคะ พักกันที่นี่เลยดีไหม เรามีห้องว่างพอสำหรับทุกคน”
ทุกคนหันมายิ้มให้กัน วาดดาวและฟิลลิปเยื้อนยิ้มให้อย่างมีไมตรี มีเพียงปวรรุจที่รู้สึกอึดอัดนัก

วาดดาวกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ในห้องอาหาร อาหารเต็มโต๊ะ ปวรรุจเข้ามาเงียบๆ วาดดาวหันมาเห็น
“ถ้าคุณกำลังยุ่ง ผมไม่รบกวนละครับ”
“คุณชายรุจ ไม่รบกวนหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมอยากคุยกับคุณลำพัง”
“ได้ค่ะ”

ด้านวรรณรสาและแฝดกำลังจัดเสื้อผ้า ท่านหญิงยังครุ่นคิดเรื่องท่าทีของ ปวรรุจและวาดดาวเมื่อครู่ แต่ตัดใจเปิดกระเป๋าเตรียมเสื้อผ้าออกมา จึงพบสมุดบันทึกของปวรรุจวางนิ่งอยู่ในนั้น วรรณรสาหยิบออกมาดู อ้ายและเอื้อยหันมาเห็น
“แน่ะ ท่านหญิงยังเก็บสมุดบันทึกของท่านชายไว้อีก ไหนบอกว่าจะคืนไง”
“หญิงลืมน่ะ”
“งั้นเก็บไว้เถอะค่ะ ขืนไปคืนตอนนี้ ไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไง”
อ้ายหยิบสมุดบันทึกนั้นขึ้นมา วรรณรสารีบพูดห้าม
“เออ....เก็บเถอะหนูอ้าย อย่าไปยุ่งกับของส่วนตัวของคุณชายเลย”
“ท่านหญิงขา แล้วทีท่านหญิงเก็บไว้เป็นนานสองนาน มีอะไรซุกซ่อนอยู่รึเปล่า” อ้ายซักไซ้
อ้ายจับพิรุธท่านหญิงได้ จึงเปิดสมุดบันทึกทันที แล้วทันใดนั้น ซองสีน้ำตาลใส่รูปของกระถินก็ร่วงลงมาที่เตียง วรรณรสารีบตะครุบปิดไว้ไม่ให้เห็น
“อุ๊ย...นั่นอะไร” เอื้อยตื่นเต้น
“พวกเธออย่ารู้เลย ไม่มีอะไรหรอก”
“ต้องมีซีคะ ขอเราดูเถอะค่ะ ท่านหญิง” อ้ายออดอ้อน
เอื้อยก็เอาด้วย “นะคะ นะคะ”
วรรณรสาถอนใจ ส่งซองให้แฝดดู อ้ายดึงรูปออกมา แฝดงุนงงกับภาพของกระถิน
“ใครคะท่านหญิง” เอื้อยถาม
“ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เป็นรูปที่คุณชายเอาออกมาดูอย่างชื่นชมเหลือเกินบนเครื่องบินน่ะ”
“งั้นก็ต้องเป็นแฟนของคุณชาย เอ...ทำไมเด็กจัง ตาก็เศร้าๆ ดูไม่สมกันเลย” อ้ายว่า
“ท่านหญิงเอาไปคืนคุณชายเถอะค่ะ”
เอื้อยหยิบรูปมาจะใส่ซอง วรรณรสาเห็นโน๊ตลายมือที่อยู่หลังรูป จึงหยิบขึ้นมาดู แล้วนิ่งงันไป
“ท่านหญิงขา เป็นอะไร” อ้ายแปลกใจมาก
“หญิงรู้แล้วละว่าคุณวาดดาวเป็นใคร แล้วทำไมเราถึงมาพักที่นี่”
สาวแฝดรีบถลามาอ่าน เอื้อยอ่านออกเสียง
“มอบให้พี่ชายรุจเอาไว้ดูเล่นที่สวิตฯ เผื่อว่าดูบ่อยๆ แล้วจะได้ลืมแม่วาดดาวเสียที”
แฝดอ้าปากค้าง วรรณรสาซึมไป
“หมายความว่า...” อ้ายงุนงงหนัก
“คุณวาดดาวไม่ใช่แค่เพื่อนคุณชาย แต่เธอคือคนรักเก่าของคุณชายนั่นเอง”
อ้ายกะเอื้อยยังอ้าปากค้าง
“แล้วรูปแม่เด็กคนนี้ละคะ”
“ก็คงเป็นแฟนอีกคนละมัง”

วรรณรสาพูดออกไปด้วยความสลดหดหู่ในใจ 

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 5 (ต่อ)

สองคนอยู่ริมทะเลสาบสวย ปวรรุจและวาดดาวเดินคุยกันมาเพียงลำพัง วาดดาวกำลังเล่าเรื่องของฟิลลิป

“หลังจากกลับไปเรียนอังกฤษ ฉันได้พบฟิลลิปค่ะ เราคบหากันระยะหนึ่ง แล้วเขาก็ขอฉันแต่งงาน”
“นั่น หลังจากที่คุณมาพบคุณย่าใช่ไหมครับ” ปวรรุจถาม
วาดดาวนิ่งไปสักครู่หนึ่ง จึงบอก “ค่ะ”
“ผมไม่เข้าใจวาดดาว เกิดอะไรขึ้นกับเรา ผมรอคุณอยู่ รอวันที่คุณเรียนจบ อีกแค่ปีเดียว รอคุณกลับมารับรักผม กลับมา...แต่งงานกับผม แต่แล้วคุณก็จากไปโดยที่ผมติดต่อคุณไม่ได้อีกเลย มีแค่จดหมายจากคุณฉบับเดียว ที่เขียนมาเตัดสัมพันธ์ของเราทำไม” ปวรรุจใจหายทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้
วาดดาวยิ้มเศร้า ก่อนถามออกมา
“คุณกำลังคิดว่าฉันหลอกลวงคุณใช่ไหม”
“ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ผมคิดไปทางอื่นได้”
“ฉันไม่ได้หลอกลวงคุณหรอกค่ะ ฉันพบรักกับฟิลลิปจริงๆ หลังจากที่ฉันจากคุณมา”
“แล้วความรักของเราล่ะ” ปวรรุจเจ็บแปลบขึ้นมา
วาดดาวเบือนหน้าหนีไป
“ให้ความกระจ่างผมหน่อยเถิด ว่าผมทำอะไรผิด หรือผมไม่คู่ควรกับคุณ หลังจากที่คุณไปเยี่ยมจุฑาเทพ คุณรู้ว่าผมมันแค่คุณชายก้นครัว ที่ไม่มีศักดิ์ศรีพอที่คุณจะร่วมชีวิตด้วย ใช่ไหม”
วาดดาวหันหน้ากลับมา ในสภาพน้ำตานองหน้า
“พอเถอะค่ะคุณชายรุจ ฉันต่างหากที่ไม่คู่ควรกับคุณ”
“อะไรนะ”
“คุณไม่รู้เลยใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น”
ปวรรุจนิ่งไป
“เท่าที่ผมรู้ หม่อมย่าเห็นดีเห็นงามกับเราสองคน ท่านอนุญาตให้เราแต่งงานกันแล้ว”
“หม่อมย่าอนุญาต แต่ไม่ใช่ย่าอ่อนค่ะ” วาดดาวสารภาพ
“อะไรนะ”
วาดดาวเช็ดน้ำตา แล้วเริ่มเล่า

วันนี้สามคนอยู่ตรงศาลากลางสวน วาดดาวนั่งอยู่ต่อหน้าหม่อมย่าเอียด และย่าอ่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่พุฒิภัทรแอบเห็นนั่นเอง
“ถ้ารักกันจริง และเธอทำให้ชายรุจมีความสุข ฉันก็ยินดีที่จะต้อนรับเธอมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเรา”
วาดดาวไหว้ “ขอบคุณค่ะหม่อมย่า”
“ขออย่างเดียวให้เธอเรียนให้จบเสียก่อน นี่ยังเหลืออีกปีเดียวใช่ไหม”
“ใช่ค่ะหม่อมย่า”
“ดีแล้ว...เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามธรรมเนียม”
“กราบหม่อมย่าค่ะ”
วาดดาวกราบหม่อมเอียดแทบตัก หม่อมลูบผมของวาดดาวอย่างเอ็นดู ย่าอ่อนยิ้มละไม

ขณะที่วาดดาวกำลังจะเดินกลับตึกใหญ่ ย่าอ่อนมาดักรออยู่ สีหน้ากลายเป็นชิงชังต่างจากเมื่อกี้
“เดี๋ยว แม่วาดดาว”
“คะ ย่าอ่อน”
“ฉันต้องพูดกับเธอให้รู้เรื่อง เรื่องที่เธอจะแต่งงานกับชายรุจ”
“มีอะไรเหรอคะคุณย่า”
“เธอคงไม่รู้ธรรมเนียมของวังจุฑาเทพ คุณชายจุฑาเทพทุกคนจะต้องแต่งงานกับหญิงที่มียศศักดิ์เท่าเทียมกับคุณชายเท่านั้น ไม่ใช่ลูกพ่อค้าวาณิช หญิงสามัญชนอย่างเธอ”
วาดดาวท้วงท่าทีเกร็งๆ “แต่....เมื่อกี้หม่อมย่า...”
“พี่สาวฉันคงเห็นแก่ชายรุจนั่นแหละ ถึงอนุญาตให้เธอแต่งงาน แต่สำหรับฉัน ฉันไม่เห็นด้วยเด็ดขาด นี่ฉันเห็นแก่เธอนะ”
วาดดาวงวยงง “เห็นแก่ดิฉัน”
“ใช่...เห็นแก่เธอ ตอนนี้คุณชายจุฑาเทพทุกคน มีคู่หมายของตัวเองหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ชายรุจ”
“อะไรนะคะ” วาดดาวงงหนัก
“หม่อมหลวงเกษรา มารตี วิไลรัมภา ธิดาจากวังเทวพรหมทั้งสามคน เป็นคู่หมายของคุณชายจุฑาเทพหมดแล้ว ชายใหญ่ ชายภัทร และชายพีร์ ส่วนชายเล็กก็จับคู่กับหลานสาวทางเทวพรหมอีกคน หม่อมหลวงศินีนุช”
เวลาตอนที่เกิดเหตุนี้ ธราธรยังเป็นคู่หมายของเกษราอยู่ กำลังเดินป่าอยู่ด้วยกัน พร้อมท่านหญิงมะปราง
“แล้วคุณชายรุจล่ะคะ”
“เราก็...” ย่าอ่อนคิดหาคำตอบ “กำลังมองหม่อมหลวงของเทวพรหมที่เป็นหลานอีกคนไว้ให้น่ะซี”
“คุณชายไม่เคยบอกดิฉันเลย”
“เขาไม่กล้าบอกหรอก เพราะเขากำลังฝืนพระประสงค์ของท่านพ่ออยู่ ที่จะให้จุฑาเทพเป็นทองแผ่นเดียวกับเทวพรหม”
“พระประสงค์ของท่านพ่อ” วาดดาวอึ้ง นิ่งงันไป
ย่าอ่อนยิ้มเยาะ

พอเล่าถึงตอนนี้ วาดดาวสะเทือนใจเช็ดน้ำตา ปวรรุจนิ่งงันไป
“คุณย่าบอกเรื่องสัญญาของท่านพ่อของคุณชายกับทางเทวพรหม ฉันไม่เคยรู้มาก่อน”
“วาดดาว ทำไมคุณไม่ถามผม”
“ที่ไม่ถาม เพราะคุณชายไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ฉันทราบก่อนน่ะซีคะ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สำหรับผู้หญิงต้อยต่ำอย่างฉัน”
“วาดดาว ที่ย่าอ่อนพูดไม่ใช่ความจริงเลย ผมเป็นคนเดียวในพี่น้องทั้งหมด ที่ไม่ได้มีคู่หมายเหมือนกับพี่ๆน้องๆ”
“อะไรนะคะ”
“ย่าอ่อนไม่เห็นว่าผมคู่ควรกับสาวเทวพรหมคนไหน ผมมันแค่คุณชายที่เกิดจากเมียคนใช้ ผมถึงไม่มีพันธะอะไรทั้งนั้น”
“เป็นความจริงเหรอคะ”
“เป็นความจริงทั้งหมด ผมถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณ”
“ทำไมคุณย่าถึงโกหกฉัน” วาดดาวคาใจนัก
“ผมเองก็ไม่ทราบ แต่เรื่องเท่านี้หรือครับ ที่ทำให้คุณตัดสินใจเลิกรากับผม”
“มันไม่เท่านั้นหรอกค่ะคุณชายรุจ ยังมีเหตุผลของย่าอ่อนอีก”

เหตุการณ์วันนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความคิดคำนึงของวาดดาว มิเคยเลือน

วันนั้นย่าอ่อนพูดกับวาดดาวต่อ

“จำไว้นะ ห้าสิงห์แห่งจุฑาเทพ เป็นหม่อมราชวงศ์ ย่อมดำรงเกียรติด้วยการแต่งงานกับหม่อมราชวงศ์ หรือหม่อมหลวงด้วยกันเท่านั้น จะไม่มีคนใดผ่าเหล่าผ่ากอ ไปแต่งกับลูกพ่อค้าวาณิช หรือสามัญชนอย่างเธอเพราะฉะนั้นไปจากชีวิตของชายรุจเสีย
วาดดาวน้ำตาไหลรินขณะเอ่ยคำออกมา
“ให้คุณชายเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ดีกว่านะคะ”
จากนั้นวาดดาวจะผละไป แต่ถูกย่าอ่อนคว้ามือไว้ และยึดไว้แน่น
“เธอจะให้ชายรุจรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าชายรุจรู้ เขาก็ต้องดื้อแพ่ง แต่งงานกับเธอจนได้”
“มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอคะ เรารักกัน เขาคงไม่ได้รักผู้หญิงที่คุณย่าเลือกให้หรอกค่ะ”
“นี่ยังจะกล้ามาตีฝีปากกับฉันนะ จำใส่สมองของเธอไว้ ถ้ายังดื้อด้านมาตบแต่งกับชายรุจ เธอจะไม่มีความสุขอีกเลย”
วาดดาวถามอย่างคาใจ “ทำไมคะ”
“ถึงจะแต่งกันไปแล้ว แต่ก็ล้มเลิกได้ง่ายๆ ถ้ามีคนที่เหมาะสมกว่าเธอ...นึกซีว่าต่อไปชายรุจอาจได้เป็นถึงท่านทูต หรือเอกอัครราชทูตประจำประเทศนอก ผู้หญิงที่จะเป็นภริยาก็ต้องสมฐานะกัน ไม่ใช่มาจากไพร่อย่างเธอ แล้วถ้าเธอยังทู่ซี้อยากจะเป็นเมียชายรุจ ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าเธอจะเป็นได้แค่เมียใต้ถุนครัว หรือเมียเก็บที่ต้องซุกซ่อนไว้ ไม่มีวันได้เป็นเผยอหน้ามาออกหน้าออกตาเด็ดขาด ถ้าอยากอยู่ในฐานะนั้นก็ตามใจ...ฉันพูดเท่านี้ละ มีปัญญาก็ไตร่ตรองเอาเองก็แล้วกัน”
ย่าอ่อนร่ายยาวเหยียดสาสมใจแล้ว ก็สะบัดตัวเดินหนีไป อย่างฉุนเฉียว

นึกถึงเรื่องนี้แล้ววาดดาวยังยืนซึม น้ำตาไหลพรากอยู่อย่างนั้น ปวรรุจเดินตรงมาหา วาดดาวรีบเช็ดน้ำตา ทำสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปรกติ
“มาอยู่ที่นี่เองวาดดาว ผมตามหาอยู่ตั้งนาน”
“เรากลับกันได้รึยังคะ”
“ไปซี ว่าแต่คุณเป็นอะไรไป ทำไมตาแดงๆ ร้องไห้รึเปล่า”
“วาดดีใจน่ะค่ะ ที่ได้รับการต้อนรับอย่างแสนอบอุ่นจากวังจุฑาเทพ”
วาดดาวยิ้มให้ แต่ใจนั้นอยากร้องไห้เต็มทนแล้ว ปวรรุจจับมือวาดดาวไว้แล้วพาเดินไปด้วยกัน

วาดดาวเล่าเหตุการณ์อีกวันต่อมา หลังกลับจากวังจุฑาเทพ
“จากวันนั้น ฉันให้ป้าส้มสืบเรื่องของคุณชายและวังทั้งสอง”
ป้าส้มที่วาดดาวให้ไปสืบข่าวกลับเข้าบ้านมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ เปิดทั้งพัดลมและกระพือพัด วาดดาวเสิร์ฟน้ำให้
“เป็นยังไงคะคุณป้า”
“จะเป็นยังไง ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดน่ะซี หม่อมหลวงเทวพรหมทั้งสามนาง เป็นคู่หมายของคุณชายจุฑาเทพหมดแล้ว”
วาดดาวมือสั่น
“แล้วใครเป็นคู่หมายของคุณชายรุจคะ”
“ป้าก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นเขาลือกันว่ากำลังทาบทามหม่อมหลวงสักคน อาจไม่ใช่เทวพรหมแท้มาเป็นคู่กับคุณชาย”
วาดดาวสะอื้น “มันคือเรื่องจริง ทำไมคุณชายไม่บอกเรื่องนี้กับหนูเลย...ทำไม”
“ก็จะได้มัดมือชกหนูวาดน่ะซี นี่สมคงหวังจะให้ไปเป็นเมียรอง เมียเก็บอย่างที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อ อีตาท่านพ่อนั่นก็มีเมียปาเข้าไปสามคน ถึงได้ไปรถคว่ำตายกันหมดครัว เฮ้อ...”
“ป้าขา...แต่คุณชายรุจรักวาดจริงๆ เขาคงไม่คิดจะมีภรรยาใหม่หรอกนะคะ”
“น้อยไปซีหนูวาด ถึงชายรุจไม่อยากมี แต่ยายย่าอ่อนนั่นก็ต้องสาระแนหามาให้จนได้ ยิ่งต่อไปตาคุณชายเป็นใหญ่เป็นโต นังย่าก็ต้องหาเมียมาเสริมบารมี เราจะยอมได้เหรอ ผัวมีเมียเป็นโขยงอย่างนั้นน่ะ”
วาดดาวหน้าเศร้า “แล้ววาดจะทำยังไง วาดรักคุณชาย เราคบกันมาเจ็ดปีแล้วนะคะ”
“เจ็ดปี สิบปี ยังไงก็ต้องเลิก หรือเราจะยอมทนเข้าไปอยู่ในวังนั่น แล้วถูกนังย่าโขกสับไปจนตาย ยายแก่นั่นก็เตือนแล้วนี่ ถ้าเราเข้าไปเป็นสะใภ้จุฑาเทพ มันจะหาเมียใหม่สะใภ้เจ้าให้ชายรุจ ระดับหม่อมหลวง หม่อมราชวงศ์ แล้วมันก็ต้องดันให้หนูวาด กลายเป็นเมียก้นครัวเข้าจนได้ เราจะยอมเหรอ”
วาดดาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่ายหน้า
“เชื่อป้านะหนูวาด ตัดใจจากชายรุจเสีย แล้วกลับไปอังกฤษให้เร็วที่สุด เดี๋ยวป้าจะไปจัดข้าวของให้”
ส้มลุกเข้าห้องด้านใน วาดดาวร้องไห้หัวใจสลาย ปิ่มว่าจะขาดใจ

สองคนยังอยู่ที่ริมทะเลสาบ ปวรรุจนิ่งงันไป เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมด
“นี่ละค่ะ คือเหตุผลที่ฉันจากคุณมา”
“ผมเข้าใจแล้ว”
“มันอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก แต่ฉันไม่มีทางเลือก”
“ใครบอกล่ะ มันคือเหตุผลที่ดีที่สุดต่างหาก” ปวรรุจยิ้มบางๆ
“คุณชายรุจ”
“คุณได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ววาดดาว ใช่ ถ้าคุณแต่งงานกับผมเข้าไปอยู่ในวังจุฑาเทพ คุณอาจจะไม่มีความสุขอีกเลย ผมคงไม่มีปัญญาปกป้องคุณได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับย่าอ่อนที่แสนจะถือยศถาบรรดาศักดิ์ ลงว่าท่านอคติกับใครแล้ว ท่านจะฝังใจและคอยหาทางเหยียบย่ำอยู่ร่ำไป”
“อย่างที่ท่านเคยว่ากล่าวกระทบกระเทียบคุณชาย ที่คุณชายเคยเล่าใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” ปวรรุจยิ้มเศร้าๆ “ผมกับแม่ช้องนาง ถูกท่านเหน็บแนมไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเมียคนใช้ ทั้งลูกคนใช้” ชายรุจถอนใจ “แต่ผมเข้าใจท่าน แม่ช้องนางเคยเล่าให้ฟังว่า...”

ปวรรุจตัดสินเล่าเบื้องหลังว่าเหตุใดย่าอ่อนจึงเกลียดชัง เมียคนใช้ หนักหนา

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนคุณชายทั้ง 5 เกิด ย่าอ่อนที่เป็นสาวใหญ่พอประมาณ กำลังอ่านจดหมายที่เขียนบอกเรื่องคู่หมั้นได้เมียคนใช้มาเป็นเมียออกหน้า ย่าอ่อนอ่านข้อความเนื้อตัวสั่น น้ำตาไหลพราก โดยมีหม่อมเอียดมองน้องสาวอย่างเห็นใจ
“ไม่จริง ไม่จริง คุณหลวงเทพฯ ทำไมทำแบบนี้กับน้อง”
“ทำใจเถอะนะ แม่อ่อน แต่คุณหลวงบอกว่ายังไงก็ยังจะแต่งงานกับแม่อ่อนอยู่นะ”
ย่าอ่อนกรี๊ด “อ๊ายย”
หม่อมเอียดสะดุ้ง วิชชากรและบ่าวๆ ต่างพากันอุดหู
“คิดชั่วอะไรอย่างนั้น ไม่มีวัน จะให้น้องไปเป็นน้อยให้เขาเหรอคะ อ่อนไม่มีวันกินน้ำใต้ศอกนังเมียคนใช้หน้าไม่อายคนนั้นหรอกค่ะ”
“แล้วจะเอายังไง”
“ไม่ตบไม่แต่งแล้ว เลิกทุกอย่าง ชุดเจ้าสาวอ่อนก็จะเอาไปเผาทิ้ง อ่อนเข็ดแล้วค่ะ เรื่องความรัก อ่อนจะไม่หลงรักชายคนไหนอีกแล้ว ขอครองตัวเป็นโสดไปจนวันตาย”
หม่อมเอียดรีบกอดน้องสาวไว้อย่างสงสารจับใจ “โถ....แม่อ่อน”
ย่าอ่อนร้องครวญครวญครางลั่นอีกครั้ง ร้องได้สักพัก ก็เกิดอาการเป็นลมตามธรรมเนียม
“ดูแม่อ่อนเป็นลมไปแล้ว ใครก็ได้ไปเอายาดม ยาหอมมาเร็ว”

บ่าวไพร่ช่วยประคองวิ่งกันวุ่น

ปวรรุจเล่าต่อ วาดดาวฟังด้วยความเข้าใจหญิงชรามากขึ้น

“เพราะเรื่องราวของท่านพ่อกับแม่ช้องนาง คงไปจี้ใจดำเรื่องราวในอดีตของย่าอ่อนเข้า ยิ่งท่านพ่อทรงยกแม่ช้องนางขึ้นเป็นหม่อมลำดับสอง ทั้งๆ ที่แม่เป็นแค่ต้นห้องของหม่อมอุบลวรรณ ย่าอ่อนก็เลยแสดงอาการรังเกียจรังงอนมานับแต่นั้น”
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ย่าอ่อนถึงรังเกียจลูกพ่อค้าวาณิชอย่างฉันเต็มที”
ทั้งสองถอนใจออกมาพร้อมกัน
“ยกโทษให้ย่าอ่อน ยกโทษให้ผมเถอะนะวาดดาว ยกโทษให้กับเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เราต้องจากกันแบบนี้”
“ฉันไม่เคยโทษอะไรเลย มันเป็นพรหมลิขิตต่างหากละคะ พรหมลิขิตที่กำหนดมาแล้วว่าเราไม่ใช่คู่แท้ของกันและกัน ถ้าฉันไม่ตัดใจจากคุณชายวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มาพบฟิลลิปในวันนี้ ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”
ปวรรุจพยักหน้าเข้าใจ
“แต่ผมยังสงสัย เมื่อตอนที่คุณกลับไปกรุงเทพฯ ทำไมถึงหลบหน้าผม ทำไมไม่เผชิญหน้าและบอกความจริงเสียตั้งแต่ตอนนั้น”
“เพราะความรักไงคะ”
“หืมม์...ความรัก” ปวรรุจนิ่วหน้า
“ความรักที่ฉันยังมีต่อคุณชายมันไม่ได้จางหายไปง่ายๆ แม้จะพบรักใหม่แล้ว และความรู้สึกกับคุณชายมันจะคลายจางไปมากแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังกลัวใจตัวเอง ถ้าพบคุณชายอีกครั้งวันนั้น ฉันอาจจะหวั่นไหวตัดใจจากคุณชายไม่ได้อีกเลย”
ปวรรุจนิ่งงันไป “…แล้ววันนี้”
“วันนี้หัวใจฉันแข็งแรงดีพอแล้วละค่ะ ความรักของเรามันจบสิ้นแล้ว เหลือแต่ความปรารถนาดี และความเป็นเพื่อน...แล้วคุณชายละค่ะ หัวใจคุณแข็งแรงขึ้นแล้วหรือยัง”
ปวรรุจยิ้มออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะหัวเราะตามมา
“เพิ่งแข็งแรงขึ้นเมื่อชั่วครู่นี้เอง เมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมด วาดดาว ผมดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าคุณมีความสุข ความจริงทั้งหมดที่คุณเล่า ทำให้ผมปลอดโปร่งโล่งใจอย่างที่สุด ถ้าผมไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับคุณวันนี้ ผมคงติดข้องเรื่องของเราไปจนวันตาย”
“ฉันก็เช่นกันค่ะ คุณชายรุจ”
ปวรรุจจับมือของวาดดาวไว้
“วาดดาว นอกจากหัวใจของผมจะแข็งแรงขึ้นแล้ว ตอนนี้มันกำลังเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง”
“คุณชายคะ นี่หมายความว่า…คุณชายกำลังมีความรัก ใช่ไหมคะ” วาดดาวประหลาดใจระคนดีใจ
“ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ”
วาดดาวดีใจอย่างที่สุด “ดีใจกับคุณชายด้วยค่ะ”
วาดดาวโผเข้ากอดยินดีกับปวรรุจแน่น ทั้งคู่หัวเราะให้กัน
จังหวะนี้เองวรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินเข้ามาพอดี อยู่ในระยะห่างพอควร แต่ทั้งสามตะลึงที่เห็นทั้งสองกอดกันแนบแน่น หัวเราะให้กันอย่างปิติยินดี วรรณรสาหน้าสลดไปทันที
“คุณพระคุณเจ้า กอดกันแบบไหนน่ะ เป็นคนรักเก่าไม่น่ากอดกันแบบนั้น แถมเพิ่งข้าวใหม่ปลามันกับสามีด้วย”
เอื้อยปรามอ้าย “อย่าคิดอกุศลซี เขาอาจจะกอดกันแบบเพื่อนก็ได้”
รสาพูดไม่ออก รีบเดินกลับไปทันที อ้าย และเอื้อย รีบตาม

รสาเดินเร็วแยกมาที่อีกมุม อ้ายกะเอื้อยวิ่งตาม
“ท่านหญิงเป็นอะไรคะ” อ้ายร้องถาม
“หญิงไม่เข้าใจ ทำไมคุณชายเป็นคนแบบนี้” วรรณรสาฉุน
“เป็นยังไงเหรอคะ” อ้ายงง
“ในเมื่อตัวเองมีเด็กสาวในรูปนั่นเป็นคู่รักอยู่แล้ว แต่ยังกลับมาทำสวีทกับคุณวาดดาว คู่รักเก่าอีก”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยนะคะท่านหญิง” เอื้อยบอก
“เท่านี้หญิงก็สรุปได้แล้ว เพราะผู้ชายเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณชายปวรรุจ หรือที่ยศสูงกว่านั้นอย่างท่านชายภาณุทัศนัย”
ท่านหญิงรสาแยกไป อ้ายและเอื้อยมองหน้ากันงงๆ
“ทำไมท่านหญิงต้องเอาคุณชายรุจไปเปรียบกับท่านชายทัศน์ด้วยล่ะ”
อ้ายครุ่นคิด ปกรณ์ยิ้มเผล่เดินตรงมาหาพอดี
“หนูอ้าย หนูเอื้อย สนใจขี่ม้าเลียบทะเลสาบไหมครับ วิวสวยจนแทบลืมหายใจเลยทีเดียว”
“สนใจค่ะ” อ้ายระรื่นบอก
เอื้อยงง “หนูอ้าย หนูอ้ายขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ”
“ก็ให้ท่าน...เอ๊ย...ให้รสาสอนให้ไงล่ะ”
ปกรณ์แปลกใจ “คุณรสาขี่ม้าเก่งเหรอครับ”
“ที่วัง....เอ๊ย....ที่บ้านของรสามีคอกม้าค่ะ รสาขี่ม้าเก่งตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
ปกรณ์ฟังอย่างทึ่ง ไม่ติดใจคำพูดหลุดๆ ของแฝดพี่ ปวรรุจและวาดดาวเดินมาสมทบ สีหน้าแช่มชื่นทั้งคู่
“คุยอะไรกันอยู่”
“อ๋อ...กำลังคุยเรื่องคุณรสาน่ะ เห็นว่าเป็นนักขี่ม้าตัวยง”
ปวรรุจฟังแล้วทึ่งไปอีกคน

วรรณรสาเดินผ่านทางคอกม้ามาจะกลับเข้าตึก เห็นกลุ่มอิ่ม อั๋น และฟิลลิป ยืนคุยกันอยู่ วรรณรสาเลยเลี่ยงไปทางคอกม้าแทน
วรรณรสาเดินไปหาเจ้าม้าตัวสีหมอก แล้วรู้สึกเอ็นดู เข้าไปกระซิบข้างหู แล้วลูบแผงคอม้าอย่างคนที่รักม้าจริงๆ กิริยาทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของปวรรุจที่เฝ้ามองอยู่
“อะแฮ่ม“
วรรณรสาสะดุ้งหันมามอง
“คุณชาย”
“อยากขี่ม้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยไหม”
วรรณรสาอึ้งไป แต่แล้วกลับมีสีหน้าเชิดหยิ่งขึ้นมาทันที เพราะฉุนที่เห็นปวรรุจกอดกับวาดดาว จนปวรรุจแปลกใจ
“ไม่ค่ะ”
“ฉันรู้นะว่าเธออยากขี่ม้า โดยเฉพาะเจ้าตัวนี้”
“คุณชายรู้ได้ยังไง”
“หนูอ้ายบอกเมื่อกี้ว่าเธอเป็นนักขี่ม้าตัวยง แถมยังเก่งเรื่องกีฬากลางแจ้งหลายประเภท ทั้งโปโล ทั้งเทนนิส”
วรรณรสาถอนใจ พูดอย่างเย็นชา “ก็อยากขี่อยู่หรอกค่ะ แต่ฉันไม่มีชุด”
“ไม่เป็นปัญหา วาดดาวมีชุดเตรียมไว้ให้แล้วน่าจะใส่ได้”
วรรณรสาสวนคำออกมาทันที “ฉันไม่อยากรบกวน...”
ถูกปวรรุจสวนกลับเสียงออดอ้อน “ขี่เป็นเพื่อนฉันเถอะนะ มีโอกาสขี่ม้าเที่ยวรอบทะเลสาบอินเตอร์ลาเคนทั้งที พลาดไปเสียดายแย่”

วรรณรสาจนหนทางที่จะปฏิเสธ

ด้านอิ่มในชุดใหม่ เป็นชุดขี่ม้าใหม่เอี่ยมแต่กลับสวมหมวกปีกกว้าง และมีผ้าพันคอกรุยกรายกำลังฉอเลาะปวรรุจอยู่ ขณะที่ชายรุจกำลังเตรียมจะขี่ม้าอีกตัวหนึ่ง ฟิลลิปถือบังเหียนม้าเจ้าฟ้าแลบ

ปกรณ์ อ้าย เอื้อย อั๋น และฟิลลิปคุยกันอยู่ใกล้ๆ หัวเราะครื้นเครง อิ่มมองทุกคนค้อนขวับๆ เพราะไม่มีใครสนใจตัวเองเลย
“คุณชายคะ ยังไงคุณชายก็ต้องสอนอิ่มขี่ม้านะคะ”
“เออ....ผมคิดว่า...”
“อย่าปฏิเสธอิ่มเลยนะคะ”
“คุณอิ่มครับ ขนาดรถผมยังบรรทุกคุณอิ่มไม่ค่อยไหว แล้วนับประสาอะไรกับม้าล่ะครับ ได้โปรดนะครับ อย่าทรมานสัตว์เลย” ปกรณ์บอก
อ้าย เอื้อยหัวเราะคิก ฟิลลิปก็แอบยิ้มขำ อิ่มสะบัดหน้าพรึดไปอีกทาง แล้วตาลุกวาวเพราะวาดดาวเดินมากับวรรณรสาที่อยู่ในชุดขี่ม้าแสนเท่ห์ ปวรรุจมองตะลึง เช่นเดียวกับฟิลลิปและปกรณ์ อ้ายกะเอื้อยรีบเข้าไปหา
“รสา...เหมือนเจ้าหญิงเลยละ”
อ้ายแกล้งอำ “เอ...หรือว่าเป็นเจ้าหญิงจริงๆ ชุดสวยมากค่ะคุณวาดดาว”
“ค่ะ รสาใส่ได้พอดีเลย” วาดดาวว่า
“นี่เธอ จะขี่ม้าจริงๆ เหรอ ม้านะ...ไม่ใช่ชิงช้า ไม่ใช่ใส่ชุดสวย ๆ แล้วจะขี่ได้เลย ต้องฝึกมาก่อน ไม่งั้นถูกม้าดีดตกลงมา จะขายขี้หน้าเขาเปล่าๆ” สาวอวบดูแคลน
วรรณรสาหน้าตึง แต่ไม่ตอบโต้อะไร
“พูดเหมือนคุณอิ่ม ชำนาญการขี่มากนะคะ” อ้ายว่า
“ใช่ อย่างชำนาญเชียวละ” อิ่มคุยโว
“ไม่ได้หมายถึงม้าค่ะ แต่หมายถึงช้าง คงขี่ช้างจับตั๊กแตนบ่อย ๆ” อ้ายบอกต่อ
ฟิลลิปขำ หัวเราะก๊ากออกมาดังลั่น ปกรณ์หัวเราะตาม อั๋นและเอื้อยกลั้นหัวเราะ อิ่มหน้าตึง
“ฟิลลิป เดี๋ยวเถอะ” วาดดาวเอ็ด
“โทษ ผมเข้าใจภาษาไทยมากไปหน่อย นี่ครับเจ้า ฟ้าแลบ พร้อมเป็นสารถีให้คุณรสาแล้ว”
ทุกคนทึ่งกับภาษาไทยของฟิลลิป
“ขอบคุณค่ะ”
วรรณรสาเดินไปที่ ฟ้าแลบแล้วเหยียบโกลน จับสายบังเหียน ตวัดขาขึ้นหลังม้าอย่างสง่างาม อิ่มอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อ
วรรณรสาทดลองกระตุกสายบังเหียน เจ้าฟ้าแลปเดินเหยาะย่างไปสองสามก้าวตามจังหวะ ท่านหญิงรสาลูบที่แผงคออย่างรักใคร่
ปวรรุจมองดูอย่างชื่นชม ทุกคนกำลังปลื้มการขี่ของรสา ไม่ทันสังเกตว่าอิ่มแอบหยิบแส้ที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วฟาดไปที่ขาหลังของฟ้าแลบทันที เจ้าฟ้าแลบร้องลั่น แล้ววิ่งทะยานพรวดออกไป อ้ายและเอื้อยกรีดร้อง
“ฟิล ตามไปเถอะค่ะ” วาดดาวบอกสามี
“ไม่เป็นไรครับ ผมตามไปเอง”
ขาดคำ ปวรรุจกระโดดขึ้นหลังม้าอีกตัวทันที แล้วขับทะยานตามไป อ้ายและเอื้อยยังร้องเอะอะ อั๋นเดินตรงไปหาอิ่ม ที่ยังถือแส้อยู่
“คุณอิ่ม เมื่อกี้ทำอะไรรึเปล่า”
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
อั๋นส่ายหน้า มองแส้ในมือน้อง อิ่มมองตามม้าที่วิ่งลิ่วเข้าชายป่าอย่างสะใจ อ้ายเห็นเข้าตรงมาหาทันที
“คุณอิ่ม เธอเป็นคนเอาแส้ไปฟาดม้าใช่ไหม”
“ฉันเปล่านะ”
“แต่ฉันเห็น”
อิ่มรีบวางแส้ทันที แล้วทำตึมึนไม่รู้ไม่ชี้ไป

ปวรรุจขี่ม้าตีคู่กับม้าของวรรณรสา ท่านหญิงพยายามประคองร่างตัวเองบนหลังม้า
“รสา ใจเย็นๆ นะ”
วรรณรสาหันมามองปวรรุจ แล้วพยักหน้า
“หลบกิ่งไม้ข้างหน้า”
วรรณรสาหลบทันอย่างหวุดหวิด ปวรรุจควบม้ามาข้างๆ ฟ้าแลบค่อยๆ หายตกใจ ลดความเร็วลง รสาลูบแผงคอของฟ้าแลบอย่างอ่อนโยน เจ้าฟ้าแลบลดความเร็วลงเรื่อยๆ ปวรรุจรีบทะยานไปข้างหน้าในระยะห่างพอควร แล้วขวางหน้าฟ้าแลบไว้ เจ้าฟ้าแลบค่อยๆ ชะลอเท้า แล้วหยุดลงในที่สุด
ปวรรุจรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้วตรงมาที่วรรณรสา ช่วยประคองรท่านหญิงที่ยังตัวสั่นลงมาจากหลังม้า ม้าพยศอีกครั้งวิ่งเตลิดไป วรรณรสาร้องวี๊ด แล้วเซล้มไปกับปวรรุจร่างสองคนล้มลงไปยังหญ้านิ่ม และมีกองหิมะทับถมอยู่
วรรณรสาหลับตานิ่ง ซบกับอกของปวรรุจ ชายรุจดูอาการรสาที่ยังตัวสั่นเทา
“รสา เป็นอะไรรึเปล่า”
รสารู้สึกตัว รีบกระถดถอยจากปวรรุจ แต่มีอาการยอกที่แขน นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด เสื้อมีรอยขาดที่หัวไหล่เล็กๆ
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แขนเธอ เธอเจ็บนี่”
“ฉันไม่เป็นไร”
ปวรรุจจะจับหัวไหล่ของวรรณรสา แต่ท่านหญิงบิดร่างหนีไป
“อย่าดื้อรสา ฉันรู้ว่าเธอถือเรื่องการแตะเนื้อต้องตัว แต่ฉันจำเป็นต้องดูว่าแขนเธอหักรึเปล่า ถ้าแน่ใจว่าไม่หัก รับรองจะปล่อยทันที”
วรรณรสาจึงยอมให้ปวรรุจสำรวจที่แขนและหัวไหล่ ท่านหญิงครางเบาๆ เมื่อ ปวรรุจหมุนแขน
“ค่อยยังชั่ว แขนเธอไม่ได้หัก”
“ค่ะ ทีนี้ก็ปล่อยได้แล้ว”
ปวรรุจปล่อยแขน วรรณรสาลองขยับร่าง ปวรรุจประคองลุกขึ้น ท่านหญิงถอยห่างออกมา
“ขอบคุณนะคะที่ตามมาช่วยฉัน”
“เธอเก่งมากที่ควบคุมสติได้ดี”
วรรณรสานิ่งงันไป
“กลับเถอะ ทุกคนกำลังเป็นห่วงเธอ”
“ฟ้าแลบเตลิดไปแล้วนะคะ ฉันจะขี่กลับยังไง”
“ใครบอกว่าฉันจะยอมให้เธอขี่ม้าอีก”

วรรณรสามอง ปวรรุจอย่างงวยงง ไม่เข้าใจ

ครู่ต่อมาปวรรุจขี่ม้าเดินเหยาะย่างอยู่ในราวป่า โดยมีวรรณรสานั่งซ้อนอยู่เบื้องหน้า ท่านหญิงรู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่เต้นไม่เป็นส่ำในอ้อมแขนของคุณชาย

ปวรรุจยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมีวรรณรสาอยู่ในอ้อมกอด

โปรดติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น