สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 3
ตรงลานหลังวังเทวพรหม ทุกคนในที่นั้นยังคงอึ้งกันอยู่อย่างนั้น เกษราอัดอั้นแทบทนไม่ไหว อดถามบิดาไม่ได้
“ไปบ่อนอีกใช่ไหมคะ”
“ถามทำไม ไม่ต้องถาม ฉันจะไปรอที่ร้านขนม”
เทวพันธ์ตวาดเสียงเขียว แล้วหนีเข้าบ้านไป
“ป้าแย้ม แหวว ไปหยิบกุญแจลิ้นชักไปเปิดให้คุณพ่อที” เกษราบอก
“ค่ะ” แย้มรับคำ สองบ่าวแยกไป
เกษราหันมาเจรจากับน้องสาวทั้งสอง
“ไง...เห็นบอกว่าจะช่วยพี่ดูแลกระถิน ไม่เห็นเธอสองคนช่วยสักนิด”
มารตีและวิไลรัมภามองหน้ากัน
“เราช่วยซื้อขมิ้น นมสดกับมะกรูดมะนาวมาให้แล้วนี่คะ” มารตีว่า
วิไลรัมภาบอก “เรื่องลงมือขัดสีฉวีวรรณเป็นเรื่องของบ่าวค่ะ ไม่ใช่เรื่องของเรา”
“แต่ตอนแรกที่อาสาซื้อของน่ะ เพราะจะแอบยักยอกเอาเงินเข้าพกเข้าห่อใช่ไหม” เกษราพูดอย่างรู้ทัน
สองสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เกษราส่ายหน้าระอาใจ
“พี่เกษ นังลิงหายไปข้างไหนแล้วค่ะ” มารตีบอก
สามสาวหันมามองที่อ่าง ร่างกระถินหายไปแล้วจริงๆ เห็นรอยน้ำหายไปทางสวนด้านหลัง
สามสาววิ่งตามหากระถินเข้าไปในสวนหลังวัง แต่ไม่พบร่องรอย สามคนสลับกันร้องเรียกหา
“กระถิน กระถินไปไหนคะ น้องกระถิน”
“นังกระถิน นังลิง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
รัมภาเอ่ยขึ้น “อย่าไปตามมันเลยค่ะ ปล่อยมันไปเถอะ”
“ไม่ได้นะ เกิดหนีไป คุณพ่อเล่นงานพี่แย่เลย”
ระหว่างที่สามสาวเดินหากระถินอยู่ในสวน สมหวังคนสวนวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“มีอะไรครับคุณเกษ”
“กระถินน่ะซี แอบหนีเข้ามาในสวน หาไม่เจอ ไม่รู้จะหนีออกไปจากวังรึเปล่า” เกษราบอก
“เดี๋ยวผมหาให้ครับ”
สมหวังวิ่งเข้าไปในสวน
ที่แท้กระถินปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หลบนิ่งอยู่บนคาคบ
“ไม่มีวันหาเจอหรอก”
กระถินว่า แต่แล้วดันเกิดคันยิกๆ ขึ้นมา เพราะถูกมดรุมไต่
“อุ๊ย...อย่ากัดซีวะ โอ๊ย รังมดแดง”
กระถินรีบปีนลงมาอย่างว่องไว
“นั่นค่ะ มันอยู่บนนั้น สมเป็นลิงจริงๆ” วิไลรัมภาว่า
กระถินโดดลงมาตรงหน้าสามสาว สมหวังวิ่งกลับมาพอดี
“โอ๊ะ คัน แก...แก ช่วยด้วย เกาที” กระถินบอก
มารตีโวยลั่น “ว้าย อีบ้า มาใช้ฉันได้ยังไง ไปไกลๆ เลย”
เกษราดุ “ไปเดี๋ยวนี้เลย ไปอาบน้ำใหม่ นายหวังจับตัวไว้”
สมหวังจับตัวกระถินไว้ได้ กระถินบอกอีก
“เกา เกาให้หน่อย มันคัน คัน”
สมหวังเกาหลังไหล่ให้กระถินไปด้วย แล้วพากลับไปกับเกษรา มารตีและรัมภามองหน้ากัน สีหน้าขยะแขยงเต็มกลืน
“พี่เกลียดมันจังเลยค่ะ น้องรัมภา ลองนึกดูซี ถ้ามันได้แต่งกับคุณชายรุจจริงๆ เรามิต้องไหว้มันในฐานะพี่สะใภ้หรอกหรือ” มารตีบ่นบ้า
“จริงด้วยค่ะ ไม่อยากนึกภาพเลย หาทางกำจัดมันดีกว่าค่ะพี่มารตี” วิไลรัมภาว่า
“ใช่...ต้องหาทางกำจัด”
“ยังไงดีละคะ”
“ก็เรียกคุณชาย หม่อมย่าเอียดกับคุณย่าอ่อน มาดูความเป็นจริงของนังกระถินน่ะซี ทุกคนจะได้รู้ว่าสะใภ้ที่หมายตากันเอาไว้ ที่แท้ก็นางลิงกัง ทโมนไพรเราดีๆ นี่เอง”
สองสาวเห็นชั่วตามกัน ยิ้มร้ายออกมา
ขณะเดียวกัน เวลาตอนค่ำ วรรณและปวรรุจนั่งกันเงียบๆ ไฟในเครื่องดับ เหลือแต่ที่เหนือหัวของปวรรุจ ฝ่ายวรรณรสาหลับตาเหมือนว่าหลับสนิท
ปวรรุจตัดสินใจหยิบซองรูปสีน้ำตาลที่รัชชานนท์ให้ออกมา แล้วหยิบรูปของกระถินออกมา แต่ยังไม่ทันเห็นรูปเพราะเป็นด้านหลัง เมื่อเลื่อนรูปออกมา กระดาษชิ้นหนึ่งก็เลื่อนออกมาด้วย ปวรรุจหยิบขึ้นมาดู เนื้อความเขียนว่า
“มอบให้พี่ชายรุจเอาไว้ดูแล่นที่สวิตฯ เผื่อว่าดูบ่อยๆ แล้วจะได้ลืมแม่วาดดาวเสียที”
ปวรรุจเก็บกระดาษโน้ตชิ้นนั้นกลับซอง แล้วค่อยๆ พลิกรูปของกระถินมาดู
เป็นรูปกระถินที่ถ่ายเดี่ยว นัยน์ตามองมาแลดูเศร้าสร้อย ท่าทางเกร็งๆ แข็งขืน และอายุ 17 ย่าง 18 ปี ยังเด็กเหลือเกิน
ปวรรุจทอดถอนใจกับชะตากรรมตัวเอง
อันที่จริงวรรณรสาไม่ได้หลับ ท่านหญิงค่อยๆ ปรือตาแอบมองรูปถ่ายของกระถิน จังหวะหนึ่งวรรณรสาขยับตัวยืดคอเพราะเห็นไม่ชัด ปวรรุจหันมามองพอดี วรรณรสาทำเนียนหลับตาไป ปวรรุจเก็บรูปถ่ายลงซอง แล้วเก็บไว้ในสมุดบันทึกปกสีน้ำตาล
ครู่ต่อมา วรรณรสาปรือตาแอบมองปวรรุจอีกครั้ง เห็นชายรุจเอนพนัก แล้วหลับตาลง วรรณรสาจึงหลับตาลงบ้าง พยายามไม่สนใจภาพถ่ายนั้นอีก
เครื่องบินลอยลำอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ ช่วงเวลาตอนเช้า วรรณรสาหลับนิ่ง แต่ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงทุ้มนุ่มของปวรรุจปลุกดังขึ้น
“ตื่นเถอะ เครื่องแลนดิ้งแล้ว”
“รสา ตื่นได้แล้ว เรามาถึงสวิตแล้วจ้ะ” เอื้อยปลุกตาม
วรรณรสาพยักหน้ากับสองสาวแฝด ที่กำลังเตรียมสัมภาระเช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ปวรรุจลุกขึ้น รสาลุกตาม ปวรรุจช่วยเปิดห้องสัมภาระเหนือหัวให้
“ฉันช่วย”
ปวรรุจหยิบกระเป๋าไวโอลินส่งให้วรรณรสา ฝรั่งที่เดินผ่านกระแทกร่างวรรณรสา จนกล่องไวโอลินร่วง คุณชายปวรรุจรับไว้ได้ทัน สามสาวร้องเอะอะ วรรณรสาเซลงนั่ง ชนกระเป๋าเอกสารของปวรรุจกระจายเต็มพื้น
“เป็นอะไรรึเปล่า”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจนิ่ง ปวรรุจมองวรรณรสาเหมือนจะจำได้ ท่านหญิงรสาคาดว่าเขาจะจำได้เช่นกัน
“กล่องไวโอลิน ไม่เสียหายหรอก”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย”
วรรณรสาลุกขึ้น แฝดมองแล้วอมยิ้ม ปวรรุจหันไปเก็บกระเป๋าเอกสาร
“ยินดีที่ได้ร่วมเดินทางนะ ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยว”
อ้ายกับเอื้อยประสานเสียงลา “ขอให้มีความสุขในการประชุมค่ะ”
ปวรรุจยิ้มให้สามสาว มองวรรณรสาอย่างคุ้นตาอีกครั้ง ก่อนจะแยกไป
“ไปเถอะค่ะท่านหญิง คนลงจะหมดเครื่องแล้ว”
วรรณรสาจะไป แต่สายตาเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลตกอยู่ใต้เก้าอี้นั่ง วรรณรสาจึงหยิบขึ้นมาทันที
“สมุดอะไรคะท่านหญิง”
“ไม่มีอะไรสมุดของหญิงเอง”
วรรณรสาเก็บสมุดลงกระเป๋าสะพายเนียนๆ แล้วสามคนก็พากันออกจากเครื่องบินไป
ครู่ต่อมาวรรณรสา อ้าย และเอื้อยกำลังดูแผนที่ และหนังสือไกด์ทัวร์ อยู่หน้าห้องน้ำหญิงในสนามบินซูริค
“หนูอ้ายเอายังไง จะเรียกแท็กซี่ หรือว่าเราจะนั่งรถไฟจากสนามบินเข้าไปที่เบิร์นเลย”
“ไม่รู้ กำลังอ่านอยู่ เอ....ทำไมมีแต่ภาษาเยอรมันสวิต อังกฤษไม่เห็นมี”
“หนูอ้าย อย่าบอกความจริงท่านหญิงนะ ว่าหนูอ้ายไม่รู้อะไรที่สวิตเลย ที่พูดมาทั้งหมด แค่อวดอ้างสรรพคุณเท่านั้น”
“รู้น่ะรู้ หนูอ้ายอ่านมาตั้งเยอะ แต่ทำไมของจริงกับที่อ่านมาไม่เห็นเหมือนกันเลย” อ้ายแถ
“ท่านหญิงมาแล้ว”
วรรณรสาออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าสดชื่นขึ้น
“ไปกันรึยัง หญิงพร้อมแล้ว ตกลงจะเรียกรถรับจ้างหรือไปรถไฟ”
อ้ายอึกอัก “เอ่อ...คือ”
จังหวะนั้นอ้ายมองเลยไป เห็นปวรรุจกำลังเข็นกระเป๋าเดินทางกำลังออกจากประตูสนามบิน
“ท่านหญิงสักครู่นะ”
อ้ายรีบตามปวรรุจไป
“เขาเป็นอะไรของเขา”
วรรณรสางง เอื้อยส่ายหน้า
ปวรรุจเข็นรถเข็นออกมารอหน้าสนามบิน อากาศยะเยือกลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง ปวรรุจมองซ้ายขวา ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ของปกรณ์ก็วิ่งตรงมา แล้วกระโดดล็อคคอปวรรุจอย่างดีใจ
“ไอ้คุณชาย” / “ปกรณ์”
ทั้งสองหัวเราะร่า พร้อมพุ่งหมัดใส่กันเบาๆ แล้วเข้ากอดกันแน่น อ้ายวิ่งออกมาเห็นพอดี
“คิดถึงนายมาก” ปกรณ์ยิ้มบอก
“เหมือนกันว่ะ”
“ดีใจจริงๆ ว่ะ ที่นายมาหาฉันถึงที่นี่”
“ฉันมาราชการต่างหาก มาเจอนายน่ะเรื่องบังเอิญ” ปวรรุจเย้า
“ปัดโธ่...เดี๋ยวที่วางแผนจะพานายเที่ยวสวิตสักอาทิตย์ล้มเสียเลยดีไหมเนี่ย”
“เฮ้ย...ล้มไม่ได้ว่ะ เพราะยังไงฉันก็ต้องฝากท้องไว้กับอาหารไทยที่ร้านนาย รถอยู่ไหน หนาวจะแย่แล้ว”
“ทางนี้เลย”
ทั้งสองเดินไปที่จอดรถ อ้ายตัดสินใจถลาเข้ามาทันที หนุ่มทั้งสองหยุดกึก
“คุณชายคะ คืออย่างนี้ค่ะ คุณชายกำลังจะไปสถานทูตไทยที่เบิร์นรึเปล่าคะ”
“ใช่ครับ”
“อุ๊ย...เป็นความโชคดีอะไรอย่างนี้ เรากำลังจะไปเบิร์นอยู่พอดี แต่ญาติของฉันเกิดเหตุผิดพลาดนิดหน่อย มารับเราสามคนไม่ได้ ทีนี้จะเรียกรถรับจ้าง งบประมาณเราก็ไม่มี จะรบกวนไหมคะ ถ้าเราสามคนจะขอโดยสารไปเบิร์นด้วย”
ปวรรุจมองปกรณ์เป็นเชิงถาม อ้ายอ้อนสุดชีวิต
“นะคะ พวกเรา ผู้หญิงตัวเล็กๆ สามคนเท่านั้นเอง”
ปกรณ์มองเขม้นอ้าย รู้สึกทันทีว่าอ้ายเป็นหญิงคล่องไม่น้อย และรู้สึกถูกชะตา
“ไม่มีปัญหาครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
อ้ายไหว้ปลกๆ แล้ววิ่งกลับเข้าอาคาร
“ใครวะ สวยเหมือนญี่ปุ่นผสมจีน ผสมน้ำเงี้ยว” ปกรณ์ว่า
“เพิ่งรู้จักที่สนามบิน” ปวรรุจบอก
อ้ายวิ่งกลับมาหาเอื้อยและวรรณรสาที่รออยู่
“ท่านหญิง หนูเอื้อย มีรถไปส่งเราที่เบิร์นแล้ว”
“รถเช่าเหรอ” วรรณรสาถาม
“รีบมาเถอะ”
สามสาวรีบเข็นรถออกนอกอาคาร
พอสามสาวออกมาจากอาคาร อากาศกำลังหนาวจัด รถของปกรณ์จอดรออยู่แล้ว สองหนุ่มยืนรออยู่ วรรณรสางงเมื่อเห็นปวรรุจ ปวรรุจเห็นสามสาวสวย แล้วยิ้มชอบใจ
“เดี๋ยว หนูอ้าย นี่รถของคุณชายปวรรุจ” วรรณรสาท้วง
“ก็ใช่น่ะซีคะ ท่าน...” อ้ายจะหลุดปาก
“อะแฮ่ม” วรรณรสากระแอม
อ้ายรีบเปลี่ยนทันที “ก็ใช่น่ะซีรสา”
“ไม่ทราบว่าพวกเธอจะไปเบิร์นเหมือนกัน” ปวรรุจว่า
“ใช่ค่ะ เราจะไปเบิร์น” วรรณรสาบอก
“งั้นเดินทางไปด้วยกันเลย อ้อ นี่ ปกรณ์ เพื่อนของฉันเอง นี่คุณรสา หนูอ้าย หนูเอื้อย”
ปกรณ์ชะงัก “แฝดเหรอครับ”
“ค่ะ แฝด” อ้ายยิ้มๆ
“งั้นซี สวยจนแยกไม่ออกเลย ใครสวยกว่าใคร”
อ้ายและเอื้อยหัวเราะกับน้ำคำปกรณ์
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวดูสักพักก็คงดูออกมังคะ” อ้ายว่า
“เชิญขึ้นรถเลยครับ มา ผมช่วย”
ปกรณ์เปิดท้ายรถ ปวรรุจและปกรณ์ช่วยขนสัมภาระของสามสาวขึ้นรถ วรรณรสาดึงอ้ายมากระซิบ
“ไหนว่าเราจะเรียกรถเช่าไปกันเองไง”
“มันแพงนะคะ ท่านหญิง ไปฟรีกับคุณชายนี่แหละคุ้มกว่า”
ปวรรุจหันมามองวรรณรสาที่ยังยืนหน้าบึ้งอยู่ พลางเปิดประตูให้สองแฝดขึ้นรถ ท่านหญิงรสายังลังเล
“เชิญครับ มีปัญหาอะไรรึเปล่าคุณรสา” ปวรรุจแปลกใจ
“ไม่มีค่ะ”
วรรณรสาหน้าเชิดก้าวขึ้นรถไป ปวรรุจมองอย่างไม่เข้าใจนัก
ไม่นานนัก รถปกรณ์แล่นไปตามถนนสู่กรุงเบิร์น เห็นหิมะตามยอดเขาขาวโพลน
สามสาวที่นั่งตอนหลัง ดูวิวทิวทัศน์ด้วยความตื่นเต้น ชี้ชวนกันใหญ่ ปวรรุจและปกรณ์มองหน้ากันอมยิ้ม
“อุ๊ย....หิมะทั้งเขาเลย สวยจัง” เอื้อยดี๊ด๊า
“มาเบิร์นแล้วพักกันที่ไหนล่ะครับ”
สามสามมองหน้ากัน รสาพยักเพยิดให้พูดตามที่บอก
“อ๋อ...รสาเขามีญาติอยู่ที่นั่น” อ้ายบอก
“คนไทยรึเปล่าครับ ถ้าเป็นคนไทย ผมต้องรู้จัก”
วรรณรสารีบบอก “เออ....ไม่ใช่คนไทยหรอกค่ะ
“ถ้ายังไง แวะมาที่ร้านอาหารผมได้นะครับ”
“คุณมีร้านอาหารที่เบิร์นเหรอคะ” เอื้อยถาม
“ครับ อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสเมืองน่ะครับ ที่มีหอนาฬิกาใหญ่ๆ ถ้าว่างก็เชิญที่ร้านนะครับ”
“ยินดีค่ะ แต่ว่าตอนนี้เราอยากแวะร้านข้างทางก่อนค่ะ” อ้ายบอก
“ทำไมครับ” ปวรรุจงง
“เราอยากทำธุระในห้องน้ำหน่อยน่ะ” อ้ายว่า
สองหนุ่มมองหน้ากันอมยิ้ม
ปกรณ์จอดข้างทาง ปวรรุจยืนอยู่มุมหนึ่งของร้านสะดวกซื้อ กำลังค้นกระเป๋าเอกสารของตน วรรณรสา อ้าย เอื้อย กำลังซื้อของทานเล่นในร้านสะดวกซื้อ ปกรณ์ช่วยแนะนำสินค้าให้
“อย่าซื้อช็อคโกแล็ตที่นี่เลยครับ เดี๋ยวเข้าไปในเมือง ผมจะพาไปร้านช็อคโกแล็ตล้วนๆ อย่างที่ทำสดๆ เดี๋ยวนั้น กินเดี๋ยวนั้นเลยก็มี”
“คุณปกรณ์ชำนาญจัง อยู่ที่สวิตมากี่ปีแล้วคะ” เอื้อยถาม
“เจ็ดแปดปีแล้วครับ ครอบครัวผมมาตั้งรกรากที่นี่” ปกรณ์ว่า
“แล้วไม่คิดกลับเมืองไทยบ้างเหรอ” อ้ายถามบ้าง
“คิดครับ พอเจอสาวสวยจากเมืองไทย ก็อยากกลับเดี๋ยวนี้เลยครับ”
อ้ายมองซ้ายแลขวา “สาวสวยที่ไหนคะ”
ปกรณ์ยิ้มกริ่ม “ก็ยืนยู่ตรงหน้าผมนี่ตั้งสามคนไงครับ”
สามสาวหัวเราะออกมาพร้อมกัน ปวรรุจเดินมาหาหน้าตาเครียด
“คุณรสา”
“คะ”
“เธอจำตอนที่กระเป๋าฉันตกบนเครื่องได้ไหม”
“จำได้ค่ะ”
“เธอเห็นสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลของฉันบ้างไหม”
เอื้อยจะบอก “อ๋อ...”
วรรณรสากระตุกมือเอื้อย ปวรรุจหันมาที่เอื้อย
“อ๋อ...จำได้ค่ะว่ากระเป๋าคุณชายหล่นกระจาย แต่....ไม่เห็นสมุดอะไรเลยนี่คะ”
“ค่ะ ไม่เห็น” วรรณรสาบอก
ปวรรุจพยักหน้ารับรู้ “งั้นคงตกอยู่บนเครื่อง”
“สมุดบันทึกอะไร? สำคัญรึเปล่า” ปกรณ์ถาม
“พวกตารางนัดหมาย แล้วก็รายละเอียดการประชุมน่ะ ไม่เป็นไรยังพอจำได้”
“ไม่ยาก โทร.ไปแจ้งที่ Lost and Found ของสายการบิน เดี๋ยวก็ได้คืน”
ปกรณ์พาปวรรุจแยกไป
“ท่านหญิง ทำไมพูดปด” อ้ายถามทันที
“ท่านหญิงเก็บไว้ทำไมคะ คืนเขาไปเถอะ” เอื้อยด้วย
“ก็อยากคืนอยู่หรอก แต่สมุดมันอยู่ในกระเป๋าใหญ่น่ะ เอาเถอะน่า เดี๋ยวก่อนแยกทาง ค่อยคืนก็แล้วกัน”
สองแฝดมองวรรณรสาอย่างไม่เข้าใจนัก
สองสาวไม่รู้ความจริงว่า วรรณรสาอยากเห็นหน้าของผู้หญิงในรูป และอยากเห็นว่าที่เจ้าสาวของปวรรุจนั่นเอง
ปกรณ์จอดรถยริเวณจัตุรัสที่จอดรถกลางกรุงเบิร์น สองหนุ่มช่วยขนของสามสาวลงจากรถ วรรณรสาสบตากับปวรรุจ ขณะถามทาง
“แล้วสถานทูตอยู่ไกลไหมคะ”
“เดินไปตามถนนนี่ประมาณสิบนาทีก็ถึงครับ”
วรรณรสามองตามไป
ปวรรุจเอ่ยถามขึ้น “ตกลงเพื่อนของคุณไม่มารับหรือ”
“เออ...เราจะไปหาเขาที่ที่พักเลย”
“ฉันไปส่งไหม”
วรรณรสาสวนคำออกมา “ไม่ต้องค่ะ”
ปวรรุจมองอย่างสงสัยในท่าที ปกรณ์เข้ามา
“เรียบร้อยแล้ว ผมไปนะครับ อย่าลืมร้านอาหารของผม เดินไปทางแยกนี้ไม่นานก็เห็น ชื่อร้านตามนามบัตรนะครับ”
ปกรณ์ส่งนามบัตรให้สองแฝด มองอ้ายพร้อมส่งสายตาเจ้าชู้เล็ก ๆ
“ขอบคุณค่ะ ถ้ามีเวลาเราจะแวะไปนะคะ” เอื้อยบอก
“ยินดีต้อนรับครับ คงได้เจอกันอีก”
ปวรรุจมองมาที่วรรณรสา ยิ้มนิดๆ ก่อนบอกลา
“ใช่ หวังว่าเราคงได้เจอกันอีก”
วรรณรสายิ้มตอบเจื่อนๆ สองหนุ่มขึ้นรถไป
“ท่านหญิง ทำไมไม่ไปลงที่สถานทูตเลยละ” อ้ายท้วง
“นั่นซี จะได้พบท่านชายทัศน์เสียเลย แล้วเราจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าด้วย”
“ไม่ได้หรอก หญิงไม่อยากให้คุณชายรู้ว่าหญิงคือใคร ในเมื่อจำไม่ได้ก็ให้จำไม่ได้ไปตลอด”
“โธ่....เดี๋ยวไปถึงสถานทูต ท่านชายทัศน์ก็ทรงแนะนำให้รู้จักอยู่ดี” อ้ายว่า
“หญิงก็จะบอกพี่ชายไม่ให้แนะนำน่ะซี ไปสถานทูตกันเถอะ อยากเซอร์ไพรส์พี่ชายทัศน์จะแย่แล้ว”
ทั้งสามแบกกระเป๋าไปตามถนนของเมืองตามทางที่ปวรรุจบอก
รถปกรณ์แล่นมาจอดหน้าตึกสถานทูต วรัทวิ่งออกมาต้อนรับ รีบสวัสดีปวรรุจและปกรณ์
“สวัสดีครับคุณชายปวรรุจ สวัสดีครับคุณปกรณ์”
“สวัสดีวรัท รุจ นี่นายวรัท เสมียนของสถานทูต แล้วก็เป็นคนดูแลห้องพักของฉันด้วย มีอะไรก็เรียกใช้ได้ตลอด” ปกรณ์แนะนำ
“นายมีห้องพักด้วยเหรอ” ปวรรุจฉงน
วรัทตอบแทน “โอ้โฮ…หลายห้องด้วยครับ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทยและนักศึกษาไทยครับ คิดค่าเช่าก็ไม่แพง”
ปกรณ์ปรามขำๆ “ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณมาก”
ปวรรุจถามขึ้น “ท่านทูตอยู่รึเปล่าครับ”
“รอคุณชายอยู่แล้วครับ”
ครู่ต่อมาปวรรุจและปกรณ์ตามวรัทเข้ามาในห้องรับแขกสถานทูต ท่านทูตพลเทพออกมาพอดี วรัทขอตัวออกไป ปวรรุจไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับคุณลุงพลเทพ”
“สวัสดีคุณชาย เป็นไงการเดินทาง”
“ราบรื่นดีครับ”
“หม่อมย่าสบายดีหรือ”
“สบายดีครับ นี่ครับของฝากจากคุณย่า”
ปวรรุจส่งถุงของฝากจากหม่อมเอียดส่งให้พลเทพ
“ขอบใจมาก” พลเทพดูจากกล่องก็เป็นปลื้ม “แหม...นี่ท่านยังไม่ลืมนะว่าลุงชอบของโปรดอะไรบ้าง”
คุณหญิงอารีเดินออกมาพอดี สองหนุ่มรีบทำความเคารพ
“คุณชายปวรรุจ สวัสดีค่า จำป้าได้ใช่ไหมคะ” อารีทักทาย
“จำได้ซีครับ คุณหญิงป้าอารี”
อารีหัวเราะระรื่น “เมื่อก่อนไปเยี่ยมหม่อมย่าที่วัง เราตัวยังกระเปี๊ยกอยู่เลย ไม่เท่าไหร่ โตขึ้นจะเป็นนักการทูตหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้ว อ้าว...ไม่เห็นมีกระเป๋าเดินทางมาเลย”
“อ้อ คืนนี้ผมพักกับปกรณ์ครับ”
“แต่เราจัดที่พักไว้ให้คุณชายแล้วนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมพักกับปกรณ์คืนนึงก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาสมทบที่นี่ แล้วค่อยเดินทางไปเจนีวา”
“เอางั้นเหรอคะ ไม่เป็นไร แต่คืนนี้จะต้องมาทานดินเนอร์กับป้านะคะ จะแนะนำให้รู้จักหลานชาย หลานสาว”
ปกรณ์รับคำ “ได้ครับ”
“แม่หลานสาวน่ะ เขาอยากเจอคุณชายมาก ต้องมาให้ได้นะคะ ป้าทำสเต็คฟิเลมิยอง ไว้ให้รับทาน”
ปกรณ์ท้วง “เออ....คุณหญิงป้าครับ ผมกำลังเสนอนายรุจให้ไปทานที่ร้านผมอยู่พอดี”
“หา...ไปทานร้านคุณปกรณ์”
“ครับผม เพราะผมกำลังจัดเลี้ยงต้อนรับนายรุจเขาน่ะครับ หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี” ปกรณ์ว่า
“อ้าว งั้นสเต็คที่ป้าเตรียมอยู่ก็เป็นม่ายไปละซี” คุณหญิงโอดครวญ
“ไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังก็ได้ นายรุจยังอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ ไม่ใช่เหรอครับ” ปกรณ์บอก
“ก็จริง เอ...แล้วยายอิ่มจะเจอคุณชายได้ยังไงล่ะ คุณคะ เอาอย่างนี้ไหม เราก็ไปร่วมสมทบที่ร้านคุณปกรณ์เสียเลย” อารีพูดเองเออเอง
ปกรณ์สะดุ้ง
“จะเหมาะเหรอ หนุ่มๆ เขาจะสังสรรค์กันส่วนตัวรึเปล่า” พลเทพเกรงใจ
“งั้นเหรอ จะสังสรรค์กันส่วนตัวงั้นเหรอ”
อารีถามพลางจ้องมาที่สองหนุ่ม โดยเฉพาะปกรณ์ ปกรณ์เลยพูดออกมาอย่างเสียไม่ได้
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ งั้นผมก็เชิญท่านทูต คุณป้าหญิง และหลานทั้งสองด้วยเลย”
อารีหัวเราะร่า “ยินดีจ้ะ แหม....ไม่ได้ไปทานของอร่อยที่ร้านคุณปกรณ์นานแล้วนะ ทุ่มนึงนะ เอ...ป้าว่าจะเอาฟิเลมิยองไปให้ลองที่ร้านด้วยเลยดีไหม”
ปกรณ์สวนขึ้นทันที “อย่า...เออ...ไม่รบกวนละครับ มาทานสเต็คที่ร้านผมดีกว่า”
ปกรณ์หัวเราะเจื่อนๆ อารีหัวเราะตาม ปวรรุจมองอย่างสงสัย
ส่วนทางฝ่ายสามสาวหอบกระเป๋ากันจนเหนื่อยมาถึงหน้าสถานทูตไทย ที่เป็นบ้านสามชั้นทาสีขาว หลังคาแดงเข้ม มีตราและธงสถานทูตติดไว้
“ถึงแล้ว เหนื่อย” เอื้อยหอบเอา
“จะเข้าไปเลยไหมท่านหญิง”
“ก็เข้าเลยน่ะซี จะรออะไรล่ะ” วรรณรสา
ทั้งสามเข้าในอาคารทันที
สามสาวเข้าไปที่โถงต้อนรับ วรัทเฝ้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ ทักทายสาวๆ วรรณรสากระตือรือล้นอย่างยิ่ง
“สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้”
“ฉันมาพบหม่อมเจ้าภาณุทัศนัย ไม่ทราบท่านประทับอยู่ที่นี่รึเปล่า”
“ปรกติท่านประทับที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่ครับ”
“ท่านเสด็จไปไหนเหรอ” วรรณรสางง
“ท่านลาไปพักผ่อนที่โลซานน์น่ะครับ”
สามสาวอุท่านพร้อมกัน “โลซานน์”
“แล้วท่านชายลาพักถึงเมื่อไหร่
“พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายครับ”
สามสาวโล่งอก
“งั้นท่านก็กลับพรุ่งนี้ หรือวันมะรืนใช่ไหม” เอื้อยซัก
“ใช่ครับ ตามหมายกำหนดการเป็นเช่นนั้น แต่ตามความเป็นจริง...ไม่ใช่ครับ” วรัทบอก
อ้ายงง “อ้าว...ยังไงกันแน่ ท่านกลับหรือไม่กลับ”
“ไม่กลับครับ ท่านต้องไปเตรียมการประชุมต่อที่เจนีวากับข้าราชการไทย กว่าจะกลับก็…อาทิตย์หน้าน่ะครับ”
สามสาวตกใจ “อาทิตย์หน้า”
อ้ายคราง “โอย หมดแรง ขอนั่งพักก่อน”
สามสาวเซไปนั่งพักที่เก้าอี้รับแขก วรัทมองตามวรรณรสาอย่างสงสัย
ด้านปวรรุจและปกรณ์เดินออกมาด้วยกัน
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า ดูนายไม่อยากให้ฉันดินเนอร์กับคุณหญิงป้า”
“ปัญหาน่ะมีแน่ ถ้าเกิดนายได้ลองชิมสเต็คคุณหญิงนะ นายจะฝันร้ายไปทั้งคืน”
ปวรรุจหัวเราะ “ทำไมล่ะ”
“ก็สเต็คเหนียวหนืดอย่างกะหนังสะติ๊ค น้ำซอสก็รสชาติแย่กว่าน้ำล้างจาน เข้าทำนองชอบทำอาหารแต่ไม่ลงทุนนั่นแหละ” ปกรณ์เล่าจนเห็นภาพ
ปวรรุจอึ้ง “ขนาดนั้นเลย”
“นี่...ฉันพยายามเลี่ยงไม่มาดินเนอร์ด้วยแล้วนะ แกยังตื๊อไปทานที่ร้านด้วยจนได้ งานนี้กร่อยแน่ๆ”
“มีปัญหาอะไรอีกเหรอ”
“ก็หลานแกทั้งคู่นั่นแหละ น่าเบื่อที่สุด โดยเฉพาะยายคุณอิ่ม ที่เขาอยากเจอแกนักหนา”
“ทำไม”
“คุณหญิงป้าว่าพูดเป็นต่อยหอยแล้ว ยายคุณอิ่มพูดมากกว่าเท่านึง คืนนี้เตรียมตัวให้ดี หูแกจะชาเชียวละ”
ปวรรุจยิ้มขัน ๆ
วรัทเข้ามาถามสามสาว ที่ยังนั่งหมดแรงอยู่
“คุณมีธุระด่วนอะไรกับท่านชายหรือครับ”
วรรณรสามองหน้าสองสาว
“บอกความจริงเถอะค่ะ ท่านหญิง”
วรัทงงกับคำว่า “ท่านหญิง”
“คือฉัน....ฉันเป็นพระขนิษฐาของท่านชายค่ะ ชื่อวรรณรสา”
วรัทอุทานลั่น “หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสาหรือกระหม่อม! ฝ่าบาทคือท่านหญิงแต้ว งั้นไม่ใช่พระขนิษฐาแล้ว แต่ทรงเป็นพระคู่หมั้นต่างหาก”
วรัทรีบยกมือไหว้
ตรงโถงทางเดิน ปวรรุจได้ยินคำว่าท่านหญิงแต้วเข้าพอดี จึงเหลียวมองมา แต่ยังไม่เห็นคน จึงเดินตรงมาทันที
เอื้อยเห็นคุณชายปวรรุจและปกรณ์ตรงมา
“คุณชายเดินมาแล้ว”
อ้ายรีบบอก “หลบซี”
“หลบทำไมครับ” วรัทงง
“อย่าบอกคุณชายนะว่าเจอฉัน แล้วหลบที่ไหนดีล่ะ”
“งั้น ทางนี้ขอรับ”
วรัทที่ยังงงอยู่ รีบพาสามสาวเข้าห้องด้านใน พร้อมสัมภาระ ปวรรุจและปกรณ์เข้ามาพอดีกับที่สามสาวหลบไป
“วรัท คุยกับใครอยู่เหรอ” ปกรณ์ถาม
“ปละ....เปล่าครับ”
“อ้าว...เมื่อกี้พูดเสียงลั่น”
ปวรรุจสงสัย “เห็นพูดว่า “ท่านหญิงแต้ว” หญิงแต้วไหนเหรอ”
“เออ...ท่านหญิงแต้ว พระคู่หมั้นของท่านชายภาณุทัศนัยไงครับ”
วรรณรสา อ้าย และเอื้อยแอบฟังอยู่ ใจระทึก
“ท่านหญิงเสด็จมางั้นเหรอ”
วรัทร้องเสียงหลง “ปละ...เปล่าครับ ผมแค่พูดถึงเออ...จดหมายที่ท่านชายฝากส่งถึงท่านหญิงน่ะครับ เดี๋ยวจะต้องเอาไปส่งที่โพสท์ ออฟฟิศ”
ปวรรุจครุ่นคิด “ใช่....หญิงแต้วคงไม่เสด็จมาที่นี่หรอก เพราะเพิ่งเด็จกลับเมืองไทยไม่กี่วันนี่เอง”
สามสาวมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ วรรณรสายิ่งทึ่งที่ปวรรุจรู้ข่าวคราวของตน
ปกรณ์แปลกใจไม่หาย “ตลกว่ะวรัท ฝึกพูดคนเดียวก็ได้ด้วย ไปเถอะว่ะ รุจ เดี๋ยวไปกินกลางวันที่ร้านฉัน ตอนนี้หิวไส้จะขาดแล้ว”
ปกรณ์พา ปวรรุจออกไปที่ลานจอดรถหน้าอาคาร วรัทเดินออกไปส่ง
สามสาวก้าวออกมา มองตามรถของ ปกรณ์ที่แล่นออกไป
“ท่านหญิง คุณชายรู้ด้วยว่าท่านหญิงกลับมาเมืองไทยแล้ว แสดงว่าตามข่าวคราวตลอด” เอื้อยเอ่ยขั้น
“แต่เจอหน้ากันก็ยังจำหญิงไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ อย่าไปพูดถึงเขาเลย น่าเบื่อ เราไปกันเถอะ”
“ไปไหนคะท่านหญิง”
“ก็ไปโลซานน์น่ะซี ไปหาพี่ชายทัศน์เดี๋ยวนี้”
อ้ายกะเอื้อยตาเหลือกอุทานดังลั่นพร้อมๆ กัน
“หา ไปหาท่านชายทัศน์” / “ไปโลซานน์...เดี๋ยวนี้”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ครู่ต่อมาสามสาวเข็นกระเป๋าเดินทางออกมาจากสถานทูต วรัทช่วยลากกระเป๋าของรสามาส่งด้วย
“จะไปทางรถไฟเหรอคะ” เอื้อยถาม
“ใช่....หนูอ้ายนำทางนะ”
อ้ายหน้าเสีย
“ท่านหญิงขา อย่าเสี่ยงเลยค่ะ ถ้าไปโลซานน์แล้วท่านชายไม่อยู่ที่นั่นเราจะยิ่งลำบากนะคะ”
อ้ายคะยั้นคะยอวรัทให้ช่วยพูด
“ใช่ขอรับ เอาอย่างนี้ไหม พรุ่งนี้เช้ากระหม่อมจะต้องขับรถพาท่านทูตกับคุณชายรุจ ไปพบท่านชายทัศน์ที่เจนีวาอยู่แล้ว ท่านหญิงสนพระทัยจะไปด้วยกันไหมกระหม่อม”
เอื้อยเห็นด้วย “น่าสนใจนะท่านหญิง”
“แต่....พี่ชายทัศน์อยู่ที่โลซานน์นี่”
“กระหม่อมจะไปส่งท่านหญิงที่โลซานน์ก่อน แล้วถึงเลยไปที่เจนีวา ไม่เสียเวลาเลยกระหม่อม” วรัทว่า
อ้ายเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดีที่สุดเลยนะคะท่านหญิง”
“แล้ว....เราจะอ้างกับท่านทูต กับคุณชายรุจยังไง” วรรณรสากังวล
“ไม่ยากกระหม่อม หม่อมจะบอกกับท่านทูตกับคุณชายเองว่าท่านหญิงจะเด็จร่วมไปด้วย” วรัทอาสา
“แต่เธอห้ามบอกท่านทูตกับคุณชายเด็ดขาดเลยนะว่าฉันเป็นใคร”
“คงจะไม่ได้ละกระหม่อม เพราะท่านทูตรู้จักท่านหญิงดีอยู่แล้ว”
“รู้จักได้ยังไง” วรรณรสางง
“ท่านชายทรงให้ท่านดูรูปถ่ายของท่านหญิงอยู่บ่อยๆ น่ะกระหม่อม” วรัทบอก
“งั้นเหรอ งั้นก็ดี พรุ่งนี้ฉันได้พบท่านทูต จะได้แสดงตัวให้คุณชายรู้เสียเลยว่าฉันคือใคร คุณชายคงประหลาดใจพิลึก” วรรณรสาว่า ตาเป็นประกายนึกสนุก
“ใช่...ที่แท้คุณรสา ก็คือท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ เพื่อนเล่นของคุณชายสมัยเด็กนั่นเอง” อ้ายบอก
วรรณรสายิ้มย่ามใจ
“อยากเห็นสีหน้าคุณชายจังตอนที่รู้ความจริง”
“เดี๋ยว...ว่ากันเรื่องที่พักก่อน คืนนี้เราต้องพักที่นี่ ยังไม่รู้จะไปนอนไหนเลย” อ้ายหารือ
“คุณวรัทมีที่พักที่จะแนะนำให้เราได้บ้างไหมคะ” เอื้อยหันมาทางวรัท
“เออ...ที่จริงก็มีนะครับ”
“ที่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวผมพาไปครับ ที่พักไม่แพง เจ้าของใจดี เจรจาดี ๆ อาจให้พักฟรีก็ได้นะครับ” วรัทบอก
สามสาวยิ้มดีใจ
สามสาวอยูในห้องพักราคาย่อมเยาในย่านตึกเก่าห้องพักให้เช่ากลางกรุงเบิร์น เฉลียงหน้ามองออกไปเห็นเมืองเบิร์นเก่าสวยงาม
“สวยจังเลยค่ะ มองเห็นแม่น้ำ Aare อยู่ไกลๆ โน่นด้วย” เอื้อยว่า
“เดี๋ยวเราลงไปเที่ยวดีกว่า ไปถ่ายรูปด้วย”
วรรณรสาทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่ชอบเลย”
“อะไรคะ” เอื้อยงง
“ไม่ชอบที่ต้องไปพึ่งพาคุณชายรุจอีกน่ะซี”
“ท่านหญิงขาจะตั้งแง่กับคุณชายคนนี้ไปถึงไหน หรือว่างอนที่คุณชายจำท่านหญิงไม่ได้” อ้ายเย้า
“ไม่สนสักนิด”
เอื้อยชวนขึ้น “เดี๋ยวไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ อากาศกำลังดีเลย”
สามสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว สีหน้าสดใส ออกมาจากตึกสู่ถนนคนเดินกลางเมืองเบิร์นที่เป็นอาคารเก่าแก่ สามสาวหัวเราะเริงรื่น เลี้ยวออกถนน เอื้อยมีกล้องคล้องคอ ส่วนอ้ายมีแผนที่กรุงเบิร์น
“ไปไหนก่อนดี”
“ไปดูบ่อหมี มหาวิหารเบิร์น แล้วก็ไปดูหอนาฬิกากลางเมือง” อ้ายว่า
เอื้อยบอก “แล้วก็หาร้านช็อคโกแลตอร่อย ๆ ทานกัน”
สามสาวเดินออกไป
ปวรรุจและปกรณ์ที่เดินออกมาจากตึกเดียวกัน คลาดกันไปนิดเดียว
“จะเที่ยวที่ไหนก่อนดี”
“แล้วแต่นาย”
“งั้นตามมาเลย”
สองหนุ่มเดินไปทางเดียวกับสามสาว
สามสาวเดินมาถึงหอนาฬิกา ถนน Kramgasse Street
“นี่ไงหอนาฬิกากลางเมือง สวยจัง ถ่ายรูปกันก่อน” เอื้อยเอ่ยขึ้น
วรรณรสาและอ้ายยืนให้เอื้อยถ่ายรูปหน้าหอนาฬิกา อ้ายสลับเปลี่ยนมาเป็นถ่ายบ้าง
วรรณรสายืนถ่ายรูปเดี่ยว หัวเราะร่าเริง สองแฝดให้วรรณรสาช่วยถ่ายให้
ทั้งสามให้หนุ่มหล่อฝรั่งช่วยถ่าย เป็นที่สนุกสนาน
ขณะที่วรรณรสากำลังนั่งพักทานกาแฟและช็อคโกแล็ตอยู่ที่บริเวณน้ำพุกลางถนนเก่า คู่แฝดแยกไปดูร้านค้าอยู่ห่างๆ แล้วเลี้ยวมุมตึกไป วรรณรสานั่งอยู่ลำพังเห็นรถรางแล่นมาจึงยกกล้องขึ้นมาถ่าย
รถรางแล่นผ่านหน้าไป แล้วร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่อีกฟากถนน จังหวะที่ปวรรุจหันมานั้น วรรณรสากดชัตเตอร์พอดี ได้ภาพปวรรุจมองมาที่กล้อง ตาคมวาวสวย วรรณรสาลดกล้องลง ร่างสูงใหญ่มองตรงมา ก่อนจะเดินเข้ามาหา
“สวัสดีอีกครั้ง รสา”
“สวัสดีค่ะคุณชาย”
วรรณรสาลุกขึ้น ปวรรุจมองที่กล้องในมือ ยามนั้นท่านหญิงรู้สึกเขิน จนไม่กล้าสบตาชายรุจ
“แอบถ่ายฉันรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ฉันกำลังถ่ายรถราง แต่บังเอิญคุณชายเข้ามาอยู่ในเลนส์พอดี ก็เลยถ่ายติดไปด้วย”ปวรรุจมองวรรณรสายิ้มๆ อีกฝ่ายหน้าแดง
“ในที่สุดเราก็เจอกันอีก”
“ค่ะ”
“เธอจะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน”
“แค่วันเดียว”
“จากนั้น...”
“ฉันจะไปโลซานพรุ่งนี้ค่ะ”
ปวรรุจเลิกคิ้วท่าทีฉงนสนเท่ห์ ขณะมองวรรณรสา
“ไปโลซานงั้นเหรอ”
“ค่ะ เออ....คุณชาย คุณชายได้ทราบเรื่องจากนายวรัทแล้วหรือยัง”
“วรัท วรัทไหน”
“ก็คนที่เป็นเสมียนของสถานทูตไงคะ”
ปวรรุจแปลกใจยิ่งขึ้น “เธอรู้จักวรัทด้วยเหรอ”
“ฉันรู้จักคนที่สถานทูตดีค่ะ”
ปวรรุจมองอย่างประเมิน “อืมม์...เธอคงมาที่สวิตบ่อย”
“ฉันเพิ่งมาสวิตค่ะ แต่สำหรับคนที่สถานทูตฉันรู้จักดี
ปวรรุจงงอีกเล็กน้อย “แล้วเรื่องนายวรัทที่จะบอกฉันคือเรื่องอะไร”
“เออ...คือ วรัทบอกว่าคุณชายจะเดินทางไปเจนีวา ฉันกับหนูอ้าย หนูเอื้อย เลยจะขอติดรถของสถานทูตไปที่โลซานด้วยน่ะค่ะ”
ปวรรุจชักสีหน้า “เธอได้ขอท่านทูตพลเทพแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันยังไม่มีโอกาสเจอท่านทูต แต่เมื่อเจอคุณ ฉันเลยขอคุณก่อน”
“ฉันไม่คิดว่าท่านทูตจะเห็นชอบด้วย เพราะเราเดินทางไปเจนีวาอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว การที่ต้องไปแวะส่งเธอที่โลซานอาจจะทำให้หมายกำหนดการคลาดเคลื่อนก็ได้”
“ตกลงเป็นคุณชายหรือท่านทูตกันแน่ที่ไม่เห็นชอบ” วรรณรสาฉุนนิดๆ
“ฉันพูดแทนท่านทูต และแน่นอน ฉันเองไม่เห็นด้วย เสียใจที่ต้องปฏิเสธคำขอร้องของเธอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะฉันจะลองโทร.ถามท่านทูตพลเทพดู เพราะท่านคือผู้ตัดสิน ไม่ใช่คุณชาย ถ้าท่านอนุญาตคุณชายก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” วรรณรสาลืมตัว พูดอย่างถือดี
ปวรรุจชักไม่พอใจ “ฉันไม่เห็นด้วยที่เธอจะไปรบกวนท่านทูตแบบนั้น”
“ทำไม”
“เธอจะทำให้ท่านลำบากใจ ท่านอาจจะเกรงใจจนปฏิเสธเธอไม่ลง”
“อย่าเที่ยวตัดสินใจแทนคนอื่นเลยค่ะคุณชาย ท่านทูตอาจจะไม่ใจแคบและคิดอะไรตื้นๆ อย่างคุณชายก็ได้”
วรรณรสาจะแยกไปเลย ปวรรุจเป็นอึ้ง วรรณรสาหันกลับมา พูดเป็นนัย
“อ้อ แล้วถ้าท่านทูตยอมรับฉันร่วมเดินทางไปด้วย กรุณาอย่างแสดงอาการไม่พอใจนะคะ เพราะฉันอาจเป็นคนสำคัญขึ้นมา”
“สำคัญขนาดไหน” ปวรรุจฉุนขาด
“สำคัญขนาดที่ว่าคุณชายเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธทุกเรื่องที่ฉันต้องการ”
วรรณรสาแยกไป ปวรรุจยังงง
“รสา เดี๋ยวก่อน”
ปวรรุจจะตาม วรรณรสารีบเดินเร็วหนีไป ปวรรุจคิดได้อย่างเดียวคือวรรณรสาคงเอาเงินซื้อแน่ๆ ตามประสาลูกพ่อค้าใหญ่ คิดแล้วจึงรีบตามไป
ด้านอ้ายและเอื้อยดูข้าวของอีกมุมหนึ่ง อ้ายถ่ายรูปเอื้อย ปกรณ์เดินตรงมาพอดีเข้ามาในเฟรมภาพ
“อุ๊ย...คุณปกรณ์” อ้ายแปลกใจ
“สวัสดีอีกครั้งครับ” ปกรณ์ยิ้มทัก
“สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้ว” เอื้อยทักตอบ
“ตกลงคุณพักย่านนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ” เอื้อยบอก
“งั้นตอนค่ำ เชิญมาชิมอาหารที่ร้านผมนะครับ ไปทางถนนนั่นน่ะครับ” ปกรณ์ชี้บอกทาง
“ยินดีค่ะ...แต่ค่าอาหารคงไม่แพงนะ” อ้ายเย้า
“เอาอย่างนี้ ผมถือโอกาสเลี้ยงคุณสามคนเลยก็แล้วกัน เชิญมาดินเนอร์ที่ร้านคืนนี้ได้เลยครับ ผมเป็นเจ้าภาพ”
“เกรงใจค่ะ” เอื้อยบอก แต่อ้ายกลับไปอีกทาง
“อุ๊ย...ไม่เกรงใจเลย ยินดีอย่างยิ่ง ขอให้เจ้าภาพเจริญยิ่งขึ้นไปค่ะ”
“หนูอ้าย รักษามารยาทหน่อยซี้”
ปกรณ์หัวเราะร่ามองอ้ายอย่างชื่นชมในความไม่อายของอ้าย
“แหม...ก็เขาเชิญแล้วจะปฏิเสธทำไม นานๆ ที คุณปกรณ์ถึงจะได้เลี้ยงนักท่องเที่ยวชาวไทยเสียที จริงไหมคะ”
ปกรณ์สวนทันที “ครับ โดยเฉพาะแฝดสาวสวยอย่างคุณหนูอ้าย หนูเอื้อย”
อ้ายหัวเราะพร้อมปกรณ์ เอื้อยเขินค้อนพี่สาว
“คุณปกรณ์ คุณลืมที่สัญญากับเราแล้วนะ” อ้ายเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรครับ”
“มาในเมือง คุณจะพาเราทานช็อคโกแล็ตทำสดๆ ไง”
“อ้อ...งั้นตามมาทางนี้เลยครับ ร้านช็อคโกแล็ตโดยเฉพาะ และผมเลี้ยงเอง”
“แหม... มันคงอร่อยตรงนี้ล่ะค่ะ” อ้ายยิ้มเบิกบานใจ
ทั้งสามเดินเลี้ยวผ่านมุมตึกไป
ฟากวรรณรสาเดินหน้าบึ้งอย่างเร็วแยกมาอีกถนน เดินข้ามแยกไปอีกฝั่ง แต่แล้วเกิดหลงทาง หาทางกลับไปที่เดิมไม่ถูก ท่านหญิงมองไปรอบๆ เห็นผู้คนชาวเมืองเบิร์นเดินไปมายิ่งมึนงง ทำท่าจะเซลงไปจากฟุตปาธ แล้วทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของปวรรุจก็มารวบร่างของเธอเข้าไว้ทัน ร่างวรรณรสาปะทะกับร่างของปวรรุจจังๆ
ปวรรุจกอดเธอไว้หลวมๆ วรรณรสามองตาสวยคู่นั้นของชายรุจ สองคนประสานสายตานิ่งนาน จนวรรณรสารู้สึกตัว
“ปล่อยฉันนะ”
ปวรรุจรู้สึกตัวเช่นกัน “ขอโทษ ฉันเห็นเธอทำท่าเหมือนจะล้มลงไปที่ถนน ก็เลยเข้ามาช่วย ไม่สบายใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่...เดินหลงมานิดหน่อย”
“ทางที่เธอเดินหนีฉันมาอยู่ทางโน้น ฉันจะพากลับ”
“ฉันกลับเองได้”
“เธอไม่ค่อยสบาย หน้าซีดออกอย่างนี้ ไปกับฉัน”
ชายรุจประคองวรรณรสาเดินกลับไปที่เก่าช้าๆ จังหวะหนึ่งปวรรุจถามขึ้น
“สำคัญนักหรือที่จะต้องไปที่โลซานพรุ่งนี้”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจ
“ขอโทษที่ถือวิสาสะถามเรื่องส่วนตัว แต่ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเธอต้องไปโลซาน”
“อยากรู้ไปทำไม”
“เผื่อจะช่วยเธอได้ไง”
วรรณรสาหยุดและผละออกจากปวรรุจ “คุณชายคะ ฉันไม่จำเป็นต้องให้คุณชายช่วย ถ้าฉันโดยสารไปกับรถสถานทูตไม่ได้ ฉันก็จะไปทางรถไฟ ฉันไม่ได้อับจนปัญญาขนาดนั้น”
ปวรรุจฉุนนิดๆ หวังดีแท้ๆ “เอาละ...ในเมื่อเธอช่วยตัวเองได้ ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“ขอบคุณค่ะ...ฉันจำทางได้แล้ว แยกกันตรงนี้”
วรรณรสาเดินสะบัดไป แล้วพบว่าตรงหน้าเป็นซอยแยกย่อย ไม่รู้จะไปทางไหนดี เหลือบมามองปวรรุจอีกครั้งเหมือนจะขอความช่วยเหลือ ปวรรุจอมยิ้ม วรรณรสารีบเดินหนีเลี้ยวไปอีกทาง ปวรรุจเดินเร็วตามมา
“ฉันว่าเธอยังหลงอยู่นะ ให้ฉันไปส่งเถอะ”
“ไม่”
“อย่าดื้อ”
วรรณรสานิ่งงันไป ประสานสายตากับปวรรุจ น้ำเสียงคำว่า “อย่าดื้อ” นั้น ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน ภาพจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นในหัวหญิงสาว
คำเดียวกันนี้วรรณรสาได้ยินที่สวนหลังวังอรุณรัศมิ์สมัยวัยเยาว์ วันนั้นเด็กชายปวรรุจกำลังเล่นอยู่กับเด็กหญิงวรรณรสา
“อย่าดื้อ ท่านหญิง ไม่งั้นหม่อมไม่เล่นขี่ม้าส่งเมืองกับท่านหญิงอีก” ปวรรุจบอก
“ไม่ดื้อก็ได้ แต่พี่ชายรุจเล่นกับหญิงนะ หญิงไม่มีใครเล่นด้วยเลย เล่นกับนมแจ่มกับพี่บัวก็ไม่สนุกเท่ากับเล่นกับพี่ชายรุจ”
“ได้ เพราะกระหม่อมยอมให้ท่านหญิงขี่หลังทั้งวันใช่ไหมล่ะ”
“ฮิฮิ ใช่แล้ว”
ปวรรุจหัวเราะตาม “ถ้าท่านหญิงไม่ดื้อ หม่อมจะเล่นกับท่านหญิงทั้งวันเลย”
“หญิงจะไม่ดื้อกับพี่ชายรุจอีกแล้ว นี่ ลอลลิป๊อป หญิงให้พี่ชาย”
วรรณรสาส่งอมยิ้มให้ ปวรรุจรับมาทาน ท่านหญิงแต้วหยิบของตัวเองมาทาน ทั้งสองยิ้มให้กัน
ปวรรุจมองวรรณรสาที่ยิ้มกับตัวเองเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“รสา”
วรรณรสาตื่นจากภวังค์ “คะ”
ปวรรุจแปลกใจ “เป็นอะไร”
“เปล่า”
“ฉันว่าเธอต้องกลับไปพักผ่อนดีกว่า เธออาจจะอดนอนหรือเพลียจากการเดินทางมากเกินไป”
ปวรรุจประคองวรรณรสาไป คราวนี้ท่านหญิงยอมเดินไปด้วยดี
ปวรรุจพาวรรณรสากลับมาที่ลานน้ำพุ พบว่าสองแฝดรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย ปกรณ์ยืนอยู่ด้วย
“รสา หายไปไหน เราตกใจแทบแย่”
“แล้วไปเจอคุณชายที่ไหนละคะ”
ปวรรุจรีบบอก “เหมือนรสาจะเดินหลง ฉันเลยพากลับมา”
เอื้อยฉงน “หลง”
“ฉันไม่ได้หลง แค่สับสนเส้นทางนิดหน่อย” วรรณรสาแก้ตัว
ปกรณ์หัวเราะเห็นด้วย “ใช่ครับ ถนนกับตึกโบราณพวกนี้ หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมด นักท่องเที่ยวเอเชียนอย่างพวกเราหลงกันประจำละครับ เวลาจำต้องจำรูปปั้น ธง หรือไม่ก็ชื่อร้านดีๆ”
“รสา คืนนี้คุณปกรณ์จะเลี้ยงอาหารค่ำเรา” อ้ายบอก
วรรณรสาไม่พอใจ “แต่เรามีนัดกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
เอื้อยงง “นัดอะไรเหรอรสา”
ปวรรุจ และปกรณ์มองวรรณรสาอย่างสงสัยเช่นกัน
“ก็เราจะไปทานดินเนอร์กับ...เพื่อนของเราไม่ใช่เหรอ”
อ้ายยังงงอยู่ “เพื่อนของเรา”
“ใช่ เพื่อนของเราก็...เจ้าของห้องที่เราพักอยู่ไง เขาจะเลี้ยงมื้อค่ำเราคืนนี้ อย่าให้เสียความตั้งใจของเขาซี”
อ้ายและเอื้อยมองหน้ากันเป็นงง
“คืนนี้ขอปฏิเสธนะคะ” วรรณรสาหันมาทางสองหนุ่ม
ปกรณ์ออกอาการเสียดาย “ไม่เป็นไรครับ”
“หนูอ้าย หนูเอื้อย ไปเถอะ”
วรรณรสาดึงสองแฝดแยกมา อ้ายกระซิบถาม
“ท่านหญิงเกิดอะไรขึ้น”
“เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”
สามสาวแยกไป
ปกรณ์เอ่ยขึ้น “แปลกๆ ไหม”
“ใช่...แปลกมาก”
“นึกว่าจะได้สนิทสนมกับหนูอ้ายเสียหน่อย เสียดายชะมัด”
“เพิ่งเจอได้ไม่กี่ชั่วโมง ชอบเขาเสียแล้ว นายนี่ใจง่ายจริง” ปวรรุจขำ
ปกรณ์ทำท่าเคลิ้ม “จะด่าฉันยังไงก็ด่าเถอะ บอกได้คำเดียว เวลาไม่ใช่ปัญหาของความพึงใจคนที่ใช่สบตากันแว้บเดียว...มันก็ใช่ว่ะ”
ปวรรุจยิ้มส่ายหน้า
“ว่าแต่นายเถอะ ไปทำยังไงเข้า คุณรสาเขาถึงทำท่าห่างเหินเสียขนาดนั้น”
ปวรรุจทอดถอนใจ
“ฉันก็ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าเหมือนที่ชายภัทรว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้าใจยากที่สุดในโลก”
สามสาวนั่งอยู่ระเบียงห้องพัก เห็นท้องถนนสวยงามเบื้องล่าง สองแฝดฟังความจากวรรณรสา อ้ายมีอาการซึมๆ เพราะเสียดายไม่ได้ดินเนอร์กับปกรณ์
“คุณชายปฏิเสธเราอย่างไม่มีเยื่อใยเลยเหรอ” เอื้อยถาม
“ใช่...ฉันถึงหมั่นไส้ไง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปร่วมกิจกรรมอะไรกับตาคุณชายขี้เก๊กนี่อีกแล้ว”
“แต่หนูอ้ายคงเสียดายมาก” เอื้อยบอก
“ทำไมล่ะหนูอ้าย” วรรณรสาสงสัย
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
“ต้องมีซี ทำหน้าซึมตั้งแต่กลับมาแล้ว”
“บอกให้ก็ได้ หนูอ้ายเสียดายที่ไม่ได้ดินเนอร์กับคุณปกรณ์” เอื้อยบอกแทน
วรรณรสาตกใจเสียงดัง “หนูอ้าย อย่าบอกนะว่า...เจอกับเขาแป๊บเดียว เธอหลงเสน่ห์เขาเข้าแล้ว”
“บ้า...หนูเอื้อยเพ้อ หนูอ้ายไม่ได้หลงเสน่ห์เขาเสียหน่อย แค่ปลื้มในความเป็นสุภาพบุรุษของเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เอื้อยรู้ทัน “เห็นแก่ของฟรีที่เขาเลี้ยงน่ะซี”
อ้ายแลบลิ้นใส่เอื้อย
“หนูอ้าย ถ้าอย่างนั้นหนูอ้าย หนูเอื้อยไปทานมื้อค่ำกับพวกเขาเถอะ รสาอยู่คนเดียวได้”
“ได้ยังไงท่านหญิง เราไม่ปล่อยท่านหญิงอยู่ลำพังหรอก ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันซีคะ ว่าแต่ เรามาวางแผนเที่ยวเมืองตอนค่ำกันเถอะ หาร้านอร่อยๆ ทานกันเองนะ”
สามสาวยิ้มให้กัน แล้วกลับเข้าห้องไป โดยไม่รู้ว่าร่างของปวรรุจและ ปกรณ์ออกมาที่ระเบียง ห้องพักที่อยู่ถัดไปนั่นเอง
ปกรณ์และปวรรุจถือถ้วยกาแฟออกมานอกระเบียง ปกรณ์มองไปที่ระเบียงห้องข้างๆ ไม่รู้ว่าเป็นห้องพักสามสาว เห็นประตูห้องเปิดอยู่
“นายวรัทเพิ่งโทรบอกฉันว่ามีคนไทยมาเช่าห้องติดกับของเรา เดี๋ยวค่ำๆ ต้องไปดูแลเสียหน่อย เห็นว่าเป็นสาวสวยเสียด้วย” ปกรณ์ยิ้มเผล่
“อย่าชีกอให้มากนัก”
“อย่าว่ากันเลยว่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบแหม่ม ชอบแต่สาวไทยเท่านั้น แล้วที่นี่ นานน้านจะมีสาวไทยมาให้ชื่นชมเสียที”
“เออ...เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงชอบหนูอ้ายนัก”
“เฮ้อ คนมันเหงาน่ะ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมไม่เอารูปคู่หมั้นมาให้ฉันดูสักที ชื่ออะไรนะ กระเทียม กระทง กระทะ”
“หม่อมหลวงกระถิน”
“แค่ชื่อก็หมดอาลัยแล้วว่ะ” ปกรณ์ว่า
“ที่จริงฉันติดรูปมาด้วยนะ แต่ทำหายไปพร้อมสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้ว”
“นายจะยอมเหรอวะ เรื่องคลุมถุงชนจับแต่งนี่ มันน่าจะหมดยุคไปตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาแล้ว”
“ฉันถึงได้รีบหนีมาไง”
“เป็นฉันไม่มีวันยอม นี่มันยุคใหม่ สมัยใหม่แล้ว เห็นว่าไม่กี่ปีโครงการอวกาศทั้งอเมริกาทั้งรัสเซียจะส่งคนไปดวงจันทร์แล้วนะ แกยังจะยอมตามธรรมเนียมเก่าคร่ำครึอยู่ทำไม”
ปวรรุจคิดตามแล้วได้แต่ถอนใจ
เอื้อย และอ้าย กำลังแต่งตัวสะสวยอยู่หน้ากระจก รสาแอบหยิบสมุดบันทึกจากกระเป๋าเดินทางออกมา
แล้วหยิบรูปกระถินออกมาดู แต่แสงในห้องค่อนข้างน้อย
“หนูอ้าย หนูเอื้อย รสาไปรอข้างนอกนะ”
“ค่ะ”
วรรณรสาใส่รูปลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง
ปวรรุจแต่งตัวหรูมีโคล้ทและผ้าพันคอ เดินออกมาจากห้อง แต่ต้องชะงักเพราะประตูห้องข้างๆ เปิดออก
วรรณรสาไม่ทันมองปวรรุจ เดินออกมาจากห้อง แล้วเดินมาที่สว่าง ปวรรุจยิ่งงงว่าวรรณรสามาอยู่ข้างห้องตัวเองได้ยังไง จึงเดินตามไปเงียบๆ
รสาเดินมาหยุดที่ไฟสว่างตรงล็อบบี้สวย แล้วหยิบรูปของกระถินออกมาดู เพ่งพินิจ
“นี่น่ะเหรอ หวานใจของคุณชาย ทำไมยังเด็กจัง หน้าตายังไม่ประสีประสาเลย ฮึ...คงชอบสาวแบบนี้ละมั้ง อีตาคุณชายขี้เก๊ก”
ปวรรุจเดินมาเบื้องหลัง ได้ยินช่วงท้ายที่ว่าขี้เก๊ก แต่ยังไม่เห็นรูปกระถิน
“เธอว่าใคร “ขี้เก๊ก” ไม่ทราบ”
วรรณรสาหันขวับมาร้อง “ว้าย” ลั่น พร้อมรูปในมือร่วงลงพื้น เดชะบุญที่รูปนั้นคว่ำหน้าลง วรรณรสาตัวเกร็ง ปวรรุจก้มลงหยิบรูปขึ้น แต่ไม่ได้หงายรูป ส่งคืนให้ วรรณรสามองอย่างใจระทึกก่อนจะรับรูปมาอย่างเร็ว แล้วเก็บใส่กระเป๋า
ปวรรุจอมยิ้ม “เธอพูดถึงคุณชายไหนเหรอ ที่ว่าขี้เก๊ก”
“ฉันพูดถึง หม่อมราชวงศ์คนนึงที่ฉันเคยรู้จักน่ะ นิสัยไม่ค่อยน่าคบสักเท่าไหร่ ตามประสาคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเคยตัว”
“ค่อยสบายใจหน่อย เพราะคงไม่ใช่ฉันแน่ๆ เพราะฉันไม่เคยถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจเลยสักครั้ง”
“คุณชายมาที่นี่ทำไม หรือว่าเป็นพวก Stalker แอบตามมาสอดแนมฉันถึงที่พัก”
“ฉันไม่ใช่พวกโรคจิต ตกลง เธอพักที่นี่”
“ใช่ค่ะ ฉันพักที่นี่”
ปวรรุจถามห้องอีก “ห้องนี้ใช่ไหม”
“เอ๊ะ ทำไมคุณชายรู้” วรรณรสาฉงน
ปวรรุจเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว อ้ายและเอื้อยเข้ามาสมทบ
“อุ๊ย คุณชาย คุณชายมาที่นี่ทำไมคะ” เอื้อยตื่นเต้น
“ฉันพักที่นี่”
สามสาวอุทานพร้อมกัน “พักที่นี่”
ปกรณ์เดินเข้ามาสมทบอีกคน สีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
“หนูอ้าย หนูเอื้อย คุณรสา มาทำอะไรที่นี่ครับ
“ฉันตอบแทนให้ ทั้งสามพักที่นี่ ในห้องเช่าของนาย”
ปกรณ์กะสามสาวอุทานพร้อมกัน
“ห้องพักฉัน” / “ห้องพักคุณปกรณ์”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
สามสาวและวรัทนั่งอยู่ในล็อบบี้ของอพาร์ทเมนท์ปกรณ์ และนั่งอยู่ต่อหน้าปวรรุจกับปกรณ์ ที่กำลังซักฟอกทั้งสี่คนอยู่
“ตกลงวรัท นายไปช่วยคุณสามสาวนี่ได้ยังไง” ปกรณ์ซัก
“คือว่าผมรู้จักกับคุณรสาน่ะครับ
“รู้จักมาก่อน? ตอนไหน? เมื่อไหร่?” ปกรณ์คาดคั้น
วรัทอึกอักไปไม่เป็น “ครับ คือ....เออ...” พลางมองมายังวรรณรสา ขอความช่วยเหลือ
แฝดมองหน้ากันอย่างออกพิรุธเล็กน้อย วรรณรสาโพล่งขึ้น
“วรัทรู้จักกับครอบครัวของฉันตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยค่ะ”
“ใช่ครับ รู้จักสมัยอยู่เมืองไทยครับ” วรัทผสมโรง
“แล้วบังเอิญเจอกันที่นี่งั้นเหรอ” ปวรรุจถาม
“ค่ะ บังเอิญเจอกันที่นี่” วรรณรสาว่า
วรัทรับลูกต่อ “ครับ...พอเจอกัน คุณรสาเลยให้ผมช่วยจัดหาที่พักให้น่ะครับ ไอ้ผมก็ไม่ทราบว่าคุณรสารู้จักกับคุณปกรณ์กับคุณชายมาก่อน”
ปวรรุจและปกรณ์มองหน้ากัน ไม่อยากเชื่อนัก
“เรื่องมันช่างบังเอิญเหลือเกินนะ”
“แหม...เรื่องบังเอิญมันเกิดขึ้นในชีวิตจริงออกบ่อยไปนะคะ” อ้ายช่วย
“มีอะไรจะซักถามฉันอีกไหมคะ”
วรรณรสาถามขณะมองมายังปวรรุจที่นั่งหน้าเฉย
“ไม่มี...แล้วนี่เธอจะไปไหนกันต่อ”
“เราจะออกไปทานมื้อค่ำน่ะค่ะ แล้วก็เดินเที่ยวอีกสักหน่อย”
“งั้นก็ทานด้วยกันเลยซี ไปที่ร้านของปกรณ์ เรามีดินเนอร์เหมือนกัน”
วรรณรสาเฉยชา แต่แฝดยิ้มระรื่นยินดี
“ขอเชิญทั้งสามท่านให้เกียรติร้านผมนะครับ”
อ้ายระรื่น “ยินดีให้เกียรติเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
อ้ายส่งตาหวานให้ปกรณ์ วรรณรสายังนั่งหน้าเชิดปั้นปึ่งใส่ปวรรุจ
วรัทเดินออกมาตรงทางเดินหน้าล้อบบี้พร้อมวรรณรสา
“เกือบไปแล้วนะขอรับฝ่าบาท”
“ยังดีที่พวกเขาเชื่อที่เราพูด”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอตัวกลับก่อน”
“ขอบใจมากวรัท”
วรัททำความเคารพแล้วออกจากอาคารไป ปวรรุจมาเห็นเข้าพอดียิ่งสงสัย ตรงมาหาวรรณรสา
“นายวรัททำอะไรน่ะ”
วรรณรสาสะดุ้ง “อะไรเหรอคะ”
“นายวรัททำท่าแปลกๆ กับเธอ เหมือนคำนับเธออย่างนั้น”
“นี่คุณชายคะ ยังสงสัยฉันไม่เลิกเสียที เห็นฉันเป็นสายลับสองหน้าอย่างในหนังเจมส์บอนด์หรือไง”
ปวรรุจขำ “ถ้าเป็นได้จริง เธอก็คงเป็นสายลับสาวที่ทรงเสน่ห์ที่สุด”
วรรณรสาอมยิ้ม
“เอาละ ฉันหายสงสัยในตัวเธอแล้ว ไปที่ร้านปกรณ์เถอะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว”
ปวรรุจเดินนำพาวรรณรสาออกไป
สามสาวตามปวรรุจและปกรณ์มาที่โต๊ะดินเนอร์ใหญ่ที่จัดเตรียมไว้แล้ว สองหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้สามสาวนั่ง
“เอ...นั่งโต๊ะใหญ่ขนาดนี้เชียวเหรอคะ” เอื้อยแปลกใจ
“ครับ เพราะอีกเดี๋ยว เราจะมีแขกมาสมทบด้วย ตามสบายนะครับ ผมขอดูอาหารในครัวหน่อย”
“เราก็ขอเข้าเรสท์รูมหน่อยนะคะ”
“ทางนี้เลยครับ”
อ้ายกะเอื้อยลุกไปเข้าห้องน้ำตามปกรณ์ไป เหลือปวรรุจและวรรณรสา
“แขกที่ว่าใครคะ”
“เธอคงรู้จักดี เพราะมาจากสถานทูต”
วรรณรสาฉงน
ท่านทูตพลเทพและคุณหญิงอารีก็เข้ามาในร้านพอดี ปกรณ์รีบออกมาต้อนรับ
“เชิญครับคุณลุง คุณป้า”
“นั่นไง มาพอดี ท่านเอกอัครราชทูตกับคุณหญิง”
รสานึกขึ้นได้ว่าท่านทูตเคยเห็นภาพของตนแล้ว ต้องจำตนได้แน่ ๆ ปกรณ์พาท่านทูตและคุณหญิงตรงมาหาปวรรุจ วรรณรสารีบฉากหลบแอบหลังปวรรุจ
“ไหนคะ สามสาวที่ว่าจะมาร่วมอาหารค่ำกับเราด้วย”
วรรณรสาเผ่นแนบออกไปทันที
“นี่ครับคุณรสา”
ปวรรุจหันมา วรรณรสาหายไปเสียแล้ว
“อ้าว....หายไปข้างไหนแล้วล่ะ” พลเทพงง
ปวรรุจยิ่งเป็นงง
วรรณรสาหลบมาได้รีบพุ่งมาที่หน้าห้องน้ำ โดยถือเสื้อโคล้ทมาด้วย อ้ายและเอื้อยออกมาจากห้องน้ำพอดี วรรณรสาสีหน้าเลิกลัก
“ท่านหญิง เป็นอะไรคะ” อ้ายแปลกใจระคนสงสัย
“รู้ไหมหนูอ้าย หนูเอื้อย มีใครเป็นแขกมาร่วมดินเนอร์กับเราด้วย”
“ยังไม่ทราบค่ะ” เอื้อยว่า
“ท่านทูตพลเทพน่ะซี”
สามสาวมองไปที่โต๊ะอาหาร เห็นปวรรุจและปกรณ์กำลังต้อนรับอยู่
“ท่านหญิงเอาไงดีล่ะคะ” เอื้อยถาม
“แสดงตัวเลยค่ะท่านหญิง ให้คุณชายรุจรู้ไปเลยว่าท่านหญิงคือใคร” อ้ายว่า
“ต้องสนุกแน่เลยค่ะ” เอื้อยเชียร์
“ไม่สนุกเลยสักนิด ถ้าท่านทูตรู้ว่าหญิงมาหาพี่ชายทัศน์ โดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน ท่านต้องรายงานเด็จพ่อทันที แล้วคราวนี้ละ หญิงเป็นโดนเฆี่ยนก้นลาย โทษฐานที่ทำตัวเป็นผู้หญิงก๋ากั่น”
“ไม่ใช่แต่ท่านหญิงนะคะ หนูอ้าย หนูเอื้อยต้องโดนพ่อแม่เฆี่ยนก้นลายเหมือนกัน เพราะร่วมกันก๋ากั่น” อ้ายจ๋องไป
“เอาไงดีคะ”
“หนูอ้าย หนูเอื้อยรับหน้าไป รสาจะออกไปเดินเล่นข้างนอก”
“ไม่ได้นะคะ ถ้าท่านหญิงไป เราไปด้วย” อ้ายไม่ยอม
“อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วงหญิง แล้วเรากลับไปเจอกันที่ห้องพัก”
วรรณรสาพูดจบ ก็รีบหลบออกทางหลังร้านทันที ปวรรุจเข้ามาพอดี แฝดตีหน้ามึนใส่
“นั่นรสานี่ ออกไปไหนน่ะ”
“เออ....คือ” อ้ายอีกอัก
“ออกไปเดินเที่ยวข้างนอกค่ะ” เอื้อยบอก
ปวรรุจงวยงง “ทำไมล่ะ ท่านทูตมาพอดี เผื่อมีปัญหาอะไรพวกเธอจะได้แจ้งสถานทูตได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราสองคนเป็นตัวแทนรสาก็แล้วกันนะคะ”
ปวรรุจมองแฝดอย่างสงสัยในท่าที ก่อนที่ปวรรุจจะผลุนผลันออกจากร้านไป
“คุณชายคะ จะไปไหน” อ้ายตกใจ
ปวรรุจไม่ตอบเดินออกไป แฝดทำท่าจะตามไป ปกรณ์เข้ามาพอดี
“หนูอ้าย หนูเอื้อยครับ เชิญมารู้จักกับท่านทูตไทยประจำกรุงเบิร์นหน่อยครับ”
แฝดชะงักไป
วรรณรสาออกมาเดินที่ถนนสายหนึ่งบรรยากาศแสนสวย ไฟพร่างพราว ปวรรุจตามมา วรรณรสาหันมามองงงๆ
“คุณชายตามฉันมาทำไม”
“ฉันมาตามเธอให้กลับไปที่ร้าน ท่านทูตพลเทพมาร่วมมื้อค่ำด้วย เธอจะได้ขอท่าน เรื่องที่จะติดรถเดินทางไปโลซานน์ไง”
“อ้าว ตกลงคุณชายเปลี่ยนใจไม่ห้ามฉันแล้วหรือคะ”
“ดูจากสภาพเธอแล้ว ฉันคิดว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ”
วรรณรสาฉงน “สภาพฉัน? คุณชายหมายความว่ายังไง”
“เลิกโกหกเสียที เธอไม่มีคนรู้จักที่นี่เลยใช่ไหม บอกความจริงมา อย่าพูดปด”
วรรณรสายังหน้าเชิดไม่บอกความจริง ปวรรุจมองอย่างคาดคั้น ท่านหญิงรสาอึดอัดเลยโพล่งออกมา
“ก็ใช่...ฉันมากับหนูอ้าย หนูเอื้อยแบบไม่ได้วางแผนอะไร เราก็ผจญภัยไปเรื่อยๆ คุณชายถามทำไม”
“ฉันเป็นห่วงเธอ”
“คะ”
“ฉันเป็นห่วงเธอ” ปวรรุจย้ำคำ
วรรณรสาเสียงอ่อนลงว่ากว่าเดิม “ห่วงฉัน เรื่องอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกนะที่ผู้หญิงจะเดินทางลำพัง โดยไม่มีญาติมิตรหรือคนรู้จักให้ที่พึ่งพิง”
“สวิตเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่...แต่สวิตก็ไม่ใช่ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก เมื่อสื่อสารไม่ได้ มันยิ่งยากไปกันใหญ่”
วรรณรสามอง ปวรรุจด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง
“แล้วฉันก็แน่ใจว่า เธอเองก็คงพูดเยอรมันสวิสไม่ได้เช่นกัน”
วรรณรสากำลังรู้สึกดีๆ กลับหน้าเชิดขึ้นมาใหม่ พูดอย่างถือดี
“ฉันเอาตัวรอดได้ค่ะ แล้วฉันก็จะเดินทางไปโลซานน์พรุ่งนี้อย่างสวัสดิภาพ”
“ฉันไม่แน่ใจ แค่เดินหนีฉันกลางจัตุรัสเมื่อเย็น เธอยังหลงทิศ”
วรรณรสาฉุนขึ้นมาที่ถูกดูแคลน “นี่คุณชาย หยุดยุ่งกับฉันเสียที แล้วก็เลิกตามฉันได้แล้วด้วย พรุ่งนี้ฉันจะไปโลซานน์ทางรถไฟ แล้วคุณชายก็ไม่ต้องห่วงฉันให้มากเรื่อง”
ปวรรุจถอนใจในความรั้น “กลับร้านเถอะ อาหารใกล้เสิร์ฟแล้ว”
ทว่าวรรณรสาเดินลิ่วไป ไม่ใช่ทางกลับร้าน
“เธอจะไปไหน”
“ฉันหมดความอยากรับประทานแล้วละค่ะ โดยเฉพาะร่วมโต๊ะกับคุณชาย”
ปวรรุจส่ายหน้าระอาใจ แล้วกลับเข้าร้านไป
อ้ายและเอื้อยร่วมโต๊ะกับพลเทพและคุณหญิงอารี คุณหญิงมองแฝดอย่างประเมินและอยากรู้อยากเห็น
บริกรเสิร์ฟของว่าง เพราะอิ่มและอั๋นยังไม่มา พลเทพมีสีหน้าสงสัย
“เอ...ชื่อรสาเหรอ ไม่คุ้น”
ปกรณ์แปลกใจ “เอ...คุณรสาบอกกับนายรุจว่ารู้จักคนที่สถานทูตดีนะครับ”
“ลุงไม่รู้จัก นามสกุลอะไรล่ะหนู” พลเทพมองหน้าแฝด
“เออ...นามสกุลเป็น แซ่น่ะค่ะ แซ่ฮ้อ” อ้ายบอก
พลเทพส่ายหน้ายิ่งไม่รู้จักใหญ่ อารีมองทั้งสองสาวอย่างไม่ศรัทธา
“แล้วคุณพ่อคุณแม่เธอล่ะชื่ออะไร นามสกุลอะไร เผื่อฉันจะรู้จัก”
“คุณหญิง ไม่เหมาะละมัง เรื่องส่วนตัวของเด็กๆ เขา” พลเทพปราม
“ในฐานะที่เราต้องดูแลคนไทยทุกคนที่นี่ ต้องถามค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ของหนูก็แซ่เหมือนกัน “แซ่ฉั่ว” ค่ะ” เอื้อยว่า
“อืมม์...ผู้หญิงสามคนมาเที่ยวกันลำพัง ไม่กลัวอันตรายเหรอ” อารีซักอีก
“ไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะเตี่ยสอนมวยจีนไท้เก็กให้เรา ไว้ต่อสู้เหล่าร้ายค่ะ”
พลางอ้ายทำท่ารำมวยจีน ส่งเสียงเหมือนรำงิ้วประกอบ ปกรณ์แอบขำ อารีรีบโบกมือห้าม
“พอ พอจ๊ะ...แสดงว่าทางบ้านอนุญาตให้มาแบบนี้”
“ค่ะ ทางบ้านอนุญาต” อ้ายบอก
อารีมองทั้งสองอย่างไม่ศรัทธาเอาเลย
“แล้วคุณพ่อคุณแม่ทำมาหากินอะไร”
“เตี่ยกับม่าค้าขาย เออ...ขาย...” เอื้อยดันนึกไม่ออก
จู่ๆ อ้ายร้อง “โอ๊ย” แล้วกุมท้อง
“หนูอ้าย เป็นอะไร” เอื้อยงง
“ปวดท้องค่ะ ขอตัวสักครู่นะคะ”
“ไป...เอื้อยพาไปห้องน้ำนะ”
แฝดลุกเดินไป อารีมองอย่างเขม่น ปกรณ์ทึ่งในการเอาตัวรอดของอ้าย
“แหม...เกิดปวดท้องกะทันหันขึ้นมาเชียว นี่คงไม่อยากตอบละซี” อารีอารมณ์เสีย
“ก็บอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา”
“คุณปกรณ์ ตกลงแม่สาวพวกนี้มีหัวนอนปลายเท้าสักแค่ไหน” อารีหันมาไล่เบี้ยปกรณ์แทน
“หัวนอนก็ไม่ทราบ ปลายเท้ายิ่งไม่รู้ใหญ่ โธ่...คุณหญิงป้าครับ ผมเพิ่งเจอพวกเขาวันนี้วันเดียวเอง”
อารีฮึดฮัดไม่ชอบใจ
แฝดบ่นกันขรมในห้องน้ำ
“ตายแล้ว อึดอัดจังเลย คุณหญิงป้าเธอช่างอยากรู้เรื่องของเราไปหมด” อ้ายว่า
“ใช่...ขืนหลุดปากไป ถ้าคุณหญิงรู้จักครอบครัวเรา ยิ่งแย่หนัก” เอื้อยบอก
“ไม่สนุกแล้ว หาทางหลบดีกว่า ตามรสาไปหามื้อค่ำทานกัน” อ้ายออกไอเดีย
เอื้อยยิ้ม “เข้าท่า”
สองแฝดยิ้มระรื่นให้กัน
อั๋นและอิ่มเข้ามาสมทบที่โต๊ะอาหารแล้ว อิ่มแต่งตัวเว่อร์เต็มที่แต่ไม่ถูกกาละเทศ สอดตามองหาปวรรุจ
“อ้าว มากันแล้ว ทำไมสายนักล่ะ” พลเทพทัก
“คุณอิ่มน่ะซีครับ แต่งตัวช้ามาก เปลี่ยนไม่รู้กี่ชุดกว่าจะออกมาได้” อั๋นบ่น
“อิ่มต้องสวยเป็นพิเศษในคืนนี้ ชุดต้องสมเกียรติสมฐานะคุณชายปวรรุจ เอ๊ะ แล้วคุณชายอยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“ออกไปข้างนอกสักครู่น่ะครับ เดี๋ยวคงกลับมา”
ปกรณ์ว่า พลางเลื่อนเก้าอี้ให้อิ่ม
“คุณชายเป็นยังไงบ้างคะป้าหญิง”
“หล่อ ภูมิฐาน น่ารักเชียวละ ตางี้คมกริบเชียว”
อิ่มยิ้มย่อง “ฮิฮิ...แสดงว่ายังทรงพระหล่อเหมือนเดิม ไม่นึกเลยว่าจะได้ใกล้ชิดอีกครั้ง”
ปกรณ์งง “หืมม์ คุณอิ่มเคยใกล้ชิดเจ้ารุจมาก่อนเหรอครับ”
อิ่มบอกด้วยท่าทีเคลิ้มฝัน “ค่ะ ครั้งนึง ไม่นานมานี้ อิ่มเคยได้เข้าเฝ้าคุณชาย คุณชายทูลถามอิ่มเรื่องส่วนพระองค์ของอิ่มหลายเรื่องเลยค่ะ แสดงว่าคุณชายสนพระทัยอิ่มมาก”
อิ่มยิ้มเคลิ้มฝัน ทุกคนมองหน้ากัน ปกรณ์กลั้นหัวเราะ
“คุณอิ่ม บอกแล้วไงว่าอย่าใช้ราชาศัพท์ มั่วไปหมดแล้ว แล้วที่ไปเจอคุณชายน่ะ เป็นเรื่องบังเอิญเจอที่ดอนเมือง ไม่ได้พูดอะไรกันสักหน่อย” อั๋นชักฉุน
“ยังไงก็ถือว่าเจอล่ะค่ะ”
อิ่มค้อนอั๋น จังหวะนั้นปวรรุจกลับเข้าพอดี อารีเห็นเข้า
“หนูอิ่ม นั่นคุณชายมาแล้ว”
อิ่มรีบลุกพรวด ยืนต่อหน้าปวรรุจที่ยังงงๆ อิ่มถอนสายบัวด้วยท่าที่ฝึกมาแล้ว
“คุณชายเพคะ อิ่มขอถวายบังคม”
ปวรรุจมองอิ่มอย่างงุนงง
“อย่าใช้ราชาศัพท์ผิดซีครับ หม่อมราชวงศ์ใช้คำแบบสามัญชน” ปวรรุจดุ
อิ่มเอ๋อไป อั๋นลุกขึ้นอย่างให้เกียรติ
พลเทพแนะนำ “คุณชาย นี่อิ่ม อั๋น หลานผม ทั้งคู่เพิ่งมาเรียนที่สวิตเมื่อเดือนก่อนนี่เอง”
“สวัสดีครับ ผมหม่อมราชวงศ์ปวรรุจ จุฑาเทพ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณทั้งสอง”
อั๋นมองชายรุจอย่างชื่นชมในความสง่างาม อิ่มตาลอย
ปกรณ์มองเลยไปที่ทางออกร้าน เห็นว่าสองแฝดกำลังชิ่งเตรียมหยิบโคล้ทมาใส่ จะออกจากร้าน
“ขอตัวสักครู่ครับ”
ปกรณ์รีบแยกตัวออกมาทันที
ปกรณ์วิ่งมาหาแฝด
“หนูอ้าย หนูเอื้อยจะไปไหนครับ”
“เออ....เราเป็นห่วงรสาค่ะ อยากไปตามรสา” อ้ายว่า
“ผมรู้นะ คุณไม่ได้ห่วงรสาหรอก แต่รำคาญคุณหญิงป้าใช่ไหมล่ะ”
แฝดมองหน้ากัน แล้วยอมรับพยักหน้า
“ตอนนี้ไม่ต้องห่วงว่าคุณป้าเธอจะถามซอกแซกแล้วละครับ เพราะแขกมาใหม่จะไม่จะทำให้คุณป้ามาสนใจพวกคุณอีกเลย”
แฝดมองหน้ากันอย่างสนใจในแขกที่มาใหม่
อิ่มกำลังคุยจ้อกับปวรรุจ โดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูด
“คุณชายคงจำอิ่มได้นะคะ เราเจอกันแม้เพียงเวลาสั้นๆ แต่มันมีความหมายมาก”
“ที่ไหนเหรอครับ”
“แหม...ก็ที่ดอนเมืองไงคะ อิ่มและพี่อั๋นเข้าไปแนะนำตัวให้คุณชายและพี่น้องของคุณชายรู้จัก ทำไมลืมแล้วก็ไม่รู้”
“อ้อ...พอจะจำได้แล้ว”
“จำได้แล้วใช่ไหมคะ” อิ่มเนื้อเต้น
“ครับ จำได้ว่าคุณอิ่มพูดกับพวกผมเหมือนเราเป็นหม่อมเจ้า หรือพระองค์เจ้า ทั้งๆ ที่เราเป็นแค่สามัญชน อย่าลืมซีครับ”
อิ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก ปกรณ์พาสาวแฝดเข้ามาร่วมโต๊ะอีกครั้ง
“ขอแนะนำครับหนูอ้าย หนูเอื้อย นี่หลานของท่านทูต คุณอั๋น และคุณอิ่มครับ”
อั๋นมองอ้ายกับเอื้อยด้วยอาการตะลึงในความสวย อิ่มมองแฝดยิ้มแย้ม
สาวแฝดยิ้มให้อั๋นและอิ่ม อ้ายยิ้มหวานรับอิ่ม แต่แล้วคลายยิ้ม อิ่มเองก็มองอ้ายอย่างพินิจแล้วคลายยิ้มเช่นกัน
“เอ๊ะ...หล่อน...ยายกุ้งแห้งใช่ไหม”
“ยายปักเป้า”
ทั้งโต๊ะมองอ้ายและอิ่ม อย่างงุนงง
ครู่ต่อมาอิ่มเอะอะเอาเรื่องกับปกรณ์อยู่มุมร้าน อั๋นยืนอยู่ด้วย
“อิ่มไม่ขอร่วมโต๊ะกับยายผีญี่ปุ่นค่ะ ต้องไล่มันออกไป”
“คงจะไล่ไม่ได้หรอกนะครับ เพราะเขาเป็นแขกของผม”
“คุณปกรณ์” อิ่มฉุนขาด
“เสียใจจริง ๆ ครับ ถ้าคุณอิ่มไม่ร่วมโต๊ะ ก็ต้องแยกไปนั่งโต๊ะอื่น ดีไหมครับ” ปกรณ์ว่า
“ไม่ได้หรอกครับ จะแยกโต๊ะได้ยังไง คุณลุงกับคุณป้าก็อยู่ด้วย คุณอิ่ม อย่าให้เป็นเรื่องเลย เกรงใจคุณลุงคุณป้าบ้าง”
อิ่มโกรธทำหน้าเป็นปลาปักเป้าที่อ้ายเคยล้ออีกครั้ง ปกรณ์กลั้นหัวเราะ จังหวะนั้นอ้ายและเอื้อยเดินผ่านมาพอดี
“หนูอ้ายครับ เชิญทางนี้หน่อย”
อ้ายและเอื้อยเข้ามาเผชิญหน้ากับอิ่ม อั๋นมองเอื้อยอย่างชื่นชม เริ่มเห็นความแตกต่างของแฝด อั๋นจ้องจนเอื้อยต้องหลบสายตา
“ขอให้ยุติศึกชั่วคราวเถอะนะครับ เห็นแก่ผู้ใหญ่ แล้วเราก็ทานมื้อค่ำกันอย่างปรองดอง ดีไหมครับ”
“อ้ายไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ”
“แต่ฉันมี” อิ่มไม่ยอม
“งั้นเคลียร์กันเอาเองนะคะ”
อ้ายและเอื้อยจะแยกไป
“เดี๋ยว ฉันจะขอร้องเธอ ให้เธอย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น ได้ไหม” อิ่มบอก
“เพื่ออะไรคะ” เอื้อยไม่พอใจ
“คนในครอบครัวฉันจะทานอาหารกันลำพัง ไม่ควรมีคนนอกมายุ่ง อีกอย่างเราจัดดินเนอร์คืนนี้ เพื่อเลี้ยงเป็นเกียรติคุณชายปวรรุจ พวกสามัญชน ลูกพ่อค้าวาณิชใช้ “แซ่ฉั่ว” อย่างหล่อน ไม่สมควรมาร่วมโต๊ะ”
อ้ายเถียง “เอ...งานนี้ใครเป็นเจ้าภาพกันแน่คะ คุณปกรณ์กับคุณชายไม่ใช่เหรอ ทั้งสองชวนฉันมาร่วมดินเนอร์ ส่วนเธอ...เป็นแค่แขกเหมือนฉัน อย่ามาตู่ว่าเป็นเจ้าภาพหน่อยเลย อีกอย่างเธอเป็นเจ้าเป็นนายเหมือนคุณชายเหรอคะ”
“ฉันเป็นหลานสาวท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบิร์น คุณพ่อคุณแม่ฉันเป็น....”
อ้ายสุดทน “หยุด ไม่ต้องจาระไน ไม่อยากฟัง ถ้าไม่ได้มียศจั่วหัวไว้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ มันก็ไพร่สามัญชนด้วยกันทั้งนั้น”
อิ่มเหวอ “หา...”
“คุณปกรณ์คะ ฉันจะร่วมโต๊ะกับคุณชาย และจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่างานเลี้ยงจะเลิก” อ้ายบอกเสียงดังฟังชัด
“รับทราบครับ”
อ้ายและเอื้อยสะบัดพรืดไป
ปกรณ์มองอ้ายอย่างทึ่งๆ หันมาเห็นอิ่มทำหน้าเป็นปลาปักเป้า หอบหายใจด้วยความโกรธ
“คุณอิ่มถ้าไม่พอใจ กลับก่อนก็ได้นะครับ”
ปกรณ์พูดจบก็แยกตัวไป
“พี่อั๋น ไม่ช่วยอิ่มเลยนะคะ”
“พี่ช่วยอิ่มไม่ได้หรอก กลับไปที่โต๊ะเถอะแล้วทำตัวให้เรียบร้อย”
อั๋นแยกไปอีกคน คุณหญิงอารีเข้ามาพอดี
“หนูอิ่ม ตกลงจะให้ยายสองสาวนั่นร่วมโต๊ะกับเราไหม”
“มันยืนยันว่าจะร่วมโต๊ะค่ะ”
“ท่าทางไร้สกุลรุนช่องเสียเหลือเกิน เมื่อกี้ทำท่าจะรำมวยจีนให้ป้าดูด้วย”
“มันไพร่ค่ะ คุณหญิงป้า ไพร่จริงๆ แต่ก็ดีค่ะ”
“ดียังไง” อารีฉงน
“คุณชายจะได้เห็นไงคะ ว่าคนไหนหญิงไพร่ คนไหนหญิงสูงศักดิ์ เธอคงแยกแยะได้ไม่ยากใช่ไหมคะหญิงป้า”
“ถูกต้องจ้ะ”
ป้าหลานหัวเราะคิก อิ่มทำท่าสูงศักดิ์เต็มที่
ขณะทานอาหาร อิ่มทานอย่างค่อนข้างมูมมาม
“การประชุมครั้งนี้ใช้เวลาประมาณสองเดือนครับ” ปวรรุจเอ่ยขึ้น
“สั้นจัง แล้วคุณชายไม่มีเวลาเที่ยวบ้างเหรอคะ” อิ่มบ่น
“ก็คงมีช่วงสั้นๆ น่ะ ปกรณ์วางแผนให้ผมหมดแล้ว”
“ไปเที่ยวเมื่อไหร่ อิ่มขอเสด็จตามไปเที่ยวส่วนพระองค์ด้วยนะคะ”
พูดพลางอิ่มส่งสายตาเยิ้มให้ ปวรรุจอึดอัดกับราชาศัพท์ผิดๆ ของอิ่ม แต่คร้านจะเตือน อ้าย เอื้อย ปกรณ์แอบขำ อิ่มรวบช้อน
“อ้าว อิ่มแล้วเหรอหนูอิ่ม” คุณหญิงถาม
“อิ่มแล้วค่ะคุณป้า”
“เดี๋ยวก็ซูบผอมไปเท่านั้น แม่เราจะมาค่อนป้าได้ว่าเอาลูกเขามาเลี้ยงอดๆ อยากๆ”
“อุ๊ย...อิ่มซูบไปเหรอคะ คุณชาย อิ่มซูบเหรอเพคะ” อิ่มวิตกจริต
ปกรณ์ชิงตอบ “ไม่ซูบเลยสักนิดครับ เมื่อเทียบกับ” มองไปทางอ้ายกับเอื้อย “สาวๆ จากพระนคร”
“อุ๊ย...” อิ่มแดกดัน “สาวๆ พระนครเดี๋ยวนี้คิดยังไงกันก็ไม่รู้ ผอมแห้งราวกับไม้เสียบผี”
อ้ายชักสีหน้าเตรียมเอาเรื่อง เอื้อยห้ามไว้
อิ่มพ่นต่อ “เอะอะก็บอกว่าเป็นสมัยนิยม แต่อิ่มเห็นแล้วสังเวชค่ะ จะสวยสู้คนมีเนื้อมีหนังไม่ได้แน่ๆ ดูภาพวาดโมนาลิซ่าไงคะ อมตะมาหลายร้อยปี อวบอิ่มแค่ไหน”
“แหม หนูอิ่มพูดมีหลักการ” อารีชม
“หญิงเจ้าเนื้อดูมีอันจะกินค่ะ จัดอยู่ในกลุ่มสตรีผู้เลอโฉม” อิ่มปรายตาไปทางเอื้อย และอ้าย “แต่ถ้าผอมโกรก เหมือนซากคางคกถูกทับ ถือว่าเป็นชนชั้นล่าง”
อารีชมอีก “จริง....แหม...นี่ต้องเรียนทั้งประวัติศาสตร์สังคม ทั้งประวัติศาสตร์ศิลป์เลยนะเนี่ย เก่งจัง”
อิ่มยิ้มภูมิใจ ปวรรุจ ปกรณ์ และท่านทูตแทบจะอิ่มเดี๋ยวนั้น
อ้ายทนไม่ไหว แทรกขึ้น “ค่ะ...สวยมีเนื้อมีหนังน่ะถือว่าสวยจริงๆ ค่ะ นางเอกอย่างวิไลวรรณ อมรา สวยอวบอิ่มทั้งนั้น แต่อวบเกินเข้าไปเกือบร้อยโล อ้ายว่ามันก็....เรียกว่า...” อ้ายเว้นวรรค
อิ่มซักทันที “เรียกว่าอะไร”
“สวยค่ะ”
“ขอบใจที่ชม”
อ้ายต่อให้ “สวยเสมอนางยักษ์แปลงน่ะค่ะ”
อิ่มสำลักกาแฟ ถุยพรวดออกมากลางวง อารีหวีดร้อง เอื้อยร้องตาม ปกรณ์เอะอะ อั๋นสะดุ้ง
เฮือกเช่นเดียวกับปวรรุจ ทั้งหมดเด้งลุกออกจากโต๊ะ
“ทะ...โทษค่ะ คุณชายรุจ อิ่มไม่ได้ตั้งใจ ยายกุ้งแห้งคนนี้ ผีเจาะปากมันมาแน่ๆ เลยค่ะ มันว่าอิ่มเป็นนางยักษ์”
ปกรณ์เคลียร์ “เออ....ผมว่าเราเคลียร์โต๊ะก่อนดีกว่านะครับ เชิญไปทำความสะอาดกันตามอัธยาศัย”
“ตายละ ผ้าซาตินของฉัน” อารีโวย
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนครับคุณป้า คุณอิ่ม มานี่เลย”
อั๋นพาอารีและอิ่มแยกไปทางห้องน้ำ
“ขอโทษด้วยนะเด็กๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะท่าน” เอื้อยยิ้มเยื้อน
พลเทพระอาใจ ตามไปอีกคน
อ้าย และเอื้อยทำท่าจะกลับ ปกรณ์รีบตามมา ปวรรุจตามมมาอีกคน
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
“อยู่ไป อาจจะต้องถึงขั้นสาดด้วยน้ำปลาพริก ฉันขอแยกตัวดีกว่า” อ้ายโมโหไม่หาย
“อย่าเลยครับ ท่าทางทางนั้นคงจะกลับก่อนแล้วละครับ” ปกรณ์ว่า
“เราไม่อยากอยู่ให้เสียบรรยากาศค่ะ” เอื้อยบอก
“ไม่เสียเลยครับ ผมขอบคุณหนูอ้ายด้วยซ้ำ”
อ้ายงง “ขอบคุณฉันเรื่องอะไรคะ”
“ก็ที่ตอกกลับยายคุณอิ่มน่ะซีครับ ผมรำคาญจะแย่แล้ว เพิ่งมีคุณนี่แหละที่กล้ากับยายคุณอิ่ม”
“แต่เราก็ไม่อยากอยู่อยู่ดี เราเป็นห่วงรสาด้วยน่ะค่ะ ป่านนี้หลงไปไหนๆ แล้วไม่รู้”
“นั่นซี ยิ่งหลงทิศง่ายๆ อยู่ด้วย”
ปวรรุจคิดตาม เพราะเพิ่งเห็นการหลงทิศของวรรณรสา
“เอาอย่างนี้ เธอรอที่นี่ก่อน ฉันจะไปตามรสาให้”
แฝดมองหน้ากัน ปกรณ์ยิ้มคะยั้นคะยอให้สองสาวอยู่ต่อ
ปวรรุจตามหาวรรณรสา ในที่สุดก็เห็นเธอเดินอยู่หน้าร้านค้า ออกอาการหนาวสะท้านเมื่อลมมาปะทะใบหน้า ปวรรุจเดินเข้ามา วรรณรสาสะดุ้ง
วรรณรสาเสียงสั่นเพราะอากาศหนาว “ตามมาอีกแล้ว”
“เธอควรกลับที่พักได้แล้ว อากาศกำลังเย็นลงเรื่อยๆ เธอจะไม่สบาย”
“หนูอ้ายให้มาตามฉันเหรอคะ”
“ฉันมาตามเองต่างหาก” ปวรรุจมองมาอย่างเป็นห่วงจริงๆ เสียงอ่อนโยน “ทานอะไรรึยัง”
วรรณรสารู้สึกถึงความอ่อนโยนนั้น หลบตาเข้มคมของปวรรุจ พลางส่ายหน้า
“ยังค่ะ ฉันไม่อยากทานอะไรหนักๆ”
“งั้น....ร้านกาแฟเล็ก ๆ นั่นน่าจะเหมาะ”
รสามองตามปวรรุจไป เห็นร้านกาแฟขนมน่านั่ง วรรณรสายิ้มออกมาได้
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ครู่ต่อมาสองคนอยู่กลางบรรยากาศอบอุ่นอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนั้น มีขนมเค็กและไอศกรีมวางเบื้องหน้า วรรณรสารู้สึกดีขึ้น
“ค่อยยังชั่ว อุ่นขึ้นเยอะเลย”
ปวรรุจจ้องวรรณรสานิ่ง
“ยังมีอะไรที่เธอปิดบังอยู่อีกรึเปล่า”
“ฉันปิดบังอะไรคุณชายไม่ทราบ”
“ก็ที่จับได้ก็หลายเรื่องอยู่ ตอนที่เธอออกมาจากร้าน เธอหลบหน้าใครรึเปล่า”
“ฉันไม่ได้หลบใคร ทำไมคุณชายคิดอย่างนั้น”
“ท่าทางเธอลับๆ ล่อๆ ฉันกำลังสงสัยว่าเธอเดินทางมาครั้งนี้เพราะหนีออกมาจากบ้าน หรือทำอะไรผิดมารึเปล่า”
“นี่....ฉันไม่ใช่ผู้ร้ายข้ามประเทศนะคะ บอกแล้วไงว่าฉันมาเที่ยวแบบผจญภัย ฉันอยากออกมาท่องโลก สนุกให้สุดเหวี่ยง ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสอีก เพราะ...”
“อะไร”
วรรณรสาคิดว่าจะบอกดีไหม แล้วที่สุดก็บอก “ก่อนที่ฉันจะแต่งงาน”
ปวรรุจเลิกคิ้ว
“เข้าใจละ”
“บอกความจริงอีกเรื่องก็ได้ คู่หมั้นฉันอยู่ที่โลซานน์”
“ขอบใจที่บอกความจริง ฉันก็เลยคิดว่าฉันจะช่วยเธอเรื่องการเดินทาง”
“ยังไงคะ”
“ฉันจะพาเธอไปโลซานน์เอง”
วรรณรสามองปวรรุจอย่างทึ่งๆ
ขณะเดียวกันอิ่ม อารี พลเทพ นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะเดิม ที่เคลียร์อาหารออกหมดแล้ว อิ่มสะอื้นไห้ เห็นอ้ายนั่งอยู่กับปกรณ์อีกด้านหนึ่งของร้าน
“อิ่มเสียใจค่ะ มันว่าอิ่มเป็นนางยักษ์นางมาร แล้วตอนนี้คุณชายก็เด็จไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“เห็นว่าไปตามแม่เพื่อนของยายฝาแฝดนั่น” อารีบอก
“ดูซีคะคุณป้า คุณชายไม่ใยดีอิ่มเลย”
“ฉันว่าเรานั่นแหละที่ควรจะกลับได้แล้ว” พลเทพตัดบท
“งั้นก็กลับเถอะ”
อิ่มลุกขึ้น พอดีกับพนักงานกำลังเสิร์ฟของหวานเป็นพายแอปเปิ้ลพอดี เดินผ่านหน้าอิ่มไป
“อุ๊ย....อย่าเพิ่งกลับเลยค่ะ ยังไม่ได้ทานของหวานเลย” อิ่มว่า
“เอางั้นเหรอ” คุณหญิงงง
“ค่ะ ขออิ่มได้ทานพายแอ๊ปเปิ้ลหน่อยนะคะ ไม่งั้นอิ่มนอนไม่หลับแน่ๆ เลย”
พลเทพและอารีเลยต้องลงนั่งอย่างเบื่อ ๆ
เอื้อยออกมาจากห้องน้ำ เจอเข้ากับอั๋นที่ออกมาจากห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง เอื้อยยิ้มให้ อั๋นเขิน เอื้อยจะเลยไป
“หนูเอื้อยครับ”
“คะ”
“ผมขอโทษแทนคุณอิ่มด้วย น้องผมพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ละครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเอื้อยก็ขอโทษแทนหนูอ้ายเหมือนกัน หนูอ้ายก็พูดแรงเหลือเกิน”
“หนูเอื้อยจะอยู่ที่เบิร์นแค่วันเดียวเหรอครับ”
“ค่ะ พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปโลซานน์”
“เสียดายจัง น่าจะอยู่นานๆ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ผมจะได้....” อั๋นนึก “พาเที่ยวไงครับ ถึงผมจะมาอยู่ได้แค่สองเดือน แต่ผมก็ชำนาญกรุงเบิร์นเป็นอย่างดี”
“อยากเที่ยวต่อเหมือนกันค่ะ เป็นไปได้กลับจากโลซานน์แล้ว เราอาจจะแวะมาที่เบิร์นอีกก็ได้”
“จริงนะครับ ผมจะรอนะ”
อั๋นพูดแล้วยิ่งเขิน หน้าแดง หูแดง อั๋นเขินจนเผลอดึงหูตัวเองเล่น เอื้อยหัวเราะขำ อั๋นหัวเราะตาม เขินเต็มที และยิ่งดึงหูตัวเองใหญ่
วรรณรสามีท่าทีอ่อนลงขณะเดินคู่กับปวรรุจ มาถึงหน้าที่พัก
“แน่ใจนะว่าจะไม่แวะร้านปกรณ์”
“ฉันอิ่มแล้วละค่ะ คุณชายจะไปส่งฉันที่โลซาน แล้วงานของคุณชายล่ะคะ”
“ฉันมาถึงที่นี่ล่วงหน้าหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นก็เลยยังพอมีเวลา ฉันขออนุญาตท่านทูตไว้แล้วด้วย อีกอย่างโลซานน์กับเจนีวาก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่”
“ขอบคุณค่ะ...ทำไม...ถึงไปส่งฉัน”
“บอกแล้วไงว่าฉันเป็นห่วงเธอ” ปวรรุจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยง อย่างห่วงใย
วรรณรสามองหน้าปวรรุจด้วยอาการเป็นปลื้ม ปวรรุจหันกลับมา ท่านหญิงรีบหลบตา ทั้งสองเข้าตัวตึกไป
ครู่หนึ่งนั้นปวรรุจมาส่งวรรณรสาที่หน้าห้อง
“ตลกนะ”
“ทำไมคะ”
“วันนี้ทั้งวัน เราร่ำลากันสามครั้ง แล้วเราก็กลับมาเจอกันอีกจนได้ แถมตอนนี้เราก็จะลากันอีก โดยที่เราอยู่ห้องติดกันนิดเดียว”
วรรณรสาหัวเราะ ปวรรุจหัวเราะตาม
“มันคือโชคชะตามังคะ”
ปวรรุจมองหน้าวรรรสาอย่างเห็นด้วย จนอีกฝ่ายต้องเก้อเขินอีกครั้ง
“ราตรีสวัสดิ์รสา”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณชาย”
วรรณรสาเปิดประตูห้องจะเข้าไป ปวรรุจยังมองอยู่
“รสา”
“คะ”
“ทำไม....ฉันรู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนล่ะ”
แวบนั้นวรรณรสายิ้มสว่างขึ้นทันที
“เมื่อไหร่คะ” วรรณรสาหยั่งเชิง
“จำไม่ได้ คงนานมาก แล้วเธอล่ะ เคยรู้จักฉันบ้างไหม”
“มันคงนานมากแล้วละมังคะ”
“ใช่นานมาก จนเธอเองก็จำไม่ได้ใช่ไหม”
วรรณรสาไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
“แต่เธอ....ทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน ตั้งแต่สมัยเด็ก”
“ใครคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ฝันดี”
ปวรรุจแยกกลับไปที่ห้องตน วรรณรสายังมองตามด้วยสายตาปลื้มปิติ
วรรณรสาเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงกับที่นอนนุ่ม
“ในที่สุด พี่ชายรุจก็จำหญิงได้ ถึงแม้ว่าจะจำไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม”
ฟากคุณชายปวรรุจเข้ามาในห้อง ครุ่นคิด
“รสา ชื่อละม้ายกับท่านหญิงเหลือเกิน”
ปวรรุจลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ยิ้มเมื่อนึกถึงวรรณรสา
วรรณรสาอยู่บนเตียง ประหวัดถึงปวรรุจเช่นกัน
“พี่ชายเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่เด็กที่ชอบแกล้งน้องหญิงคนนั้นอีกแล้ว”
ทั้งสองคนต่างถอนใจพร้อมๆ กัน
เวลาประมาณบ่ายสอง ในวันต่อมาเกษรากำลังดูแลกระถินให้ฝึกทำขนม ป้าแย้ม และแหววช่วยอยู่อีกมุม กระถินนั่งหน้าเศร้าเต็มที ปั้นแป้งไม่เป็นตัว เนื้อตัวเปื้อนแป้งไปหมด
“เป็นอะไรกระถิน มาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังทำหน้าเศร้าอยู่อีก” เกษราถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันคิดถึงบ้านค่ะ คิดถึงแม่”
“เรามาอยู่ที่นี่ เพื่อฝึกการเป็นแม่บ้านแม่เรือนนะกระถิน เราต้องอดทน” เกษราปลอบ
“อยู่ที่บ้าน ไปเก็บมะพร้าว เล่นกับลูกนายเหมือง ไปตกปลา ไม่เห็นต้องมาทำการบ้านการเรือนเลย เบื่อ”
“ก็เพราะเราจะเล่นไปวันๆ ทำตัวเป็นเด็กแบบนั้นไม่ได้แล้วน่ะซีคะ น้องกระถิน เราจะออกเรือนเป็นเจ้าสาวของคุณชายรุจแล้ว ต่อไปคุณชายรุจอาจได้เป็นถึงท่านทูต หรือเอกอัครราชทูตประจำเมืองฝรั่ง น้องกระถินก็จะได้เป็นถึงภริยาท่านทูต โก้เชียวนะ” เกษราร่ายยาว
“หา....ต้องไปอยู่เมืองฝรั่งเหรอ ฉันไม่ไปนะ”
“ทำไมละคะ ได้ไปอยู่เมืองนอก ใครๆ เขาก็อยากไป” แย้มว่า
“ไม่....ฉันไม่อยากแต่งกับคุณชายรุจ ฉันไม่อยากเป็นเมียขี้ทูต ฉันอยากกลับบ้านไปหา ฮือๆ ไปหา...พี่คล้าว”
กระถินสะอื้นอีกครั้ง สามนางหยุดกิจกรรมทันที มองหน้ากัน
“พี่คล้าว ใครกัน”
“พี่คล้าว พี่ชายฉัน” กระถินบอก
เกษรางุนงง แย้มกะแหวว มองหน้ากัน งุนงงไม่แพ้กัน
เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 11 ชั่วโมง ปกรณ์กำลังช่วยลำเลียงกระเป๋าเดินทางของสามสาวขึ้นท้ายรถ อ้ายและเอื้อย ช่วยอยู่ด้วย
“ขอบคุณสักล้านครั้งนะคะคุณปกรณ์ ที่ช่วยขับรถพาเราไปโลซานน์ครั้งนี้”
“จะให้เราตอบแทนยังไงก็บอกได้เลยนะคะ” เอื้อยเสริม
“อยากให้ตอบแทนอยู่อย่างน่ะครับ” ปกรณ์ว่า
อ้ายฉงน “อะไรคะ”
“อยากให้หนูอ้าย หนูเอื้อยอยู่สวิตนานๆ น่ะครับ”
สองสาวแฝดหัวเราะกิ๊ก
ครู่ต่อมาวรรณรสาออกมาจากตึก แต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษ สะพายกระเป๋าย่ามซึ่งในนั้นกระเป๋ามีตุ๊กตา ไบลด์ ลิลลี่ ท่านหญิงเดินมาที่ ปวรรุจที่กำลังคุยอยู่กับวรัท ทั้งสองยังไม่ทันรู้ว่าวรรณรสาเข้ามายืนฟัง
“วันนี้ผมจะขับรถพาท่านทูตไปเจนีวาก่อน แล้วคุณชายค่อยตามไปนะครับ นี่ครับ...ที่พักของเรา”
ปวรรุจรับนามบัตรมา “วรัท เมื่อวานนายพูดถึงท่านหญิงแต้วใช่ไหม”
วรรณรสาสะดุ้งนิดๆ
“ใช่ครับ มีอะไรหรือครับ”
“เห็นว่าส่งนายจดหมายถึงท่านหญิงบ่อยๆ เคยเห็นรูปถ่ายท่านหญิงบ้างไหม”
“ก็...เออ...เคยครับ”
“พอจะมีรูปให้ฉันดูบ้างได้ไหม”
“ตอนนี้คงไม่มีหรอกครับ คุณชายอยากดูไปทำไมล่ะครับ”
“ฉันอยากเห็นท่านหญิงปัจจุบัน เคยจำได้แต่สมัยท่านหญิงทรงพระเยาว์”
“คุณชายเคยรู้จักท่านหญิงสมัยเด็กๆ เหรอครับ”
“ใช่.....ฉันเคยไปเล่นที่วังอรุณรัศมิ์ของท่านบ่อยๆ”
วรรณรสายิ้มปลื้มที่ปวรรุจจำได้
“อีกอย่างเมื่อคืนท่านทูตเล่าว่า ท่านหญิงทรงสิริโฉมงดงามมาก ฉันเลยอยากเห็น”
วรรณรสาอมยิ้ม วรัทหันมาพอดี สะดุ้งเฮือกเผลอหลุดปาก
“อุ๊ย...ท่านหญิง”
ปวรรุจหันตามมา มองวรรณรสาอย่างตะลึง วันนี้ท่านหญิงสวยงดงามเป็นพิเศษ
“เป็นอะไรเหรอวรัท ท่านหญิงอะไร”
“ปละ เปล่า ครับ คุณชายถามถึงท่านหญิงพระองค์หนึ่ง ผมก็เลยอุทานออกมาตามประสาบ้าจี้น่ะครับ” วรัทว่า
“ท่านหญิงไหนคะคุณชาย”
“ท่านหญิงที่ผมเคยรู้จักสมัยเด็กน่ะครับ ชื่อว่าท่านหญิงแต้ว”
ปวรรุจมองรสาแล้วมีอาการเหมือนรำลึกได้บางอย่าง เค้าหน้าของวรรณรสาละม้ายหญิงแต้ว แต่
ปวรรุจก็สลัดความคิดนั้นออกไปทั้งหมด วรัทมองทั้งคู่ที่ประสานสายตากันอย่างงง ๆ แล้วแว้บไปหากลุ่มปกรณ์
วรรณรสาเขินสะเทิ้นไปเล็ก ๆ “ทำไมจ้องฉันอย่างนั้นละคะคุณชาย”
ปวรรุจยิ้มอย่างอบอุ่น “โทษ....คุณทำให้ผมคิดถึงใครบางคน”
“ใครคะ ท่านหญิงพระองค์นั้นเหรอ”
ปวรรุจยิ้ม “ท่านหญิงพระองค์นั้นผมจำท่านไม่ได้เสียแล้ว แต่วันนี้คุณรสาจะทำให้ผมจำคุณได้แม่นยำทีเดียว”
วรรณรสาฉงน “ทำไมคะ”
“คุณรสาสวยมากครับ”
วรรณรสาหัวเราะ “ขอบคุณค่ะ”
“คงเป็นอาณุภาพของความรัก”
“คะ”
“คุณจะได้พบคู่หมั้นของคุณในวันนี้ไงครับ”
“อ้อ”
ปกรณ์ตะโกนดังเข้ามา “อย่าช้าเลยครับ เราออกเดินทางกันเลยดีกว่า”
ทั้งสองเดินไปที่รถ วรัทรีบเข้ามาหาวรรณรสา อ้าย เอื้อย กระซิบบอก
“นี่โรงแรมที่ท่านชายทัศน์ประทับอยู่ฝ่าบาท”
“ขอบใจมากวรัท”
“สาวๆ ครับ ขึ้นรถเลยครับ” ปกรณ์บอก
สามสาวขึ้นรถ ปวรรุจและปกรณ์นั่งตอนหน้าเช่นเคย รถแล่นออก วรัทโบกมือให้
รถแล่นมาตามทาง สามสาวร้องเอะอะกับวิวทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจข้างทางตลอดเวลา ปวรรุจ และ ปกรณ์หัวเราะสนุก
อ้ายถ่ายรูปทิวทัศน์ข้างทาง ถึงขั้นชะโงกมาถ่ายที่นั่งตอนหน้าอย่างก๋ากั่น
อีกจังหวะอ้ายหยิบไอศกรีมมาป้อนปกรณ์ที่กำลังขับรถ ปกรณ์ทานคำใหญ่ อ้ายจะป้อนปวรรุจบ้าง ปวรรุจหัวเราะโบกมือไม่เอา อ้ายเลยป้อน ปกรณ์ต่อ แล้วพลาดไอศกรีมเลอะติดปาก ทั้งรถหัวเราะ อ้ายบรรจงเช็ดแก้มให้ปกรณ์ วรรณรสาและปวรรุจหัวเราะขำ
รถแล่นมาตามถนนสวยในเมืองโลซานน์ และมาหยุดที่ทะเลสาเจนีวา สามสาววิ่งเริงร่าไปริมทะเลสาบ มองเห็นผืนน้ำสีฟ้าครามกับภูเขามหึมา สุดลูกหูลูกตา
“สวย สวยอย่างกับอยู่บนสวรรค์ โอย...นี่ของจริงหรือภาพวาด”
“ของจริงซีหนูเอื้อย...เรามาอยู่เมืองสวรรค์จริงๆ แล้ว”
ปกรณ์และ ปวรรุจเข้ามาสมทบ
“นี่ละครับ ทะเลสาบเจนีวา” ปกรณ์บอก
“ถ้าอย่างนั้นเจนีวาก็อยู่ไม่ไกล” วรรณรสาว่า
“ใช่ครับ เจนีวาไปสุดชายแดนด้านโน้น ถ้านั่งรถไฟก็แค่สี่สิบนาทีเท่านั้นเอง ทะเลสาบนี่กว้างใหญ่มาก แล้วเมืองสวย ๆ ริมทะเลสาบก็เรียงรายกันไปตั้งแต่มองเตรอซ์ เวเว่ย์ โลซานน์ และเจนีวาครับ”
“อยากไปเที่ยวทุกเมืองเลยค่ะ เห็นว่าสวยแบบริเวียร่าเลย” อ้ายตื่นเต้น
“ครับ เขาถึงเรียกว่า ไข่มุกริเวียร่าแห่งสวิต ไงครับ”
“เฮ้อ...นึกว่าตัวเองสวยละม้ายเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโค”
อ้ายเพ้อทำท่ากระโปรงบานแบบเจ้าหญิง
ปกรณ์กระแอมแล้วทำเสียงเข้มหล่อ “งั้นหลังจากส่งเจ้าคุณชายรุจนี่แล้ว กระหม่อมก็ไร้ภารกิจอันใด กระหม่อมผมขออาสาเป็นสารถีให้เจ้าหญิงอ้าย และหญิงเอื้อยขอรับกระหม่อม”
ว่าพลางปกรณ์โค้งคำนับด้วย สองแฝดหัวเราะกิ๊ก วรรณรสา และปวรรุจหัวเราะด้วย
“ว้าว....จริงนะนายสารถี งั้นหญิงอ้ายก็ไม่ปฏิเสธเป็นผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ของนายสารถีค่ะ”
อ้ายถอนสายบัวให้ปกรณ์ แล้วหัวเราะกันสนุก
“หนูอ้ายไปกันใหญ่แล้ว เกรงใจคุณปกรณ์บ้าง เราไม่รบกวนหรอกค่ะเพราะเราต้องไปกับรสาอยู่แล้ว”
“จริงซี คุณรสามาพบคู่หมั้นที่นี่” ปกรณ์นึกได้
“ฮึ...รสาก็ต้องไปกับแฟนของเขา เราสองคนจะไปอยู่เป็นก้างขวางคอทำไม ไปเที่ยวกับคุณปกรณ์ดีกว่า”
ปวรรุจมองมาที่วรรณรสา เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตึง
“ยังไงหนูอ้าย หนูเอื้อยก็ต้องรอพบพี่ชายของรสาก่อนนะ”
“จ๊ะ หนูอ้ายไม่ทิ้งรสาหรอกน่า”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมจะต้องไปส่งคุณชายรุจที่เจนีวาเย็นนี้ พรุ่งนี้ถึงจะกลับเบิร์น คุณรสา หนูอ้าย หนูเอื้อยมีโปรแกรมยังไงต่อก็โทร.ไปบอกคนที่ร้านผมได้เลย ผมจะโทร.ไปเช็ค” ปกรณ์บอก
สามสาวยิ้มปลื้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วเธอจะให้เราไปส่งที่ไหนล่ะ”
“เออ...โรงแรมนี้ละค่ะ”
วรรณรสาส่งนามบัตรโรงแรมให้ ปวรรุจขมวดคิ้วเพราะเป็นโรงแรมหรูระดับเศรษฐี
“คู่หมั้นเธอพักที่นี่เหรอ”
“ค่ะ”
“โอ้โฮ...โรงแรมนี่เชียวเหรอครับ”
ดูชื่อโรงแรมที่พักปวรรุจเข้าใจว่าคู่หมั้นของวรรณรสา จะต้องเป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองไทยแน่ๆ
ขณะที่กระถินเดินออกมาจากห้องนอน มารตีและวิไลรัมภาออกมาจากห้อง ยืนขวางกระถินไว้
“จะไปไหน” มารตีถาม
“จะไปอาบน้ำ” กระถินบอก ทำท่าจะไป
“ดี...งั้นฉันจะพาแกไปอาบเอง” วิไลรัมภาบอก
“ไม่ต้อง...ฉันไปอาบเองได้” กระถินไม่ยอม
“ไม่ได้ คุณพ่อสั่งให้ขัดสีฉวีวรรณแกทั้งตัว” มารตีว่า
“ขูดขี้ไคล ลอกหนังกำพร้า ขูดหนังดำๆ ของแกออกให้หมด จะได้ขาวเหมือนคนกรุงเขา” วิไลรัมภาบอก
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ได้อยากขาวเหมือนคนกรุง ไม่ได้อยากขาวเป็นอีวอกเหมือนแกสองคน ขี้เระ” กระถินด่าตอนท้าย
“ต๊าย นังนี่ ปากสามหาว พูดจาไม่มีสมบัติผู้ดี” มารตีด่า
“แล้วแกล่ะ มีเหรอ” กระถินย้อน
มารตีเงื้อมือจะตบ “นัง…”
วิไลรัมภารั้งมือพี่สาวไว้
“พี่ค่ะ อย่าเพิ่งไปตบตีมันเลยค่ะ”
“แกไม่มีสิทธิ์มาเรียกฉันกับน้องรัมภาว่า...แก” มารตีจ้องหน้า
“แล้วทำไมแกเรียกฉันว่า “แก” ได้ล่ะ” กระถินย้อน
มารตีโกรธจัด “ต๊าย มาตีฝีปาก เพราะฉันเป็นพี่แกไงล่ะ แกต้องเรียกฉันว่าคุณมารตี กับคุณวิไลรัมภา”
วิไลรัมภาสั่ง “เรียกซี เรียกเดี๋ยวนี้”
กระถิน นิ่งไป ครู่หนึ่ง “คุณกระตี๊ คุณลำพอง”
วิไลรัมภาขยับเข้าหยิกกระถินทันที
“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย”
“ยังจะมาหยาบคาย” วิไลรัมภาด่า
“จับตัวไปล้างคราบโสโครกเลยดีกว่า มานี่เลย”
สองสาวช่วยกันจับกระถินลากไป
กระถินขัดขืนร้องลั่น “ปล่อยข้า....โอ๊ย.. เจ็บ”
ไม่นานต่อมากระถินนั่งเปลือยอยู่ในอ่างอาบน้ำ ฟองขึ้นเต็มตัว สองสาวกำลังรุมขัดสีฉวีวรรณ มีทั้งแปรงขัดตัวและฟองน้ำ กระถินหัวเราะคิกคักเมื่อถูกขัดตามซอกหลืบร่างกาย
“โอ๊ย...อย่าถูแรง มันจั๊กกะจี้”
สองพี่น้องมองหน้ากัน วิไลรัมภาหยิบกาละมังใส่ดอกอัญชัญ ผสมแป้งเป็นสีม่วงจัดข้างตัวขึ้นมา
“อยู่เฉยๆ ยายกระถิน ฉันจะหมักผมให้แก” มารตีบอก
“หมัก หมักทำไม”
“ผมแกจะได้ไม่มีเห็บเหาไง เหาจะตายหมดถ้าได้หมักผมด้วยน้ำยาพิเศษของฉันนี่แหละ” มารตีว่า
“ฉันไม่ได้มีเหานะ แต่อาจจะมีเห็บหมาบ้าง เพราะฉันชอบเล่นกะหมา” กระถินบอก
“ไม่ต้องพูดเลย อยู่เฉยๆ”
สองสาวเทน้ำยาผสมแป้งและดอกอัญชัญโปะลงบนผมของกระถิน
“อู๊ย...ทำไมมันเสียวๆ สยองแสยงยังไงพิกล”
กระถินร้องฮือตลอดเวลาที่สองสาวขยำแป้งบนหัว สองสาวยิ้มให้กันอย่างสะใจ
ส่วนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปกรณ์ขับรถมาจอดหน้าโรงแรมหรู ปวรรุจและปกรณ์ช่วยกันขนกระเป๋าสัมภาระของสามสาวลงจากรถ
“ผมแนะนำนะครับ ตรงข้ามถนนนั่นมีร้านกาแฟน่านั่งมาก เขารับฝากกระเป๋าด้วย พวกคุณไปแฮงเอาท์ตรงนั้นได้สบายเลย วิวก็สวยด้วย” ปกรณ์บอก
“ขอบคุณค่ะที่แนะนำ” อ้ายยิ้มแย้ม
ปวรรุธมองหน้าวรรณรสา ท่านหญิงมองตอบมา
“รสา คงต้องลากันอีกครั้ง”
“ค่ะ ขอบคุณคุณชายมากที่ให้ความช่วยเหลือ และยังจดจำฉันได้ไม่ลืม”
ปวรรุจสงสัย “หืมม์ จดจำ? เธอหมายความว่าอะไร”
“จดจำได้ว่า...ฉันเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องการการดูแลในต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้น่ะซีคะ ฉันจะไม่ลืมความกรุณาของคุณชายเลย”
“ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือ อย่าถือว่าเป็นบุญคุณเลยนะ มันเป็นหน้าที่ของข้าราชการนักการทูตอย่างฉันอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเธอ และฝากความยินดีไปถึงคู่หมั้นของเธอด้วย”
“ค่ะ”
ปกรณ์กำลังลาอ้ายอย่างอาวรณ์ เอื้อยจึงออกมายืนอยู่ห่าง ๆ
“แล้วหนูอ้ายจะโทร.ไปนะคะ”
“จะรอด้วยความกระวนกระวายอย่างยิ่งเชียวครับ”
อ้ายหัวเราะคิก สองหนุ่มขึ้นรถ สามสาวโบกมือให้ รถแล่นจากไป วรรณรสาถอนใจ
“เอาละ ถึงเวลาเข้าเฝ้าท่านชายกันแล้วละ” เอื้อยว่า
วรรณรสาพยักหน้า ทั้งสามมองไปยังโรงแรมหรูเบื้องหน้าซึ่งวรัทบอกว่าภาณุทัศนัยพักที่นี่ อ้ายและเอื้อยทำท่าจะข้ามถนนตรงไป ท่านหญิงเรียกไว้
“เดี๋ยว”
เอื้อยแปลกใจ “มีอะไรคะ ท่านหญิง”
“ขอหญิงตั้งสติก่อนได้ไหม”
“ทำไมล่ะคะ” เอื้อยงงใหญ่
“ตื่นเต้นน่ะ จะขึ้นไปเซอร์ไพรส์พี่ชายทัศน์ทั้งที ขอวางแผนให้รอบคอบก่อน”
อ้ายกะเอื้อยมองหน้ากัน
“งั้นเราไปนั่งร้านที่คุณปกรณ์แนะนำดีกว่า”
อ้ายออกไอเดียสองสาวยิ้ม เห็นงามตามกัน
ด้านปกรณ์หันมาพูดกับปวรรุจ เรื่องวรรณรสา
“เฮ้ย คู่หมั้นคุณรสาอยู่โรงแรมระดับนี้ ถ้าไม่ใช่ระดับมหาเศรษฐีเมืองไทยก็ต้องนักการเมืองระดับเจ้ากระทรวง”
“หรืออาจจะไม่ใช่คนไทยก็ได้”
“เป็นไปได้”
“เราจะเดินทางไปเจนีวาเลยไหม”
“เฮ้ย...นายยังมีเวลาเหลือเฟือ แวะเมืองเก่าของโลซานน์เดินเล่นก่อนดีกว่า”
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
ปวรรุจยิ้มพอใจ
ด้านปกรณ์หันมาพูดกับปวรรุจ เรื่องวรรณรสา
“เฮ้ย คู่หมั้นคุณรสาอยู่โรงแรมระดับนี้ ถ้าไม่ใช่ระดับมหาเศรษฐีเมืองไทยก็ต้องนักการเมืองระดับเจ้ากระทรวง”
“หรืออาจจะไม่ใช่คนไทยก็ได้”
“เป็นไปได้”
“เราจะเดินทางไปเจนีวาเลยไหม”
“เฮ้ย...นายยังมีเวลาเหลือเฟือ แวะเมืองเก่าของโลซานน์เดินเล่นก่อนดีกว่า”
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
ปวรรุจยิ้มเยื้อนพอใจ
กลางคืนที่เมืองไทย กระถินนั่งหน้ามึนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน ใส่กระโจมอก ผมโพกผ้ามัดไว้ มารตีและวิไลรัมภาหัวเราะคิกคัก นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้าง ๆ
“เมื่อไหร่จะแก้ผ้าล่ะ” กระถินถาม
“แกพูดอะไรยายกระถิน” มารตีคิดไปอีกอย่าง
“เมื่อไหร่แก...เอ๊ย...คุณจะแก้ผ้ามัดผมฉันออก เป็นชั่วโมงแล้วนะ”
“ได้เวลาแล้วละ” วิไลรัมภาว่า
สองสาวดูเวลาแล้วยิ้มให้กัน เดินมาหาแล้วเริ่มปลดผ้าโพกผม
“คราวนี้ผมแกจะสะอาด ปลอดเห็บเหาแน่นอน” มารตียิ้มร้ายออกมา
เวลาเดียวกันเกษราเข้าบ้านมาพร้อมแย้มและเด็กแหวว ทั้งสามหอบหิ้วตะกร้ามีของสดสำหรับทำขนมทั้งหลาย รวมทั้งของสดทำอาหารคาวจากตลาดเข้ามาในห้องโถงของวัง
ทั้งสามกำลังจะเดินผ่านโถงไปยังครัว เสียงกรีดร้องโหยหวนของกระถินดังลั่นวัง
แย้มตกใจ “คุณพระ”
“ว้าย เสียงใคร” แหววก็ตกใจ
“เสียงกระถินนี่”
ทั้งสามวิ่งขึ้นชั้นบน
โปรดติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 4