สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 10
วันต่อมาย่าอ่อนพาตัวเองมาอยู่ห้องรับแขกของวังเทวพรหม นั่งอยู่ตรงหน้าเทวพันธ์และเกษรา ด้วยสีหน้าร้อนใจมาก
“คุณชายต้องรีบจัดเตรียมหาฤกษ์ยามเสียตอนนี้ เพราะถ้าชายรุจต้องไปประจำการต่างประเทศจริงๆ ละก็ ต้องรีบจับแต่งให้เร็วที่สุดเลย”
“แหม...ผมเห็นด้วยอย่างที่สุดเลยละครับ อยากให้แต่งวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“ดี...เพราะเดี๋ยวจะหาข้ออ้างเหมือนครั้งที่ไปประชุมอีก ไม่ยอมมาพบตัวหนูกระถิน แล้วคราวนี้ไม่ใช่ไปแค่เดือนสองเดือน ไปตั้งสี่ปีเชียวนะ”
กระถินซึ่งแอบฟังอยู่นอกห้อง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“คุณย่าคะ แต่ทางคุณชายยังไม่ทราบแน่นอนนี่คะว่าจะได้ไปต่างประเทศจริงรึเปล่า รอให้คำสั่งมาก่อนดีไหมคะ ค่อยจัดการเรื่องการแต่ง” เกษราท้วง
“จะรอไปทำไมหนูเกษรา แต่งเสียให้หมดเรื่องหมดราว ดีเสียอีกหนูกระถินจะได้ตามไปเมืองนอกด้วยไง ไปอยู่รวดเดียวเลยสี่ปี คราวนี้แหละได้ฝึกเป็นภริยาทูตเต็มขั้น กลับมาคงพูดฝรั่งปร๋อ”
กระถินยิ่งใจเสียจะร้องไห้
ย่าอ่อนเห็นสีหน้าเกษราดูออกว่าไม่สบายใจ
“เอ๊ะ...มีอะไรรึเปล่า หรือว่าหนูกระถินไม่พร้อม”
เทวพันธ์รีบตอบ “พร้อมครับ พร้อม ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่งวันนี้พรุ่งนี้ยังได้เลย ยายเกษ พรุ่งนี้ไปหาซินแสที่สำเพ็งไว้ดูฮวงจุ้ย หาหมอนรลักษณ์ ไว้ดูโหงวเฮ้ง เอาวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก ลัคนาไว้ดูฤกษ์มงคล แล้วแวะไปเสี่ยงเซียมซีที่วัดเล่งเน่ยยี่ด้วย”
ย่าอ่อนยิ้มพึงใจ เกษราอึ้ง นิ่งงันอยู่อย่างนั้น
ส่วนกระถินร้องไห้ วิ่งหลบไป
กระถินหลบออกมาร้องไห้ที่สวนหลังตึก ทรุดลงนั่งร้องไห้หลังพุ่มไม้แทบขาดใจ คล้าวกำลังก่ออิฐโบกปูนอยู่ที่มุมวังกับสมหวัง ได้ยินเสียงร้องไห้
“พี่สม...ใครร้องไห้น่ะ”
“เออว่ะ ไปดูซิ เสียงมาจากทางโน้น”
คล้าวเดินมาใกล้พุ่มไม้เห็นกระถินร้องไห้ ก็ตกใจ รีบเข้ามาประคองทันที
“กระถิน ร้องไห้ทำไม โดนยายคุณนายข้างบนรังแกอีกแล้วใช่ไหม”
กระถินหันหลังให้ รีบเช็ดน้ำตา
“เอ๊ะ แต่วันนี้ยายคุณนายสองคนไม่อยู่นี่ บอกพี่มา ร้องไห้เรื่องอะไร”
คล้าวจับไหล่กระถินให้หันมา
“พี่คล้าว จะทำยังไงดี เขาจะจับกระถินแต่งกับคุณชายรุจแล้ว แล้วยังจะให้กระถินไปอยู่เมืองฝรั่งตั้งสี่ปี”
“หา...”
คล้าวโกรธจนมุมปากกระตุก กระถินโผเข้ากอดคล้าวซบหน้ากับอกแกร่ง
คล้าวกอดกระชับกระถินไว้แน่น สีหน้ายังคงคั่งแค้นเคืองขุ่น และพยายามหาทางหนีทีไล่
ไม่นานหลังจากนั้นย่าอ่อนกำลังเบิกบานใจ มองดูขนมที่แย้มและแหววกำลังทยอยใส่ตะกร้าให้ เกษรายืนไม่สบายใจอยู่เบื้องหลัง
“แหม...ใจดีจริงจริง นี่สังขยากับข้าวเหนียวมูลเอามาอีกแค่สิบกระทงก็พอแล้ว อ้อวุ้นมะพร้าวอ่อนไม่ต้องให้เยอะหรอก เอาแค่ถาดเดียว”
แย้มและแหววหยิบให้จนเต็มตะกร้า สีหน้าเบื่อๆ ย่าอ่อนหัวเราะหน้าระรื่น ออกจากร้านไป เกษรารีบตาม
แย้มเหน็บ “ขอไม่เยอะเนอะ แต่หยิบแทบหมดร้านเลย”
ย่าอ่อนกำลังขึ้นรถที่หน้าตึกวังเทวพรหม นายถนอมเปิดประตูรถให้ แหวว แย้มตามออกมาจากร้าน
“เร่ง ๆ คุณพ่อเขานะหนูเกษรา ย่าน่ะร้อนใจ”
“ค่ะ คุณย่า”
ย่าอ่อนขึ้นรถ ถนอมปิดประตูแล้วขึ้นที่นั่งคนขับ จังหวะนั้นคล้าวและกระถินหอบถุงใส่เสื้อผ้า วิ่งออกมา แล้วต้องรีบถอยกรูด เพราะรถค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูวัง สมหวังจะปิด
ประตูรั้ว คล้าวและกระถินวิ่งออกมา เกษราตกใจ
“นายคล้าว กระถิน จะไปไหนน่ะ”
“กระถินอยู่ไม่ได้แล้ว เขาจะจับกระถินแต่งงานกับคุณชาย กระถินลาคุณเกษค่ะ”
“ไม่ได้นะกระถิน จะหนีไปอย่างนี้ไม่ได้”
“ขืนอยู่ กระถินก็ต้องถูกบังคับแต่งงาน แล้วยังต้องตามคุณชายไป อยู่เมืองฝรั่งมังค่าตั้งสี่ปี ฉันยอมให้กระถินไปลำบากอย่างนั้นไม่ได้ฉันลาคุณเกษ”
คล้าวดึงกระถินจะออกจากรั้วให้ได้
“นายสมปิดประตู ยังไปไหนไม่ได้นะ นึกซี ถ้านายคล้าวพากระถินหนี นายคล้าวจะต้องถูกตามจับฐานลักพาตัว”
คล้าวท้วงเสียงแข็ง “ไม่ กระถินเต็มใจไปกับฉัน”
“จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ นายคล้าวก็หนีคดีไม่ได้หรอก”
“แต่ฉันยอมให้กระถินแต่งงานกับคุณชายไม่ได้”
“ใจเย็นนะ เดี๋ยวฉันจะลองพูดกับคุณชายรุจดู”
“จริงนะคะพี่เกษ”
“ฉันจะช่วยเธอสองคนเท่าที่จะช่วยได้ แต่อย่าหาทางออกด้วยการพาหนีแบบนี้”
“คุณเกษช่วยเราได้ใช่ไหม” คล้าวซัก
“ฉันจะพยายามให้สุดความสามารถ ไป กระถินกลับขึ้นบ้านเถอะ นายคล้าวก็ใจเย็น อย่าคิดอะไรวู่วามแบบนี้”
เกษราโอบกระถินจะขึ้นตึก คล้าวยังว้าวุ่นใจ แย้ม แหวว และสมหวังเข้ามาช่วยกันปลอบ
ขณะที่เกษราพากระถินจะขึ้นตึก คล้าว สมหวัง แหวว ป้าแย้ม ยังยืนอยู่กลางลาน ทุกคนกำลังปลอบคล้าว เทวพันธ์เดินสวนลงมาจากตึกพอดี
“อ้าว ยายกระถิน ร้องไห้ทำไมละนั่น”
“เปล่าค่ะ”
“อ้อ ยายเกษคงบอกเรื่องแต่งงานแล้วซีนะ คงดีใจละซี” กระถินไม่กล้าร้องต่อ
“นี่ยายเกษ”
“คะ”
“ไปหาหมอดู ดูฤกษ์ดูยามเนี่ย พากระถินไปด้วย หมอเขาจะได้ดูลายมือ ดูโหวงเฮ้ง ดูปัตนิ เตรียมตัวให้พร้อมนะกระถิน ฮ่ะฮ่ะ จะได้เป็นภริยาท่านทูตแล้ว โก้ไม่หยอก”
เทวพันธ์เดินผ่านมาทางคล้าวและนายสมหวัง แหวว ป้าแย้ม
“อ้าวลือชัย เป็นยังไง อยู่ที่นี่สุขสบายดีไหม”
“ก็ดีจ้ะท่าน”
“ดี...ทำงานให้ดี ๆ แล้วจะสมนาคุณให้อย่างงาม นายสม ไปเอารถออก”
“ครับท่าน” สมหวังแยกไป
เกษราอดถามไม่ได้ “จะไปไหนคะพ่อ”
“ไปบ้านเสี่ยหมงหน่อย วันนี้เขามีบ่อนวิ่ง”
เกษราแปลกใจ “แล้ว...วันนี้ไม่ขอเงินหนูเหรอคะ”
“ขออะไรมากมาย พ่อเกรงใจเราน่ะ” เทวพันธ์ยิ้มๆ หันมากระซิบบอก “เดี๋ยวนี้พ่อพอจะมีทุนทรัพย์ พอข่าวว่าเราจะดองกับจุฑาเทพแน่ๆ แล้ว เสี่ยหมงให้พ่อกู้เลยนะ ไม่คิดดอกด้วย บอกว่า…”
เทวพันธ์จ้องจะคุยฟุ้ง เกษรารีบตัดบท “ค่ะ คุณพ่อ”
“แหม....คนเรานะ พอมันมีบารมีจะเป็นพ่อตาจุฑาเทพ แหม...เงินทองมันไหลมาเทมา ฮ่ะฮ่ะ”
กระถินทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก เกษรารีบปิดปาก แย้มและแหววกลัวคล้าวที่ยังฮึดฮัดจะระเบิดออกมา
เทวพันธ์หัวเราะร่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
สองวันต่อมา ภายในกระทรวงการต่างประเทศ วังสราญรมย์ ตอนกลางคืน ได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์บริเวณห้องโถง แขกเหรื่อแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรามาร่วมงาน
บรรยากาศในงานแสนครึกครื้น แลเห็นคู่เต้นหนุ่มสาวออกมาวาดลีลาเต้นรำกลางฟลอร์ มีเสียงดนตรีบรรเลงเพลงเพราะเสนาะหู ขับคลอ
ที่โต๊ะของแขกผู้ใหญ่ หม่อมเอียด และย่าอ่อนนั่งอยู่ด้วยกัน กลุ่มคุณชายทั้งสี่ คือ ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์ และ รณพีร์ กำลังเสวนากับปรีชา และแขอยู่มุมหนึ่ง ยินเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานตลอดเวลา
ส่วนปวรรุจแยกไปคุยกับท่านอธิบดีเชษฐาอีกด้านหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง
“แหม....งานเลี้ยงคราวนี้ดูหรูหรากว่าเดิมนะคะคุณพี่” ย่าอ่อนยิ้มแย้ม
“ท่านอธิบดีอยู่นั่นแน่ะ กำลังคุยกับชายรุจ”
“นี่ถ้าไม่ถือว่าเสียมารยาท อิฉันจะขอเข้าไปฟังด้วย ร้อนใจค่ะ อยากรู้ว่าชายรุจได้เลื่อนขั้นแบบไหน”
“ใจเย็นๆ แม่อ่อน เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
คุณชายทั้งสี่กำลังคุยกับปรีชาและแข
“คุณแขครับ เมื่อไหร่จะบอกเสียทีละครับว่าพี่ชายรุจได้เลื่อนขั้นแบบไหนกันแน่” รณพีร์ถามยิ้มๆ อยากรู้เต็มที
รัชชานนท์ถามต่อ “แบบประจำกระทรวง หรือประจำเมืองนอก”
“คืออย่างนี้ค่ะ ไหนๆ คุณชายอยากรู้แล้ว แขก็จะบอกเลยนะคะว่า...แขไม่รู้ค่ะ” แขเล่นมุก
คุณชายทั้งสี่บ่นงึมงำ ปรีชาหัวเราะ ก่อนบอก
“ยังไม่มีใครทราบอะไรทั้งนั้นละครับ พวกเรารู้แค่ว่า ไปประชุมที่เจนีวาคราวนี้ คุณชายรุจได้รับความชื่นชมอย่างมากจากทางรัฐบาลและท่านทูตพลเทพ ก็เลยได้เสนอเลื่อนขั้น แต่ตอนนี้ทางผู้ใหญ่ยังไม่ได้บอกออกมาอย่างเป็นทางการ”
แขเสริม “ใช่ค่ะ ที่เจนีวาคุณชายทำงานหนักมาก บางทีหามรุ่งหามค่ำแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยนะคะ แขพยายามเตือนให้พักผ่อนเสียบ้าง แต่คุณชายบอกว่าอยากทำงานมากกว่า เพราะถึงนอนก็นอนไม่หลับ”
รัชชานนท์ฉงน “ทำไมเหรอครับ”
“ก็เรื่อง...เออ...” แขกระซิบ “ความรักของคุณชายน่ะซีคะ ทำเอาคุณชายแทบทรุดเลย แสดงว่าต้องเป็น True Love รักกันจริงแน่ๆ”
“มันจะเป็นจริงได้ยังไงละครับคุณแข ในเมื่อพระคู่หมั้นก็แสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอยู่อย่างนั้น เป็น “รักต้องห้าม” เสียมากกว่า” ปรีชาท้วง
รัชชานนท์และรณพีร์ยิ่งงงหนัก ธราธรและพุฒิภัทรกังวล คิดหาทางอยากให้ทั้งสองหยุดพูดเสียที
“สงสารก็แต่คุณชายรุจนะคะ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนทุกเมื่อเชื่อวัน วันนั้นก็เกือบจะวางมวยใส่กันแล้ว”
รัชชานนท์ยิ่งงง “เดี๋ยวครับ นี่พูดเรื่องอะไรกันอยู่ พี่ชายรุจรักกับสาวที่ร่วมทัวร์ด้วยกัน แล้วพระคู่หมั้นคือใครครับ”
รณพีร์ก็ไม่ต่างกัน “แล้วใครวางมวยกับใคร”
ธราธรและพุฒิภัทรมองหน้ากันทันทีว่าจะแก้สถาณการณ์ยังไง
แขงวยงง “เอ๊ะ...นี่ คุณชายเล็ก คุณชายพีร์ คุณไม่ทราบหรอกเหรอคะว่าคนรักของคุณชายรุจคือท่าน...”
แขพูดไม่ทันจบพุฒิภัทรรีบขัดขึ้น “คุณแขครับ ออกไปแดนซ์กับผมนะครับ แหมเพลงนี้เพลงโปรดผมเลย”
พลางพุฒิภัทรดึงแขออกไปทันที ทำเอาแขงงๆ
รัชชานนท์หันมาทางปรีชา “ยังไงครับคุณปรีชา ช่วยเคลียร์หน่อย”
ปรีชากำลังจะบอกอยู่แล้ว “คือว่า...”
ธราธรขัดขึ้น “คุณปรีชา ผมมีเรื่องจะปรึกษา เชิญทางนี้หน่อย”
ว่าแล้วธราธรโอบปรีชาไปทันที ปรีชาก็เป็นงง
“เดี๋ยวซีครับพี่ชายใหญ่ ยังไม่ทันรู้เรื่องเลย”
“ดูมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วละครับพี่” รณพีร์ได้กลิ่นแปลกๆ
รัชชานนท์เห็นด้วย “ต้องล้วงแล้ว”
รณพีร์งง “ล้วงอะไรครับ”
รัชชานนท์ยิ้มกริ่ม “ล้วงความลับไง”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ขณะเดียวกันเชษฐาและผู้ใหญ่อีกสองท่าน กำลังจับมือจับไม้แสดงความยินดีกับปวรรุจ
“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจผม ผมจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะรายงานให้หม่อมย่าของคุณชายทราบ”
“ครับท่าน”
ปวรรุจและอธิบดีเชษฐาจะเดินไปที่โต๊ะของหม่อมเอียด แต่แล้วทั้งสองก็ต้องชะงัก เพราะร่างของภาณุทัศนัยเดินควงร่างแบบบางสง่างามของวรรณรสาเข้ามาในงาน
ปวรรุจมองท่านหญิงรสาอย่างตะลึงในความงาม แต่สีหน้าของรสาดูเศร้าสร้อยเต็มที
ท่านอธิบดีไม่ทราบเรื่องรักสามเส้าของ ปวรรุจ รสาและ ชายทัศน์ รีบหันมาบอก
“ท่านชายเด็จมาพอดี อ้อ...เด็จมาพร้อมท่านหญิงแต้วเสียด้วย ไป…รับเสด็จท่านหญิงกันหน่อย”
“เออ...คือ...”
เชษฐาไม่ทันฟัง พาปวรรุจตรงไปหาภาณุทัศนัยและวรรณรสาทันที ท่านหญิงนิ่งงันไปเมื่อพบปวรรุจ เชษฐา และปวรรุจก้มคำนับ
“คืนนี้ท่านหญิงพระสิริโฉมงดงามเหลือเกินกระหม่อม” เชษฐาว่า
“ขอบคุณค่ะ”
ภาณุทัศนัยมองปวรรุจอย่างเย้ยหยัน
“พระองค์ฉัตรไม่ได้เสด็จมาด้วยหรือกระหม่อม” เชษฐาถาม
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าเด็จมาด้วย กระหม่อมจะทูลเชิญพระองค์ท่านทรงขับร้องเพลงสักสองสามเพลง เป็นเกียรติแก่กระทรวงของเรา” เชษฐาโอภาปราศัย
“เสด็จพ่อทรงเหนื่อยน่ะค่ะ ทรงอยากพักผ่อน”
“แล้วคืนนี้พวกเราจะมีโอกาสได้ฟังไวโอลินเพราะๆ ประทานจากท่านหญิงบ้างไหมกระหม่อม”
วรรณรสาอึกอัก “เออ...คือ”
ภาณุทัศนัยขัดขึ้น “ที่จริงหญิงแต้วก็อยากจะเล่นไวโอลินในงานนี้เหมือนกันนะครับ แต่ผมว่ายังมีโอกาสอื่นอีกมาก เลยของดไว้ก่อนดีกว่า” ชายทัศน์หันมามองหน้าปวรรุจจงใจเย้ย “โอกาสที่ว่าก็หลังจากเราเข้าพิธีเสกสมรสกันแล้ว หญิงแต้วก็ต้องเป็นแขกประจำของกระทรวงเราใช่ไหมครับท่านอธิบดี”
ปวรรุจก้มหน้าไม่โต้ตอบอะไร วรรณรสาช้อนตามองปวรรุจ
เชษฐาหัวเราะร่วน “นั่นซีกระหม่อม เอ...แล้วทรงกำหนดวันเข้าพิธีเสกสมรสแล้วรึยัง ทางกระหม่อมจะได้เตรียมตัว”
“คงอีก...”
ภาณุทัศนัยพูดไม่ทันจบ วรรณรสารีบสวนขึ้น “พี่ชายทัศน์ หญิงขอตัวไปทักทายแขกตรงนู้นก่อน”
วรรณรสาแยกไปทันทีโดยไม่รอคำตอบ เชษฐาเจื่อนไป
“ผมเองก็ขอตัวก่อนนะครับ”
ปวรรุจแยกตามไป ภาณุทัศนัยมองตามตาขวาง
วรรณรสาแยกออกมาที่มุมสงบ พยายามระงับความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดทั้งปวง สูดลมหายใจเต็มปอด ปวรรุจตามมาหยุดอยู่ที่เบื้องหลัง
“ท่านหญิง”
ท่านหญิงหันมา หน้าเชิด น้ำเสียงเย็นชา
“มีอะไรเหรอคะคุณชาย รีบพูดเถอะนะ เพราะฉันถูกห้ามไม่ให้พูดกับคุณชายตามลำพัง และคุณชายเองก็เคยห้ามไม่ให้ฉันข้องแวะกับคุณชายด้วย”
“กระหม่อมขอร้อง อย่ารับสั่งในเชิงประชดประชันแบบนี้อีกเลย”
“ทำไมคะ ยังมีข้อห้ามอะไรที่จะบังคับฉันอีกเหรอ หรือคิดว่าตอนนี้ชีวิตฉันยังถูกบังคับไม่มากพอ”
“ท่านหญิง…”
“อย่าเข้าใจผิดนะ ที่ฉันมางานนี้ไม่ใช่ตั้งใจมาเพื่อมาพบคุณชาย”
“ท่านชายทัศน์เสด็จงานนี้ ฝ่าบาทก็ย่อมต้องเสด็จด้วยอยู่แล้ว กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรทั้งนั้น”
“มีธุระอะไรเหรอ ถึงขัดคำสั่งตัวเองเข้ามาคุยกับฉัน” วรรณรสาปวดใจ อดจะเหน็บแนมไม่ได้
“กระหม่อมมาตามท่านหญิงเพื่อนำเสด็จไปพบย่าอ่อน และพี่น้องของกระหม่อม ทุกคนคิดถึงท่านหญิงกันทั้งนั้น”
วรรณรสายิ่งเจ็บปวด
“ค่ะ แต่คงยกเว้นคุณชาย ไปซีคะ...ฉันอยากพบพวกเขาทุกคน จะได้เรียนเชิญไปร่วมงานแต่งของฉันด้วยเลย”
ปวรรุจนิ่ง แต่สีหน้าเจ็บลึก วรรณรสามองหน้าปวรรุจ เจ็บปวดไม่แพ้กัน แล้วเดินนำไปปวรรุจตาม
ไม่นานนัก หม่อมเอียด และคุณชายทั้งห้ายืนต้อนรับวรรณรสา ที่ย่าอ่อนกำลังกอด หอมแก้มอยู่
“ท่านหญิง ทูนหัวของหม่อมฉัน ทรงหายไปไหนมาเพคะ ไม่เด็จไปที่วังจุฑาเทพเสียหลายวัน หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่”
“หญิงต้องขอประทานโทษทุกคนด้วยค่ะ ช่วงนี้เด็จพ่อไม่โปรดให้หญิงออกนอกบ้าน ก็เลยต้องอยู่โยงเสียหน่อย”
“ท่านหญิงไม่เสด็จ พวกเราเลยอดอยากพร้อมหน้าเทียวกระหม่อม ไม่ได้ทานขนมฝีพระหัตถ์ท่านหญิง” รัชชานนท์ว่า
“คุณชายเล็ก พูดเกินไปแล้วละค่ะ หญิงไม่เชื่อหรอก”
พร้อมกันนั้นวรรณรสามองไปที่ปวรรุจ
“เพราะบางคนน่าจะดีใจเสียมากกว่าที่ต้องทนกินขนมไม่อร่อยฝีมือหญิง”
รัชชานนท์และรณพีร์มองหน้ากัน เพราะเข้าใจว่าท่านหญิงรสาหมายถึงพวกตน
“ใครกันล่ะกระหม่อม พวกเราอร่อยกับขนมของท่านหญิงกันทุกคน
“ใช่กระหม่อม คุกกี้ของท่านหญิงหมดโหลในเวลาอันรวดเร็ว”
ว่าพลางรัชชานนท์โอบคอปวรรุจ
“คนนี้แหละกระหม่อม เอาเก็บไปทานเสียคนเดียวในห้อง ไม่แบ่งให้ใครเลย”
วรรณรสามองปวรรุจอึ้งไป แปลกใจที่ปวรรุจทำเช่นนั้น ท่านหญิงรสาเกือบยิ้มออกมานิดนึง แต่แล้วก็สงบลงเพราะปวรรุจไม่กล้าสบตา ธราธรและพุฒิภัทรชักอึดอัด
จังหวะนี้ชายทัศน์เดินเข้ามาพอดี ทั้งหมดทำความเคารพ รวมทั้งหม่อมเอียดและย่าอ่อน
“ฝ่าบาท”
ย่าอ่อนมองท่านชายทัศน์อย่างเกรงๆ ปนหมั่นไส้นิดๆ ไม่ชอบใจเรื่องเจ้าชู้ที่วรรณรสาเล่า
“ฝ่าบาทเพคะ พระมาตุฉา ทรงมีพระพลานามัยเป็นอย่างไรบ้าง ความดันพระโลหิตปรกติดีหรือยังเพคะ” ย่าอ่อนทักเหน็บ
ชายทัศน์ตอบอย่างเย็นชา “เด็จป้าก็ประชวรบ้าง ดีบ้าง ตามประสาคนแก่”
“เพคะ หม่อมฉันอยากเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน...”
ภาณุทัศนัยสวนออกมาทันที “ไม่ต้องลำบากหรอก ตอนนี้ทางวังศุภกิจไม่อยากให้คนภายนอกเข้าไปยุ่งย่าม เดี๋ยวนี้พวกสอพลอมันเยอะน่ะ”
วรรณรสา และย่าอ่อนตะลึงไปพร้อมกัน ห้าหนุ่มมองชายทัศน์อย่างจะเอาเรื่อง หม่อมเอียดไม่แสดงความโกรธใดๆ ออกมา ตอบอย่างสุภาพแต่น้ำเสียงเยียบเย็น
“แหม...ถือว่าเป็นโชคของสมาชิกวังจุฑาเทพ เพราะเราถูกอบรมไม่ให้สอพลอใคร ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำศักดิ์เพียงไร”
ย่าอ่อนยังตกใจ คุณชายทั้งห้ามีสีหน้าสะใจกันทั่ว ชายทัศน์โกรธจัด เสียงดัง
“หญิงแต้ว เด็จไปกับพี่เดี๋ยวนี้ แล้วเลิกยุ่งกับคนพวกนี้เสียที”
“เชิญเด็จไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหญิงจะตามไป”
“ไม่ได้ ไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
ปวรรุจขัดขึ้น “ท่านหญิงรับสั่งแล้ว ท่านชายน่าจะทำตามนะครับ”
“ฉันบอกแล้วใช่ไหม ให้ใช้คำที่เหมาะสมกับพระยศของฉัน” ภาณุทัศนัยเสียงขุ่น
ปวรรุจโต้ “เสียใจครับ เพราะผมไม่ใช่พวกประจบสอพลอ”
ชายทัศน์มองปวรรุจอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะผละไป คุณชายทั้งสี่สะใจนัก
“โอย จะเป็นลม” ย่าอ่อนกระซิบท่านหญิง “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ทำไมท่านหญิงไม่โปรดท่านชาย”
“ตัวจริงของท่านชายภานุทัศนัย เป็นคนอย่างนี้เอง” รัชชานนท์ว่า
รณพีร์ฮึดฮัด “นี่ใช่ไหมครับ ที่พี่ชายรุจต้องเจอตลอดการประชุมที่เจนีวา”
ปวรรุจไม่ได้ตอบอะไร
“หญิงขอโทษทุกคนด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันก็ยังสงสัย ท่านชายไม่โปรดอะไรพวกเรา”
คำถามของหม่อมเอียด วรรณรสาได้แต่มองหน้าปวรรุจไม่อาจตอบอะไรได้
“หญิงขอตัวนะคะ”
วรรณรสาแยกตัวไป
“ถ้าพูดมากกว่านี้ผมกระโดดชกปากแล้วนะครับ ท่านชายก็ท่านชายเถอะ” รัชชานนท์เคืองมาก
ปวรรุจมองตามวรรณรสาไปด้วยความรู้สึกอึดอัดเต็มที
เวลาต่อมาวรรณรสากำลังเต้นรำกับภาณุทัศนัยที่ยังคงหัวเสียอยู่ ท่านหญิงรสาเองก็ไร้อารมณ์
“พี่บอกหญิงแต้วแล้วใช่ไหม ไม่ให้ไปคบค้าไอ้คนวังจุฑาเทพอีก”
“คุณย่าอ่อน และหม่อมย่าเอียดป็นผู้ใหญ่ที่หญิงนับถือ ยังไงหญิงก็ต้องไปทำความเคารพท่าน พี่ชายทัศน์น่ะซีคะ ที่ไม่สมควรใช้วาจาลบหลู่ท่านอย่างนั้น”
“ทำไม แคร์คนพวกนั้นมาก หรือที่จริง แคร์ไอ้เจ้าคุณชาย”
“ถ้าพี่ชายทัศน์ไม่หยุดรับสั่งแบบนี้ หญิงจะกลับเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
“หญิงแต้ว อย่าทำให้พี่ต้องเสียหน้า”
“ต้องแคร์อะไรละคะ ปล่อยหญิง”
วรรณรสาสะบัดมือจากมือภาทัศนัย ทุกคู่ในฟลอร์หันมามอง วรรณรสาเดินออกจากฟลอร์ไปเลย ชายทัศน์เก้อไป ยิ้มเจื่อนๆ กับทุกคน ก่อนจะก้าวตามออกไป
รสาเดินออกมาที่สวนหลังกระทรวงเพื่อจะกลับ มองเลยไปเห็นแขและปรีชากำลังห้ามสายสมรที่กำลังจะเข้าไปในงาน ท่าทางสายสมรเมาไม่น้อย โวยวายลั่น
“เอ๊ะ ฉันจะเข้าไป หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”
“มีบัตรเชิญรึเปล่าคุณสมร งานนี้ต้องมีบัตรเชิญค่ะ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปได้”
“ไปเรียกทูนหัวฉันมาเดี๋ยวนี้เลย” สายสมรว่า
“ใคร ทูนหัวคุณ” แขงง
“อ้าว ท่านชายทัศน์น่ะซีคะ”
วรรณรสาที่กำลังจะแยกไปหันขวับมามองอีกทันที
“อย่าเสียงดังได้ไหม ท่านชายไม่โปรดให้คุณเข้างานอยู่แล้ว”
“ก็ให้มันรู้ไปซี ปล่อยนะ” สายสมรดิ้นจนหลุด วิ่งเข้าตึกไป
“คุณสมร ไม่ทันแล้ว เอาไงดีคุณแข” ปรีชาวิตก
“รีบตามซีคะ ท่านหญิงอยู่ในงานด้วยเป็นเรื่องแน่ๆ”
ทั้งสองจะเข้างาน เสียงรสาดังขึ้น
“อย่าเพิ่ง ฉันอยู่ที่นี่แล้ว”
แขและปรีชาชะงัก หันมา
“ท่านหญิงเพคะ คือ...”
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อ สายสมรใช่ไหม” วรรณรสาถาม
“ท่านหญิงทรงทราบหรือกระหม่อม” ปรีชาหน้าเสีย
“เล่ามาซิ เธอกับท่านชายทัศน์คบหากันมานานแค่ไหนแล้ว แล้วทุกวันนี้ยังไม่ได้เลิกคบกันใช่ไหม”
แขและปรีชาพูดไม่ออก สายตาท่านหญิงรสามองมาอย่างคาดคั้น
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ด้านอธิบดีเชษฐาเพิ่งรายงานตำแหน่งใหม่ของปวรรุจให้หม่อมเอียด ย่าอ่อน และคุณชายทั้งสี่ทราบ หม่อมเอียดดีใจจนน้ำตาซึม ปวรรุจอยู่ข้างๆ ย่าทั้งสอง
“จริงหรือคะท่านอธิบดี ชายรุจของดิฉันได้เลื่อนขั้นแล้วจริงๆ”
“ครับ และจะได้ออกไปประจำการต่างประเทศเป็นเวลาสี่ปี”
ทั้งหมดปรบมือพร้อมกัน หม่อมเอียดกอดปวรรุจอย่างรักใคร่ชื่นชม
พุฒิภัทรถาม “ประเทศอะไรครับ”
“คงเดาได้ไม่ยาก ประเทศที่คุณชายเพิ่งจากมาไงครับ”
“สวิตเซอร์แลนด์” ธราธรว่า
“ครับ คุณชายรุจได้ไปประจำการที่สถานราชทูตไทย ประจำสวิตเซอร์แลนด์ ในตำแหน่งเลขานุการโทของท่านเอกอัครราชทูตครับ”
คุณชายทั้งสี่เฮพร้อมกัน และเข้ากอดปวรรุจ
“หลังจากที่ท่านทูตพลเทพทำงานกับคุณชาย ท่านทูตพอใจในผลงานของคุณชายมาก ถึงกับเอ่ยปากว่า ถ้าสอบเลื่อนขั้นได้ จะขอตัวไปช่วยงานทันที”
หม่อมเอียดเป็นปลื้ม “ชายรุจ ย่าดีใจเหลือเกิน ขอให้ก้าวหน้าในการงานต่อไปนะลูก”
“ครับ หม่อมย่า”
หม่อมเอียดเช็ดน้ำตาแห่งความปีติ
“แหม...มัวแต่ดีใจ เกือบลืม แล้วชายรุจจะต้องเดินทางเมื่อไหร่คะ” ย่าอ่อนถาม
“ต้นปีหน้าครับ” เชษฐาบอก
“อีกไม่กี่เดือนแล้วซี ....ดีนะที่ย่าเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ”
“อะไรเหรอแม่อ่อน”
“ก็เรื่องแต่งชายรุจกับหนูกระถินไงคะ”
คุณชายทั้งสี่และปวรรุจเจื่อนไปทันที ย่าอ่อนบอกต่อ
“เดี๋ยวจะต้องไปเร่งรัดทางคุณชายเทวพันธ์ น่าจะจัดพิธีแต่งเสียตั้งแต่เดือนหน้านี่เลย”
ปวรรุจเจื่อนลงอีก ทั้งสี่ตบไหล่แสดงความเห็นใจ ปวรรุจตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณย่าครับ ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่”
ย่าทั้งสองมองหน้ากัน
ส่วนอีกมุมหนึ่งของงาน ภาณุทัศนัยกำลังเอะอะเอาเรื่องกับสายสมรที่ยืนร้องไห้กระซิกๆ ท่าทางเมาไม่น้อย แลเห็นร่างของวรรณรสาแอบฟังอยู่ที่ในเงามืดมุมตึก
“กลับไปเดี๋ยวเลย”
“ไม่...หมอนไม่กลับ ท่านชายต้องคุยกับสมรให้รู้เรื่องก่อน”
“จะคุยอะไร ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ฉันกำลังจะแต่งงาน เธอเข้าใจรึเปล่า”
“หมายความว่าหมอนไม่มีค่าอะไรสำหรับท่านชายอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ตอนนี้เธอต้องหลบๆ ไปก่อน อย่าเพิ่งมาแสดงตัวแบบนี้ หลังจากพิธีแต่งเรียบร้อยเราค่อยมาคบกันใหม่”
“จริงนะคะ ท่านชายไม่ทิ้งหมอนนะคะ”
“รับปากแล้วไง เธอก็รู้ หญิงแต้วน่ะไม่ชอบที่ฉันมีผู้หญิงอื่น พาลจะไม่ยอมแต่งเอาง่ายๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันต้องทำตัวให้ดีหน่อย พอหญิงแต้วตายใจ เราค่อยมา....สนุกสุดเหวี่ยงกันเหมือนเดิม
สายสมรยิ้มออกมาได้
“รักท่านชายที่สุด”
สายสมรโผเข้ากอดชายทัศน์
“ไม่เอาน่า เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“กอดหน่อยนะคะ ให้หายคิดถึง”
วรรณรสาหันกลบมาพิงมุมตึก น้ำตาไหลรินออกมา แล้วค่อยๆ เดินจากมาด้วยใจอันร้าวราน
“นี่...เธอเมามากแล้ว กลับเสียที”
“หมอนม่ายมาว หมอนม่ายมาว”
ขาดคำสายสมรก็อ้วกแตกรดสูททักซิโด้หรูหราของชายทัศน์เต็มเสื้อ
“เฮ้ย...”
สายสมรลงนั่งแปะลงไปกับพื้น
“เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย ปัทโธ่”
ปรีชาและแขผ่านมาพอดี
“มีอะไรครับท่านชาย โอ้โฮ”
แขรีบปิดจมูก “หึ่งเลย”
“คุณสองคนช่วยพาฉันไปห้องน้ำที ต้องล้างตัวล้างสูทก่อนแล้ว”
“อ้าว แล้วคุณสมรล่ะคะ”
“เรียกยามมาลากออกไป อ้อ เรื่องนี้ให้รู้ไปถึงหญิงแต้วไม่ได้เลยนะ”
แขและปรีชามองหน้ากัน พยักพเยิดเป็นเชิงรู้กัน
“ไม่บอกแน่นอนครับ” / “ไม่บอกแน่นอนค่ะ”
ทั้งสองพาชายทัศน์ไป ปล่อยสายสมรที่นั่งคอพับบ่นพึมพำอย่าคนเดียว
“หมอนม่ายมาว... หมอนม่ายมาว...”
หม่อมเอียดและย่าอ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นเล็กของกระทรวง ทั้งสองนั่งจิบเครื่องดื่ม สีหน้าสบายอารมณ์
“สงสัยชายรุจคงจะพูดเรื่องการแต่งงานน่ะค่ะคุณพี่ คงไม่กล้าพูดต่อหน้าท่านอธิบดี”
ปวรรุจเดินเข้ามาหา ตามมาด้วยธราธรและพุฒิภัทร
หม่อมเอียดถาม “ว่ามาชายรุจ มีเรื่องอะไรที่จะคุยกับย่าเป็นการส่วนตัว”
ปวรรุจสูดลมหายใจก่อนเอ่ยขึ้น “คุณย่าครับ ผมขอปฏิเสธการแต่งงานกับน้องกระถิน”
ย่าอ่อนตะลึง “อะไรนะ”
“ผมแต่งงานกับน้องกระถินไม่ได้ครับ”
ย่าอ่อนลุกพรวดขึ้นทันที
“นี่ย่าหูฝาดไปรึเปล่า ชายรุจ ทำไมพูดแบบนี้”
“ผมมีเหตุผลครับ”
อ่อนจ้องปวรรุจอย่างเอาเรื่อง ย่าเอียดยังสงบเช่นเดิม ธราธรและพุฒิภัทรใจเต้น
ขณะที่วรรณรสาเดินออกมาที่สวนอย่างหมดเรี่ยวแรง ร้องไห้สะอึกสะอื้น จนต้องนั่งพักที่เก้าอี้ในสวน รัชชานนท์และรณพีร์เดินคุยกันมา วรรณรสารีบเช็ดน้ำตาแล้วหลบอยู่ในมุมมืด
“เราต้องสืบให้ได้นะชายพีร์ เมื่อกี้ที่คุณแขกับคุณปรีชาพูดน่ะ พี่ชายรุจรักใคร มีพระคู่หมั้น มีเจ้าเข้าเข้าของ แถมยังเกือบวางมวยกันด้วย”
“ครับ หรือว่าสาวที่ร่วมทัวร์ที่ชื่อรสานั่น อาจจะเป็นเจ้าสาวของท่านชายพระองค์ใดองค์หนึ่ง”
วรรณรสานิ่งงันไป รู้แล้วว่าสองคุณชายยังไม่รู้เรื่องของตน
“ได้จังหวะต้องรีดความจริงจากทั้งคู่ให้ได้...ว่าแต่เรื่องพี่ชายรุจจะไปประจำการที่สวิตนี่ จะเอายังไงกับน้องกระถินดีล่ะ”
วรรณรสานิ่งงันไป กับคำว่าปวรรุจจะไปสวิต
“นั่นซีครับ จะไปต้นปีนี้แล้ว ถ้าแต่งกับน้องกระถิน ไม่ต้องหอบหิ้วพากันไปสวิตด้วยหรอกหรือ”
“นึกภาพไม่ออกเลยนะว่าน้องกระถินไปอยู่เมืองหนาวขนาดนั้น คงร้องไห้ขอกลับบ้านวันละร้อยหนเป็นแน่”
ถึงตรงนี้วรรณรสาแสดงตัวทันที
“คุณชายคะ”
รัชชานนท์แปลกใจ “ท่านหญิง ทำไมเด็จมาประทับอยู่ลำพังตรงนี้ล่ะกระหม่อม”
“ฉันออกมาสูดอากาศน่ะ ข้างในอึดอัดเต็มที...เมื่อกี้ได้ยินคุณพูดเรื่องคุณชายรุจ จะเดินทางไปสวิตเหรอคะ”
รณพีร์เป็นคนตอบ “กระหม่อม ท่านอธิบดีเพิ่งบอกข่าวดีพวกเราเมื่อกี้นี่เอง พี่ชายรุจได้เลื่อนขั้นไปเป็นเลขาโทให้ท่านทูตที่สวิต สี่ปีเลยนะกระหม่อม”
วรรณรสาใจหายไปหมด พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น “คุณชายคงดีใจใช่ไหมคะที่จะได้จากที่นี่ไปเสียที”
รณพีร์ยังไม่ทันสังเกตความนัยของรสา “กระหม่อม พี่ชายรุจคงดีใจมากที่จะได้กลับไปสวิตอีกครั้ง”
วรรณรสาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น รีบเช็ดน้ำตา กิริยาดังกล่าวอยู่ในสายตาของรัชชานนท์ที่มองอย่างจับสังเกต
“ค่ะ”
“ท่านหญิงประชวรรึเปล่ากระหม่อม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” วรรณพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น “ฉันอยากไปแสดงความยินดีกับคุณชายรุจ ช่วยพาฉันไปพบเขาหน่อยได้ไหม”
รัชชานนท์และรณพีร์สบตากัน สงสัยท่าทีแปลกๆ ของท่านหญิงรสา ที่คล้ายจะร้องไห้
ด้านปวรรุจพูดอธิบายให้ย่าทั้งสองฟังต่อเนื่อง
“หลังจากกลับมาจากสวิต ผมแน่ใจแล้วละครับว่าผมแต่งงานกับใครไม่ได้ ยกเว้นคนคนนั้นคือคนที่ผมรัก”
ย่าอ่อนหงุดหงิด อารมณ์เสียมากขึ้น “แกจะมาพูดพิโยกพิเกนอะไรอีก แกเคยบอกแล้วว่าแกตกลงจะแต่งกับหนูกระถิน อย่ามาเสียคำพูดนะ”
“ใช่ครับย่าอ่อน ผมเคยพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เมื่อผมได้พบกับน้องกระถิน ก็เห็นว่า แกยังเด็กอยู่มาก และแกเองก็ลำบากใจเหลือเกิน ที่จะต้องแต่งงานกับผม”
“แกรู้ได้ยังไงชายรุจ”
“มีอีกหลายเรื่องครับที่ย่าอ่อนยังไม่ทราบ”
“ไม่ต้องมาบอกว่าฉันทราบหรือไม่ทราบอะไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนทราบก็คือ นี่คือพระประสงค์ของท่านชายวิชชากร ที่จะให้จุฑาเทพเป็นทองแผ่นเดียวกับเทวพรหม แกจะให้ย่าเสียผู้ใหญ่หรือยังไงกัน” ย่าอ่อนยกเรื่องเดิมมาอ้าง
บรรยากาศอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ
พุฒิภัทรเอ่ยขึ้น “ย่าอ่อนครับ ย่าอ่อนก็เห็นจากครั้งพี่ชายใหญ่แล้วนี่ครับ ว่าการที่ได้เลือกหญิงที่รักด้วยตนเองนั่นแหละจะสร้างความสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”
ย่าอ่อนยิ่งโกรธตัวสั่น มองชายหนุ่มทั้งสามตาเขียว เสียงดังลั่น
“อย่าเอาเรื่องของชายใหญ่มาเกี่ยวกับเรื่องของชายรุจ”
สามหนุ่มอึ้งไป
รัชชานนท์และรณพีร์พาวรรณรสาเข้ามาที่หน้าห้อง ได้ยินเสียงแว่วออกมาจากห้อง
“พี่ชายรุจกำลังปรึกษากับหม่อมย่าและย่าอ่อนอยู่กระหม่อม”
“ท่านหญิงประทับรอสักครู่ก่อน กระหม่อมจะเรียกพี่ชายรุจออกมาพบ”
ทั้งสองเข้าไปในห้อง วรรณรสายังได้ยินเสียงแว่วออกมาเดินไปฟังที่ประตู
รัชชานนท์ และรณพีร์เข้ามาในห้อง และชะงักไปเพราะบรรยากาศกำลังตึงเครียด
“เราจะมาพูดแบบนั้นไม่ได้ คราวชายใหญ่ หนูเกษราเลือกที่จะไปแต่งงานกับคุณชินกรเอง อีกอย่างหนูระวีรำไพเป็นถึงบุตรีของคุณชายอาทิตยรังสี ถือว่าสมกันทั้งเกียรติ ทั้งฐานะ ทั้งตระกูล”
รัชชานนท์และรณพีร์เข้ามาหาพุฒิภัทร
รณพีร์กระซิบ “อะไรกันครับ”
“ชายรุจ บอกให้ย่าเข้าใจหน่อยเถิด ที่เราบอกว่าหลังจากกลับมาจากสวิต เราก็เปลี่ยนใจ เกิดอะไรขึ้นที่สวิตงั้นเหรอ เกิดอะไรที่เรายังไม่ได้บอกย่า”
หม่อมเอียดถามตรงจุด ปวรรุจยิ่งอึดอัด ธราธรและพุฒิภัทรมองปวรรุจเป็นเชิงบอกให้พูดความจริงออกมา
วรรณรสารอฟังอยู่นอกห้อง
ปวรรุจนิ่งงัน ไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้
“ว่ายังไงชายรุจ ทำไมไม่พูดออกมา”
ธราธรตัดสินใจพูดแทน
“หม่อมย่าครับ ถ้าหากว่าในใจของชายรุจมีคนอื่นอยู่แล้วละครับ”
ทุกคนมองมาที่ธราธร ปวรรุจมองพี่ชายอย่างไม่อยากให้พูด
“ชายใหญ่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” หม่อมเอียดซัก
“ชายรุจมีหญิงอื่นในใจอยู่แล้วครับ ชายรุจพบรักใหม่ที่สวิต” ธราธรบอก
ปวรรุจถอนใจเฮือก ปิดบังอะไรไม่ได้แล้ว
วรรณรสาเย็นวาบไปทั้งตัว
ย่าอ่อนตวาดแว้ด “ใครกันชายรุจ ทำไมไม่บอกย่า เห็นย่าเป็นหัวหลักหัวตองั้นเหรอ”
พุฒิภัทรเข้าไปจับมือย่าอ่อน
“ใจเย็นครับย่าอ่อน ชายรุจไปพบรักไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ ย่าอ่อนก็เลยไม่ทราบ ชายรุจไม่ได้จงใจปกปิดหรอกครับ”
ย่าอ่อนสะบัดมือออก เดินเข้ามาหาปวรรุจ ถามคาดคั้น
“ไปพบรักที่สวิต ผู้หญิงคนนั้นมันเป็นใคร เป็นนางฝรั่งมังค่าใช่ไหม ตอบมาเดี๋ยวนี้”
ท่านหญิงรสานิ่งงัน ใจเต้นลุ้นระทึก
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ย่าอ่อนไม่ลดรา เห็นปวรรุจเงียบก็ยิ่งโกรธ รุกหนัก
“ทำไมเงียบ บอกมาซิ นังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นมันเป็นใคร”
“ได้ครับ ถ้าคุณย่าต้องการรู้จริงๆ ผมก็จะบอก เธอ...เป็นแค่ลูกพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง”
วรรณรสาน้ำตาร่วง ในที่สุดปวรรุจก็ไม่กล้าพูดความจริง
ธราธรและพุฒิภัทรสลดใจที่ปวรรุจเบี่ยงเบนความจริง
“แต่คุณย่าอ่อนไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผู้หญิงคนนั้นได้ตายจากผมไปแล้ว”
วรรณรสาน้ำตาไหลพรากออกมา เจ็บปวดถึงที่สุด
ธราธรมองหน้าพุฒิภัทร ไม่นึกว่าปวรรุจจะตอบเช่นนั้น รัชชานนท์และรณพีร์ยังคลางแคลงใจ
หม่อมเอียดมองปวรรุจอย่างพินิจ ย่าอ่อนดูจะคลายความโกรธลง
แต่แล้วทันใดนั้น ประตูค่อยๆ เปิดออกมา วรรณรสาตัดสินใจแล้ว ก้าวเข้ามาพร้อมน้ำตาไหลพราก
“ท่านหญิง” ย่าอ่อนตกในในสภาพที่เห็น
“ฉันตายไปจากคุณแล้วใช่ไหมคะคุณชาย” วรรณรสาถาม ใจจะขาดรอนๆ
ปวรรุจตะลึงงัน ทุกคนเป็นอึ้ง
“ได้...แต่ก่อนที่ฉันจะตายจากคุณไป ให้คุณรู้ไว้เถิดว่าคุณไม่เคยจากฉันไปไหน คุณยังสถิตอยู่ในใจฉันเสมอ”
ปวรรุจอึ้ง
“ท่านหญิงเพคะ ท่านหญิงรับสั่งอะไร” ย่าอ่อนงงไปหมด
“คุณย่าคะ ผู้หญิงที่คุณชายพูดถึง ไม่ใช่ลูกพ่อค้าที่ไหนหรอกค่ะ แต่เธอคนนั้นอยู่ที่นี่ เวลานี้ และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคุณย่าอ่อน”
“อะ...อะไรนะเพคะท่านหญิง” ย่าอ่อนตะลึงตาค้าง
ปวรรุจมองหน้าวรรณรสา ตะลึงกับความกล้าหาญ
“หญิงเองค่ะ คือผู้หญิงคนนั้นที่คุณชายรุจหมายถึง และที่หญิงเคยบอกคุณย่าอ่อนถึงชายคนรักของหญิง คุณย่าอ่อนอยากรู้ว่าเป็นใคร ชายคนนั้นก็คือ คุณชายปวรรุจ หลานชายคุณย่าอ่อนนั่นเอง”
อ่อนมองหน้าปวรรุจ ที่ยังตะลึงงัน ธราธรและพุฒิภัทรถอนหายใจ รัชชานนท์และรณพีร์
มองทุกคนอย่างงุนงงและตกใจ แต่ได้คำตอบทุกอย่างแล้ว
ย่าเอียดนิ่งงัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
แล้วทันใด ร่างของย่าอ่อนก็ทรุดฮวบ ล้มลงไปกับพื้นแน่นิ่ง
“คุณย่า”
รณพีร์เข้าประคองร่างย่าอ่อนที่หมดสติ รัชชานนท์เข้าช่วย
“ชายภัทร ดูแม่อ่อนเร็ว” หม่อมเอียดบอก
พุฒิภัทรเข้าดูอาการ และตรวจชีพจร ก่อนจะบอกธราธร
“พี่ชายใหญ่ โทร.แจ้งโรงพยาบาลเลยครับ”
ธราธรวิ่งออกไปจากห้องเร็วรี่
ปวรรุจหันมามองวรรณรสาที่ยังยืนตะลึง ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ย่าอ่อนถูกนำส่งโรงพยาบาล และยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง วรรณรสานั่งเฝ้าอยู่สีหน้าซีดเผือด มือจับมือของย่าอ่อนไว้ สักครู่หนึ่งพุฒิภัทรเดินเข้ามาหา
“ท่านหญิง ย่าอ่อนอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้วกระหม่อม แค่ตกใจแล้วก็อ่อนเพลียเท่านั้นเอง”
“ท่านล้มป่วยเพราะคำพูดของฉัน ถ้าท่านเป็นอะไรไป ฉันคงไม่ให้อภัยตัวเอง ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ ที่พูดความจริงออกไปแบบนั้น”
ประตูห้องเปิดอยู่ ปวรรุจยืนฟังอยู่หน้าห้อง
“นับเป็นความกล้าหาญของท่านหญิงต่างหากที่รับสั่งความจริงทั้งหมด” พุฒิภัทรยังทึ่งไม่หาย
“แต่คงมีคนนึงที่เขาคงไม่เห็นด้วยกับคุณชาย”
ปวรรุจยืนฟังอยู่หน้าห้อง เสียงของวรรณรสาดังออกมา
“ขอตัวก่อนนะคะ”
ปวรรุจรีบผละจากหน้าห้องทันที แต่วรรณรสาก้าวออกมาทันเห็นปวรรุจกำลังเดินแยกไป
“คุณชายรุจ”
ปวรรุจชะงัก
“ไม่ยักรู้ว่าคุณชายอยู่ด้วย”
ปวรรุจหันมา
“ดึกมากแล้ว ทูลเชิญท่านหญิงกลับไปเสียเถอะ”
“ฉันขออยู่ดูอาการคุณย่าจนกว่าจะฟื้น”
“กว่าจะฟื้นก็คงเช้า”
“งั้นฉันก็จะอยู่ถึงเช้า”
“มันไม่เหมาะที่ท่านหญิง...”
“จะห่วงอะไรละคะ ในเมื่อฉันตายไปจากชีวิตคุณแล้ว”
ปวรรุจนิ่งงัน วรรณรสาจะเดินแยกไปเข้าห้องน้ำ ปวรรุจเอ่ยขึ้น
“คนที่ตายไปจากชีวิตกระหม่อม คือสาวลูกพ่อค้าที่ชื่อรสาต่างหาก”
วรรณรสาหันมามองปวรรุจอย่างฉงนฉงาย ปวรรุจกลับเข้าห้องย่าอ่อนไป วรรณรสาเม้มปากแน่น พยายามระงับความรู้สึกเจ็บลึก ก่อนจะผละไป
พุฒิภัทรนั่งอยู่ข้างเตียงย่าอ่อน ปวรรุจเดินเข้ามาหา
“ท่านหญิงไม่ยอมเด็จกลับใช่ไหม”
“ใช่....ท่านจะอยู่เฝ้าคุณย่าทั้งคืน”
“แล้วนายล่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้อาจเป็นวันที่หนักหนาสำหรับนายอีกวันนึง”
“ไม่ ท่านหญิงอยู่ ฉันก็จะอยู่ที่นี่”
ชายภัทรมองชายรุจอย่างเข้าใจ
“เข้าใจ เดี๋ยวฉันจัดห้องพักแขกไว้ให้ท่านหญิงประทับ ส่วนนาย...”
“ฉันจะเฝ้าอยู่หน้าห้องนี่แหละ ไม่ต้องห่วงหรอก”
พุฒิภัทรพยักหน้า
ดึกมากแล้ว วรรณรสายังนั่งเฝ้าย่าอ่อนอยู่ที่โซฟาข้างเตียง แต่พิงพนักเก้าอี้หลับไป ประตูเปิดแง้มเข้ามา บัวสลึมสลือเต็มทีอยู่ในชุดนอนโผล่หน้าเข้ามาดู แล้วค่อยๆ ปิดประตูเสีย
บัวหาวหวอดๆ อยู่หน้าห้อง หันมาหาปวรรุจที่ยืนรออยู่
“ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านหญิงบรรทมไปแล้วค่ะคุณชาย คุณชายไม่ต้องห่วงแล้วนะคะ พระองค์ฉัตรโปรดให้บัวมาดูแลท่านหญิงแล้ว คุณชายกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
ปวรรุจแง้มประตูเข้าไป เห็นว่าวรรณรสานั่งหลับอยู่ในท่าที่ไม่สบาย ยิ่งเป็นห่วง
“ท่านหญิงน่าจะเด็จบรรทมบนเตียงที่ห้องพัก นั่งบรรทมอย่างนั้น ไม่สบายองค์แน่ๆ”
“ท่านทรงดื้อ ไม่ยอมเด็จไปน่ะซีคะ ทูลขอเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”
ปวรรุจถอนใจ
ปวรรุจเข้ามาในห้องพักฟื้นย่าอ่อน วรรณรสายังนั่งพิงเก้าอี้หลับอยู่กอดตัวเอง บัวตามเข้ามา ปวรรุจเข้าปลุกทันที
“ท่านหญิง ตื่นบรรทมเถิดกระหม่อม”
วรรณรสาค่อยๆ ลืมตาขึ้น “คุณชาย”
“ทูลเชิญท่านหญิงเด็จประทับที่ห้องพักแขก บรรทมนั่งแบบนี้ ลำบากพระวรกาย ตื่นบรรทมขึ้นมา ท่านหญิงประชวรแน่ๆ กระหม่อม
“ไม่...ฉันจะอยู่ที่นี่”
“อย่าทรงดื้อ”
ปวรรุจประคองร่างของวรรณรสาลุกขึ้น ท่านหญิงรสาสะบัดมือของปวรรุจออก
“ฉันจะอยู่ที่นี่ แล้วคุณชายก็หยุดยุ่งกับฉันเสียที”
ปวรรุจมองวรรณรสา ส่งสายตาดุ
“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมก็ไม่มีทางเลือก โปรดอภัยกระหม่อมด้วย”
ขาดคำปวรรุจรวบร่างแบบบางของท่านหญิงรสาขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย บัวถึงกับอ้าปากค้าง
“คุณชายปล่อยฉันนะ”
ปวรรุจไม่ฟังเสียง วรรณรสายังพยายามดิ้นไม่หยุด
“ยิ่งทรงดิ้น กระหม่อมก็ยิ่งรัดพระองค์แน่นกว่าเดิม จะทรงดื้ออีกไหม”
วรรณรสานิ่งงันไป ประสานสายตากับปวรรุจที่ดุดันเอาจริงจนท่านหญิงรสากลัว
ไม่นานหลังจากนั้น ปวรรุจอุ้มรสามาวางลงที่เตียงในห้องพักแขกโรงพยาบาล บัวตามเข้ามาดูแล วรรณรสาหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ถูก
“ดูแลท่านหญิงด้วย” ปวรรุจบอกบัว
“ค่ะ”
“เดี๋ยวบัว...ออกไปก่อน” วรรณรสาเอ่ยขึ้น
บัวกำลังจะเตรียมชุดผ้าห่มและเครื่องนอน รีบออกไปทันที
“ท่านหญิง รีบบรรทมเถิดกระหม่อม”
“จะไม่ถามสักคำหรือ ว่าทำไมฉันต้องพูดความจริง”
ปวรรุจนิ่งไป
“ในงานฉันเพิ่งทราบว่าคุณชายจะไปประจำที่สวิต ฉันอยากมาแสดงความยินดี แต่ไม่นึกว่าจะได้ยินคุณชายกำลังเล่าเรื่องของเรา...และบอกคุณย่าทั้งสองว่า...ฉันตายจากคุณไปแล้ว นั่นแหละที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันต้องพูดความจริง ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย”
“ความจริงของท่านหญิงนำมาซึ่งความยุ่งยาก”
“ฉันยอมรับความผิดที่ทำให้คุณย่าอ่อนล้มป่วย แต่ฉันไม่เสียใจเลยที่พูดความจริงออกไปอย่างนั้น”
ปวรรุจไม่ตอบโต้อะไร
“หมดเวลาสนทนาแล้วกระหม่อม”
ปวรรุจจะออกจากห้อง
วรรณรสาเสียงเครือ “อย่าเดินหนีฉันแบบนี้ซิคุณชาย คุณชายไม่เคยเดินหนีรสา คุณชายมีแต่เข้ามาช่วยให้รสารอดปลอดภัย ไม่ใช่หรือคะ”
ปวรรุจเจ็บที่วรรณรสาใช้คำพูดที่เคยพูดที่ลานสกี ภาพที่วรรณรสาวิ่งเข้ามากอดปวรรุจ และพูดประโยคนี้ ผุดขึ้นมาในความคิด
ปวรรุจก้าวออกจากห้องไป ทิ้งให้วรรณรสาสะอื้นไห้เพียงลำพัง
ติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 11