สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 9
เมื่อแผนไม่เป็นดังหวัง วรรณรสาจึงต้องกลับมาที่บ้านอ้ายและเอื้อย ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ ตกแต่งน่ารัก รอบบริเวณเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม และเวลานี้วรรณรสานั่งหน้าเซ็งอยู่ตรงหน้าแฝด ในห้องนั่งเล่น
“ท่านหญิงขา อย่าทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างนั้นซีคะ”
“พรุ่งนี้คุณชายก็ต้องมาถึง ท่านหญิงไปพบคุณชายพรุ่งนี้ก็ได้นี่คะ”
“แล้วจะอ้างเหตุผลอะไรล่ะ”
“ไปเรียนทำขนมกับคุณย่าอ่อนต่อเนื่องไงคะ ขอเรียนการเรือนเลย จะได้ไปทุกวัน” เอื้อยเสนอ
“คงไม่ทำให้หญิงดูก๋ากั่น หน้าไม่อายนะ” วรรณรสาท้วง
“โธ่ ใครจะไปคิดอย่างนั้น นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เข้าท่าและแนบเนียนที่สุด ไม่มีใครสงสัยหรอกค่ะ”
วรรณรสายิ้มออกมาได้
“ท่านหญิงเล่าเรื่องของหม่อมหลวงกระถินให้ฟังต่อดีกว่าค่ะว่า เป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังเด็กเหลือเกิน”
“แล้ว....ตกลงเธอรักคุณชายรุจแน่ ๆ ใช่ไหมคะ”
“เธอพูดว่าอย่างนั้นนะ แต่แปลก ตอนที่เธอพูดว่ารักคุณชาย เหมือนเธอท่องมาอย่างนั้น ที่แปลกอีกอย่าง พอเธอรู้ว่าคุณชายยังไม่กลับ เธอดูโล่งอกอย่างไรบอกไม่ถูก อ้อ มีเรื่องแปลกที่สุดอีกเรื่องที่รสาแอบเห็นเข้า
แฝดกระเถิบเข้ามาประชิดทันที ถามพร้อมกัน
“อะไรคะ”
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่วรรณรสาเดินจะกลับมาที่รถ ซึ่งเป็นรถของบ้านอ้ายเอื้อย เพราะหลอกทางวังอรุณรัศมิ์ ว่ามาบ้านอ้ายเอื้อย แล้วให้รถบ้านแฝดไปส่งวังจุฑาเทพอีกที แล้วท่านหญิงต้องชะงักเมื่อเห็นกระถินกำลังจะขึ้นรถกลับเหมือนกัน สมหวัง และคล้าว ที่แต่งตัวภูมิฐานยืนรออยู่ วรรณรสาหลบมุมแอบดู กระถินหัวเราะระรื่น
“พี่คล้าวมาด้วยเหรอ แต่งเสียหล่อเชียว”
“เตือนแล้ว ไม่ให้มา มันก็ขอคุณเกษมาจนได้” สมหวังบอก
คล้าวมีสีหน้าเคียดแค้น “ยังไงพี่ก็ต้องมา จะได้รู้ทาง นี่น่ะเหรอวังห้าสิงห์จุฑาเทพ...คอยดูนะถ้าไอ้คุณชายมันเลี้ยงดูกระถินไม่ดี พี่จะบุกมาชิงตัวกระถินกลับบ้านเรา”
“อุ๊ย....พี่คล้าว ตื่นเต้น อย่างกะหนังบู๊โคบาลเลย แต่ตอนนี้กลับเถอะจ้ะ เพราะคุณชายไม่มาแล้ววันนี้ กว่าเรือบินมาถึงพรุ่งนี้แน่ะ”
“ลุงสม วันนี้ฉันขอขับรถเองนะ”
“ไม่ได้ เดี๋ยวคุณชายเทวพันธ์เห็นเข้า ข้าโดนเล่นงานแย่” สมหวังไม่ยอม
“ไม่หรอกน่า ให้ฉันขับนะ อยากขับรถในกรุงเทพฯมานานแล้ว”
“รีบกลับเถอะ กระถินคันไปทั้งตัวแล้ว ไอ้ผ้าลูกไม้นี่ทำไมมันคันคะเยออย่างนี้ ไม่อยากใส่เลย”
“พี่ก็เหมือนกัน ไอ้เสื้อแขนยาวนี่มันคันยิบๆ เดี๋ยวกระถินเกาให้พี่หน่อยนะ”
“ได้จ้ะ”
กระถินช่วยเกาหลังให้
“นั่นแหละ โอย สบาย”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน สมหวังมองอย่างอนาถใจเต็มที
“หายคันแล้ว”
คล้าวว่าแล้ววิ่งขึ้นรถ กระถินขึ้นนั่งตอนหลัง สมหวังส่ายหน้าแล้วขึ้นนั่งตอนหน้า รถแล่นออก
วรรณรสาออกมาจากมุม มองตามอย่างสงสัย
สองแฝดฟัง วรรณรสาเล่าจบ ต่างมีสีหน้าครุ่นคิด แล้วอ้ายก็ตะโกนออกมา
“ท่านหญิงไม่ต้องคิดมากแล้วค่ะ สรุปได้เลยว่าหม่อมหลวงกระถินมีคนรักอยู่แล้ว คือนายคล้าวอะไรนั่นแน่ๆ”
“หนูอ้ายแน่ใจนะ”
“ถ้าพูดถึงขั้นว่า “จะชิงตัวกระถินกลับบ้านเรา” มันก็ต้องคนรักกันแน่ ๆ ค่ะ” อ้ายมั่นใจ
“แสดงว่าหม่อมหลวงกระถินไม่ได้รักคุณชายเลย เธอถูกบังคับแท้ๆ” เอื้อยว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หญิงก็ยังมีสิทธิ์ทำตามที่หัวใจเรียกร้องกับ...” ท่านหญิงเขินอายขณะพูดออกมา “คุณชายรุจใช่ไหมหนูอ้ายหนูเอื้อย
“ท่านหญิงมีสิทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ พันเปอร์เซ็นต์ค่ะ” เอื้อยบอก
วรรณรสายิ้มออกมาได้
วันรุ่งขึ้น ปวรรุจกลับมาแล้ว กำลังก้มกราบย่าเอียดและย่าอ่อน คุณชายทั้งสี่อยู่กันพร้อมหน้าของฝากวางเต็มห้อง
“ดีใจที่สุดครับ ได้กลับบ้านเสียที”
“ย่าละใจเสีย เห็นพูดว่าตกเรือบงเรือบิน แล้วการงานเป็นอย่างไร” หม่อมเอียดถาม
“ก็ถือว่าประสบความสำเร็จดีสำหรับประเทศเรา ถึงแม้การประชุมยังเห็นไม่ตรงกันอยู่หลายเรื่อง”
“นี่ถ้าท่านพ่อกับแม่ช้องนางยังอยู่ คงภูมิใจในตัวเรามาก” หม่อมเอียดเป็นปลื้ม
ย่าอ่อนนึกหมั่นไส้ช้องนาง เลยขัดขึ้น “ก็ยังดีนะคะ ที่นำแต่ความสำเร็จกลับมา ไม่พาเมียแหม่มไร้สกุลรุนช่องกลับมาด้วย”
พี่น้องทั้งสี่มองหน้ากันเซ็งๆ
“อ้าว แม่อ่อน ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
“กลัวนี่คะ ก่อนไปเมืองนอกเห็นทำอิดออดไม่ยอมไปพบเด็กกระถิน ก็กลัวจะไปคว้าแหม่ม หรือแม่คนรักเก่ากลับมาด้วย ประเภทสิบเบี้ยใกล้มือ เหมือนครั้งสมัยท่านชายวิชชากร”
ปวรรุจหน้าสลดลง
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ หากผมจะเลือกผู้หญิงคนไหนมาเป็นคู่ ผมไม่มีทางคว้ามาเพียงเพราะอยู่ใกล้มือ แต่จะเลือกเพราะผมรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
ย่าอ่อนยิ้มหยัน “งั้นเหรอ”
“แล้วถ้าผมรักเธอแล้ว ผมมั่นใจว่าคุณค่าของจิตใจเธอจะมีค่ามากกว่าสิบเบี้ย เพราะฉะนั้น ต่อให้ฐานะทางสังคมของเธอจะเป็นแค่สาวใช้ ผมก็ไม่สน”
ย่าอ่อนฉุนขาดตวาดลั่น “ชายรุจ ที่แกพูดนี่แกกำลัง...”
รณพีร์รีบกระเถิบเข้าหาย่าอ่อน ที่กำลังเดือด
“ย่าอ่อนครับ พี่ชายรุจกลับมาเหนื่อยๆ ให้พี่ชายรุจไปพักก่อนดีไหมครับ”
ย่าอ่อนยังไม่หยุด “ฟังไว้นะชายรุจ ย่ากับหม่อมย่าไม่มีวันปล่อยให้อยู่ๆ แกก็ไปคว้าเอาขี้โคลนจากปลักไหนมาประดับหัวแหวนของราชสกุลจุฑาเทพอย่างแน่นอน หม่อมหลวงกระถินที่ย่าเลือกให้ เหมาะสมกับแกที่สุดแล้ว”
“เอาละ ๆ ชายรุจไปพักผ่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่ำนี้มาทานข้าวด้วยกัน”
“ครับ”
ปวรรุจและคุณชายทั้งหมดออกไป ย่าอ่อนหยิบพัดขึ้นมาพัดวี ความร้อนรุ่มในใจ
เวลาต่อมา ปวรรุจ ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ รวมตัวกันอยู่ในห้องใต้โดม
รัชชานนท์กำลังส่องกล้องทางไกลแบบลำกล้องเดียว ส่วนรณพีร์กำลังตื่นเต้นกับแว่นตาและหมวกสำหรับใส่ขับเครื่องบิน กล่องของฝากวางเกลื่อนห้อง ชายภัทรและธราธรนั่งคุยกับปวรรุจที่โต๊ะทำงาน
“เมื่อวานน้องกระถินเขาก็มารอชายรุจอยู่ทั้งวันเลยนะ”
“เหรอครับ”
“ไม่ใช่แค่น้องกระถินคนเดียวนะครับ ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ ก็เด็จมาเยี่ยมย่าอ่อนด้วย” พุฒิภัทรบอก
ปวรรุจนิ่งงันไป ชายภัทรและธราธรมองหน้ากัน ปวรรุจยังไม่รู้ว่าธราธรและชายภัทร รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว สองคน ดูท่าทางสลดลงของปวรรุจ อย่างเห็นใจ
“เหรอครับท่านหญิงเด็จมาที่นี่เหรอครับ เสียดายผมกับชายพีร์ไม่ได้เฝ้าท่าน” รัชชานนท์ได้ยินหันมาทางสามคน
“ก็มัวแต่ไปเที่ยวกันทั้งคู่ นี่”
“ใครว่าละครับพี่ชายใหญ่ ผมบินลาดตระเวนขอบชายแดน เรื่องขโมยสมบัติโบราณของชาติ จนกลายเป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างประเทศไปแล้ว” รณพีร์บอก
“นายยังจำท่านหญิงได้ใช่ไหม” พุฒิภัทรถาม มองจับอาการ
ปวรรุจบอกนิ่งๆ “ไม่มีวันลืม”
“ไม่นึกนะครับว่าเจริญชันษา จะทรงงดงามถึงเพียงนี้” รณพีร์สอดเข้ามาอีก
“ว่าแต่เรื่องแฟนคนใหม่ของพี่ชายรุจ ที่ชื่อ “รสา” เป็นยังไงบ้างครับ ทำไมไม่เล่าให้ฟังบ้างเลย”
รัชชานนท์ถาม รณพีร์สนใจด้วย “เล่าเลยครับ ผมอยากฟัง”
ปวรรุจตัดบท “เพราะไม่มีอะไรจะเล่าน่ะซี เอาเป็นว่าพอเลิกทัวร์เราก็แยกกันไป ไม่ได้สานต่ออะไรกันอีก”
รณพีร์เซ็ง “หมดกัน”
“ขอตัวนะ ฉันอาบน้ำก่อนละ เดี๋ยวจะนอนสักตื่นด้วย”
ปวรรุจเดินออกจากห้องโดมไป ธราธรและชายภัทรสบตาอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น ปวรรุจลาราชการ 1 สัปดาห์ เดินเล่นอยู่ในสวน มองเลยไปที่ศาลาในสวนแล้วชะงักไป เมื่อเห็นวรรณรสากำลังนั่งทำขนมอยู่กับย่าอ่อนสองต่อสอง
“หม่อมฉันเห็นพระรูปของท่านชายภาณุทัศนัยแล้วเพคะ แหม...สิริโฉมงดงามสมกับท่านหญิงราวกิ่งทองใบหยก เมื่อไหร่จะเข้าพิธีเสกสมรสเพคะ”
รสาเหม่อลอย “ยังไม่ทราบเลยค่ะ”
“หม่อมฉันตั้งตารอให้ถึงวันนั้น”
“แต่หญิงไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลยค่ะ”
“ท่านหญิงตรัสว่าอะไรเพคะ” ย่าอ่อนตกใจ
“เปล่าค่ะ”
ปวรรุจมองภาพรสาที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นเสื่อ กำลังกลัดไม้กลัดใบตอง แดดอ่อนๆ ยามเช้าจับร่างท่านหญิงรสาดูงดงามอ่อนหวาน ปวรรุจใจหวิวๆ แต่แล้วก็ตัดใจไม่หันกลับมามองภาพนั้นอีกจะเดินผละไป ย่าอ่อนหันมาเห็นเข้า
“นั่นชายรุจนี่”
วรรณรสาเงยหน้าขึ้นมองทันที ปวรรุจชะงัก ไม่หันมามอง
“ชายรุจ ยืนนิ่งอยู่ทำไม มานี่ซิ”
ปวรรุจจำต้องเดินมาที่ศาลา วรรณรสามองมาแน่วนิ่ง ปวรรุจสบตาอย่างสงบนิ่ง
“ท่านหญิงเพคะนี่ชายรุจ ที่ท่านหญิงโปรดจะเล่นด้วย ตอนทรงพระเยาว์ ชายรุจ นี่ท่านหญิงแต้ว จำท่านได้ไหม”
“จำได้ซีครับ”
วรรณรสายิ้มให้ แต่ปวรรุจกลับวางมาดขรึม แล้วค้อมศีรษะลงอย่างเป็นทางการ
“ฝ่าบาท”
วรรณรสาหน้าเจื่อนไปทันที เพราะคำพูดนั้นดูจงใจให้ห่างเหินเสียเหลือเกิน
“มานั่งนี่ซีชายรุจ ท่านหญิงกับย่ากำลังหาคนชิมขนมตาลอยู่พอดี”
“ถ้าคุณชายไม่รังเกียจ”
วรรณรสาเลื่อนจานเล็กใส่ขนมตาลให้ ปวรรุจรับมาชิม ไม่ได้พูดอะไร วรรณรสาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“งั้นอยู่คุยกับท่านหญิงไปก่อนนะ ย่าไปดูสำรับในครัวประเดี๋ยว”
ย่าอ่อนลุกออกจากศาลาไป ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป
“คุณชายคะ ฉันขอโทษเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด”
อย่างที่ไม่คาดคิด ปวรรุจลุกขึ้นทันที
“ฝ่าบาทประทานอภัย กระหม่อมขอตัว”
ปวรรุจลงจากศาลา แล้วแยกไปทางสวน
“คุณชายคะ เดี๋ยวก่อน”
วรรณรสาลุกวิ่งตามไป
วรรณรสาวิ่งตามมาในสวน ปวรรุจเดินเร็วรี่จะตรงไปขึ้นตึก วรรณรสาสั่งเสียงดัง
“คุณชาย หยุดก่อน ฉันสั่งให้หยุดไง คุณชายปวรรุจ”
ปวรรุจหยุดทันที ค่อยๆ หันกลับมาช้า ๆ
“หยุดแล้วกระหม่อม พระบัญชาท่านหญิงวรรณรสา ใครจะกล้าขัดพระทัย”
“ถ้าไม่กล้าขัดใจจริง ก็เลิกใช้ถ้อยคำห่างเหิน แล้วพูดกับฉันเหมือนเดิม”
“กระหม่อมมิบังอาจ คงทำตามพระประสงค์ไม่ได้”
“ไหนบอกว่าจะไม่ขัดใจไง”
“ท่านหญิงทรงเป็นอนุวงศ์ กระหม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชน คงไม่หาญกล้าเอาตัวไปเทียบ”
“เราอย่ามามัวเล่นแง่กันเลยค่ะคุณชาย ที่ฉันมาพบคุณวันนี้เพื่อจะบอกว่า ฉันขอโทษที่ปิดบังคุณชายมาตลอด คุณชายจะยกโทษให้ฉันได้รึเปล่า”
“นี่คือพระบัญชาของท่านหญิงวรรณรสาหรือไม่กระหม่อม”
วรรณรสาสะเทือนใจ “ไม่ใช่ “คำสั่ง” ของท่านหญิง แต่คือ “คำขอร้อง” จากคนที่สำนึกผิด คุณชายจะให้ฉันทำยังไงจึงจะยอมยกโทษ ฉันยอมทั้งนั้น ขอเพียงคุณชายบอกมาคำเดียว”
“ฝ่าบาทแน่พระทัยหรือ”
“แน่ใจสิ”
“แล้วถ้ากระหม่อมทูลขอ ให้เสด็จกลับไปเสียล่ะ”
วรรณรสาชะงัก น้ำตารื้นขึ้นมาทันที จุกจนเสียงแหบแห้ง
“งั้นฉันก็จะกลับ”
“ควรแล้วกระหม่อม”
ปวรรุจจะกลับเข้าตึก วรรณรสาพูดตามอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งๆ ที่น้ำตานองหน้า
“แต่พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่”
ปวรรุจนิ่งงันไป
“มะรืนก็จะมา มะเรื่องก็จะมา ฉันจะมาทุกวันจนกว่าคุณชายจะยอมคุยกับฉันดีๆ”
วรรณรสาหมุนตัวจะกลับไป ปวรรุจหันมาบ้าง
“อย่าทรงเสียเวลาเลยกระหม่อม ทรงเอาเวลาอันมีค่าไปใช้เพื่อท่านชายทัศน์ พระคู่หมั้นเถิด กระหม่อมไม่มีค่าอะไรที่ฝ่าบาทจะต้องมาทรงเสียเวลาด้วย”
วรรณรสามองตอบปวรรุจ ถอนสะอื้นเบาๆ
“ถ้ายังไม่รู้ก็จงรู้ไว้เถิด ว่าคุณชายมีค่าที่สุด มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”
วรรณรสาสะอื้นไห้แล้วเดินจากไป ปวรรุจนิ่งงันอยู่ตรงนั้น น้ำตาคลอหน่วยขึ้นช้าๆ
วันต่อมาที่สนามบ้าน อ้ายและเอื้อยแต่งตัวเหมือนกัน ทำผมเหมือนกัน อ้ายกำลังล้างสุนัขตัวโปรดอยู่มุมบ้าน เอื้อยกำลังรดน้ำต้นไม้ สาวใช้เดินนำปกรณ์มา
“มีคนมาขอพบคุณหนูเอื้อยคุณหนูอ้ายค่ะ”
เอื้อยกำลังสาละวนกับกิจกรรมของตัวเอง
“เชิญเค้าเข้ามาเลย”
“ผมอยู่นี่แล้วครับ”
เอื้อยรดน้ำต้นไม้หันมา “คุณปกรณ์”
ปกรณ์ แต่งหล่อยืนอยู่ พร้อมช่อดอกไม้และของกำนัล
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อ้ายถาม
“ลงเครื่องเมื่อค่ำวาน เช้านี้ก็ตรงมาบ้านคุณเลย เฮ้อ หนูอ้าย ดีใจที่ได้เจอหนูอ้ายจริงๆ”
ปกรณ์จับมือหนูเอื้อยแล้วจุมพิต เอื้อยกลั้นหัวเราะ ขณะที่อ้ายโกรธ เท้าสะเอวจ้องตาเป๋ง
“นี่หนูเอื้อยค่ะ หนูอ้ายอยู่นั่น”
“อ้าว โทษ แต่งเป็นแฝดเหมือนแบบนี้ ผมก็จำไม่ได้น่ะซีครับ”
“แสดงว่าไม่รักไม่ชอบพอกันจริง ห่างกันแป๊บเดียว แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร” อ้ายค้อนขวับ
“โอเค พอพูดแบบนี้ รู้แล้วว่าคือหนูอ้าย”
“โกรธแล้วนะ”
เอื้อยตัดบท “ขึ้นเรือนก่อนค่ะ มีเรื่องอยากคุยตั้งเยอะแยะ”
ปกรณ์เย้า “รู้ครับ เรื่องคุณอั๋นใช่ไหม”
เอื้อยค้อนขวับ “คุณปกรณ์น่ะ”
“คุณอั๋นมีของฝากพร้อมจดหมายมาให้ด้วยนะครับ”
“งั้นรออะไรล่ะ”
เอื้อยและอ้าย ดึงปกรณ์เข้าบ้านไป
เวลาเดียวกันปวรรุจเดินมาที่ศาลาเพราะเห็นสี่หนุ่มกำลังมุงทานอาหารบนโต๊ะ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ทานอะไรกันน่ะ”
สี่หนุ่มหันมา ปวรรุจถึงเห็นวรรณรสายืนอยู่กลางวง กำลังเสิร์ฟขนมไทยหลายชนิดให้หนุ่มๆ ทาน
“ขนมฝีพระหัตถ์ท่านหญิงน่ะ ลองชิมดูหน่อยไหม” ธราธรชวน
“ตะโก้เผือกนี่อร่อยมากเลยครับ” รณพีร์บอก
“ตอนนี้ยังไม่อยากทานของหวาน ขอตัวนะ”
ปวรรุจเดินกลับไปที่ตึก วรรณรสาเจื่อนไป
“เดี๋ยวนี้พี่ชายรุจเป็นอะไร ดูเครียดๆ” รัชชานนท์ว่
“อกหักตามเคยไง กับสาวร่วมทัวร์คนนั้น ชื่ออะไรนะ รสา อะไรสักอย่าง” รณพีร์เสริม
วรรณรสาสะท้อนใจ หน้ายิ่งเจื่อนลง ธราธร กะพุฒิภัทรเข้าใจความรู้สึกนั้น วรรณรสาพยายามทำสีหน้าเป็นปรกติ แล้วพูดขึ้น
“ทานกันต่อดีกว่านะคะ”
ทั้งกลุ่มกลับมาทานกันต่อ วรรณรสายังเหลือบมองไปที่ตึกด้วยความน้อยใจ
ด้านปวรรุจเดินกลับเข้าห้อง แอบมองผ่านหน้าต่างไปที่ศาลา เสียงหัวเราะของบรรดาพี่น้องแว่วมา
วรรณรสายิ้มเศร้าๆ อยู่ท่ามกลางหนุ่มๆ ท่านหญิงเงยหน้าขึ้นมองมาที่หน้าต่างห้อง ปวรรุจรีบฉากหลบพิงกรอบหน้าต่าง ปวรรุจถอนใจ พยายามตัดใจไม่กลับไปมองอีก แล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียง หลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน
ปวรรุจลืมตาตื่นขึ้น เวลาเย็นมากแล้ว แดดสีส้มส่องเข้ามาในห้อง ปวรรุจลุกขึ้นนั่งข้างเตียงสายตามองไปที่โต๊ะทำงาน เห็นขนมลูกชุบ ตะโก้ และขนมตาลจัดวางในจานอย่างดี ปวรรุจลุกมามองขนม
แล้วค่อยจิ้มลูกชุบทานช้าๆ รู้สึกถึงความหอมหวานยิ่งกว่ารสหวานของขนมแท้ ๆ
ปวรรุจเคี้ยวช้าๆ และน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา
เวลายามเย็น วรรณรสานั่งหน้าซึมเศร้า อยู่ต่อหน้าแฝดและปกรณ์ ในห้องอาหารบ้านแฝด
“เขาไม่สนใจใยดีรสาเลย”
“ท่านหญิงครับ สำหรับเจ้ารุจเนี่ย มันต้องใช้ความอดทนกับมันสักหน่อย” ปกรณ์ปลอบ
“รสาไม่คิดว่าเขาจะเย็นชากับรสาขนาดนี้” ท่านหญิงน้อยใจ
“ท่านหญิง ที่จริงก็น่าเห็นใจคุณชายนะคะ คงไม่ได้อยากเย็นชากับท่านหญิงหรอก แต่หน้าที่และความรับผิดชอบต่างหากละคะ ที่ค้ำคอคุณชายอยู่” อ้ายว่า
“ใช่ค่ะ....นั่นคือเรื่องที่ทั้งท่านหญิงและคุณชายต่างก็มีพันธะกับคู่หมั้นกันทั้งคู่” อ้ายว่า
“หญิงรู้ แต่....เพียงคำขอโทษเขาก็ไม่ยอมรับเสียแล้ว เขาคงเกลียดหญิงจนไม่ให้อภัยอีกแล้วในชาตินี้”
“ไม่จริงครับท่านหญิง เจ้ารุจรักท่านหญิงมากต่างหาก มากจนแทบทนไมได้ มันทุกข์เหลือเกินที่ต้องจากท่านหญิงไปคราวนั้น มันรู้ว่ารักครั้งนี้เป็น “รักต้องห้าม” มันทุกข์เพราะรู้ว่ามันไม่อาจเอื้อม ไม่มีสิทธิ์ในตัวท่านหญิงแม้แต่น้อย มันจึงจำใจถอยห่างและเย็นชาอย่างที่เห็น”
วรรณรสาน้ำตารื้น “แล้ว.....ถ้าฉันทำให้ “รักต้องห้าม” มันเป็นไปได้ละคะ”
“ยังไงคะท่านหญิง” เอื้อยให้สงสัย
“ยังไม่รู้ แต่หญิงจะพยายามแม้แต่ต้องเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็ตาม”
อ้ายกะเอื้อย และปกรณ์มองหน้ากัน ตะลึงกับท่าทีมุ่งมั่นของวรรณรสา
ตอนกลางวันในวันต่อมา
ขณะที่ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ กำลังทานกาแฟและของว่างกันอยู่ มีทั้งของหวาน ผลไม้สด และคุกกี้วางอยู่เต็มจาน ทั้งสี่กำลังเคี้ยวคุ๊กกี้ ต่างมีสีหน้าลำบากใจ
“ของผมเหนียวมากเลย อย่างกะยางมะตอย” รณพีร์บ่น
“อันนี้มันขมจัง” มองดูใต้ขนม “อ้าว ไหม้” รัชชานนท์บอก
“หัดใหม่ก็อย่างนี้แหละ” ธราธรว่า
พุฒิภัทรบอก “อย่าพูดไปนะ”
ปวรรุจเดินเข้ามา ยิ้มเนือยๆ
“อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ใครทำคุ๊กกี้ แจ๋วเหรอ ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ”
“นายไปช่วยหน่อยซี อยู่ในครัวน่ะ” ธราธรบอก
ปวรรุจออกจากห้องเข้าครัวไปทันที
ปวรรุจเข้ามาในห้องครัวฝรั่ง โดยไม่สังเกตว่าวรรณรสาหันหลังให้อยู่ ปวรรุจมัวแต่มองคุกกี้เต็มถาดที่ไหม้บ้าง ไม่สุกบ้าง
“ทำไมอบคุกกี้แบบนี้ล่ะแจ๋ว มันต้อง...”
วรรณรสาค่อยๆ หันมา ปวรรุจตะลึง
“ฉันหัดทำนี่คะ”
ปวรรุจพูดอะไรไม่ออก
“เมื่อกี้คุณชายพูดว่า มันต้อง...ต้องอะไรคะ”
“เปล่า...กระหม่อมกำลังทูลฝ่าบาทว่าทำคุกกี้แบบนี้ มันต้องใช้ไฟระดับไหนถึงจะ ไม่ไหม้”
“งั้น ช่วยอนุเคราะห์หน่อยได้ไหมคะ ฉันยังทำไม่ค่อยเป็น”
ปวรรุจเข้ามาดูไฟในเตาอบให้ วรรณรสามองไหล่ของปวรรุจ รู้สึกได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ท่านหญิงจับแขนของปวรรุจไว้ ชายรุจนิ่งงัน วรรณรสาน้ำตาคลอ ปวรรุจไม่ยอมหันมา
“เราจะกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้หรือคะคุณชาย”
วรรณรสาซบหน้ากับไหล่ของปวรรุจ ชายรุจสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ หันมาและดึงมือของท่านหญิงรสาออกไป
“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วฝ่าบาท กระหม่อมทูลแล้วให้กลับไปหาพระคู่หมั้นของฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีอะไรคู่ควรกับฝ่าบาทแม้แต่น้อย ต่อไปนี้ เราควรอยู่ให้ห่างกัน เราไม่ควรแม้แต่สนทนากัน หรือข้องแวะกันแม้แต่ทางสายตา ฝ่าบาทคงเข้าพระทัย”
ปวรรุจผลุนผลันออกจากห้องไป วรรณรสาพิงผนังแล้วร้องไห้ออกมา
ปวรรุจเดินกลับเข้ามาในห้องใต้โดม มองหน้าธราธรและชายภัทรด้วยสายตาที่รู้แล้วว่า ทั้งสองรู้เรื่องของตนและท่านหญิงหมดแล้ว สายตานั้นมีแววตำหนี รัชชานนท์และรณพีร์ มองทุกคนอย่างงง ๆ
“พี่ชายใหญ่ ชายภัทร ขอคุยส่วนตัวหน่อยที่ห้องผมหน่อย”
ปวรรุจออกไป ธราธรและพุฒิภัทรมองหน้ากัน
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ทำไมพี่ชายรุจดูเครียดขนาดนั้น” รณพีร์ฉงน
ธราธรไม่ตอบเดินนำออกไป พุฒิภัทร จะตาม หันมาบอกน้องทั้งสอง
“นายสองคนไม่ต้องเข้าในครัวนะ ปล่อยท่านหญิงประทับอยู่ลำพัง”
จากนั้นพุฒิภัทรออกไป
รัชชานนท์ยิ่งงงใหญ่ “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
รณพีร์ส่ายหน้า “ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
รัชชานนท์ และรณพีร์หรือจะฟัง แอบมองเข้าไปในครัว เห็นวรรณรสาทรุดตัวนั่งร้องไห้สะอื้น สองหนุ่มยิ่งงงก่อนจะแยกตัวไป
ปล่อยวรรณรสาให้ร้องไห้แทบขาดใจอยู่เพียงลำพัง
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ธราธรและพุฒิภัทรตามออกมาที่โถงด้านนอก ปวรรุจยืนหน้าเครียดรออยู่แล้ว
“พี่ชายใหญ่กับชายภัทร รู้เรื่องของผมกับท่านหญิงแต้วแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่...เรารู้เรื่องของนายหมดแล้ว” ธราธรบอก
“แล้วทำไมถึงร่วมมือกับท่านหญิงให้ผมต้องเผชิญหน้ากับท่านหญิงแบบนี้”
พุฒิภัทรอธิบาย “แล้วทำไมนายถึงไม่กล้าเผชิญหน้าล่ะ จำครั้งวาดดาวไม่ได้หรอกหรือ ถ้าครั้งนั้นนายไม่กล้าพบวาดดาว นายก็คงไม่รู้ความจริงทั้งหมด”
“เรื่องวาดดาวกับท่านหญิงเอามาเปรียบกันไม่ได้ ฉันต้องหลีกเลี่ยงท่าน เพราะ...เราต่างก็มีพันธะ ยิ่งท่านหญิงทรงมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว ฉันจำเป็นต้องจบเรื่องของเรา เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” ปวรรุจบอกเหตุผล และการตัดสินใจของตน
“แต่นายรักท่านหญิงใช่ไหม” ธราธรถาม
ปวรรุจสูดลมหายใจเต็มปอด “ครับ รัก รักมากที่สุด”
“ท่านหญิงตรัสกับฉันว่าท่านทรงรักนายมากเช่นกัน ท่านจะทรงทำทุกอย่างให้พ้นจากพันธะทั้งปวง เพียงแต่นาย...”
พุฒิภัทรไม่ทันได้พูดจบ ปวรรุจสวนขึ้นทันที “พอเถอะชายภัทร ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ฉันไม่คู่ควรกับท่านหญิง ฉันดึงท่านให้ลงมาเป็นสามัญชนอย่างฉันไม่ได้ ขอให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้เถิด”
ปวรรุจออกไปทันที พุฒิภัทรจะพูดบางอย่าง ธราธรห้ามไว้
“พอเถอะชายภัทร เหตุผลของชายรุจเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ”
พุฒิภัทรได้แต่ทอดถอนใจ
ไม่นานต่อมา ขณะที่วรรณรสาเดินหน้าซึมเศร้าเข้ามาในโถงวังอรุณรัศมิ์ แต่แล้วชะงักไปเมื่อเห็นภาณุทัศนัยยืนสนทนากับพระองค์ฉัตร สองคนหัวเราะกันไปมา
“งานประชุมลุล่วงไปได้ด้วยดีกระหม่อม แต่ยังมีหลายประเทศที่เห็นไม่ตรงกัน คงต้องมีการประชุมอีกหลายวาระ”
“อ้าว หญิงแต้วกลับมาพอดี ชายทัศน์ก็เพิ่งเด็จมาถึงเหมือนกัน”
วรรณรสายกมือไหว้ชายทัศน์ แต่ไม่สบตา และมีท่าทีห่างเหินอย่างชัดเจน
“หญิงแต้วเด็จไปไหนมาหรือคะ เห็นนมแจ่มบอกว่าเด็จออกทุกวัน” ภาณุทัศนัยทักเสียงนุ่ม
“ไปบ้านหนูอ้าย หนูเอื้อยค่ะ”
“เขาเด็จไปทุกวัน เห็นว่าอยู่วังแล้วเบื่อ” ฉัตรอรุณเสริม
“หญิงเหนื่อย ขอตัวขึ้นไปพักนะคะ”
ภาณุทัศนัยหน้าเจื่อนไป
“คืนนี้ ชายทัศน์จะทานมื้อค่ำกับลูก เตรียมตัวด้วยนะ” ฉัตรอรุณบอก
“เพคะ”
วรรณรสาผละไป ภาณุทัศนัยมองตามแล้วเกิดอาการเบื่อหน่ายเห็นได้ชัด
ค่ำแล้ว วรรณรสาอยู่ในชุดใหม่ กำลังทานมื้อค่ำกับภาณุทัศนัยสองต่อสอง นมแจ่ม บัว คอยรับใช้ตลอด
“เด็จพ่อเด็จไปไหนเหรอคะ ไม่เห็นเลย” วรรณรสาเอ่ยขึ้น
“เด็จไปงานน่ะ ที่จริงคงตั้งพระทัยให้เราได้อยู่กันสองต่อสองมากกว่า พี่เพิ่งกลับมาจากสวิตเมื่อวาน พี่หมดโพสท์แล้วนะ กลับมาอยู่เมืองไทยเสียที พี่จะได้มีเวลากับหญิงมากขึ้น”
“คงไม่จำเป็นมังคะ” วรรณรสาตอบห้วนๆ
“หญิงแต้ว นี่หญิงแต้วจะไม่ยอมคุยกับพี่ดีๆ เลยเหรอ”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“พี่รู้ว่าหญิงแต้วกริ้วพี่เรื่องที่สวิต แต่พี่กับผู้หญิงคนนั้นจบกันแล้วจริงๆ พี่เองก็ควงกับเธอแค่ระยะสั้นๆ ไว้ออกงานสังคม ไม่ได้คิดจริงจังอะไร หญิงแต้ว...”
ชายทัศน์มองหน้าวรรณรสาพูดด้วยสายตาจริงจัง
“คนที่พี่จะแต่งงานด้วยมีคนเดียวคือหญิงแต้วเท่านั้น”
“เหรอคะ แล้วสาวที่ชื่อจอย ที่ทรงควงไปขึ้นยุงเฟราด้วยกัน แล้วยังมีแม่สาวสมัยที่ชื่อสมร ไว้ทรงเฟลิร์ตที่พระนครนี่อีกคน และอาจจะมีอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่ที่หญิงไม่รู้ เหล่านี้พี่ชายทัศน์จะทรงยกให้ขึ้นเป็นหม่อมเล็ก ๆ ด้วยใช่ไหมคะ” วรรณรสาเหลืออด
“หญิง...ไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง อ้อ ไอ้ชายรุจมันปากพล่อยรายงานหญิงใช่ไหม”
“ใช่แล้วค่ะ เขาเตือนหญิงให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมและความเอาแต่ได้ของผู้ชายอย่างพี่ พี่ชายทัศน์เด็จกลับไปเถอะค่ะ เราหมดเรื่องพูดกันแล้ว”
วรรณรสาลุกขึ้นแล้วผละออกไป แจ่มและบัว ต่างเป็นงง ภาณุทัศนัยมองทั้งสองอย่างรำคาญเต็มทีแล้วตามวรรณรสาไป
“หญิงแต้ว”
“เอาไงดีป้า” บัวถาม
“ตามไปซี” แจ่มบอก
สองคน รวมทั้งหนุ่มรีบตามขึ้นไป
ภาณุทัศนัยวิ่งตามขึ้นมายังโถงชั้นบน หน้าห้องนอนวรรณ หนุ่ม บัว และแจ่ม วิ่งตามขึ้นมา
“หญิงแต้ว เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
“ไม่ค่ะ บอกแล้วว่าหมดเรื่องพูด”
“หญิงว่าพี่เป็นชายเห็นแก่ได้ แล้วหญิงเองที่ไปพลอดรักกับไอ้รุจ จนคนไทยเขาลือกันไปทั่วกรุงเบิร์น พี่ก็อายเขาเหมือนกันแหละ”
วรรณรสาตบหน้าภาณุทัศนัยฉาดใหญ่ สามบ่าวอุทานออกมาพร้อมกัน ชายทัศน์มองกลับมาอย่างเกรี้ยวกราด วรรณรสาสะบัดตัวเข้าห้องนอน ภาณุทัศนัยทำท่าจะตามไป
“ว้าย ฝ่าบาทเพคะ อย่าเด็จเข้าห้องบรรรทมท่านหญิงนะคะ มันไม่งาม”
ชายทัศน์ไม่ใส่ใจกระแทกประตูปิดดังปัง
หนุ่มตกใจ “ป้า เอาไงดี”
“ไม่รู้ จะเป็นลม”
“อย่าเพิ่งค่ะป้า ไม่ใช่เวลาเป็นลมเป็นแล้ง” บัวบอก
ภายในห้องนอนวรรณรสาเสียงดังลั่น
“ท่านชายคะ เชิญเด็จออกจากห้องของหญิงเดี๋ยวนี้”
“ไม่...จนกว่าเราจะจรจากันให้รู้เรื่อง หญิงแต้ว ถึงเธอจะปฏิเสธพี่ยังไง เธอจะปฏิเสธการแต่งงานของเราไม่ได้หรอก”
“เหรอคะ...อย่าคิดว่าผู้หญิงอย่างหญิงจะทำอะไรที่ใหญ่เกินตัวไม่ได้ นี่คะ...หญิงจะให้พี่ทอดเนตรนี่”
วรรณรสาเดินไปหยิบตุ๊กตา ลิลลี่ มายื่นให้ ชายทัศน์งงกับหน้าตาที่ถูกขีดเขียนจนเปรอะไปหมด
“นี่คือ “หนูแต้ว” ที่พี่ชายทัศน์ประทานหญิง แต่เปล่าหรอกค่ะ มันคือ “หนูตุ่น” ต่างหาก มันโง่เง่าเต่าตุ่นที่ถูกหลอกว่าเป็นที่รัก จากชายที่ไม่เคยรักและให้เกียรติมนุษย์คนไหนในโลก เอาคืนไป”
วรรณรสาปาตุ๊กตาใส่หน้าชายทัศน์ ตุ๊กตากระแทกที่อกและตกลงพื้น ภาณุทัศนัยพยายามระงับอารมณ์
“ยังไง พิธีเสกสมรสก็ต้องเกิดขึ้น พี่จะดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ภาณุทัศนัยจากไป หนุ่มรีบตามไปส่ง แจ่มและบัว รีบลนลานเข้ามาในห้อง
“ท่านหญิงเพคะ” บัวเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ขอหญิงอยู่ลำพังเถิด”
ทั้งสองเดินออกปพร้อมกับปิดประตู วรรณรสาทรุดลงกับเตียง ร้องไห้สะอึกสะอื้น หนูตุ่นยังนอนแปะอยู่ที่พื้น
วันรุ่งขึ้น ปวรรุจ ทานอาหารเช้าร่วมกับพี่น้องทั้งสี่
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ พี่ชายรุจดุอะไรท่านหญิงรึเปล่า” รณพีร์สงสัยไม่หาย
รัชชานนท์ด้วย “นั่นซีครับ กรรแสงใหญ่เลย”
“ท่านหญิงคงไม่เด็จมาที่วังเราอีกแล้วละ นายสองคนก็อย่าชักชวนท่านหญิงเด็จมาเที่ยวที่นี่อีก มันไม่เหมาะสม”
ปวรรุจรวบช้อน แล้วลุกออกไปทันที
รณพีร์งง “พี่ชายรุจหมู่นี้เครียดๆ นะครับ สงสัยยังไม่หายเฮิร์ทจากสาวร่วมทัวร์คนนั้น”
รัชชานนท์คาใจเรื่องวรรณรสา “ผมก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นเองเรื่องท่านหญิง ท่านเด็จมาเรียนการเรือนกับย่าอ่อน
มันไม่เหมาะสมอย่างไรไม่ทราบ”
ธราธรตัดบท “อย่าลืมว่าท่านชายภาณุทัศนัยพระคู่หมั้นของท่านหญิง ไม่โปรดชายรุจ ชายรุจเล่าว่ามีกรณีกันเนืองๆ ตลอดเวลาที่ไปประชุมที่สวิต”
พุฒิภัทรเคือง “แล้วเรื่องที่ชายรุจถูกหยามก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เสียด้วย”
รณพีร์ฉงน “ยังไงครับ”
พุฒิภัทรตัดสินใจเล่าให้พี่น้องฟัง “ท่านชายทรงหยามว่าชายรุจไม่สมควรเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เพราะเป็นแค่คุณชายก้นครัว เป็นคุณชายที่กำเนิดจากหม่อมแม่ที่เป็นแค่นางต้นห้อง”
รัชชานนท์ของขึ้น “โอ้โฮ...หยามกันอย่างนี้ เป็นผม ผมชกหน้าไอ้ท่านชายกำมะลอนั่นแล้ว”
ธราธรปราม “ใจเย็น ๆ ทีนี้เข้าใจรึยังว่าทำไมชายรุจถึงอึดอัดเมื่อท่านหญิงเด็จมาที่วังเรา”
“เข้าใจแล้วครับพี่ชายใหญ่”
รณพีร์และรัชชานนท์ยังฮึดฮัดด้วยความโกรธ
ธราธรและพุฒิภัทรมองหน้ากัน โล่งอกที่น้องทั้งสองไม่เอะใจเรื่องความรักต้องห้ามของชายรุจและท่านหญิงรสา
ปวรรุจเดินมาสงบสติอารมณ์ในสวน แจ๋วเข้ามาตามตัว
“คุณชายขา ย่าอ่อนเชิญที่ศาลาค่ะ”
“มีอะไรเหรอแจ๋ว”
“วันนี้หม่อมหลวงกระถิน มาเรียนการเรือนกับคุณท่านค่ะ”
ปวรรุจอึ้งไป
ครู่ต่อมา ปวรรุจตรงมาที่ศาลา เห็นกระถินเต็มตา ชะงักไปเล็กน้อยเพราะกระถินดูเด็กเหลือเกิน กระถินกำลังร้อนมาลัยผิดๆ ถูกๆ ปวรรุจเดินเข้าไปช้าๆ ย่าอ่อนเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี
“อ้าว ชายรุจ มานั่งนี่ซี ได้เจอน้องกระถินเสียที”
กระถินเงยหน้าขึ้นมอง แล้วหลบตาวูบ ท่าทีเงอะงะ
“ไหว้พี่เขาซีลูก”
กระถินไหว้โดยที่ไม่สบตา ปวรรุจยิ้มเอ็นดู
“น่ารักไหมล่ะชายรุจ” ย่าอ่อนยิ้มร่า
“ครับ ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ดิฉันร้อยมาลัยเจ้าค่ะ”
ย่าอ่อนหัวเราะคิก
“โธ่ หนูกระถิน ไม่ต้องพูดเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ เรียกตัวเองว่าน้อง หรือเรียกชื่อตัวดีกว่านะ” ย่าอ่อนหันมาทางชายรุจ “ขี้อายน่ะ เอาอย่างนี้อยู่คุยกันไปก่อน ย่าจะไปโทรศัพท์สักเดี๋ยว”
ย่าอ่อนลุกไป ปวรรุจและกระถินนั่งกันเงียบๆ
ที่พุ่มไม้ห่างออกไป คล้าวในชุดคนขับรถ ทำผลุบๆ โผล่ๆ แอบมองอยู่
“มาฝึกเรียนกับคุณย่าได้กี่วันแล้วล่ะ” ปวรรุจเอ่ยถามขึ้น
“หลายวันแล้วค่ะ”
“ร้อยได้สวยเป็นระเบียบดี” ปวรรุจชม
“ฉันเคยเรียนกับพี่เกษราน่ะ ก็เลยพอทำเป็น” กระถินบอก
“เมื่อก่อนทำไม่เป็นหรอกหรือ”
“ไม่เคยทำเลย”
“อยู่ที่บ้านทำอะไรล่ะ”
“ยิงนกตกปลา เก็บมะพร้าว เอ๊ย...โทษค่ะ ไม่ค่อยได้ทำงานบ้านหรอก” กระถินบอก
“กระถิน”
กระถินสบตาปวรรุจมองมาทื่อๆ ไร้จริต ปวรรุจยิ่งรู้สึกสลดใจ
“เธอเป็นอย่างที่เธอเป็นเถิด อย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครเลยแม้แต่ฉัน”
“เขาให้กระถินเรียนการเรือนเพื่อคุณชายทั้งนั้นนี่ เพราะเขาจะให้ฉันเป็นเมีย...เอ๊ย...เป็นเจ้าสาวของคุณชาย เป็น...” กระถินพยายามสะกดคำ “ภะ - ริ - ยา - ทูต ใน อะ - นา -โค้ต”
“ไม่จำเป็น...ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า” ปวรรุจยิ้มอย่างเอ็นดู
กระถินดีใจ “จริงนะคุณชาย”
“จริงซี”
กระถินเริ่มยิ้มออกมาได้ หายเคอะเขินลงไปเยอะ
ทางด้านคล้าวมองจ้องอยู่อย่างขัดใจ เพราะหึงหวงกระถิน
คล้าวฮึดฮัด มองไปทางปวรรุจและกระถินที่เริ่มคุยกันอย่างสนิทสนม กระถินคุยเสียงดังและออกทองแดงมากขึ้น
“อย่าคุยกับมันมากซีกระถิน โธ่...นี่แค่เจอกันหนแรก คุยกันจ้อแล้ว ไม่เห็นมันจะหล่อตรงไหนเลย”
ระหว่างนั้นแจ๋วถือถาดวางขันน้ำและขนมเดินมาหาคล้าวที่กำลังแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้
“พี่ พี่”
“เฮ้ย”
คล้าวตกใจ ง้างหมัดเหมือนจะชก
แจ๋วร้อง “ว้าย”
“อ้าว....น้องแจ๋ว อย่ามาเงียบๆ ซี”
“แอบดูคุณกระถินกับคุณชายรุจทำไมล่ะพี่”
“ก็....ไม่มีอะไร”
คล้าวหยิบขันมาดื่มน้ำ แจ๋วแอบดูบ้าง
“ท่าทางจะเข้ากันได้ดีนะพี่ เจอกันครั้งแรกก็คุยกันถูกคอแล้ว”
คล้าวขัดหู รีบคืนขันน้ำทันที “คุณชายคนนี้นิสัยเป็นยังไง”
“คุณชายรุจน่ารักจ้ะ แต่ออกจะขรึมๆ หน่อยนะ ใครอยู่ใกล้ชิดก็หลงรักคุณชายรุจกันทั้งนั้น”
“น้องแจ๋ว...พี่ถามจริงๆ เถอะนะ ระหว่างพี่กับคุณชายรุจ ใครหล่อกว่ากัน”
คล้าวทำหน้าหล่อเข้ม เกร็งกล้ามแขนให้แจ๋วดูประกอบ
แจ๋วอึ้งไป “เออ...มันก็คนละอย่างน่ะ คุณชายเขาพระเอกกรุง ส่วนพี่มันโจ...” แจ๋วจะหลุดคำว่า...โจร
“พี่รู้ พี่น่ะเหมือนโจ หลุยส์” คล้าวทำท่าชกมวยไปด้วย
“โจ หลุยส์ นักมวยน่ะเหรอ”
คล้าวทำท่าชกลมไปมา “ช่าย”
“พี่รู้จักด้วยเหรอ”
“โธ่ ที่เหมืองน่ะ นายหัวฝรั่งมันจัดชกมวยบ่อยๆ พี่ชนะน็อคทุกรอบ นายฝรั่งชมว่าพี่ไม่เคยแพ้ใครเหมือนโจ หลุยส์”
คล้าวมองไปที่กระถิน ด้วยสีหน้าเจ็บช้ำ ทุบอย่างแรงที่แผงอกตัวเอง
“โจ หลุยส์คนนี้ มันรักเดียวใจเดียวนะแจ๋ว”
คล้าวมองไปที่กระถิน สีหน้าเจ็บช้ำมาก
“จ๊ะพี่ นี่นะขนมตุ๊บตั๊บ ถ้ายังหิว ไปขอข้าวในครัวกินนะ วันนี้มียำสามพลัง แล้วมีช้างกระทืบโรงให้ดื่มด้วยนะจ๊ะ”
คล้าวยังมองกระถินไม่ได้สนใจที่แจ๋วพูด แจ๋วรีบกลับเข้าตึกไป
ด้านวรรณรสานั่งซึมเศร้าอยู่ในห้องนั่งเล่น วังอรุณรัศมิ์ ทิดสายตามองไปเห็นสวนสวยด้านนอก โทรศัพท์ข้างตัวดังขึ้น บัวรีบรับสาย
“วังอรุณรัศม์ค่ะ ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่ค่ะ” บัวหันมาทางท่านหญิง “ท่านหญิงเพคะ คุณย่าอ่อนโทร.มาค่ะ” บัวส่งสายให้
“ค่ะ คุณย่า”
ย่าอ่อนนั่งคุยสายอยู่ในห้องนั่งเล่นจุฑาเทพ
“ท่านหญิงเพคะ หม่อมฉันรออยู่ ทำไมไม่เด็จมาเสียที”
“คุณย่าคะ วันนี้หญิงคง...”
ย่าอ่อนสวนคำออกมา “จะตรัสว่าวันนี้เบื่อ ไม่อยากมาฝึกการเรือนกับหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ ไม่ได้เพคะ ท่านหญิงเด็จมาเถิด หม่อมฉันเตรียมทั้งของคาวหวานให้ทำ แถมยังมีร้อยมาลัยรูปกระต่ายด้วยนะเพคะ เด็จมานะเพคะ”
วรรณรสาถอนใจ “ได้ค่ะ คุณย่า”
“ดีใจจัง ทูนหัวของหม่อมฉัน ทูลลาเพคะ”
วรรณรสายิ้มเศร้าๆ ขณะวางสายลง
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ วรรณรสาเข้ามาในสวนของจุฑาเทพ มองหาย่าอ่อน แต่แล้วกลับเห็นปวรรุจและกระถินเดินคุยกันอยู่ในสวน ท่าทางสนิทสนม วรรณรสาเจื่อนไปทันที เห็นกระถินหัวเราะคิกคัก
“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องให้เธอสอนฉันตกปลาบ้างแล้วละ”
“ไม่เหมาะหรอกค่ะคุณชาย ฉันตกปลาในลำกระโดง ใช้แหใช้ลอบ”
“นั่นแหละ ฉันอยากจับปลาแบบนั้น”
“ฮิฮิ คุณชายนี่ไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้เลยนะ”
“เธอคิดว่าฉันเป็นอย่างไรหรือ”
“ก็นึกว่าจะดุๆ ไว้ตัวแบบคุณชายในนิยาย ไม่นึกว่าจะใจดีอย่างนี้ คุณชายใจดีเหมือน...พี่คล้าวของฉันเลย”
ปวรรุจฉงน “พี่คล้าวของเธอ”
กระถินสะดุ้งเพราะหลุดปากพูดออกมา สายตามองไปเห็นวรรณรสาเข้าพอดี
“ท่านหญิงเด็จมาแล้วค่ะ”
กระถินวิ่งตื้อไปหาวรรณรสาทันที ปวรรุจมองท่านหญิงรสาด้วยอาการเหนื่อยหน่าย
“คิดถึงท่านหญิงจะมะคะ” กระถินทักทายระรื่น
“ได้พบคุณชายแล้วหรือ”
“จะมะคะ”
วรรณรสากล้ำกลืนถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายน่ารักมาก ใจดีด้วย”
วรรณรสายิ่งเจื่อนจ๋อย ปวรรุจเดินตรงเข้ามาแล้วทำความเคารพ ด้วยสีหน้านั้นเย็นชาจนวรรณรสารู้สึก
“ฝ่าบาท”
วรรณรสารีบพูดขึ้น “ฉันไม่ได้มาเองหรอกนะ แต่คุณย่าอ่อนโทร.ไปตามฉันให้มาเรียนการเรือนต่อ”
“กระหม่อมเข้าใจ เชิญเสด็จประทับที่ศาลา คุณย่าอ่อนรอท่านหญิงอยู่”
“ไปจะมะคะ”
กระถินพาวรรณรสาไปที่ศาลา ปวรรุจมองตามหน้าเศร้า
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
วรรณรสา กระถิน และย่าอ่อน นั่งร้อยมาลัยกันอยู่ในศาลา ปวรรุจ ธราธร พุฒิภัทร นั่งร่วมอยู่ด้วย แต่นั่งแยกมาอีกโต๊ะ ดื่มน้ำชาและทานของว่างกัน
ธราธร และพุฒิภัทรสีหน้าอึดอัดเพราะทั้งวรรณรสาและกระถินอยู่ต่อหน้าปวรรุจ ที่ดูเงียบขรึมไปกว่าเดิม ย่าอ่อนกำลังสอนทั้งท่านหญิงรสาและกระถินร้อยมาลัยเป็นรูปกระแตตัวน้อย
“หนูกระถินนี่เก่งขึ้นทุกวันนะ ดูซิร้อยมาลัยรูปกระแตประดิดประดอย กะล่อยกะหลิบ ย่าว่าจะใช้กระแตนี่แหละเป็นของชำร่วยงานแต่งของหนูกับชายรุจ”
กระถินหน้าตื่นๆ วรรณรสาหันมามองหน้าปวรรุจโดยอัตโนมัติ ปวรรุจเบือนหน้าไปทางอื่น ธราธรและพุฒิภัทรยิ่งอึดอัดแทน
จังหวะนั้นเข็มตำที่นิ้วของวรรณรสาเข้าพอดี จนเลือดไหลซึม
กระถินตกใจ “อุ๊ย...เลือด”
วรรณรสารีบกดนิ้วไว้ แต่เลือดก็ยังทะลักออกมา ปวรรุจถลาเข้ามาดูอาการ ธราธรและ พุฒิภัทร ลุกขึ้นพร้อมกัน ปวรรุจจับมือของวรรณรสาขึ้นดู
“ท่านหญิง ทรงเจ็บไหมเพคะ” ย่าอ่อนถาม
ปวรรุจห่วงมาก “พระโลหิตทั้งนั้น ต้องไปทำแผลก่อน”
ย่าอ่อนเห็นด้วย “ชายรุจ พาท่านหญิงไปทำแผลเถอะ”
“ครับ ท่านหญิง เชิญเสด็จ”
ปวรรุจประคองรสาแยกไป ธราธรและพุฒิภัทรมองตามไป แยกออกมาจากศาลา
พุฒิภัทรกระซิบ “จะยังไงกันครับ คนนึงก็คู่หมั้น คนนึงก็คนรัก”
“ชายรุจต้องตัดสินใจบางอย่างให้เด็ดขาดแล้วละ” ธราธรว่า
ปวรรุจประจงทำแผลให้วรรณรสาอยู่ในห้องนั่งเล่น ใช้ทั้งยาล้างแผล และยาสมาน ท่านหญิงรสามองหน้าปวรรุจ
“ไหนว่าจะไม่ข้องแวะกับฉันอีกแล้ว มาทำแผลให้ฉันทำไม”
ปวรรุจไม่มองหน้า ยังทำแผลไปเรื่อยไม่ตอบอะไร วรรณรสาดึงมือออก
“พอเถอะ ถ้าไม่เต็มใจก็อย่าทำเลย”
ปวรรุจมองหน้าวรรณรสาด้วยตาดุ จนท่านหญิงต้องหลบสายตา
“อย่าทรงดื้อกับหม่อมฉัน”
ปวรรุจดึงมือรสากลับมา แล้วพันแผลให้จนเรียบร้อย
“ขอบใจ”
“เจ็บหัตถ์ขนาดนี้ ฝ่าบาทเสด็จกลับเถิด วันนี้อย่างทรงเรียนอีกเลย”
“อยากให้ฉันกลับอยู่แล้วใช่ไหม งั้นก็วานทีเถิด ช่วยโทร.เรียกรถที่บ้านหนูอ้ายหนูเอื้อยมารับฉันที”
ปวรรุจเครียด “ทำไมต้องให้รถบ้านหนูอ้าย หนูเอื้อย มารับกระหม่อม”
“ทุกวัน รถที่วังจะไปส่งฉันที่บ้านหนูอ้ายหนูเอื้อย แล้วตกเย็นก็จะมารับกลับ”
“แสดงว่าท่านหญิงเด็จมาที่นี่ โดยที่ทางวังอรุณรัศมิ์ไม่รู้เรื่องใช่ไหมกระหม่อม”
“ไม่จำเป็นที่ฉันต้องบอกใครนี่”
“ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงต้องเด็จกลับเดี๋ยวนี้ กระหม่อมจะไปเรียกรถออก”
“ไม่...”
“กระหม่อมทูลแล้วไง อย่าทรงดื้อ”
ปวรรุจรีบผละไปทันที วรรณรสายิ่งเศร้า
ในขณะที่วรรณรสาเดินออกมาหน้าตึก ได้ยินเสียงคุยในสวน จึงเดินเลี้ยวมา เห็นกระถินกำลังคุยกับคล้าว
“พี่คล้าวอย่าหึงซี กระถินก็แค่คุยกับคุณชายครั้งแรก คุณชายเขาก็แสนดี แล้วก็ใจดีกับกระถินด้วย”
“กระถินชอบคุณชายแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้ากระถินชอบเขา บอกพี่มาตามตรง พี่จะได้ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ”
“พี่คล้าวนี่เซี้ยวจัง กระถินนับถือคุณชายเหมือนพี่ชายคนนึง นี่....คุณชายใจดีอย่างนี้ วันหลังกระถินจะขอร้องว่าอย่าแต่งงานกับกระถินเลย เพราะกระถินไม่ได้รักคุณชาย ความรักของกระถินน่ะมันตกหล่นไปหมดแล้ว”
คล้าวงงเต๊ก “หา....ตกหล่นไปไหน”
“หล่นไปอยู่ที่หัวใจของพี่คล้าวไง”
คล้าวยิ้มออกมาได้
“จริงนะกระถิน”
“จะกระซิบอะไรให้ฟัง เอียงหูมา”
คล้าวเอียงหูให้ กระถินจุ๊บที่ข้างแก้มให้หนึ่งที คล้าวตะลึงแล้วเกิดอาการเอียงอาย
“กระถินทำอะไร กลางวันแสกๆ นะ ประเจิดประเจ้อ”
“ฮิฮิ ชอบจังเวลาพี่คล้าวเขิน เหมือนตัวนางอายในป่าเลย”
“นั่นมันลิงลมนะ”
“ใช่...หน้าเหมือนลิงไง”
ทั้งสองหัวเราะกันสนุก
“ไป...หิวแล้ว เดี๋ยวแกะสะตอดิบให้กิน”
ทั้งคู่จูงมือเดินไปทางครัวอย่างสุขสันต์
วรรณรสามองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มเศร้าๆ เพราะชะตากรรมของกระถินกับตนเหมือนกันไม่มีผิด นั่นคือต้องแต่งงานกับคนที่ตนไม่รัก
วรรณรสาได้ยินเสียงรถ จึงเดินกลับมาหน้าตึก และพบว่า ปวรรุจและนายถนอมยืนอยู่ข้างรถ
“ฝ่าบาท พร้อมเดินทางแล้วกระหม่อม”
นายถนอมเปิดประตูด้านหลัง วรรณรสาจะขึ้นนั่ง
“ฉันขับเองนะถนอม”
“ครับคุณชาย”
วรรณรสาชะงัก งวยงง
“ทำไมไม่ให้ถนอมขับ
“เพราะกระหม่อมไม่แน่ใจว่า ท่านหญิงจะทรงสั่งให้ถนอมขับไปส่งบ้านหนูอ้ายหนูเอื้อยรึเปล่า เพราะฉะนั้นกระหม่อมจะขับไปส่งท่านหญิงเองที่วังอรุณรัศมิ์”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจอย่างขัดใจ
“งั้นก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องนั่งด้านหลัง ถนอมเปิดประตูด้านหน้า”
ถนอมมองปวรรุจเป็นเชิงถาม ปวรรุจมองวรรณรสาที่มองตอบมาอย่างท้าทาย ปวรรุจพยักหน้าให้ถนอม ถนอมรีบเปิดประตูตอนหน้าให้
วรรณรสาก้าวขึ้นนั่ง ปวรรุจถอนใจขึ้นนั่งที่นั่งคนขับ แล้วขับออก ถนอมมองตามงง ๆ
รถแล่นออกมาจนผ่านประตูวังจุฑาเทพ วรรณรสาและ ปวรรุจยังนั่งกันเงียบ ๆ
“ขอร้องเถอะนะ คุณชายส่งฉันก่อนถึงประตูวัง” วรรณรสาเอ่ยขึ้น
“ขอทราบเหตุผลกระหม่อม”
“คงไม่งามถ้าคนที่วังเห็นเราสองคน”
ปวรรุจ ยิ้มหยันนิดๆ “ท่านหญิงก็ทรงทราบดีนี่กระหม่อม แล้วทำไมยังเด็จมาที่จุฑาเทพแทบทุกวัน”
“ฉันมาเรียนการเรือนกับคุณย่าอ่อน คุณชายไม่มีสิทธิ์ห้าม”
“ท่านหญิงทรงมีบ่าวไพร่รับใช้มากมาย เพียงทรงเอ่ยปากหรือชี้นิ้วก็เสกได้ดังใจ กระไรเลยต้องทรงมาลำบากเรียนวิชาการเรือนที่ไม่ถนัดให้เจ็บองค์”
วรรณรสากำนิ้วมือไว้ “ต่อให้เจ็บกว่านี้ ฉันก็ไม่มีวันย่อท้อ”
ปวรรุจรู้ได้ทันทีว่ารสาไม่ได้หมายถึงบาดแผลที่นิ้ว ปวรรุจสีหน้าเจ็บปวด ทรมาน เพราะไม่อาจพูดและทำตามที่ใจปรารถนาได้
ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันไป
รถแล่นมาจอดใกล้ประตูวังอรุณรัศมิ์ แลเห็นตัววังด้านใน ปวรรุจลงจากรถ เปิดประตูให้ วรรณรสาก้าวลงจากรถ
“ถ้ายังทรงดื้อเด็จไปที่จุฑาเทพอีก กระหม่อมเกรงว่าจะทรงเสียเวลาเปล่า”
วรรณรสายิ้มหยัน “เสียเปล่าก็เสียเปล่า เพราะฉันมีเวลาตลอดชีวิต”
“แต่เมื่อเสกสมรสกับท่านชายทัศน์แล้ว คงไม่ทรงมีเวลาเสด็จมาแน่”
“ใครว่าฉันจะเสกสมรสกับพี่ชายทัศน์”
“เขารู้กันทั่วพระนคร”
“งั้นก็รู้ไว้เลยว่าคนทั้งพระนครกำลังเข้าใจผิด”
ปวรรุจมองวรรณรสาด้วยหัวใจอันพองโต แต่ไม่อาจแสดงสีหน้าออกมาได้
สองคนไม่รู้ว่า ยามนั้นชายทัศน์ออกมาที่ระเบียงบนตึกพอดี และเห็นทั้งคู่เข้า ชายทัศน์ถึงกับอึ้ง
“ถ้าท่านหญิงทรงดื้ออยู่อย่างนี้ กระหม่อมก็มิอาจทัดทาน แต่จะทูลขออย่าให้คนที่จุฑาเทพสงสัยอะไรอีก โดยเฉพาะย่าอ่อนและน้องกระถิน”
“คุณชายคงเป็นห่วงเป็นใยน้องกระถินมากซีนะ”
“อย่าทรงถามให้กระหม่อมต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”
“คุณชายคงยังไม่ทราบ กระถินเองก็มีคนรักของเธออยู่แล้ว และเธอก็ลำบากใจมากกว่าคุณชายเสียอีกที่ต้อง....เป็นภริยาทูตในอนาคต”
ปวรรุจเงยหน้ามองวรรณรสา
“คงไม่ใช่เรื่องยาก ที่คุณชายจะสืบรู้ว่าคนรักของเธอคือใคร ขอบใจที่มาส่ง”
วรรณรสาแยกมา ปวรรุจมองตามไป
สองคนไม่รู้เลยว่า ภาณุทัศนัยยังคงจับตามองทั้งคู่ ปวรรุจขึ้นรถขับออกไป ชายทัศน์ยิ่งแค้น
ตกค่ำคืนนั้นวรรณรสานั่งอยู่ตรงหน้าพระองค์ฉัตร ที่กำลังกริ้วอย่างหนัก เห็นภาณุทัศนัยยืนอยู่ด้านนอกของสวน
“ตกลงที่ลูกให้นายเวทย์ขับรถไปส่งที่บ้านหนูอ้าย หนูเอื้อย ที่แท้ก็แอบเด็จไปวังจุฑาเทพ ไปทุกวันเลยด้วย ลูกกล้าปดพ่อถึงขนาดนี้”
“พี่ชายทัศน์ทรงฟ้องอะไรเสด็จพ่ออีกละเพคะ”
“เรื่องคุณชายปวรรุจ วันนี้กล้ามากนะ มาส่งลูกถึงหน้าประตูวัง ใครเห็นเข้าได้แอบไปนินทา ขายขี้หน้าชาวบ้านเขา”
“แล้วที่พี่ชายทัศน์ทรงควงสาวออกหน้า ทั้งที่ทำงาน ตามบาร์ แถมพาไปหลับนอนที่วัง จนคนเขาโจษกันทั้งเมือง เด็จพ่อไม่ทรงขายขี้หน้าบ้าง”
“อย่าเฉไฉนะวรรณรสา หรือว่าอยากให้พ่อกักบริเวณลูกอีกสักรอบ”
“ตามแต่พระทัยซีเพคะ แล้วก็ทรงจับลูกแต่งงานกับพี่ชายทัศน์ ให้ลูกกินน้ำใต้ศอกผู้หญิง
พวกนั้นอย่างที่ทรงต้องการด้วยเสียเลย”
ชายทัศน์มองเข้ามา สีหน้าเย็นชาอย่างที่สุด แต่ไม่ได้ยินการสนทนา
“วรรณรสา ลูกจะหวังให้ท่านชายทัศน์ไม่มีใครเลยจนถึงวันแต่งงานของลูก สำหรับผู้ชายแล้วมันเป็นไปได้ยาก ผู้ชายก็ต้องมีเบี้ยบ้ายรายทางบ้างเป็นธรรมดา”
“เด็จพ่ออาจทรงเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่สำหรับหญิงแล้วหญิงถือมากเรื่องรักเดียวใจเดียว ถ้าผู้หญิงรักเดียวใจเดียวได้ ผู้ชายก็ควรทำได้ ไม่เช่นนั้น ถ้าหญิงจะลองมีชายอื่นก่อน แล้วค่อยมาแต่งงานกับพี่ชายทัศน์บ้าง ก็ควรจะทำได้เหมือนกันใช่ไหมเพคะ”
องค์ฉัตรกริ้วหนัก “หยุดนะหญิงแต้ว จะพูดจาก๋ากั่นเกินไปแล้วนะ พ่อจะไม่ฟังลูกอีกแล้ว ออกไปหาท่านชายทัศน์เดี๋ยวนี้ แล้วขอโทษเรื่องทั้งหมดเสีย”
“ไม่เพคะ”
“วรรณรสา ถ้ากล้าลองดีกับพ่อ พ่อจะสั่งกักบริเวณ แล้วอย่านึกนะว่าจะหนีพ้นเรื่องการแต่งงาน”
องค์ฉัตรออกจากห้องไป วรรณรสาตัวสั่นร้องไห้มองตามไป องค์ฉัตรออกไปพูดอะไรบางอย่างกับ
ชายทัศน์ ภาณุทัศนัยคำนับแล้วเดินจากไป วรรณรสาวิ่งกลับขึ้นห้องไปอย่างร้าวราน
ขณะเดียวกัน ปวรรุจและปกรณ์นั่งดื่มกันอยู่ภัตตาคารแถวราชวงศ์ ปวรรุจสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ฮ่ะฮ่ะ ท่านหญิงเด็ดจริง ๆ ตามตื๊อแกไม่เลิกเลยเหรอวะ”
“อย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ดีกับท่านหญิง”
“เฮ้ย.....ถ้าท่านหญิงพูดแบบนี้ แสดงว่าท่านหญิงไม่แต่งกับไอ้ท่านชายทัศน์แน่ๆ โอกาสน่าจะเป็นของแกแล้วนะ”
“ไม่มีโอกาสสำหรับฉันอีกแล้วปกรณ์ ท่านหญิงไม่อาจฝืนพระบัญชาของเสด็จพ่อได้หรอก”
“แล้วถ้าท่านฝืนได้ แกจะว่ายังไง”
ปวรรุจส่ายหน้า “ถึงจะทรงหมดจากพันธนาการทั้งปวง รักของเราก็ยังเป็นเรื่องต้องห้าม บอกแล้วไง ฉันไม่มีสิทธิ์ดึงฟ้าลงต่ำ ถ้าท่านหญิงแต่งงานกับฉัน ต้องถอดพระยศเลยนะ”
“เฮ้ย ไอ้รุจ ถามใจตัวเองก่อนเถอะว่ะ แกจะทำตามหน้าที่ที่แกไม่เต็มใจสักนิด หรือจะทำตามที่หัวใจแกเรียกร้อง
ปวรรุจถูกจี้ใจดำ แววตาสับสนไปหมดแล้ว
วันรุ่งขึ้น วรรณรสาออกมาหน้าตึก บัววิ่งมาขวาง เห็นนายเวทย์ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าตึก
“ท่านหญิงเพคะ อย่าเด็จออกเลยนะเพคะ ทรงขัดคำสั่งเสด็จพ่อแบบนี้ท่านจะกริ้วมากๆ นะเพคะ”
“ยังไงหญิงก็ต้องไป นายเวทย์เอารถออก”
“วันนี้และวันต่อๆ ไป พระองค์ฉัตรไม่ประทานอนุญาตให้เอารถออกให้ท่านหญิงกระหม่อม” เวทย์บอก
วรรณรสาน้ำตารื้น แต่สีหน้านั้นมุ่งมั่น
“ไม่เป็นไรหรอกนายเวทย์ ไม่ต้องมีใครขับรถไปให้ หญิงก็ไปเองได้”
วรรณรสาเดินออกไปยังประตูรั้ววัง บัวยังวิ่งตามมา นายเวทย์ตามมาด้วย
“ท่านหญิงเพคะ อย่าทรงขัดคำสั่งเลยเพคะ”
วรรณรสาไม่ฟัง
“เปิดประตูเถอะบัว นายเวทย์”
ทั้งสองจำใจเปิดประตูรั้วให้ วรรณรสาก้าวออกไปอย่างมุ่งมั่น
ที่กระทรวงการต่างประเทศ วังสราญรมย์ ปวรรุจมาทำงานแล้ว เดินมาตามทางเดินพร้อมกับปรีชา ชะงักไปเมื่อเห็นภาณุทัศนัยเดินมากับแขท่าทางเครียด
“คุณแขนัดหมายเวลาให้ฉันยังไง มันผิดพลาดไปหมดเลย”
“ขอโทษค่ะท่านชายขา เมื่อวานดิฉันติดต่อท่านไม่ได้เลยนี่คะ ท่านกลับไปตั้งแต่บ่ายสอง”
“ไม่ต้องแก้ตัว รำคาญ”
ชายทัศน์หันมาเห็นปวรรุจเข้าพอดี
“ว่าไงคุณชาย สนุกมากซีนะ ที่ยังแอบลักกินขโมยกินเขาอยู่นะ”
ปวรรุจหน้าเครียดทันที ปรีชาและแขรู้ว่ามีเรื่องแน่
“เออ ท่านชายครับ ผมกับคุณชายรุจจะไปทานกลางวันพอดี ขอตัว ก่อนนะครับ” ปรีชาว่า
“ไปด้วยคนค่ะ”
“คุณสองคนไปก่อน ฉันจะคุยกับคุณชายแมวขโมยตามลำพัง”
ปรีชาและแขแยกไป แต่ไปหลบคุยกับเพื่อนร่วมงานอยู่มุมหนึ่ง หันมามองเฝ้าระวังเป็นระยะ
“ไม่ทราบผมไปลักขโมยอะไรใครที่ไหน”
“ใช้ภาษาให้ถูก เคารพกันหน่อย”
“เอ แต่ปรีชากับคุณแขใช้คำสามัญกับท่านนี่ครับ”
“ฉันอนุญาต แต่นาย...ฉันไม่อนุญาต”
“งั้นผมก็ขอใช้สิทธิ์ส่วนตัวละกัน ขอใช้คำสามัญ เพราะมันอยู่ที่ผมนับถือหรือไม่นับถือ”
“นายอยากมีเรื่องใช่ไหม ฉันรายงานท่านอธิบดีได้นะว่านายยังแอบไปมาหาสู่หญิงแต้ว เมื่อวานมาส่งกันถึงวังเลยนี่”
“ท่านหญิงเด็จไปทรงเรียนการเรือนกับคุณย่าของผม ในฐานะที่คุณย่าเคยรับใช้เสด็จพระองค์หญิง เสด็จแม่ของท่านหญิงแต้ว คงไม่ได้มีอะไรเสียหาย”
“เข้าใจอ้างคนแก่นะ อ้างย่า อ้างยาย”
ปวรรุจขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
“ได้โปรด อย่าลบหลู่ผู้ใหญ่ของผม”
“นายจะอ้างย่า หรือย่าทวดในหลุมของนายยังไงก็ได้ แต่ความจริงก็คือ นายยังตามจีบหญิงแต้วอยู่ เท่านี้ก็เป็นเรื่องที่ฉันจะประจานให้นายเสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั้งพระนครได้แล้ว”
“และท่านหญิงจะทรงเสื่อมเสียไปด้วย ท่านชายไม่ห่วงใยพระคู่หมั้นเลยหรือ”
“ตราบใดที่ทำให้นายต้องออกจากงานราชการ ฉันทำได้ทั้งนั้น”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านชายก็ควรระวังเรื่องส่วนตัวของท่านชายไว้ด้วย สาวที่ชื่อสายสมรน่ะ ชื่อกระฉ่อนไม่ใช่น้อยในแวดวงคนกลางคืน เห็นว่าเคยเป็นอนุของผู้ใหญ่หลายท่านมาก่อน ปรกติผมจะไม่พูดถึงผู้หญิงในทางเสียหายแบบนี้เพราะมันไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ แต่ถ้าท่านไม่เห็นแก่พระคู่หมั้น ผมก็พร้อมจะประจานท่านเหมือนกัน”
“โธ่ ไอ้คุณชายขี้ครอก ไอ้ก้นครัว”
ภาณุทัศนัยบันดาลโทสะ โผนเข้าหาปวรรุจ กระชากคอเสื้อแล้วง้างหมัดจะชก ปวรรุจการ์ดแขนขึ้กระแทกหมัดของชายทัศน์ จนชายทัศน์เซไปเสียเอง ปรีชาและแขร้องเอะอะ วิ่งเข้ามา ห้ามทันที
“ว้าย ท่านชายขา อย่ามีเรื่องกันเลยค่ะ นี่กระทรวงนะคะ ไม่ใช่ริมคลองหลอด”
“พอเถอะครับ”
ปรีชาดึงชายทัศน์ออกห่าง คนเริ่มมุงดู
“ทานข้าวเถอะคุณชาย ไปครับ”
ปวรรุจมองหน้า ภาณุทัศนัยอย่างไม่เกรงกลัว ยิ้มหยันๆ ก่อนจะแยกกับปรีชา ชายทัศน์ฮึดฮัด
ทำอะไรไม่ได้
“เป็นอะไรรึเปล่าคะท่าน”
“ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องยุ่ง”
“ค่ะ ค่ะ”
ภาณุทัศนัยแยกไป
“โถ....ไม่ได้อยากยุ่งหรอก อีท่านชายบ้ากาม คุณปรีชาขารอด้วยค่ะไปทานด้วยคน”
แขวิ่งตามสองหนุ่มไป
ตกตอนเย็น วรรณรสานั่งร้องไห้อยู่กับย่าอ่อน ย่าอ่อนฮึดฮัดเสียงดัง
“พระองค์ฉัตรทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ท่านชายทัศน์เป็นฝ่ายผิดชัดๆ ทำไมถึงทรงตำหนิท่านหญิงของหม่อมฉัน”
“เด็จพ่อทรงเข้าข้างพี่ชายทัศน์ตลอดค่ะ”
“หม่อมฉันเหลือทนกับความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย ทั้งที่มีคู่หมายอยู่แล้วก็ยังไปหยิบยกเอาหญิงอื่นมาเชิดชู เหมือนกันหมดไม่มีผิด”
จังหวะนั้น ปวรรุจเพิ่งกลับจากที่ทำงาน เดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดี
“คุณย่าคะ หญิงอยากจะบอกคุณย่า หญิงจะไม่แต่งงานกับพี่ชายทัศน์”
“โถ....อย่าตรัสเพราะน้อยทัยแบบนี้เลยเพคะ”
“ไม่ได้น้อยใจอะไรทั้งนั้น แต่เพราะ...หญิงไม่ได้รักพี่ชายทัศน์”
ปวรรุจเป็นอึ้งนิ่งงันไป
“อะไรนะเพคะ” ย่าอ่อนหูผึ่ง
“หญิงรักคนอื่นแล้วค่ะคุณย่า”
“ตาเถนยายชี ท่านหญิงรับสั่งอะไรอย่างนั้น ทรงหมั้นหมายกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์นะเพคะ”
“หญิงกับท่านชายทัศน์ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันเลย เราไม่เคยรักกัน...แต่เมื่อไม่นานมานี้ หญิงได้รู้จักผู้ชายคนนึงที่ทำให้หญิงรู้จักคำว่า “รัก” คืออะไร”
ย่าอ่อนหอบหายใจ ตื่นเต้นมาก “ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันคะท่านหญิง”
วรรณรสายังไม่ทันได้ตอบ ปวรรุจแสดงตัวเข้ามาขัดจังหวะทันที คำนับท่านหญิงรสา
“ท่านหญิง”
วรรณรสาหันมามองปวรรุจ ด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
“ชายรุจ ออกไปก่อนเถอะ ย่ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับท่านหญิง”
“ผมก็มีเรื่องสำคัญที่จะทูลปรึกษาท่านหญิงเหมือนกัน”
ปวรรุจมองวรรณรสาด้วยสายตากร้าวแข็ง เป็นเชิงบังคับ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปวรรุจและวรรณรสายืนคุยกันอยู่ที่ศาลากลางสวน
“ทรงมีรับสั่งอะไรกับคุณย่าอ่อน”
“เปล่า”
“อย่าปดกระหม่อม ท่านหญิงกำลังรับสั่งเรื่องของกระหม่อมให้คุณย่าทราบ”
“แล้วคุณชายจะกลัวอะไร”
“เรื่องของเราจบลงไปแล้ว และถ้าถูกรื้อฟื้นขึ้นอีก มันจะเสื่อมเสียต่อท่านหญิงเอง....”
วรรณรสาบอกด้วยเสียงเครือๆ “ฉันจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คนที่ฉันสนใจมีเพียงคนเดียว คือคุณชายปวรรุจ เท่านั้น”
ปวรรุจเบือนหน้าไปทางอื่น เพื่อซ่อนความรู้สึกหวั่นไหว และกลั้นใจพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นโปรดทำเพื่อกระหม่อมเถิด... อย่าเสด็จมาที่นี่อีกเลย”
วรรณรสานิ่งงัน น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา ปวรรุจเองน้ำตารื้นเช่นกัน
“นั่นคือความต้องการจริงๆ ของคุณชายใช่ไหม”
ปวรรุจไม่แม้แต่หันกลับมา นิ่งงันอยู่เช่นนั้น
“ได้ ถ้านั่นเป็นความประสงค์ของคุณชาย ฉันจะไม่มาที่วังจุฑาเทพอีก หวังว่าคุณชายคงจะพอใจ”
วรรณรสาหันตัวจะออกจากศาลา หยิบรูปถ่ายออกมา แล้ววางไว้ที่โต๊ะ คว่ำรูปเสีย
“ฉันมีของมาคืนคุณชาย มันคงเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าสาวในอนาคตของคุณชายคือใคร ขอโทษที่ถือวิสาสะเก็บเอาไว้”
วรรณรสาสะอื้น แล้วลงไปจากศาลา ปวรรุจสะอื้น น้ำตาไหลพราก ก่อนจะหันมาที่โต๊ะแล้วหยิบรูปขึ้นมา เป็นรูปของกระถิน ปวรรุจยิ่งสะอื้น มองตามวรรณรสาไป แล้ววิ่งออกจากศาลา
ปวรรุจ วิ่งมาที่หน้าประตู ถนอมกำลังปิดประตูรั้ว
“ถนอม ท่านหญิงล่ะ”
“ขึ้นรถรับจ้างกลับไปแล้วครับ”
ปวรรุจวิ่งออกมา เห็นรถกำลังแล่นออกไปจากถนนหน้าวังสู่ถนนใหญ่ ปวรรุจวิ่งตามไปได้หน่อยเดียว รถก็เลี้ยวลับตาไปเสียแล้ว
“ท่านหญิง กระหม่อมเสียใจ”
ปวรรุจยืนนิ่งตรงนั้น ใบไม้ร่วงกรูกราวทั่วทั้งถนนเส้นนั้น
หลายวันต่อมา อ้ายและปกรณ์นั่งทานของว่างในห้องนั่งเล่นที่บ้านของอ้ายและเอื้อย ขณะที่เอื้อยวิ่งเข้ามาพร้อมจดหมายและโพสการ์ดหลายฉบับที่เพิ่งได้รับจากไปรษณีย์
“หนูอ้าย คุณปกรณ์ คุณอั๋นส่งจดหมายมาอีกแล้ว มีโพสการ์ดสวยๆ ด้วยละ”
เอื้อยเอารูปมาให้ทั้งสองดูหลายสิบรูป ทั้งสามดูกันอย่างสนุกสนาน เป็นรูปถ่าย อั๋นและอิ่มระเริงหิมะที่แซร์มัต
อีกภาพอั๋นกะอิ่มนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นยอดเขาแม็ทเทอร์ฮอร์น สามคนดูภาพท่องเที่ยวของสองพี่น้อง ตามที่อื่นๆ
“คุณอิ่มเธอยังจัมโบ้เหมือนเดิมเนอะ”
“นั่นซีครับ นี่ยอดแม็ทเทอร์ฮอร์นดูเล็กลงไปถนัดใจเลย” ปกรณ์บอก
“คุณ ปกรณ์นี่ใจร้าย”
ปกรณ์สะกิดอ้ายให้ดูเอื้อย ที่กำลังอ่านเนื้อความในจดหมายของอั๋น แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ยิ้มอะไรน่ะหนูเอื้อย อ่านจดหมายให้เราฟังหน่อยซี”
“ไม่เอา เรื่องส่วนตัว เค้าไว้อ่านของเขาคนเดียว แต่คุณอั๋นมีข่าวดี....บอกว่าอาจจะกลับมาพระนครเร็วๆ นี้”
“แล้วยังไงล่ะ เท่านี้น่ะเหรอถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“ก็คุณอั๋นบอกว่า กลับมาคราวนี้จะต้องให้หนูเอื้อยพาไปพบผู้ใหญ่ด้วย”
ปกรณ์โวย “หา...คุณอั๋นพูดจริงนะครับ”
“ค่ะ....เพื่อที่ว่าจะได้....” เอื้อยเอียงอาย “จองตัวไว้เสียแต่เนิ่นๆ กลับจากเรียนจบ ก็จะสู่ขอเลย”
อ้ายและปกรณ์ ร้องเอะอะยินดี อ้ายเข้ากอดน้องสาว
“หนูเอื้อย หนูอ้ายดีใจด้วยจริง ๆ”
“ดีใจด้วยครับ อย่างนี้ต้องฉลอง”
“เดี๋ยวค่ะ ก่อนฉลองขอไปอ่านจดหมายของคุณอั๋นให้จบก่อนนะคะ”
เอื้อยถือจดหมายแล้ววิ่งขึ้นชั้นบน
“เฮ้อ อิจฉาหนูเอื้อยจัง ไปสวิตคราวนี้ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว แต่ยังได้พบรักอีกด้วย”
“แล้วอยากกลับไปสวิตอีกครั้งไหมละครับ”
อ้ายหันมามองปกรณ์ที่ส่งสายตามองมาอย่างหวานเยิ้ม จนอ้ายเกิดอาการขวนเขินขึ้นมา
“ใครบ้างละคะไม่อยากกลับไปสวิต”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
ขณะเดียวกันที่กระทรวงต่างประเทศ ภาณุทัศนัยเดินจะมาที่ห้องทำงานท่านอธิบดีเชษฐา แขยืนคุยกับเลขาหน้าห้องท่านอธิบดีพอดี ประตูห้องเปิดอยู่ เห็นปวรรุจนั่งคุยกับท่านเชษฐา เชษฐาจับมือปวรรุจแสดงความยินดี
“ท่านอธิบดีคุยอะไรกับคุณชายน่ะ” ภาณุทัศนัยสงสัยมาก
“ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีๆ ละมังคะ ดูท่านอธิบดีกับคุณชายท่าทางจะมีความสุข”
แขปรายตามองชายทัศน์ที่หน้าตาขุ่นเคืองเต็มที ปวรรุจออกมาจากห้องสีหน้าแช่มชื่น แต่เมื่อเห็นหน้าชายทัศน์ก็เจื่อนไป ปวรรุจเดินเลี่ยงไป แต่ภาณุทัศนัยตามมา
“ท่านเชษฐาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ไปสอพลออะไรนายเหรอ”
“อะไรนะครับ ฟังไม่ถนัด” ปวรรุจย้อน
“ฉันถามนายว่าไป “สอพลอ” อะไรท่านอธิบดี”
“ประทานโทษ เวลาของผมค่อนข้างมีค่า ไม่มีเวลามาตอบคำถามมโนสาเร่ ไร้สาระ ขอตัวครับ”
ปวรรุจแยกไป ชายทัศน์ยิ่งเครียด แขถามขึ้น
“ได้เรื่องไหมคะท่านชาย”
“อย่ายุ่ง ไปทำอะไรก็ไป”
“ค่ะ เดี๋ยวจะไปทานกลางวันที่ท่าเตียนค่ะ”
แขรีบแยกไป
ปวรรุจยิ้มภาคภูมิกับความสำเร็จที่ได้ยินจากท่านอธิบดีมาเมื่อครู่ เดินตรงไปยังห้องทำงาน ผ่านโถงกลาง แลเห็นหญิงสาวแต่งตัวงดงาม หันหลังให้กำลังพูดอยู่กับปรีชา ปวรรุจรู้ทันทีว่าคือใคร ปรีชาหันมาเห็นเข้าพอดี
“คุณชายครับ วันนี้ท่านหญิงวรรณรสา เด็จมาที่นี่”
วรรณรสาค่อยๆ หันมา ใบหน้างดงามแต่เศร้าสร้อยเหลือเกิน ปวรรุจโค้งคำนับ
“ฝ่าบาท”
ท่านหญิงรสาทักตอบด้วยเสียงเย็นชา “สวัสดีคุณชายรุจ คุณย่าทั้งสองสบายดีนะคะ”
“สบายดีกระหม่อม ย่าอ่อนบ่นคิดถึงท่านหญิงอยู่ทุกวัน”
“แล้วคุณชายบอกท่านรึเปล่า ว่าทำไมฉันไม่ไปเรียนการเรือนกับท่านอีกเลย”
ปวรรุจนิ่งงันไป พูดไม่ออก
“ช่วยหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้ท่านหน่อยก็แล้วกัน”
ปรีชารู้สึกถึงความอึดอัดของคนทั้งคู่ ภาณุทัศนัยเดินยิ้มร่าเข้ามาพอดี ปรายตามองปวรรุจ
“หญิงแต้ว เด็จมาพอดีเลยค่ะ เดี๋ยววันนี้เราทานกลางวันกันที่ไหนดี”
วรรณรสาบอกอย่างเย็นชา “แล้วแต่พี่ชายทัศน์ซีคะ”
“ทานที่โรงแรมโรยัลก็แล้วกันนะ อ้อ น้องหญิงคะ อาทิตย์หน้าอย่าลืม น้องหญิงต้องเด็จมางานกระทรวงกับพี่”
วรรณรสาเหลือบมองปวรรุจที่ไม่สบตา “งานอะไรคะ”
“งานดนตรีการกุศล เราจัดทุกปี ปีนี้หญิงต้องโชว์สีไวโอลินอีกนะ”
ชายทัศน์โอบวรรณรสาอย่างจงใจเย้ยให้ปวรรุจเห็น แล้วผ่านหน้าไป วรรณรสายิ่งรู้สึกย่ำแย่ “คุณชายครับ” ปรีชาเรียก
ปวรรุจรีบยิ้มทันที เพื่อกลบเกลื่อน “เรื่องทานกลางวันใช่ไหม ผมคงทานในกระทรวงนี่แหละ
ขอตัวนะ”
ปวรรุจแยกจากปรีชา ที่ยิ้มอยู่ก็คลายไปเหลือแต่ความขมขื่น ระหว่างนั้นแขเดินกลับมาหาปรีชาด้วยอาการหน้าตื่น
“คุณปรีชาขา”
“ครับคุณแข”
“ทราบเรื่องรึยังคะ”
“เรื่องอะไรล่ะครับ”
“เรื่องคุณชายรุจน่ะซีคะ อยู่ที่ไหนเนี่ย ต้องไปแสดงความยินดีด้วยไปเร็วคุณ”
พลางแขดึงปรีชาไปที่หน้าห้องทำงานปวรรุจทันที
“บอกผมก่อนซีครับมันเรื่องอะไร”
ปวรรุจยืนในห้องทำงาน มองเหม่อไปนอกหน้าต่าง แขและปรีชาวิ่งเข้ามา
“คุณชายขา ใจร้ายจริง ไม่บอกกันเลย”
“เรื่องอะไรหรือครับ” ปวรรุจหันมา
“จะเรื่องอะไร ก็ข่าวดีของคุณชายไงคะ แขเพิ่งทราบจากท่านอธิบดี เมื่อกี้นี่เอง”
“ยินดีด้วยครับคุณชาย”
ทั้งสองเข้ามาจับมือปวรรุจ เพลงขึ้นกลบบทสนทนา แขดีใจเข้ากอดปวรรุจอย่างลืมตัว หัวเราะระรื่นกันทั้งสาม ปวรรุจยิ้มแต่ตานั้นเศร้าเต็มที
หลายวันต่อมา ห้าหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารกับหม่อมย่าเอียด และย่าอ่อน มีแจ๋ว กะสมศรี ดูแลปรนนิบัติเช่นเดิม
“เรียกมาทานข้าวร่วมกันวันนี้ เพราะย่ามีเรื่องจะบอกเราทั้งห้าคน” หม่อมเอียดเอ่ยขึ้น
“ต้องเรื่องสำคัญแน่ ๆ เลย”
“เรื่องงานของชายรุจ”
ปวรรุจเหมือนรู้อยู่แล้ว ทุกคนหันมามอง
“งั้นก็คงเรื่องงานแต่งกับน้องกระถินใช่ไหมครับ” รัชชานนท์ว่า
“ชายเล็ก อย่าขัดหม่อมย่าซีลูก” ย่าอ่อนไม่พอใจนัก
“ขอโทษครับ”
“เดาไปก็ไม่ถูกหรอก ย่าหมายถึงงานเลี้ยงของทางกระทรวงน่ะ งานนี้ย่าอยากให้พวกเราไปกันทุกคน”
ทั้งสี่มองหน้ากัน
พุฒิภัทรถาม “มีอะไรสำคัญเหรอครับหม่อมย่า”
“คงต้องมีละนะ เพราะท่านอธิบดีท่านส่งจดหมายราชการมาเชิญย่าโดยตรงเลย” หม่อมเอียดบอก
ทุกคนมองมาที่ปวรรุจอย่างตั้งคำถาม ปวรรุจไม่ได้ตอบอะไร สีหน้านั้นขรึมและทุกข์ตรม
เมื่อรู้ว่าตนต้องจากกรุงเทพฯ ไปนานถึงสี่ปี
อ้ายอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังพูดโทรศัพท์กับวรรณรสา ปกรณ์กำลังจัดอาหารอยู่ที่โต๊ะ เหลียวมองมาเป็นระยะ
“ค่ะ ค่ะ ท่านหญิง แล้วเจอกันค่ะ”
อ้ายวางสาย แล้วถอนใจเฮือก
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหนูอ้าย ท่านหญิงเป็นอะไรเหรอครับ”
“ท่านหญิงน้ำเสียงเศร้ามาก พระองค์ฉัตรทรงบังคับท่านหญิงไม่ให้ออกจากวัง จะเด็จออกได้ก็เฉพาะเด็จไปกับท่านชายทัศน์เท่านั้น”
ปกรณ์คาดไม่ถึง “บังคับกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
“สงสารท่านหญิงจัง แล้วทางคุณชายละคะว่ายังไง” อ้ายถาม
“นั่นก็ซึมเศร้าไม่น้อยเลยละครับ”
“หนูอ้ายนึกภาพไม่ออกเลยว่าท่านหญิงจะใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายอย่างท่านชายทัศน์ได้อย่างไร”
ปกรณ์พยักหน้าเห็นด้วย สวมกอดอ้ายจากด้านหลังเป็นเชิงปลอบใจ ทั้งสองทอดถอนใจ
ขณะเดียวกัน ธราธร ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ รวมกลุ่มกันในห้องใต้โดม
“ไงครับ พี่ชายรุจ บอกได้รึยังว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่กระทรวง” รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
“พี่ชายรุจสอบเลื่อนขั้นแล้วนี่ครับ ผมว่าผลสอบต้องออกมาแล้ว และพี่ชายต้องได้เลื่อนขั้นเป็น “ข้าราชการชั้นเอก” แน่นอน”
รัชชานนท์และรณพีร์เฮขึ้นพร้อมกัน
“รอให้เรื่องผ่านทางผู้ใหญ่เป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนดีกว่านะ” ปวรรุจว่า
“ถ้าไม่ได้เลื่อนขั้น ก็ต้องได้ออกโพสท์ ไปประจำการต่างประเทศแน่ ๆ” รัชชานนท์มั่นใจ
“ถ้าเป็นจริง ตอนนี้นายเป็น “ข้าราชการชั้นโท” ถ้าไปประจำต่างประเทศก็ต้องเป็น “เลขานุการโท” ใช่ไหม” พุฒิภัทรถาม
ปวรรุจยิ้ม “ถูกต้อง”
“เลขาท่านทูต “เลขานุการโท” โก้หร่านเลยทีนี้ เยี่ยมเลยครับพี่ชายรุจ มา...ขอน้องแสดงความยินดีกับพี่ชายหน่อย”
รัชชานนท์เข้าสวมกอดปวรรุจ
“กอดบ้าง”
รณพีร์เข้ามากอดอีกคน ทั้งห้าหัวเราะ
“ไม่กอดเปล่า ต้องดื่มให้หมดแก้ว bottoms up ครับ”
“งั้นต้อง bottoms up” ธราธรออกเสียง “บ็อทท่อมซั่บ” ชัดเจน “พร้อม ๆ กันเลย”
“แด่ความสำเร็จของชายรุจ”
ทั้งห้าชนแก้ว
“เฮ!”
ย่าอ่อนถือขวดโหลใส่คุกกี้ของวรรณรสาเดินมากับแจ๋ว เสียงหนุ่มๆ พูดคุยเฮฮามาจากในห้อง
“แหม....ท่าทางจะคุยกันสนุก”
ย่าอ่อนหยุด ไม่เข้าไป เงี่ยหูฟัง
“อ้าว ไม่เข้าไปละคะคุณท่าน”
“ยังไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะหนุ่มๆ เขา”
“ขอแอบฟังก่อนใช่ไหมคะ”
“ใช่....เอ๊ะ แม่นี่”
ส่วนในห้องรณพีร์เอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม
“เรามาทายกันดีกว่า ว่าพี่ชายรุจจะได้ประจำประเทศอะไร”
รัชชานนท์ทายก่อน “ผมว่าภาคพื้นยุโรปแน่”
“ฉันว่าทางเอเชียก่อนนะ” พุฒิภัทรบอก
4 หนุ่มเดากันไปต่างๆ นาๆ ย่าอ่อนสะดุ้งเฮือก
“ตาเถนยายชี!”
“คนดีมีน้อย คนถ่อยมีมาก อะไรคะคุณท่าน”
“ได้ยังไง ชายรุจจะไปประเทศนอกแล้วเหรอ”
ย่าอ่อนผลุนผลันเข้าไปทันที แจ๋วรีบตาม
พอเห็นย่าอ่อนถลาเข้ามา ตามด้วยแจ๋ว หนุ่มทั้งห้าสะดุ้ง
“ไหน อะไร บอกมานะ บอกความจริงมา”
“ความจริงอะไรครับย่าอ่อน” ธราธรถาม
“ก็ความจริงเรื่องชายรุจไง ชายรุจ เราจะไปอยู่ประเทศนอกแล้วเหรอ”
“โธ่ คุณย่าครับ ไปเอามาจากไหน”
“ย่าแอบฟังอยู่ ได้ยินกับหู เราจะเลื่อนขั้นไปอยู่ต่างประเทศ บอกมานะอย่ามาทำไขสือ เราจะไปเมื่อไหร่ ยังไง เมืองหนาวเมืองร้อน บอกย่ามา”
“ย่าอ่อนครับ ทางผู้ใหญ่ยังไม่ได้แจ้งเป็นทางการว่าผมได้เลื่อนขั้น หรือได้ออกโพสท์ เพียงแต่แสดงความยินดีกับผมเท่านั้นเอง ผมเองก็ยังไม่ทราบอะไรเลยจริงๆ”
“จริงนะชายรุจ”
“จริงที่สุดครับย่าอ่อน”
“แล้วถ้าเกิดเราได้ไปต่างประเทศจริง ต้องไปประจำการสี่ปีเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ตั้งสี่ปี ไม่ได้การ ย่าต้องรีบตบแต่งเรากับหนูกระถินเสียก่อน”
คุณชายทุกคนโดยเฉพาะปวรรุจเจื่อนไปทันที
“เออ...ย่าอ่อนครับ น้องกระถินยังเด็ก รอให้ชายรุจหมดโพสท์แล้วค่อยกลับมาแต่งไม่ดีกว่าหรือครับ” พุฒิภัทรว่า
“ใช่ครับ เพราะตอนนั้นน้องกระถินก็ยี่สิบกว่าแล้ว คงเหมาะสมที่จะเป็น....ภริยาทูต” ธราธรว่า
“ไม่ได้ ขืนทำ โอ้เอ้วิหารราย ปล่อยชายรุจไปเมืองนอกเมืองนาหลายๆปีก็คงไปคว้าแหม่มมาเป็นเมียจนได้ ย่าขอยืนกรานว่าชายรุจต้องแต่งกับกระถินในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะได้ไปเมืองนอกหรือไม่ได้ไปก็ตาม”
ย่าอ่อนมองปวรรุจเขม็ง ชายรุจเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะโต้เถียง
“กลับ นังแจ๋ว”
“เจ้าค่ะ
อ่อนจะออกจากห้อง แจ๋วเดินตามโดยยังถือขวดโหลคุกกี้ในมือ ย่าอ่อนตวาดแว้ด
“นังแจ๋ว”
“ว้าย คนชังมีนัก คนรักมีน้อย....มีอะไรคะ”
“นั่นคุกกี้ของท่านหญิงแต้ว จะเอามาให้คุณชายเขารับทาน แกจะกอดเอาไว้หาวิมานอะไร”
“นั่นซีคะ กอดทำไม วางแล้วค่ะ”
แจ๋วรีบวางคุกกี้ แล้วตามย่าอ่อนออกไป
สี่หนุ่มหันมามองปวรรุจ บรรยากาศเงียบงันไป รัชชานนท์สร้างบรรยากาศทันที
“แหม...คุกกี้ท่านหญิง ไม่น่าเก็บไว้ทานนะครับ เหนียวหนืดออกอย่างนั้น”
“บางชิ้นก็ไหม้ด้วยแฮะ”
“แต่ฉันอยากทาน ขอตัวนะ”
ปวรรุจหยิบขวดโหลคุกกี้แล้วออกจากห้องไป ธราธรและพุฒิภัทรมองตามยิ่งสงสารและเห็นใจ
ปวรรุจเข้ามาในห้องวางโถคุ๊กกี้ไว้ตรงหน้า มองขวดโหลนั้นด้วยความซึ้งใจ เปิดออกแล้วหยิบคุกกี้ออกมาทาน เคี้ยวไปได้สองครั้ง น้ำตาก็ไหลรินออกมา
แต่ปวรรุจยังเคี้ยวและกลืนกินต่อไป รู้สึกว่าเป็นคุกกี้ ที่อร่อยที่สุดในชีวิต
ติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 10