สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 8
สองสามวันต่อมา ภายในห้องรับแขกสถานทูตกรุงเบิร์น วรรณรสา อ้าย และเอื้อย อยู่ในชุดพร้อมเดินทางกลับ สามสาวนั่งกันอยู่เงียบๆ สีหน้าสลดหดหู่กันทั้งสามคน
อิ่มและคุณหญิงอารีเข้ามาในห้อง อิ่มสะอื้น ตาแดงก่ำ ทรุดตัวลงกับพื้น จับมือวรรณรสาไว้ ท่านหญิงสะดุ้งรวมทั้งสาวแฝด
“ท่านหญิงเพคะ หม่อมฉันขออภัยทาน ที่ได้ทรงล่วงเกินท่านหญิงต่างๆ นาๆ หม่อมฉันทรงผิดไปแล้ว กรรแสงอยู่หลายวันเชียวเพคะ”
คุณหญิงอารีทนฟังไม่ไหว “เออ หนูอิ่ม ผิดจ้ะ อ่านที่จดไว้ดีกว่า”
“ค่ะ คุณป้า”
อิ่มหยิบกระดาษโน้ตออกมา แล้วอ่านตาม วรรณรสา อ้ายและเอื้อยมองอย่างงง ๆ
“หม่อมฉันกระทำการไม่บังควร ที่ได้ล่วงเกินท่านหญิง ตลอดเวลาที่ร่วมเดินทางกันมาเป็นอาทิตย์ ประทานอภัยหม่อมฉันนะเพคะ” อ่านจบอิ่มกราบที่มือของท่านหญิง
“อย่าทรงถือโทษยายอิ่มเลยนะเพคะ ท่านหญิงขา” คุณหญิงขอร้อง
“หญิงไม่ถือโทษคุณอิ่มหรอกค่ะ ถึงคุณอิ่มจะแกล้งหญิง แต่เราก็ยอมรับว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้สนุกและโลดโผนที่สุดในชีวิตของเรา จริงไหมหนูอ้าย หนูเอื้อย”
“จริงค่ะ” เอื้อยว่ายิ้มๆ
“ใช่ ไม่มีเธอ ฉันคงเหงาปากไปเยอะเลย” อ้ายบอก
อิ่มเช็ดน้ำตา พูดกับอ้ายเอื้อย “ขอบใจนะ ที่ยังชมฉัน ทั้งๆ ที่ฉันกลั่นแกล้งเธอเอาไว้ไม่ใช่น้อย”
“ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้เถอะ แล้วก็คุยกับฉันในฐานะรสาอย่างเดิม” วรรณรสาบอก
อิ่มลุกนั่งบนเก้าอี้ อารียิ้มดีใจ
“ขอบทัยเพคะโธ่ ไม่ถือองค์เลย”
อั๋นเข้ามาตาม
“ฝ่าบาท ท่านชายทรงรออยู่ พร้อมเสด็จแล้วกระหม่อม”
สามสาวลุกขึ้นพร้อมกัน มองหน้ากันใจหาย
วรรณรสา อ้าย และเอื้อยออกมาจากห้องรับแขกมาตามทางเดิน ตามด้วยอั๋น อิ่ม และคุณหญิงอารี ภาณุทัศนัยยืนรออยู่แล้ว หน้าตาเครียด ท่านทูตพลเทพยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าไม่สบายใจ วรัทยืนหน้าซีดอยู่ห่าง ๆ
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลยหญิงแต้ว เดี๋ยวจะเด็จไม่ทันเครื่อง”
วรรณรสามองไปรอบๆ หวังลึกๆ ว่าจะได้เห็นปวรรุจอยู่ที่นั้น แต่เห็นสายตาของชายทัศน์ที่มองมาอย่างดูแคลน
“คุณชายไม่อยู่ที่นี่หรอก และไม่มีสิทธิ์เหยียบมาที่นี่ถ้าหญิงแต้วยังประทับอยู่”
“งั้นก็หมายความว่าหญิงควรจะรีบไปจากที่นี่ เพื่อให้คุณชายได้กลับมาทำงานที่สถานทูตได้ตามเดิม”
ภาณุทัศนัยยิ่งหน้าเครียด มองวรรณรสาอย่างมึนตึง ท่านหญิงเชิดหน้าอย่างไม่เกรงใจ ทุกคนตกอยู่ในภาวะตึงเครียดกันไปหมด
“เรารีบไปกันเถอะ หนูอ้าย หนูเอื้อย รสาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน ท่านทูต ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ลำบากกันไปหมด”
พลเทพคำนับ “แล้วแต่จะโปรด กระหม่อมทูลลา”
อารีถอนสายบัว “ทูลลาเพคะ”
วรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินนำออกมา ภาณุทัศนัยตามติด อิ่ม อั๋น และวรัทตามรั้งท้าย ท่านทูตพลเทพและคุณหญิงอารีถอนใจ
สามสาวออกมาหน้าสถานทูต ตามมาด้วย ชายทัศน์ อั๋น อิ่ม วรัท ส่วนปกรณ์รออยู่แล้ว
ที่หน้าสถานทูต วรรณรสามองปกรณ์อย่างมีความหวังเรื่องปวรรุจ
“ขึ้นรถหญิงแต้ว เด็จขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“ยังค่ะ”
พูดแล้ววรรณรสาเดินไปหาปกรณ์ทันที
“คุณชายล่ะ”
“เจ้ารุจมาส่งฝ่าบาทที่นี่ไม่ได้หรอกกระหม่อม ทางสถานทูตห้ามไว้”
“พูดอย่างเดิมเถิดคุณปกรณ์”
“ครับ”
“แล้วตอนนี้คุณชายอยู่ที่ไหน”
“คงกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“ฝากบอกว่าฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ครับ” ปกรณ์รับปาก
วรรณรสาเช็ดน้ำตาแล้วขึ้นรถไป
อ้ายน้ำตารื้นเช่นกันเข้าไปลาปกรณ์
“คุณ ปกรณ์ อย่าลืมที่เราสัญญากันไว้นะ”
“ทั้งเวลา ทั้งระยะทาง มันอยู่ในใจผมแล้ว ผมไม่ลืมแน่นอน”
อ้ายเช็ดน้ำตา “หนูอ้ายจะนับเวลาถอยหลังนะคะ”
“ผมก็เช่นกัน”
ขณะที่อ้ายจะก้าวขึ้นรถ ปกรณ์ดึงอ้ายมากอดไว้ ชายทัศน์มองอย่างเหลืออด ขึ้นรถไปกระแทกประตูปิดอย่างแรง ปกรณ์คลายกอด อ้ายกลับขึ้นรถ
เหลือเอื้อยที่ร้องไห้อยู่กับอั๋น อิ่มไม่มีอคติใดๆ อีกแล้ว มองพี่ชายและเอื้อยอย่างซึ้งไป
ด้วย
“รอผมนะหนูเอื้อย”
“ค่ะ เขียนจดหมายกับโปสการ์ดมานะคะ”
“ครับ”
เอื้อยเช็ดน้ำตาแล้วขึ้นรถ วรัทปิดประตูให้ขึ้นไปนั่งคนขับ รถแล่นออกไป อั๋น อิ่มและปกรณ์โบกมือตาม
วรัทขับรถมา ภาณุทัศนัยนั่งอยู่ตอนหน้า ชำเลืองมาที่สามสาวที่กอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเบื่อๆ
วรรณรสานั่งอยู่ด้านหลังคนขับ
“ลาก่อน สวิตที่รักของฉัน” อ้ายว่า
“ลาก่อน สวิตแดนสวรรค์” เอื้อยบอก
แฝดมองทัศนียภาพสวยงาม ที่กำลังแล่นผ่านตัวเมือง วรรณรสามองไปนอกหน้าต่าง สะอื้นไห้
รถแล่นผ่านแยกใหญ่กลางเมือง วรรณรสามองไปแล้วตะลึงนิ่งงันไป แฝดเองก็เห็นเช่นกัน
สะกิดชี้ชวนกันมองอย่างเงียบๆ ไม่ให้ชายทัศน์ได้ยิน
ที่ด้านนอก ร่างของปวรรุจยืนเด่นอยู่ที่มุมสวนสาธารณะสวยๆ ปวรรุจมองมาที่วรรณรสา สายตานั้นเศร้าสร้อย แต่รอยยิ้มจางๆ นั้น ทำให้วรรณรสาเกิดกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด รถเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปวรรุจยกมือเหมือนโบกลา วรรณรสาโบกลาตอบ
รถแล่นเลยปวรรุจไปแล้ว วรรณรสาเหลียวหลังแลมอง สะอื้นอย่างแรง เห็นร่างปวรรุจเล็กลงๆ และลับหายไปจากสายตาในที่สุด
วรรณรสาพิงหน้ากับหน้าต่าง ร้องไห้แทบขาดใจ
ปวรรุจยืนซึมอยู่ข้างหน้าต่างในอพาร์ทเม้นท์ปกรณ์มองเหม่อไปไกล ภาพที่ลานสกีแว่บผ่านเข้ามาในความคิด
“ฉันกำลังจะบอกว่า...ฉันเองต่างหาก ที่ไม่คู่ควรกับคุณ”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ถ้าฉันพูดความจริงอย่าโกรธฉันเลยนะคะคุณชาย คือ...ฉัน...ไม่ใช่รสาอย่างที่คุณชายรู้จัก”
นึกมาถึงตรงนี้ ปวรรุจเข้าใจทุกอย่างที่วรรณรสาพยายามอธิบาย ปกรณ์เดินเข้ามา เห็นอาการของเพื่อนได้แต่ถอนใจ
“ท่านหญิงขึ้นเครื่องไปแล้วเรียบร้อย แล้วแกจะเอายังไงต่อวะ”
“ฉันยังคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น”
“เฮ้อ...ที่จริงก็น่าเห็นใจท่านหญิงอยู่นะ ต้องหนีจากไอ้ท่านชายที่มันหลอกลวง มาร่วมเดินทางกับเรา พอมาเจอแกก็กลายเป็นว่าแกรู้จัก ท่านหญิงสมัยเด็กเข้าอีก ก็เลยแสดงตัวไม่ได้ แกก็อย่าโกรธท่านหญิงเลย ท่านไม่มีทางเลือกจริงๆ” ปกรณ์บอก
ปวรรุจนิ่งฟัง สีหน้ายังหดหู่
“ที่จริงท่านหญิงตั้งใจจะบอกความจริงฉันหลายครั้งแล้ว และบางครั้งก็บอกมาเป็นนัย ๆ ด้วยซ้ำ เพียงแต่ฉันไม่ทันคิด”
“แล้วจะเอายังไงต่อวะ แกต้องกลับไปทำงานร่วมกับไอ้ท่านชายนั่นอีกเป็นเดือนๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรับมือได้อยู่แล้ว”
“แล้วเรื่องท่านหญิงล่ะ แกจะสานสัมพันธ์ต่อรึเปล่า”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ดึงฟ้าให้ลงต่ำมาได้หรอก”
ปวรรุจมีสีหน้าเจ็บปวดมองไปนอกหน้าต่าง ปกรณ์มองเพื่อนอย่างเห็นใจ
ภายในห้องนั่งเล่นวังอรุณรัศมิ์ วันต่อมาช่วงตอนกลางวัน วรรณรสากลับมาถึงวัง กำลังนั่งหน้าซีดเจื่อนจ๋อยอยู่ตรงหน้าพระองค์ฉัตรอรุณที่มีสีหน้ากริ้วโกรธอย่างเหลือเกิน
นมแจ่ม นายหนุ่ม และบัวเฝ้าอยู่นอกห้อง สีหน้าไม่สู้ดีทั้งสามคน
“วรรณรสา ทำไมเราทำตัวแบบนี้ โกหกพ่อเรื่องส่งโทรเลขบอกชายทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังปลอมตัวหลบหน้าชายทัศน์ แล้วหนีไปเที่ยวกับผู้ชาย”
วรรณรสาเงยหน้าขึ้นทันที “เด็จพ่อ หญิงไม่ได้หนีไปกับผู้ชายนะเพคะ เราไปกันเป็นกรุปทัวร์”
“แต่สุดท้ายก็ไปค้างอ้างแรมสองต่อสองกับผู้ชายคนนั้นอยู่ดี”
“ผู้ชายคนนั้นที่เด็จพ่อทรงหมายถึง คือ หม่อมราชวงศ์ปวรรุจ จุฑาเทพ เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ล่วงเกินหญิง แม้จะต้องค้างอ้างแรมด้วยกันสองต่อสองก็ตาม”
ฉัตรอรุณเยาะหยัน “เชื่อใจกันเหลือเกินนะ แต่พ่อไม่ไว้ใจ คุณชายนั่นทำงานที่เดียวกับท่านชายทัศน์ ถ้าเขาเอาเรื่องของหญิงไปโพนทะนา เรื่องไม่อื้อฉาวไปทั้งกระทรวงหรอกหรือ”
“คุณชายรุจไม่มีวันปริปากเรื่องใดๆ ที่จะทำให้หญิงเสื่อมเสีย เด็จพ่อควรจะทรงกลัวพี่ชายทัศน์มากกว่านะเพคะ เพราะรายนั้นไม่เคยให้เกียรติแม้กระทั่งผู้หญิง”
ฉัตรอรุณโกรธจัดเสียงลั่น ตวาดเสียงดัง “วรรณรสา”
บ่าวทั้งสามที่แอบฟังอยู่สะดุ้งเฮือก องค์ฉัตรมองพระธิดาอย่างระอาใจ
“ถ้าลูกหมายถึงเรื่องชายทัศน์ควงหญิงต่างชาติ พ่อรู้เรื่องหมดแล้ว ชายทัศน์สารภาพทั้งหมดแล้ว”
วรรณรสาดีใจ ถลาเข้ามาหาฉัตรอรุณ “เด็จพ่อ งั้นลูกก็ไม่ผิดใช่ไหมเพคะ พี่ชายทัศน์ทรงหลอกลวงลูก พี่ชายไม่ได้รักลูกเลย”
“ชายทัศน์บอกพ่อว่า เขาไม่ได้จริงจังอะไรกับหญิงพวกนั้น แค่ควงเล่นชั่วมื้อชั่วคราว ลูกจะไปถือสาทำไม”
วรรณรสาอึ้งไป ถอยห่างจากบิดา
“เด็จพ่อไม่ทรงคิดว่าพี่ชายทัศน์ทำผิดเลยเหรอเพคะ”
“ผู้ชายก็ต้องมีบ้างเรื่องควงสาวๆ มันเป็นธรรมชาติของผู้ชายอยู่แล้วพ่อไม่เห็นมันจะผิดตรงไหน”
วรรณรสาเสียใจ น้ำตารื้นขึ้นมา “เด็จพ่อทรงยอมให้เขามีผู้หญิงอื่นนอกจากลูก”
“เปล่าเลย เมื่อชายทัศน์เสกสมรสกับลูก เขาก็จะเลิกทำตัวเสเพลไปเอง เขาสัญญากับพ่อแล้ว”
ท่านหญิงรสาสะอื้น “เด็จพ่อทรงเชื่อเขามากกว่าลูก”
“รสา...อย่าพูดแบบนี้กับพ่อนะ”
“หญิงจะพูด แล้วถ้าหากพี่ชายทัศน์ไม่ทำตามสัญญา มีหม่อมเล็กหม่อมน้อยอีกหลายคน เด็จพ่อจะโปรดให้หญิงเจ็บช้ำน้ำใจและยอมกินน้ำใต้ศอกใช่ไหมเพคะ”
ฉัตรอรุณขึ้นเสียง “หยุดพูดวรรณรสา”
วรรณรสาสะอึกสะอื้น ร้องห้โฮ
“อย่าไปกล่าวโทษชายทัศน์ ในเมื่อความผิดของเรายังไม่ได้ชำระ ต่อไปนี้เราจะต้องอยู่บ้าน ห้ามออกไปไหนสามอาทิตย์”
“เด็จพ่อ”
“หนูอ้าย หนูเอื้อย ให้มาเยี่ยมเยียนได้ที่วังเท่านั้น ห้ามชักชวนกันออกไปไหนเด็ดขาด”
องค์ฉัตรพูดเท่านั้นก็ออกจากห้องไป วรรณรสาทรุดลงนั่งร้องไห้
นมแจ่ม บัว นายหนุ่มเข้ามาในห้อง แจ่มกับบัวเข้ามานั่งร่วมแจ่มร้องไห้ตาม
“โถ...ทูนหัวของหม่อมฉัน ไม่ร้องนะเพคะ”
นมแจ่มดึงท่านหญิงรสามากอดปลอบไว้ แต่ตัวเองก็ร้องเสียเอง
กระถินแต่งตัวแบบผู้ดี เสื้อผ้าลูกไม้กระโปรงบาน แต่นั่งยองๆ อยู่ข้างบ่อน้ำหลังวังเทวพรหม กำลังจัดระเบียบแหแล้วลุกขึ้น กางขาถ่างอย่างตั้งหลัก แล้วเหวี่ยงแหลงในน้ำด้วยท่วงท่ามืออาชีพ
ระหว่างนั้นมีสายตาใครบางคน มองผ่านพุ่มไม้ในสวนมาที่กระถิน ในระยะห่าง ขณะที่มารตีและวิไลรัมภาเดินตรงมาหากระถิน พร้อมนายสมหวังคนสวนตามมาด้วย สีหน้านายสมหวังเจื่อนเต็มที วิไลรัมภาถือไม้เรียวอันยาวมาด้วยดึงมารตีไว้
“พี่มารตีคะ มันตกปลาอีกแล้ว อย่าเข้าไปใกล้สระค่ะ เดี๋ยวมันแกล้งเราตกน้ำอีก”
“นั่นซี นังกระถิน เดี๋ยวแกขึ้นไปบนห้องฉัน”
“ขึ้นไปทำไม” กระถินงง
“แกจะต้องไปทำความสะอาดห้อง เอาผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนไปซัก ล้างห้องน้ำให้สะอาด” มารตีสั่ง
“เสร็จจากห้องพี่มารตี แกมาทำห้องฉันต่อ อ้อ ก่อนจะขึ้นไป ล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อนนะ จะได้ไม่เหม็นสาบคาวปลา”
“ไม่ล้างละ เพราะฉันไม่ทำงานที่แกสั่ง” กระถินว่า
“แกจะขัดคำสั่งเราสองคนเหรอ” วิไลรัมภาฉุน
“เออ...เพราะงานที่แกใช้ให้ฉันทำ เป็นงานของบ่าวในบ้าน ฉันไม่ใช่บ่าวของแก ฉันเป็นหม่อมหลวงกระถิน แล้วต่อไปฉันจะเป็นพี่สะใภ้แกด้วยซ้ำ”
“นังกระถิน นายสม จับตัวมันไว้”
“ผมไม่กล้าครับคุณมารตี”
“ฉันบอกให้จับตัวมันไว้”
กระถินกำหมัด พร้อมชกทันที “เข้ามา ชกจริงๆ นะโว้ย”
“จับมันซี”
มารตีผลักสมหวังให้เข้าไปหากระถิน กระถินรัวหมัดใส่สมหวังไม่ยั้ง แต่สมหวังยึดร่างกระถินไว้ได้ มารตีเข้าตบหน้ากระถินหนึ่งฉาดใหญ่ กระถินงงไป วิไลรัมภาส่งไม้เรียวให้มารตี
“จัดการมันเลยค่ะ”
สมหวังกดร่างกระถินลงนั่งคุกเข่ากับพื้น
“แกจะทำอะไรฉัน นังกระตี๊”
“จะเฆี่ยนแกให้หลังลายน่ะซี”
“อย่าทำฉันนะ อย่า”
มารตีเงื้อไม้เรียวสุดแขน แต่แล้วทันใดนั้นมือกำยำ ผิวดำมะเมื่อม เข้ามายึดแขนมารตีไว้
เป็นคล้าวนั่นเอง พูดด้วยสำเนียงทองแดงแท้ “แกล้งกระถิน แกตาย”
มารตี และทุกคนหันไปมอง เห็นร่างดำทะมึนของคล้าว ใส่เสื้อแขนตัด เก่าซอมซ่อ กล้าม
เป็นมัดๆ
มารตีกับวิไลรัมภาร้องกรี๊ด “แอร๊ย”
เกษรา แย้ม และแหวว อยู่ที่ร้านขนมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องกรี๊ดลั่นของมารตีและวิไลรัมภา
“ว้าย เปรตที่ไหนร้อง” แย้มว่า
“ไม่ใช่เปรตค่ะ แต่เสียงคุณมารตี กับคุณรัมภา” แหววบอก
ทั้งสามวิ่งออกจากร้านทันที
คล้าวกระชากไม้เรียวจากมือของมารตีมาได้ มารตีสะบัดหลุดวิ่งไปกอดวิไลรัมภา สองสาวแสบยังกรีดร้องเสียงหลงอยู่
“ไม่ต้องแหกปาก ปล่อยกระถินเดี๋ยวนี้”
มารตีและวิไลรัมภาหยุดร้อง สมหวังปล่อยกระถินทันที กระถินวิ่งเข้ามากอดคล้าว
“พี่คล้าว พี่คล้าวมาช่วยกระถินแล้ว”
“ต๊าย....พี่มารตี มันรู้จักกัน นังกระถินพาโจรเข้าบ้าน” วิไลรัมภาร้องบอกดังลั่น
เกษรา แย้ม และแหวววิ่งเข้ามา ทุกคนตกใจที่เห็นคล้าวกอดกับกระถิน
“ว้าย จรกา ดำเป็นเหนี่ยงเลย” แย้มว่า
“พี่เกษคะ เห็นไหม เลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้แท้ๆ นังกระถินพาโจรเข้ามาในบ้าน โทร.เรียกตำรวจเลยค่ะ” มารตีฟ้องฉอดๆๆ
คล้าวโมโห “เรียกตำรวจเหรอ กระถินหนีไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
“ไปจ้ะ”
ทั้งสองทำท่าจะวิ่งไปที่สวน
“หยุด ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” เกษราขึ้นเสียง
คล้าวและกระถินหันมา
“นายคล้าวใช่ไหม”
มารตี วิไลรัมภา และสมหวังเป็นงงที่เกษรารู้จัก แต่แย้มและแหววพอจะรู้อยู่ เพราะกระถินพูดถึงคล้าวอยู่บ่อยๆ
คล้าวอึ้ง ถามกระถิน “นายหญิงรู้จักฉันเหรอ”
“กระถินเล่าเรื่องพี่คล้าวให้คุณเกษฟังบ่อยๆ” กระถินบอก
“คงเดินทางมาจากพังงาละซี” เกษราถาม
“ใช่ เพิ่งมาถึงเมื่อรุ่งสาง” คล้าวตอบ
“งั้นก็พักผ่อนก่อน แล้วเดี๋ยวมาคุยกับฉัน กระถินพานายคล้าวไปที่ครัว ป้าแย้ม แหวว ช่วยดูแลสำรับคับค้อนให้นายคล้าวด้วย”
คล้าวและกระถินยิ้มดีใจ มารตี กับวิไลรัมภาอ้าปากค้าง ป้าแย้ม แหววพากระถินและคล้าวเข้าครัว มีนายสมหวังตามไปด้วยอย่างงง ๆ
“นี่มันโจรป่านะคะพี่เกษ พามันเข้าบ้านได้ยังไง” มารตีไม่พอใจ
“นายคล้าวไม่ใช่โจร แต่เป็นคนเหมืองที่พังงา” เกษราบอก
“คนเหมือง มันก็เป็นโจรได้ค่ะ” วิไลรัมภาว่า
“งั้นเธอก็รู้ไว้ เขาเป็นพี่ชายของกระถิน”
เกษราพูดแล้วก็กลับเข้าตึก มารตี และวิไลรัมภามองหน้ากัน
“อะไรนะคะ พี่ชายนังกระถิน” มารตีงงๆ
“หมายความว่าคุณอาวรพันธ์ มีลูกชายอีกคนเหรอ” วิไลรัมภาอึ้ง
“เป็นไปไม่ได้ หน้าตาคนละท้องพ่อท้องแม่ มันต้องเป็นพี่ชายอย่างอื่นมากกว่า”
มารตีมั่นใจ มองตามกระถินและคล้าวด้วยสีหน้าเอาเรื่อง วิไลรัมภายังงงๆ
คล้าวนั่งอยู่บนยกพื้นในครัว กำลังเปิบข้าวด้วยมือ กินน้ำพริกปลาทู และผักจิ้มเต็มปาก กระถินเตรียมขันน้ำมาวางให้ มีลอยดอกมะลิ และน้ำยาอุทัย กระถินออกอาการดีใจเหลือเกิน
แย้มและแหววเตรียมสำรับให้ มองคล้าวอย่างทึ่งๆ สมหวังถือชุดเสื้อกางเกงใหม่เอี่ยมอยู่ในมือ
“ดีใจจังเลย พี่คล้าวมาช่วยกระถินแล้ว พี่คล้าวไปบอกลุงเทวพันธ์นะว่ามารับกระถินกลับบ้าน”
คล้าวพยักหน้า ข้าวเต็มปาก
“ได้ อยู่ที่นี่แล้วโดนรังแก ไม่ต้องอยู่ เรากลับบ้านเราเดี๋ยวนี้เลยพระนครไม่เห็นน่าอยู่ คนเยอะ ร้อนก็ร้อน”
“ใช่...ทานน้ำจ้ะ”
“นี่...พ่อมหาจำเริญ แกจะพาคุณกระถินกลับบ้านกลับช่องตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ” แย้มท้วง
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้น้องฉันโดนรังแกหรอก นี่เพิ่งเข้ามาในบ้าน ก็เห็นพวกมันรุมตบน้องฉันแล้ว” คล้าวบอก
“นายคล้าว อย่าลืมนะคุณแม่คุณกระถินเขายกคุณกระถินให้อยู่ในความดูแลของหม่อมเทวพันธ์แล้ว นายไม่มีสิทธิ์” สมหวังท้วง
แหววเห็นด้วย “ใช่...ถ้านายพากระถินหนีไป ถือว่าลักพาตัวเชียวนะ เข้าตารางได้ง่ายๆ”
คล้าวฟังแล้วเป็นอึ้งไป กระถินถอนใจ
“กินข้าว กินปลา แล้วเดี๋ยวอาบน้ำอาบท่า จะได้เปลี่ยนชุดเสียใหม่” แย้มบอก
คล้าวงง “หา...เปลี่ยนชุด เปลี่ยนทำไม”
“แกต้องขึ้นไปพบคุณเกษราบนตึก จะมอมแมม สกปรกแบบนี้ไม่ได้หรอก”
คล้าวหน้าเจื่อน มองหน้ากระถินเป็นเชิงถาม กระถินพยักหน้าให้คล้าวยอมทำตามนั้น
เวลาต่อมาเกษราคุยกับคล้าวที่นั่งอยู่ที่พื้นกับกระถินในโถงกลาง คล้าวหันหลัง ใส่เสื้อใหม่เอี่ยมกาวเกงสามส่วน มีผ้าขาวม้าเคียนเอว แย้ม แหววนั่งฟังอยู่ด้วย
“นายคล้าวจะพากระถินไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น กระถินต้องอยู่ที่นี่”
คล้าวประแป้งลายพร้อย ผมหวีเรียบแปล้ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ดูหล่อเหลาคมเข้มทีเดียว
“แต่กระถินไม่อยากอยู่ที่นี่” คล้าวท้วง
“ยังไงก็ต้องอยู่ เพราะ...นายคล้าวก็รู้ กระถินจะต้องแต่งงานกับคุณชายปวรรุจ แห่งวังจุฑาเทพ”
คล้าวหน้าสลดทันที “ฉันรู้แล้ว แต่ทำไมต้องบังคับกระถินในเมื่อ กระถินรักกับฉันอยู่ เราสองคน....สัญญากันแล้วว่า...”
คล้าวมองหน้ากระถินที่หน้าเริ่มเบะ ทำท่าจะร้องไห้ คล้าวจับมือกระถินไว้บอกเสียงเครือ
“เราจะรักกัน จะอยู่กินเป็นผัวเมียกันตลอดไป”
กระถินร้องไห้ “พี่คล้าว ฮือ”
“นายคล้าว นายต้องทำใจนะ เพราะผู้ใหญ่กำหนดไว้แล้ว”
คล้าวก้มหน้าเศร้า “ฉันรู้ ฉันทำใจมาตลอด แต่ที่ทำใจไม่ได้ เรื่องที่กระถินถูกรังแกนี่แหละ ทำไมคนบ้านนี้ใจร้ายกันจริง”
ทุกคนอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก
“นายคล้าวกลับไปเถอะ อยู่ไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น” เกษราว่า
“ไม่ ฉันจะอยู่ที่นี่ต่อ จะดูแลกระถินจนกว่ากระถินจะออกเรือนไปอยู่กับคุณชายอะไรนั่น”
“ขอบคุณพี่คล้าว แล้วตอนนี้พี่คล้าวจะอยู่ที่ไหน”
คล้าวตาแดงๆ
“วัดใกล้ๆ บ้านนี่แหละ ขอพระท่านนอนชั่วคราว กินข้าวก้นบาตรพระก็ได้”
กระถินกอดแขนคล้าวไว้ถอนสะอื้นเบาๆ ทุกคนสลดกันไป
กระถิน แย้ม แหวว และสมหวัง มาส่งคล้าวหน้าตึก คล้าวเกาตามตัวยุกยิก
“พี่ต้องมาหากระถินทุกวันนะ กระถินจะเตรียมกับข้าวให้กินสามมื้อเลย”
“จ้ะ ป้า ลุง ฉันฝากกระถินด้วย”
“แล้วแกเป็นอะไรวะ เกาอยู่นั่นแหละ” สมหวังถาม
“มันคันน่ะลุง ผ้าอะไรเนี่ย โอย คันจะแย่แล้ว ลุง...เอาเสื้อกางเกงฉันคืนมาดีกว่า”
“เฮ้ย เอาไปทิ้งถังขยะแล้ว มันเหม็น”
“หา....เอาไปทิ้งทำไม โธ่....โอ๊ย คัน ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”
คล้าวแกะกระดุมเสื้อออก แล้ววิ่งไปหลังตึกทันที
“อ้าว แล้วนั่นมันทำอะไรน่ะ มันถอดเสื้อถอดผ้าทำไม” แย้มงง
“พี่คล้าวเขาแก้ผ้าประจำน่ะจ๊ะ เวลาร้อน ๆ ในเหมืองเขาก็ถอดอย่างนี้แหละ” กระถินบอก
“บัดสีบัดเถลิง ไป ไปช่วยกันห้ามเร็ว”
แหววตาลุก “ฉันจะไปช่วยห้ามเดี๋ยวนี้แหละ”
แหวววิ่งนำไป ถนอม สมหวัง กระถินตาม
“แหม....นังแหวว ไปห้ามหรือไปดูวะ”
แย้มรู้ทันวิ่งตามไปอีกคน
คล้าวซึ่งเวลานี้เหลือแต่ท่อนบน กำลังคุ้ยหาเสื้อผ้าในถังขยะ เจอเข้าพอดี หยิบออกมาทั้งที่เปื้อนขยะ
“โธ่....ของเขาดี ๆ มาทิ้งเสียได้”
กลุ่มกระถินวิ่งมาทันพอดี
“เฮ้ย แก อย่าใส่นะโว้ย มันเลอะขยะหมดแล้ว เหม็นกว่าเดิมอีก” สมหวังตะโกนห้าม
“ไม่เป็นไรลุง ฉันใส่ได้”
ว่าแล้ว นายคล้าวก็ปลดกางเกงชาวเลออกจากตัวทันที
แย้มกะแหววตาเหลือก “คุณพระ” / “ว้าย”
มารตีและวิไลรัมภาเดินเลี้ยวมุมตึก บ่นบ้ากันมา
“ต้องรายงานคุณพ่อค่ะ ว่านังกระถินพาโจรเข้ามาในบ้าน ตัวดำเป็น...” วิไลรัมภาชะงักกึกเห็นคล้าวแก้ผ้าพอดี “ตอตะโก”
สองสาวตะลึงงัน เพราะคล้าวเปลือยด้านหน้าต่อหน้าพอดี มารตีกะวิไลรัมภาร้องกรี๊ดด
คล้าวรีบตะครุบของสงวนไว้ สองสาววิ่งกลับเข้าตึกไปอย่างขวัญเสีย กระถินรีบส่งผ้าขาวม้าให้คล้าวใส่
“ฮิฮิ....พี่คล้าว พี่คล้าวล้างแค้นให้ฉันแล้วละ”
คล้าวหัวเราะตามกระถิน ขณะที่แย้มกะสมหวังบ่าวมองหน้ากันอย่างระอาใจ แหววยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ด้านวรรณรสาอยู่ที่วังอรุณรัศมิ์ กำลังอ่านจดหมายของปกรณ์ที่เขียนถึงอ้าย แฝดทั้งสองแวะมาหานั่งอยู่ตรงข้าม เอื้อยหยิบตุ๊กตาหนูตุ่นที่อยู่ในตู้ออกมาให้อ้ายดู
อ้ายกระซิบหน้าตื่น “ตายแล้ว ท่านหญิงขีดเพิ่ม ลายพร้อยกว่าเดิมอีก”
“โธ่เอ๋ย ยายหนูตุ่น” เอื้อยครวญ
วรรณรสาตาแดงๆ ขณะเงยหน้าจากจดหมายมองแฝด
“หลังจากที่พวกเรากลับมาเมืองไทย คุณชายไม่ปริปากอะไรเกี่ยวกับรสาอีกเลย”
“ค่ะ...เท่าที่คุณปกรณ์เล่ามา คุณชายเอาแต่ทำงาน ขรึมและเครียดกว่าเดิม ชวนไปเที่ยวไหนก็ไม่ไป นี่....เตรียมตัวประชุมใหญ่ ยิ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำหนักกว่าเดิม” อ้ายบอกหน้าเศร้า
“เขาคงโกรธรสา จนไม่ยอมให้อภัยอีกแล้ว” วรรณรสาว่า
“ท่านหญิงขา คุณชายคงยังเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้เวลาเขาสักนิดนะคะ” เอื้อยท้วง
“รสากลัวว่าเขาจะไม่พบรสาอีกเลย ชั่วชีวิตนี้ “
วรรณรสาน้ำตาไหลพราก เอื้อยเข้ามากอด
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ท่านหญิงเขียนจดหมายถึงคุณชาย เดี๋ยวเราเอาไปส่งให้เอง ไม่ให้เด็จพ่อทรงทราบด้วย”
อ้ายท้วง “หนูเอื้อย จะดีเหรอ ส่งไปที่สถานทูตเดี๋ยวท่านชายทัศน์รู้เข้า ได้เป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“ก็เรื่องอะไรส่งไปที่สถานทูตล่ะ ก็ส่งไปที่คุณปกรณ์ไง ไม่มีใครรู้หรอก”
อ้ายพยักหน้าหงึกๆ “งั้น เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย”
เอื้อยช่วยเช็ดน้ำตาให้วรรณรสา ท่านหญิงพยักหน้ารู้สึกแช่มชื่นมักำลังใจขึ้น
ค่ำคืนนั้นเทวพันธ์เอะอะกลางโต๊ะอาหาร เกษรา มารตี วิไลรัมภา และกระถิน นั่งร่วมโต๊ะกัน แย้มและแหววคอยเสิร์ฟอยู่ตลอด
“อะไรนะ ยายกระถิน แกพาโจรเข้าบ้านงั้นเหรอ”
“หน้าตาเหมือนออกมาจากคุกค่ะคุณพ่อ แถมยังป่าเถื่อน แก้ผ้าหน้าล่อนจ้อนต่อหน้าลูกกับน้องรัมภา กลางวันแสกๆ ยี้” มารตีทำท่าทางประกอบ
“ต้องไปล้างตาเลยค่ะ กลัวเป็นกุ้งยิง” วิไลรัมภาผสมโรง
“อุบาทว์ ไอ้โจรลามก มันเป็นใคร” เทวพันธ์ถามอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ใช่โจรค่ะ นายนั่นเป็นพี่ชายของกระถิน ชื่อนายคล้าว” เกษราบอก
“พี่ชายอะไรกัน ไอ้วรพันธ์มันมีลูกคนเดียวคือยายกระถิน แกอย่ามาพูดมั่ว กระถินบอกมามันเป็นใคร” เทวพันธ์หันมาทางกระถิน
“พี่คล้าว เป็นคนงานเหมือง ไม่ใช่พี่ชายก็เหมือนพี่ชาย เพราะดูแลกระถินจากพวก” กระถินปรายตามองไปทางมารตีและวิไลรัมภา “คนเลวๆ ที่คอยรังแก”
“แล้วมันมาทำไม หรือมันจะมาขอเงิน แกมีฐานะแล้วนี่ แหม เกลียดนักเชียว ไอ้พวกญาติจน ๆ ที่ชอบมาแบมือขอเงิน วันๆ ไม่ทำมาหากิน เอาแต่เล่นถั่ว เล่นโป” เทวพันธ์ด่าตัวเอง
“ค่ะ บางคนก็เล่นม้า เล่นบ่อน เล่นหวยค่ะ” เกษราว่า
เทวพันธ์ยังไม่รู้ตัว “นั่นแหละ ต้องไล่ไปให้หมด ไม่ต้องนับญาติกับมัน”
“พี่คล้าวมาหากระถิน อยากจะมาดูแล เพราะรู้ว่ากระถินถูกแกล้งบ่อยๆ” กระถินบอก
“ใคร ใครมันไปแกล้งแก” เทวพันธ์ฉุน
มารตีรีบพูดแทรกขึ้นเบี่ยงประเด็น “คุณพ่อคะ ถ้าอย่างนั้นไม่น่าจะใช่พี่ชายแล้วละค่ะ เป็นห่วงขนาดนี้ มันน่าจะเป็นชู้รักมากกว่า”
เทวพันธ์ชะงัก เกษราตกใจ กระถินนิ่งงัน วิไลรัมภาอมยิ้ม แย้มกะแหววตกใจ
“นังกระถิน แกอย่าบอกนะว่าไอ้โจรนั้นมันผัวแก” เทวพันธ์ฉุนขาด
กระถินหน้าเบะ จะร้องไห้
“คุณพ่อคะ กระถินเพิ่งอายุ 17 อย่าใช้คำนี้เลยค่ะ”
“17 มันก็ท้องได้แล้ว ยิ่งบ้านป่าบ้านเขา สิบเจ็ดมีลูกเป็นโขลง บางคนเป็นนางโดยไม่ต้องเป็นนางสาวด้วยซ้ำ”
“คุณพ่อ กระถินยังเด็กนะคะ เขานับถือนายคล้าวอย่างพี่ชายจริงๆ” เกษราบอกอีก
“พี่เกษ ไม่ต้องมาแก้แทนมันเลยนะ”
กระถินลุกขึ้นยืนน้ำตานองหน้า
“กระถินยอมรับว่ากระถินรักพี่คล้าว พี่คล้าวมาสู่ขอกระถินกับแม่แล้ว แม่บอกว่า ถ้ากระถินโตอีกหน่อย จะยอมให้กระถินแต่งงานกับพี่คล้าว ฮือ กระถินไม่อยากแต่งกับคุณชายรุจหรอก”
เทวพันธ์โกรธมาก “นังกระถิน ทำไมแกใฝ่ต่ำอย่างนี้ ฉันหาผัวให้แกเป็นถึงคุณชาย ต่อ
ไปแกจะได้เป็นถึงเมียทูต แต่นี่กลับใจไพร่จะไปเอาโจรเป็นผัว”
“เมียทูต เมียขี้ทูตกระถินไม่อยากเป็นหรอก กระถินอยากเป็นเมียผู้ชายที่กระถินรัก กระถินยอมเป็นเมียโจร ดีกว่าเป็นเมียคุณชายเป็นไหนๆ โฮ”
กระถินร้องไห้โฮๆๆ แล้ววิ่งออกจากห้องอาหารไป ทุกคนตะลึง เทวพันธ์ลุกขึ้นทันที
“นังกระถิน กลับมา ยายเกษ แกอบรมมันยังไง ไปลากตัวมันมา ฉันจะเฆี่ยนมัน”
“อย่าเลยค่ะคุณพ่อ เท่านี้ก็บาปพอแล้ว”
“บาปอะไร”
“อย่าลืมซีคะว่าเขารักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว เรามาพรากความรักของเขาทั้งคู่นะคะ”
เกษราลุกพรวดเดินออกจากโต๊ะแล้วออกจากห้องทันที เทวพันธ์ฮึดฮัด
“ยายเกษ ยายเกษ”
เทวพันธ์ลุกตามออกมาจากห้องอาหาร มารตีและวิไลรัมภารีบตาม
เทวพันธ์ตามมาด่าเกษราที่หน้าห้อง แต่เกษราหนีไปแล้ว มารตีและวิไลรัมภาตามมา พร้อมด้วยแย้ม แหวว สมหวัง ทุกคนยืนอยู่ที่โถง
“ตามใจกันเข้าไป ทุกคนฟังนะ ถ้าปล่อยไอ้โจรนั่นเข้ามาในบ้าน มาหานังกระถินอีก ฉันจะไล่พวกแกออกทุกคน”
“ครับนาย” สมหวังรับคำ
“แล้วคอยดูด้วย อย่าให้นังกระถินมันลักลอบเจอกับไอ้โจรอีก” เทวพันธ์สั่งเสียงเข้ม
“คงยากมังคะคุณพ่อ เพราะเดี๋ยวนี้นังกระถินชอบตามพี่เกษออกไปซื้อของทำขนมที่พาหุรัดบ่อยๆ ต้องลักลอบเจอกันแน่ๆ ค่ะ” วิไลรัมภาฟ้อง
“พ่อมีทางแก้”
“ยังไงคะ” มารตีสังสัย
“คุณย่าอ่อนอยากให้นังกระถินไปเรียนทำอาหารที่วังจุฑาเทพ พ่อจะให้มันไปอยู่ที่นั่นทั้งวัน เย็นๆ ค่อยรับกลับ”
“ดีเลยค่ะคุณพ่อ” มารตีสนับสนุน
“เราสองคนช่วยเป็นหูเป็นตาให้พ่อด้วยก็แล้วกัน”
“ค่ะ” วิไลรัมภารับคำ
“เฮ้อ มีแต่เรื่อง เออ...มารตี มีเงินไหม”
“คุณพ่อ!” มารตีอึ้ง
“เอามาให้พ่อยืมหน่อย วันนี้บ้านคุณหลวงศรี เขามีวงยี่อี๊ด คราวที่แล้วเสียหมดตัว คราวนี้พ่อจะแก้มือสักหน่อย”
มารตีหน้าเจื่อน วิไลรัมภารีบหลบตาพ่อ กลัวโดนยืมเหมือนกัน
หลายวันต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิป พงศ์ประพันธ์ กับทีมคณะผู้แทนไทย ถ่ายภาพร่วมกัน ขณะประชุมกฎหมายทางทะเล ในการประชุมกฏหมายน่านน้ำทะเล ภายห้องประชุมเล็กของสหประชาชาติ
ปวรรุจ ท่านทูตพลเทพ ภาณุทัศนัย และคณะข้าราชการจากไทย ถ่ายภาพร่วมกัน เป็นที่ระลึก
การประชุมเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่นท่านทูตพลเทพและคณะผู้แทนจากรัฐบาลไทย กำลังทยอยออกจากห้อง มีฝรั่งด้วย เสียงพูด เสียงคุยปนกับเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ
ภาณุทัศนัยจะตามออกไป แต่เหลือบเห็นปวรรุจและทีมงานที่เหลืออีกสี่ห้าคนกำลังเก็บเอกสารอยู่ มีปรีชาและแขเลขาภาณุทัศนัยอยู่ในกลุ่มด้วย ภาณุทัศนัยเดินตรงมาหาปวรรุจ ยิ้มหยันกวนโทสะ
“อีกสองอาทิตย์การประชุมก็จะเสร็จสิ้น หวังว่ากลับพระนครคราวนี้ นายคงไม่ก่อเรื่องให้หญิงแต้วไม่สบายใจอีกนะ”
“กระหม่อมไม่ทราบว่าได้ก่อเรื่องให้ ท่านหญิงวรรณรสาไม่สบายพระทัยเรื่องอันใดกระหม่อม” ปวรรุจตอบเรียบๆ
ภาณุทัศนัยกระซิบ “ไม่ต้องมาทำปากดี แกตั้งใจแย่งคู่หมั้นของฉัน”
“หามิได้กระหม่อม ในยามที่ท่านหญิงร่วมเดินทางไปกับกระหม่อมนั้น ในความรับรู้ของกระหม่อม ท่านหญิงคือ คุณรสา แซ่ฮ้อ มีคู่หมั้นคู่หมายชื่อ เฮียเพ้ง เป็นเอเยนต์นำเข้านาฬิกาสวิต”
“ท่านหญิงบอกแกอย่างนั้นเหรอ”
“คุณรสาบอกด้วยว่า เฮียเพ้งเป็นชายมากรัก คบหญิงฝรั่งและคนไทยพร้อมๆ กัน ที่บอกว่ารักเธอคนเดียวเป็นการโกหกทั้งเพ เมื่อกลับพระนครเธอจะบอกทางบ้านให้ถอนหมั้นทันที”
คำพูดดังกล่าวทำเอาชายทัศน์หน้าแดงด้วยความโกรธ ปรีชา แขและกลุ่มทีมงานหันมามองเป็นตาเดียว
“เพราะฉะนั้นฝ่าบาทไม่ทรงมีสิทธิ์กล่าวหากระหม่อมไม่ว่าคดีใดๆ”
ภาณุทัศนัยโกรธตัวสั่น กวาดตามองไปยังข้าราชการไทยที่มองมา ปรีชา แขและทุกคน
หลบตาวูบ ชายทัศน์กระแทกโต๊ะเสียงลั่นก่อนออกจากห้อง ปวรรุจถอนหายใจอย่างเหนื่อย
หน่าย ทรุดลงนั่งช้าๆ สีหน้าทุกข์ตรม ปรีชาและแขเข้ามาหาปวรรุจ
“คุณชายครับ...มีอะไรให้ช่วยไหม” ปรีชาถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ขอผมพักสักครู่”
“ครับ”
“เดี๋ยวแขเอาน้ำมาให้นะคะ”
แขรีบไปหาน้ำ ปรีชากลับไปที่กลุ่ม แต่ยังเหลียวมองมายังปวรรุจอย่างป็นห่วง
อีกสามสี่วันต่อมา ช่วงพักจากการประชุมประมาณสามวันสุดสัปดาห์ ปวรรุจกลับมาที่เบิร์น และกำลังนั่งจิบกาแฟหน้าตายังซึมเศร้าต่อเนื่อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญ”
ปกรณ์เดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาในห้อง
“ไง...ไอ้คุณชาย วันนี้อากาศดี แกกับฉันจะต้องทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี พาแขกของเราไปเที่ยวในเมืองกันหน่อย”
ปวรรุจฉงน “แขกที่ไหน”
“รออยู่นอกห้องแล้ว”
ปวรรุจเหลียวไปมองประตูที่ยังเปิดอยู่ ร่างของ ธราธรและระวีรำไพ หรือ มะปรางโผล่เข้ามา
“พี่ชายใหญ่ น้องมะปราง
ปวรรุจยกมือสวัสดีชายใหญ่ ระวีรำไพไหว้ชายรุจ ปวรรุจมองหน้าธราธรแล้วโผเข้ากอดธราธรทันที ธราธรตบบ่าชายรุจถามเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใย
“เป็นไงบ้าง ชายรุจ”
“ผมต้องถามพี่ชายมากกว่า เป็นอย่างไรบ้าง น้องมะปรางล่ะ ไหนว่าจะมาถึงพรุ่งนี้ไง”
“น้องมะปรางเขาอยากมาสวิตเร็วๆ น่ะ”
“พี่ชายใหญ่มาไม่กี่วัน พาเที่ยวจนมะปรางไม่อยากกลับไปเรียนต่อเลยค่ะ อยากตามกลับเมืองไทยไปพร้อมกันเลย” ระวีรำไพเย้า
“แน่ะ พูดอย่างนี้ได้ยังไงน้องปราง แก่นใหญ่แล้วนะเรา”
“ไม่น่าแปลกหรอกครับ มาอยู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ ใครก็อยากกลับบ้านทั้งนั้น ผมเองยังอยากกลับแทบแย่”
น้ำเสียงตอนท้ายของปวรรุจ ดูสลดอย่างเห็นได้ชัด ธราธรสังเกตเห็น
“พี่ชายใหญ่ อย่าลืมถามพี่ชายรุจเรื่องสาวคนนั้นด้วยนะคะ ที่ว่าชื่อ รสาน่ะ”
ระวีรำไพพูดจบ ปวรรุจเจื่อนไปทันที
ธราธรแน่ใจแล้วว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้น บรรยากาศดูเงียบงันกันไปหมด ปกรณ์รีบพูดขึ้น
“เออ....ผมว่าเราไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านผมก่อนดีกว่านะครับ คุณมะปรางเราล่วงหน้ากันไปก่อนดีไหม”
ธราธรพยักหน้าอนุญาต “มะปรางไปเถอะ”
ระวีรำไพเจื่อนไป “ได้ค่ะ ร้านอยู่ไกลไหมคะคุณปกรณ์”
“เดินไปที่สี่แยกหอนาฬิกา แล้วเลี้ยวไปอีกนิดเดียวก็ถึงร้านผมแล้ว เชิญครับ”
ปกรณ์พาระวีรำไพออกไปแล้ว ธราธรลงนั่งที่โต๊ะทำงาน ปวรรุจหยิบเครื่องดื่มจากชั้นมาเสิร์ฟ
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า ชายรุจ”
ปวรรุจยิ้มเศร้าขณะบอก “ผมอกหักเป็นครั้งที่สองแล้วละครับ น่าตลกจริงๆ มาสวิตครั้งนี้ ได้หายสนิทจากอกหักครั้งแรก แต่แล้วก็ได้อกหักครั้งที่สองพร้อมกันเลย”
“อยากเล่าไหมชายรุจ”
“ผมไม่ขอพูดถึงรายละเอียดละนะครับ คงต้องขอเวลา อาจจะสักเดือนหรือสองเดือน หรือไม่ก็...ไม่อยากพูดถึงมันอีกเลย”
ปวรรุจพูดได้เท่านั้นก็รู้สึกจุกขึ้นมาที่อก แล้วพูดไม่ออกอีก ลุกจากโต๊ะไปยืนที่หน้าต่าง
พยายามซ่อนหน้าหนีน้ำตาที่ไหลเอ่อจากขอบตาลงมาอาบหน้า ธราธรตามมา ตบบ่าน้องชาย
“ผมคงมีกรรมเรื่องของความรัก ดีแล้วละครับ กลับไปกรุงเทพฯ ผมจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คุณย่าเลือกให้เสียที วาสนาผมคงมีได้แค่นี้”
พูดเท่านั้นปวรรุจก็สะอื้นออกมา ธราธรดึงน้องชายหันมา แล้วโอบกอดไว้ ปวรรุจซบหน้าลงกับไหล่ธราธร แล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ธราธรพลอยสลดหดหู่ไปด้วย
ขณะเดียวกันเป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็ยกว่าๆ วรรณรสา และแฝดเพื่อนซี้ นั่งทานชาและของว่าง อยู่ในสวนสวนวังอรุณรัศมิ์
“คุณชายยังไม่ตอบมาอีกเหรอคะท่านหญิง” เอื้อยถาม
“มีแต่จดหมายของพี่ชายทัศน์ หญิงไม่อยากอ่านเลยด้วยซ้ำ แล้วคุณปกรณ์เล่าเรื่องทางคุณชายว่าอย่างไรบ้าง”
อ้ายและเอื้อยมองหน้ากัน สีหน้ากระอักกระอ่วน
“มีอะไรเหรอ บอกมาเถอะ” วรรณรสาถาม
“คุณปกรณ์เองก็ถูกสั่งไม่ให้บอกเรื่องคุณชายให้ท่านหญิงรับทราบ” อ้ายบอก
สีหน้าวรรณรสาสลดลง “ใจร้ายที่สุด”
“ท่านหญิงคะ อย่าเพิ่งท้อใจเลยค่ะ เรายังมีทางออกนะคะ” เอื้อยว่า
“ทางออกยังไง”
“เมื่อเราสืบจากทางเจ้าตัวไม่ได้ ก็ต้องสืบจากทางพี่น้องจุฑาเทพนั่นแหละค่ะ”
วรรณรสายิ่งงง อ้าย และเอื้อยมองหน้ากันแล้วอมยิ้มอย่างมีแผน
อีกฟากโลก เวลาประมาณเที่ยง ปวรรุจ ธราธร ระวีรำไพ ปกรณ์ทานอาหารเที่ยงร่วมกัน ปวรรุจพยายามทำตัวปรกติ แต่ก็ดูขรึมไป
“เย็นนี้ เราจะเดินทางต่อไปอินเตอร์ลาเคน จะขึ้นยอดจุงเฟราวันรุ่งขึ้น แล้วเดินทางไปอิตาลีต่อ”
“อยากให้พี่ชายรุจไปด้วยกันจังเลย” ระวีรำไพว่า
“ไม่ดีมั้ง”
“อ้าว ทำไมไม่ดีละครับ” ปกรณ์แปลกใจ
“งานนี้ควรจะเป็นการเที่ยวของคนแค่สองคนไง”
“พี่ชายใหญ่ พูดอะไร มะปรางอายนะ”
ระวีรำไพค้อนนิดๆ แล้วกระแทกสีข้างธราธรเบาๆ ปวรรุจและปกรณ์หัวเราะ ปวรรุจรู้สึกยินดีที่พี่ชายและคู่หมั้นมีความสุข
“สวยไหมคะ ยอดจุงเฟรา พี่ชายรุจ” ระวีรำไพซัก
“สวยซี สวยมาก”
“เห็นว่ามีรูปปั้นน้ำแข็ง ใครไปโยนเหรียญด้วยกัน จะได้กลับมาเยือนยอดจุงเฟราอีกครั้ง”
ปวรรุจสลดไปทันที เมื่อเห็นภาพจำวรรณรสาและตนกำลังโยนเหรียญผุดขึ้นในมโน
“เราต้องไปโยนเหรียญด้วยกันนะคะพี่ชายใหญ่” ระวีรำไพระรื่น
ปวรรุจยิ้มเศร้า
“เออ...ผมขอตัวสักครู่”
ปวรรุจลุกจะไปทางห้องน้ำ วรัทเข้ามาในร้านพอดี
“คุณชายครับ มีจดหมายครับ ฝากไว้ที่ห้องพัก ผมผ่านไปพอดีเลยเก็บมาให้”
ปวรรุจรับมาเห็นจ่าหน้าซองถึงตน แต่จ่าหน้าซองที่อยู่ในอพาร์ทเมนท์ของปกรณ์ และจำได้ว่าเป็นลายมือของวรรณรสา
“เก็บไว้เถอะ ถ้ามีจดหมายลายมือนี้ส่งมาอีก ไม่ต้องเอามาให้ฉัน จะทิ้งไปเลยก็ได้”
พูดแล้วปวรรุจก็แยกไป วรัทอึ้ง ปกรณ์เข้ามาสมทบ วรัทถามหารือ
“เอาไงดีครับ คุณชายไม่รับจดหมายจากท่านหญิงเลย”
ธราธรและระวีรำไพได้ยินถนัดหู
“ฉันเก็บไว้ก่อน” ปกรณ์บอก
“ครับ”
วรัทแยกไปทางครัว ปกรณ์กลับมานั่ง
“ขอผมดูหน่อยได้ไหม” ธราธรเอ่ยขึ้น
ปกรณ์ส่งจดหมายให้ ธราธรและระวีรำไพดูจ่าหน้าจดหมาย
“รสา...อรุณรัศมิ์” ธราธรอ่านทวน
“วังอรุณรัศม์?....รสาคนนี้เป็นใครคะ” ระวีรำไพฉงน
“คุณต้องเล่าเรื่องของรสาคนนี้ให้เราฟังแล้วละ ถ้าหากว่าเธอคือ ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์”
ปกรณ์ถอนใจเฮือก เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด
สองวันต่อมา ที่ห้องใต้โดม วังจุฑาเทพ ตอนกลางวันพุฒิภัทรคะยั้นคะยอ รณพีร์ และรัชชานนท์
“งานนี้นายต้องไป นายสองคนต้องเป็นตัวแทนของพี่ชายใหญ่” พุฒิภัทว่า
“งานการกุศลอีกแล้ว น่าเบื่อนะครับพี่ชายภัทร” รัชชานนท์อิดออด
“แล้วต้องควงน้องรัมภาไปด้วย นี่แหละน่าเบื่อที่สุด” รณพีร์ส่ายหน้า
“เฮ้อ...ฉันเห็นด้วยกับนายตรงนี้แหละ เพราะฉันเองก็ต้องควงน้องมารตีเหมือนกัน นี่แหละฉันถึงต้องชวนนายไปด้วยไง”
“พี่ชายภัทร อย่าบอกนะให้ผมไปเป็นคู่ควงของมารตีแทนพี่” รณพีร์โวย
“ช่วยฉันหน่อยน่า อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้มารตีมาเกาะฉันแจอย่างงานคราวก่อน”
“ก็ได้ครับ จะพยายามช่วย แต่งานนี้พี่ต้องแนะนำสาวๆ สวยในงานให้ผมรู้จักบ้างนะ” รัชชานนท์ยิ้มย่อง
“ผมด้วย พยาบาล ลูกศิษย์สาวๆ น่ะครับ เห็นสวยๆ ทั้งนั้น” รณพีร์เอาด้วย
ชายภัทรยิ้มส่ายหน้า
ด้านมารตีและวิไลรัมภากำลังลองชุดอยู่หน้ากระจก
“งานการกุศลที่โรงพยาบาลคราวนี้ พี่ว่าแพรต่วนสีแดงนี่จะทำให้พี่โดดเด่นที่สุดในงานเลยนะ”
“แหม...พี่มารตีคะ จะเอาเด่นเสียคนเดียวเลยหรือไง รัมภาว่าชุดไหมสีเงินของรัมภาก็โดดเด่นไม่แพ้ใครนะคะ”
“เหรอ แค่นึกภาพนะว่าพี่ควงไปกับใคร…คุณชายพุฒิภัทร คุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งของประเทศ เราทั้งคู่จะต้องโดดเด่นที่สุดในงาน เห็นว่าโทรทัศน์ก็มาทำข่าวด้วยนะ” มารตีระรื่น
“อุ๊ย...งั้นน้องขอยอมแพ้ค่ะ เชิญคุณพี่กับพี่ชายหมอโดดเด่นกันให้พอ พี่คะ...พูดถึงเรื่องงาน รัมภายังฉุนคุณพ่อไม่หาย”
“ทำไมเหรอ”
“คุณพ่อน่ะจะให้นังกระถินไปร่วมงานด้วยน่ะซีคะ บอกให้พี่ชินกรควงยายกระถินไป ดีนะที่พี่เกษไม่เห็นด้วย เลยล้มเลิกความตั้งใจ ไม่งั้นพวกเราขายขี้หน้าเขาแย่”
“พูดเรื่องนังกระถิน พี่มาคิดๆ ดูแล้วนะ ที่จริงเราไม่น่าไปขัดขวางความรักของมันกับไอ้โจรป่านั่นเลย”
“ทำไมละคะพี่มารตี แกล้งให้มันเจ็บเพราะถูกพรากรัก ไม่สะใจกว่าหรือคะ”
“อย่าคิดแค่เรื่องสะใจซี ยิ่งนังกระถินสมรักกับไอ้โจรมากเท่าไหร่ แผนของเราก็ยิ่งใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น”
วิไลรัมภายิ่งงง “ซับซ้อนยุ่งยากค่ะพี่มารตี อธิบายง่ายๆ ได้ไหมคะ”
“เฮ้อ...เธอนี่ ก็แผนของเราไม่ต้องการให้มันได้แต่งกับคุณชายรุจ ไม่ใช่เหรอ เราก็จัดการก็ให้มันได้ใกล้ชิดไอ้โจรให้มากที่สุดไง เผื่อมันเกิดเสียเนื้อเสียตัว เราก็ประจานได้ทันที แผนแต่งคุณชายรุจก็ล้มครืนก็เท่านั้น” มารตีว่า
“แหม...แค่คิดก็สนุกแล้วค่ะ” วิไลรัมภายิ้มร้าย
สองสาวแสบหัวเราะระรื่นให้กัน
วรรณรสาทานกลางวันกับเสด็จพ่ออย่างเงียบๆ คิดแผนการเจรจาแล้วถามขึ้น
“คืนพรุ่งนี้ เด็จพ่อจะเด็จงานการกุศลที่โรงพยาบาลหรือเพคะ”
ฉัตรอรุณเสียงเครียด “ใช่....มีอะไรเหรอหญิงแต้ว”
“เด็จพ่อยังไม่หายกริ้วหญิง”
ฉัตรอรุณไม่ตอบ ทำหน้าเฉย
“หญิงทำตัวดีมาร่วมเดือนแล้ว เด็จพ่อยังกริ้วหญิงได้ลงคอหรือเพคะ”
“ถ้าทำตัวดีจริง พ่อก็ไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ”
“ถ้าอย่างนั้น วันนั้นขอให้เป็นวันพ้นทัณฑ์บนนะเพคะ”
“หืมม์....ทำไมล่ะ” องค์ฉัตรฉงน
วรรณรสายิ้มเขิน “คืนนี้ หญิงอยากไปงานกับเด็จพ่อด้วยเพคะ”
“ว่าไงนะ พ่อฟังผิดไปรึเปล่า ปรกติ ลูกไม่เคยสนใจงานประเภทนี้เลยไม่ใช่เหรอ ชวนไปทีไร บอกเหมือนเดิมทุกที...ไม่อยากใส่หน้ากาก”
“แหม...ก็หญิงถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านนานเสียจนเบื่อ เลยอยากออกข้างนอกบ้าง อีกอย่างงานนี้เป็นงานการกุศล ซื้อเครื่องมือแพทย์ หญิงก็เลยอยากไป แล้วอีกอย่าง...หญิงอยากดูเด็จพ่อทรงร้องเพลงด้วยเพคะ”
ฉัตรอรุณยิ้มออกมาได้
“เอาละ พ่ออนุญาต แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เราต้องไปโชว์สีไวโอลินในงานด้วย ตกลงไหม”
“ตกลงเพคะ”
วรรณรสายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ประจบเอาใจบิดา
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ขณะที่เกษราเดินผ่านห้องครัววังเทวพรหม ได้ยินเสียงพูดคุยของกระถินและคล้าว เกษรามองเข้าไป เห็นคล้าวเปลือยท่อนบน กระถินกำลังทายาให้ที่ไหล่และที่หลัง
“ดูซิ เป็นตุ่มแดงไปหมดเลย”
“ที่วัดมันไม่มีมุ้งน่ะ พี่ก็เลยต้องนอนตากยุง ยุงมันก็หามเอาแบบนี้แหละ”
“ไม่ได้นะพี่คล้าว เดี๋ยวเป็นไข้จับสั่นเอานะ เดี๋ยวเอามุ้งที่บ้านเราไป”
เกษราเข้ามาแสดงตัวทันที
“นายคล้าว กระถิน ใครอนุญาตให้นายคล้าวเข้ามาในบ้าน”
กระถิน และคล้าวอึ้งไป
“คุณกระตี๊ กับคุณลำพองค่ะ ให้ลุงสมหวังไปตามพี่คล้าวมา”
“ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตให้นายคล้าวเข้ามา นี่มันยังไงกัน นายคล้าวกินข้าวเสร็จรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
กระถินขอร้อง “คุณเกษขา พรุ่งนี้พระเขาก็ไม่ให้พี่คล้าวนอนที่วัดแล้ว พี่คล้าวจะไปนอนที่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอก นอนที่เพิงหรือศาลาท่ารถก็ได้” คล้าวบอก
“ได้ยังไง เท่านี้ยุงก็หามไปทั้งตัว”
เกษราพูดไม่ออก ทั้งเห็นใจ ทั้งกลัวเทวพันธ์
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวรอฉันก่อน อย่าเพิ่งกลับนะ”
เกษราออกจากห้อง สวนกับสมหวังพอดี เกษราส่ายหน้าระอาใจ
“คุณเกษว่าไงวะ” สมหวังถามกระถิน
“ไม่ว่าอะไรลุงหรอก”
“แล้วไป เฮ้ย ไอ้คล้าว แกผสมปูนเป็นไหมวะ”
“งานถนัดฉันเลยลุง”
“ดี ดี งั้นไปช่วยซ่อมรั้วให้หน่อย”
เกษราเดินหน้าเครียดมาหามารตีและวิไลรัมภาที่นั่งอ่านหนังสือแฟชั่น และดารา จิบเครื่องดื่มอยู่ที่ศาลากลางสวน
“เธอสองคนให้สมหวังไปตามนายคล้าวมาที่บ้านใช่ไหม”
“ค่ะ ทำไมคะ” มารตียอมรับ
“คุณพ่อสั่งห้ามแล้ว ทำไมยังกล้าขัดคำสั่งคุณพ่อ”
“แหม....พี่เกษ เราก็เข้าใจหัวอกคนมีความรัก เราจะไม่ขัดขวางความรักของน้องกระถินกับนายคล้าวหรอกค่ะ”
มารตีพูดจบวิไลรัมภาก็รีบผสมโรง เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“คนเขารักกัน เขาก็ต้องลักลอบพบกันบ้าง”
“พี่รู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่อย่าหวังเลยว่าแผนของเธอจะสำเร็จ”
“ทำไมเหรอคะพี่เกษจะแก้เกมสงครามครั้งนี้ยังไง” มารตีท้าทาย
เกษราเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ
รถของเทวพันธ์ขับเข้ามาจอดในวัง เห็นว่าสมหวังและคล้าวกำลังผสมปูนอยู่ที่ประตูรั้ว กระถินยืนเตรียมขันน้ำไว้ให้ ทั้งสามสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย ไอ้คล้าว แกรีบหลบไปก่อน” สมหวังรีบบอก
“หลบก็ไม่ทันแล้ว นั่นใครเหรอ” คล้าวถามซื่อๆ
กระถินบอก “คุณลุงเทวพันธ์จ้ะพี่ เจ้าของวัง คนนี้แหละที่ห้ามพี่มาหาฉัน”
เทวพันธ์ลงจากรถ แล้วเดินมาหาคล้าวและกระถิน สีหน้าเครียด
“ยายกระถิน”
“ขา”
“แกมายืนทำอะไรตรงนี้”
เทวพันธ์มองหน้าคล้าวเขม็ง คล้าวยกมือไหว้ แต่ท่าทางยังองอาจ ไม่กลัวสักนิด สมหวังหน้าซีด เทวพันธ์เสียงกร้าว
“แล้วนี่ใคร”
“เออ...คือ” กระถินอึกอัก
“ฉันมาช่วยลุงสมหวังซ่อมรั้วน่ะ” คล้าวบอก
แย้มกับแหววเดินออกมาจากตึก ชะงักกันทั้งคู่
“อกอีแป้น แหวว แกรีบไปรายงานคุณเกษ บอกว่าคุณชายเจอไอ้คล้าวเข้าแล้ว งานนี้โดนเฆี่ยนหลังลายแน่ๆ”
แหววรีบวิ่งไป
แหววรีบวิ่งมาหาเกษราตรงศาลา จดๆ จ้องๆ เพราะเกษรายังต่อปากกับน้องสาวอยู่
“ฉันจะรายงานคุณพ่อว่าเธอสองคนคิดแผนการร้ายอะไรอยู่ กระถินเพิ่งอายุ 17 เองนะ แกยังไม่ประสีประสาเรื่องพวกนี้”
“น้อยไปซีคะพี่เกษ ดูซีคะ แค่ไอ้โจรมันเข้าบ้านมา ก็ไปขลุกกับมันในครัว ไม่โผล่หัวออกมาเลย”
มารตีแดกดัน วิไลรัมภาปิดปากหัวเราะ
“เด็กบ้านนอกอย่างมันน่ คงเสียเนื้อเสียตัวตามป่าตามเขาไปนานแล้วละค่ะ” มารตีบอกอีก
เกษราฉุน “นี่เธอพูดอะไรระวังปากหน่อยนะ”
แหววตัดสินใจเข้าหาเกษรา
“คุณเกษคะ” ดึงเกษราออกห่าง แล้วกระซิบ “เรื่องใหญ่แล้วค่ะ รีบไป หน้าบ้านด่วนเลย”
แหววรีบดึงเกษราออกจากศาลา
“อะไรของเขาคะ”
“อย่าไปสนเลย มาสนเรื่องชุดของคืนพรุ่งนี้ดีกว่า นี่ชุดนี้ของลิซ เทย์เลอร์ สวยบาดจิตบาดใจ ต้องสั่งตัดบ้างแล้วละ”
เกษราและแหวววิ่งมาหน้าบ้าน เข้ามาสมทบกับแย้ม เห็นเทวพันธ์ยืนคุยกับคล้าว กระถิน และสมหวังอยู่
“ว้ายตายแล้ว คุณพ่อ”
เทวพันธ์ยังเอะอะเอ็ดตะโรเสียงลั่น
“ไม่เห็นมีใครบอกฉันสักคนว่าจะซ่อมรั้ว”
เกษรารีบเข้าสมทบ
“คุณพ่อคะ เกษให้ลุงสมหวังซ่อมเองละค่ะ”
“แล้วทำไมต้องจ้างคนอื่นมาซ่อม”
เกษรามองหน้ากระถิน นายคล้าว เห็นว่าเข้าทางเลยรีบพูด
“เห็นงานมันเยอะ ก็เลยจ้างมา”
“มันสิ้นเปลือง”
คล้าวรีบพูด “ที่จริงฉันก็ทำให้ไม่คิดค่าแรงน่ะจ้ะนาย”
เทวพันธ์งง “อะไรนะ ซ่อมฟรีไม่คิดค่าแรงเหรอ”
“ค่ะ ซ่อมฟรีค่ะ”
เทวพันธ์ฉงน “เอ๊ะ...มาจากไหนวะ อยู่ดีๆ ก็มาช่วยงานให้ฟรีๆ”
“เออ...คือ” สมหวังอึกอัก คล้าวรีบแก้สถานการณ์
“ฉันเป็นญาติกับลุงเขา อยากมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็เลยมาขอข้าวกิน แล้วทำงานแลกน่ะจ๊ะ”
กระถินลุ้นเต็มที่
“งั้นเหรอ คนใต้นี่” เทวพันธ์ฟังสำเนียงออก
“ใช่ ฉันคนใต้” คล้าวรับ
“นายสมหวัง ฝีมือดีไหมวะ”
สมหวังอึกอักอยู่อย่างเก่า กระถินมองหน้าสมหวัง แล้วรีบตอบแทน
“ดีค่ะ โบกปูน ฉาบปูน ทาสี งานช่างพี่เขาทำได้หมด”
“แล้วแกไปรู้ได้ไงนังกระถิน”
“ก็...พี่เขามาช่วยซ่อมอยู่สองวันแล้ว”
เกษรา แย้ม และแหวว ตะลึงไป เทวพันธ์เปลี่ยนท่าที
“เออ ดีเว๊ย งั้นขอดูงานก่อน ถ้าฝีมือดีจริง จะเหมาจ้างซ่อมตึกเสียเลย จะให้ปูพื้นกระเบื้องหน่อย”
“ได้จ้ะนาย” คล้าวดีใจ
“ชื่ออะไรล่ะ”
ทุกคนกลั้นใจว่านายคล้าวจะตอบว่าอะไร
“ฉันชื่อจริงชื่อ ลือชัย” คล้าวบอกออกไป
“ชื่อคล้ายพระเอกตุ๊กตาทองเลยนะ ดี ดี”
“แต่ถ้างานเยอะ ก็ลำบากหน่อยนะเรื่องเดินทาง เพราะฉันอยู่ไกลตั้งปากน้ำแน่ะนาย”
“อ้าว ไม่มีที่อยู่แถวนี้เหรอ”
“ไม่มีหรอกนาย”
“อ้าว งั้นก็อยู่เสียที่นี่เลยซี นอนห้องนายสมหวังก็ได้นี่”
กระถินยิ้มร่า เกษรา แย้ม แหวว และสมหวังตะลึง คาดไม่ถึง
“แหม...นายอำนวยความสะดวกให้อย่างนี้ ฉันก็สบายใจ”
“เอ้า ทำงานให้ดีๆ ก็แล้วกัน ยายเกษ”
เกษราเข้ามา “คะ”
“ดูแลลือชัยด้วย ให้พักที่วังเรานี่แหละ” เทวพันธ์กระซิบ “แต่อย่าให้มาทำรุ่มร่ามที่ตึกใหญ่นะ”
“ค่ะคุณพ่อ”
“ดูราคาให้ดีๆ ด้วย อย่าให้มันโก่งราคาเราได้ อ้อ ลือชัย ต่อไปอย่าเรียกฉันว่า “นาย” เฉยๆ นะ ให้เรียกว่า “ท่าน” เพราะฉันคือ หม่อมราชวงศ์ เทวพันธ์ เทวพรหม เจ้าของวังนี้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจจ้ะท่าน”
“เอ๊ะ ยายกระถิน ยิ้มร่าเชียว พอเห็นเป็นหนุ่มใต้เข้าหน่อย เข้ามาระริกระรี้”
“กระถินเปล่านะคะ”
“คงคิดถึงแฟนแกละซี...ฉันออกคำสั่งห้ามแล้วนะ ห้ามไม่ให้ไอ้โจรห้าร้อยนั่นมันเข้ามาเพ่นพ่านในวัง ไม่งั้นฉันเฆี่ยนแกหลังลาย”
“ค่ะ คุณลุง”
“เอ๊ะ ไอ้โจรแฟนแกมันชื่ออะไรนะ”
“พี่คล้าวค่ะ”
คล้าวกลืนน้ำลายเอี๊อก
“นั่นแหละ ไอ้คล้าวนี่แหละ ห้ามเข้ามาเด็ดขาด”
เทวพันธ์มองอย่างปรามๆ แล้วหันมายิ้ม ตบไหล่กับลือชัย คล้าวยิ้มรับทันที เทวพันธ์แยก
เข้าตึกไป แย้ม แหวว สมหวังถอนใจเฮือก ใจหายใจคว่ำ
กระถินถามอย่างดีใจ “คุณเกษ ตกลงพี่คล้าวได้อยู่ที่นี่นะคะ”
“ก็ต้องอย่างนั้นแหละจ้ะ คุณพ่ออนุญาตแล้วนี่ แต่อย่าลืมนะคุณพ่อ อนุญาตนายลือชัย ไม่ใช่นายคล้าว”
ทุกคนหัวเราะออกมาได้
กระถินกอดแขนคล้าว “ดีใจจังเลยพี่คล้าว พี่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวเย็นนี้ทำผัดสะตอให้กิน”
“กระถิน ถอยออกมา จะไปจับมือถือแขนพี่เขาอย่างนั้นไม่ได้ ต่อไปนี้ก็ต้องสำรวมกว่าเดิมด้วย นายคล้าวก็เหมือนกันนะ” เกษรากำชับ
“จ้ะ” คล้าวซึ่งบัดนี้มีนามใหม่ว่า ลือชัย รับปาก
“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ก็เรียกคล้าวอย่างเดิมไม่ได้แล้วซี ต้องเรียกลือชัยห้ามเรียก คล้าว เด็ดขาด เดี๋ยวความแตกเข้าใจมั้ย” แย้มกำชับ
ทั้งหมดหัวเราะออกมา กระถินยิ้มกับคล้าว เกษรายิ้มขำพลางส่ายหน้า
ถึงวันงานเลี้ยงของโรงพยาบาล ซึ่งจัดขึ้นในกลางคืน แลเห็นแขกเหรื่อทยอยลงจากรถ ไฟประดับพราวทั่วตึกประชุมใหญ่
นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงอยู่ที่มุมโถง บรรดาแขกเหรื่อผู้ดีไฮโซกำลังสนทนากันอย่างออกรส พระองค์เจ้าฉัตรอรุณอยู่ในกลุ่มด้วย ส่วนกลุ่มพุฒิภัทรที่ควงคู่มากับมารตี รณพีร์ควงวิไลรัมภา และรัชชานนท์บินเดี่ยว ออกอาการเนื้อเต้นมองสาวๆ ในงาน
“พี่ชายภัทร สาวๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ”
“คุณชายเล็กคะ....มองแต่สาวๆ นะคะ เดี๋ยวเถอะจะรายงานน้องศินีนุชที่ปีนัง” มารตีเย้า
“โธ่ น้องมารตีครับ น้องนุชน่ะเคยเห็นกันแค่ตอนเด็กๆ โตมายังไม่เคยเจอหน้ากันเลย น้องนุชคงไม่ว่าอะไรหรอกครับ”
“เมื่อไหร่เขาจะเปิดฟลอร์เสียทีละคะ รัมภาอยากเต้นรำเต็มทีแล้ว”
“เห็นว่าพระองค์เจ้าฉัตรอรุณจะทรงร้องเพลงเปิดฟลอร์” ชายภัทรว่า
ชายพีร์ถาม “คนไหนเหรอครับ”
“นั่นไง ประทับอยู่ตรงนั้น งานนี้นอกจากทรงร้องเพลงแล้ว ยังทรงบริจาคเงินป็นหลักหมื่นเลยนะ” พุฒิภัทรบุ้ยใบ้ไป
ทั้งห้าคนหันไปมองทางพระองค์ฉัตร รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
“ผมยังจำได้นะครับ สมัยเราเด็กๆ เราเคยไปเล่นที่วังอรุณรัศมิ์ของท่าน อยู่บ่อยๆ”
“จำได้ลางๆ แฮะ” รณพีร์ว่า
“ใช่ ใช่ มีหม่อมเจ้าหญิงองค์เล็ก พระธิดาของพระองค์ท่าน ชื่ออะไรนะ...” พุฒิภัทรบอก
มารตีตอบให้ “หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสารึเปล่าคะ”
ชายภัทร พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าเจริญชนม์โตขึ้น ท่านทรงหน้าตาเป็นอย่างไร”
“เขาลือว่าสวยมากค่ะ” มารตีบอก
วิไลรัมภาเสริม “เห็นว่าเด็จมาในงานด้วยนี่คะ”
ทั้งห้ามองไปรอบๆ
อีกมุมหนึ่งของงาน วรรณรสา อ้ายและเอื้อย หรูหราเฉิดฉายอยู่ในชุดราตรี ยืนแอบมองไปยังกลุ่มของพุฒิภัทร
“นั่นไงคะท่านหญิง คุณชายหมอพุฒิภัทร อุ๊ย คืนนี้มากันสามคุณชายเลย”
“ใครเป็นใครกันบ้างล่ะ” วรรณรสาถาม
“คนใส่แว่น หน้าตี๋ๆ คือคุณชายหมอ คุณชายพุฒิภัทรค่ะ คนหน้าเข้มสูงๆ นั่นคือคุณชายรัชชานนท์ และหน้ายาวๆ นั่นคุณชายคนสุดท้อง คุณชายรณพีร์ค่ะ”
“ที่จะให้รสาไปพูดด้วยคือคุณชายหมอใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ เห็นว่าเป็นคนที่สนิทและใกล้ชิดที่สุดของคุณชายปวรรุจ” อ้ายบอก
“แล้วเขาจะพูดกับรสาเหรอ ท่าทางเคร่งจัง”
“เท่าที่สืบมาคุณชายหมอใจดีมากค่ะ เป็นที่รักของนักเรียนและคนไข้ทุกคนเลยค่ะ” เอื้อยว่า
“แล้วรสาจะเข้าไปพูดยังไงดี”
“ต้องรอจังหวะค่ะท่านหญิง” อ้ายบอก
ระหว่างนั้นนักดนตรีเปลี่ยนจังหวะเพลง พร้อมไฟในงานเปลี่ยนดับลง พิธีกรชายก้าวขึ้นประกาศ
“และต่อไปนี้เชิญหนุ่มๆ สาวๆ เปิดฟลอร์ลีลาศกันเลยครับ ด้วยเพลงเพราะๆ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกเราจะได้รับฟัง สุรเสียงสวรรค์ราวขยี้ฟองอากาศของพระองค์เจ้าฉัตรอรุณ อรุณรัศมิ์ จะทรงขับร้องด้วยบทเพลง....”
เสียงปรบมือกราว พระองค์ฉัตรเสด็จประทับที่กลางเวที แล้วเริ่มครวญเพลงไพเราะ แขกในงานทยอยกันออกมาจับคู่เต้นรำ
ทางกลุ่มพุฒิภัทรก็เช่นกัน
“พี่ชายหมอขา ออกไปลีลาศกันเถอะค่ะ เพลงเพราะเหลือเกิน”
ชายภัทรบอกอย่างหน่ายๆ “ครับ เชิญครับน้องมารตี”
พุฒิภัทรจับมือมารตี ออกไปเต้นกลางฟลอร์
“แล้วพี่ชายพีร์ไม่อยากเต้นรำบ้างเหรอคะ” วิไลรัมภาชวน
“ไม่....เออ...ก็เต้นก็ได้ครับ”
ชายพีร์เหลือบมองชายเล็กที่ยักคิ้วให้ ขณะพาวิไลรัมภาออกไปเต้นเป็นคู่ต่อไป เหลือรัชชานนท์ที่เดินเลี่ยงไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม
รัชชานนท์เดินมาที่มุมเครื่องดื่ม อ้ายเดินเข้าสั่งเครื่องดื่มบ้าง ทำท่าเซ็กซี่
“มีอะไรดับกระหายบ้างคะ ร้อนจัง”
“น้ำมะเน็ดครับ” คนขายบอก
“แก้วนึงค่ะ”
รัชชานนท์มองอ้าย อ้ายยิ้มให้
“ผมขอน้ำมะเน็ดบ้างซีครับ”
“ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์เหรอคะ” อ้ายถาม
“งานการกุศล ของดสักวันครับ”
“ตายละ ไม่อยากเชื่อ ว่าคุณชายรัชชานนท์ จะไม่ดื่มเครื่องดื่มแรงๆ”
รัชชานนท์ฉงน “รู้จักผมด้วย”
“ใครบ้างค่ะที่จะไม่รู้จักห้าสิงห์จุฑาเทพ”
รัชชานนท์รับเครื่องดื่มมา ยิ้มหวาน
“ผมเป็นคนดังขนาดนั้นเชียว”
“ค่ะ และเพื่อนฉันก็อยากรู้จักคุณชายมากด้วย”
“เพื่อนคุณ คนไหนครับ”
“มุมโน้นค่ะ”
รัชชานนท์หันไปมองเห็นวรรณรสา และเอื้อย รัชชานนท์ตาลุก
“โอ้โฮ...สวยจัง อย่างกับเจ้าหญิง”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ เธอเป็นเจ้าหญิงจริงๆ ไปค่ะ ไปรู้จักเพื่อนฉัน”
อ้ายเดินนำ รัชชานนท์ไปหาวรรณรสา และเอื้อย
ครู่ต่อมา รัชชานนท์เดินเข้ามาแล้วคำนับให้สามสาว วรรณรสาและเอื้อยขัดเขิน
“สวัสดีครับ ผมหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์ จุฑาเทพ”
“สวัสดีค่ะคุณชาย” เอื้อยทักตอบ
“กรุณาแนะนำตัวให้ผมได้รู้จักเจ้าหญิงทั้งสามด้วยเถิดครับ”
อ้าย เอื้อยและวรรณรสาหัวเราะคิกคักกัน รัชชานนท์ส่งสายตาเจ้าชู้
ส่วนมารตีและพุฒิภัทรกำลังเต้นกันอยู่กลางฟลอร์ องค์ฉัตรยังครวญเพลงต่อเนื่อง มารตียิ้มหวานเยิ้มเต้นรำกับชายภัทร
“มารตีมีความสุขจังเลยค่ะที่ได้เต้นนำกับพี่ชายหมอคืนนี้”
พุฒิภัทรมองเลยไปที่รัชชานนท์กำลังคุยกับกลุ่มวรรณรสา
“พี่ชายหมอคะ มองอะไร”
“อ๋อ กำลังสงสัยว่าชายเล็กกำลังคุยอะไรกับสาวสวยกลุ่มนั้น”
“แหม....พี่ชายคะ อย่าชมผู้หญิงอื่นว่าสวยต่อหน้ามารตีซีคะ”
พุฒิภัทรมองมารตีอย่างอึดอัด
รัชชานนท์กำลังคุยถูกคอกับสามสาว หัวเราะกันระรื่น
“นี่หนูอ้ายค่ะ นี่หนูเอื้อย คุณชายเรียกผิดคนแล้ว”
“ครับ พยายามจะจำให้ได้นะครับ แต่สำหรับคุณแต้ว คุณคือเจ้าหญิงตัวจริงสำหรับคืนนี้”
“ขอบคุณค่ะ คุณชายช่วยะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“ยินดีทุกเรื่องครับ”
“ฉันอยากเต้นรำค่ะ”
รัชชานนท์ยิ้มร่า อ้ายกะเอื้อย ยิ้มกริ่ม
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
รัชชานนท์ยื่นมือให้ พาวรรณรสาออกไปกลางฟลอร์ทันที
“ขอให้ได้ผลเถอะ” อ้ายเอ่ยขึ้นท่าทีลุ้นๆ
วรรณรสาและรัชชานนท์ออกมาเต้นกลางฟลอร์ เป็นจุดเด่นและกลบรัศมีคู่อื่นๆ ทั้งหมด คู่พุฒิภัทรกับมารตี รณพีร์และรัมภา มองมาอย่างแปลกใจ
“ใครคะ สวยจัง” วิไลรัมภาถาม
“นั่นซีครับ” รณพีร์ก็ทึ่ง
มารตีมองอย่างไม่พอใจนักที่พุฒิภัทรมองวรรณรสาไม่วางตา
“เมื่อไหร่จะเลิกมองแม่สาวคนนั้นเสียทีล่ะคะ”
“ผมกำลังสงสัยว่าเธอเป็นใครกัน”
รัชชานนท์และวรรณรสา เต้นไปคุยกัน
“คุณชายคะ ฉันมีเรื่องสารภาพ”
“เรื่องอะไรครับ อย่าบอกนะว่าคุณอยากเต้นรำกับผมทั้งคืน”
“เปล่าค่ะ แต่...ฉันอยากเต้นรำกับพี่ชายคุณชายมากกว่า”
“หา...อะไรนะครับ คุณอยากเต้นรำกับพี่ชายภัทร”
“ใช่ค่ะ ช่วยหน่อยนะคะ”
รัชชานนท์ครางอย่างเสียหน้า “โธ่ นี่คุณแต้วไม่อยากเต้นกับผมหรอกเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือ...ฉันมีปัญหาสุขภาพอยากปรึกษากับคุณชายหมอน่ะค่ะ ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงค่อนข้างส่วนตัว ช่วยแลกคู่หน่อยนะคะ”
“อ๋อ...งั้นได้ครับ แต่ต้องสัญญานะว่าคุณแต้วจะต้องเต้นกับผมต่อ”
“สัญญาค่ะ”
รัชชานนท์พารสาเต้นมาใกล้คู่ของพุฒิภัทรและมารตี
“โทษนะครับ พี่ชาย น้องมารตีครับ ให้เกียรติพี่หน่อยนะครับ”
“เออ คือ...” มารตีงง
รัชชานนท์ไม่ฟังคำทัดทาน ดึงมารตีแยกไปเต้นด้วยกัน คู่รณพีร์และวิไลรัมภามองงง ๆ
วรรณรสามอง พุฒิภัทรและยิ้มหวานให้ ชายภัทรคำนับนิดหนึ่งและเต้นกับท่านหญิงรสาต่อ อ้าย กะเอื้อยหัวเราะคิกคัก ดีใจมาก
ส่วนมารตีมองอย่างพอใจ
ชายภัทร และท่านหญิงรสา เต้นด้วยกันแยกห่างคู่อื่นๆ ออกมา
พุฒิภัทรทักทายอย่างขรึมๆ “สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ คุณชายหมอ”
“แล้วผมจะเรียกคุณว่าอะไรดี”
“เรียกฉันว่า “รสา” ค่ะ”
พุฒิภัทรแทบหยุดเต้น มองหน้าวรรณรสานิ่ง นึกถึงชื่อ “รสา” คนรักของปวรรุจในทันที
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
พุฒิภัทรมองหน้าวรรณรสานิ่งงันอยู่อย่างนั้น นึกถึงชื่อ “รสา” คนรักของปวรรุจ
“ผมคุ้นชื่อคุณ แต่แน่ใจว่าผมไม่เคยพบคุณมาก่อน”
“ถ้าดิฉันจะบอกว่าฉันรู้จักคุณชายปวรรุจที่สวิตเซอร์แลนด์ล่ะคะ”
“เอาละ คุณคือคนที่ชายรุจเล่าให้พวกเราฟัง...”
“เล่าว่าอะไรคะ”
“คุณคือเพื่อนร่วมเดินทางกับชายรุจไงครับ เป็นเพื่อนร่วมทางคนพิเศษทีเดียว”
วรรณรสาพยายามสังเกตท่าทีของพุฒิภัทรว่ารู้เรื่องของเธอมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะประเด็นที่ปวรรุจอาจเล่าว่าเธอเป็นท่านหญิง และหลอกเขาตลอดการเดินทาง
แต่พุฒิภัทรกลับไม่แสดงอาการใด ๆ
ทางด้านมารตีและรัชชานนท์ มองมายังสองคน
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสั่งให้คุณชายเล็กมาแลกคู่เต้นกับมารตีใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“มีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ หล่อนเป็นใคร”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้สึกว่าเธออยากเป็นคนไข้ส่วนตัวของพี่ชายภัทรน่ะครับ”
ยิ่งฟังรัชชานนท์พูด มารตียิ่งขัดใจ รัชชานนท์แอบยิ้มชอบใจ
ด้านพุฒิภัทรและวรรณรสา ยังคุยกันต่อ
“เอาละ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณชายทราบเรื่องดิฉันมากน้อยแค่ไหน แต่ดิฉันมีความจริงเล่าให้คุณชายฟังค่ะ คือว่า...”
ชายภัทรพยักหน้าตั้งใจฟัง แต่แล้วองค์ฉัตรร้องเพลงจบพอดี ทุกคู่หยุดเต้น ปรบมือให้องค์ฉัตรที่มองรสาเต้นรำกับพุฒิภัทรอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอบคุณท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน สำหรับงานนี้ผมมีของขวัญอีกชิ้นจะมอบให้ท่าน เสียงไวโอลิน บรรเลงเพลงเพราะๆ จากลูกสาวของผมเอง”
วรรณรสาตกใจ
“ขอเชิญหญิงแต้ว ขึ้นมาแสดงฝีมือหน่อยลูก”
คนทั้งงานฮือขึ้นพร้อมกัน วรรณรสายังตะลึงไม่กล้าก้าวขึ้นไป ทุกคนมองหา
“เอ...แล้วท่านหญิงประทับอยู่ไหนล่ะครับ” พุฒิภัทรเอ่ยขึ้น
วรรณรสายังไม่กล้าแสดงตัว
“เพลงนี้ขอรับบริจาคจากท่านผู้มีเกียรติด้วยนะครับ ตามแต่จิตศรัทธา” องค์ฉัตรกล่าว
วรรณรสาผละจากพุฒิภัทร ก้าวขึ้นเวที ชายภัทรเหลียวมองตาม รัชชานนท์ รณพีร์ มารตี และวิไลรัมภา
เข้ามารวมกลุ่มกับชายภัทร ตะลึงมองตามเป็นตาเดียว
“ว้าย นั่นคือท่านหญิงวรรณรสาเหรอ” มารตีร้องเป็นคนแรก
“สวยอะไรขนาดนี้” รณพีร์ชื่นชม
วิไลรัมภาค้อนชายพีร์วงใหญ่
ท่านหญิงรสาก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่างงามสง่า เจ้าหน้าที่ส่งไวโอลินของรสามาให้ วรรณรสาเตรียมตัว พลางกระซิบกับองค์ฉัตรไปด้วย
“เด็จพ่อ จะให้หญิงเล่นไวโอลินตอนนี้เลยเหรอเพคะ”
“ตอนนี้แหละเหมาะสมที่สุด เพราะพ่อไม่อยากให้เราเต้นรำกับหนุ่มจุฑาเทพอีกแล้ว ว่าแต่คุยอะไรกับคุณชายหมอเหรอ พูดเรื่องคุณชายปวรรุจรึเปล่า”
“อย่าทรงกังวลเลยเพคะ เพราะตอนที่คุณชายเต้นรำกับหญิง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงเป็นใคร จนเด็จพ่อรับสั่งให้หญิงขึ้นมานี่แหละ”
องค์ฉัตรมีท่าทีโล่งอก
“งั้นเล่นเพลงโปรดของลูกก็แล้วกันนะ”
“เพคะ”
กลุ่มพุฒิภัทร รัชชานนท์และรณพีร์เข้ามาถามกัน มารตีซุบซิบวิไลรัมภาเยื้องไปด้านหลัง
“พี่ชายภัทร แล้วตกลงท่านหญิงคุยอะไรกับพี่ เรื่องปัญหาสุขภาพจริงรึเปล่า” รัชชานนท์สงสัย
“ท่านหญิงยังไม่ได้ตรัสอะไรทั้งนั้น”
พุฒิภัทรยังไม่พูดเรื่องท่านหญิงคือ “รสา” ที่ปวรรุจตกหลุมรัก ให้น้องชายฟัง
รณพีร์ตาละห้อย ฝันเพ้อ “ผมจำท่านหญิงสมัยทรงพระเยาว์ไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ ท่านหญิงทรงงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์”
บนเวทีวรรณรสาเตรียมพร้อมแล้ว
“เพลงนี้มอบให้กับ ผู้ที่มีความรักในหัวใจทุกคนค่ะ”
เสียงปรบมือสนั่น วรรณรสาประทับไวโอลิน แล้วเริ่มบรรเลงเพลงท่วงทำนองอ่อนหวานในท่าทีงดงาม ทุกคนยืนฟังราวต้องมนต์สะกด
พุฒิภัทรมองวรรณรสาที่สีไวโอลินด้วยความรู้สึกหวานเศร้า สังหรณ์ว่าคงมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ
อ้าย และเอื้อยมองวรรณรสาเล่นและฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
ที่เบิร์นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ปวรรุจลุกจากเตียงนอน เปิดไฟหัวเตียง เหมือนได้ยินเสียงเพลงจากไวโอลินแว่วมาจากหน้าต่าง ปวรรุจเดินมาที่หน้าต่างแล้วมองลงไป เสียงเพลงนั้นยังแว่วลอยมา
วรรณรสากำลังเล่นเพลงเศร้า มีสำเนียงของการตัดพ้อ วรรณรสาน้ำตาคลอ ค่อยๆ ไหลอาบแก้ม
ปวรรุจรู้ได้ในทันทีนั้นว่าหูแว่วไปเอง ได้แต่ทอดถอนใจ
วรรณรสาจบบทเพลงด้วยน้ำตารื้น คนทั้งห้องปรบมือให้ พุฒิภัทรมองวรรณรสาอย่างเห็นใจ
ไม่นานหลังจากนั้นวรรณรสาออกมาพบอ้าย เอื้อย ตรงโถงกลาง ท่านหญิงมีสีหน้าเศร้าสร้อย
“ท่านหญิงขา หนูอ้ายฟังแล้วประทับใจมากเลยค่ะ”
“ส่วนหนูเอื้อยฟังแล้วน้ำตาไหลพรากๆ เลย ไพเราะอะไรเช่นนี้”
“เมื่อกี้ตอนเต้นรำโดนเด็จพ่อกริ้ว ไม่ทรงยอมให้เต้นรำกับคุณชายจุฑาเทพอีก แล้วนี่หญิงจะคุยกับคุณชายภัทรได้ยังไงล่ะ”
จังหวะนี้พุฒิภัทรเดินมาเบื้องหลังพอดี อ้าย และเอื้อยอึ้งไป
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้ว”
วรรณรสาหันมาหาทันที
“กระหม่อมขอประทานอภัยท่านหญิง กระหม่อมไม่ทราบว่า คุณแต้วคือหม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์”
“ฉันต้องขอโทษคุณชายต่างหากละคะที่ไม่ได้แสดงตัว”
“ฝ่าบาท ทรงช่วยบอกพระประสงค์แท้จริงของฝ่าบาทให้กระหม่อมได้ทราบหน่อยเถิด”
“เราคงต้องหามุมที่ปลอดคนหน่อยกระมัง เพื่อให้พ้นสายเนตรของเด็จพ่อ”
พุฒิภัทรเป็นงงไป
ไม่นานนัก วรรณรสาและพุฒิภัทรเดินคุยกันมาตรงมุมสวยในสวน วรรณรสาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายภัทรฟังแล้ว
“ตอนนี้คุณชายรุจคงโกรธฉันมาก ฉันเขียนจดหมายไปหาสองสามฉบับแล้ว แต่คุณชายไม่ยอมตอบเลย สิ่งที่ฉันต้องการคือโอกาสที่จะได้เอ่ยคำขอโทษต่อหน้าเขาเท่านั้น”
“กระหม่อม”
“คุณชายทราบไหมคะว่าคุณชายรุจจะกลับมาจากสวิตเมื่อไหร่”
“วันเสาร์ที่จะถึงนี่ละกระหม่อม”
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคุณชายช่วยหาทางให้ฉันเจอคุณชายรุจสักครั้งจะได้ไหม”
“ทำไมท่านหญิงไม่เสด็จไปรับชายรุจที่สนามบินเล่ากระหม่อม”
“เพราะรู้น่ะซีคะว่าคุณชายต้องเดินหนีฉันแน่ๆ ฉันอยากอธิบายในสถานที่ที่เขาเดินหนีฉันไปไม่ได้”
“กระหม่อมคงช่วยเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเท่ากับกระหม่อมทรยศต่อพี่ชายของกระหม่อม ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย”
สีหน้าวรรณรสาสลดลง “ไม่เป็นไรค่ะ”
พุฒิภัทรคิดหาลู่ทาง
“ทำไมท่านหญิงไม่เสด็จเยี่ยมย่าอ่อนบ้างเล่ากระหม่อม ย่าอ่อนคงดีใจที่ได้เฝ้าท่านหญิง หลังจากไม่ได้พบกันนานเสียหลายปี”
“ย่าอ่อน จริงซี ย่าอ่อน ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ”
วรรณรสายิ้มกว้างสว่างไสวออกมาได้ พุฒิภัทรมองกิริยาของท่านหญิงทั้งทึ่งทั้งแปลกใจ เพราะท่านหญิงดูรักใคร่และอาทรปวรรุจอย่างหลือเกิน
พุฒิภัทรกำลังเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ธราธร ที่เพิ่งกลับจากยุโรปฟัง
“นี่ละครับ เรื่องราวที่ท่านหญิงรับสั่งกับผมคืนวันงาน”
“เรื่องมันจะโกลาหลกันไปใหญ่ ชายรุจกับท่านหญิงรักกันทั้งๆ ที่ทั้งสองมีพันธะอยู่แล้ว”
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมครับ ชายรุจถึงไม่ยอมติดต่อท่านหญิงอีก”
“ใช่...แม้แต่จดหมายของท่านหญิง ชายรุจก็ไม่เคยเปิดอ่านแม้สักฉบับเดียว เฮ้อ...น่าสงสารชายรุจ...ชายรุจต้องผิดหวังกับความรักอีกครั้งซินะ”
“และครั้งนี้ก็น่าจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิมด้วยนะครับ” พุฒิภัทรหน้าเศร้าลง
ธราธรแสนสงสารน้องชายเป็นที่ยิ่ง
ค่ำคืนนี้บรรดาคณะทูตทั้งจากเมืองไทยและที่สถานทูตกำลังจัดปาร์ตี้เลี้ยงอำลา โต๊ะอาหารโต๊ะใหญ่ ในร้านอาหารของปกรณ์
ท่านทูตพลเทพกำลังนำดื่มฉลองชนแก้วกับทีมงาน คุณหญิงอารี ปรีชา แข และภาณุทัศนัยร่วมชนแก้วอยู่ด้วย ปกรณ์ช่วยบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มขันแข็ง อิ่ม กะอั๋น นั่งอยู่ด้วยกันกับปวรรุจ ที่แยกโต๊ะห่างออกมา อิ่มกำลังเมาได้ที่ สะอื้นไม่ได้สติ ราชาศัพท์เต็มห้อง มั่วเช่นเคย
“คุณชายขา คุณชายจะจากอิ่มไปแล้ว อิ่มเสียพระทัยมาก”
“ไม่แน่หรอกนะ ผมอาจจะกลับมาที่นี่อีกก็ได้”
“จริงนะคะ อิ่มจะรอวันนั้นวันที่คุณชายเด็จกลับมาสวิต แล้วเราจะมีความสุขด้วยกันตลอดไป”
ปวรรุจยิ้มเศร้าๆ
“เอ๊ะ แล้วคุณชายทรงตัดพระทัยจากท่านหญิงวรรณรสาได้แล้วหรอคะ”
อั๋นฉุนขัดขึ้น “คุณอิ่ม พูดอะไรออกไปน้องเมาแล้วนะ ขอโทษด้วยนะครับคุณชาย”
สีหน้าปวรรุจเจื่อนไป “ไม่เป็นไร”
ท่านทูตพลเทพเอ่ยขึ้น
“ขอเชิญคุณชายปวรรุจมาตรงนี้หน่อยครับ”
ปวรรุจลุกไปสมทบ ภาณุทัศนัยมองอย่างไม่สบอารมณ์
“งานนี้ผมต้องขอชื่นชมคุณชายปวรรุจ เป็นพิเศษที่ได้ทุ่มเท ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเบื้องลึก ช่วยให้คณะทูตของเราทำงานได้บรรลุเป้าหมายเกินกว่าที่กำหนดเสียอีก” ท่านทูตชื่นชม
“คงไม่ใช่ความสามารถของผมเพียงผู้เดียว ต้องขอบคุณทีมงานทั้งหมดต่างหากครับ รวมทั้งเสด็จในกรม ท่านทรงพระปรีชาเหลือเกิน ผมคงไม่บังอาจรับความดีความชอบไว้แต่ผู้เดียว” ปวรรุจพูดอย่างถ่อมตนเช่นเคย
ภาณุทัศนัยแทรกขึ้นทันที อาการเมาไม่น้อย
“ถูกต้อง ไม่สมควรรับความดีความชอบแต่ผู้เดียว เพราะงานนี้เราทำกันเป็นทีม”
ปวรรุจนิ่งงันไป ชายทัศน์คุยต่อ
“อ้อ…ไหนๆ ได้โอกาสพูดแล้ว ผมก็ขอพูดเรื่องมงคลเสียหน่อย ผมจะหมดโพสท์ในอีกไม่นาน กลับพระนครคราวนี้ ผมคงจะต้องสละโสดเสียที”
ทุกคนในงานเฮและปรบมือ ยกเว้นปกรณ์และปวรรุจที่มองหน้ากัน
ภาณุทัศนัยมองหน้าปวรรุจเขม็งขณะประกาศออกไป
“ใช่ครับ ผมจะเข้าพิธีเสกสมรสกับพระคู่หมั้นของผม หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ ทันทีที่กลับถึงพระนคร”
ทุกคนในงานปรบมือลั่น
“งั้นขอประทานอนุญาตฝ่าบาทฉลองล่วงหน้าเลยเพคะ” คุณหญิงอารียิ้มแย้ม
ทั้งหมดเข้ามาชนแก้วกับภาณุทัศนัย ร่วมแสดงความยินดี ชายทัศน์เหลือบมองปวรรุจอย่างสะใจ ปวรรุจเลี่ยงออกมากับ ปกรณ์
“ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้ารุจ”
“ฉันไม่เป็นไร”
ปวรรุจออกจากร้านไป ปกรณ์ถอนใจ สงสารเพื่อน
วันรุ่งขึ้น วังจุฑาเทพ มีโอกาสต้อนรับหม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา เวลานี้วรรณรสาอยู่เรือนหม่อมเอียด นั่งอยู่กับย่าอ่อนที่สวมกอดอยู่ตลอดอย่างรักใคร่ พูดพร่ำพลางสะอื้นไปด้วย หม่อมเอียดนั่งประจำที่เดิมของตน
“ท่านหญิงแต้วของหม่อมฉันจริงๆ ทรงเจริญชันษาป็นสาวขนาดนี้แล้วหรือนี่”
“โธ่ ท่านหญิงเพคะ จะเสด็จมาทั้งทีทำไมไม่ทรงบอกล่วงหน้าก่อน หม่อมฉันจะได้จัดการต้อนรับให้สมพระเกียรติ” หม่อมเอียดว่า
“ก็เพราะหญิงไม่อยากรบกวนหม่อมย่า กับคุณย่าอ่อนน่ะซีคะ แค่ได้เจอคุณย่าทั้งสอง หญิงก็ดีใจแล้ว”
“หม่อมฉันก็ดีใจเพคะ โธ่ นึกว่าทรงลืมหม่อมฉันไปแล้ว ทรงเรียนจบมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” ย่าอ่อนถาม
“หญิงเพิ่งกลับจากปีนังมาได้ไม่นานนี่เอง”
“นี่....แม่อ่อน ไม่พาท่านหญิงไปนั่งรับลมเย็นๆ ที่ริมน้ำล่ะ”
“ไม่หรอกค่ะคุณพี่ ตรงนั้นกำลังทำขนมกันวุ่นวาย เดี๋ยวท่านหญิงจะไม่ทรงสำราญเสียเปล่าๆ”
“ทำขนมเหรอคะ” วรรณรสาสนใจ
“เพคะ ทำขนมไว้ต้อนรับหลานชายกลับจากต่างประเทศ เย็นนี้จะมีงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว” ย่าอ่อนยิ้มระรื่นบอก
วรรณรสาคิดหาทาง “หญิงอยากไปดูขนมของคุณย่าจังค่ะ”
พร้อมกันนั้นท่านหญิงรสายิ้มประจบ ย่าอ่อนยิ้มปลื้ม
ตรงบริเวณครัวหลังเรือนหม่อมเอียด วรรณรสามองขนมที่คนงานในวังกำลังช่วยกันทำเป็นที่เอิกเกริก
แจ๋วสาย สมศรี ช่วยกันพร้อมหน้า เตาถ่านตั้งกระทะใบใหญ่ กวนแป้งทำตะโก้เผือก สองสามเตา ถนอมช่วยยกซึ้งนึ่งและงานใช้แรง ทุกคนที่ทำงานอยู่ ต่างหันมามองความงามของวรรณรสา ที่เดินตามย่าอ่อนมาดูขบวนการทำไปทีละเตา
“กระทะนั้นกำลังกวนแป้งทำตะโก้เผือก กระทะนี้กวนเมล็ดแตงโมทำลูกชุบเพคะ ทูลเชิญท่านหญิงประทับที่ศาลาดีกว่าเพคะ เขาเตรียมขนมไว้ให้ทรงชิมแล้ว”
ทั้งสองนั่งที่ศาลาในสวนสวย มีถาดขนมไทยหลายแบบวางในจานเล็กๆ
“ลองชิมดูเพคะ”
วรรณรสาชิมดูแล้วยิ้มปลื้ม
“อร่อยจัง อร่อยเหมือนเมื่อครั้งทานขนมที่คุณย่าอ่อนทำให้หญิงตอนเด็กๆ เลยค่ะ”
“อุ๊ย....ยังทรงจำได้นะเพคะ ดีใจจัง”
“ทำขนมเยอะขนาดนี้ คงไม่ได้จัดเลี้ยงเล็กๆ แล้วมังคะ” วรรณรสาเข้าธุระกลายๆ
“ก็เอิกเกริกนิดนึง เพราะจะเลี้ยงให้ชายรุจกลับจากประชุมเรื่องทูตของเขาที่สวิตน่ะเพคะ”
“คุณชายรุจ”
“ยังทรงจำได้ใช่ไหมเพคะ ชายรุจที่เล่นกับท่านหญิงสมัยทรงพระเยาว์”
วรรณรสานิ่งไป “จำได้ซีคะ ไม่เคยลืม”
“นั่นละเพคะ ตอนนี้ชายรุจเป็นข้าราชการนักการทูต กำลังก้าวหน้าในการงานดีเลย”
“หญิงอยากเจอคุณชายรุจจังค่ะ หญิงขออยู่ร่วมงานด้วยได้ไหมคะคุณย่าอ่อน”
“รับสั่งจริงนะเพคะ”
“จริงสิคะ หญิงอยากเจอคุณชายรุจ และพี่ ๆ คุณชายทุกคน ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว”
“ดีใจจริงๆ เพคะท่านหญิง ตอนนี้ชายใหญ่กับชายภัทร เขาไปรับชายรุจที่สนามบิน เย็นๆ ก็คงกลับ”
“งั้นระหว่างรอ หญิงขอช่วยทำขนมกับคุณย่านะคะ”
“เกรงพระทัยเพคะ อย่าทรงลำบากเลย”
“ไม่ลำบากค่ะ ถือว่าสอนหญิงทำขนมบ้างไง หญิงอยากเรียนทำขนมไทยมานานแล้ว ทำเป็นแต่ขนมฝรั่ง”
“งั้น....ทูลเชิญเพคะ ทรงเริ่มที่ระบายสีลูกชุบละกันะเพคะ”
“ค่ะ”
แจ๋วเดินเอาน้ำใบเตยมาวาง ย่าอ่อนสั่งการแจ๋ว
“แจ๋ว จัดพู่กันกับน้ำวุ้นถวายท่านหญิงแต้วชุดนึง”
“ค่ะ”
รสายิ้มดีใจที่จะเจอปวรรุจในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
วรรณรสาตามแจ๋วมาที่ห้องครัว ท่านหญิงมาล้างมือที่อ่างล้าง เห็นเด็กสาวนางหนึ่งแต่งตัวงดงามเรียบร้อย กำลังตำครกง่วนอยู่ในส่วนบังตาด้านใน
“นี่คะ ห้องครัว ท่านหญิงทรงหาอะไรไม่เจอ ทูลถามหม่อมฉันได้เพคะ อุ๊ย ไม่ใช่ซี พูดผิด ประทานอภัยหม่อมฉันด้วย” แจ๋วยิ้มๆ
“ไม่เป็นไร พูดปรกติเถอะ ฉันไม่ถือ”
“ขอบพระทัยเพะคะ”
“เอ ใครนั่งอยู่ตรงนั้น”
“อุ๊ย ลืมแนะนำไปเพคะ” แจ๋วตรงไปหากระถิน “คุณกระถินคะ ท่านหญิงรสาเด็จมาค่ะ”
กระถินงง “ใครเหรอ”
“ท่านหญิงวรรณรสาค่ะ มาพบท่านหญิงก่อนเถอะค่ะ”
แจ๋วพากระถินออกมาส่วนด้านในห้องครัว วรรณรสาตะลึงงันไปเมื่อเห็นกระถิน เพราะจำได้ในทันที
ว่าเป็นคนเดียวกับในรูป
“ท่านหญิงเพคะ นี่หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม คู่หมั้นของคุณชายปวรรุจ”
กระถินตกใจ ลงนั่งยองๆ ทันที ยกมือไหว้ท่วมหัว
“ฉันไหว้เจ้านาย”
แจ๋วและวรรณรสาตกใจ
“ลุกขึ้นเถอะจ๊ะ”
แจ๋วประคองกระถินลุกขึ้น กระถินยังตกประหม่า มองท่านหญิงรสาแล้วรีบหลบตา วรรณรสามองอย่างพินิจ
“ฉันกลับไปตำถั่วก่อนนะ”
“คุณกระถินไม่ต้องทำก็ได้นะคะ นั่งคุยเป็นเพื่อนท่านหญิงก่อนก็ได้”
กระถินกระซิบบอกแจ๋ว “ไม่กล้าคุย ไปละ”
กระถินกลับไปนั่งตำครกโป๊กๆ เหมือนเดิม
“เออ...คุณกระถินขี้อายน่ะเพคะ ไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่”
“แจ๋วไปทำงานตามปรกติเถอะนะ”
“ได้เพคะ”
แจ๋วค้อมตัวออกไปจากครัว วรรณรสาเดินมาหากระถิน ที่ยังสาละวนตำครกอยู่ พอเห็นท่านหญิงเดินเข้ามาก็สะดุ้ง
“เธอกำลังตำอะไรอยู่น่ะ”
กระถินมองวรรณรสาปากอ้าค้าง พูดอะไรไม่ออก ตัวสั่นเพราะพูดราชาศัพท์ ภาษาเจ้าไม่เป็นนั่นเอง แล้วโดยที่วรรณไม่คาดคิด กระถินรีบหอบครกออกไปหลังครัวทันที
“กระถิน”
วรรณรสาตามไป
ที่แท้กระถินหอบครกมาวางที่แคร่ด้านนอก หวังว่าวรรณรสาคงไม่ตามมาแล้ว ถอนใจโล่งอก แต่ไม่รู่ว่าวรรณรสามายืนอยู่ด้านหลังแล้ว
“ทำไมต้องหนีละจ๊ะ”
กระถินสะดุ้งเฮือก รีบพนมมือไหว้
“ไม่กล้าคุย จ๊ะมะคะ”
“อะไรนะ”
“หม่อมฉันไม่กล้าคุย หม่อมฉันพูดภาษาเจ้าไม่เป็น จ๊ะมะคะ”
วรรณรสากลั้นหัวเราะ “แล้ว จ๊ะมะคะ ไปเอามาจากไหนล่ะ”
“ลิเกเขาพูดกันอย่างนี้”
วรรณรสาหัวเราะออกมา กระถินหน้าเจื่อน
“พูดธรรมดากับฉันเถอะ เพื่อนๆ ก็พูดกับฉันปรกติทั่วไปนั่นแหละ” วรรณรสาว่า
“องค์หญิงไม่ถือเหรอ”
“ไม่ถือ ว่าแต่เธอยังไม่ได้บอกเลย เธอตำอะไร”
“ตำถั่ว จะเอาไปทำเป็นไส้ถั่วหวาน ใส่ในกะหรี่ปั๊บน่ะ อุ๊ย พูดได้นะ”
“พูดไปเถอะ”
“แต่ฉันทำไม่ค่อยเป็นหรอก คุณย่าอ่อนให้ฝึกทำไว้เพราะเป็นของโปรดของคุณชายปวรรุจ”
วรรณรสาอึ้งไปเลยครู่หนึ่ง
“กระถินมาวันนี้ เพื่อจะพบคุณชายใช่ไหม”
“ค่ะ...ฉันมาฝึกทำขนมอยู่สองสามวันแล้ว แต่วันนี้คุณย่าให้แต่งตัวสวยๆ มารอรับคุณชาย วันนี้จะเป็นวันแรกที่ฉันได้เจอคุณชาย ไม่รู้จะเหมือนในรูปรึเปล่า หน้าเข้มๆ ตาคมๆ คล้ายพี่ยอดเทวัญ”
“ใครเหรอ”
“พระเอกลิเกแถวบ้าน” กระถินว่า
วรรณรสาเศร้าลงไปถนัด “คุณชายตัวจริงหล่อกว่าในรูปอีกนะ”
“องค์หญิงเคยเจอคุณชายเหรอคะ”
วรรณรสายิ่งเศร้า “จ้ะ เคยเจอ”
“เป็นคนยังไง ใจดีไหม แล้วมาเห็นฉัน องค์หญิงว่าเขาจะชอบหน้าตาอย่างฉันไหม เขาจะอยากได้ฉันเป็นเมีย...เอ๊ย โทษ จ๊ะมะคะ เขาอยากจะแต่งงานกับฉันรึเปล่า”
วรรณรสาอึ้งไปกับท่าทางกระตือรือล้นของกระถิน เข้าใจผิดว่ากระถินมีใจกับคุณชายแน่ๆ ยิ่งกล้ำกลืนความรู้สึกเข้าไปอีก
อีกมุมเรือนครัว แจ๋วกลับมาช่วยทำขนมตามเดิม คุยออกรสกับแม่สาย สมศรี และถนอม
“แหม...สวยอย่างกะนางสาวสยามนะป้า” แจ๋วบอก
“อุ๊ย ฉันว่าสวยกว่าอีก พระฉวีท่านขาวราวหยวกกล้วย” สมศรีท้วง
“พระพักตร์ท่านก็ง้ามงาม เป็นรูปหยดน้ำเชียว พระกร พระเกศ พระเกล้า งามรับกันไปหมด” สายบอก
“นี่ ภาษาเจ้าที่พูดกันเนี่ย ทำไมมันไปคล้ายลิเกท้ายตลาดวะ” ถนอมแขวะ
จังหวะนั้นย่าอ่อนเดินกลับมา ไม่เห็นรสาแล้ว เดินมาอยู่หลังแจ๋วที่กำลังทำขนมง่วนไม่ทันรู้ตัว
“แม่แจ๋ว แม่เทวดานิมนต์มาเกิด...”
แจ๋วต่อทันที “ไม่สวยบรรเจิด ไม่เกิดเสียให้ชาติ...ว้าย คุณท่าน มีอะไรเจ้าคะ”
“ฉันบอกให้เฝ้าท่านหญิงแต้ว แล้วนี่ยังไง ท่านหญิงเด็จไปไหนแล้ว” ย่าอ่อนถาม
“อยู่ที่ครัวค่ะคุณท่าน”
“เอ๊ะ ให้ท่านประทับลำพังในครัวได้ยังไง แกนี่ ไม่รู้เจ้ารู้นายเล้ย”
อ่อนแยกไปทันที แจ๋วค้อนขวับ
วรรณรสายังถามกระถินต่อเนื่อง กระถินดูผ่อนคลายลงมาก
“เออ...กระถินไม่เคยเห็น ไม่รู้จักคุณชายรุจมาก่อน กระถินรักคุณชายรึเปล่า”
กระถินถอนใจ แล้วพูดอย่างที่ท่องมา “กระถินไม่รู้หรอกค่ะ เพราะกระถินยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้ว่าความรักคืออะไร กระถินรู้แต่ว่ากระถินจะดูแลเทิดทูน ปรนนิบัติคุณชาย” กระถินหาวหวอดๆ ไปด้วย “ในฐานะศรีภรรยาที่ดีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
กระถินพูดพลางก็เกาตามตัว ท่านหญิงรสามองท่าทีกระถินอย่างงง ๆ แต่ก็อดเศร้าไม่ได้
“ถ้าเธอเป็นภรรยาของคุณชายรุจ เธอก็คงเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดแล้ว”
กระถินหันมามองวรรณรสาน้ำเสียงนั้นเศร้าจับใจ
“องค์หญิงเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
วรรณรสาหลบหน้า รีบเช็ดน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เดี๋ยวเธอก็คงได้พบคุณชายแล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ คุณชายใจดี และคงจะชอบเธอไม่น้อย”
วรรณรสารีบลุกหนี กระถินมองอย่างสงสัย ย่าอ่อนเข้ามาพอดี วรรณรสารีบเช็ดน้ำตา
“โธ่....ท่านหญิงเพคะ เด็จมาอยู่หลังครัวทำไม อ้าว หนูกระถิน รู้จักท่านหญิงแต้วรึยัง”
“รู้จักแล้วค่ะ”
“นี่แหละเพคะท่านหญิง หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม คู่หมั้นคู่หมายของชายรุจเขา น่ารักน่าเอ็นดูนะเพคะ”
“ค่ะ”
“อ้าว หนูกระถิน ทำไมเกายุกยิกอย่างนั้นล่ะ” ย่าอ่อนถาม
“ชุดใหม่ค่ะ เหื่อมันออก เลยคันค่ะ” กระถินพูดคำว่า “เหื่อ” พลางหยิบไม้ขัดหม้อข้าว มาเกาหลังเมามันอย่างลืมตัว ย่าอ่อนตะลึงงัน แจ๋ววิ่งเข้ามา หน้าตื่น
“ท่านขา คุณชายกลับมาจากสนามบินแล้วค่ะ”
“เหรอ หนูกระถินเลิกเกาจ้ะ แต่งตัวให้เรียบร้อย แจ๋วแกดูแลด้วย ท่านหญิงเพคะ ทูลเชิญท่านหญิงเด็จขึ้นตึกใหญ่เลยเพคะ”
กระถินมองหน้าวรรณรสาอย่างตื่นตกใจ และสายตาร้องขอที่พึ่ง ท่านหญิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอบอุ่น
“กระถิน มากับฉันนะ เราไปพบคุณชายรุจด้วยกัน”
“ค่ะ”
วรรณรสาโอบกระถินไว้ กระถินยิ้มออกมาได้ จับมือวรรณรสาไว้แน่น แล้วตามย่าอ่อนไป
วรรณรสา กระถินมองออกไปที่หน้าตึก เห็นย่าอ่อนยืนคุยกับ ธราธรและพุฒิภัทร
“ตายจริง แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ ไอ้เรือบินนี่มันปลอดภัยไหม ไม่ใช่ไปตกระกำลำบากอยู่ที่เมืองฝรั่งมังค่านะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับย่าอ่อน อย่ากังวลไปเลย”
พุฒิภัทรขอแยกตัวเข้ามาในตึก ให้ธราธรเจรจากับย่าอ่อนไปลำพัง
ชายภัทรเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำความเคารพรสา
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณชายภัทร”
“เครื่องบินของชายรุจเกิดดีเลย์ เจอพายุหนักตอนที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่เตหะราน คืนนี้คงยังไม่มาถึงกระหม่อม”
วรรณรสาเครียด แต่กระถินสีหน้าโล่งอก
“แล้วงานเลี้ยงเย็นนี้ละคะคุณชาย”
“ก็ต้องพักไว้ก่อนละครับ”
วรรณรสาถอนใจด้วยความผิดหวัง พุฒิภัทรมองอย่างเข้าใจ กระถินลอบยิ้มชอบใจ
ติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 9