xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 6

ทุกคนต่างเฮลั่นเมื่อเห็นปวรรุจและวรรณรสาขี่ม้ากลับมาอย่างปลอดภัย อ้ายและเอื้อยวิ่งไปรับท่านหญิง ปวรรุจลงจากหลังม้า ช่วยรับและประคองวรรณรสาลงมา เอื้อยเข้ากอดท่านหญิงแน่น

“ไม่เป็นอะไรนะคะ ท่าน...เออ รสา”
“รสาสบายดีจ๊ะ ยอกที่แขนนิดหน่อย”
อ้ายเข้ากอดบ้าง อิ่มมองอย่างหมั่นไส้เต็มที ปกรณ์เข้ามาตบไหล่ปวรรุจ
“เยี่ยม เพื่อน แกพาคุณรสากลับมาได้ไม่บอบช้ำ ฮีโร่จริง ๆ”
อ้ายกะเอื้อยขอบคุณพร้อมกัน
“ขอบคุณนะคะคุณชาย” / “ไม่ได้คุณชาย รสาคงแย่”
“เดี๋ยวผมออกไปตามเจ้าฟ้าแลบ แปลกนะครับ ฟ้าแลบไม่ใช่ม้าที่ขี้ตื่นแบบนี้เลย ถ้าไม่มีใครแกล้งทำให้มันเจ็บ”
ฟิลลิปพูดแล้วเหลือบมองมาทางอิ่มด้วยสายตาไม่พอใจ แล้วแยกไป อั๋นมองหน้าอิ่มที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างระอา
“ผ่านเรื่องตื่นเต้นกันมาแล้ว เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยนะคะ ดิฉันขอตัวเตรียมอาหารค่ำคืนนี้ก่อน” วาดดาวเอ่ยขึ้น
“จะให้เราช่วยไหมคะ” เอื้อยถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมีผู้ช่วยมือหนึ่งอยู่แล้ว” วาดดาวว่า
“ใครคะ” อ้ายฉงน
“จะใครล่ะครับ ก็เจ้าคุณชายนี่ไงล่ะ ไป เสร็จจากเป็นฮีโร่ช่วยคุณรสาแล้ว คราวนี้มาเป็นคุณชายก้นครัวได้แล้ว”
วาดดาวหัวเราะแล้วจูงมือปวรรุจเข้าตึกไป วรรณรสาใจแป้ว ได้แต่มองตาม

ค่ำคืนนั้น ทุกคนอยู่ในชุดใหม่สวยงามตามสไตล์ และกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องอาหาร อิ่มอยู่ในชุดกรุยกรายเช่นที่เคย
อ้ายกำลังคุยกับปกรณ์ เอื้อยคุยกับอั๋นอย่างถูกคอ ส่วนอิ่มคุยกับฟิลลิป
วรรณรสาสวยเจิดอยู่ในชุดแสนหวาน จะเข้ามาในห้องอาหาร ได้ยินเสียงพูดคุยจากห้องครัวที่อยู่สุดโถงทางเดิน วรรณรสาเดินตรงไป

วรรณรสามองเข้าไปในครัว เห็นชายรุจอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน กำลังปรุงสเต็กอย่างขะมักเขม้น มีสองสาวใช้แต่งชุดเมดจริงๆ คอยช่วยเป็นลูกมือ วรรณรสามองอย่างทึ่ง กำลังอมยิ้มมอง “พี่ชายรุจ” อย่างเอ็นดู แต่ก็ต้องหน้าเจื่อนไปทันทีเมื่อเห็นว่าวาดดาวเดินเข้ามาสมทบ จังหวะนั้นชายรุจป้อนน้ำจิ้มแจ่วให้วาดดาวชิม วาดดาวหัวเราะระรื่น ยกนิ้วให้ปวรรุจดูสนิทสนมยิ่งกว่าความเป็นเพื่อน วรรณรสาทอดถอนใจ

ทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร ปวรรุจเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว ทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไมคุณชายเก่งรอบด้านอย่างนี้ละค่ะ ไม่อยากเชื่อว่าคุณชายทำอาหารฝีมือเป็นเลิศขนาดนี้ สเต็กน้ำจิ้มแจ่วนี่ ถือเป็นการผสมผสานตะวันตกกับตะวันออกที่น่าทึ่งที่สุดเลย” อิ่มชมขณะกินไม่หยุดปาก
“ขอบคุณที่ชม งั้นคุณอิ่มก็ต้องรับทานมากกว่าหนึ่งจานนะครับ”
อิ่มหัวเราะร่วน “อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวรูปร่างจะเสียทรง”
“อุ๊ย....พูดเหมือนมีทรง”
เสียงแขวะของอ้าย ทำเอาอิ่มต้องตวัดสายตาค้อนอ้ายวงใหญ่
“อิ่มทานเท่านี้ก็อิ่มจะแย่แล้ว ขอเปลี่ยนเป็นของหวานดีกว่าค่ะ” อิ่มว่า
ปกรณ์ถาม “เอาอะไรดีละครับ มีทั้งช็อคโกแล็ตมูส เชอร์รี่พาย และพลัมพุดดิ้ง”
“เอาทั้งหมดนั่นแหละค่ะ” อิ่มบอก
ทุกคนแทบสำลักกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะ อ้าย เอื้อย ปกรณ์ และวรรณรสาพากันกลั้นหัวเราะ อั๋นยิ้มอาย ๆ
“ทานอาหารฝีมือคุณชายอย่างนี้ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเรียนที่อังกฤษนะคะ” วาดดาวเอ่ยขึ้น
ปกรณ์เห็นด้วย “ใช่ครับ นายรุจเริ่มลงมือทำอาหารทีไร กลิ่นหอมไปไกลหลายช่วงตึก พวกเราต้องแห่มาฝากท้องเป็นประจำ”
“สเต็กน้ำจิ้มแจ่ว สูตรชาววังของคุณชายนี่ละค่ะ ที่ทำให้ฝรั่งโวยกันทั้งหอ เพราะส่งกลิ่นรบกวนฝรั่งจนต้องไปฟ้องอาจารย์พ่อบ้านประจำตึก” วาดดาวเสริม
“เรียกมาสอบสวนกันเลยนะครับ แต่สุดท้าย เกิดอะไรขึ้นรู้ไหม” ปกรณ์เล่าอย่างออกรส
อั๋นซักทันที “อะไรครับ”
ปกรณ์บอกอย่างภูมิใจ “มิสเตอร์แฟรงค์ พ่อบ้าน ขอชิม แล้วเกิดติดใจเสียเอง”
ทุกคนหัวเราะชอบใจ วรรณรสายิ้มตาม
“ผมขอยืนยันนะครับ เพราะฝรั่งอย่างผมทานน้ำแจ่วที่วาดดาวทำ ผมยังติดใจเลยครับ” ฟิลลิปการันตีด้วยคำไทยปร๋อ ทุกคนหัวเราะ
ฟิลลิปดึงวาดดาวมากอด บรรยากาศชื่นมื่น ปวรรุจมองวาดดาวและฟิลลิปตาเป็นประกาย อย่างสุขใจไปด้วย วรรณรสาเห็น และเกิดความรู้สึกว่า เธออาจจะอคติไปเองละมัง ที่เห็นปวรรุจและวาดดาวกอดกัน

ในเวลาต่อมา ปวรรุจฟังและดูบรรดาสมาชิก กำลังร่วมร้องเพลงกับฟิลลิปที่เล่นเปียโนอยู่กลางห้อง วาดดาว อ้าย  และเอื้อย ร้องเพลงพื้นเมืองของสวิต อิ่มพยายามโชว์เสียงโซปราโน่ ปกรณ์และอั๋นหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง

ปวรรุจมองหาวรรณรสา เมื่อไม่เห็น จึงเดินออกจากห้องไปตามหา

ปวรรุจเดินผ่านมาหน้าห้องพักของวรรณรสา เห็นท่านหญิงกำลังซ่อมเสื้อขี่ม้าที่ขาดที่ไหล่อย่างเก้ๆ กังๆ ปวรรุจเดินมายิ้มๆ

“กำลังทำอะไรครับ”
“เออ เย็บเสื้อค่ะ”
ปวรรุจลงนั่งมองการเย็บเสื้อของวรรณรสา ที่มุ่งมั่น บ่นออกมาอย่างเกรงใจวาดดาว
“ฉันทำมันขาดตอนลงจากหลังม้า คิดว่าจะซ่อมก่อนคืนคุณวาดดาว อุ๊ย”
วรรณรสารีบจนทำเข็มตำนิ้ว
“มาครับ ฉันจัดการเอง”
“คุณจะทำอะไร”
“ก็เย็บเสื้อไง”
ปวรรุจหยิบเสื้อชุดขี่ม้า แล้วรับเข็มมาจากวรรณรสา
“ฉันไม่คิดว่า ผู้ชาย จะเย็บผ้าเป็นด้วย”
“อย่าว่าแต่รอยขาดเล็กๆ แค่นี้เลย ต่อให้เย็บกระดุม ปะ ชุน หรือว่าแก้ไขเสื้อผ้าให้ใหญ่หรือเล็กลง ฉันก็ทำมาแล้วทั้งนั้น”
ปวรรุจพูดพลางเย็บอย่างคล่องแคล่ว วรรณรสามองอย่างทึ่งๆ
“คุณทำให้ฉันละอาย ฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ กลับทำอะไรไม่เป็นเลย เรื่องเย็บผ้า ทำครัวนี่ คงเป็นคุณแม่ช้องนางของคุณชายเป็นคนสอนใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องที่สุด แม่สอนให้เรียนรู้เรื่องพวกนี้แต่เด็ก ตั้งใจว่าจะได้ช่วยดูแลพี่ๆ น้องๆ แล้วก็จริงอย่างที่แม่คิด พอต้องไปอยู่กันเองที่อังกฤษ ฉันต้องรับหน้าที่เหล่านี้หมดเลย”
“ใครเป็นภรรยาคุณชาย คงโชคดีนะคะ”
ปวรรุจละจากงานในมือเงยหน้ามามองหน้าวรรณรสา ท่านหญิงรีบหลบตาวูบ โกรธตัวเองไม่น่าพูดออกมา”
“โทษค่ะ ฉันไม่น่าละลาบละล้วง”
“ไม่เป็นไรหรอก เฮ้อ...เธอทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน ที่อาจจะเป็น...ภรรยาของฉันในอนาคต” ปวรรุจเอ่ยขึ้น
“ใครคะ” วรรณรสาเผลอตัว และนึกได้ “อีกแล้ว ฉันละลาบละล้วงอีกแล้ว”
“ไม่หรอกรสา เธอเป็นคนที่ฉันอยากเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอยู่แล้ว”
วรรณรสาเป็นปลื้มนิด ๆ
“คู่หมายของฉันน่ะ ป็นเด็กสาวเพิ่งอายุ17 เองละมัง หม่อมย่ากับย่าอ่อนเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด”
วรรณรสานึกถึงภาพถ่ายกระถินทันที “คุณชายมีคู่หมายแล้ว”
“ใช่”
“แสดงว่าคุณชายไม่ได้รักชอบพอ เธอเลยซีคะ”
“จะรักได้ยังไง แม้แต่ตัวจริง ฉันก็ยังไม่เคยเห็น
วรรณรสาเผยอยิ้มออกมาได้ โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“เสียดายที่รูปของว่าที่เจ้าสาวของฉัน มันหายไปพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มนั้น ที่ฉันเคยถามเธอ”
วรรณรสารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“คุณชายคะ เรื่องสมุดบันทึกนั่น คือ...”
“ทำไมเหรอ”
วรรณรสาหลบตา ปวรรุจยิ่งสงสัย

ไม่นานนัก ปวรรุจยืนรออยู่หน้าห้อง ถือเสื้อขี่ม้าของวาดดาวอยู่ในมือ วรรณรสาอยู่ในห้อง กำลังค้นของในกระเป๋า หยิบสมุดบันทึกก่อนจะเดินออกมาส่งให้ปวรรุจ สีหน้าสำนึกผิด
“เธอเก็บไว้ ทำไมไม่บอกฉัน”
“คือว่า ตอนที่ฝรั่งคนนั้นเดินชนไวโอลินของฉันหล่นบนเครื่องแล้วคุณชายช่วยเก็บ คุณชายทำบันทึกเล่มนี้หล่นใต้ที่นั่ง ฉันเก็บไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของคุณ” วรรณรสาหลบตาเพราะรู้สึกแย่ที่ต้องโกหก “มาพบอีกทีตอนรื้อกระเป๋า คิดว่าจะคืนคุณชายแต่ก็ลืมได้ทุกที”
ปวรรุจพลิกหาซองรูปในสมุด แต่ไม่เจอ
“หาอะไรคะ”
“รูปภาพน่ะ ภาพคู่หมั้นคู่หมายของฉันไง หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหม”
“ไม่แน่หรอกนะคะ คุณชายกลับไป อาจจะหลงรักเธอก็ได้” วรรณรสาไม่พูดถึงรูป
“ไม่มีทางหรอกรสา เธอยังเด็กขนาดนั้น ต่อให้ได้เจอกันจริงๆ ในอนาคต ก็คงไม่มีทางคิดเป็นอื่นได้เกินกว่าเป็นน้องสาว”
ปวรรุจส่งสายตามองมายังวรรณรสาอย่างมีความหมายลึกซึ้ง จนท่านหญิงสะเทิ้นเขินอาย
“ฉันเย็บเสื้อเรียบร้อยแล้ว” ปวรรุจยื่นเสื้อส่งให้ “เธอจะออกไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่ห้องนั่งเล่นไหม”
“คงไม่ละคะ วันนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว”
“ราตรีสวัสดิ์นะรสา เจอกันพรุ่งนี้เช้า”
ปวรรุจยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนจะเดินกลับไป วรรณรสามองตาม กอดเสื้ออตัวนั้นไว้ รู้สึกดีกับปวรรุจขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกลับเข้าห้อง หยิบรูปกระถินออกมาดู
“ขอโทษนะคะคุณชายที่ฉันไม่ได้คืนให้”

วรรณรสาอมยิ้มกับตัวเอง

รุ่งเช้าบรรยากาศทั่วทั้งชาโตส์ของวาดดาวและฟิลลิป แสนสดชื่น ทุกคนยิ้มแย้มพร้อมออกเดินทาง อ้าย และเอื้อยมีท่าทีตื่นเต้น เดินคุยกันออกมาจากชาโตส์พร้อมวรรณรสา

ส่วนปกรณ์ อั๋น และฟิลลิป กำลังช่วยขนกระเป๋าของอิ่มขึ้นรถปกรณ์อย่างทุกลักทุเล
“เหรอคะ ท่านหญิง เด็กในรูปนั่นเป็นคู่หมั้นของคุณชายเหรอคะ”
“ใช่แล้ว”
“แล้วคุณชายก็ไม่เคยพบหน้ามาก่อน งั้นท่านหญิงก็สบายใจได้แล้วนะคะ” อ้ายว่า
“สบายใจเรื่องอะไร” วรรณรสาฉงน
“แน่ะ ท่านหญิง ก็สบายใจที่คุณชายไม่มีพันธะใดๆ น่ะซีคะ” อ้ายหบอกเย้า
วรรณรสาเขิน หน้าแดงอย่างชัดเจน “ไม่เห็นเกี่ยวเลย”
อ้ายและเอื้อยหัวเราะคิกคัก วรรณรสายิ่งหน้าแดงเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ระหว่างนั้นปกรณ์ และอั๋นวิ่งเข้ามาช่วยยกกระเป๋าให้อ้าย เอื้อยและวรรณรสา
“เชิญครับสาว ๆ” ปกรณ์ยิ้มเผล่
“โปรแกรมวันนี้มีอะไรบ้างคะ”
“เราจะออกเดินไปทางไปยังเมืองกรีนเดอวัลด์ แล้วเราจะจอดรถไว้ที่นั่นนะครับ จากนั้นเราจะขึ้นรถไฟไปที่เคลียนเดอร์ไชน์เด็ค แล้วเราก็จะเปลี่ยนขบวนไปยังสถานีจุงเฟรายอร์ค สถานีที่สูงที่สุดในยุโรป” ปกรณ์บอกโปรแกรม
“วันนี้จะต้องเป็นวันที่สนุกที่สุดแน่ๆ เลย”
อ้ายกะเอื้อยหัวเราะระรื่นให้กับอั๋นและ ปกรณ์

ขณะที่วรรณรสาเดินเลี้ยวมุมมา แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นวาดดาวและชายรุจกำลังยืนร่ำลากันอยู่
“คุณรสานั่นใช่ไหมที่คุณชายหมายถึง” วาดดาวถาม
“แต่ว่า....ผมยังไม่แน่ใจในตัวเขานักหรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“บางวันเขาก็แสนดี แต่บางวันเขาก็เย็นชาเสียเหลือเกิน ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ”
“ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าคุณชายใส่ใจเธอให้มากหน่อย”
“ขอบคุณที่แนะนำ ผมต้องไปละ”
“กลับมาเยี่ยมกันอีกครั้งนะคะ”
“ผมต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ๆ”
วาดดาวมองหน้าคุณชายคนที่เธอแสนรักน้ำตารื้น
“ร้องไห้ทำไมวาดดาว”
ปวรรุจเช็ดน้ำตาให้ วรรณรสาใจหาย
“คุณชายก็รู้ ฉันไม่ชอบการลา”
วาดดาวกอดปวรรุจแนบแน่น
“ขอให้คุณชายมีความสุขนะคะ เดินทางปลอดภัย”
วรรณรสาทนดูไม่ได้ รีบผละหนี เดินเร็วกลับมา แล้วหยุดหอบหายใจ ที่เคยคิดว่าทั้งสองคงจบความสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ดูท่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด วรรณรสาน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา แต่รีบเช็ดออก
พยายามทำใจให้เข้มแข็ง เดินกลับไปสมทบคนอื่นๆ

ในเวลาต่อมาทั้งหกคนยืนรออยู่ตรงสถานีรถไฟขึ้นยอดจุงเฟรา เตรียมขึ้นรถไฟ ท่าทางทุกคนตื่นเต้น ยกเว้นวรรณรสา ปวรรุจพยายามพูดด้วยแต่รสากลับเดินหนี
ปวรรุจไม่เข้าใจท่าทีเย็นชาของวรรณรสา
ทั้งหกนั่งรถไฟขึ้นยอดจุงเฟรา เห็นสามยอดเขาหิมะเอลเกอร์ เมินซ์ และจุงเฟรา ทั้งหกถ่ายรูปกันชุลมุน อิ่มพยายามโขมยซีนทำตัวเด่นกว่าคนอื่น และขอให้ถ่ายตนกับปวรรุจเท่านั้น
อ้ายเข้ามาแย่งซีน ขอถ่ายกับ ปกรณ์ และดึงเอื้อยมาถ่ายกับอั๋น อิ่มถูกเบียดเซไป
ท่ามกลางความชุลมุนของ อ้ายและอิ่ม มีเพียงวรรณรสาที่มองวิวทิวทัศน์เงียบๆ ปวรรุจเหลือบตาแลมอง วรรณรสากำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ปวรรุจถอนใจเบือนหน้าไปมองทิวทัศน์ข้างหน้า
วรรณรสาถึงได้หันมามองปวรรุจ สายตานั้นทั้งน้อยใจและขัดเคือง

ตรงจุดชมวิวอิสเมียร์ ทุกคนตะลึงมองผ่านกระจกรถไฟ เห็นภาพทิวทัศน์มหึมาตรงหน้า ธารน้ำแข็งกว้างสุดลูกหูลูกตา ลาดลงสู่หุบผาเบื้องล่าง วรรณรสาเองก็มองอย่างตะลึง ปวรรุจเข้ามายืนข้าง ๆ
“สวยจัง”
“นี่แหละกลาเซียร์ ธารน้ำแข็ง”
วรรณรสาหันมามอง ปวรรุจยิ้มให้ แต่วรรณรสาไม่ยิ้มตอบ ผละไป ปวรรุจมองตาม อิ่มเข้ามาแทรกทันที
“คุณชายขา สวยจังเลย น่าลงไปวิ่งเล่นที่สุด”
อิ่มทำท่ากระโดดไปมาอย่างคิดว่าน่ารัก อ้ายมองอย่างหมั่นไส้เต็มที
“คุณชายคะ น้ำแข้งมันยุบตัวได้รึเปล่าคะ กลัวว่าพอเราขึ้นไปข้างบน แล้วคุณอิ่มเธอกระโดดแบบนี้ น้าแข็งมันอาจถล่มลงไปข้างใต้เหวเสียหมด เธอยิ่งเก่งเรื่องทำคนอื่นเจ็บตัวอยู่ด้วย”
ปกรณ์ กะเอื้อยกลั้นหัวเราะ
“เอ๊ะ....ฉันไปทำใครเจ็บตัวตอนไหนมิทราบ ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน เธอต้องไปโทษม้า อย่ามาโทษฉัน”
“ถ้าเธอไม่อุตริเอาแส้ฟาดม้า ม้ามันจะตกใจไหม” อ้ายแฉเอา
“นี่เธอ” อิ่มฉุนขาด
ปกรณ์ห้ามศึกอ้วนผอม “เอาละครับ พอเถอะ มาถ่ายรูปดีกว่า เดี๋ยวรถไฟเขาก็จะแล่นต่อแล้ว”
“ได้ค่ะ คุณชายขาถ่ายกับอิ่มนะคะ”
อิ่มดึงปวรรุจไปถ่ายรูป ปกรณ์ลั่นชัตเตอร์ อ้ายแลบลิ้นใส่อิ่ม ปวรรุจมองวรรณรสาที่ขยับไปอีกมุม

จังหวะเดียวกันนั้นวรรณรสาหันมาสบตาปวรรุจจังๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปอย่างเร็ว

ทั้งหมดกำลังเดินเข้าอุโมงค์สถานีจุงเฟรายอร์ก ปกรณ์คอยบอกเตือนให้ทุกคนระวังตัว

“เดินดีๆ นะครับ จุงเฟรายอร์กนี่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลเกือบสามพันห้าร้อยเมตร อากาศจะเบาบางมากจนทำให้หายใจลำบาก ขอให้เดินช้าๆ ไว้ คุณอิ่มไหวไหมครับ”
“ไหวค่ะ ไม่ต้องห่วง ห่วงพวกตัวบางๆ เหมือนพยาธิตัวแบนเถอะค่ะ กลัวว่าถึงยอดจุงเฟรา จะถูกหิมะหอบไปไม่รู้ตัว” อิ่มไม่วายเหน็บสองแฝด
“คนนะ ไม่ใช่ว่าว ยี้ ยายพยาธิตัวตืด” อ้ายต่อปากต่อคำ
ทางฝ่ายอั๋นช่วยประคองเอื้อยไปตลอดทาง
ส่วนปวรรุจหยุดรอให้วรรณรสาเดินตามมาทัน แล้วยื่นมือให้จับ เพราะเห็นว่าวรรณรสาเริ่มหอบหายใจ
“เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปวรรุจประคองวรรณรสาเดินไปด้วยกัน
“ไม่ต้องค่ะคุณชาย”
“อย่าดื้อน่า นี่ ทานลูกอมเสียหน่อยจะรู้สึกดีขึ้น”
วรรณรสารับลูกอมมา
“ขอบคุณค่ะ”
“วาดดาวฝากมา เธอรู้ว่าขึ้นมาบนนี้เราต้องการมันแน่ ๆ”
ได้ยินดังนั้น วรรณรสารีบคืนลูกอมให้คุณชายทันที
“ฉันไม่ทานค่ะ ไม่ชอบ”
ปวรรุจรับคืนมา วรรณรสาขืนตัวผละเดินจากไป แล้วเดินไปเกาะแขนเอื้อยที่ประคองกับอั๋นแยกไป ปวรรุจได้แต่มองตามอย่างสงสัย คาใจในท่าทีปั้นปึ่ง

ร่างของอ้ายและอิ่ม ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ยาวในอาคารของสถานี หอบหายใจแฮ่กๆ กันทั้งสองคน
“ชะ....ช่วยด้วย อิ่มหายใจไม่ออก”
“ยาดม ใครมียาดมบ้าง”
วรรณรสาและเอื้อยคอยให้ยาดมอ้าย ส่วนอั๋นให้ยาดมน้องสาว
“พี่บอกคุณอิ่มแล้วว่าให้หายใจช้าๆ แล้วก็อย่าเถียงกัน”
ปกรณ์ดูอาการอ้ายกะอิ่ม
“ตกลงจะเข้าถ้ำน้ำแข็งกันต่อไหมครับ”
อ้าย และอิ่มส่ายหน้าพร้อมกันทันที
“ถ้าอย่างนั้นผมเฝ้าคุณอิ่ม หนูอ้าย เอ๊ย รุจงั้นนายพาคุณรสา หนูเอื้อยกับคุณอั๋นไปที”
ปวรรุจพยักหน้า
“คุณชายอยู่ที่นี่ดีกว่ามังคะ ฉันจะไปกับหนูเอื้อยและคุณอั๋นเอง”
วรรณรสาไม่รอคำตอบ จูงเอื้อยและอั๋นออกอาคารไปเลย ปวรรุจมองอย่างสงสัยใคร่รู้อาการของ
หญิงสาว


ครู่ต่อมาเอื้อยและอั๋นเดินนำไปในถ้ำน้ำแข็ง วรรณรสาตามมาติดๆ ตามหลังมาด้วยปวรรุจ วรรณรสาเหลือบมองมาเป็นระยะปวรรุจเดินตามมาจนทัน
“เดินช้าๆ ครับ ทางมันลื่น”
ขาดคำวรรณรสาเกิดอาการเซแซ่ดๆ ปวรรุจรวบร่างท่านหญิงรสาไว้ทัน
“เห็นไหม เกาะฉันไว้”
เอื้อยและอั๋นเดินห่างไปแล้ว ปวรรุจพาวรรณรสาเดินช้าๆ ท่านหญิงจำต้องเกาะ คุณชายปวรรุจไว้แน่น
“เรากำลังเดินอยู่ใต้ธารน้ำแข็งที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปเกือบสามสิบเมตร ไม่น่าเชื่อนะว่าฝีมือมนุษย์เราจะขุดลงมาเป็นอุโมงค์ยาวแบบนี้ได้”
“คุณรู้อะไรมากจัง คงมาบ่อยซีคะ”
“เคยมาครั้งเดียว เมื่อสมัยเรียนอยู่ที่อังกฤษ”
“มากับคุณวาดดาวเหรอคะ” วรรณรสาโพล่งขึ้นมาเลย
ปวรรุจมองหน้าวรรณรสาอย่างพินิจ ท่านหญิงรสามองตอบอย่างท้าทายและรอคำตอบอยู่ เสียงหัวเราะของเอื้อยและอั๋นทำให้ทั้งคู่หันไปมอง

เวลานั้นเอื้อยและอั๋นกำลังโยนเงินให้ลงอุ้งมือของเทพธิดาน้ำแข็ง
“ทำอะไรกัน” วรรณรสาถาม
“กำลังโยนเหรียญใส่อุ้งมือเทพธิดาครับ” อั๋นบอก
“ถ้าโยนลงได้ หมายความว่าเราจะได้กลับมาเยือนจุงเฟราอีกครั้ง” เอื้อยอธิบาย
“แล้วได้ไหม” ท่านหญิงซัก
“ยังไม่ลงเลยครับ คุณชายกับคุณรสาลงซีครับ”
พูดจบเอื้อยชวนอั๋นแยกไป วรรณรสาทำท่าจะตาม ปวรรุจดึงแขนไว้
“อย่าเดินคนเดียว นอกจะลื่นแล้ว ฉันกลัวเธอจะเดินหลงอีกต่างหาก”
วรรณรสามองปวรรุจ ค้อนให้วงใหญ่
“มาโยนเหรียญกันดีกว่า”
“ฉันไม่มีเหรียญค่ะ”
“งั้นขอยืมฉันก่อน”
ปวรรุจหยิบเหรียญรับเปนออกมาสามเหรียญ ยื่นให้วรรณรสาสองเหรียญ
“ไม่โยนค่ะ”
“เถอะน่ะ ถ้าเธอโยนเข้า เธอได้กลับมาจุงเฟราอีก ช่วยพาฉันมาด้วยก็แล้วกัน”
วรรณรสารับมาอย่างเสียมิได้ แล้วลองโยนดู แต่สองเหรียญแรกพลาดไป
“ฉันผลาญเงินคุณหมดแล้วละ”
“งั้นตาฉันบ้าง”
ปวรรุจหรี่ตา วรรณรสามองอย่างลุ้นๆ ปวรรุจโยนลงมือนางฟ้าอย่างแม่นยำ วรรณรสาดีใจจนลืมตัวปรบมือ
“ลงแล้ว”
ปวรรุจหันมายิ้ม วรรณรสารู้สึกตัว ทำหน้าเชิดใหม่
“คุณชายจะได้กลับมาจุงเฟราอีกรอบนะคะ”
“งั้นเราสองคนก็จะต้องได้กลับมาด้วยกัน เพราะเราเป็นหุ้นส่วนกัน”

ปวรรุจโอบร่างวรรณรสาแล้วพาเดินไป ท่านหญิงเขินแต่ไม่กล้าขัดขืน

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ครั้นพอประตูกระจกเปิดออก ปวรรุจ และวรรณรสามองออกมาที่ธารหิมะ และยอดจุงเฟรามหึมาเบื้องหน้า ท่านหญิงรสาลืมทุกสิ่ง ถูกสะกดด้วยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เห็นเต็มตา

ปวรรุจเองก็ตะลึงเช่นกัน เหลือบมองมาที่วรรณรสา ที่มองมาอย่างยิ้มปลื้ม ปวรรุจยิ้มตาม
“รสา”
วรรณรสาเหลียวมองมายังปวรรุจ “ขา”
“ยินดีต้อนรับสู่จุงเฟราครับ”
วรรณรสายิ้มออกมาอย่างสว่างไสว ปวรรุจยิ้มรับ
“เหมือนสวรรค์”
“ใช่...คือสวรรค์”
ปวรรุจมองหน้าวรรณรสานิ่ง ท่านหญิงรสามองตอบ
“เธอจะบอกฉันได้หรือยังว่าเธอมีปัญหาอะไรกับฉัน”
“ปัญหาอะไรหรือคะ”
“ที่เธอทำเย็นชากับฉันมาตลอดน่ะซี เกิดอะไรขึ้นหรือ ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“ต้องมีอะไรแน่ ๆ บอกมาเถิด” ปวรรุจคาดคั้นเสียงสุภาพ
ปวรรุจดึงร่างวรรณรสามาใกล้ๆ จดสายตาจ้องหน้า วรรณรสามองตอบ จิตใจยิ่งหวั่นไหว กลั้นใจจะถามเรื่องวาดดาว แต่อั๋นและเอื้อยเข้ามาสมทบเสียก่อน ตามมาด้วย ปกรณ์และอ้าย ที่ประคองกันมา ปวรรุจจำต้องปล่อยมือวรรณรสา
“สวย สวยอะไรอย่างนี้” เอื้อยเอ่ยขึ้น
“โอ้โฮ...เบื้องหน้าเรานี่คือสวรรค์จริงๆ เลยนะครับ” อั๋นตื่นเต้น
อ้ายตื่นตะลึง หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“คุณปกรณ์ สวยขนาดนี้ ถ้าคุณไม่พาฉันขึ้นมา ฉันจะไม่ให้อภัยคุณเลย” อ้ายว่า
“ทราบครับ ยังไงผมก็ต้องพาคุณขึ้นมาจนได้ เพราะ...”
“อะไรคะ”
“เมื่อขึ้นมาแล้วครั้งนึง นั่นหมายความว่าเราจะได้กลับมาเยี่ยมจุงเฟราอีกครั้ง”
“เรา เหรอคะ” อ้ายเก้อเขิน
“ครับ...เรา” ปกรณ์ยิ้มๆ
อ้ายอายม้วน วรรณรสา และปวรรุจมองทั้งสองคู่ด้วยอาการอมยิ้ม ท่านหญิงเหลือบมาที่คุณชาย
“ดูเหมือน สวรรค์แห่งจุงเฟรา จะช่วยให้เกิดความรักผลิบานในใจเพื่อนๆ ของเราทุกคนเสียแล้ว”
“ใช่ค่ะ” วรรณรสายิ้มแย้ม
“แล้วเธอล่ะรสา เธอเกิดความรักในใจของเธอบ้างรึเปล่า”
วรรณรสาออกอาการเขิน “ฉันมีความรักให้กับจุงเฟราค่ะ”
ปวรรุจยิ้มกับคำตอบ “ถ้าอย่างนั้นเธอจะกลับมาเยี่ยมจุงเฟรากับฉันอีกไหม”
วรรณรสามองปวรรุจด้วยความสับสน ใจสั่นไหวไปด้วยความปลาบปลื้ม แต่ขณะเดียวกันก็คลางแคลง
ใจในหลายรักของคุณชาย ท่านหญิงรสาหลบสายตาหวานซึ้งของปวรรุจที่มองมา แล้วเลี่ยงกลับไป ใจนั้นสับสน
ไปหมดไม่รู้ว่าจะตัดสินปวรรุจอย่างไรได้
ปวรรุจมองตามอย่างหยั่งไม่ถึงความคิดของวรรณรสา

สมาชิกทั้งหมดยืนอยู่ข้างรถของปกรณ์ที่กำลังสตาร์ท แต่สตาร์ทไม่ติด ปวรรุจกำลังดูกระโปรงรถ ตรวจเช็คเครื่อง
“สตาร์ทอีกที”
ปกรณ์ สตาร์ทอีก แต่เครื่องก็ยังไม่ติด
ปวรรุจส่ายหน้า “ท่าทางจะไปไม่ได้แล้วละ”
ปกรณ์ลงจากรถ หน้าเสีย
“เอาไงดีละ ปกรณ์”
“ที่กรินเดอวอลด์เป็นเมืองเล็กเสียด้วย มีอู่ซ่อมแต่อาจจะไม่มีอะไหล่ครบ มีทางเลือกครับ คือพักโรงแรมกันต่อที่นี่ หรือไม่ก็จับรถไฟไปเที่ยวต่อกันเอง หรือทางสุดท้าย...” ปกรณ์ค้างคำไว้
อั๋นซักทันที “อะไรครับ”
ปกรณ์พูเป็นเชิงหารือ “จับรถไฟกลับบ้านไงครับ ดีไหมครับคุณอิ่ม คุณอั๋น”
“อุ๊ย...ยังกลับไม่ได้ค่ะ อิ่มหยุดอีกตั้งสามวัน ต้องเที่ยวให้คุ้ม”
อิ่มไม่ยอม ปกรณ์หน้าเจื่อนไป
“พวกเธอล่ะ” ปวรรุจหันมาทางสามสาว
“ยังไงเราก็ต้องเที่ยวต่อค่ะ” เอื้อยบอก
“เราอยากไปลูเซิร์นต่อ อยากไปข้ามสะพานไม้กลางเมือง อยากไปดูสิงโตในหน้าผาหิน” อ้ายว่า
“ช็อปปิ้งด้วย” เอื้อยบอก
“ไม่ยากเลยครับ งั้นเราขึ้นรถไฟไปไม่ถึงสองชั่วโมง ค้างที่นั่นสักคืน แล้วค่อยกลับมาเอารถที่นี่ ดีไหมครับ” ปวรรุจเสนอ
อ้ายยิ้มร่า “เยี่ยมค่ะ”
“แล้วกระเป๋าเดินทางละครับ”
“เอาไปด้วยก็แล้วกันครับ”
“งั้นได้เลย”
ชายทั้งสามยกกระเป๋าให้สามสาว แล้วทั้งสามมองไปที่หีบกำปั่นใบใหญ่ของอิ่ม
“อ้าว...ยกลงมาซีคะ รออะไรอยู่”
ปวรรุจบอกท่าทีเกรงใจ “เออ คุณอิ่ม คุณอิ่มจะแบกหีบกำปั่นนี่ไปด้วยงั้นเหรอ”
“ก็อย่างนั้นซีคะ”
“ท่าจะไม่เหมาะมังครับ เราไปเดินช็อปปิ้งกันนะครับไม่ได้อพยพย้ายถิ่นฐาน” ปกรณ์ว่า
สามสาวหัวเราะออกเบาๆ อิ่มหันขวับมามอง
“ยังไงอิ่มก็ต้องเอาไปด้วย พี่อั๋นคะ พี่อั๋นจะต้องแบกหีบให้อิ่ม”
“ไม่...พี่ไม่ใช่คนรับใช้ ถ้าอิ่มรั้นจะเอากระเป๋าไป อิ่มก็ต้องแบกเอง”
“ฮึ...เดี๋ยวนี้พี่อั๋นกล้าขัดใจอิ่มเหรอคะ”
“ใช่...พี่จะไม่ตามใจเราอีกแล้ว”
เจออั๋นเอาจริง อิ่มทำท่าจะร้องไห้
“เก็บของเท่าที่จำเป็น แล้วหีบสมบัตินี่ทิ้งไว้ที่นี่”
อั๋นสั่งเสียงเฉียบขาด อิ่มเช็ดน้ำตาแล้วยอมขนของจากหีบกำปั่นออกมา

อั๋นมองไปทางเอื้อย แฝดน้องยิ้มให้อย่างภูมิใจ อั๋นยิ่งรู้สึกดียิ้มตอบ

คณะทัวร์เล็กๆ รออยู่ที่ชานชาลาสถานี ถือกระเป๋าสะพายกันของใครมัน จู่ๆ อิ่มเปรยขึ้นลอยๆ มองไปทางสามสาว

“แหม...ทำไมเราไม่ไปลูเซิร์นกันเองนะคะคุณชาย จะต้องพาพวกกาฝากไปด้วยทำไมไม่รู้”
อ้ายกระซิบ “ถ้าเรากาฝาก หล่อนก็เป็นนังทากยักษ์อยู่ในปลักควาย”
“หนูอ้าย หนูเอื้อย ทำไมเราต้องไปกับพวกเขาด้วย หญิงเบื่อยายคุณอิ่มจะแย่แล้ว”
“อย่าไปสนใจซีคะ แหม...ถ้าเราไม่ไปกับคุณปกรณ์ เราก็ไม่รู้แหล่งเที่ยว แหล่งช็อปปิ้งนะคะ”
อ้ายเห็นงามตามเอื้อย “ช่าย ยังไงมีผู้ชายอยู่ด้วย เราก็ยังปลอดภัยนะคะท่านหญิง”
วรรณรสาค้อนสองสาว
“แล้วท่านหญิงเองไม่รู้สึกปลอดภัยหรือคะที่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณชายรุจ”
“หนูอ้าย พูดอะไรไม่รู้ เข้าห้องน้ำก่อนละ”
วรรณรสาตัดบทแล้วเดินหน้าบึ้งแยกไป สองแฝดไม่ได้สังเกตว่าอิ่มแอบเดินตามไป หน้าตามีแผนร้าย
“หนูอ้าย ถ้าเกิดท่านหญิงชอบคุณชายขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น” เอื้อยหารือ
“ก็ยิ่งน่ารักน่ะซี จะได้ลืมท่านชายทัศน์เสียที” อ้ายสนับสนุน
“แต่ปัญหาจะตามมานะหนูอ้าย” เอื้อยวิตกกังวล
“ปัญหาอะไร”
“ท่านชายทัศน์จะทรงยอมเหรอ เสด็จพ่ออีก แล้วถ้ารักกันจริง เสกสมรสไป ท่านหญิงก็ต้องถอดยศหม่อมเจ้าหญิงน่ะซี”
“จริงด้วย ลืมนึกไปเลย” อ้ายเซ็ง
สาวแฝดทั้งสองหน้าเจื่อนไป

วรรณรสาเข้ามาในห้องน้ำหญิง เดินมาล้างมือที่อ่าง สำรวจน้าตาตัวเองก่อนจะเข้าห้องน้ำไป ร่างอวบของอิ่มตามเข้ามา สีหน้าดูร้ายกาจ อิ่มมองไปรอบๆ ห้อง แล้วเห็นแม่กุญแจแขวนอยู่หน้าห้องเก็บของ มีดอกกุญแจคาอยู่พอดี อิ่มยิ้มร้ายอย่างสะใจ

ทุกคนอยู่ในตู้รถไฟหมดแล้ว ยกเว้นวรรณรสา อิ่มตามขึ้นรถมา ทำหน้าตาเฉย
“เอ๊ะ รสาอยู่ไหน”
“บอกว่าเข้าห้องน้ำนี่”
อั๋นนึกได้ “คุณอิ่ม เจอคุณรสารึเปล่า เมื่อกี้อิ่มก็ไปเข้าห้องน้ำนี่”
“ไม่ทราบค่ะ อิ่มออกมาจากห้องน้ำไม่เห็นใครสักคน คงกลับมาแล้วมั้ง”
“ถ้ากลับมาเราก็ต้องเห็นซี” อ้ายฉุนแล้ว
“งั้นก็ต้องไปเดินเถลไถลไปที่ไหนแล้วละเห็นชอบนักนี่ เดินแยกตัวไปลำพังทำเป็นเศร้าซึม แล้วที่สุดก็แกล้งทำเป็นเดินหลงให้คุณชายต้องตามหา เรียกร้องความสนใจใช่ไหมแบบนี้” อิ่มแดกดัน
“แหม....รู้ดีจังนะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอแกล้งรสาอีก ฉันจะเอาไขมันย้อยๆ ของหล่อนออกมาเจียวแทนน้ำมันหมู”
อิ่มโวยลั่น “ว้าย สามหาว ไพร่ พูดจาเป็นไพร่มาก ไม่ได้รับการอบรมเลยใช่ไหมเนี่ย”
“ใช่ สำหรับคนไพร่ๆ ฉันไม่มาทำตัวเป็นผู้ดีอยู่หรอก” อ้ายเอาเรื่องเต็มที่
“นัง…”
อิ่มไม่ทันได้ด่าปกรณ์รีบห้ามทัพ
“หยุดครับ ตอนนี้ไปตามคุณรสาดีกว่า รถไฟจะออกแล้ว”
“ไป หนูเอื้อย ไปตามกัน”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะตกรถกันหมด ผมไปตามเอง”
ปวรรุจลงจากรถไปทันที ไม่ฟังคำทัดทานของใคร
“เดี๋ยวค่ะคุณชาย”
อิ่มหน้าเสีย อ้าย และเอื้อยมองอย่างเอาเรื่อง อิ่มทำไม่รู้ไม่ชี้

วรรณรสาถูกขังอยู่ในห้องน้ำ พยายามผลักประตู แต่เปิดไม่ออก เพราะประตูถูกล็อคโดยกุญแจอันใหญ่
“ตายแล้ว...ทำไมเปิดไม่ได้ มีใครอยู่รึเปล่าคะ ช่วยเปิดประตูให้ฉันที” วรรณรสานึกขึ้นได้ “Anybody Here ! Please Help me Open the door Plese เอ๊ะ หรือต้องใช้ภาษาเยอรมัน”
วรรณรสาทุบประตูอย่างแรง
ปวรรุจเข้ามาเพราะได้ยินเสียงวรรณรสาร้อง ดันประตูอย่างแรง
“รสา เธออยู่ในนั้นรึเปล่า”
“ค่ะ คุณชาย ทำไมประตูเปิดไม่ได้”
ปวรรุจมองเห็นกุญแจที่ล็อคไว้ มองซ้ายขวา จึงเห็นแม่แรงอยู่ในห้องเก็บของ เลยหยิบมา
“รสา ถอยไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
ปวรรุจฟาดแม่แรงกับแม่กุญแจสองสามที จนกุญแจหลุดกระเด็นออกมา ปวรรุจเปิดประตูให้วรรณรสารีบก้าวออกมาด้วยความโมโห
“ใครแกล้งฉันเนี่ย”
“เดาได้ไม่ยากหรอก เร็วรสา เดี๋ยวจะตกรถไฟ”
ปวรรุจคว้ามือรสาวิ่งออกจากห้องน้ำไป
ปวรรุจจับมือวรรณรสาวิ่งตรงมาที่รถไฟที่กำลังเคลื่อนออกไป อ้าย เอื้อย ปกรณ์ และอั๋น โบกมือให้สองคนรีบวิ่งขึ้นมา แต่รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างเร็ว ทั้งสองวิ่งตามมาไม่ทัน

ปวรรุจและวรรณรสาเลยหยุดวิ่ง ยืนหอบกันตัวโยนอยู่ตรงนั้น มองรถไฟที่แล่นจากไปไกลลิบตาแล้ว

รถไฟแล่นจากไปไกลมากแล้ว ปวรรุจและวรรณรสา หอบกันตัวโยนอยู่อย่างนั้น

“ไม่ทันแล้ว ฉันขอโทษ”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก คุณอิ่มคงแกล้งเธออีกแล้ว”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ จับรถไฟขบวนใหม่ดีไหม”
“นี่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้แล้วละ”
“หนูเอื้อย หนูอ้าย ต้องเป็นห่วงฉันแน่ๆ”
“คงอย่างนั้น แต่เดี๋ยวปกรณ์คงจะติดต่อมาจากลูเซิร์น เราไปแวะที่อู่รถก่อน ปกรณ์มีเบอร์โทรศัพท์ที่นั่น จากนั้นค่อยหาที่พักสำหรับคืนนี้”
ปวรรุจจับมือรสาอีกครั้ง วรรณรสามองดูมือปวรรุจที่กุมมือตัวเองอยู่ ลมหนาวพัดมา ร่างวรรณรสาสะท้านไปทั้งตัว
“ไปเถอะ เธอกำลังหนาว เธอควรจะอยู่ในที่ที่อุ่นกว่านี้”
ปวรรุจพารสาเดินออกจากสถานีไปด้วยกัน รสายิ้มบางๆ เดินตามปวรรุจไปแต่โดยดี

ทางด้านอ้ายและเอื้อย ทุกข์ร้อน เอะอะกับปกรณ์ อิ่มหน้าสลดเพราะปวรรุจไม่ได้ขึ้นมาด้วย
“เอาไงดีคะคุณ ปกรณ์” / “แล้วรสาจะเป็นยังไง” สองสาวถามพร้อมๆ กัน
“ไม่ต้องห่วงครับ เจ้าคุณชายมันดูแลคุณรสาได้อยู่แล้ว ทำใจให้สบาย เดี๋ยวพอถึงลูเซิร์นค่ำนี้ ผมจะติดต่อเจ้ารุจทันที มันพักที่ไหน โทร.ไปคุยได้ตลอด”
เอื้อยยังวิตกอยู่นั่น “แล้วจะยังไงต่อคะ”
“พรุ่งนี้เราเที่ยวลูเซิร์นกันตามปรกติ แล้วอาจจะกลับมาที่นี่ในตอนบ่าย”
เอื้ยยจิตตก “ค่ะ อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับรสานะคะ เพราะเราสัญญากับเสด็จพระองค์...”
อ้ายรีบกระแอมเสียงดัง “อะแฮ่ม...”
เอื้อยหยุดพูดทันที ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม งง
“ว่าอะไรนะครับ” อั๋นรีบถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ แต่ที่ต้องว่า น่าจะเป็นยายจอมวางแผนนี่ต่างหาก”
อ้ายมองมาที่อิ่ม อย่างเอาเรื่อง
“แผนของหล่อนใช่ไหมยายอ้วน ทำให้รสาขึ้นรถไม่ทัน”
“อะไร...ยายผอม แผนอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” อิ่มแถหน้าด้านๆ
“ต้องรู้ เธอวางแผนกำจัดรสา กำจัดเราสองคนมาตลอดทาง” เอื้อยผสมโรง
“ก็พวกไม่ได้รับเชิญ แต่ยังหน้าไม่อายมาร่วมขบวนทัวร์กับเขาด้วย ก็ต้องถูกเชิญหรือไล่ออกเป็นธรรมดา”
อ้ายเหลืออด “โถ...ยายยักษ์ขมูขี คนที่หน้าไม่อายน่ะคือหล่อน คุณปกรณ์ชวนพวกฉันมาเที่ยวด้วยแต่แรกแล้ว ฉันว่าคนที่ไม่ได้รับเชิญคือหล่อนมากกว่า”
“ไม่จริงใช่ไหมคะคุณ ปกรณ์”
“มันเป็นเรื่องจริงครับคุณอิ่ม เพราะเอาเข้าจริงทัวร์นี้ผมไม่ได้เชิญทั้งคุณอิ่ม คุณอั๋น พวกคุณมากันเอง แล้วยิ่งคุณมาทำป่วนคณะทัวร์ผมแบบนี้ ผมต้องบอกตามตรงว่าคนที่ควรจะออกจากทัวร์คือคุณ” ปกรณ์เหลืออดจริง
“คุณปกรณ์”
“หนูอ้าย หนูเอื้อยครับ เราไปอีกโบกี้ดีกว่า ถือว่าแยกทัวร์กันตรงนี้เลย”
ปกรณ์ฉุนจัดพาแฝดแยกไป อิ่มร้องไห้โฮออกมา
“พี่อั๋น คุณปกรณ์ไล่เรา”
“ไม่ใช่เรา แต่อิ่มคนเดียว พี่ขอตามทัวร์ไปด้วย”

อั๋นแยกไปไม่แยแส อิ่มยิ่งร้องเสียงไห้ดังลั่น แล้วทำหน้าเป็นปลาปักเป้าอยู่อย่างนั้น

ขณะเดียวกันท่านทูตพลเทพอยู่ในห้องทำงานที่สถานทูต กำลังพูดสายกับพระองค์เจ้าฉัตรอรุณ เห็นวรัทกำลังรวบรวมเอกสารอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง

“ฝ่าพระบาท ตอนนี้ท่านชายทัศน์เสด็จไปต่างเมือง เกล้ากระหม่อมไม่แน่ใจว่าเสด็จไปเมืองไหน”
ฉัตรอรุณอยู่ที่ห้องทำงาน ในวังอรุณรัศมิ์ ที่ประเทศไทย
“อ้อ คงจะไปเที่ยวกันสนุกละซีนะ”
“พะย่ะค่ะ” พลเทพพูดพระเจ้าค่ะ แต่พูดเร็ว ๆ
“อ้อ... โทร.มาไม่มีอะไร ฝากบอกหญิงแต้วด้วยว่าให้โทร.กลับมาหาฉันบ้าง อย่ามัวแต่เที่ยวสนุกอยู่”
“อ๊ะรับสั่งว่า ท่านหญิงวรรณรสาเสด็จมาสวิตหรือพะย่ะค่ะ”
วรัทได้ยินเต็มหู ตกใจจนทำแฟ้มหล่นจากมือโครม พลเทพหันไปส่งสายตาดุ
“ก็ใช่น่ะซี ไปสวิตตั้งสองอาทิตย์แล้ว เอ๊ะ ท่านทูตไม่ทราบหรอกหรือ”
“เกล้ากระหม่อมไม่ทราบเลย”
“ยังไงกัน หญิงแต้วไม่แวะไปที่สถานทูตรึไง”
“ไม่ได้เสด็จมาแน่ ๆ ฝ่าบาท”
“แปลก แสดงว่าหญิงแต้วกับหนูอ้าย หนูเอื้อยคงไปเที่ยวกันก่อน ไม่ได้แวะที่เบิร์นละซีท่า”
“พะย่ะค่ะ เพราะถ้าเด็จมาสองอาทิตย์ก่อน ท่านชายทรงประชุมอยู่กับเกล้ากระหม่อมและกลุ่มข้าราชการไทยพอดี คงไม่โปรดมารบกวน เป็นไปได้ว่าท่านหญิงอาจจะเด็จเที่ยวเมืองอื่น แล้วทรงให้ท่านชายเด็จตามไป”
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยตามตัวให้ฉันหน่อยนะ แล้วบอกให้โทรติดต่อฉันด้วย ฉันเป็นห่วง”
“พะย่ะค่ะ”
ท่านทูตพลเทพวางสาย หันมาทางวรัท
“วรัท”
วรัทสะดุ้งเฮือก “ครับท่าน “
“นายรู้ไหม ท่านหญิงวรรณรสากับเพื่อน เด็จมาสวิต”
“เออ ไม่ทราบเลยครับ”
“แปลกไปกันใหญ่ ท่านหญิงเด็จมาทั้งที ไม่มีคนไทยรู้เรื่องกันเลย ตอนนี้ท่านชายทัศน์ประทับอยู่ที่ไหน”
“ได้ข่าวแว่วๆ ว่าท่านเด็จไปอินเตอร์ลาเค่น”
“งั้นก็คงไปกับท่านหญิง เอ๊ะ แล้วนี่สับหลีกกันยังไง”
“สับหลีกอะไรครับ” วรัทงง
“ก็ท่านชาย เห็นควงทั้งแหม่มกะปิ ทั้งสาวไทย ท่านหญิงทรงมาเห็นเข้า ไม่เป็นเรื่องหรอกเรอะ” พลเทพกังวลแทน
“นั่นซีครับ”
“ไปสืบว่าท่านชายประทับอยู่ที่ไหน แล้วพยายามติดต่อท่านให้ได้”
“ครับท่าน”
วรัทกลืนน้ำลายเอื๊อก ลำบากใจเต็มที

ไม่นานนักวรัทหน้าตาตื่นกำลังซักถามผู้จัดการร้านคนไทยชื่อ “หนึ่ง” ในร้านปกรณ์
“ผมอยากติดต่อคุณปกรณ์ อยากรู้ว่าสาวฝาแฝดกับสาวสวยอีกคน ตอนนี้เดินทางไปที่ไหนแล้ว จะติดต่อได้ยังไง”
“ไม่ยากเลยครับ ผมรู้” ผู้จัดการบอก
“หา....คุณรู้เหรอ”
“เขาไม่ได้ไปที่ไหน แต่ร่วมขบวนทัวร์กับคุณปกรณ์นั่นแหละครับ เห็นคุณปกรณ์บอกว่า แฝดคนพี่น่ารักมาก”
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะคุณรสา”
“คุณปกรณ์เพิ่งโทร.มาบอก คุณรสากับคุณชายรุจ อยู่ที่กรินเดอวอลด์”
“ติดต่อได้ไหม”
“คงไม่ได้น่ะครับเพราะไม่รู้ไปพักกันที่ไหน ทำไมคุณวรัทถึงอยากรู้นักล่ะ”
“เปล่า คนทางบ้านที่กรุงเทพฯเขาโทร.มาถามน่ะ คุณรสาไม่ติดต่อกลับไปตั้งสองอาทิตย์แล้ว”
“ไม่ยาก เดี๋ยวผมฝากถามหลานให้ มันจะไปขึ้นยอดจุงเฟราเหมือนกัน”
วรัทงง “หลานคุณหนึ่ง”
“ครับ ยายจอยไง อย่าอึงไปนะ มันไปกับท่านชายภาณุทัศนัย ท่านชายกำลังจีบๆ มันอยู่”
“หา...ท่านชายเด็จไปกรินเดอวอลด์ แถมไปกับหลานสาวคุณด้วย”
“ใช่แล้ว”
“งั้นคุณหนึ่งไม่ต้องบอกหลานคุณเลยนะ ให้ทุกอย่างป็นความลับไว้”
วรัทรีบเผ่นออกจากร้านทันที

“อะไรของเค้า” ผู้จัดการงงหนัก

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

กรินเดอวอลด์ยามค่ำคืน บรรยากาศสวยงามนัก ปวรรุจ และวรรณรสาเดินฝ่าลมหนาวมาที่หน้าร้านอาหารเล็กๆ ปวรรุจลากหีบกำปั่นของอิ่มมาด้วย

วรรณรสามองหีบของอิ่มแล้วหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร”
“คุณอิ่มสร้างภาระให้เราไม่เลิกเลยนะคะ ดูซีต้องแบกกำปั่นเธอมาจนได้”
ปวรรุจหัวเราะตาม “นั่นซี ที่อู่รถก็ไม่ยอมให้ฝากกำปั่นนี่เสียด้วย”
ทั้งสองหัวเราะกัน ที่พื้นถนนยังมีความชื้นจากหิมะเก่าๆ วรรณรสาเดินไปแล้วลื่นนิดหน่อย
ปวรรุจรวบร่างวรรณรสาจนมาปะทะแนบกัน ร่างท่านหญิงตกอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของเขา
วรรณรสาเงยหน้าสบตา ปวรรุจ ประสานสายตากันอย่างมีความหมาย
วรรณรสาหลบตาด้วยความสะเทิ้นอาย ปวรรุจยิ้มอบอุ่น
“จับมือฉันไว้แน่นๆ ซี เธอจะไม่ได้ล้มอีก”
“ค่ะ”
ปวรรุจจับมือของวรรณรสาไว้แน่น ท่านหญิงรสาซึมซับรับรู้ถึงความอบอุ่นนั้น ที่เคืองอยู่ก็คลายไปเกือบหมด
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ท่ามกลางเมืองเล็กๆ แสนสวย...กรินเดอวอลด์

ทั้งสองจับมือเดินมาถึงหน้าร้านอาหารและที่พักเล็กๆ ที่อยู่มุมถนน
“ถึงแล้ว”
“นี่โรงแรมเหรอคะ”
“ไม่เชิงว่าเป็นโรงแรมหรอก แต่ร้านเขามีห้องพักแบ่งให้เช่า ฉันเคยมาพักที่นี่ตอนที่มาสวิตครั้งแรก”
“กับคุณปกรณ์”
“ใช่…สมัยที่เรียนที่อังกฤษ อาจจะไม่สะดวกสบายนัก แต่ก็พออยู่ได้ละ”
“ฉันถือว่าดีแล้วค่ะ สำหรับเศษเงินฟรังก์ที่ฉันติดตัวอยู่ เพราะกระเป๋าสตางค์ฉันอยู่ที่หนูอ้าย หนูเอื้อย”
“ไม่ต้องห่วง กระเป๋าสตางค์ฉันยังอยู่ติดตัวครบ แต่...เอ๊ะ...”
ปวรรุจทำทีตบกระเป๋าแล้วเหมือนหาไม่เจอ วรรณรสาตกใจ
“คุณชาย อย่าบอกนะคะว่าไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มาด้วย”
ปวรรุจมองอาการว้าวุ่นของวรรณรสาแล้วยิ้มกว้าง
“คุณชาย หลอกกันเหรอ”
“ไม่ได้หลอกสักหน่อย นี่ไง กระเป๋าสตางค์ฉัน”
ปวรรุจหยิบกระเป๋าออกมา วรรณรสาค้อนวงใหญ่
“แล้วทำไมทำท่าเหมือนกระเป๋าหาย แกล้งรสาใช่ไหม”
“เวลาเธอทำหน้าตกใจ น่ารักดี”
ปวรรุจพูดแล้วมองซึ้งๆ เข้าไปในนัยน์ตาของวรรณรสา จนท่านหญิงอายเขิน รีบหลบสายตา
“แกล้งคนให้ตกใจน่ะบาปนะคะ”
“แต่ทำหน้าตกใจแบบน่ารักอย่างนี้ ถือว่าทำบุญให้คนที่เห็นนะ”
วรรณรสาส่ายหน้ากับเหตุผลข้างๆ คูๆ ของปวรรุจ จนต้องหัวเราะออกมา ปวรรุจหัวเราะตาม
“จำไว้เถิดรสา ถึงฉันไม่มีเงินติดตัวมาเลย ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอ นอนหนาวอยู่ข้างถนนนี่แน่ๆ”
วรรณรสาปลื้มเสียจนเหมือนเห็นผีเสื้อนับพันมาบินล้อมรอบๆ ตัว
ปวรรุจมองไปรอบ ๆ ถนน
“ที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนสักเท่าไหร่ ทำให้นึกไปถึงสมัยที่มาสวิตครั้งนั้น เราสามคนสนุกกันมาก”
“สามคน ใครอีกคนคะ” วรรณรสาใจเต้น
“วาดดาวไง”
ยินชื่อนี้วรรณรสาเจื่อนไปทันที ผีเสื้อร่วงผล็อยไปในพริบตา ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าร่างของท่านชายทัศน์
กำลังเดินตรงมา ภาณุทัศนัยหยุดมองคนทั้งคู่ ดีที่ท่านหญิงหันหลังให้ ชายทัศน์มีอาการเมาไม่น้อย
“ขอฉันเดินไปดูหัวมุมถนนนั่นหน่อยนะ เราสามคนเคยเมากันตรงนั้นแล้วลื่นล้มไปบนกองหิมะ” ปวรรุจเล่าต่อ
วรรณรสาตัดบทเหมือนไม่อยากฟัง “คุณชายคะ ฉันขอเข้าไปในร้านก่อนนะคะ ข้างนอกหนาวเหลือเกิน”
“ได้ เดี๋ยวฉันตามไป”
วรรณรสาเข้าร้านไป ปวรรุจแปลกใจในท่าทีของรสาเล็กน้อย แล้ววางหีบของอิ่มไว้หน้าร้าน เดิน
เลี้ยวไปตรงหัวมุมถนน โดยไม่รู้ว่าภาณุทัศนัยตามมา

ปวรรุจเดินเลี้ยวมาที่ถนนใหญ่ เห็นผู้คนยังเดินกันขวักไขว่ เสียงทักดังมาจากเบื้องหลัง”
เป็นภาณุทัศนัยที่ทักเสียงยาน เหมือนคนเมาเล็กน้อย
“อ้าว....บังเอิญเหลือเกินนะ ที่มาเจอนายที่นี่”
ปวรรุจหันกลับมา ได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากตัว และลมหายใจของท่านชาย
“ฝ่าบาท”
“แต่ทุกคนก็ต้องมาเที่ยวจุงเฟราอยู่แล้ว ขึ้นไปหรือยังล่ะ”
“กระหม่อมขึ้นไปเมื่อเช้าแล้ว”
“กับสาวน้อยคนเมื่อกี้เหรอ”
“ฝ่าบาททรงเห็นด้วยหรือกระหม่อม”
“เห็นซี หรือว่าไม่อยากให้ฉันเห็น ซุกซ่อนเอาไว้ละซี”
ปวรรุจเปลี่ยนเรื่อง “ฝ่าบาทเสด็จมาถึงเมื่อไร”
“ฉันเพิ่งมาถึงคืนนี้ จะเที่ยวที่นี่กับอินเตอร์ลาเคนสักสองวัน แล้วค่อยขึ้นจุงเฟรา” ภาณุทัศนัยยิ้มหยัน “แล้วนี่ กับแม่สาวน้อยคนนี้ พักด้วยกันเลยใช่ไหม”
ปวรรุจรู้ความนัยของชายทัศน์ จึงรับคำไป “กระหม่อม”
“ขึ้นไปถึงยอดเมื่อเช้า จุงเฟราคงสวยเกินจะหักห้ามใจซีนะ ถึงได้มาปีนให้ถึงยอดกันอีกในตอนค่ำ ฮ่ะฮ่ะ”
ปวรรุจเครียดขึ้นทันที กับคำพูดหยาบคายของภาณุทัศนัย
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว นี่คือเพื่อนร่วมทัวร์กับกระหม่อมเท่านั้น”
“ไม่ต้องมาพ่ง มาเพื่อน หรอกน่า ไม่ต้องแก้ตัว เพราะกิตติศัพท์ของพี่ๆ น้องๆ ของนาย มันลือลั่นทั่วพระนครอยู่แล้ว”
“กิตติศัพท์อะไรไม่ทราบกระหม่อม”
“อ้าว ก็เรื่องความเจ้าชู้ เสเพลบอยของพี่น้องนายไง พวกเที่ยวที่โลลิต้าเขารู้ดี มั่วไม่เลือก จ่ายไม่อั้น แม้แต่หญิงหยำฉ่าที่เยาวราชมันยังเอามาโจษจันกันไม่เลิก”
ปวรรุจ พยายามข่มความโกรธ “กระหม่อมไม่ทราบเรื่องที่เขาโจษจันกัน แต่กระหม่อมขอยืนยันในความเป็นสุภาพบุรุษของพี่น้องกระหม่อมทุกคน ไม่มีใครฉวยโอกาสหรือปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างไม่ให้เกียรติ”
“อ้อ...เหมือนอย่างที่นาย กำลังจะเข้าพักกับสาวน้อยคนนี้สองต่อสองใช่ไหม ฮ่ะฮ่ะ คงให้เกียรติกันทั้งคืนละซีท่า”
ปวรรุจข่มอารมณ์สุดชีวิต “กระหม่อมทูลฝ่าบาทแล้ว ว่าฝ่าบาทเข้าพระทัยผิด”
“เอาเถอะๆ ตามสบาย ฉันไม่รบกวนแล้ว ขอให้ปีนจุงเฟรารอบค่ำกันให้สนุก ถึงใจพระเดชพระคุณเถอะนะ ฮ่ะฮ่ะ”
เสียงหญิงไทยตะโกนข้ามถนนอีกฝั่งมา เห็นไกลๆ
ที่แท้เป็นจอยน้องสาวผู้จัดการร้านของปกรณ์ เมาเหมือนกัน
“ท่านชายขา หนาวจะแย่แล้ว กลับโรงแรมกันเถอะ เดี๋ยวแช่น้ำอุ่นแล้วจะนวดให้”
ภาณุทัศนัยหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อย หันไปมองจอย
“อ้อ...ฝ่าบาทเองก็คงประทับกับสาวน้อยคนนั้นสองต่อสองเช่นกันใช่ไหมกระหม่อม” ปวรรุจประชด
“เฮ้ย...ไม่ใช่เรื่องของนาย อย่ายุ่ง”
ภาณุทัศนัยจะเดินกลับไปหาจอย เซเล็ก ๆ
ปวรรุจร้องตามไปอีก “ระวังนะครับฝ่าบาท ขึ้นยอดจุงเฟรา อากาศมันเบาบางเหลือเกิน สุขภาพจะต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ อย่าทรงหมดเปลืองพลังงานไปเปล่าๆ ในคืนนี้ให้มากนัก”
ภาณุทัศนัยเลือดขึ้นหน้า แต่ไม่ทันตอบโต้ ปวรรุจกลับไปตามทางเดิม
“ไอ้ทุเรศ” ชายทัศน์สบถขณะเดินมา
“ท่านชาย เมื่อไหร่จะกลับ”
“จะตะโกนทำไมวะ นังบ้าเอ๊ย”
ภาณุทัศนัยโมโห เตะกองหิมะ แล้วเกิดล้มจำเบ้าไปทั้งยืน
“โอ๊ย"

ปวรรุจเห็นสาวน้อยวิ่งมาประคอง แต่ไม่เห็นหน้า เพราะจอยหันหลังให้

ด้านวรรณรสามองไปรอบๆ ห้องพักเล็กๆ นั้น เห็นหีบกำปั่นของอิ่มวางอยู่มุมห้อง วรรณรสามองออกไปทางหน้าต่าง เห็นหิมะร่วงลงมาบางๆ ก่อนจะยินเสียงเคาะประตู

วรรณรสาลุกเดินไปเปิดให้ ปวรรุจเข้ามาพร้อมถาดอาหาร มีจานอาหารสองจาน และเครื่องดื่ม
“อาหารพร้อมเสิร์ฟครับ”
ปวรรุจวางอาหารลงบนโต๊ะ
“น่าทานจัง ต้องเสิร์ฟเองด้วยเหรอคะ”
“ครับ บอกแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่โรงแรม เพียงแต่มีห้องพักให้เช่า ทานกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
ทั้งสองเริ่มต้นทานกันเงียบๆ ปวรรุจรินเครื่องดื่มให้ วรรณรสาขรึมไป ก่อนตัดสินใจถาม
“คุณชายบอกว่าเคยสนุกกันมากที่นี่เหรอคะ ที่มากับคุณ ปกรณ์ และคุณวาดดาว”
“ใช่ ตอนนั้นเรามาเที่ยวกันสามคน เมากันทุกวัน สนุกมาก เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด”
ปวรรุจมีสีหน้าพาฝันเมื่อนึกถึงอดีต วรรณรสายิ่งสลดมากกว่าเดิม ทานอะไรไม่ลง วางช้อนและส้อม
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า รสา”
“เปล่าค่ะ”
ปวรรุจยกมืออังหลังมือกับหน้าผากวรรณรสา ท่านหญิงนิ่งไป
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ คงจะเพลียนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็นอนเถอะ”
ปวรรุจลุกขึ้น วรรณรสาลุกตาม
“แล้วคุณชายล่ะคะ นอนห้องไหน”
“ห้องด้านนอกนั่นแหละ มีอะไรก็เรียกได้นะ”
“แล้วห้องคุณชายอยู่ห้องไหนล่ะคะ ฉันจะได้ตามไปเรียกได้ถูก”
“เออ....หาไม่ยากหรอก แค่เดินออกไปที่ห้องโถงข้างนอก ก็เจอแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ ห้องโถงข้างนอก” วรรณรสาฉงน
“พอดีว่าร้านเขาเหลือห้องพักอยู่แค่ห้องนี้ห้องเดียว ฉันก็เลยไปนอนที่โถงข้างนอกน่ะ”
“ไปนอนที่โถง คุณชายจะนอนได้ยังไงกัน หนาวนะคะ ไม่มีเครื่องทำความร้อนแน่ๆ” วรรณรสานึกเป็นห่วง
“นอนสักพักก็เช้าแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน ราตรีสวัสดิ์”
ปวรรุจรีบออกจากห้องไปทันทีเป็นการตัดบท วรรณรสาได้แต่มองตาม

หิมะด้านนอกที่พักโปรยปรายหนักขึ้น ร่างของปวรรุจนอนคุดคู้อยู่ตรงมุมห้องโถง มีอาการหนาวสะท้าน เพราะมีเพียงผ้าปูนอนและผ้าคลุมผืนเดียว วรรณรสาเดินเข้ามาที่ปวรรุจนอนอยู่ แล้วลงนั่งข้าง ๆ
“คุณชายคะ”
ปวรรุจสะดุ้งตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นนั่ง
“รสา”
“ไปนอนในห้องเถอะค่ะ คุณชายนอนหนาวอยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก”
“เป็นซีคะ”
วรรณรสาเอามืออังหน้าผากของปวรรุจบ้าง
“นี่ไง เหมือนจะเป็นไข้ ไปนอนในห้องเถอะ อย่างน้อยก็มีฮีทเตอร์”
ปวรรุจอึกอัก “ฉัน...”
“ห้ามปฏิเสธค่ะ ถ้าคุณชายไม่ยอมไป ฉันก็จะนอนตรงนี้เหมือนกัน”
วรรณรสายื่นไม้ตาย พร้อมทำหน้าขึงขัง ปวรรุจยิ้ม ก่อนจะพยักหน้ายินยอม

ครู่ต่อมาทั้ง ปวรรุจและวรรณรสาลงนั่งตรงหน้าเครื่องทำความร้อน หนาวสะท้านกันทั้งคู่
“โอย ค่อยยังชั่ว”
“หน้าฮีทเตอร์นี่ละค่ะ ที่อุ่นสุดแล้ว เมื่อกี้ฉันยังมานอนตรงนี้เลย”
“บนเตียงไม่อุ่นกว่าหรอกหรือ”
“สำหรับเสื้อผ้าที่มีอยู่แค่นี้ ไม่หรอกค่ะ”
“เอ...ไม่มีผ้าห่มที่ทำให้อุ่นขึ้นเลยหรือ “
วรรณรสาส่ายหน้า แล้วสายตาของทั้งสองคนก็มองตรงไปที่หีบกำปั่นของอิ่ม
“หรือว่า เราจะถือวิสาสะ เปิดกำปั่นของคุณอิ่มออกดู เผื่อจะช่วยให้เราอุ่นขึ้นมาได้บ้าง”
“ไม่ดีมั้ง เกรงใจคุณอิ่ม” ปวรรุจไม่เอาด้วย
“แต่คุณอิ่มไม่เคยเกรงใจฉันเลยนี่คะ อย่าลืมที่เราตกรถไฟ เพราะฝีมือเธอ”

ปวรรุจยิ้มให้ แล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย

ปวรรุจและวรรณรสาหัวเราะกันคิกคัก เมื่อเห็นสิ่งของในกระเป๋าของอิ่ม วรรณรสาเป็นคนรื้อค้น ปวรรุจได้แค่มอง ไม่กล้าหยิบจับกลัวเสียมารยาท

“โคล้ธนี่คงใหญ่พอให้คุณชาย รับไว้ค่ะ อุ๊ย...อะไร”
วรรณรสาหยิบรูปม้วนๆ ในหีบขึ้นมาดู แล้วคลี่ออก ก่อนจะหัวเราะลั่น พลางหันรูปให้ปวรรุจดู
“โมนาลิซ่า”
ทั้งคู่หัวเราะกันลั่น วรรณรสาหยิบชุดเสื้อผ้าออกมากองอีกหลายตัว
“นี่ค่ะ ชุดที่เธอพยายามแต่งเป็นโมนาลิซา”
ปวรรุจเอื้อมไปหยิบผ้าพันคอเนื้อดีขึ้นมา
“นี่คงทำให้เธออุ่นขึ้น”
ปวรรุจขยับร่างมาที่เบื้องหลัง แล้วค่อยๆ พันผ้าพันคอให้ วรรณรสารู้สึกถึงความอบอุ่นนั้น
“ดีขึ้นไหม”
“ค่”
วรรณรสาเงยหน้าขึ้นมองปวรรุจ ทั้งสองสบตากัน จนเขินกันไปเอง
“งั้น ได้เวลานอนแล้วละ”
ปวรรุจดึงวรรณรสาให้ลุกขึ้น แล้วพาไปนอนที่เตียง
“ฉันยังไม่ง่วงเลย”
“นอนเสียเถิด พรุ่งนี้เราต้องเหนื่อยอีกทั้งวัน”
วรรณรสาล้มลงลงนอน ปวรรุจดึงผ้าห่มมาคลุมให้
“ราตรีสวัสดิ์อีกครั้ง”
“ค่ะ”
ปวรรุจลุกกลับไปที่มุมห้อง แล้วจัดที่นอนให้ตัวเอง วรรณรสาแอบมองอยู่ พอเห็นปวรรุจลงนอนที่พื้น
วรรณรสาค่อย ๆ หลับตาลง อย่างเหนื่อยอ่อน สองคนหลับไปในที่สุด

กรินเดอวอลด์ยามเช้าวันนั้น เห็นหิมะขาวโพลนไปทั่วบริเวณ
วรรณรสาสะดุ้งตื่นขึ้นมา มองไปยังมุมห้อง ปรากฏว่าร่างของปวรรุจหายไปแล้ว พร้อมชุดเครื่องนอน ที่พับเก็บอย่างเป็นระเบียบ วรรณรสามองไปนอกหน้าต่าง หิมะขาวโพลน

วรรณรสานั่งจิบกาแฟอยู่เพียงลำพัง แหม่มเจ้าของบ้านช่วยเติมกาแฟให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ประตูเปิดเข้ามา ก่อนจะเห็นปวรรุจกลับเข้ามา วรรณรสายิ้มอย่างดีใจ ปวรรุจลงนั่งกับท่านหญิงรสา
“เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“รถยังซ่อมไม่เสร็จครับ”
“ตายจริง แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
“ผมโทร.คุยกับปกรณ์แล้ว เปลี่ยนหมายกำหนดการนิดหน่อย วันนี้เราจะขึ้นรถไฟกลับไปที่อินเตอร์ลาเคน เพื่อสมทบกับปกรณ์และสมาชิกทุกคน เราจะอยู่เที่ยวอินเตอร์ลาเกนหนึ่งวันเต็มๆ ครับ” ปวรรุจบอก
“ดีค่ะ ตอนที่นั่งรถผ่านก็เห็นว่าน่าเที่ยวมาก เมืองน่ารักจริงๆ”
“เราทานอาหารเช้าที่นี่ก่อน แล้วค่อยเดินทาง”
“ได้ค่ะ”
ปวรรุจเดินไปสั่งอาหารกับแม่บ้าน รสายิ้มอิ่มใจ

ที่เมืองไทยเวลาราวเที่ยง วังเทวพรหม ให้การต้อนรับแขกทั้ง 6 คน อันมี ธราธร รัชชานนท์ หม่อมเอียด ย่าอ่อน นั่งอยู่กับเทวพันธ์ ภายในห้องรับแขกโถงซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม เทวพันธ์ต้อนรับหม่อมเอียด และย่าอ่อน ที่นั่งอยู่ที่โซฟากลางอย่างเอาอกเอาใจ
ธราธรและรัชชานนท์นั่งอยู่อีกด้าน รณพีร์ กับ พุฒิภัทร เดินไปในสวนกับมารตีและวิไลรัมภา
ยินเสียงเพลงจากแผ่นเสียงเพลงไทยเดิมคลอไปทั้งห้อง เทวพันธ์มองธราธรด้วยหางตา ไม่พอใจเล็กๆ ที่ทิ้งเกษรา
“ไม่ได้มาเยี่ยมวังเทวพรหมเสียนาน ตกแต่งใหม่เสียสวยเชียวนะคะ คุณชาย” หม่อมเอียดเอ่ยขึ้น
“ครับ คุณป้า นี่ก็ว่าจะซื้อหินอ่อนอิตาลีมาปูพื้นวังเสียหน่อย”
เทวพันธ์คุยโวในท่าทีกร่าง ธราธรและชายเล็กเหลือบมองหน้ากันอย่างพอรู้เช่นเห็นชาติ
“เออ คุณลุงจัดลานเต้นรำไว้ด้วยเหรอครับ” ธราธรเอ่ยขึ้น
“ใช่ ใช่”
“หืมม์ วันนี้จะมีเต้นรำกันด้วยเหรอ”หม่อมเอียดประหลาดใจ
“มีครับ ความคิดของแม่เกษราเขา เพราะว่ากระถินเต้นรำเก่งมากเลยครับคุณป้า” เทวพันธ์คุยฟุ้ง
ย่าอ่อนหูผึ่ง “หา....เต้นรำเก่งเชียวเรอะ”
“ครับ วันนี้ได้โชว์สเต็ปงามๆ ให้พวกเราได้ดูแน่ๆ คุณชายเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน ฮ่ะฮ่ะ” เทวพันธ์หัวร่อร่า
หม่อมเอียดทึ่ง ย่าอ่อนยิ้มกว้างสว่างไสว ทั้งทึ่งทั้งสมใจ ธราธรและรัชชานนท์อมยิ้มมองหน้ากัน
“เอ...แล้วนี่ชายพีร์กับชายภัทรหายไปข้างไหนหมดเสียแล้วล่ะ” หม่อมเอียดถามถึงหลานอีกสองหน่อ
“อ๋อ ออกไปเดินเล่นที่สวนน่ะค่ะ เห็นเดินกันเป็นคู่ๆ เลย น่าเอ็นดู”
ย่าอ่อนกามเทพวัยทองเป็นปลื้มมากมาย

ขณะเดียวกันภายในสวนสวยของวังเทวพรหม มารตีและพุฒิภัทรเดินด้วยกัน แลเห็นที่เบื้องหลังวิไลรัมภาเดินอยู่กับรณพีร์
“ผมยังไม่เห็นน้องกระถินเลย” พุฒิภัทรเอ่ยขึ้น
“เตรียมตัวอยู่ข้างในน่ะค่ะ เฮ้อ พอพูดถึงน้องกระถิน มารตีลำบากใจจังเลย”
“ทำไมล่ะครับ”
“มารตีพูดปดกับพี่ชายภัทรน่ะซีคะ ที่มารตีเคยบอกว่าน้องกระถินถูกอบรมมาอย่างดี นั่นไม่เป็นความจริงเลยค่ะ”
“แล้วความจริงคืออะไรครับ”
“กระถินไม่มีคุณสมบัติของความเป็นแม่บ้านแม่เรือนเลยสักนิด เป็นหญิงบ้านป่าแท้ๆ นิสัยกระโดกกระเดก ก้าวร้าว เอามาขัดเกลาอยู่เป็นอาทิตย์ก็ไม่ดีขึ้น แถมยังยะโสโอหังอีกต่างหาก”
“อ้าว...แล้วทำไมน้องมารตีต้องโกหกพี่ด้วย”
“มารตีขอโทษ ทั้งหมดเพราะพี่เกษราน่ะซีคะ บังคับให้มารตีพูดอย่างนั้น เพื่อชักจูงให้หม่อมย่าและคุณย่าอ่อนมาดูตัวกระถินวันนี้”
“แล้วทางคุณลุง เทวพันธ์ล่ะครับ”
“คุณพ่อเองก็เชื่อตามพี่เกษด้วยน่ะซีคะ คุณพ่อมาดูยายกระถินทีไร พี่เกษก็ให้ยายกระถินทำเรียบร้อยหลอกคุณพ่อทุกครั้งไป” มารตีตีหน้าเศร้าใส่ไฟเกษราอย่างดูน่าเชื่อถือ
“พี่ไม่เข้าใจ คุณเกษรามีเหตุผลอะไรครับ ถึงต้องทำอย่างนั้น” พุฒิภัทรไม่อยากเชื่อนัก

วิไลรัมภากำลังตอบคำถามรณพีร์ไปในทางเดียวกัน โดยยังห็นคู่มารตีและชายภัทรอยู่อีกมุม
“พี่เกษอยากให้คุณชายรุจได้แต่งงานกับน้องกระถินน่ะซีคะ”
“เพื่ออะไรครับ”
“พี่เกษรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้แต่งกับคุณชายใหญ่ ก็เลยพยายามจะปลุกปั้นกระถินให้เป็นเจ้าสาวของคุณชายรุจให้ได้ แต่พี่เกษทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดค่ะ เพราะกระถินถึงจะมีสายเลือดเป็นเทวพรหม แต่ไม่มีความเป็นผู้ดีเลยแม้แต่นิด เดี๋ยวคุณชายพีร์ก็คงเห็นละค่ะ”

เช่นเดียวกับพุฒิภัทร ชายพีร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ครู่ต่อมาทั้งกลุ่ม นั่งคุยกันอยู่พร้อมจิบชาไปด้วย เทวพันธ์คุยเสียงดังกับหม่อมเอียด และย่าอ่อน คุณชายทั้งสี่นั่งฟังพร้อมสามสาวเทวพรหม

วิไลรัมภานั่งข้างรณพีร์ มารตีนั่งเคียงกับพุฒิภัทร เกษรานั่งกับธราธร ขนาบด้วยรัชชานนท์นั่ง
“เด็กกระถิน ว่านอนสอนง่ายครับ เรียบร้อยอ่อนหวาน ถึงแม้จะไปอยู่เสียไกลปืนเที่ยง แต่นายวรพันธ์เขาถนอมกล่อมเกลี้ยง ไม่ให้เสียเลือดผู้ดีเทวพรหมจริงๆ” เทวพันธ์ยิ้มย่อง
คุณชายทั้งสี่มองหน้ากัน มารตี และวิไลรัมภาแอบยิ้มหยัน
“เมื่อไหร่เราจะได้พบน้องกระถินล่ะครับ” ธราธรเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวเกษไปตามให้ค่ะ”
เกษราลุกออกไป เทวพันธ์ยังสาธยายความน่ารักของกระถินให้สองย่าฟัง ชายเล็กกระซิบถามธราธร
“พี่ชายใหญ่ครับ เมื่อกี้พี่ชายภัทรกับชายพีร์ เล่าเรื่องกระถินให้ฟัง บอกว่าคุณเกษรานั่นแหละครับ เป็นคนย้อมแมวน้องกระถินมาหลอกพวกเรา”
ธราธรนิ่งงันไป “ฉันไม่เชื่อ น้องเกษไม่ใช่คนแบบนั้น”
ระหว่างนั้นที่ประตูโถง เกษราเดินนำเข้ามา
“น้องกระถินมาแล้วค่ะ”
ทุกคนหันมามอง ร่างกระถินในชุดเสื้อลูกไม้สวยงาม กระโปรงพลีทบานพองาม ผมและใบหน้าแต่งบางๆ
หน้าตาสดชื่น ผิวคล้ำดูนวลเนียน ไม่ใช่กระถินคนดิมอีกต่อไป
ทุกคนตะลึง หม่อมย่าเอียดขยับแว่นมอง ย่าอ่อนยิ้มเคลิ้ม มารตี และวิไลรัมภามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา
“กระถิน มาไหว้หม่อมย่า กับย่าอ่อนลูก”
เทวพันธ์เรียก กระถินเดินเข้ามาพร้อมเกษรา แล้วทรุดนั่งกับพื้นคลานเข้าไปกราบเท้าหม่อมเอียดและย่าอ่อน ด้วยกิริยาอ่อนช้อยงดงาม
“ไหน มาให้ย่าดูใกล้ๆ หน่อย”
กระถินกระเถิบเข้ามา หม่อมเอียดเชยคางกระถินขึ้นมองชัดๆ
“น่ารักจริงๆ คมขำนะ เพิ่งมาอยู่พระนคร สุขสบายดีไหมเรา”
ทุกคนตั้งใจฟังที่กระถินพูด
กระถินพูดยังติดสำเนียงใต้เล็กๆ แต่เสียงทุ้มนุ่มฟังสบาย ไม่ห้วนอย่างแต่ก่อน “สบายดีค่ะ พี่ๆ ดูแลกระถินอย่างดี”
กลุ่มคุณชายทั้งสี่งง ชายภัทรและชายพีร์งงกว่าเพื่อน มารตี และวิไลรัมภามองหน้ากันหน้าแตก เกษรายิ้มภูมิใจ
“เห็นว่าเราเรียนทำขนมจากพี่เกษเขาด้วยเหรอ” หม่อมเอียดถาม
“ค่ะ...พี่เกษสอนทั้งเรื่องทำขนมและทำอาหารภาคกลาง กระถินทำเป็นแต่อาหารใต้ค่ะ”
“แหม...น่าเอ็นดูนะ ทำกับข้าวกับปลาก็เป็น ไงหนูเกษ สอนง่ายไหม”
เกษราพูดตามจริง “กระถินเรียนเร็วค่ะ ฉลาดมาก สอนทำขนมยากๆ อย่างจ่ามงกุฏ ครั้งเดียวก็ทำได้คล่องค่ะ”
เทวพันธ์แทรกขึ้น “พูดถึงกับข้าว หิวขึ้นมาทันที ผมว่าถึงเวลาทานกลางวันกันแล้วละครับคุณป้า หนูเกษเตรียมสำรับเลยนะ”
“ค่ะ”
เกษรารีบลุกไปทันที หนุ่มๆ ลุกให้พร้อมกันตามมารยาท หม่อมเอียด ย่าอ่อนยังซักถามกระถินต่อ
มารตี และวิไลรัมภารีบตามเกษราออกไป

สองสาวแสบตามเข้ามาในห้องครัว พบว่ากระถิน เกษรา ป้าแย้ม และแหวว กำลังช่วยกัน เตรียมสำรับ พร้อมจะยกไปเสิร์ฟ กระถินกำลังจัดผักสดใส่จาน ดูกระหริบกระร่อย มารตี และวิไลรัมภายิ่งขัดใจ
“มีอะไรเหรอ” เกษราถามสองสาว
มารตีเยาะ “พี่เกษ นี่นับว่าเป็นการแสดงชั้นดีเลยนะคะ จับยายกระถินมาตกแต่งเป็นสาวผู้ดีมีราคา แนบเนียนเชียว แต่แหม....มันหลอกได้ชั่วมื้อชั่วคราวค่ะ พอเลิกบทบาท เขาก็จับได้ว่ายายกระถินเป็นแค่นังคางคก กำลังจะขึ้นวอ”
เกษรา แหวว แย้ม ตกใจ กระถินตาเขียว
“เราได้เฉลยความจริงให้คุณชายได้ทราบแล้วละค่ะ ว่าตัวตนที่แท้ของยายกระถินเป็นอย่างไร โง่เง่า ถ่อย เถื่อน โสโครก และกำแหงอย่างที่สุด” วิไลรัมภาด่าตาม
กระถินโกรธจัด “แกอย่ามาว่าข้าแบบนี้นะ ยายกระตี้ ยายลำพอง”
“นี่ไง ที่สุดก็หลุดความถ่อยออกมาแล้ว” วิไลรัมภาเยาะ
กระถินจะด่าอีก เกษราห้าม
“กระถิน หยุด คำหยาบห้ามพูด พี่สอนจำไม่ได้เหรอ”
กระถินสลด “ค่ะ”
“ขอบใจที่ช่วยเฉลยความจริง ป้าคะ ยกสำรับไปได้แล้ว”
“เดี๋ยว กับข้าวอะไรเนี่ย ทำไมกลิ่นมันแรงแบบนี้” มารตีทำเป็นเหม็นเสียเต็มประดา
วิไลรัมภาร้อง “ยี้ แกงไตปลา แกงขมิ้น ผัดสะตอ ใครจะกินลง ขายขี้หน้าคุณชายเขา อย่าบอกนะว่าแกทำเอง”
กระถินหน้าเชิด “ฉันทำเองค่ะ”
“หน้าอย่างแกทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”
“กระถินทำเองทุกอย่าง แม่ครัวยังออกปากชม”
เกษราบอกแล้วพากระถินออกไป แย้ม และแหววช่วยกันลำเลียงอาหารตามไป มารตีและวิไลรัมภายิ่งขัดใจ

ทุกคนในโต๊ะ ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เทวพันธ์หน้าบาน หม่อมย่าเอียดพึงใจไม่น้อย
“แหม กลมกล่อม ไม่เผ็ดเกินไปนะ หนูทำเองเหรอลูก” ย่าอ่อนยิ้มแย้มถาม
“ค่ะ แต่มีพี่เกษช่วยสอนให้ หนูลดพริกและเครื่องแกงลงบ้าง ไม่ให้รสร้อนแรงเหมือนอยู่ที่บ้านค่ะ” กระถินว่า
“แต่ผมชอบนะ ยิ่งเผ็ดยิ่งเจริญอาหาร” รณพีร์บอก
มารตีท้วง “ไม่ไหวมังคะ นี่ขนาดลดเครื่องแกงลงแล้ว กลิ่นยังฉุนขนาดนี้ โดยเฉพาะขมิ้น สะตอ ได้กลิ่นแล้วจะเป็นลม”
เทวพันธ์เหลียวไปมองมารตีอย่างไม่พอใจนัก
“นี่ละครับ หวานเป็นลมขมเป็นยา ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก มีสรรพคุณลดการอักเสบของแผล และยังช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ด้วยนะ” พุฒิภัทรว่า
ธราธรเห็นด้วย “ใช่ สะตอก็ลดน้ำตาลในเลือด และลดความดัน”
“งั้นผมต้องทานเยอะๆ แล้วละครับ” รณพีร์ยิ้มๆ
“ผมทานด้วย สะตอนี่ของชอบ” รัชชานนท์บอก
รณพีร์ตักแกงช้อนใหญ่ เช่นเดียวกับรัชชานนท์ ทั้งโต๊ะขำกันใหญ่ มารตีต้องสงบปากไป วิไลรัมภาหน้าบึ้ง เกษราและกระถินยิ้มให้กันที่ทุกอย่างออกมาดี

ธราธรยังมองกระถินและเกษราอย่างจับสังเกต

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ขณะเดียวกันที่อีกฟากฟ้า ตรงถนนสาย Bahnhofstrass ในตัวเมืองอินเตอร์ลาเคน บริเวณหน้าสถานีรถไฟ วรรณรสาและสาวแฝดโผเข้ากอดกันแน่นอย่างดีใจเหลือล้น

ปวรรุจ ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม มองอย่างประหลาดใจ ราวกับว่าวรรณรสาจากสองแฝดไปเป็นแรมปี อิ่มมองอย่างหมั่นไส้เต็มที
“รสา...เป็นห่วงมาก” เอื้อยบอก
“เมื่อคืนเป็นยังไง นอนสบายไหม เห็นว่าโรงแรมกระจอกมากเลยเหรอ” อ้ายห่วง
“ไม่หรูหรอก แต่หลับสบายที่สุดเลย ไม่ต้องห่วงนะ คุณชายดูแลรสาอย่างดี” วรรณรสาบอก
“ขอบคุณมากนะคะคุณชาย” เอื้อยหันมาทางคุณชาย
“เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” ปวรรุจยิ้มบางๆ
“แล้วลูเซิร์นล่ะ สวยไหม”วรรณรสาถามสองสาว
“สวยมาก แต่อยู่เที่ยวแป๊บเดียวเมื่อเช้า ถ่ายรูปไว้เยอะเลย” อ้ายบอก
“เอาละ...งั้นเราก็เริ่มทัวร์อินเตอร์ลาเคนกันเลยดีกว่า” ปกรณ์แทรกขึ้นพลางหันไปทางโรงแรมตรงหน้าอธิบาย “ทางด้านนู้นคือโรงแรมแกรนด์ ถ้าใครอ่านนิยาย รัตนาวดี ก็จะรู้ว่านี่คือโรงแรมที่ท่านหญิงรัตน์เสด็จมาประทับที่นี่”
“อ่านค่ะ อ่าน ประทับใจมาก แหม....อยากดูให้เห็นกับตา” อ้ายบอก
“งั้นเคลื่อนขบวนเลยครับ”
ว่าแล้วปกรณ์ก็เดินนำไป อั๋น อิ่ม และปวรรุจตาม อิ่มเชิดหน้าใส่สามสาว
“ยังจะมาเชิ่ดหน้า เดี๋ยวเถอะ ก่อคดีไว้เยอะแยะยังไม่หลาบจำ” อ้ายหมั่นไส้
“คุณปกรณ์เกือบให้ยายคุณอิ่มแยกทางจากพวกเราแล้วนะ แต่คุณอั๋นขอร้องไว้ ก็เลยยังต้องร่วมทางกันต่อไป” เอื้อยบอก
วรรณรสาถอนใจ สามสาวตามกลุ่มไป

ทั้งกลุ่มกำลังถ่ายรูปตรงหน้าโรงแรม แกรนด์ สามสาวถ่ายรูปที่หน้าสวนนาฬิกาดอกไม้ อั๋นถ่ายให้ อิ่มนั่งหน้าเชิดอยู่อีกทาง กินช็อคโกแล็ตปากเปื้อนสีดำ
ทั้งกลุ่มดูรถม้าแล่นผ่านหน้า อิ่มตาวาวอยากนั่ง ทุกคนหัวเราะขำ อิ่มเชิดใส่

ลานเต้นรำ
มารตีกับพุฒิภัทร กำลังเต้นกันอยู่กลางฟลอร์ที่ตกแต่งงดงาม วิไลรัมภาเต้นกับรณพีร์ กระถินยังนั่งคุยกับหม่อมเอียด ย่าอ่อนและเทวพันธ์ รัชชานนท์นั่งอยู่ใกล้กระถินด้วย
ธราธรนั่งคุยกับเกษราห่างออกมา เกษรากำลังปอกผลไม้ให้ ธราธรตัดสินใจถาม
“น้องเกษครับ พี่ถามตรงๆ น้องกระถินน่ะ เออ...”
“ทำไมคะ”
ธราธรจะถามต่อ แต่ทาง เทวพันธ์พูดขึ้น
“คุณชายเล็ก ทำไมไม่เชิญน้องกระถินออกไปเต้นรำบ้างล่ะ”
กระถินมีสีหน้ากระวนกระวาย
“เออ...กระถินไม่ถนัดนะคะ”
“เป็นไรไป เราก็ชำนาญอยู่ไม่ใช่หรือ” เทวพันธ์เอ่ยขึ้น
รัชชานนท์ลุกขึ้นทันทีโค้งให้กระถิน ทุกคนมองพร้อมกันเป็นตาเดียว
“ให้เกียรติพี่นะครับน้องกระถิน”
รัชชานนท์ยื่นมือให้กระถิน กระถินลุกขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ แล้วตามไปกลางฟลอร์
มารตีกระซิบ “อายจังค่ะพี่ชายภัทร ยายกระถินจะต้องเสต็ปพลาดเหยียบเท้าคุณชายเล็กแน่ๆ”
แต่แล้วกระถินกลับเต้นได้พลิ้ว ลอยละล่องกับไปกับรัชชานนท์
“เต้นเก่งนี่ครับ ไม่เห็นพลาดตรงไหน” พุฒิภัทรว่า
มารตียิ่งขัดใจ สะบัดหน้าไปทางอื่น แล้วพลาดเหยียบเท้าของชายภัทรเข้าอย่างจัง
“โอ๊ะ”
“พี่ชาย มารตีขอโทษค่ะ”
พุฒิภัทรเลยเลิกเต้นทันที มารตีช่วยพาไปนั่ง ธราธรและเกษรายังคุยกันต่อ
“น้องเกษ บอกพี่มาตามตรงเถอะนะ ที่น้องมารตีกับรัมภานินทาเรื่องกระถิน มันจริงเท็จประการใด”
“นินทาว่าเกษย้อมแมวกระถิน ฝึกให้เป็นแม่ศรีเรือนปลอมๆ หลอกพวกพี่ๆ กับคุณย่าใช่ไหมคะ”
ธราธร ถอนใจ “ใช่ครับ”
“ส่วนนึงจริงอย่างที่น้องเขาพูด แต่ส่วนนึงไม่จริงค่ะ”
“อธิบายให้พี่เข้าใจหน่อยเถอะ”
“กระถินเป็นเด็กบ้านนอกจริงๆ ค่ะ อยู่ที่เหมืองก็เล่นสนุกโลดโผนแบบเด็กผู้ชายไปวันๆ แต่พอจับมาอบรมเกษก็พบว่ากระถินว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด ฝึกหัดอะไรได้รวดเร็ว ฉลาดหลักแหลม มีเสียอย่างเดียวก็เรื่องนิสัยและมารยาทบางอย่างที่ยังต้องขัดเกลากันบ้าง”
“ขอบใจน้องเกษที่พูดความจริงกับพี่ แต่ทำไมต้องลงทุนกันถึงขนาดนี้”
“เป็นความประสงค์ของคุณพ่อค่ะ เกษขัดคุณพ่อไม่ได้”
“พี่เข้าใจแล้ว”
“มีอีกเรื่องที่เกษอยากให้พี่เข้าใจ กระถินไม่ได้อยากแต่งงานกับคุณชายรุจเลย เธออยากกลับบ้าน ไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดมากกว่า และ...ดูเหมือน...”
“อะไรครับ”
“เธออาจจะมีคนรักอยู่ที่บ้านเกิดแล้วก็ได้” เกษราว่า
ธราธรเป็นอึ้งไป ทั้งสองหันกลับไปมองกระถินที่ยังเต้นรำกับรัชชานนท์อย่างงดงาม กระถินยิ้มแต่ดูเศร้าและแห้งแล้งเต็มที ธราธรเริ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมด
ทางด้านเทวพันธ์ หม่อมเอียด และย่าอ่อน คุยกันต่อ
“แหม....อยากให้ชายรุจมาเห็นน้องกระถินเหลือเกินนะคะคุณพี่” ย่าอ่อนว่า
“ครับ เหมาะสม เหมาะสมกันเหลือเกิน”

ธราธรและเกษราได้ยินทั้งหมด ทั้งสองยิ่งเศร้าใจกับชะตากรรมของสาวน้อยกระถิน

ฝ่ายวรรณรสาและสองแฝดเดินดูข้าวของในอินเตอร์ลาเคน จังหวะที่ท่านหญิงรสาเดินเข้าร้านเล็กๆ เห็นว่าปวรรุจกำลังพูดโทรศัพท์อยู่

“ครับ...ขอบคุณมากวาดดาว”
วรรณรสาอึ้งไป
“ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี”
วาดดาวอยู่ที่โถงในชาโตส์ พูดเล่นขำๆ
“ไม่ยากค่ะ ก็รักฉันให้มากๆ ซีคะ คุณชาย รักทุกวันด้วย”
ปวรรุจหัวเราะร่า “ผมรักวาดดาวทุกวันอยู่แล้ว รักมากขึ้นทุกวันเลยด้วย”
วรรณรสานิ่งงันไป เจ็บแปลบไปหมด
“ค่ะ แล้วตอนเย็นฉันจะส่งรถไปรับพวกคุณนะคะ”
“เป็นน้ำใจอันประเสริฐเหลือเกิน”
“อุ๊ย อย่ามาหวานค่ะ ยินดีที่จะได้พบกันอีกครั้งค่ะ”
“เช่นกันครับ ยินดีที่จะได้พบกันอีกครั้ง”
ปวรรุจเลิกสาย วรรณรสารีบออกจากร้านไปทันที

คณะทัวร์ของปกรณ์ร่วมโต๊ะทานกลางวันกันอยู่ในร้านอาหาร วรรณรสาแยกมานั่งกับแฝด ชำเลืองไปที่ปวรรุจเป็นระยะ ปวรรุจหันมาสบตายิ้มให้ วรรณรสาไม่ยิ้มตอบเมินหนีไปทางอื่น ปวรรุจเจื่อนไป ปกรณ์พูดขึ้น
“ผมมีข่าวดีและร้ายจะแจ้งให้ทุกคนทราบ”
ทุกคนเงียบเสียงทันที
“อยากฟังเรื่องไหนก่อนดี” ปกรณ์ถามอีก
“ร้ายครับ” อั๋นบอก
“ข่าวร้าย รถของผมท่าทางจะเกเรมากกว่าที่คิด วันนี้อาจจะซ่อมไม่เสร็จ จะแล้วเสร็จคงเป็นพรุ่งนี้”
“อ้าว...แล้วข่าวดีล่ะคะ” อิ่มถาม
“ข่าวดี ไอ้คุณชายคิดแผนไว้แล้ว ว่าไปเลย”
“คืนนี้เราคงต้องค้างที่นี่ หรือไม่ก็กลับไปค้างที่กรินเดอวอลด์ แต่ผมเห็นว่าถ้าเราค้างที่นี่ก็ดีกว่า เพราะเราจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ”
วรรณรสาถามเสียงเย็นชา “ทำไมคะ”
ปวรรุจบอกด้วยสีหน้าแช่มชื่น “เพราะวาดดาวยินดีจะให้เราพักที่ชาโตส์ของเธออีกคืนน่ะครับ”
“แถมเจ้ารุจยังใช้วาทศิลป์ของนักการทูต หว่านเสน่ห์ใส่คุณวาดดาว จนเธอยอมให้รถส่วนตัวของเธอรับส่งพวกเราอีกต่างหาก ทุกอย่างฟรี”
ปกรณ์เสริมจบ ทุกคนเฮพร้อมกัน แต่วรรณรสากลับยิ่งมองปวรรุจอย่างไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“ดีเลยค่ะ คืนนี้เราค้างบ้านคุณวาดดาว แล้วพรุ่งนี้กลับกรินเดอวอลด์ แล้วขึ้นไปเล่นสกีบนยอดจุงเฟรากันดีไหมคะ” เอื้อยวาดโปรแกรม
อั๋นมองเอื้อยอย่างชื่นชม “เป็นความคิดที่วิเศษที่สุดเลยครับ”
ทุกคนส่งเสียงฮือฮาเห็นด้วย
ปวรรุจยิ้มพร้อมกับสรุป “ตกลงตามนี้นะครับ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะไม่ไปบ้านคุณวาดดาว”
ทุกคนเงียบเสียงลง มองมาที่วรรณรสาเป็นตาเดียว
“ทำไมละ รสา” อ้ายงงมาก
“ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรแยกกันเสียที เราจะแยกไปพักของเราเอง”
ปกรณ์หน้าเจื่อนเมื่อได้ฟัง “คุณจะพักที่ไหนเหรอครับ”
“ไม่ทราบค่ะ แต่ฉันกับหนูอ้าย หนูเอื้อยจะไปกันต่อ เราอาจจะลงใต้ ไปแซร์มัตต์ก็ได้”
ปวรรุจมองวรรณรสาอย่างประเมิน อ้ายและเอื้อยหน้าเจื่อน
“อุ๊ย...ดีค่ะ รีบๆ แยกไปเลย เพราะคนเยอะนี่แหละ ถึงทำให้รถเสีย รับน้ำหนักเกิน ต้องกำจัดออกไปเสียบ้าง” อิ่มระรื่นอยู่คนเดียวในวง
วรรณรสายืนยันทางสีหน้า ปวรรุจไม่เข้าใจเหตุผลของรสา สองคู่ชู้ชื่นเจื่อนจ๋อยสนิท

สามสาวเดินมาด้วยกัน วรรณรสาเดินนำ สองแฝดตัดสินใจถาม
“ท่านหญิงขา คิดดีแล้วเหรอคะว่าจะไม่ไปพักที่บ้านคุณวาดดาว” เอื้อยถามก่อน
“เราไม่ได้วางแผนที่จะลงใต้ ไปแซร์มัตต์เลยนะ” อ้ายถามตาม
“หนูเอื้อยหนูอ้าย อย่าให้หญิงต้องไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคู่รักเก่าที่ลักลอบเล่นชู้กันเลย”
อ้ายตกใจกับคำพูดนั้น “ท่านหญิงหมายถึงคุณชายกับคุณวาดดาวน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านหญิงคิดก็ได้นะคะ” เอื้อยว่า
“หาว่าหญิงใส่ความเขางั้นเหรอ ไม่นะ หญิงเห็นกับตา เขากอดจูบกันกลางดึก ในที่รโหฐาน ไม่มีใครเห็น”
อ้ายท้วง ไม่เชื่อนัก “หนูอ้ายก็เห็นเขากอดกันนะคะ แต่เป็นการกอดกันแบบทักทาย ไม่น่าจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้”
“แต่มันคิดได้นี่ คุณฟิลลิปก็อายุคราวพ่อ คุณวาดดาวยังสาว คงหวังจับเศรษฐีแก่เพื่อเอาสมบัติ สมคบคิดกับคุณชาย พอคุณฟิลลิปเสีย ก็จะได้กลับมาอยู่กินกันอีกครั้ง ใช้เงินสามีเก่าสบายไปไม่ต้องลงทุนอะไรมาก”
วรรณรสาคิดเป็นตุเป็นตะ จนเอื้อย อึ้ง
“เฮ้อ...ท่านหญิงคิดอะไรขนาดนั้น เอาละ...ถ้าเราไม่ไปกับคุณปกรณ์ เราก็ต้องวางแผนกันใหม่แล้วละ”
“หาที่พักหรือไม่ก็ต้องจับรถไฟเดินทางกันต่อ”
เอื้อยและอ้ายมองหน้ากัน
“แล้วก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” อ้ายครวญ
“หนูอ้าย หนูเอื้อย นี่แสดงว่ายังอาลัยอาวรณ์คุณปกรณ์ กับคุณอั๋นอยู่ใช่ไหม ก็ได้ รสาแยกไปคนเดียวก็ได้ เชิญทั้งคู่อยู่กับคู่รักให้สบายใจเถอ”
วรรณรสาน้อยใจจะแยกไป แฝดเข้ามายึดรั้งไว้
“ท่านหญิงอย่าน้อยใจซีคะ” เอื้อยโอ๋
“เราสัญญากันแล้ว ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน จะทิ้งกันได้ยังไง” อ้ายว่า
“อีกอย่าง สองหนุ่มนั่นไม่ใช่คู่รักของเราสักหน่อย”
“จริงนะหนูอ้าย หนูเอื้อย”
“จริงซีคะ”
“รักหนูอ้าย หนูเอื้อยที่สุด”
วรรณรสากอดแฝดทั้งสอง อ้ายกะเอื้อยเข้าสวมกอดตอบ

แล้วสาวแฝดก็ลอบมองหน้ากันอย่างเซ็งเต็มที

ขณะที่สามสาวเดินช็อปปิ้งตามถนนเล็กๆ ร้านค้าเต็มสองข้างทาง ปวรรุจและปกรณ์ เดินสวนมาพอดี

“เออ...ตัดสินใจแล้วรึยังครับ ว่าจะไปค้างบ้านคุณวาดดาวหรือจะไม่ไป เพราะค่ำนี้รถจะมารับพวกเราแล้ว”
ปกรณ์ถาม วรรณรสาตอบโดยไม่ต้องคิด
“บอกแล้วไงคะ ว่าเราไม่ไป ขอแยกทางตรงนี้เลยค่ะ”
ปกรณ์กะสาวแฝด หน้าเจื่อน ปวรรุจมองหน้าวรรณรสานิ่งๆ
“ขอคุยกับเธอส่วนตัวได้ไหม”
วรรณรสาทำหน้าเย็นชาใส่

ปวรรุจพาวรรณรสามาคุยที่หน้าร้านเล็กๆ ตกแต่งน่ารักร้านหนึ่ง
“คิดดีแล้วหรือ ถึงจะแยกตัวเดินทางลำพัง”
“ไม่ได้ลำพัง ฉันอยู่กับหนูอ้าย หนูเอื้อย เราช่วยเหลือตัวเองได้”
“ฉันไม่อยากเชื่อนัก เท่าที่ผ่านมานอกจากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว ยังเข้าตาจนอยู่บ่อยๆ อีกอย่างแฝดทั้งคู่เพิ่งบอกกับปกรณ์ว่า เขาไม่มีเงินเหลือมากนักที่จะพักโรงแรม หรือใช้จ่ายส่วนตัว”
“เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ฉันมีจ่ายอยู่แล้ว”
“นี่แหละที่ทำให้ฉันห่วง เธอมีเงินใช้จ่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะอยู่รอดปลอดภัย...ไปพักด้วยกันเถอะรสา”
วรรณรสาอึ้งไปกับคำชวนสุภาพของปวรรุจ ที่เต็มติ้นไปด้วยความรู้สึกห่วงใยแท้จริง และเกือบจะใจอ่อนแล้ว แต่ก็ตัดใจปฏิเสธ
“ไม่ค่ะ”
ปวรรุจมองวรรณรสาอย่างระอาใจ
“งั้นก็ตามใจ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ปวรรุจมองรสาด้วยสายตาห่วงใย วรรณรสาแพ้สายตาคู่นั้น ร่ำๆ จะยอมรับข้อเสนอแล้ว แต่มีเสียง
ดังมาจากเบื้องหลัง
“เฮ้ย....โลกกลมจริง ๆ มาเจอนายอีกจนได้”
วรรณรสาเย็นวาบไปทั้งตัว เพราะจำได้ว่าเสียงนั้นคือชายทัศน์

วรรณรสายืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ขณะที่ปวรรุจทักทายอย่างนอบน้อม
“ฝ่าบาท”
“สาวคนเดิมกับเมื่อคืนใช่ไหม แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อย” ชายทัศน์เอ่ยขึ้น
“เออ...นี่” ปวรรุจหันมา
ไวเท่าความคิดวรรณรสาจามเสียงดัง “ฮ้าดเช่ย” รีบปิดปากทำเสียงอู้อี้ “โทษค่ะขอเข้าห้องน้ำก่อน”
วรรณรสารีบแยกเข้าร้านข้างๆ ไปทันที
ทั้งปวรรุจและภาณุทัศนัยมองอย่างงงๆ ชายทัศน์นั้นไม่พอใจนักที่สาวไทยไม่แสดงความเคารพก่อน จึงหันมาหยัน ปวรรุจ
“ไง..เมื่อคืนคงหลับสบาย”
ปวรรุจอึ้งไป
“ท่าทางจะสวยไม่ใช่เล่น คุณชาย...สมกับชื่อห้าสิงห์จุฑาเทพจริงๆ คุณชายคว้าสาวร่วมทัวร์มานอนกกด้วยได้ เมื่อคืนคงอุ่นพิลึกละซี้”
ปวรรุจหน้าตึงขึ้นทันทีกับการดูถูกของท่านชาย
ส่วนรสาที่แอบซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน ได้ยินการสนทนาชัดเจน เริ่มรู้นิสัยแท้ๆ ของภาณุทัศนัย
“กระหม่อมทูลฝ่าบาทแล้ว สาวไทยคนนั้นเป็นนักท่องเที่ยว บังเอิญเราเดินทางมาด้วยกัน และ..กระหม่อมให้เกียรติเธอตลอดการเดินทาง”
ชายทัศน์แดกดันอีก “เข้าใจพูดนะ สมเป็นนักการทูต”
ปวรรุจหยันกลับไปบ้าง “วันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จขึ้นจุงเฟราหรือกระหม่อม”
“วันนี้อากาศไม่ดี หมอกลงจัด กลัวว่าขึ้นไปจะไม่เห็นอะไร”
“งั้นสาวน้อยคนใหม่ ถัดจากมิสลิลลี่คงผิดหวังแย่”

ภาณุทัศนัยมอง ปวรรุจอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ฝ่ายวรรณรสาฟังอยู่ด้วยความสงสัย ว่าใครคือสาวน้อยคนใหม่

“นายนี่มันยั่วโทสะจริงๆ นะ นิสัยและพฤติกรรมอย่างนายนี่ทำให้ฉันสงสัยจริงๆ”
“ฝ่าบาททรงสงสัยอะไร”
“เรื่องที่ผู้ใหญ่เขาเลือกให้นาย มาเตรียมงานระดับนานาชาติแบบนี้น่ะซี คิดยังไงกันถึงเลือกคนอย่างนาย”
ปวรรุจ รู้อยู่แต่แกล้งถา “ไม่ทราบว่ากระหม่อมมีปัญหาอะไร”
“เขาควรจะพิจารณาคนที่เหมาะสมกว่านาย อย่าลืมว่าที่กระทรวงมีหม่อมราชวงศ์หรือหม่อมหลวงอีกหลายคน”
ปวรรุจหน้าตึงทันที “แล้วความเป็นหม่อมราชวงศ์ของกระหม่อมมันไม่เหมาะสมงั้นหรือฝ่าบาท”
“แน่นอน เพราะไม่มีใครเขาเป็น “คุณชายก้นครัว” อย่างนาย” ภาณุทัศนัยจงใจเน้นคำเสียดสีในตอนท้าย
ปวรรุจกัดกรามกรอด พยายามระงับอารมณ์ วรรณรสาตาลุกโพลง
“ถ้าเป็นพี่น้องของนาย ฉันว่ามันไม่ผิดหรอก เพราะชาติกำเนิดเขาดีกันทุกคน ผิดกับนาย เจียมตัวไว้บ้างว่านายเกิดมาจากเมียคนใช้ หม่อมช้องนางน่ะ ที่จริงก็คือต้นห้องของหม่อมเอก หม่อมอุบลวรรณ แม่นายคือคนรับใช้ดีๆ นี่เอง”
ปวรรุจโกรธจนตัวสั่น แต่ยิ้มรับ
“กระหม่อมไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองเป็นลูกสาวใช้ต้นห้อง ยอมรับและภูมิใจด้วยซ้ำที่เกิดมาเป็น “คุณชายก้นครัว” แต่ในความรับรู้ของกระหม่อม ที่แม่ช้องนางและท่านพ่อวิชชากรทรงอบรมมา ไม่ว่าจะเป็นคนใช้ หรือหม่อมราชวงศ์” ปวรรุจเน้นคำ “หรือ...หม่อมเจ้า ที่สูงส่งสักแค่ไหน”
ชายทัศน์เม้มปากแน่นกับคำว่า “หม่อมเจ้า”
ปวรรุจพูดต่อ “...มันไม่มีความหมาย เท่ากับเราสร้างคุณค่าให้กับตัวเราเองหรอก กระหม่อม”
วรรณรสาที่แอบฟังอยู่ยิ้มออกมา ภาณุทัศนัยโกรธจนตัวสั่น
“นี่แก...”
ปวรรุจสวนคำออกไป
“กระหม่อมต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่กระทรวง ที่ไม่มีทัศนคติคร่ำครึ หรือโง่เขลาเบาปัญญา ตัดสินคนทำงานแค่เปลือกนอก แต่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและเป็นธรรมมาก พอจะเห็นคุณค่าของกระหม่อม จนได้มอบหมายงานสำคัญให้กระหม่อมทำงานรับใช้ประเทศชาติในครั้งนี้”
ภาณุทัศนัยโกรธตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
“นายจะอ้างคำพูดสวยหรูอะไรมาปลอบใจตัวเองก็ได้ แต่ไอ้กำพืดที่มันติดตัวนายอยู่ เปรียบไปก็เหมือนเขาควาย มันโค้งงออยู่บนหัวนาย ประจานให้ทุกคนเห็นอยู่ทนโท่ว่านายมันไอ้ลูกขี้ครอก และไม่มีวันที่นายจะซ่อนเร้นไอ้เขาควายนี่ไปได้หรอก”
ปวรรุจไม่ตอบโต้อีก และยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านชายทัศน์มอง ชายรุจที่ไม่แสดงอาการใดๆ ยิ่งบันดาลโทสะ ผละตัวหนีไปทันที
วรรณรสาแอบฟังอยู่ ทอดถอนใจ รับรู้นิสัยแท้จริงของ ภาณุทัศนัยในคราวนี้นี่เอง

ปวรรุจเดินเข้ามาในร้าน มองหาวรรณรสา ท่านหญิงรสาผลุบออกจากร้าน แล้วตามชายทัศน์ไป ปวรรุจ
มองหาทั่วร้านแต่ไม่เจอ

วรรณรสาตามภาณุทัศนัยไปห่างๆ ชายทัศน์เดินอยู่อีกฟากถนน วรรณรสาดึงคอเสื้อโคล้ทกันหนาวให้ปิดคอ ใส่แว่นดำและดึงผมมาปิดใบหน้า และอย่างที่คาด สาวไทยนางหนึ่งวิ่งมาหาภาณุทัศนัย ชวนมาดูของหน้าร้านแห่งหนึ่ง ทั้งสองหัวเราะระรื่น วรรณรสายิ่งเจ็บแปลบ ชายทัศน์เดินเลยไป
 
วรรณรสาตาแดงน้ำตารื้นด้วยความโกรธ เลิกตามต่อ ไม่มีความรู้สึกผูกพันใดๆ หลงเหลืออีกแล้ว

โปรดติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 7 
กำลังโหลดความคิดเห็น