จากบทบาท “หญิงแต้ว” ในละครคุณชายปวรรุจที่ทำให้ทุกคนรู้จักเธอ ในมาดคุณหญิงผู้สง่างาม น่ารัก ปากไม่ตรงกับใจ เจ้าของรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ มาถึงตอนนี้นางเอกสาว “มิว - นิษฐา จิรยั่งยืน” กลับมาอีกครั้งในบทนางเอกที่พลิกคาร์แลกเตอร์ กลายเป็น วนิษา หญิงสาวผู้มีดวงกินผัวที่ต้องพบกับหลายบทบาทชีวิต ทั้งตั่วเจ้เจ้าของธุรกิจสีเทา สะใภ้เจ้าจนถึงไฮโซ
“ยากเหมือนกันค่ะ เพราะมันเป็นคอมีดี้นิดๆ จังหวะมันก็จะต่างจากดรามา แล้วเราต้องเล่นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เป็นตั่วเจ้ คนคุมบ่อนซึ่งตัวละครเขาเองก็จะมีมาดคุณหญิงนิดหน่อย แต่ตัวตนก็เป็นคนละคนกับหญิงแต้วเลย” เธอเอ่ยถึงบทบาทในผลงานเรื่องล่าสุด
ในช่วงเที่ยงของวันก่อนพักทานข้าว เธอเผยยิ้มสดใสก่อนให้ช่างภาพของเราเก็บภาพ กระนั้นบทสนทนาระหว่างทีมงาน M - Lite กับเธอก็ยังไม่เริ่มขึ้น เมื่อเธอต้องแทรกตัวเองกลับสู่การทำงานในฐานะนางเอกโฆษณา ล่วงถึงช่วงเย็นย่ำเธอเปลี่ยนชุดจากเดรสสีเข้มดูหรูมาอยู่ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขายาว มาดเซอร์ดูแปลกตาสำหรับนางเอกแต่ก็เข้ากับเธอ
“หนูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ กับชีวิต ไม่ค่อยมีเงื่อนไขอะไรกับชีวิตมาก อย่างเวลามีเรื่องอะไรที่ปกติคนจะรู้สึกโกรธหนูจะไม่ค่อยเก็บมาเป็นอารมณ์ คิดด้วยว่าโกรธไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้” เธอเอ่ยถึงตัวตนสบายๆ ในแบบของเธอที่อาจดูขัดกับมาดคุณนายจากผลงานละคร วันนี้เรามารู้จักตัวตนหลากหลายมุมชีวิตของเธอกัน
กว่าจะขึ้นแท่นนางเอก
ส่วนผสมของการเข้าสู่วงการบันเทิงนั้นโดยมากแล้วมักประกอบไปด้วยความมุ่งมั่น โอกาสและความบังเอิญ กับมิว - นิษฐาก็เช่นกัน เธอพบเข้ากับความบังเอิญที่เธอมีเพื่อนทำโมเดลลิ่งอยู่จึงได้มีโอกาสไปแคสงานต่างๆ จากบทเล็กๆในงานโฆษณา สู่ตัวหลักกระทั่งเข้ามาสู่ช่อง 3 แม้ว่าก่อนหน้านี้ครอบครัวเธอจะไม่ไว้ใจกับวงการบันเทิงมากนัก
“พ่อไม่ค่อยชอบน่ะค่ะ จริงๆ เขาไม่อยากให้ทำ แต่เราไปทำของเราเล่นได้ตังค์” เธอเผยถึงช่วงแรกๆในวงการ “คือคุณพ่อเขาไม่ไว้ใจพวกโมเดลลิ่งมากกว่า ไม่ได้ไม่ชอบวงการบันเทิง แต่พอเรามีเพื่อนทำโมเดลลิ่งคุณพ่อก็เลยวางใจ”
หลังจากช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่เธอแคสงานจริงจังเป็นพิเศษจนได้งานติดกัน 5 - 6 งาน และได้รับบทเด่นมากขึ้น กระทั่งท้ายที่สุดก็ถูกช่อง 3 เรียกตัวเข้ามาร่วมสังกัดและได้รับโอกาสเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัวในท้ายที่สุด
“ก็ไม่ได้ปรับอะไรมาก” เธอเล่าถึงการปรับตัวจากนางเอกโฆษณาสู่นางเอกละครทีวี “ค่อยๆปรับไป เหมือนเราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องตรงต่อเวลา อีกอย่างคือการปรับตัวในเรื่องของการแสดง เหมือนต้องเริ่มต้นการแสดงใหม่ เราไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน ก็ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพื่อให้เข้าใจวิธีการแสดงมากขึ้น”
ในช่วงแรกเธอเผยว่า เคล็ดลับคือต้องมีสมาธิและทำตัวให้รู้สึกกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีเข้ามาทุกวัน
“จริงๆก็พยายามทำตัวให้มีความกระตือรือร้น มีความเฟรชสดใสอยู่ตลอด ให้รู้สึกว่าตัวเองมีพลัง เพราะถ้าเราเนือยๆ เซ็งๆ การแสดงมันก็จะเป็นเนือยๆ เซ็งๆไปด้วย เราต้องมีพลังหน่อย”
งานหนักที่สวิตเซอร์แลนด์
หลังจากละครคุณชายปวรรุจลาจอไป เบื้องหลังถือเป็นงานหนักชิ้นหนึ่งที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างมาในวงการบันเทิง ทั้งชื่อเสียงที่มากขึ้นและประสบการณ์ทำงานอันล้ำค่าจากการต้องเดินทางไปถ่ายทำถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยมีเงื่อนไขที่จำกัดด้านเวลาที่ต้องเร่งถ่ายให้ทันใน 2 อาทิตย์!
“ผ่านช่วงนั้นมาได้เรารู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นนะ เก่งขึ้น เพราะช่วงนั้นเหนื่อยมาก ทำไมเหนื่อยขนาดนี้ แล้วเวลามันเร่งด่วนมาก ตอนนั้นไม่ท้อกับความเหนื่อยแต่ท้อกับการแสดงที่ยังเล่นไม่ได้มากกว่า ซีนง่ายๆเราก็รู้สึกว่ายากเพราะเรายังทำงานไม่ค่อยเป็น คือเราต้องพัฒนาตัวเองที่โน่นเลย”
ตารางเวลาสำหรับถ่ายทำที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เธอต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาแต่งหน้าก่อนทุกคน เพราะนักแสดงมีทั้งหมด 8 คนแต่ช่างแต่งหน้ามีคนเดียว เธอซึ่งเป็นนางเอกก็จำเป็นต้องเข้าฉากอยู่ตลอด ทำให้ต้องตื่นคนแรกและถ่ายทำเสร็จเป็นคนสุดท้ายอยู่เสมอ 2 ทุ่มคือเวลาเลิกงานที่เร็วที่สุด แต่โดยมากแล้วการถ่ายมักไปเสร็จเอาช่วง 4 ทุ่มของวัน
เวลานอนเพียงน้อยนิดที่ติดๆกันถึง 2 อาทิตย์ทำให้ร่างกายของเธอแทบรับไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ความลำบากเหล่านั้นก็ทำให้เธอโตขึ้น
“หลังๆก็ดำโทรมค่ะ ตาแดงอะไรอย่างนี้เพราะว่าบางทีขึ้นไปถ่ายบนยอดเขา แล้วแสงมันสะท้อนกับหิมะ แสบตามาก แล้วมันก็ดำ โทรมเลย กลับมา บางทีผิวก็ลอก”
ช่วงก่อนไปถ่ายทำที่สวิตเชอร์แลนด์นั้น เธอก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการศัลยกรรมให้ตาเป็น 2 ชั้นเพื่อให้ตาดูเท่ากันทั้ง 2 ข้างเพื่อให้การทำงานสะดวกรวดเร็วขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะไม่เคยรู้สึกอยากทำศัลยกรรมมาก่อนเลยก็ตาม
“ลองติดสติ๊กเกอร์ 2 ชั้นดูแล้วแต่พอลองดูในกล้องมันก็เห็นชัดว่าไม่เท่ากัน ก็เลยไปทำดีกว่าเพื่อให้ทำงานง่ายๆขึ้น แล้วเราต้องไปถ่ายทำที่สวิตฯด้วยและสำหรับการทำงานในเรื่องต่อๆไปด้วย” เธอเอ่ยเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้วเธอก็รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ก่อนแล้ว “ของเดิมก็ชอบ เราจะดูหมวยๆหน่อย ก็ชอบเหมือนกัน แต่อย่างนี้ก็จะดูหวานๆ คนละสไตล์แต่มันก็โอเค”
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านช่วงเวลาอันแสนหนักหนามาได้ เธอเผยว่าตารางเวลาชีวิตในฐานะนักแสดงก็เป็นงานที่ไม่หนักมาก การได้เว้นช่วงสลับกับงานหนักทำให้เธอเริ่มเห็นความสนุกจากงานแสดง
“ช่วงกลับมาถ่ายที่ประเทศแล้วตอนนั้นเราเริ่มสนุกนะ” เธอเผยถึงช่วงที่เริ่มสนุกกับอาชีพนักแสดง “เหมือนมันไม่ได้ถ่ายติดๆกันทุกวันจนเกินไป เรามีเวลาพัก วันไหนที่ได้ถ่ายละครก็รู้สึกแฮปปี้ ได้ไปเจอเพื่อนๆในกอง ได้ไปเจอทีมงาน และพอเราเริ่มเข้าใจในการแสดงเราก็เริ่มสนุกกับมัน”
เด็กเรียนผู้แอบกินขนมในห้อง
เมื่อถามถึงช่วงวัยเรียน เธอพยายามอธิบายว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเรียน แต่ด้วยผลการเรียนระดับกลางค่อนไปทางสูง ความหมกหมุ่นกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นเด็กเรียนแข่งกันทั้งยังเป็นเด็กขี้อาย ไม่ทำกิจกรรมที่มักจะนั่งหน้าชั้นเรียนอยู่เสมอ เหล่านี้ก็คงหนีไม่พ้นนิยามของคำว่า “เด็กเรียน” ไปได้
“เราเป็นแนวเด็กขี้อายหน่อยๆ เป็นเด็กตั้งใจเรียน ไม่ค่อยทำกิจกรรม แต่ก็ไม่ใช่เด็กเรียน” เธอเอ่ยถึงชีวิตวัยเรียนที่เซนต์โยเซฟคอนแวนด์ โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านสีลม
โดยกลุ่มเพื่อนสนิทช่วงมัธยมฯ ของเธอนั้นจะมีทั้งกัน 4 คน เป็นกลุ่มเรียบร้อยที่เรียนเก่งกันทั้งกลุ่ม เธอบอกว่า เกรด 3 ขึ้นตลอดพลางหัวเราะเบาๆ ช่วงพักกลางวันเธอก็มักจะใช้เวลาไปกับการนั่งคุยเล่นกับเพื่อน แต่เธอก็ย้ำอีกครั้งว่า เธอไม่ใช่เด็กเรียนขนาดนั้น
“กลุ่มตั้งใจเรียนแต่ก็ไม่ได้เป็นเด็กเรียนขนาดนั้น อาจจะมีแอบเอาขนมเข้ามากินในห้องเรียนบ้าง ตามเด็กปกติน่ะ ไม่ได้เป็นเด็กเรียนขนาดนั้นแต่ไม่ได้เป็นเด็กซ่าอะไร”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงวีรกรรมวัยเรียน เธอกลับเผยว่า เคยเป็นเด็กซ่าอยู่ช่วงหนึ่ง ราวมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เข้าร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กซ่าในห้องที่มีสมาชิกกลุ่มอยู่ถึง 20 คน
“ตอนนั้นดื้อมากค่ะ ครูว่าก็ไม่ฟัง ให้ทำการบ้านก็ไม่ทำ โดนไล่ออกมานอกห้องด้วย ปีนั้นนิสัยไม่ดีจริงๆ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดแต่ก็แอบยิ้มให้กับวัยเด็ก “โดนครูว่าก็แฮปปี้มีความสุข ไม่ได้รู้สึกสลดอะไรเลย มันรู้สึกว่ามีเพื่อนเยอะ โดนไล่ออกมานอกห้องก็มากันทั้งกลุ่ม มานั่งคุยเล่นกัน มีปีนั้นปีเดียวที่เกรดตกลงกว่าปีอื่นๆ แต่พอย้ายชั้นก็คละห้องกันใหม่ กลับไปสนิทกับกลุ่มเด็กตั้งใจเรียนเหมือนเดิม”
แฟชั่น...ความฝันจากขอบรันเวย์
ก่อนตัดสินใจเรียนด้านออกแบบแฟชั่นที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เธอเริ่มชอบศิลปะมาตั้งแต่ช่วงม.4 การเรียนพิเศษดอว์อิ้งทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับศิลปะมากขึ้น กระทั่งวันหนึ่งก็ต้องค้นหาว่าตัวเองจะเรียนศิลปะด้านไหน
“ชอบแฟชั่นตอนประมาณช่วงม.5 - 6 ได้ไปดูแฟชั่นโชว์ ช่วงนั้นมีแอลแฟชั่นวีค” เธอเอ่ย โดยช่วงเวลาดังกล่าวนั้นคือช่วงปีที่กรุงเทพฯกำลังผลักดันให้ตัวเองเมืองแฟชั่นนั่นเอง “ตอนนั้นไม่มีบัตรก็ไปกับเพื่อน 2 คนไปขอหน้างานได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้ก็ต้องรอรอบหน้า ตอนนั้นเราชอบมาก รู้สึกดูแล้วมันสนุกอยากดูเรื่อยๆ”
หลังจากได้เข้ามาเรียนเธอก็พบว่า เบื้องหลังจากงานแฟชั่นที่เต็มไปด้วยความสวยงานนั้นแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความยากลำบาก สิ่งแปลกใหม่ที่ดูแปลกตานั้นเมื่อมาอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการผลิตสร้าง เธอพบว่า ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา
“ช่วงมหาวิทยาลัยเราก็ต้องเรียนทุกอย่าง ตั้งแต่แนวคิด กระทั่งเผาผ้าเพื่อดูว่าขี้เผ้าแบบนี้คือผ้าชนิดไหน มันต้องเรียนลึกซึ้งกว่าจะเรามองภายนอก กว่าจะออกมาเป็นชุดสวยงามต้องผ่านกระบวนการคิดอะไรเยอะแยะมาก”
ศิลปินนักออกแบบที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษคือ แจน ลองแวง (lanvin) ที่มีสไตล์เป็นผู้หญิงยอดนิยมจากฝรั่งเศส
“เขาก็จะเป็นสไตล์ผู้หญิงที่ดูสวยสง่า เสื้อผ้าเขาจะเป็นสไตล์ผ้าพริ้วๆ รู้สึกว่ามันเหมาะกับผู้หญิงดี ทำให้ผู้หญิงดูสวยสง่า”
ทั้งนี้ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่เธอชอบที่สุดนั้นคือช่วงปี 3 ที่ได้เริ่มลงมือปฏิบัติจริงหลังจากปูพื้นความรู้มาในปี 1 - 2 เธอเผยว่า สไตล์ส่วนตัวของเธอเองนั้นมักจะเน้นความเรียบที่ผสมผ้าแบบพริ้วๆเข้าไป โดยโปรเจคจบหรือทีซิสของเธอนั้น มีโจทย์ให้นำภูมิปัญญาไทยมาพัฒนาต่อยอด เธอก็ได้นำผ้าขาวม้าจากจังหวัดราชบุรีมาปรับปรุง พัฒนาการทอ รวมถึงสีสันและรูปแบบให้เข้ากับแฟชั่นยุคปัจจุบันได้
ทว่ากับบทบาทนักแสดงในปัจจุบันที่เธอเดินทางมาถึงการได้โอกาสเป็นนางเอก ความฝันในเส้นทางสายแฟชั่นของเธอจึงต้องเว้นวรรคไว้ก่อน
“ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีแผนการอะไรกับการเรียนที่จบมาเลย ก็อาจจะมีเปิดร้านบนไอจี อาจจะทำเล็กๆ น้อยๆ ทำเล่นๆ สนุกๆไม่ได้เป็นร้านจริงจัง แต่ก็อยากเรียนโทที่ประเทศอังกฤษค่ะ ที่นั่นเป็นเมืองแฟชั่นอยู่แล้ว และภาษาก็ไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ทำงานแสดงเป็นหลักก่อนค่ะ”
วันครอบครัว
หลังจากได้สำรวจตัวตนในวัยเด็ก บทสนทนาของเราเดินทางไปสำรวจที่บ้านของนางเอกคนดัง เธอเผยว่า ที่บ้านของเธอนั้นถือเป็นความครอบครัวขยายแบบที่มีเธอ พ่อ แม่ กับน้องอยู่ร่วมกับอาม่า และในรั้วบ้านเดียวกันก็มีบ้านญาติอยู่ร่วมด้วยอีกหลังหนึ่ง
“ถือเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างอบอุ่น ดูแลกัน เจอหน้ากันทุกวัน” เธอเอ่ยขึ้นก่อนเผยถึงชีวิตประจำวันที่บ้าน หลังเลิกงานเมื่อกลับบ้าน เธอจะไปอยู่ที่ห้องแม่ก่อน ไม่ได้แยกตัวไปพักผ่อนอยู่กับตัวเองในห้องแต่อย่างใด กระทั่งถึงเวลาเข้านอนเธอก็จะไปอยู่ห้องน้องสาว
“แม่เขาไม่ให้มีทีวีในห้องมิวก็เลยต้องมาดูกับแม่ เราก็อยู่ในสายตาเขา พอเวลาเข้านอน มิวก็ชอบไปนอนห้องน้องสาว จริงๆก็มีห้องตัวเองแต่ชอบนอนห้องน้อง ห้องมิวตอนนี้เอาไว้เก็บของ (หัวเราะ)”
ทั้งนี้ เธอเล่าถึงการมานอนห้องน้องสาวว่า มาจากที่ครั้งหนึ่งเธอไปดูหนังผีและรู้สึกกลัวมากจนต้องไปนอนกับน้อง ทว่าหลังจากนั้นเธอก็พบว่านอนสบายดี จึงได้นอนกับน้องสาวมาตลอดนับจากนั้น
“ตอนนั้นก็ไม่ได้เด็กมาก คือตั้งแต่เด็กๆ เราก็จะนอนห้องเดียวกับแม่ พอโตมาหน่อยก็แยกไปนอนกับน้อง โตขึ้นมาอีกพักก็แยกไปนอนคนเดียว แล้วพอโตมาอีกก็ไปนอนกับน้องอีก”
ในส่วนของคุณพ่อนั้น เธอเผยว่า เป็นพ่อที่ค่อนข้างห่วงลูกแต่ก็มักใช้เหตุผลมากกว่การลงโทษ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไรจึงมักจะอยู่ในสายของผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
“บางทีเราขอไปไหนกับเพื่อน คุณพ่อก็จะดู ถ้าโอเคเขาก็ให้ไป แต่ถ้ามันดูไม่ดี เขาก็จะบอกเราว่าอย่าไปเลย ก็ใช้เหตุผล แต่เขาจะรับรู้ทุกอย่างที่เราทำ ไม่มีแนวแบบแอบๆ ไป เขาก็จะบอกสอนว่า เออ ถ้าจะทำอะไรให้บอกเขายังดีกว่าโกหก ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็จะให้ไปและมักจะไปรับ - ไปส่งและดูแลเราเสมอ”
ขณะที่คุณแม่ของเธอนั้น หลังจากเธอเข้าวงการบันเทิงเธอกับแม่ก็ตัวติดกันตลอด เหมือนคุณแม่จะกลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน - เรื่องเงินก็อยู่ในการดูแลของคุณแม่ทั้งหมด
“ก่อนหน้านี้แม่ก็ทำงานบริษัท ทีนี้เขาก็คงเหนื่อยแล้วก็เลยออกมาซึ่งเป็นช่วงที่เราทำงานด้านนี้พอดี แม่เลยกลายเป็นมาตามเราแทน แต่เขาน่าจะแฮปปี้นะ” เธอเอ่ยขึ้น “บางทีก็อัปอินสตาแกรมเป็นคนเล่นเยอะกว่าเราอีก ดูคุณแม่แฮปปี้สนุกส่วนใหญ่ก็จะตามมา มาอยู่ด้วยทั้งวัน พอเลิกเสร็จงานก็ไปรับน้อง”
ในช่วงการทำงานการแสดงแรกๆ แน่นอนว่าต้องมีช่วงที่พบกับงานมากมายเข้ามาจนรู้สึกเหนื่อยร้า แม่จะถามเธออยู่บ่อยๆ เป็นเชิงให้กำลังใจว่า เหนื่อยมั้ย?
“เราเป็นคนไม่ค่อยบ่นอะไร ก็จะบอกนิดหน่อย กลับไปเราก็นอนพักก็หายแล้ว”
ด้านน้องสาวคนสนิท เธอเผยว่า มักจะไปหาอะไรกินด้วยกันบ่อยๆ บางครั้งว่างๆก็มักจะคิดทำขนมเล่นๆกัน อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างสลับกันไป
“ส่วนมากไม่ค่อยอร่อยหรอกค่ะ” เธอเอ่ยพลางหัวเราะ “ทำสนุกๆมากกว่า ชอบทำขนมอย่างพวก มาการอง หรือบราวนี บางทีก็กินได้ แต่บางทีก็เจ๊งเลยนะ มันเหมือนเป็นขนมที่ทำยากด้วย”
ทั้งนี้ ในช่วงวันว่างของครอบครัวเธอ หากมีขึ้นพร้อมกันก็มักจะนัดกันไปนวดตัวพร้อมกัน 4 คน อีกกิจกรรมที่ชอบคือการขับรถไปไกลๆ เพื่อหาอะไรกินแล้วกลับบ้าน
“ว่างๆ บางก็นอนอยู่บ้าน แต่ก็มีไปนวดพร้อมกัน 4 คน โทรนัดจองก่อนด้วย อีกอย่างที่ทำก็คือขับรถไปหาของกินไกลๆบ้าน กินเสร็จแล้วก็กลับ”
สตาร์สาวขี้อาย
แรกเริ่มเดิมทีนั้นเธอเป็นสาวขี้อาย แต่เหตุใดจึงมาอยู่ในจอทีวีเป็นนักแสดงที่ตรงกันข้ามกับนิสัยข้อนี้ เธอว่า มาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมากขึ้นๆ จากที่ผ่านการแคสงานมาเรื่อยๆ มันก็ทำให้เธอเก็บเกี่ยวความคุ้นชินในการแสดง กระทั่งขจัดความอายบางส่วนออกไปได้ แต่ถึงตอนนี้เธอก็คงเป็นคนขี้อายอยู่
“ความขี้อายก็น้อยลงแต่มันก็จะมีอยู่บ้าง เหมือนเรากล้าขึ้นจากเดิมที่เราเต้นไม่เป็น พอเรามาทำงานตรงนี้ เหมือนกับบางงานมันต้องเต้น ก็มีคนมาสอนให้ ทำให้เราเต้นเป็นขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็สนุกดีเหมือนกัน”
หลังจากเธอเข้าสู่วงการเต็มตัว งานอีเวนท์ต่างๆที่มีเข้ามา โอกาสให้การถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ขึ้นเวทีเต้นกระทั่งต้องร้องเพลง ทำให้เธอเริ่มหายจากอาการเขินอายไปได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ความขี้อายเริ่มๆ หายก็ช่วงตอนถ่ายทำละครคุณชายปวรรุจนี่แหละค่ะ ก่อนถ่ายก็ยังขี้อายอยู่ พอถ่ายไปสักพักต้องแสดงหลายๆครั้ง แล้วได้ไปเจอคนใหม่ๆ ตลอดเวลา มันเลยไม่ค่อยอาย ถึงตอนนี้ด้วยสถานการณ์ที่บังคับทำให้เราต้องออกไปร้องเพลงก็มี”
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังเผยว่า ตัวเองต้องพัฒนา เพราะนอกจากความกล้าแล้วยังต้องใช้ความสามารถอีกด้วย เป็นสิ่งที่เธอต้องค่อยๆเรียนรู้ การใช้ชีวิตในฐานะนักแสดงนั้นทำให้เธอได้พบกับประสบการณ์แปลกใหม่ ได้ทำงานหลายอย่างที่อยากทำอีกด้วย
ในส่วนของมุมมองความรัก แม้เธอจะเป็นสาวขี้อายแต่ความรักของเธอกลับขอให้เป็นชายหนุ่มที่นิสับสบายๆ ชิวๆเหมือนเธอมากกว่า
“เราก็ชอบคนนิสัยดี ดูน่ารัก เป็นคนมีอารมณ์ขัน ดูตลก ผู้ชายแบบง่ายๆสบายๆ ไม่ค่อยชอบผู้ชายห่วงหล่อตลอดเวลา เพาะเราคิดว่าผู้ชายมันควรจะง่ายๆ และตัวมิวเองเป็นคนง่ายๆสบายๆ ถ้าเกิดผู้ชายมาเยอะกว่าเรามันก็ไม่ใช่ ก็ต้องง่ายกว่าเรา ชิวๆลุยๆได้อะไรแบบนี้”
จากหญิงแต้วสู่ตั่วเจ้
ตารางชีวิตการเป็นนักแสดงของเธอนั้น ใน 1 วันหากมีถ่ายละคนก็จะเริ่มถ่ายตั้งแต่เช้าจนถึง 4 ทุ่ม แต่หากเป็นงานอีเวนท์ก็อาจมีไปเดินเล่นช่วงเช้า พอมีงานอีเวนท์เสร็จสิ้นก็ไปรับน้องสาวกลับบ้าน เธอถือว่าเป็นงานไม่หนักหนา และยังคงรู้สึกสนุกกับทุกวันที่ผ่านไป
“ช่วงที่หนักๆ ครอบครัวก็เป็นห่วง เขาก็จะพยายามเรียกให้เรานอนเร็วๆ หรือเอาวิตามินมาให้เรากิน มีซุปไก่มาบำรุง เขาก็จะบอก ผอมไปแล้วนะช่วงนี้ ดูโทรมดูเหนื่อย”
โดยยังมี “รักออกฤทธิ์” ที่กำลังออนแอร์อยู่ เธอต้องพลิกบทบาทจาก หญิงแต้ว คุณหญิงแสนสวยสง่ามาเป็น วนิษา หรือตั่วเจ้ สาวผู้ผ่านสามีถึง 5 คน ทั้งยังมีบทหลักๆเป็นถึงเจ้าแม่คุมบ่อยอีกด้วย
“จังหวะของคอมิดีมันจะคนละจังหวะกันน่ะค่ะ ก็เลยยากนิดนึง แต่ในส่วนของดรามาเราก็จะแสดงๆมาแล้ว” เธอเอ่ยถึงเบื้องหลังละครเรื่องล่าสุด “อุปสรรคในการทำงานเรื่องนี้ไม่มีเยอะแยะอะไร เพราะได้ทำงานกับทีมงานที่คุ้นเคยกันแล้ว พี่โป๊ป (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) ร่วมงานกันมาแล้วเลยทำให้ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย”
ในส่วนของผลตอบรับนั้น ก็มีทั้งดี - ไม่ดี บ้างก็มองว่าอาจจะไม่ตลก ขณะที่อีกส่วนก็เห็นว่าสนุกไปตลอดทั้งเรื่อง เธอมองว่า ความสนุกของละครเรื่องนี้คือความหลากหลายครบรสที่มีทั้งส่วนของตลก - ดรามา ทั้งยังมีปนของหลากหลายตัวละครให้ได้ติดตามไปตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย
“ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างกัน มีปมปัญหาของตัวเองที่มีหลายรสชาติ หลายอารมณ์ อย่างตัวเราก็มีปัญหาตรงที่เป็นดวงกินสามีที่มีดรามาเศร้าจากสามีที่ตาย ตัวพระเอกก็มีปัญหาดวงซวยแล้วมาเป็นนักสืบ ยังมีเรื่องราวของการสืบสวน มันมีหลายเส้นเรื่องหลายปมหลายอรรถรส”
ทั้งนี้ ตัวละครหนึ่งที่แม้จะอยู่ในหนังตลกแต่ก็มีปมอย่างการผ่านสามีถึง 5 คน ถือเป็นบทที่เธอต้องปรับอายุให้ดูมากขึ้น ทั้งยังต้องรับกันความเปลี่ยนแปลง เป็นตัวละครที่ต้องเจอทั้งดรามา แต่ก็ต้องอยู่ในเส้นเรื่องที่ขบขันไปพร้อมๆกันด้วย เธอตีความตัวละครนี้ว่า เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ต้องมาเจอกับภาระหน้าที่อันหลากหลายเท่านั้น
“จริงๆเขาก็เป็นผู้หญิงธรรมดานี่แหละ แต่การที่เขาได้ไปแต่งงานทำให้เขาต้องไปเป็นเจ้าของบ่อนบ้าง เป็นสะใภ้เจ้าบ้าง แต่จริงๆเขาก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องมารับบทบาทหลากหลาย ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป” จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงของเธอ ที่มาเป็นนักแสดงและต้องรับกับบทบาทที่หลากหลาย
ผลงานที่ยังคงอยู่ในทั้งตอนการถ่ายทำของเธอก็คงรอลงจอให้ได้ชมกันอยู่ ทั้งละครรีเมคฟอร์มใหญ่อย่าง ทรายสีเพลิง รวมถึงอีกเรื่องคือ มาเฟียเลือดมังกร
“เป็นละครที่แซบมากจริงๆ” เธอเอ่ยถึงทรายสีเพลิง “อย่างตัวพี่ชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) รับบทเป็นคุณทรายก็จะร้ายลึก แต่ไม่ได้แสดงออกมา เขาก็จะแกล้งทำดีกับเรา ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีความซับซ้อนน่าสนใจ อย่างตัวลูกศรเองที่มิวเล่น จากเดิมที่เขาเป็นคนอ่อนแอพอเขามีความรักเขาก็เริ่มทำตัวเหมือนพี่สาว ทำตัวให้ดูสวยขึ้น มันมีมิติที่น่าสนใจของเรื่องอยู่”
….
ในช่วงที่ชีวิตเดินทางมาจุดที่สูงสุด กับช่วงชีวิตของมิว - นิษฐา ความสำเร็จพุ่งทยานอย่างรวดเร็วจากละครเรื่องแรก แม้ละครเรื่องปัจจุบันจะมีกระแสไม่ดีบ้าง แต่เรตติ้งก็ยังคงสูงบอกได้ว่า เธอยังคงมีโอกาสในการไปตามเส้นทางสายนางเอก
ล้อมกรอบ
ชื่อ นิษฐา จิรยั่งยืน ชื่อเล่น มิว
วันเกิด 21 กันยายน 2533 อายุ 23
การศึกษา ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ , ระดับอุดมศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
งานอดิเรก ทำขนม, ฟังเพลง, ดูหนัง
ผลงาน โฆษณา ซันซิล, cute press, AIS ละครคุณชายปวรรุจ ,รักออกฤทธิ์
เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย วารี น้อยใหญ่
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage ของ "ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!