“เมียอิทธิ” เผยชีวิตตอนนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่หลังต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตรันทดถึงขั้นถังแตกไม่มีแม้แต่เงินกินข้าว หลังเป็นข่าวมีคนแห่แหนส่งน้ำใจให้ความช่วยเหลือเพียบจนเริ่มลืมตาอ้าปากได้ สุดจะดีใจมีร้านขายไก่เป็นของตัวเองแล้ว ด้านลูกๆ เตรียมลงทุนออกเทปเองเพื่อช่วยแม่ปลดหนี้
เคยออกมาเปิดใจเผยถึงชีวิตรันทดลำบากถึงขนาดถังแตกไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวที่จะซื้อข้าวให้ลูกกิน หลังจากที่นักร้องดังผู้เป็นสามี “อิทธิ พรางกูร เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็ง ล่าสุด “เจี๊ยบ ชาญดา ลียะวณิช” ภรรยาของอิทธิออกมาเปิดใจอีกครั้งด้วยน้ำสียงที่สดใสว่า ชีวิตในตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีหนี้สินอยู่มาก แต่ก็สามารถที่จะหารายได้มาจุนเจือเลี้ยงครอบครัวได้มากขึ้น
“เปิดร้านขายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ขายได้เรื่อยๆ นะไม่ถึงกับขายดีมาก แต่มันก็ไม่ได้แย่ซะจนขายไม่ได้เลย แต่คิดว่าเมื่อข่าวออกไปน่าจะขายได้ดีขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องขอขอบคุณทางคุณณัฐกานต์ และ คุณ สงคราม ที่เป็นเจ้าของห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของพื้นที่เป็นอย่างดีเรื่องค่าเช่าก็ไม่ต้องเสีย”
“เขาบอกว่าเขาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วเจอข่าวเราต้องไปตระเวนขายไก่ตามงานต่างๆ เลยอยากให้ความช่วยเหลือ ครั้งแรกเขาให้เราเลือกว่าจะเปิดเป็นร้านใหญ่ หรือ ว่าเป็นบูทแบบนี้ก็ได้ ตัวเจี๊ยบเองไม่มีสตางค์ที่จะมาซื้อโต๊ะ หรือตบแต่งพื้นที่เลยเลือกที่จะขายตรงฟู้ด เพราะมันมีโต๊ะเก้าอี้อยู่แล้ว อีกอย่างเป็นศูนย์รวมอาหารมีคนเยอะด้วยมันเหมาะอยู่แล้ว”
“นอกจากจะขายที่ห้างอิมพีเรียลแล้วตามงานออกาไนซ์ก็ยังรับไปขายอยู่ แล้วแต่ว่าทางผู้จัดเขาจะเชิญมา ซึ่งจริงๆ ตรงนั้นถือว่าเป็นจุดเกิดของไก่เก็บตะวันด้วยซ้ำ มีคนใจดีเมตตาให้โอกาสเราได้มาทำตรงนี้มันทำให้เราได้ทำมาหากินและเลี้ยงลูกต่อไปได้ รู้สึกดีใจมากๆ ไม่ใช่จะขอบคุณแค่เจ้าของห้างอย่างเดียวนะต้องขอขอบคุณสื่อด้วยที่ช่วยกันลงข่าวฉบับแรกเป็น คมชัดลึกที่ไปเจอเราเป็นฉบับแรก ,ไทยรัฐ และ ผู้จัดการรายวันเองก็ไปสัมภาษณ์ถึงที่บ้านเลย และอีกหลายๆเล่มไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ก็มีส่วนช่วยเยอะ และขอบคุณศิลปินต่างๆ แฟนคลับพี่อิทธิทุกๆ คนที่ให้ความช่วยเหลือ”
“เมื่อก่อนมันเหมือนเรากำลังจะจมน้ำตาย แต่มาวันนี้มันเหมือนเรามีแรงว่ายน้ำ แต่ก็ยังว่ายอยู่ยังไม่ได้ขึ้นฝั่งต้องดิ้นรนต่อ ถามว่าหนักมั้ยหนักแต่เรามีกำลังใจมากขึ้น เพราะว่ามันเหมือนเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียวยังมีพี่ๆ น้องสื่อมวลชนค่อยช่วยเหลือเรา คนทั่วไปก็ให้การสนับสนุน ลูกๆ ก็เป็นเด็กดีทำให้เจี๊ยบมีกำลังใจที่จะทำต่อไป”
“ทางเจ้าของห้างบอกว่าขายได้ตลอดถ้ารายได้ดีมากๆ พอมีกำลังเราอยากที่จะตั้งร้านตรงไหนใหม่ในห้างก็ได้ แต่คิดว่าคงอีกสักพักหนึ่ง เพราะว่าหนี้สินยังมีอยู่มาก ทุกวันนี้ถ้าหาเงินได้แค่ห้าหมื่นแปลว่าไม่ได้กินข้าวไม่มีเงินให้ลูกซื้อขนมหรือไปโรงเรียนเขาต้องหารายได้เองมาเสริม ต้องขอบคุณพี่อิทธิมากๆ เพราะลำพังแค่แม่กับลูกคงทำไม่ได้ พี่อิทธิยังเลี้ยงเราอยู่มันทำให้ลูกก็ยังมีงานทำได้ทุนการศึกษาเข้ามาช่วย”
“ส่วนเรื่องบ้านที่เป็นข่าวว่าจะโดนยึดเราไปประนอมหนี้มาสักสองเดือนที่เริ่มเป็นข่าว แล้วเริ่มมีการขายไก่มีงานร้องเพลงของน้องๆ ด้วย บวกกับขายไก่ทุกวันช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์เราไปขายตามงานต่างจังหวัดเริ่มมีรายได้ ก็ไปคุยกับทางแบงค์เขายอมให้ประนอมหนี้ได้ แต่ต้องส่งแบงค์เดือนละสองหมื่นห้าห้ามขาดภายในหกเดือนซึ่งตอนนี้ส่งมาเป็นเดือนที่สามแล้ว แต่ว่ามันยังอยู่บนเส้นด้ายอยู่”
“อย่างที่บอกว่าเดือนหนึ่งถ้าเราหารายได้แค่ห้าหมื่นเราไม่ได้กินข้าว เพราะเราต้องจ่ายให้เขาหมดเลย ฉะนั้นเราต้องพยายามที่จะหารายได้ให้มากกว่านั้นเยอะๆ ทุกวันนี้ทำงานเหมือนคนบ้างานอะไรก็ทำเขาจะสั่งซื้อไก่เท่าไหร่ก็รับ บางทีแค่ห้าร้อยก็เอานะเราอยากได้อยากขาย บางทีแทบไม่ได้อะไรเลย แต่เราอยากที่จะได้ลูกค้าตอนนี้ค่าน้ำมันแพงมากแต่ด้วยความอยากขายก็ต้องยอม แต่ถ้าเราสามารถปรับโครงสร้างหนี้หกเดือนมีรายได้สามารถผ่อนเหมือนที่เราผ่อนมาก็สามารถที่จะเปลี่ยนย้ายแบงค์ได้ คิดว่าค่าใช้จ่ายจะลดน้อยลงอยู่ในเดือนสองหมื่นกว่าบาท ซึ่งเราจะเหนื่อยน้อยลงแต่ก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า หลายคนอาจจะมองว่าตอนนี้มีร้านเป็นของตัวเองแล้ว แต่ทำไมยังบอกว่าลำบากอยู่เป็นเพราะว่าถ้าเราไม่มีหนี้จะดีกว่านี้มาก”
“แต่ก็ถือได้ว่าสภาพตอนนี้ดีขึ้นกว่าเก่าใช้เงินน้อยลง ตอนไม่มีงานทำจะใช้เงินเปลืองเห็นอะไรก็อยากซื้ออยากกินมันทรมานที่ไม่มีเงินซื้อ แต่พอมาทำงานขายของจะใช้เงินน้อยมันไม่มีเวลาจะมานั่งหิวทำงานตลอดกลายเป็นว่าเงินที่ได้มามันเป็นการหมุนเวียนในร้านไป เรื่องที่จะไปเดินช็อปปิ้งห้างศูนย์การค้าไม่มีเลย ทุกวันนี้ไม่มีเรื่องใช้เงินทำอย่างอื่นนอกจากค่าน้ำมันเยอะมาก เพราะรถมันเก่าแล้วอยากที่จะเปลี่ยนใหม่ หรือไม่ก็เอาไปติดแก๊สที่เขาติดกัน แต่มันต้องใช้เงินอีกหลายหมื่นยังไม่มีเงิน”
“กับลูกๆ ก็ยังรับจ้างร้องเพลงอยู่รายได้ของเขามีส่วนมาช่วยในการผ่อนบ้านด้วย มันก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายน้องไม่ได้ดังอะไร บางทีเขามาถามคุณแม่เรื่องค่าตัวจะคิดเท่าไหร่เราก็ไม่รู้ว่าจะเรียกแค่ไหนไม่มีผู้จัดการแล้วแต่ทางเจ้าของงานจะให้ ซึ่งบางที่เขาจะใส่ซองมาเขาจะเอาเงินส่วนนี้มาให้แม่แล้วขอกลับไปเป็นเดือนๆ ซึ่งเดือนนี้ยังไม่จ่ายเลย(หัวเราะ) เพราะค่าบ้านยังไม่จ่ายต้องจ่ายค่าบ้านก่อนแล้วค่อยกิน”
“นอกจากจะไปรับจ้างร้องเพลงแล้วตอนนี้ลูกๆ เขากำลังทำเพลงอยู่ด้วย ชื่ออัลบั้มว่าตามรอยตะวัน ไม่มีค่ายนะ(หัวเราะ)ทำกันเองแล้วถ้าจะมีใครมาติดต่อก็ค่อยว่ากัน ลูกเขาอยากที่จะทำเรื่องเงินทุนไม่ได้จ้างใครเขียนเองแต่งเพลงเองยังไม่ได้มีนักแต่งเพลงหรือต้องเข้าห้องอัดจะมีคุณ วิทย์ มหาชน ที่จะมาแต่งเพลงให้น้องสองเพลง แนวเพลงเป็นสไตล์เพื่อชีวิตลักษณะแนวๆ คุณพ่อเขานั่นล่ะ”
“ถือว่านี่ก็เป็นความหวังอีกทางที่จะหารายได้ให้ครอบครัวเรา ถ้าเทปของลูกออกมาช่วยซื้อหน่อยเถอะถือว่าเป็นทุนการศึกษาของเขายังไม่ได้คิดเลยว่าจะเอาไปขายที่ไหน ตามค่ายใหญ่ๆ เราเห็นใจเขาบางทีก็ไม่กล้าเสี่ยงกับเราเพราะมันลงทุนแพงแล้ว ส่วนค่ายอาร์เอสลูกก็คงไม่ใช่แนวเขามั้งอีกอย่างเราไม่รู้จะเข้าไปคุยกับใครด้วย”
“เมื่อก่อนเคยเอาน้องๆ เข้าไปเป็นนักร้องที่อาร์เอส ตอนพี่อิทธิเสียชีวิตใหม่ๆ เด็กๆ ยังเด็กมากลูกแก้วอายุ 14 ปีลูกเกดอายุ 13 ปีน้องเกียร์ 8 ขวบ ก็มีลูกไม้ใต้ต้นออกมาเขาเอาไปพรีเซ็นต์ แต่ไม่มีใครสนใจที่จะเอาไปทำเราเลยออกมาเขาบอกว่า น้องหุ่นไม่ดีไม่มีไอเดียที่จะปั้น คือบางทีศิลปินที่โปรดิวเซอร์เขาทำเขาอาจมีไอเดียมีคาแรคเตอร์อยู่แล้วเขาถึงมาหาตัว แต่ของน้องตอนนั้นเขาคงคิดว่าไม่รู้จะขายอะไรทำออกมายังไงเราคิดแบบนั้นนะไม่รู้ว่าวิธีการเป็นยังไง”
“ ถ้าเราคิดเข้าข้างตัวเองเราว่าทำได้แต่ไม่รู้ว่าหลักการตลาดเขาจะทำยังไงอันนี้ต้องเห็นใจเขา พี่อิทธิเองก็ไม่เคยสอนให้เรารู้สึกว่าการที่เขาไม่ช่วยแล้วเราต้องมาน้อยใจที่เขาไม่ได้มาช่วยเขาอาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้มาบอกเรา ตลาดเทปมันเป็นแบบนั้นทำไมเราไม่คิดว่าเราต้องช่วยตัวเราเองก่อนแล้ววันหนึ่งเขาเห็นเองแหล่ะ”
“เราไม่อยากที่จะรบกวนคนอื่น ถ้าจะมีคนช่วยเหลืออยากที่จะขอเป็นงานมากกว่า ที่พูดทั้งหมดไม่ใช่ว่าไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ด้วยการที่เราทำงานมากกว่าที่จะมาขอรับบริจาคจากคนอื่นฟรีๆ สู้เราทำงานแลกเงินขายไก่แล้วได้เงินตอบแทนน่าจะดีกว่า ขอบคุณในน้ำใจที่เขาซื้อไก่เรา แต่ไม่ได้ดูถูกนะเราเกรงใจให้โอกาสให้น้องได้ทำงานแลกเงินดีกว่าที่จะมาช่วยเหลือแบบนั้น”
“ตอนนี้ถ้าพี่อิทธิมองอยู่บนฟ้าคงรู้สึกดี และภูมิใจเราไม่ได้ทำอะไรให้เสียเกียรติทำมาหากินด้วยตัวเอง ทุกวันนี้จะบอกลูกเสมอว่าแม่มีปัญญาเป็นได้แค่แม่ค้าขายไก่นี่แหล่ะ แต่แม่จะเลี้ยงลูกให้เป็นคนเต็มร้อยไม่เป็นปัญหาสังคมแล้วจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่สติปัญญาแม่จะทำได้ ขอโทษเขาที่แม่ทำให้ลูกไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์เหมือนตอนที่พ่ออยู่อาจจะไม่มีคนขับรถไม่มีคนใช้ต้องทำงานบ้านเอง”
“แต่หนูได้กำไรชีวิตหนูโตกว่าเพื่อนหนูหลายคนรู้คุณค่าของมัน วันหนึ่งที่หนูเรียนจบออกมาจะมีแต่คนอยากจ้างหนูไปทำงาน เพราะมีประสบการณ์ในชีวิตและทำให้เขามีชีวิตที่เป็นระบบ อย่างได้เงินมาหนึ่งร้อยบาทเราต้องเก็บเท่าไหร่เก็บเพื่อใช้ นี่คือวิธีที่เขาจะต้องคิด แต่ส่วนใหญ่พอคนเรามีเงินจะเผลอตัวใช้จนหมดอันนี้มันคือบทเรียนของแม่เอง”
“ถ้าวันนั้นหลังจากที่พ่อเสียแม่ไม่เอาเงินสี่ล้านไปให้แบงค์หมดเราก็ไม่หมดตัว ไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งถ้าเราตกงานไม่มีเงินเดือนขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าอยากที่จะใช้หนี้สินหมดไป พอวันหนึ่งตกงานค่าใช้จ่ายที่เราสร้างไว้เป็นภาระจะทำยังไง ประสบการณ์ตรงนี้ล่ะที่มันสอนให้เราไม่ใช่ชีวิตแบบประมาทอีกแล้ว”