ฟ้องร้องยืดเยื้อกันมานาน 10 กว่าปี ในที่สุดกรณีพิพาทต่อลิขสิทธิ์ยอดมนุษย์ "อุลตร้าแมน" ระหว่างบริษัท ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ จำกัด (ญี่ปุ่น) กับ บริษัท ซึบูราญ่า ไชโย จำกัด ของไทย ที่มีนาย "สมโพธิ แสงเดือนฉาย" นั่งเป็นประธานก็สิ้นสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากการตัดสินของศาลฏีกาไทยที่ออกมาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ในการตัดสินของศาลฎีการะบุไว้ว่า ประเด็นที่ 1 ศาลได้ตัดสินว่าทางนายสมโพธิ์ไม่ได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์และไม่มีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนต์อุลตร้าแมนอย่างที่เจ้าตัวแอบอ้าง ประเด็นที่ 2 สัญญาที่ได้นำออกมาแสดงนั้น ศาลได้ตัดสินว่าเป็นสัญญาปลอมเนื่องจากมีข้อผิดพลาดอยู่หลายจุด
และสุดท้ายก็คือ ประเด็นที่ 3 ศาลได้สั่งให้ทางบ.ไชโยฯ ชดใช้เงินเป็นจำนวน 10.7 ล้านบาทบวกกับดอกเบี้ย 10.7% ต่อปีตั่งแต่เริ่มฟ้องร้องคดี
สำหรับจุดเริ่มต้นของคดีประวัติศาสตร์แย่งชิงฮีโรที่รู้จักกันมานานกว่า 40 ปีนี้ เกิดขึ้นจากการที่ทางนายสมโพธิ แสงเดือนฉายได้ออกมาเปิดเผยเรื่องที่ชวนให้ตกใจด้วยการเรียร้องสิทธิ์ในตัวฮีโร่ "อุลตร้าแมน" โดยบอกว่าในอดีตตนได้ทุนรัฐบาลไปเรียนที่ญี่ปุ่น และได้มีโอกาสไปศึกษาอยู่ที่โรงถ่ายโตโฮ กับอาจารย์เอยิ ซึบูราญ่า และร่วมกันสร้างสรรค์คาแร็กเตอร์ยอดมนุษย์ "อุลตร้าแมน" ขึ้น
โดยนายสมโพธิเผยว่าได้แรงบันดาลใจจากพระพุทธยืนปรางค์ปราบมารในสมัยสุโขทัย ส่วนสัตว์ประหลาดจำลองแบบแคแร็คเตอร์มาจากเรื่องรามเกียรติ์
ต่อมาระหว่างที่บริษัทซึบูราญ่าฯ ต้องเผชิญกับภาวะการขาดทุนทางด้านการเงิน นายสมโพธิจึงได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการว่าจ้างให้บริษัท ซึบูราญ่าฯ สร้างภาพยนตร์ขึ้น นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง “ยักษ์วัดแจ้งจัมโบ้เอ” และ “หนุมานพบเจ็ดยอดมนุษย์” ซึ่งสามารถทำรายได้ในประเทศญี่ปุ่นสูงถึง 70 ล้านบาท ก่อนที่ "โนโบรุ ซึบูราญ่า" ประธานบริษัท ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ จำกัด ในสมัยนั้นจะนำไปขายให้กับบริษัท ชอว์บาร์เดอร์ ฮ่องกง และบริษัทภาพยนตร์ไต้หวันในราคา 2 แสนเหรียญสหรัฐฯ โดยมิได้บอกความจริงแก่ตนเอง แต่กลับไปแจ้งว่าขอยืมเงินไปก่อนแล้วจะใช้คืนภายใน 1 ปี
เมื่อถึงเวลาทางบ.ซึบูราญ่าฯ ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ แต่ได้มีการทำสัญญาโอนสิทธิ์อุลตร้าแมนทั่วโลกให้แทน ซึ่งภายหลังทางบ.ซึบูราญ่าฯ เองก็ไม่ได้ทำตามในเงื่อนไขสัญญา ส่งผลให้ทางนายสมโพธิต้องออกมาเรียกร้องในสิทธิ์ดังกล่าว ขณะที่ทาง บ.ซึบูราญ่าฯ ก็ได้ยื่นฟ้องนายสมโพธิ ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และแจ้งความเท็จ ณ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ประเทศไทย เมื่อเดือนธันวาคม 2540
4 เมษายน 2543 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้พิพากษาเรื่องนี้ออกมา 2 ข้อด้วยกัน ประการแรกก็คือ ยอมรับว่า อุลตร้าแมนเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของซึบูราญ่าฯ ข้อสองคือ ศาลเห็นว่า หนังสือสัญญาฉบับวันที่ 4 มีนาคม 2519 ที่ระบุว่ามีการขายลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนและผลงานเกี่ยวข้องรวม 9 เรื่องด้วยกัน เป็นหนังสือสัญญาจริง เพราะฉะนั้นลิขสิทธิ์และการนำไปใช้ประโยชน์นอกประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นของนายสมโพธิเท่านั้น
(ขณะที่ทางศาลของประเทศญี่ปุ่นเอง ทางศาลแขวงโตเกียวได้ตัดสินเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2546 ให้ยกฟ้องคดีดังกล่าวโดยวินิจฉัยว่าเอกสารที่ว่าเป็นของจริง เช่นเดียวกับการตัดสินของศาลอุทธรณ์เมื่อ 10 ธันวาคม 2546 ส่วนศาลฎีกาเองปฏิเสธรับคำฟ้องของ บ .ซึบูราญ่าเมื่อ 27 เมษายน 2547 คดีจึงเป็นอันสิ้นสุด)
ต่อมาภายหลัง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ทางฝ่ายซึบูราญ่าก็ได้มีการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลฎีกา ก่อนที่ทางศาลฯ จะมีผลการตัดสินดังกล่าวออกมา
ขณะที่นายสมโพธิเองเปิดเผยสั้นๆ ต่อการตัดสินดังกล่าวว่า รู้สึกแปลกใจกับคำตัดสินที่ขัดกันของศาลไทยกับศาลญี่ปุ่น โดยที่เจ้าตัวยังเชื่อด้วยว่าคำพิพากษาดังกล่าวทำให้ตนสูญเสียสิทธิ์อุลตร้าแมนในประเทศไทย(และญี่ปุ่น)เท่านั้น แต่ยังมีลิขสิทธิ์ในตัวอุลตร้าแมนของประเทศอื่นๆ อยู่ ซึ่งหากใครสนใจจะซื้อ ตนก็พร้อมที่จะขายสิลทธิ์ดังกล่าวให้
นอกจากนี้ในวันที่ 21 ก.พ. นายสมโพธิเอง ก็จะเดินทางไปขึ้นศาลแขวงโตเกียวในฐานะโจทก์ที่ยื่นฟ้อง บ.ซีบูราญ่าเรียกค่าเสียหายกว่า 500 ล้านบาท รวมถึงการฟ้องร้องนาย "คาซึ ซึบูราญ่า" ซีอีโอของบริษัทฯ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วย
...
ยุ่นช็อค! อุลตร้าแมนเป็นของคนไทย
ปริศนา อุลตร้าแมน ฝีมือคนไทย หรือคนญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเปิดเกมอุลตร้าใหม่ชี้ "มิลเลเนี่ยม” ละเมิดชัวร์