ผู้บริหารอะเบาท์ไอเดีย มึน “นุวัทฐ จั่นบำรุง” ผู้บริหารเวิร์คพอยท์ พร้อมทนาย บุกงานแถลงข่าวขณะที่เจ้าตัวกำลังชี้แจงกรณีพิพาทกับบริษัท เวิร์คพอยท์ แถมยังแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนของตัวเอง พร้อมทั้งประกาศฟ้องหมิ่นประมาทผู้บริหารอะเบาท์ไอเดียเป็นจำเลยที่ 1 และผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยที่ 2
หลังจากที่บันเทิงผู้จัดการได้นำเสนอข่าวผลการตัดสินของศาลชั้นต้นกรณี “บริษัทอะเบาท์ ไอเดีย จำกัด” ฟ้อง “บริษัท เวิร์คพอยท์” กรณีไม่จ่ายค่าจ้างจัดงานมหกรรมแก้จน ตามที่ “นางสาวศศิธร เผ่าสัจจ” ได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา โดยบันเทิงผู้จัดการก็ได้ติดต่อไปยังผู้บริหารคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะออกนามเพื่อสอบถามถึงกรณีดังกล่าว และได้นำเสนอข้อเท็จจริงฝ่ายเวิร์คพอยท์ไปแล้ว
และต่อมาก็ได้นำเสนอข่าว “นายปัญญา นิรันดร์กุล” ผู้บริหารเวิร์คพอยท์ ตอบโต้ข่าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 มกราคมนั้น
ล่าสุด บริษัท อะเบาท์ไอเดีย ก็ได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นที่ร้านอาหารบริเวณแดนเนรมิต โดยในระหว่างแถลงข่าวนั้นจู่ๆ “นายนุวัทฐ จั่นบำรุง” พร้อมทนายความก็ได้เข้ามาที่งานแถลงข่าว และได้แถลงข่าวเพื่อชี้แจงกรณีความขัดแย้งดังกล่าว พร้อมทั้งได้ประกาศฟ้องผู้บริหารอะเบาท์ ไอเดีย ให้ข้อหาหมิ่นประมาทเป็นจำเลยที่ 1 และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยที่ 2
โดยนาง “ศศิธร เผ่าสัจจ” ผู้บริหาร บ.อะเบาท์ไอเดีย เริ่มการแถลงข่าวว่าสาเหตุของการแถลงข่าวครั้งนี้ เนื่องจากทางผู้บริหารเวิร์คพอยท์ “เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล” เข้าใจบริษัทตนคลาดเคลื่อน และต้องการเพียงได้ชี้แจงกับบอร์ดผู้บริหารเท่านั้น และขอชี้แจงข้อตกลงต่างๆ กับสื่อมวลชนเท่านั้น
“คือ วันนี้มาพูดผ่านสื่อมวลชน เพราะว่า ทราบว่าทางผู้บริหารเวิร์คพอยท์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้รับเงินจากทางเรา หรือทางเราทำงานไม่สำเร็จ หรือเหตุใดก็ตาม อยากจะแจ้งขอเท็จจริง ผ่านสื่อ เพราะทางเรารอการประนีประนอม เราไม่อยากให้มีวันนี้”
“เรื่องทั้งหมดคือมันมีการฟ้องกันจริงในทางคดีแพ่ง คือ ทางเราขอเรียกร้องค่าเสียหายเขาไป 9 ล้านบาท ทางเขาฟ้องกลับมา 30 ล้านบาท คือ เหมือนกับว่าพูดในทางคดีเนี่ย เหมือนกับเราชนะมาแล้วนิดหนึ่ง พอศาลพิพากษามาให้เวิร์คพอยท์จ่าย 1.7 ล้านเนี่ย ทางเราก็ด้วยความเคารพ เรายังไม่พอชำระให้กับซัปพลายเออร์อื่นๆ เราก็อยากได้ที่เหลือ เราก็อยากได้อีก หลายรายที่ฟ้องเรา และอีกหลายรายที่รอความหวังอยู่ ส่วนรายที่ฟ้องเนี่ย ยังไม่มีการจ่ายเงิน เพราะเราก็รอเงินจากเวิร์คพอยท์อยู่ค่ะ”
“30 ล้านที่มาฟ้องเราเนี่ย คือ ยกฟ้อง ไม่ใช่เขาไม่ผิดหรอกค่ะ บางทีคุณปัญญา หรือผู้บริหารเวิร์คพอยท์อาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริงจากทางเรา เพราะว่าเราเคยเข้าไปขอพบ เราทำจดหมายเข้าไปตามกระบวนการ เราทำทุกอย่างเพื่อประนีประนอมแล้ว ทีนี้พอคุณปัญญามาให้สัมภาษณ์เนี่ยเงินมาอยู่ที่นี่หมด เราก็มีเอกสารว่าเราเนี่ยรับเงินมาจากเวิร์คพอยท์ทั้งหมดเท่าไหร่”
หากแม้มีการประนีประนอมเจ้าของอะเบาท์ไอเดีย ยืนยันว่า ตนยอมทุกอย่าง แต่ขอให้ได้ชี้แจงกับทางบอร์ดผู้บริหารเวิร์คพอยท์ เพราะที่ผ่านมาเคยแม้อยากจะก้มกราบเจ้าของบริษัทเวิร์คพอยท์ อย่างเสี่ยตามาแล้ว แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าจัดการไม่ได้
“เราเนี่ยเข้าไปทำงานกับเขา เพราะเราเชื่อมั่นในบริษัท เวิร์คพอยท์ เขาเป็นมหาชน เป็นคุณปัญญา เป็นคุณประภาส เราก็รู้สึกดีใจที่เราได้ไปทำงานเขาต่อ เรายังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีวันนี้ ที่ผ่านมาเราก็นอกรอบก่อนขึ้นศาลมา 2-3 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง มีก่อนขึ้นศาลอีแพ่งอีก 3 รอบ เราไปพับคุณปัญญาที่งานแถลงผังช่อง 5 อีก นี่คือข้อเท็จจริงที่เจอพี่ตาด้วยตัวจริง เราก็ขอว่าไม่ได้รับเงินอย่างไรเราอยากชี้แจง”
เราก็บอกว่า เราเนี่ยโอนเงินให้เขาเอง เขาบอกว่าเขาไม่ได้รับเงิน เราก็ถามว่าไม่ได้รับเงินตรงไหน รบกวนพี่ตาช่วยนั่งเป็นประธาน ช่วยนัดผู้เกี่ยวข้องมาคุยกัน เราจะชี้แจง ให้หมด พี่ตาก็บอกว่าสั่งคนในบริษัทไม่ได้ เพราะบริษัทเป็นมหาชนแล้ว ไม่สามารถสั่งใครได้ ก็เลยถามว่าจะให้เราทำอย่างไรต่อ เราทำทุกอย่างแล้ว ถามคุณปัญญาผ่านทางเลขาก็แล้ว บอกว่าไม่รู้จะจบอย่างไร เราก็เลยบอกว่าให้ก้มกราบต่อหน้าตรงนี้ได้มั้ย ขอให้ช่วยหน่อย คุณปัญญาบอกสั่งใครไม่ได้เลย ก็เลยหมดหนทางจะพูดต่อ เป็นการตัดบท”
“แต่เรายินดีนะ ณ วันนี้ก็อยากจะประนีประนอม อยากให้ซัปพลายเออร์ที่เหลือ ที่ไม่ได้เงินเนี่ยได้เงิน ได้รับเงินค่าจ้างกันทุกคน 1.7 ล้านบาทที่ศาลตัดสินเนี่ย คือ ตรงนี้เรารับ1.7 ล้านไม่ได้ เพราะถ้ามีอะไรเนี่ยคือจบเลย ทางอะเบาท์ไอเดียยังเป็นหนี้อีกหลายล้าน เราก็เลยต้องขออุทธรณ์ ไปในอาทิตย์ที่แล้ว ทางเขาก็จะอุทธรณ์ด้วย ทุกวันนี้เราขอแค่ค่าจ้างที่เดือดร้อนเท่านั้นเอง อยากให้ซัพพลายเออร์ หรือคนที่ขายบูธเนี่ยได้เงิน 3 ปีกว่าได้รับเงินค่าจ้างกันทุกคน ส่วนตัวเราไม่เป็นไร”
โต้กรณีโดนโดนเวิร์คพอยท์ฟ้องกลับในกรณียักยอกทรัพย์ ว่าแท้จริงเงินที่ไม่ได้คืนไปนั้นเวิร์คพอยท์ทำเช็คจ่ายให้ไม่ทัน ตนจึงต้องสำรองจ่ายหน้างานซึ่งมีการตกลงไว้นอกรอบแล้ว และไม่มีระบุในสัญญาว่ามีการจ่ายค่าปรับคืนหากขายบูธหน้างานไม่ถึงเป้า ยืนยันสัญญาทั้งสองฉบับไม่ตรงกัน
“คือมันมีสองส่วนในส่วนขายบูธเราให้ลูกค้าทุกราย เขาจะโอนเงินให้เวิร์คพอยท์ ในส่วนที่ 2 นี่คือไม่ต้องการให้ลูกค้าที่ร้านอาหาร ร้านขายผ้าไหม ไม่ต้องการvat ผ้าถึง จะโอนทางเรา เราได้แจ้งทางเขาแล้วว่า ให้เอาเลขที่บัญชีมา เราไม่อยากรับผิดชอบเรื่องเงิน ตรงนั้นเลยเป็นที่มาของการยักยอกทรัพย์ด้วย คือเงินมันมาอยู่ที่เรา 4 ล้าน โอนให้เขาไปแล้ว 2 ล้าน หรือ 2 ล้าน อยู่ที่เราเนี่ยทางเวิร์คพอยท์ยังทำเช็คจ่ายไม่ทัน แล้วเขาก็แจ้งให้เราเอาเงินไปจ่ายหน้างาน ทั้งนักแสดงเอย อะไรเอย ซึ่งมันคือค่าใช้จ่ายที่ตกลงกันนอกรอบอยู่แล้ว”
“แต่เขาจะยื่นฟ้องเราภายในวันที่ 28 นี้ ซัปพลายเออร์เขาขออนุญาตฟ้อง เราก็ทำงานมานาน แต่เขาก็มีหุ้นส่วนเยอะ คือถ้าอยากดูมีสัญญาทั้งสองฉบับ ไม่มีฉบับไหนเลยบอกว่าถ้าขายไม่ถึงจะไม่จ่ายเงิน มันแยกกันโดยสิ้นเชิงค่าจ้างคือค่าจ้าง ขายไม่ถึงเราก็ไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น ในสัญญาไม่มีนะคะ ไม่มีบอกนะเรื่องค่าปรับ”
“สัญญาสองฉบับมันต่างกัน แต่ถ้าสัญญาของเวิร์คพ้อยท์เนี่ยบอกว่า ถ้าผู้รับจ้างทำง่านไม่สำเร็จ จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้างทั้งหมด ไม่ขอลงตัวเลขแล้วกัน เขาไม่ได้อธิบายเรื่องานไม่สำเร็จ เราไม่ทราบตรงนี้ ถ้าทั้งหมด เงิน100 ล้านเราจะไปรับผิดชอบได้อย่างไร ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าเท่าไหร่”
ยืนยันการออกมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้เป็นการโปรโมตบริษัทของตนแต่อย่างใด แต่แค่อยากให้สื่อเป็นกระบอกเสียงให้ตนได้ชี้แจงกับทางผู้บริหารเวิร์คพอยท์ เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมา “เสี่ยตา ปัญญา” ได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
“ณ วันนี้เราไม่ต้องการโปรโมตอะไร เพียงแต่ว่าเราไม่มีโอกาสเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงให้เขาทราบเท่านั้นเอง ไม่ว่าวิธีใดก็ตามเราไม่มีทางเข้าไปที่เวิร์คพอยท์ได้ โดยตรง ไปเสนอบอร์ด ไปชี้แจงอะไรเลย จากที่คุณปัญญาให้สัมภาษณ์เนี่ยรู้เลยว่ามันคนละเรื่องกัน มันไม่ใช่เลยนะ ตั้งแต่ประนีประนอมครั้งนั้น เสนออะไรมาเราก็ยอมรับทุกเรื่อง เราอยากให้สื่อมวลชนของวันนี้สื่อไปไปถึงบอร์ดผู้บริหาร ไปถึงคุณปัญญาเท่านั้นเอง คือถ้าคิดว่าเราอยากจะตอบโต้เนี่ย 2-3 ปีที่ผ่านมาเราไม่เคยพูดกับสื่อเลย เราอยากประนีประนอมมากกว่า”
“เครดิตบริษัทอ้อไม่ได้กระทบค่ะ คือถ้าลูกค้าที่ทำงานมาด้วยกันเนี่ย ไม่กระทบ แต่เราหวั่นใจว่าจะกระทบตรงที่คุณปัญญาออกมาให้สัมภาษณ์กลัวว่าคุณปัญญาจะออกมาให้สัมภาษณ์แล้วทำให้ลูกค้าใหม่จะมองว่าเราทำงานไม่ดี เราก็เลยขอชี้แจง”
“ซึ่งสถานการณ์ของบริษัทตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ด้วยเศรษฐกิจด้วยอะไรหลายๆอย่างมันก็ไม่ดีอยู่แล้ว ก็เจอปัญหา ที่เราสะดุด ขาดช่วงเรื่องเงิน เราก็เอาส่วนของบริษัทเราไปจ่ายให้บ้างแล้ว เงินที่ได้รับเนี่ยได้รับวันที่ 4 มีนาคม 4 ล้าน เดือนเมษายน มีอีก2 งวดที่ยังไม่จ่าย ก่อนงานเนี่ยที่คุณนุวัทฐแจ้งเราว่าแลกเช็คไม่ทัน เลยให้เอาเงิน 2 ล้านเนี่ยไปจ่ายก่อน จากนั้นก็ไปคุยกัน ก็ยังไม่ทราบเหตุผลจริงๆ ว่าทำไม อันนี้อยากคุยกับผู้บริหารและอยากให้ข้อเท็จจริงมากกว่า ทุกคนที่ทำงานก็ตั้งใจทำงาน ก็อาจจะให้ข้อคิดว่า เราควรจะรอบคอบมากกว่านี้ เป็นบทเรียน”
“ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นต่อเลย เพราะเราเล็กมาก เราสู้กับความเป็นมหาชนไม่ได้เลย เราต้องชี้แจงอีกในศาลอุทธรณ์ เราไม่มีทางสู้เลย คือในศาลชั้นต้นคือพยายามไกล่เกลี่ยแล้ว แม้กระทั่งไปศาลอุทธรณ์แล้วเนี่ย น่าจะคุยกันได้นะ แล้วก็มีการนัดกัน 15 กุมภาพันธ์คุยกันอีกรอบหนึ่ง ไกล่เกลี่ยที่ศาลอุทธรร์จะยื่นในวันที่28 นี้”
หลังจากที่แถลงข่าวเสร็จ ทางบริษัท เวิร์คพอยท์ ก็แถลงข่าวต่อทันที โดยมีนายนุวัทฐ จั่นบำรุง และนายปกภพ ปานทองเสม ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของบริษัท เวิร์คพอยท์
นุวัทฐ : “คงต้องขออธิบายชี้แจงก่อนเลยนะครับกับเรื่องที่ผ่านมา ขอแนะนำคูณประภพ ทนายของทางเวิร์คพอยท์ คดีนี้มันอยู่ในชั้นตอนศาลในเรื่องของรายละเอียด”
ปกภพ : “เริ่มต้นก็มีการจัดงานที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี บริษัท เวิร์คพอยท์ เนี่ยมีชื่อเสียงในตัวเองอยู่แล้ว ก็จะจัดงานเรื่องมหกรรมแก้จนมีลูกค้าอยู่ในมือ ก็มีบริษัท อะเบาท์ไอเดีย เนี่ยเสนอตัวจัดงานเข้ามา เกี่ยวกับการหาลูกค้าและการหาผู้สนับสนุน เพื่อที่จะทำให้เสร็จสิ้น คือ เวิร์คพอยท์ เนี่ยเป็นบริษัทมหาชนก็จะต้องทำทุกอย่างเท่าที่มีสัญญา เวิร์คพอยท์ก็มีหน้าที่จ่ายเงินในงานทุกวัน บริษัทอะเบาท์ฯ ก็เสนอเกี่ยวกับการหาลูกค้าและการหาผู้สนับสนุน อะเบาท์ก็มีหน้าที่ขายงานตามหน้าบูธให้ได้ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ โดยบริษัทเวิร์คพอยท์ได้ให้บริษัท อะเบาท์ เนี่ยจ่ายบูธแต่เพียงผู้เดียว”
“ถามว่า บริษัท อะเบาท์ จะขายได้มากน้อยอย่างไร แต่หลังจากที่มหกรรมแก้จนเนี่ยได้จบลงแล้วแต่เขาเนี่ยไม่ได้ทำตามเป้า ดังนั้น บริษัท เวิร์คพอยท์ จึงสรุปว่าบริษัท อะเบาท์ ไม่สามารถทำตามเป้าหมายในสัญญา อีกทั้งการจัดหาก็ไม่ได้ทำตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นเวิร์คพ้อยท์ จึงเห็นว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเนี่ย บริษัทอะเบาท์ฯจึงมีสิทธิ์ที่จะไม่ได้รับการชำระค่างวดตามสัญญาเช่นกัน”
“ปัญหาก็มาเกิดตรงที่ว่าบริษัทอะเบาท์ไอเดียมาฟ้องเวิร์คพอยท์ว่าผิดสัญญา ซึ่งนำคดีไปฟ้องที่ศาลแพ่ง ก็เป็นคดีขึ้นมา เมื่อหลังจากสืบพยานแล้วเนี่ยศาลก็วินิจฉัยตามสัญญา ศาลก็วินิจฉัยตามนั้นบอกว่าศาลพิจารณาแล้วว่าเอกสารนี้จริง ไม่ใช่เอกสารปลอม ศาลท่านก็วินิจฉัยว่าบริษัทอะเบาท์ฯไม่สามารถทำตามได้ตามสัญญาที่ระบุไว้ในสัญญา เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ใช่บริษัทเวิร์คพอยท์แต่อย่างใด แต่เนื่องจากบริษัทอะเบาท์ฯก็ได้จัดงานไป จนงานเสร็จสิ้นลง ศาลเห็นว่าอย่างน้อยบริษัทอะเบาท์ฯก็ได้ทำงานจนสิ้นสุดไป ก็เลยให้เงิน กับทางอะเบาท์ที่เขาได้จ่ายค่าทำงานลงไป ตามคำพิพากษาบอกว่า 1.7 ล้านนั้นไม่ใช่เป็นเงินค่าเสียหายนะ”
“ศาลเห็นว่าเมื่ออะเบาท์ไอเดียทำงานสิ้นสุดลง ศาลเลยให้จ่าย ตามการงานที่ทำและที่ควรจะได้ ดังนั้นต้องขอยืนยันว่าบริษัท เวิร์คพอยท์, คุณปัญญา นิรันดร์กุล ไม่มีส่วนต้องมาเป็นคดี แต่เมื่อเป็นเจ้าของบริษัท ในมหาชน จะไปทำอะไรส่วนตัวนั้นไม่ได้ มันต้องว่าไปตามบริษัท ต้องว่ากันไปตามตรง”
แจงเรื่องการฟ้องกลับนั้น ตนก็ฟ้องร้องคู่กรณีเนื่องจากไม่สามารถขายยอดลูกค้าได้ตามเป้าตามสัญญาตอนแรก และยืนยันสัญญามีแค่ฉบับเดียวเท่านั้น
“ศาลเห็นว่าในส่วนของที่อะเบาท์ฟ้องกลับไป ก็ได้ค่าจ้างทำงานไปแล้ว ส่วนค่าเสียหายที่บริษัทอะเบาท์ไอเดียได้ทำงานแล้วได้บางส่วนเวิร์คพอยท์เลยขอค่าปรับตามสัญญา 30 กว่าล้าน ประมาณนั้นเราก็ได้แจ้งไป แต่ศาลก็วินิจฉัยว่าค่าปรับเนี่ยมันสามารถปรับลดลงได้ ตามที่เห็นที่ตรงกัน”
“ซึ่งค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาก็มีค่าเช่าสถานที่ เช่าอิมแพคเมืองทองธานี แล้วก็ค่าจ้างในการจัดงาน คืออันนี้คือจุดประสงค์ของสัญญาหลัก เมื่อรายรับมันไม่ตรงตามเป้า รายรับนี้ถือว่าเป็นไปตามสัญญา สัญญาเนี่ยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ถ้าขายได้เราก็จ่ายตามนั้น แบบนี้เวิร์คพอยท์ก็เต็มใจจ่ายตามนั้นเช่นเดียวกัน สัญญาในนั้นเราบอกกว่าไม่น้อยกว่า 75% ของจำนวนบูธ ค่าจ้างเราจะจ่ายเป็นงวด แล้ว75% ต้องขายก่อนงานเริ่ม สัญญาก็ตรงตามที่ศาลวินิจฉัย สัญญามีฉบับเดียวไม่มีหลายฉบับหรอกครับ”
“ข้อความที่เราได้ส่งต่อศาลคือคู่สัญญาเซ็นด้วยกัน ผมมีคำพิพากษามาให้ด้วย การให้ศาลวินิจฉัยอย่างไรศาลก็ให้มา นักข่าวก็ดี สื่อมวลชนก็ดีก่อนลงข่าวก็ควรจะดูให้ดี ดูเอกสารให้ชัดแจ้ง ศาลยังไม่พิพากษาถึงที่สุด แต่อยากให้ศาลพิพากษาถึงที่สุดเสียก่อน”
ก่อนจะเผยว่าการไกล่เกลี่ยมีมาโดยตลอด แต่ไม่เคยไกล่เกลี่ยได้ เนื่องจากตกลงตัวเลขไม่ตรงกัน
ปกภพ :“บริษัทได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วครับ บริษัทก็ชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว เมื่อบริษัทไม่ได้ผิดสัญญา ผู้บริหารจะไปชดใช้มันเป็นไปไม่ได้ครับ ก็เท่ากับว่าผู้บริหารไม่มีสิทธิ์ ต้องฟังคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นก็ยินดีครับที่จะไกล่เกลี่ย แต่ไกล่เกลี่ยแล้วมันตกลงกันไม่ได้”
นุวัทฐ : “เราไกล่เกลี่ยนะครับไม่ใช่ไม่ไกล่เกลี่ยแต่ตัวเลขเนี่ยไม่ใช่ตัวเลขที่พอใจ ทั้งสองฝ่าย ตรงนั้นก็เลยอยู่ในขั้นตอนหนึ่งของศาล แล้วเราก็ไกล่เกลี่ยแล้วมันไม่ลงตัว ทางอะเบาท์ขอ10 บาท เราให้ได้แค่ 2 บาท คือผมยืนยันว่าถ้าทางเวิร์คพอยท์ผิด เราก็ยืนยันที่จะปฏิบัติตาม เราเจอก็ยกมือไหว้พี่เขาตลอดเวลานะ นี่มันเรื่องของบริษัท ให้ศาลเขาตัดสินไปก่อน นี่มันคือเรื่องของศาลอยู่ ทางคุณศศิธรบอกอีกว่ามันไม่น่าจะใช่ตัวเลขที่ 1.7 ล้าน นั่นมันคือเรื่องในศาลต่อไป”
ยืนยันอีกฝ่ายขายยอดไม่ตรงเป้าจึงต้องมีการฟ้องร้อง และเลยขั้นตอนการเข้าไปคุยกับผู้บริการมาแล้ว เพราะกระบวนการมาถึงชั้นศาลแล้ว
ปกภพ : “คือเรียนแบบนี้นะครับว่าเวิร์คพอยท์จัดงานแบบนี้ก็ขาดทุนเหมือนกัน ไม่ใช่มีกำไร เราก็ขาดทุน ด้วยตัวเลขก็ไม่น้อย ต่างคนต่างขาดทุนครับ ไม่ใช่ฝั่งผมได้กำไร ไม่ใช่นะ เฉพาะค่าเช่าอิมแพคเมืองทองธานีนี่ 12 ล้านบาท ตัวเลขที่ตกลงกันเนี่ย ขอถามถามฝ่ายบัญชี เรื่องตัวเลขตรงนี้ก็แล้วกันตามเงื่อนไข เมื่อรายได้ไม่ได้ตามที่ตั้งกันไว้ ต่างคนต่างต้องรับผลในการขาดทุน บริษัทเวิร์คพอยท์ก็ขาดทุน ทางบริษัทเขาขาดทุนหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ทางเวิร์คพอยท์ขาดทุนแน่ๆ ศาลเองวินิจฉัยไปแล้ว อย่างไรก็ดีศาลยังไม่ถึงที่สุด คือตัวเลขในชั้นศาลเนี่ยเป็นการให้ปากคำในชั้นศาลนะครับว่าขายบูธได้ 52% แค่นั้น”
อ้อ ศศิธร : “คือถ้าทุกคนไม่รู้อะไรตั้งแต่ต้นเนี่ย ขอพูดแค่ 2 ประเด็นไม่ว่าจะเป็นขายได้เท่าไหร่มันก็คือค่าคอมมิชชั่น ขายได้หรือไม่ได้ เวิร์คพอยท์ขาดทุน เราไม่ใช่หุ้นส่วน แล้วขอแค่ว่าไปชี้แจงในบอร์ดผู้บริหาร เราได้รับเงินงวดสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ถามว่าผิดสัญญาหรือเปล่าไม่ทราบ ยิ่งพูดไปสื่อมวลชนก็ยิ่งงง เราไม่คัดค้านทางศาลแต่ถ้าหลังจากวันนี้ เราคุยกันได้ เราจะยินดีคุย เพียงแต่เข้าไปคุยในบอร์ด”
ปกภพ : “เรื่องมันไปถึงศาลแล้ว เราไม่สามารถไปคุยกันได้แล้ว ทางเวิร์คพอยท์ ก็รอคำพิพากษาของศาล เรากำลังยื่นอุทธรณ์ในคดีแพ่ง คดีอาญาเนี่ยมีข้อตกลงในสัญญาว่าเมื่อทางลูกค้าก็ซื้อบูธแล้วเนี่ยทางอะเบาท์ฯต้องส่งเงินให้ทางเวิร์คพ้อยท์ โดยตรง ปรากฏว่าบริษัทอะเบาท์ฯไม่ได้ให้ลูกค้าโอนเงินให้ คือเงินเนี่ยก็อยู่กับทางอะเบาท์อีก 2 ล้านซึ่งเรายังไม่ได้รับ เขาไม่ได้แจ้งให้ทางเราทราบ และยังไม่ได้เอาเงินคืนให้ เราก็มองว่ามันคือคือฐานยักยอกทรัพย์ก็เลยฟ้องตรงนี้ไปในฐานยักยอกทรัพย์”
เมื่อถามถึงความมั่นใจในการขึ้นศาลครั้งนี้ทั้งสองฝ่าย ต่างเชื่อในความยุตธรรมของศาล อีกทั้งฝั่งของบริษัทเวิร์คพอยท์ยังได้ยืนฟ้องคู่กรณีในฐานหมิ่นประมาท และฟ้องบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในฐานหมิ่นประมาทอีกด้วย
ปกภพ : “เดี๋ยวเรามีเอกสารสัญญาให้นะครับ แล้วก็ขอเรียนว่าที่ผ่านมาบริษัทอะเบ้าท์ไอเดียฯได้ให้ข่าวมาตลอด โดยกล่าวหาว่าบริษัทบอกว่าบริษัทเวิร์คพอยท์เนี่ยขี้โกง ในวันนี้บริษัทเวิร์คพอยท์จำเป็นต้องป้องกันรักษาชื่อเสียง จึงได้รับให้ดำเนินการยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท บริษัทอะเบาท์ไอเดียด้วยครับ และพร้อมกับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมได้นำหลักฐานไปยังศาลเรียบร้อยแล้วครับ”
“ไม่ได้เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีอาญา ฟ้องเมื่อซัก 2 ชั่วโมง เมื่อตอนบ่ายโมงครับ เดี๋ยวผมจะมอบสำเนาคำฟ้องไว้ด้วยครับ”
อ้อ ศศิธร : ไม่เป็นไรค่ะ เชื่อว่ายังมีความบริสุทธิ์อยู่ในสังคมและถ้าคุยกันได้มันก็ยุติทุกคดีไม่ต้องมานั่ง ขึ้นศาลเสียเวลา ไม่อยากฟ้องหรือไม่อยากดำเนินการใดๆถ้าคุยกันได้นะคะ ไม่อยากให้มีอะไรใหญ่โต ความคิดก็ยังคิดว่าผู้บริหารอาจจะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ก็ไม่แน่อาจจะมีปาฏิหาริย์ก็ได้ค่ะ เผื่อว่าสื่อมวลชนเอาข้อมูลไปลงข่าวแล้วผู้บริหารอาจจะได้รับทราบข้อเท็จจริง หวังว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เมื่อถามถึง “เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล” เอ่ยถึงกรณีนี้อย่างไร ทนายส่วนตัวของเวิร์คพอยท์แจ้งว่าผู้บริหารเวิร์คพ้อยท์ไม่เคยอยากมีคดีความ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของบริษัทมหาชนเท่านั้น
ปกภพ :โดยส่วนตัวที่ได้คุยกันแล้วเนี่ยทางคุณปัญญาไม่คิดจะมาเป็นคดีความกันหรอกครับ แต่ในฐานะเป็นผู้บริหารของบริษัทเมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ยังต้องดำเนินต่อไป คือเขาทำในนามบริษัทมหาชน จะทำอะไรก็ลำบากนะครับในทางส่วนตัว เขาก็เรียนผ่านผมมาแบบนี้ด้วย ก็ไม่มีผลอะไรนะครับ เราตรงไปตรงมา เราไปทำที่มันไม่ตรงไปตรงมาคงไม่ได้”
ก่อนที่นาย “นุวัทฐ จั่นบำรุง” จะปิดการแถลงข่าวครั้งนี้ว่าสาเหตุของการมีเรื่องมีราวครั้งนี้เกิดจากการที่ไม่สามารถตกลงค่าเสียหายของกันและกันได้ ก็เพื่อต้องมีการไกล่เกลี่ย
“ขั้นตอนของศาลเนี่ย ด้วยตัวเลขที่ทางเวิร์คพอยท์เนี่ย ไม่สามารถที่จะรับตัวเลขที่ทางอะเบาท์ฯ ขอมาได้ มันถึงได้มีเรื่องในชั้นศาล มันเหมือนแบบว่าต่างคนต่างถูก เลยหาคนมาไกล่เกลี่ยหาคนกลางนี่ศาลชั้นต้นพิพากษามาแล้ว ก็ว่าไปตามนั้น ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าเราเชื่อในศาลว่ายุติธรรม 2.เราอุทธรณ์ต่อไป ก็อาจจะจบมีขั้นตอนต่อไป มันสิ้นสุดคดีใครถูกใครผิด ทางพี่อ้อถูกเราก็จ่าย แต่ถ้าทางเราถูก ศาลสั่งก็คือจบ มันคือความคิดของคนสองคนที่ไม่ตรงกัน สัญญามีอะไรก็ว่ากันไป ศาลวิเคราะห์มาแล้ว มันพูดไม่ได้ เราถึงไม่ให้ข่าวมันอยู่ในศาลมันไม่ได้บอกว่าพี้อ้อผิด ให้มันเดินไป เราก็ไม่อยาก เราก็ปกป้องสิทธิ์ เรามีเหตุผล จากสัญญา เราไม่รู้จะตอบอย่างไร มันอาจจะอยู่ในขั้นตอนอีกเยอะ
พร้อมให้สัมภาษณ์ในงานหล่อพระพิฆเนศ ที่วัดเบญจมพิตร ต่อว่าสาเหตุที่ฟ้อง “หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ” ด้วยเนื่องจากไม่มีการฟังความทั้งสองฝ่าย ทำให้บริษัทตนเสียหาย
“ศาลตัดสินว่าสัญญามีฉบับเดียวคือฉบับนี้ถามง่ายๆอาจจะหมิ่นศาลก็ได้ เราลงอาจจะโดนหมิ่นศาลอีกเพราะว่าสิ่งบางเรื่องเนี่ยอย่าเอาข้อมูลอันเดียวไปที่เราบอกผู้จัดการเนี่ยคุณได้ข้อมูลไปอันเดียวแล้วเอาไปลงโดยที่ไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่งว่าเขาเบี้ยวรึเปล่า ศาลวิเคราะห์แล้วไม่เบี้ยว วันนี้เขาเลยถึงบางอ้อกันว่า อ๋อ มันมีคำสั่งมันมีคำพิพากษาเสร็จแล้ว ศาลท่านจะบอกเลยนะว่าอย่างนี้ก็ผิดเราสิ เราตัดสินไปแล้วสัญญานี้ถูกต้อง เหมือนกับหาว่าศาลรับเงินจากเวิร์คพอยท์นะถูกเปล่า เลยทำให้บริษัทเวิรค์พอยท์สัญญานี้ถูกต้องมันพูดอย่างนั้นไม่ได้มันเป็นเรื่องของกฎหมายก็ว่าตามกฏหมายกันไป คุณก็อุทธรณ์ก็ถูกแล้วคุณก็อุทธรณ์ต่อ จริงๆพี่ถึงบอกว่าทำไมไม่เข้าไปอยู่ในกระบวนการศาล ทำไมต้องมาบอกว่าเวิร์คพอยท์เบี้ยว เวิรค์พอยท์แพ้คดีเบี้ยว ออแกไนเซอร์ต้องจ่ายล้านเจ็ด”
“เราเป็นสื่อเราทำหน้าที่เราก่อนว่าอะไรเราถูกต้องเราไม่กลัว ทีวีพูลทำผิดมันจะฟ้องก็ฟ้องไปซิ เราก็ยอมรับผิด อันนี้ก็เหมือนกันพี่ก็ไม่กลัวเพราะเราก็ไม่ผิดสัญญา เราถูกเพราะเราทำตามสัญญาคุณมาผิดสัญญาแล้วคุณมาเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ต้องจ่ายแค่เท่านี้แหละเราก็ขาดทุนคุณก็ขาดทุนงั้นพอเลยไม่ต้องอะไรจบ ไม่ได้ต้องจ่ายอีกสิบห้าล้าน ไม่ได้ เราขาดทุนไปแล้วสิบกว่าล้านเราจ่ายไปสิบหกล้านเราได้เงินมาไม่ถึงสิบล้านเราได้เงินมาเท่าไหร่ที่คุณบอกให้เรามาลงทุนเพื่อที่จะเอาเงินไปเนี่ย ถ้าคุณไม่มาบอกเราๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร”
“ถึงบอกไงถามว่าเสียชื่อไหม เราทำในหน้าที่เรา คือเราทำงานของเราไม่คิดว่าเสียชื่อหรอก เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ถูกต้อง สื่อมวลชนก็ทำอย่างนั้นแต่บนพื้นฐานที่ถูกต้องผมว่าทางน้องก็ไม่กลัวหรอกแต่ก็ต้องวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิดก็ว่ากันไป ผมเชื่ออย่างนั้นเราจะกลัวอะไรเราทำบนเรื่องของความถูกต้องเราจะกลัวเสียชื่อหรอกเพราะยังไงคุณก็รู้”
“ตอนนี้ฟ้องอาญาก่อน ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ชัดเจนมันก็มีมูลเหตุในการฟ้อง ถามว่าไกล่เกลี่ยไหม เราไม่อยากฟ้องใครหรอก ต้องถามเหตุผลว่าทำไมเขาไม่คุยกับเราอย่างคุยกับน้องๆ เราคุยกันได้ ไม่ใช่ ไม่ได้พูดว่าไม่ไกล่เกลี่ย ก็คุยกันหมดแหละ เราก็เป็นสื่อพวกเดียวกันไม่อยากมีคดีความกับใครหรอกแต่ทำไม คือมันต้องถามก่อนว่าการไม่ให้เกียรติคนเรารับได้ไหมล่ะ เอาง่ายๆมาบอกว่านี่ไม่ใช่ลูกจริงนี่ลูกคนอื่น ทำไมไม่เช็คก่อนล่ะแล้วเขาเสียหายนะแล้ว เขาทำไงล่ะพี่ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นชื่อเสียงของแต่ละคนมันก็ยอมกันไม่ได้ สิทธิของตัวเองก็มีสิทธิ์มันจะเล็กมันจะใหญ่ก็ต้องรักษาสิทธิ์ของตัวเองทุกคนก็มีเกียรติของตัวเอง”