หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 8
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
กลางคืนต่อเนื่อง แมงเม่าประคองขันทองหนีมาอย่างทุลักทุเล เพราะขันทองยังอ่อนแรงจากฤทธิ์ยาอยู่มาก ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง
ทั้งคู่พยายามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยความอ่อนแรง ขันทองก็หกล้มลงกับพื้น
แมงเม่ารีบเข้าไปประคองขันทอง
"แข็งใจหน่อยเจ้าค่ะคุณหลวง ถึงฝ่ายหน้าเมื่อใด พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว"
ขันทองอ่อนแรงมาก
"ค่ายของฝ่ายในกับฝ่ายหน้า ตั้งอยู่ห่างกันพอควร เราสองคนหนีไปไม่รอดดอก เจ้าทิ้งข้าไว้แล้วรีบไป คนเดียวจะมีโอกาสรอดมากกว่า"
" ไม่เจ้าค่ะ ตายก็ตายด้วยกัน แต่ฉันจะไม่ทิ้งคุณหลวงเป็นอันขาด"
ขันทองอึ้งไปครู่นึง ไม่คิดว่าแมงเม่าจะมีน้ำใจขนาดนี้ ถอนใจ
"เจ้าตัวดี เรื่องดื้อรั้นไม่มีใครเกิน" ขันทองมองไปทางชายป่า "ถ้าไม่ยอมหนีไปคนเดียว ก็พาฉันเข้าป่าที"
"เข้าป่าหรือเจ้าคะ" แมงเม่าแปลกใจ
ทหาร 2 คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแมงเม่าและขันทองมา โดยหนึ่งในนั้น ใช้ผ้าพันหลังเท้าที่ถูกขันทองแทงไว้ แต่ก็มีเลือดซึมออกมา ทำให้ต้องเดินกะเผลกตอลดเวลา
ทหาร 1 วิ่งกะเผลกเพราะเจ็บเท้า มองไปรอบๆด้วย
"เราตามหลังพวกมันมาไม่นาน เหตุใดหายไปได้วะ หรือพวกมันจะถึงฝ่ายหน้าแล้ว"
ทหาร 2 วิ่งประกบมาด้วยกัน กวาดตามองหาไปทั่วๆ แล้วบอก
"คนหนึ่งเป็นผู้หญิง อีกคนหนึ่งยืนเองยังไม่ไหว แล้วจะถึงฝ่ายหน้าก่อนพวกเราได้อย่างไรวะ"
ทหาร 2 ฉุกคิดขึ้น เลยหยุดวิ่ง แล้วรีบมองตามพื้นดิน
" กระไรของเอ็งวะ ประเดี๋ยวพวกมันก็ไปถึงฝ่ายหน้าดอก" ทหาร 1 บอก
ทหาร 2 เห็นรอยเท้า ชี้ให้เพื่อนดู "เอ็งดูนั่น"
ทหาร 1 หันไปมองตามที่พื้น เห็นรอยเท้าคนสองคน วิ่งไปในป่า ก่อนจะหายไป
ทหาร 1กัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน "มิน่าเล่า ถึงหายตัวไปเร็วนัก"
ทหารทั้ง 2 คน รีบวิ่งตามเข้าป่าไปทันที
มุมหนึ่งในป่า แมงเม่าเอาเถาวัลย์มาใช้แทนเชือก ขันทองนั่งพิงต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน
คอยสอนวิธีทำกับดักง่ายๆให้แมงเม่า
" มีเวลาไม่เกินน้ำเดือดก่อนที่พวกมันจะหาเราเจอ ฉะนั้น เจ้าต้องทำตามที่ฉันบอก อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด"
แมงเม่าพูดไปผูกเถาวัลย์ไป "เจ้าค่ะ"
ผ่านเวลาเล็กน้อย ทหารทั้ง 2 กำลังบุกป่าตามล่าขันทอง และแมงเม่าอยู่ สายตาคอยสอดส่ายหาทั้งคู่ตลอดเวลา
ขณะนั้นเอง ก็เหลือบเห็นขันทอง และแมงเม่านั่งพิงต้นไม้อยู่
ทหาร 1ยิ้มเหี้ยม "เจอตัวล่ะมึง"
ทหารทั้งคู่ เดินย่องๆ ลัดเลาะเข้ามาหาขันทอง และแมงเม่า
แมงเม่า และขันทองทำเป็นไม่เห็น...ขันทองซ่อนไม้ปลายแหลมอีกท่อนไว้ข้างๆตัว
แมงเม่าตื่นเต้นปนกลัว "พวกมันมาแล้วเจ้าค่ะ"
ขันทองพูดเบาๆ หน้านิ่งๆ
"นิ่งเฉยไว้ อย่ามีพิรุธ พวกมันทั้งสองมีฝีมือไม่ใช่ย่อย คงผ่านการต่อสู้มาไม่น้อย หากเจ้ามีพิรุธจะเสียแผนได้"
แมงเม่าพยายามนิ่งไว้ ไม่เคลื่อนไหว ทำเป็นไม่เห็น แต่ในใจทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้นสุดๆ
ทหารทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้ๆเรื่อย แต่ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลง สายตาสอดส่ายไปรอบๆ เพราะขันทอง และแมงเม่ายังนั่งนิ่ง ทำให้ทั้งคู่เริ่มระแวง
แมงเม่าหน้าเสีย พูดเบาๆ
"พวกมันไม่ยอมเข้ามา ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ปล่อยไม้แหลมเลย ดีหรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองพูดเบาๆ
"ยัง กับดักเราทำลวกๆ ใช้ได้ไม่ดีนัก ต้องรอพวกมันเข้าใกล้กว่านี้อีก เจ้าทำตามที่ฉันบอกก็พอ"
"เจ้าค่ะ"
พวกทหารยังคงระแวง มองไปรอบๆ ไม่ยอมเข้ามาง่ายๆ
ขันทองตะโกนลั่น "หนี"
แมงเม่ารีบวิ่งหนีตามคำสั่งทันที
ทหารทั้งสองตกใจ รีบวิ่งเข้ามาทันทีเพื่อจะจับแมงเม่า
ทันใดนั้นเอง ทหารนายหนึ่งก็สะดุดเชือกที่ขึงขวางไว้หลบอยู่ระดับแนวหญ้า
พริบตานั้นเอง ไม้ปลายแหลมจำนวน 4-5 อัน ก็พุ่งออกมาจากหน้าไม้ที่ทำขึ้นเอง ซึ่งซ่อนอยู่ในพงหญ้าเข้าหาทหารทั้งคู่ทันที
ทหารทั้ง 2 นาย ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ที่ถูกไม้ปลายแหลมแทงทะลุไป
ทหาร 1 ร้องทีเดียวก็ล้มลงขาดใจตายเพราะโดนที่สำคัญ แต่ทหาร 2 โดนที่ไม่สำคัญเลยแค่ทรุดลง
กับพื้น ยังไม่ตาย
จังหวะเดียวกันนั้นเอง แมงเม่าก็ตกใจเสียงร้อง เลยหันกลับมามอง
ขันทองตะคอกสั่ง "อย่ามอง หลับตา"
แมงเม่ารีบหลับตาปี๋ ตามที่ขันทองบอกทันที
ทหาร 2 เจ็บหนัก แต่ยังไม่ตาย กลับพุ่งเข้าหาขันทอง กะฆ่าให้ตายไปด้วยกัน
ขันทองฉวยไม้ปลายแหลมด้านยาวที่ซ่อนเอาไว้ออกมา แล้วรวมแรงเฮือกสุดท้ายพุ่งตัวเข้าใส่
ทหาร 2 ....ไม้ปลายแหลมด้ามยาวกว่าพุ่งถึงตัวทหาร2 ก่อนปักเข้าขั้วหัวใจทหาร 2 อย่างแม่นยำ
ก่อนที่ทหาร 2จะขาดใจตายคาที่ ล้มไปกับพื้นข้างๆขันทอง
แมงเม่าค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นทหารทั้งคู่ตาย ก็รีบวิ่งไปหาขันทองทันทีด้วยความเป็นห่วง
" คุณหลวง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
ขันทองหันมามองแมงเม่าด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหมดสติไปต่อหน้าแมงเม่า หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย สิ่งที่ขันทองพยายามฝืนมาตลอดก็ถึงที่สุดพอดีจนสลบไป
"คุณหลวงๆ"
บรรยากาศหลังความวุ่นวาย ทุกอย่างเริ่มคืนสู่ความสงบ แต่มีข้าวของพังเสียหายเพราะการอาละวาดของช้างเต็มไปหมด
พวกโขลน และข้าหลวงที่เหลืออยู่กำลังช่วยกันเก็บกวาด
แน่นกำลังคุกเข่ารายงานความเสียหายให้กรมขุนวิมลภักดีฟัง โดยมีเจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภายืนอยู่ด้านหลังกรมขุนวิมลภักดี
"พวกควาญ ได้ควบคุมช้างทุกเชือกจนหมดสิ้น แต่เพลานี้ยังไม่รู้แน่ว่าเกิดกระไรขึ้นกระหม่อม ที่รู้ ก็มีคนบาดเจ็บยี่สิบเจ็ดคน แลเสียชีวิตหนึ่งคนคือออกพระราชาข่าน ส่วนข้าวของที่เสียหาย คงต้องตรวจตราดูอีกทีกระหม่อม"
กรมขุนวิมลภักดีไม่สบายใจ
"ข้าวของนอกกายช่างมันเถิด แต่ต้องมาเสียคุณพระราชาข่านไป ฉันเสียใจนัก คุณพระถวายการรับใช้มาหลายสิบปี ไม่บังควรต้องมาตายเช่นนี้เลย"
ขณะนั้นเอง เป้าก็รีบเดินเข้ามาหากรมขุนวิมลภักดี แล้วรีบนั่งพับเพียบลง พนมมือ
"ไม่พบเห็นแม่แมงเม่าเลยเพคะ หม่อมฉันหาจนทั่วบริเวณที่ตั้งกระโจมของฝ่ายใน แลถามผู้คนจนทั่ว
ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเลยเพคะ"
"กระไรกัน พวกเราเพิ่งมาจากฝ่ายหน้าก็ไม่พบเห็นแม่แมงเม่า ฝ่ายในก็ยังไม่มีอีก หรือจะสวนทางกัน" เจ้าจอมอำพันว่า
คุณท้าวโสภาบอก "ก็เป็นได้นะเพคะเสด็จ แม่คนนี้ บทจะไปจะมาราวกับลมพัด อาจจะสวนทางกันก็เป็นได้" แล้วพนมมือขึ้นเหนือหัว "แต่พระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านจะเสด็จกลับแล้ว คงต้องให้ทางนี้อยู่หาแมงเม่า
แทนไปก่อนแล้วล่ะเพคะ"
แน่นแปลกใจ
"จะเสด็จกลับแล้วหรือเจ้าคะคุณท้าว ทำไมรวดเร็วนักเล่า เพิ่งจะพ้นความวุ่นวายไปแท้ๆ ยังมีอีกหลายสิ่งไม่เรียบร้อยเลย"
กรมขุนวิมลภักดีมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
แต่เจ้าจอมอำพันกลับยิ้มเยาะสะใจ
" ฉันไม่อยากพูดมาก เกรงจะบาปเสียเปล่าๆ แต่ของอย่างนี้มันอยู่ที่บุญวาสนาจริงๆ"
กรมขุนวิมลภักดีปราม "แม่อำพัน"
เจ้าจอมอำพันจ๋อยไป ไม่กล้าพูดมากอีก
แน่นได้แต่มองคนโน้นที คนนี้ที ด้วยความงุนงง
เป้าตอบแทน "คืออย่างนี้เจ้าค่ะท่านขุน ที่ต้องรีบเสด็จกลับ ก็เพราะเจ้าจอมเพ็ญท่าน... " พูดอึกๆอักๆ หน้าเครียด "เอ่อ ท่านแท้งหน่อพระพุทธเจ้า เจ้าค่ะ"
แน่นตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจอมเพ็ญจะแท้งได้
ภายในกระโจม
เจ้าจอมเพ็ญนอนอยู่บนเตียง ขบกรามแน่น ร้องไห้อยู่เงียบๆ ในใจทั้งเสียใจที่แท้งลูก
ทั้งเจ็บใจที่โอกาสเป็นแม่หยั่วเมืองอยู่แค่เอื้อม แต่ก็ต้องพลาดไปจนได้ โดยมีเลื่อนกับหมอหลวง
กำลังยืนคุยกันอยู่
" ฉันจะจัดยามาให้ ให้เจ้าจอมท่านกินตามที่ฉันสั่ง ก็ไม่เป็นกระไรแล้ว"
เลื่อนไหว้
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณหลวง"
หมอหลวงหันไปพูดกับเจ้าจอมเพ็ญ "เจ้าจอมขอรับ"
" ออกไป" เจ้าจอมเพ็ญตวาด
"แต่ทว่า"
" ข้าบอกให้ออกไป อยากหัวขาดรึ"
" ขอรับๆ"
หมอรีบลนลานออกไปจากกระโจมทันที
เลื่อนสงสารมาก เข้าไปปลอบ
"หม่อมแม่เจ้าขา อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ ถึงครานี้จะแท้ง แต่ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์อีก อย่างไรเสีย หม่อมแม่ก็เป็นคนที่พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานที่สุดอยู่แล้วนะเจ้าคะ"
เพ็ญขบกรามแน่น แต่น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด พร้อมกับใช้มือทุบตีที่หมอนไม่ยั้งเป็นการระบายอารมณ์เสียใจและเจ็บใจที่ตนมี
เลื่อนขยับออกห่างเล็กน้อย ด้วยความรู้สึกหวั่นกลัว
หน้ากระโจมเจ้าจอมเพ็ญ หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา กำลังเดินลิ่วเข้ามาหาขุนรักษ์เทวาที่กำลังคุยกับหมอหลวงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลวงศรีมะโนราชเรียก "ขุนรักษ์เทวา"
ขุนรักษ์เทวา และหมอหลวงหันไปมองตามเสียง เห็นทั้งสามคนกำลังเดินมาทางตน
"ไม่มีกระไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะท่านขุน เรื่องยากับการดูแลเจ้าจอมท่าน ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นล่ะ มีกระไรสงสัย ก็ให้คนไปหาฉันได้"
"เจ้าค่ะคุณหลวง"
หมอหลวงเดินเลี่ยงไป
หลวงศรีมะโนราชตะคอก
"เจ้าดูแลเจ้าจอมท่านอย่างไรกัน ถึงปล่อยให้หน่อพระพุทธเจ้ามีอันตรายได้ นี่ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ฉันคงอยู่ดูแลเจ้าจอมท่านเองแล้ว"
ขุนเทพชำนาญรีบสนับสนุน "ไว้ใจไม่ได้เอาเสียเลย"
ขุนรักษ์เทวาเหยียดปากหมั่นไส้ใส่
หลวงศรีมะโนราชมองไปรอบๆ
"แล้วนี่หลวงศรีขันทินกับขุนจิตใจภักดิ์อยู่ที่ใด เหตุใดไม่อยู่รอรับใช้เจ้าจอมท่าน"
ขุนเทพรักษาว่า"นั่นสิ หายไปที่ใดกันหมด"
ขุนรักษ์เทวายิ้มเยาะแบบรู้ทัน
"ตายแล้ว พอมาถึง ก็รีบโยนบาปให้คนอื่นเลยนะคุณหลวง ฤาคุณหลวงจะความจำไม่ใคร่ดี คนที่อยากตามเสด็จ" พนมมือขึ้นเหนือหัว "พระพุทธเจ้าอยู่หัวจนตัวสั่น ก็คุณหลวงเองไม่ใช่รึ พอเกิดเรื่องก็จะโทษกัน ช่างคิดง่ายเสียจริง"
"ยังกล้าเถียงอีกรึ เงาหัวจะมีหรือไม่ ยังไม่รู้ มีหน้ามาปากดีอีก" ขุนเทพชำนาญว่า
"ก็เอาซี้ ฉันหาใช่หลวงศรีขันทินไม่ จะได้สงบปากสงบคำ ผิดนัก ก็มาแจงสี่เบี้ยกันเป็นไร ช้างมันคลั่งขึ้นมาเอง แลไม่มีใครบอกพวกฉัน ว่าเจ้าจอมเพ็ญท่านไม่ได้ไปรับเสด็จ ข้อพวกนี้เป็นความผิดของฉันกระนั้นรึ จะใส่ความคนอื่นทั้งที ก็ใช้ข้อหาที่ฉลาดเฉลียวกว่านี้หน่อยเถิด"
ขุนเทพรักษาโมโห
"อ้ายพวกผิดแล้วไม่ยอมรับผิด อย่างนี้ต้องให้ออกพระราชาข่านตัดสินเสียแล้ว จะได้รู้ดีชั่วกันไป"
ขุนรักษ์เทวาหัวเราะเยาะ
"ให้ออกพระตัดสิน ก็คงต้องรออีกนานกระมัง เพราะฉันยังไม่คิดขึ้นไปสวรรค์ตอนนี้"
หลวงศรีมะโนราชงงๆ "พูดกระไรของเจ้า ขึ้นสวรรค์กระไร"
"นี่คงเร่งมาหาเรื่องกัน เลยยังไม่รู้ล่ะซิ ว่าออกพระท่านสิ้นบุญแล้วเพราะ ถูกช้างคลั่งทำร้ายเอา"
ขันทีทั้งสามตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
หลวงศรีมะโนราชคิดทบทวน แล้วก็เริ่มยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เพราะถ้าพระราชาข่านตาย คนที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีคนใหม่ก็คือตนนั่นเอง
ตอนหัวค่ำ กองไฟเล็กๆกองหนึ่งในป่า
แมงเม่ากำลังนั่งผิงไฟอยู่ด้วยความหนาวเหน็บ โดยมีขันทองนอนอยู่ใกล้ๆ
ขันทองค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น
"ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะคุณหลวง"
ขันทองยันกายขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ
"แล้วศพทหารสองคนนั้นเล่า"
"ก็อยู่ที่เดิมนั่นล่ะเจ้าค่ะ ฉันจะพาคุณหลวงกลับค่ายก็พาไม่ไหว แต่จะให้อยู่กับศพพวกนั้น ฉันก็ไม่ กล้า ก็เลยพาคุณหลวงมาพักที่นี่ก่อน"
แมงเม่าเอื้อมมือไปไปจับมือขันทอง
ขันทองตกใจที่จู่ๆแมงเม่ามาจับมือตน "เจ้า..."
"ขอประทานโทษนะเจ้าคะ" แมงเม่าเอื้อมมือไปจับหน้าผากขันทอง แล้วจับที่ซอกคอเพื่อดูความร้อน
ขันทองอึ้งๆไป ในชีวิตไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงขนาดนี้มาก่อน เพราะตนบวชมาตลอด พอสึกออกมาก็มาเป็นสายลับเข้าวัง แม้จะมีผู้หญิงเยอะแต่ก็ไม่มีใครใกล้ชิดกับตนขนาดนี้
แมงเม่ายิ้มดีใจ "ตัวเย็นแล้ว เมื่อครู่คุณหลวงตัวร้อนไข้ขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ฉันยังกลัวอยู่เลย ว่าถ้าคุณหลวงเป็นกระไรมาก ฉันจะทำอย่างไร"
ขันทองรีบปรับอารมณ์ ทำหน้านิ่งๆ
"เอ่อ ฉันคงมีไข้ เพราะพิษจากยาน่ะ ไม่เป็นกระไรมากดอก"
แมงเม่าแปลกใจ "ยาหรือเจ้าคะ"
ขันทองหน้าเสียที่พลั้งปาก ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน
"ฉันเพิ่งลืมตา เจ้าก็ถามไม่หยุดเทียวนะ แล้วกองไฟนั่น เจ้าก่อเองรึ เก่งนี่ ฉันไม่เคยเห็นหญิงลูกผู้ดีคนใด ทำเช่นนี้มาก่อนเลย"
แมงเม่ายิ้มขำๆ
"เรียกฉันว่าเป็นผู้ดีก็กระดากเหลือเกินเจ้าค่ะ อันที่จริง ฉันก็เป็นไพร่คนหนึ่ง เพียงแต่พ่อฉันร่ำรวยเท่านั้นเองเรื่องก่อกองไฟ ไม่ว่าลูกไพร่คนใดวิ่งเข้าออกครัวแต่เล็ก ก็ทำได้ ทุกคนล่ะเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มบางๆ ถึงแมงเม่าจะซุกซนไม่เรียบร้อยแต่ก็มีน้ำใจ และเข้มแข็ง จนตนแอบรู้สึกดีกับแมงเม่ามากขึ้นเรื่อยๆ
" ยิ้มกระไรเจ้าคะ"
ขันทองรีบปั้นหน้าบึ้งทันที
"ไม่มีกระไร เจ้ารีบนอนเถิด คืนนี้เราคงต้องนอนกลางป่ากันสักคืน วันพรุ่งข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ค่ายเอง"
" ให้นอนตอนนี้คงนอนไม่หลับดอกเจ้าค่ะ วันนี้เจอเรื่องหนักหนา เฉียดเป็นเฉียดตายมาทั้งวัน จะให้ข่มตาหลับนั้นยากนักเจ้าค่ะ"
ขันทองถอนใจส่ายหน้า
" เจ้าจะลืมตาตื่นจนถึงรุ่งสางก็ตามใจเจ้าเถิด"
แมงเม่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแย้มบอก
"คุณหลวงเล่าเรื่องกระไรให้ฉันฟังก็ได้เจ้าค่ะ ฟังพอเพลินๆ ฉันจะได้นอนหลับ เหมือนตอนฉัน เด็กๆ เพลาที่ฉันโยเย ไม่ยอมนอน น้าชื่นจะเล่านิทานให้ฉันฟัง ฟังไม่ทันจบ ก็หลับไปก่อนทุกทีเลยเจ้าค่ะ"
"นิทาน คนอย่างฉันนี่น่ะรึ เล่านิทาน"
แมงเม่ายิ้มแย้ม "เจ้าค่ะ"
แมงเม่ามองขันทองตาแป๋ว อยากฟังมาก
ขันทองเบือนหน้าหลบไปอีก
แมงเม่าขยับตามไปจ้องหน้า อ้อน
"นะเจ้าคะ เมตตาเด็กนอนไม่หลับด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
ขันทองขำๆ กับท่าทางเด็กขี้อ้อนตรงหน้า
แมงเม่าทำตาแป๋วน่าเอ็นดู รอฟังนิทานจากปากขันทองอย่างตั้งอกตั้งใจ
ขันทองคิดหนักว่าจะเล่าอะไรดี ก่อนจะหน้าขรึมลง เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ย้อนกลับไป 20 กว่าปีก่อน
บรรยากาศเรือนไทยใหญ่โต สวยงาม ตอนกลางวัน
พ่อของขุนทอง วัยประมาณ 40 ปลายๆ แต่งตัวดี แสดงถึงความร่ำรวย กำลังต้อนรับแขกเหรื่อที่มางานเลี้ยงของตน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
พวกแขกเหรื่อทยอยมางานกันอย่างยิ้มแย้ม ใครๆก็อยากสนิทสนมกับเศรษฐีอย่างพ่อของขุนทอง
กันทั้งนั้น
ขณะนั้นเอง พ่อของสาลิกาซึ่งแต่งกายแบบชาวตุรกี ก็เดินเข้ามาหาพ่อของขุนทอง พ่อของสาลิกาเป็นพ่อค้าชาวตุรกี ฐานะร่ำรวยเช่นกัน แต่ยังรวยน้อยกว่าพ่อของขุนทอง
พ่อของขุนทองรีบเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่คุยกันได้หน่อยเดียว
ก็มีแขกผู้ใหญ่มา พ่อของขุนทองรีบผละไปรับแขกผู้ใหญ่ก่อน
พ่อของสาลิกา มองตามพ่อของขุนทองไป สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ริษยาจับใจ
"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าสองคนเป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งเป็นชาวอโยธยา แต่อีกคนเป็นชาวโต้ระกี่ ทั้งคู่สร้างเนื้อ สร้างตัวจากคนยากไร้ จนกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล แต่พ่อค้าชาวอโยธยานั้น ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนรักของตน แอบริษยาตนมาตลอดเวลา"
พ่อของขุนทองหอบห่อผ้าใส่ของมีค่ากำลังวิ่งหนีพร้อมบ่าวไพร่ โดยมีพวกทหารตามล่ามา
พวกทหารไล่ฆ่าพวกบ่าวไพร่จนตาย
พ่อของขุนทองพยายามจะหนี แต่ก็ไม่พ้น ถูกทหารตามไปฟันเข้าที่กลางหลังเป็นแผลฉกรรจ์จนล้มลง ห่อผ้าใส่ของมีค่าตกลงพื้น ทั้งทองคำ ของมีค่าต่างๆในห่อ กระจายเกลื่อน
พวกทหารเห็นของเข้าก็ตาลุก รีบเข้าไปหยิบของขึ้นมาเพื่อแบ่งกันทันที
"ความริษยาก็เหมือนไฟ ที่เผาทำลายได้สิ้นทุกสิ่ง พ่อค้าชาวโต้ระกี่สมคบกับขุนนางชั่ว ใส่ความเพื่อนของตนว่าเป็นกบฏ เป็นเหตุให้ต้องโทษประหารทั้งโคตร"
ขณะที่พวกทหารกำลังตื่นตาตื่นใจกับสมบัติ ขุนทอง ลูกเศรษฐีพร้อมดาบในมือก็บุกเข้ามาไล่ฆ่าพวกทหารทันที
พวกทหารตกใจ รีบหยิบอาวุธเข้าสู้กับขุนทอง แต่ขุนทองเก่งกว่ามาก ใช้เพลงดาบของตนไล่ฆ่าพวกทหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทหารที่เหลือตกใจ รีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที
ขุนทองไม่ตาม รีบเข้าไปดูอาการพ่อก่อน
ขุนทองโอบตัวพ่อขึ้นมานั่ง แล้วประคองไว้ ห่วงพ่อสุดๆ
"พ่อ แข็งใจไว้ก่อน ข้าจะพาพ่อหนีไปเอง"
พ่อเจ็บหนักใกล้ตาย
"ไม่ต้อง พ่อคงไม่รอดแล้ว เจ้ารีบหนีไป แลจำความแค้นครานี้ไว้ อ้ายมาน มันใส่ร้ายพ่อ ทำให้เราบ้านแตกสาแหรกขาด เจ้าอย่าได้ลืมความแค้นนี้เป็นอันขาด"
ขุนทองสายตาแข็งกร้าว
"ฉันสัญญาพ่อ ฉันจะจำความแค้นนี้ไว้ แม้ตาย ฉันก็จะไม่ลืม"
พ่อของขุนทองยิ้มออกมาอย่างหมดห่วงได้สั่งเสีย ก่อนรอยยิ้มจะชะงักค้างไป ศีรษะตกห้อยลง เสียชีวิตไปทั้งๆที่ตายังลืมอยู่
ขุนทองขบกรามแน่น แต่น้ำตาไหลพรากลงอาบแก้ม
ขุนทองดึงพ่อเข้ามากอดแน่น น้ำตาไหลไม่หยุด แต่ไม่ยอมส่งสะอึกสะอื้นออกมาอีกเลย
หาญและลูกน้องของขุนทองกำลังสู้กับพวกทหารอย่างดุเดือด
ตอนนี้ลูกเศรษฐีเปลี่ยนเป็นเสือขุนทองเต็มตัวกำลังเดินช้าๆขึ้นเรือนของขุนนางไป
พวกทหารที่ซุ่มอยู่บนเรือนกรูกันออกมาทำร้ายขุนทอง แต่ขุนทองก็ใช้เพลงดาบของตนฟาดฟันใส่พวกทหารจนล้มตายอย่างง่ายดาย
ขุนทองเดินเข้าไปหาขุนนางที่ยืนตัวสั่นอยู่กลางเรือน โดยมีทหารคุ้มกันไม่กี่คน
ขุนนางกลัวขุนทองจนตัวสั่น ในที่สุดก็คุกเข่าลง ยกมือไหว้ขุนทองด้วยความหวาดกลัว
พวกทหารที่คุ้มกัน ก็พลอยคุกเข่ายกมือไหว้ไปด้วย
ขุนทองชำเลืองมองขุนนางชั่วกับพวกอย่างเฉยเมย แล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องเก็บสมบัติไป โดยไม่สนใจอีก
"ลูกชายคนโตของพ่อค้าชาวอโยธยานั้น ได้หนีอาญาบ้านเมืองไปเป็นโจรอยู่ในป่า อาศัยว่าเมื่อตอนเล็ก เคยกราบครูดี จึงมีฝีมือติดตัวเป็นที่เลื่องลือ อีกทั้งยังเลือกปล้นแต่พวกขุนนางโฉด โดยมีกฎว่าก่อนการปล้นจะส่งคำเตือนแลระบุว่าจะปล้นไปเป็นจำนวนเท่าใดทุกครั้ง ซึ่งไม่เคยเลย ที่จะปล้นมากกว่าที่ระบุไว้แม้แต่เบี้ยเดียว"
ชาวบ้านยากจนครอบครัวหนึ่ง กำลังดูข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในกระบุง มีข้าวเปลือกเหลืออยู่
เพียงนิดเดียว ไม่พอที่จะให้พ่อ แม่ และลูกๆได้กินกัน
ทั้งครอบครัวหันมามองหน้ากันด้วยความท้อแท้
ขณะนั้นเอง ขุนทองก็ควบม้าผ่านเรือนของชาวบ้าน พร้อมกับโยนถุงใส่เงินไปให้จำนวนหนึ่ง
ชาวบ้านพ่อ แม่ ลูกๆ รีบเก็บถุงใส่เงินมาเปิดดู พอเปิดออกเห็นเงินที่อยู่ในถุงก็ดีใจสุดๆ
พวกชาวบ้านรีบคุกเข่าลง แล้วกราบไหว้ขุนทองตามหลัง โดยที่ขุนทองควบม้าไปไกลแล้ว
"เบี้ยอัฐที่ได้มาจากการปล้นขุนนางชั่ว นอกจากจะแบ่งให้ลูกน้องไว้กินใช้แล้ว ยังเหลือแบ่งให้พวกคนยากคนจนที่ถูกกดขี่ข่มเหงอีก ไม่นานนักชื่อเสียงของโจรผู้เคยเป็นลูกเศรษฐีใหญ่ ก็ยิ่งเลื่องลือขจรขจายมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยมีโจรคนใดโด่งดังเท่ามาก่อน"
ขันทองกำลังคุยกับแมงเม่าอยู่ข้างกองไฟ
แมงเม่าทบทวนเรื่องที่ฟังจากขันทองอย่างใช้ความคิด
"ปล้นขุนนางพ่อค้าชั่วมาช่วยเหลือเจือจานคนยากจน แลยังส่งคำเตือนบอกอีกด้วยว่าจะปล้น
จำนวนเท่าใด" แมงเม่าคิดๆ จ้องหน้าขันทอง "นี่คุณหลวง เอาเรื่องเสือขุนทองมาเล่าให้ฉันฟังนี่เจ้าคะ"
ขันทองแปลกใจ
"เจ้ารู้จักเสือขุนทองด้วยรึ"
"เสือขุนทองมีชื่อเสียงออกปานนั้น เหตุใดฉันจะไม่รู้จัก อย่าว่าแต่รู้จักเลย ฉันเคยพบตัวจริงมาแล้วด้วยในศึกพระเจ้าอลองพญา เสือขุนทองกลับใจมาช่วยบ้านเมืองรบกับพวกอังวะแลยังช่วยฉันกับครอบครัวไว้จากทหารอังวะอีกด้วย ฉันจำได้ไม่มีวันลืม คุณหลวงแต่งนิทานลวงฉันไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ" แมงเม่าบอก
"เมื่อเจ้ารู้เรื่องแล้ว ก็คงไม่อยากฟังต่ออีก"
แมงเม่าโวยวาย กำลังสนใจมาก
"ฟังซีเจ้าคะ คุณหลวงเล่าแล้ว ถ้าเล่าไม่จบถือว่าโกงกันนะเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มขำๆ
"เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อ รับรอง ว่าเจ้าไม่เคยได้ยินที่ไหนเป็นแน่ ตั้งใจฟังไว้เถิด เจ้าตัวดี"
แมงเม่าจ้องขันทองเขม็ง สีหน้าสนใจอยากฟังมาก
ขันทองมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ
ย้อนกลับไป 20 กว่าปีก่อน
พ่อของสาลิกาเดินนำสาลิกาที่อยู่ในชุดเจ้าสาวแบบตุรกีออกมาจากข้างใน ขุนเผด็จผู้เป็นเจ้าบ่าวและแขกเหรื่อรออยู่
ความงามของสาลิกา เล่นเอาขุนเผด็จและบรรดาแขกเหรื่อต่างตกตะลึง
สาลิกาเขินอายที่ทุกคนจ้องมองตน
ขุนเผด็จกับแขกเหรื่อก็เข้าไปชื่นชมพ่อของสาลิกากันยกใหญ่ ต่างคนต่างพูดคุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส
ขุนทองแฝงตัวอยู่ในบรรดาแขกเหรื่อ สายตาขุนทองจ้องเขม็งมาทางสาลิกาและพ่อด้วยความเกลียดชัง
"ขุนโจรผู้โด่งดังรออยู่ไม่นานนัก โอกาสแก้แค้นก็มาถึง เมื่อพ่อค้าชาวโต้ระกี่ให้บุตรสาวคนสวย ออกเรือนกับขุนนางหนุ่ม เพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปสู่อำนาจแลความมั่งคั่ง"
สาลิกาในชุดเจ้าสาวสวยงาม กำลังนั่งเอียงอายอยู่บนเตียง
ขุนเผด็จ ขุนนางหนุ่มรูปงาม เดินเข้ามานั่งใกล้ๆเจ้าสาวคนสวยของตน พร้อมกับมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
"เหนื่อยหรือไม่ แม่สาลิกา"
ขุนเผด็จหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่หน้าผากให้สาลิกา
สาลิกาเอียงอาย เบี่ยงหน้าออก
"อย่าเจ้าค่ะ ท่านขุนไม่ควรต้องทำเช่นนี้"
ขุนเผด็จยิ้มกรุ้มกริ่มจับมือสาลิกาไว้
"ทำไมจะทำไม่ได้เล่า ผ่านพิธีแล้ว เราก็เป็นผัวเมียกัน ฉันเช็ดเหงื่อให้เมียแค่นี้จะเป็นกระไร"
ขุนเผด็จยิ้มกรุ้มกริ่ม โอบกอดสาลิกาไว้ แล้วจะหอมแก้ม
แต่ไม่ทันหอมแก้ม ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อน
ขุนเผด็จเสียอารมณ์ โมโห เดินไปที่ประตุ
"ผู้ใดกันวะ หากไม่มีเรื่องกระไร หลังเอ็งไม่พอรอยหวายแน่"
ขุนเผด็จเปิดประตูออก ทันใดนั้น ก็โดนขุนทองที่ยืนอยู่หน้าประตูชกเต็มหน้า จนล้มคว่ำ สลบเหมือดในหมัดเดียว
สาลิกาตกใจสุดๆ จะกรีดร้อง
แต่ทันใดนั้น ขุนทองก็พุ่งเข้าประชิดตัวสาลิกาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปิดปากสาลิกาไว้ไม่ให้ร้อง แล้วชักมีดสั้นออกมา
สาลิกาเห็นมีดสั้นในมือขุนทอง ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก
ขุนทองขี่ม้าพาสาลิกาเข้ามาในป่า ก่อนจะมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ขุนทองลงจากหลังม้า แล้วพยายามฉุดกระชากลากถูให้สาลิกาลงตามมา
ขุนทองตะคอก "ลงมา เร็ว ข้าบอกให้ลงมา"
สาลิกาโดนดึงลงจากหลังม้า ทั้งเจ็บทั้งกลัว ก็กรีดร้องไปเรื่อย
ขุนทองตะคอก "หุบปากเสียทีได้หรือไม่"
ขุนทองกระชากแขนสาลิกาให้ตามตนมาที่ใต้ต้นไม้ แล้วใช้เชือกมัดข้อมือสาลิกาไว้กับกิ่งไม้ใหญ่
แม้สาลิกาจะกลัวมาก ก็พยายามขู่
"เอ็งจะทำกระไรข้า รู้หรือไม่ ว่าพ่อข้าเป็นผู้ใด แลท่านขุนของข้าอีก ระวังเถิด เงาหัวของเอ็งจะมีไม่พ้นคืนนี้"
ขุนทองตะคอกใส่หน้า
"ผัวที่ยังไม่ได้เข้าหอของเอ็งน่ะรึ ข้าไม่สนดอก ว่าจะเป็นขุน เป็นหลวงที่ใด แต่พ่อของเอ็ง ข้ารู้จักดีทีเดียว อ้ายคนชาติชั่วทุรยศเพื่อน ถึงข้าจะไม่มีเงาหัว ข้าก็จะเอาเลือดพ่อเอ็งมาล้างตีนให้สมแค้นให้จงได้"
"พ่อข้าไปทำกระไรให้เอ็งรึ"
ขุนทองไม่ตอบ หยิบเอาผ้าผืนหนึ่งออกมา แล้วมัดปากสาลิกาไม่ให้พูดทันที
สาลิกากลัวมาก พยายามดิ้นรนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มือก็ถูกมัด ปากก็ถูกมัดจนพูดไม่ได้อีก
ขุนเผด็จกับทหารกลุ่มหนึ่ง ขี่ม้าตรงมาทางที่สาลิกาถูกมัดอยู่ โดยทหารบางคนถือคบไฟมาด้วย เพื่อให้แสงสว่างขณะไล่ตาม
ทหาร 1เหลือบเห็นสาลิกาถูกมัดอยู่
"ท่านขุน มีคนขอรับ"
ขุนเผด็จหันไปมองตาม พวกทหารรีบเอาคบไฟมาช่วยส่องทันที ให้ขุนเผด็จเห็นชัดๆ
ขุนเผด็จเห็นสาลิกาถูกมัดอยู่กับต้นไม้ โดยใช้ผ้ามัดปากไว้ด้วย สาลิกาพยายามดิ้นรนบอกใบ้ให้ขุนเผด็จรู้ ว่าขุนทองซุ่มทำร้ายโดยเอาตนเป็นเหยื่อล่อ
ขุนเผด็จดีใจมาก ไม่ได้สังเกตท่าทางของสาลิกาเลย
"แม่สาลิกา"
ขุนเผด็จกับพวกทหารรีบลงจากม้า แล้วเข้าไปหาสาลิกาทันที
ขุนเผด็จกับพวกทหาร ช่วยกันแก้มัดแล้วดึงผ้าผูกปากสาลิกาออก
ร้อนใจสุดๆ "หนีไปเจ้าค่ะ เป็นกับดัก"
ขาดคำ ก็มีลูกธนูพุ่งปักหน้าอกทหารคนหนึ่ง ตายคาที่ทันที
ทุกคนตกใจมาก รีบชักดาบออกมา เตรียมสู้รบ
แต่ขุนทองที่ซ่อนอยู่ในความมืด ซุ่มยิงธนูใส่พวกทหาร ล้มตายไปทีละคนสองคน เพราะแสงจากคบไฟของพวกทหารเอง ทำให้ขุนทองซุ่มยิงได้อย่างง่ายดาย
" ดับไฟ ดับไฟเร็ว" ขุนเผด็จสั่ง
พวกทหารรีบดับคบไฟทันที
ขณะนั้นเอง ขุนทองเดินเข้ามาด้านหลังทหารคนหนึ่งอย่างเงียบกริบ แล้วใช้ดาบฟันทหารคนนั้นตายทันที
ทหารที่เหลือตกใจ รีบกรูกันเข้าไปรุมขุนทอง
ขุนทองฝีมือดาบเหนือกว่ามาก แม้จะมีคนเดียวแต่ก็จัดการพวกทหารได้อย่างง่ายดาย
ขุนเผด็จกลัวมาก รีบดึงมือสาลิกาให้หนีไปกับตนทันที โดยจะรีบกลับไปที่ม้า เพื่อขี่ม้าหนีไป
สาลิกาตกใจที่ขุนเผด็จจะหนี "แล้วคนของท่านขุนเล่าเจ้าคะ"
" อย่าเพิ่งพูดเลย รีบหนีก่อนเถิด พวกมันเป็นทหารของฉัน มีหน้าที่ตายแทนฉันอยู่แล้ว"
ขุนเผด็จพยายามจะให้สาลิกาขึ้นม้า แต่ช้าเกินไป ขุนทองฆ่าทหารคนสุดท้ายตาย ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาหาทั้งคู่
ขุนเผด็จตัดใจ หยิบดาบ บุกเข้าฟันขุนทองทันที
ขุนทองเหนือกว่าเยอะ ปะดาบกันไม่กี่ครั้ง ก็เตะขุนเผด็จจนล้มกลิ้ง แล้วเงื้อดาบจะฟันซ้ำ
สาลิกาห่วงขุนเผด็จ รีบเอาตัวเข้าบังขุนเผด็จไว้ "อย่า"
ขุนทองชะงักไว้ แล้วเปลี่ยนเอาดาบชี้หน้าขุนเผด็จแทน
" อ้ายเศรษฐีมาน ไม่มากับเอ็งด้วยรึ"
ขุนเผด็จงงๆ ที่จู่ๆขุนทองถามถึงพ่อสาลิกา
ขุนทองตะคอกซ้ำ
"ข้าถาม ทำไมไม่ตอบ"
" เอ่อ พ่อเศรษฐีกับข้าแยกกันค้นหาแม่สาลิกา ไม่ได้มาด้วยกัน"
สาลิกาโล่งอกที่รู้ว่าพ่อปลอดภัย
" สู้จับลูกสาวมันมาเป็นเหยื่อล่อ กลับผิดแผนเสียได้ ไม่ถึงที่ตายจริงๆ"
ขุนเผด็จเห็นขุนทองกำลังหัวเสีย เลยฉวยโอกาส หยิบดาบของตนจ้วงแทงใส่ขุนทองทันที
ขุนทองตกใจ รีบใช้ดาบปัดดาบของขุนเผด็จออก พร้อมกับเบี่ยงตัวหลบ พอตั้งหลักได้ ก็แทงใส่
ขุนเผด็จด้วยความโมโหทันที
ขุนเผด็จกลัวสุดๆ เลยผลักสาลิกาที่อยู่ใกล้ตนออกไปรับดาบแทน ดาบของขุนทองเลยแทงใส่ท้องของสาลิกาแทน
ขุนทองตะลึง ตกใจสุดๆ
สาลิกาทรุดฮวบลงไป
ขุนทองรีบเข้าไปประคองไว้ด้วยความตกใจ
ในขณะที่ขุนเผด็จรีบขึ้นม้าแล้วขี่หนีไปทันที ไม่สนใจความเป็นตายของสาลิกาแม้แต่น้อย
ขุนทองตกใจ ไม่เคยทำร้ายผู้หญิง "เป็นกระไรบ้างวะ ตอบข้าสิ ตอบข้ามา"
สาลิกามองตามขุนเผด็จที่ขี่ม้าหนีไป ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มด้วยความเสียใจสุดๆที่คนที่ตนรักและบอกรักตน กลับทำกันอย่างนี้
แมงเม่ากำลังอินจัด โวยวายลั่น ที่เรื่องที่ขันทองเล่าไม่ได้อย่างใจ
" กระไรกันเจ้าคะ ถูกฉุดมาคืนวันส่งตัวยังไม่พอ ยังถูกเจ้าบ่าวผลักออกมารับดาบให้ตายแทนอีก เกินไปแล้วนะเจ้าคะคุณหลวง นิทานกระไรกันนี่"
"ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าตาย หูเจ้าฟั่นเฟือน หรือฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดกันแน่"
" อ้าว ก็คุณหลวงบอกเอง ว่าถูกแทงเข้าที่ท้อง"
"ใช่ แต่ยังไม่ตาย ไม่ทันฟังให้จบก็โวยวายเสียก่อนแล้ว อดใจฟังเสียหน่อย จะขาดใจตายหรืออย่างไร"
แมงเม่ายิ้มแหยๆ
"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ รีบเล่าต่อซีเจ้าคะ ถูกแทงแล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ ใครเป็นคนช่วยแม่สาลิกาไว้"
สีหน้าแมงเม่าอยากรู้เรื่องมาก
ขันทองหน้าตาบึ้งตึง เตรียมจะเล่าต่อ
ที่กระท่อมเล็กๆกลางป่าตอนกลางวัน
ขุนทองนั่งตำยาเพื่อเตรียมพอกแผลให้สาลิกา ในขณะที่สาลิกานอนหลับอยู่
สาลิกาค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น พอตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบๆด้วยความงุนงง เพราะไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อน
ขุนทองเหลือบไปเห็นสาลิกาฟื้นก็ดีใจ
"ฟื้นแล้วรึ เอ็งหลับไปตั้งสามวัน ข้านึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว"
" สามวัน" เมื่อสาลิกาหันไปมองหน้าขุนทอง ก็จำได้
"เอ็ง คืออ้ายขุนโจรที่จับตัวข้ามา"
"จำได้ก็ดีแล้ว เอ้า เปิดเสื้อออก"
สาลิกาตกใจสุดๆ รีบกระชับเสื้อเอามือบังหน้าอกไว้ตามสัญชาติญาณ
“เอ็งจะทำกระไร”
“ก็จะพอกยาให้เอ็งน่ะซี เอ็งถูกอ้ายคนชั่วนั่นผลักมารับดาบแทน จำไม่ได้แล้วรึ ถ้าข้าไม่ช่วยพอกยาทายาให้เอ็งตลอดสามวัน มีหรือเอ็งจะรอดมาได้”
สาลิกาคิดทบทวน หน้าเศร้าลงเพราะจำได้ทั้งหมดแล้ว
ขุนทองหยิบยาออกจากครกที่ตำ “เอ้า เปิดเสื้อ”
สาลิกาตกใจ รีบกระชับอกเสื้อ) ไม่ เอ็งอย่าเข้ามานะ
ขุนทองรู้ว่าสาลิกาอาย ยิ้มเยาะสะใจ
“ชะ ทำเป็นอาย สามวันมานี่ ไม่เหลือกระไรให้ข้าเห็นแล้ว ยังจะอายกระไรอีก”
สาลิกาแค้นมาก มองไปรอบๆ เห็นดาบของขุนทองอยู่ที่ผนังใกล้ๆตน เลยรีบไปคว้าดาบมา
แล้วชักดาบออกจากฝักทันที
“อ้ายโจรชั่ว เอ็งอย่าอยู่เลย”
สาลิกาเอาดาบไล่ฟันขุนทอง
ขุนทองตกใจ รีบฉากหลบออกไป
ขุนทองโวยวาย
“นังเนรคุณ ข้าเป็นคนช่วยเอ็งไว้ เอ็งสนองคุณข้าอย่างนี้รึ”
“ เอ็งจับตัวข้ามา ยังมีหน้ามาทวงบุญคุณอีกรึ อ้ายโจรหน้าหนา” สาลิกาเงื้อจะฟันซ้ำ
ขุนทองตอกกลับ
“หน้าหนาอย่างไรคงไม่ได้เท่าครึ่งท่านขุนผัวเอ็งดอกวะ เอาเมียบังดาบแทนตนเพื่อเอาตัวรอด ผู้ชายกระไรวะ”
สาลิกาหยุดกึก น้ำตาท่วมตาขึ้นมา ช้ำมาก
ขุนทองเห็นน้ำตาสาลิกาก็สงสาร รีบเปลี่ยนประเด็น
“ข้าจะพอกยาให้เอ็ง หรือเอ็งไม่อยากหาย”
สาลิกาสะกดความรู้สึก เบือนหน้าหนี ซับน้ำตา
“ข้าทำเองได้ เอ็งไสหัวออกไปได้แล้ว”
ขุนทองอึ้ง ชี้หน้าสาลิกา โวยลั่น
“มากไปแล้วโว้ย ไม่มีใครกล้าไล่เสือขุนทองมาก่อน”
สาลิกาหันขวับมาจ้องหน้าขุนทอง สีหน้าถือดี ไม่ยอม
“เอ็งถือดีกระไร”
สาลิกาสวนทันที
“ก็ถือดีที่มีดาบอย่างไรเล่า ถ้าเอ็งไม่ไป ก็เป็นผีเฝ้ากระท่อมไปเสียเถิด”
ขาดคำ สาลิกาก็ไล่ฟันขุนทอง
ขุนทองต้องรีบหลบซ้ายหลบขวา
แต่สาลิกาก็ตามไล่ฟันไม่เลิก
“ ไปก็ได้โว้ย”
สาลิกายังเงื้อดาบข่มขู่ หน้าตาเอาเรื่อง
ขุนทองเอายาใส่ไว้ในครกเหมือนเดิม ก่อนจะออกจากกระท่อมไปด้วยความหงุดหงิด
สาลิกาจิกตามองตามขุนทองไปตาเขียวปั้ด ไม่ยอมให้ขุนทองข่มเหงง่ายๆเด็ดขาด
บรรยากาศหมู่บ้านโจรของขุนทองตอนกลางวัน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่เงียบสงบ สวยงาม ชาวบ้านส่วนหนึ่งเป็นลูกน้องของขุนทอง อีกส่วนก็เป็นครอบครัวของพวกลูกน้องขุนทอง ทำไร่ไถนากันไปตามปกติ
อีก 2-3 เดือนต่อมา
“แม่หญิงลูกครึ่งโต้ระกี่ ถูกมหาโจรผู้นั้นจับตัวมานานเดือนจากความเกลียดชังที่มีให้กัน กลายเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นมา โดยที่ทั้งคู่ก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน แต่แม่หญิงก็ยังหวังที่จะได้กลับไปหาพ่อแม่ของตนตามเดิม”
ขุนทองกำลังคุยกับหาญและชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สาลิกาเดินชะเง้อมองหาขุนทอง พอเห็นขุนทองเข้าก็ดีใจ
“เสือขุนทอง”
ขุนทอง หาญ และพวกลูกน้องหันไปมองตามเสียง
หาญยิ้มแซวๆ
“แม่หญิงของพี่มาโน่นแล้ว ถึงตาพวกฉันต้องไปแล้วกระมัง”
ขุนทองดุกลบเกลื่อน
“ของข้ากระไรกัน อ้ายพวกผีเจาะปาก จะไสหัวไปที่ใดก็รีบไปเลย”
หาญกับพวกลูกน้องเดินยิ้มแย้ม หัวเราะเลี่ยงไป
ขุนทองหันไปมองสาลิกาที่กำลังเดินมาหาตน
“ เสือขุนทอง เข้าไปในอโยธยามามิใช่รึ ได้ข่าวพ่อแม่ฉันหรือไม่”
“พ่อแม่เอ็งก็อยู่สุขสบายดี พยายามวิ่งเต้น หากำลังทหารมาปราบปรามข้าอยู่ แต่ขุนน้ำขุนนางในอโยธยาล้วนเป็นพวกปากกล้าขาสั่น ได้ยินชื่อข้าก็กลัวจนหัวหด เลยยังหาคนมาไม่ได้เหมือนเดิม”
สาลิกาหน้าเสีย คิดถึงพ่อแม่จับใจ
ขุนทองเห็นสีหน้าสาลิกาก็ไม่สบายใจ “เป็นกระไร”
“ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ท่านนัก อยากกลับบ้านไปหาพวกท่านเหลือเกิน”
สาลิกามองขุนทองด้วยแววตาขอร้อง แต่ก็ไม่พูดออกมา
“ เอ็งก็รู้ ว่าข้าจับตัวเอ็งมาเพื่อกระไร อย่านึกฝันว่าข้าจะปล่อยเอ็งกลับไปเลย”
“ ฉันรู้ ถึงไม่ได้ขอร้องอย่างไรเล่า เพียงแต่ฉันอยากจะถามเจ้าเท่านั้น ว่าที่ผ่านมา ยังไม่สมแค้นอีกรึ นอกจากชื่อเสียงฉันกับพ่อจะถูกทำลายจนป่นปี้แล้ว คนที่มาช่วยฉันทุกคน ก็ถูกเสือขุนทองฆ่าจนหมดสิ้น คนพวกนี้ก็มีพ่อแม่ลูกเมียเช่นกัน หากพวกเค้าจะล้างแค้นบ้าง ชีวิตเสือขุนทองคนเดียว ชดเชยพอรึ”
ขุนทองอึ้งไป เถียงไม่ออกซักคำ รู้อยู่แก่ใจว่าการล้างแค้นของตน มีแต่จะยิ่งผูกความแค้นหนักขึ้น
แต่ตนก็ถลำลึกมาไกลแล้ว และตนก็เริ่มรักสาลิกาเข้าแล้ว ไม่อยากเสียสาลิกาไป
ขุนทองมองหน้าสาลิกานิ่ง แต่สายตาที่สาลิกามองมา มีแต่ความเศร้าเสียใจ ยิ่งทำให้ตนลำบากใจหนักขึ้น
ต่อมา ... ขุนเผด็จกำลังคุยกับพ่อของสาลิกาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ขุนเผด็จโวยวาย
“มันเรื่องกระไร ที่กระผมต้องแต่งงานกับแม่สาลิกาอีก ท่านเศรษฐีพูดเอาแต่ได้แล้ว”
ฝ่ายพ่อสาลิกาโมโห แต่พยายามข่มอารมณ์เต็มที่
"อย่างไรแม่สาลิกาก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียท่านขุนแล้ว ทำพิธีก็ทำ ส่งตัวเข้าหอก็ส่ง เพียงแต่
เกิดเรื่องขึ้นก่อนเท่านั้น จึงเป็นขี้ปากคนไปทั่ว การทำพิธีแต่งงานอีกครั้ง ก็เพื่อให้ทุกคนเห็น ว่าท่านขุนไม่ได้รังเกียจแม่สาลิกาเท่านั้น"
ขุนเผด็จหัวเราะเยาะ
"แล้วเหตุใด กระผมถึงต้องไม่รังเกียจแม่สาลิกาเล่าขอรับ"
พ่อโมโห ลุกขึ้นยืน "ท่านขุน"
ขุนเผด็จเสียงแข็ง ยิ้มดูถูก
"กระผมพูดเรื่องจริง โดนอ้ายเสือขุนทองฉุดไปเป็นเดือน มีหรือจะรอดเงื้อมมือมัน กระผมไม่โง่ รับของเหลือเดนจากมันดอก"
" ก็แม่สาลิกาให้สัตย์สาบานแล้ว ว่ามิได้ถูกล่วงเกิน ไยท่านขุนมาพูดเช่นนี้เล่า"
"ใครจะโง่เชื่อก็เชื่อไปเถิดขอรับ แต่กระผมไม่เชื่อ จู่ๆ อ้ายเสือขุนทองปล่อยตัวกลับมาเช่นนี้ ดูท่า มันคงเบื่อแล้วเสียมากกว่า เชิญท่านเศรษฐีเอาลูกสาวไปใส่ตะกร้าล้างน้ำให้คนอื่นเถิดขอรับ"
ขุนเผด็จเดินลงจากเรือนไปไมแยแสอีก พ่อของสาลิกามองตามด้วยความแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
สาลิกาแอบฟังเรื่องทั้งหมด ก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจและเจ็บใจที่ถูกดูถูก แม้ตนจะหมดรักขุนเผด็จนับแต่ที่เขาผลักตัวเองไปรับดาบแทนแล้ว แต่ฟังตรงๆอย่างงี้ ก็ยังอดเสียใจ เจ็บใจไม่ได้
ในเวลากลางคืน หน้าต่างห้องสาลิกาถูกเปิดไว้ พร้อมกับมีลมเบาๆพัดมาทางหน้าต่าง
บนเตียงนอน สาลิกานอนหน้าเศร้าๆ เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังอดเสียใจไม่ได้
ขณะนั้นก็มีเสียงผิดปกติดังขึ้นที่หน้าต่าง สาลิกาหันไปมองตาม เห็นขุนทองปีนเข้ามาทางหน้าต่าง
สาลิกาตกใจ รีบเข้าไปหาขุนทอง
"มาทำกระไร เกิดพ่อท่านเห็นเข้า จะทำ..."
สาลิกาพูดไม่ทันจบ ขุนทองก็ดึงสาลิกาเข้ามากอดไว้ทันที
สาลิกาอึ้งทำอะไรไม่ถูก ที่จู่ๆขุนทองก็กอดตน
ขุนทองค่อยๆ ดึงตัวออกมา
ขุนทองทั้งรักทั้งสงสารสาลิกาจับใจ
"ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว อ้ายขุนเผด็จมันหยาบหยามนัก เอ็งไม่เคยผิดต่อมัน มิเพียงมันไม่เชื่อ มันยังเอาเอ็ง
ไปประจานอีก หนี้แค้นครานี้ ข้าต้องให้มันชดใช้ให้เอ็งให้จงได้"
" อย่าเลย ฉันไม่อยากผูกเวรต่อกันอีกแล้ว แลต่อให้ขุนเผด็จรับฉันเป็นเอกภรรยา ฉันก็ไม่รู้จะทำใจยอมรับได้หรือไม่ ถือเสียว่าสิ้นวาสนาต่อกันไปแล้วเถิด"
" แล้วเอ็งจะทำอย่างไรต่อไป"
"ไม่รู้ ฉันมืดแปดด้านไปหมดแล้ว"
ขุนทองเอื้อมมือไปจับมือสาลิกาไว้
สาลิกาตกใจ ไม่รู้ว่าขุนทองต้องการกระไรกันแน่
"อย่างไรเสีย เอ็งก็ได้ชั่วเพราะข้า ให้ข้าได้ไถ่ถอนความผิดครั้งนี้เถิด"
สาลิกาหน้าขรึมลง "ไม่ต้องดอก"
"แต่ข้ารักเอ็ง ข้าอยากอยู่ร่วมกับเอ็งไปชั่วชีวิต"
สาลิกาอึ้งๆไป
ขุนทองกระอักกระอ่วน แต่ก็ตัดใจพูด
"หากเอ็ง... เอ่อ ข้าไม่รู้ว่าเอ็งรักข้าหรือไม่ แต่ขอให้ข้าได้ดูแล..."
ขุนทองพูดไม่ทันจบ สาลิกาก็โผเข้ากอดขุนทองแน่น เพราะตนเองก็แอบรักขุนทองเช่นกัน แต่ด้วยปัญหาหลายๆอย่าง ทำให้ตนพูดไม่ได้ แต่ตอนนี้ ตนไม่มีที่ไปแล้ว เมื่อขุนทองรักตน ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก
ขุนทองอึ้งไปครู่หนึ่ง สาลิกาทำอย่างนี้ก็เท่ากับรับรักตนแล้ว ขุนทองยิ้มบางๆอย่างมีความสุข แล้วกอดสาลิกาอย่างทะนุถนอมพร้อมกับลูบผมเบาๆ
ผ่านเวลามา 6-7 ปี
บรรยากาศร่มรื่นของเรือนหลังเล็กๆของขุนทอง สาลิกากำลังสอนขันทองในวัย 5-6 ขวบ ให้เขียนหนังสือกับกระดานชนวน
ขันทองขยันตั้งใจ ทำให้สาลิกาที่เป็นแม่ยิ่งรักลูกเข้าไปใหญ่
ขณะนั้นเอง ขุนทองก็ขี่ม้ากลับมาถึง
ขุนทองลงจากม้า ขันทองก็รีบวิ่งเข้าไปหาพ่อทันทีด้วยความดีใจ
ขุนทองอุ้มลูกขึ้นมาหอมแก้มอย่างรักใคร่ ก่อนเดินเข้ามาหาสาลิกาที่ยืนยิ้มแย้มรออยู่
ขุนทองเดินเข้ามาหาภรรยา แล้วโอบไหล่อย่างรักใคร่ พากันขึ้นเรือนไปอย่างมีความสุข
"ทั้งคู่อยู่กินกันมาด้วยความรักใคร่ จนมีบุตรชายคนหนึ่ง ผู้เป็นแม่สอนลูกอ่านเขียนตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กน้อยรู้ทั้ง ภาษาไทแลภาษาโต้ระกี่ เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ แลขุนโจรผู้เป็นพ่อก็หันไปทำสัมมาอาชีวะแทนการออกปล้น ทุกอย่าง ดูจะลงเอยด้วยดี แต่ความสุขนั้น...ก็สั้นยิ่งนัก"
ผ่านไปอีก 1 เดือน ขุนทอง หาญและพวกชาวบ้านกำลังสู้กับพวกทหาร ที่บุกมาอย่างดุเดือด
พวกขุนทองมีจำนวนน้อยกว่าพวกทหารมาก แต่ฝีมือเหนือกว่า ทำให้พวกทหารทำอะไรไม่ได้ง่าย
"ในที่สุด บิดาของแม่หญิงสาลิกา ก็สามารถติดสินบนนายกองคนหนึ่งให้ช่วยนำทหารมาปราบขุนโจรได้สำเร็จ โดยสัญญาว่าต้องการแต่ตัวลูกสาวคืนเท่านั้น ทรัพย์สมบัติของขุนโจรจะยกให้นายกองทั้งหมด การต่อสู้และการพลัดพรากอันน่าเศร้าจึงเกิดขึ้น"
ขุนทองเล่นงานพวกทหารจนแตกกระเจิงไป
ขณะนั้นเอง พ่อของสาลิกากำลังฉุดข้อมือลูกสาวให้ไปด้วยกัน สาลิกาพยายามดิ้นรนก็สู้ไม่ไหว โดนพ่อลากมาที่เกวียนที่เตรียมไว้
ขุนทองตกใจ "สาลิกา"
ขุนทองจะบุกไปช่วย แต่ก็มีทหารอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางไว้ ขุนทองเลยต้องสู้กับพวกทหารก่อน
" พี่ขุนทอง"
พ่อของสาลิกากับลูกน้องช่วยกันดึงตัวสาลิกาขึ้นเกวียนไป ขณะนั้นเอง ขันทองในวัย 5-6 ขวบก็วิ่งเข้ามาหาแม่
" แม่จ๋าแม่" ขันทองเข้าไปดึงมือแม่ไว้ "อย่าเอาแม่ฉันไป"
พ่อสาลิกาโมโห ดึงมือขันทองออกแล้วผลักจนล้มลง
" พ่อขันทอง พ่อขันทองลูกแม่"
พ่อของสาลิการีบขึ้นเกวียน ก่อนที่ลูกน้องจะขับเกวียนออกไป
ขันทองลุกขึ้น แล้วรีบวิ่งตามเกวียนไป
"แม่จ๋า กลับมาก่อน เอาแม่ฉันคืนมา"
ขุนทองเล่นงานพวกทหารจนแพ้ไป แต่ไม่ทันตาม
หาญก็ตะโกนเรียกขุนทองขึ้นมาก่อน
"พวกมันมีมากเหลือเกิน เอาอย่างไรดีพี่ขุนทอง"
ขุนทองขบกรามแน่น จะทิ้งลูกน้องไปตามสาลิกาก็ไม่ได้ ได้แต่มองตามลูกชายไปด้วยความเป็นห่วง
ขันทองวิ่งตามเกวียน แต่ก็ไม่ทัน เกวียนวิ่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่ขันทองจะหยุดยืนมอง
แล้วร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ ไม่มีแม่อีกแล้ว
ขันทองกำลังเล่าต่อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ในขณะที่แมงเม่าน้ำตาคลอเบ้าไปเรียบร้อย ต้องเอาชายผ้ามาซับน้ำตาตลอดเวลา
ขันทองมีน้ำตารื้นๆขึ้นมาเคลือบตา
"ขุนโจรช่วยทุกคนฝ่าออกมาจากวงล้อมได้ แต่ก็ทำให้ไปตามเมียไม่ทัน ด้วยความกลัวแลเกลียดชัง พ่อค้าชาวโต้ระกี่จึงส่งลูกสาวเข้าวังไปเป็นข้าหลวง เพื่อไม่ให้ขุนโจรได้เจอกับลูกสาวตนอีก"
แมงเม่าน้ำตาคลอเบ้า สงสารขุนโจรกับแม่หญิงโต้ระกี่จับใจ
"แล้วเด็กคนนั้นเล่าเจ้าคะ ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก เป็นอย่างไรบ้าง"
ขันทองเล่าชีวิตตัวเองต่อ ด้วยสีหน้านิ่งขรึม
"ขุนโจรมีศิษย์ผู้พี่คนหนึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ แลภิกษุรูปนี้เป็นผู้มีปัญญามาก ไม่เพียงเจนจบ
การต่อสู้ โหราเวทย์มนตร์คาถาเช่นเดียวกับขุนโจรศิษย์ผู้น้อง ยังแตกฉานในศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งอักษร ภาพวาด ดนตรี แม้กระทั่งพิชัยสงคราม ขุนโจรจึงให้ลูกชายไปบวชเป็นเณรเพื่อศึกษาวิชา ระหว่างนั้น ก็ออกเสาะหาเมียรัก แลหาทางช่วยให้ออกมาจากวัง"
แมงเม่าลุ้นๆ
"ขุนโจรผู้นี้เก่งฉกาจนัก ต้องช่วยแม่หญิงออกมาได้ แลได้ครองรักกันอีกคราใช่หรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองยิ้มเศร้าๆ ส่ายหน้าช้าๆ
"ขุนโจรเพียรอยู่นานปี จึงรู้ว่าเมียของตนเป็นข้าหลวงอยู่ในวังเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง ขณะที่กำลังคิด
หาทางช่วย เมียของขุนโจรก็ต้องโทษว่าวางยาสมเด็จเจ้าฟ้า แลฆ่าตัวตายเสีย ส่วนพ่อแม่กับครอบครัวของนาง ก็พลอยต้องโทษประหารไปด้วย ไม่ผิดกับที่ทำไว้กับพ่อของขุนโจรเลย ส่วนตัวขุนโจรนั้น อีกไม่กี่ปีถัดมา ก็ถูกคนหักหลัง จนตายตามไปอีกคน"
แมงเม่าร้องไห้ สะอื้นซับน้ำตาไปมา
"ใจร้าย คุณหลวงใจร้ายนัก เล่ากระไรให้ฉันฟังนี่ แล้วอย่างนี้ฉันจะนอนหลับได้อย่างไร"
ขันทองมองแมงเม่าแล้วยิ้มบางๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมา
ขันทองเลียบๆเคียงๆ
"เอ่อ วันนี้ ฉันเห็นท่าทางทหารสองคนนั้นมีพิรุธนัก ดูไปแล้ว คงตั้งใจจะทำร้ายเจ้าเป็นแน่ ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าบอกฉันได้หรือไม่ ว่าไปทำกระไรมา ถึงได้ถูกปองร้ายเอาเช่นนี้"
แมงเม่าชะงักไป พอตั้งสติได้คิด ก็มั่นใจว่าตนถูกทำร้ายเพราะเรื่องกลักที่ได้มาแน่ เลยคิดจะเล่าให้ขันทองฟัง แต่ทันใดนั้นเอง คำพูดของม่วงก็ดังก้องขึ้นในหัว
" จำไว้นะเจ้าแมงเม่า อย่าเล่าเรื่องกลักนี้ให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด เราไม่รู้ ว่าเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร ออกญาที่ตายจะเป็นคนดีหรือไม่ก็บอกไม่ได้ ฉะนั้น ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้น อาจจะนำภัยไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้"
แมงเม่าเช็ดน้ำตา เริ่มลังเล ก่อนจะตัดสินใจปิดบังต่อเพราะไม่อยากให้ขันทองเป็นอันตราย
"ฉันไม่เคยทำกระไรเจ้าค่ะ ที่มาทำร้ายฉัน เพราะอาจจะผิดตัว หรือแค่ประสงค์ต่อทรัพย์สินของฉันก็เป็นได้"
แมงเม่าล้มตัวลงนอน แล้วหันหลังให้ขันทอง ไม่กล้าสบตาขันทองเพราะตนกำลังโกหกอยู่
ขันทองเงียบไป ไม่ซักต่อ สีหน้าเคร่งเครียด พยายามคิดหาทาง ว่าจะทำยังไงให้แมงเม่ายอมบอกความจริงเรื่องนี้กับตน
อ่านต่อตอนที่ 9