หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 2
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
ขันทองเดินมาส่งแมงเม่าถึงประตูด้านหลังวัง แมงเม่ายกมือไหว้
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะที่มาส่ง"
ขันทองหน้านิ่ง
"ไม่จำเป็น ฉันทำตามรับสั่งของกรมขุนวิมลท่าน"
"ไม่จำเป็นหรือเจ้าคะ" แมงเม่ายิ้มกวนๆ "ออกหลวงคิดว่าถ้าฉันเดินกลับไปโดยไม่ไหว้ลา ไม่ขอบพระคุณสักคำ ออกหลวงจะไม่คิดตำหนิฉันในใจหรือเจ้าคะ"
ขันทองปั้นยิ้ม พยักหน้ารับ
"ฉันก็คงนึกในใจว่านอกจากเจ้าจะปากกล้าแล้วยังไร้มารยาทอีก ดีที่เจ้ายังมีมารยาทอยู่บ้าง"
แมงเม่าหน้าบึ้งตึง "อยู่บ้างหรือเจ้าคะ"
"หรือเจ้าเห็นว่าการเถียงผู้ใหญ่คำไม่ตกฟากเช่นนี้ เรียกว่ามีมารยาทมาก"
"ไม่เจ้าค่ะ" แมงเม่าเชิ่ดใส่ ไม่กลัว "แต่เรียกว่าเฉลียวฉลาด รู้จักเจรจาถามไถ่"
ขันทองหลุดขำออกมา แหม ! ช่างเจรจานะนาง
แมงเม่าหน้าหงิก "มีกระไรขำเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มขำๆ ต่อปากต่อคำ
"ฉันเพิ่งรู้ ว่านอกจากเจ้าจะเฉลียวฉลาด รู้จักเจรจาถามไถ่แล้ว ยังมีความสามารถ" เน้นเสียงชัดเจน "ยกตัวเองได้อีกด้วย"
ขันทองเดินยิ้มๆจากไป สะใจเล็กน้อยที่เอาคืนแมงเม่าได้
แมงเม่ามองตามด้วยสีหน้าบึ้งตึง เจ็บใจที่ตอบโต้แพ้ขันทองจนได้
บนเรือน ตอนเย็น มิ่งตกใจมาก
" คุณพระคุณเจ้า เอ็งไปพูดกับพวกนักเทศขันทีอย่างนี้ได้อย่างไรวะ"
มิ่ง ชื่น ม่วง และแมงเม่า กำลังกินสำรับอาหารเย็นด้วยกันอยู่
แมงเม่ายิ้มแย้ม แกล้งเย้าพ่อ
"ออกหลวงผู้นี้เป็นนักเทศน์ด้วยหรือพ่อ เทศน์กัณฑ์กระไรล่ะ"
มิ่งโมโห "นังแมงเม่า"
แมงเม่าปั้นหน้าจ๋อยๆ
"ฉันเย้าเล่นน่ะพ่อ ฉันรู้ ว่านักเทศคือคนต่างด้าว ไม่ใช่คนไท"
ม่วงบอก
"ที่พ่อไม่อยากให้เอ็งทำอย่างนี้ เพราะออกหลวงศรีขันทินผู้นี้เป็นผู้มีอำนาจในฝ่ายใน แลพวกขันทียังมีอาชญาสิทธิ์ สามารถลงโทษผู้อื่นได้ จึงเกรงว่าเจ้าจะถูกลงโทษเอาน่ะซี"
ชื่นบอก"แล้วเราก็เป็นหญิง ต่อล้อต่อเถียงกับชาย มันไม่งามเลย เค้าจะค่อนเอาได้ ว่าเป็นหญิงปากคอเลาะร้าย"
"แต่ขันที ไม่ถือว่าเป็นชายแล้วนะจ๊ะน้าชื่น" แมงเม่ายิ้มหน้าทะเล้นบอก "ตัดทิ้งแล้ว"
ชื่นตกใจมาก ที่แมงเม่ากล้าพูดขนาดนี้ "คุณพระ"
มิ่งกำลังกินข้าวอยู่ ถึงกับสำลักข้าวทันที ไอโขลก
ชื่นรีบเอาน้ำให้สามีดื่ม "นี่จ้ะพี่มิ่ง"
แมงเม่าเห็นท่าไม่ดี
"น้าชื่นจ๋า เอาสำรับข้าวไปให้ฉันที่ห้องด้วยนะจ๊ะ"
แมงเม่ารีบวิ่งจู๊ดหนีไปทันที
มิ่งโวยลั่น "นังแมงเม่า กลับมาก่อน" ตามด้วยเสียงไอโขลก
แมงเม่าวิ่งหนีไปทางด้านหลัง สวนกับอินที่ออกมาจากข้างในมาพอดี
ม่วงเหลือบเห็นอินเข้า หน้าบึ้งตึงทันที
"ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะจ๊ะพ่อ น้าชื่น"
ม่วงลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปอีกทางทันที
อินได้แต่มองตามสามีด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ไม่รู้จะแก้ปัญหาครอบครัวยังไงดี
ช่วงหัวค่ำ บรรยากาศในป่า มืดสนิท ดูวังเวงน่ากลัว
ทันใดนั้นก็มีชาวบ้าน 3-4 คนวิ่งหนีมาด้วยความหวาดกลัว โดยมีลูกน้องพระยาพลเทพถือดาบ
วิ่งไล่ล่ามา
พวกพระยาพลเทพทุกคน สวมชุดแบบชาวบ้าน
พวกชาวบ้านวิ่งหนีมาด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้น พระยาพลเทพก็ถือดาบ เดินออกมาขวาง
หน้าไว้ เสียงดุดัง
"เฮ้ย เกิดกระไรขึ้นวะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป พวกเอ็งมาไล่ฆ่ากันอย่างนี้ได้อย่างไร"
พวกชาวบ้านคิดว่าพระยาพลเทพมาช่วยพวกตน เลยรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
ชาวบ้าน 1ในอาการกลัวมาก " ช่วยด้วย ช่วยพวกฉันด้วย"
แต่ทันใดนั้นเอง พระยาพลเทพก็ชักดาบออกมา ฟันชาวบ้านคนนั้นตายทันที
พวกชาวบ้านที่เหลือตกใจสุดๆ แต่ไม่ทันหนี พวกลูกน้องของพระยาพลเทพก็ตามมาทัน
แล้วใช้ดาบฟันใส่ทุกคนตายอย่างโหดเหี้ยม
พระยาพลเทพยืนมองผลงานด้วยความพอใจ ขณะนั้นเอง จมื่นศรีสรลักษณ์ก็เดินออกมาหา
พระยาพลเทพ
"ก็แค่พวกไพร่ มาจับกบจับปลาตอนกลางคืนกลางค่ำเท่านั้น ท่านเจ้าคุณไม่น่าต้องทำขนาดนี้เลย"
"ฉันทำเช่นนี้ ก็เพื่อพี่สาวของคุณพระนายเองนั่นล่ะ เรื่องเช่นนี้ จะให้ใครเห็นไม่ได้เป็นอันขาด หรือคุณพระนายไม่เข้าใจว่ากำลังทำกระไรอยู่"
จมื่นศรีสรลักษณ์หน้าเจื่อนไป แม้จะไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่กล้ากับพระยาพลเทพ
ขณะนั้นเอง เจ้าจอมเพ็ญในชุดชาวบ้าน ใช้ผ้าแพรคลุมหน้าก็เดินออกมา โดยมีลูกน้องพระยาพลเทพคอยคุ้มกัน
"ทุกอย่างพร้อมแล้วรึ ท่านเจ้าคุณ"
พลเทพยิ้มมั่นใจ
"พร้อมแล้วขอรับ รับรอง ว่านอกจากคนของเราแล้ว จะไม่มีใครรู้เห็นเรื่องในคืนนี้เป็นอันขาด"
เจ้าจอมเพ็ญเปิดผ้าแพรออกยิ้มพอใจ
"ดี ถ้าเช่นนั้น ก็พาฉันไปได้แล้ว"
เวลาต่อเนื่องมา หน้ากระท่อมเล็กๆโทรมๆกลางป่า มีลูกน้องพระยาพลเทพในชุดชาวบ้าน ถืออาวุธครบมือยืนล้อมรอบๆกระท่อมหลังนี้ไว้
ข้างในกระท่อม ขรัวเถื่อนกำลังหลับตาบริกรรมคาถา พร้อมกับใช้เทียนเขียนอักขระลงบนใบหน้าของเจ้าจอมเพ็ญที่อยู่ในท่าหมอบกราบอยู่กับพื้น แต่ชูคอตั้งหน้าขึ้น
พระยาพลเทพ และจมื่นศรีสรรักษ์ พนมมือหมอบกราบอยู่ใกล้ๆ
พระยาพลเทพมีสีหน้าเรียบเฉย แต่จมื่นศรีสรรักษ์มีสีหน้าเบื่อหน่ายสุดๆแต่ต้องทน
ขรัวเถื่อนเป็นพระมอญ แต่งกายไม่เหมือนพระไทย มีวิธีห่มจีวรและสีจีวรต่างกัน
ทำไม ! พระยาพลเทพจึงมีสีหน้าเรียบเฉย ก็เพราะจริงๆแล้ว ขรัวเถื่อนก็ไม่ใช่พระจริง แต่เป็นคนที่พระยาพลเทพหามาหลอกเจ้าจอมเพ็ญเท่านั้น
ขรัวเถื่อนเขียนอักขระเสร็จ ก็เอาเทียนออกไปจุ่มที่บาตรน้ำมนต์
เจ้าจอมเพ็ญก้มลงกราบ "ขอบพระคุณเจ้าค่ะขรัวตา"
ขรัวเถื่อนยิ้มเล็กน้อย
"ข้าทำเสน่ห์เสริมมงคลให้แล้ว เอ็งอย่าได้กังวลกระไรอีกเลย ข้าเอาหัวเป็นประกัน ว่าพ่ออยู่หัวจะต้องทรงเมตตาเอ็งไปอีกนาน"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเครียด "แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอดอกเจ้าค่ะ ถึงจะเป็นเจ้าจอมคนโปรด แต่หากไม่ได้เป็นแม่หยั่วเมืองแล้วไซร้ ก็อาจตกอับลงได้ทุกเพลา"
พระยาพลเทพบอก
"จะเป็นแม่หยั่วเมืองได้ ก็ต้องมีหน่อพระพุทธเจ้าให้พ่ออยู่หัวเสียก่อน เจ้าจอมท่านถวายรับใช้มานานปี ก็ยังหามีไม่ ขอขรัวตาท่าน ได้โปรดช่วยด้วยเถิดขอรับ แลหากขรัวตาปรารถนาสิ่งใด เจ้าจอมท่านก็พร้อม
หามาให้ทุกสิ่ง"
ขรัวเถื่อนปั้นหน้าบึ้งตึง
"ข้าเป็นพระ จะมาพูดเรื่องลาภยศสรรเสริญได้กระไรวะ"
จมื่นศรีสรรักษ์เบะปากดูถูก ปากบอกไม่ให้พูดเรื่องเงินทอง เห็นเรียกหนักๆทุกที
เจ้าจอมเพ็ญหันไปพูดกับจมื่นศรีสรรักษ์ ซึ่งเป็นญาติผู้น้อง "คุณพระนายศรี"
จมื่นศรีสรรักษ์ลังเล "คุณพี่ขอรับ"
เจาจอมเพ็ญพูดสวนขึ้น เสียงเข้ม "พี่สั่งว่าอย่างไร"
จมื่นศรีสรรักษ์ขัดไม่ได้ หยิบเอาห่อผ้าห่อหนึ่งออกมา แล้วคลานมาที่หน้าขรัวเถื่อน ก่อนจะวาง
ห่อผ้าลงแล้วเปิดห่อผ้าออก เห็นเครื่องเพชรเครื่องทองในห่อ สุกสกาวเต็มไปหมด
ขรัวเถื่อนตาลุกวาวที่เห็นของมีค่าขนาดนี้ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึม แล้วหยิบขวดเล็กๆใส่ของเหลวใสๆออกมาขวดนึงยื่นให้เจ้าจอมเพ็ญ
"เอาใส่ในเครื่องเสวย ไม่นาน ก็จะได้พระราชโอรสสมใจ"
เจ้าจอมเพ็ญดีใจมาก ก้มกราบขรัวเถื่อน "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" แล้วรับขวดมาด้วยความตื่นเต้น
จมื่นศรีสรรักษ์เครียดหนัก
"แค่ทำเสน่ห์เล่ห์กล ไม่มีคนรู้เห็นก็ไม่เป็นกระไร แต่ถึงขนาดเอาใส่ในเครื่องเสวย หากความแตก ไม่ถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรรึ"
พระยาพลเทพได้ยิน แล้วรำคาญ
"ถ้าตาขาวเช่นนี้ ทีหน้าทีหลังก็อย่าตามมาเลยคุณพระนาย ฉันกับเจ้าจอมท่าน ทำมาไม่รู้กี่คราแล้ว ไม่เห็นจะเป็นกระไร"
จมื่นศรีสรรักษ์พูดไม่ออก ทั้งกลัวพระยาพลเทพและกลัวพี่สาว เลยต้องทนหงุดหงิดอยู่คนเดียว
ไม่กล้าพูดมาก
เจ้าจอมเพ็ญมองดูขวดยาของขรัวเถื่อน ด้วยสายตาแวววาว หากตนมีลูกได้จริงๆ ความหวังที่จะเป็นแม่หยั่วเมืองก็อยู่แค่เอื้อม
บรรยากาศภายในสวนด้านหลังของวังตอนหัวค่ำ ดูเงียบ วังเวง และมืดสนิท
ขันทองยืนอยู่คนเดียวที่ริมสระบัวขนาดใหญ่ โดยสระบัวแห่งนี้มีชื่อว่า “อ่างแก้ว”
ขันทองยืนมองอ่างแก้วด้วยสีหน้าเจ็บช้ำ เสียใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ย้อนอดีตไป 10 ปีก่อน
คุณท้าวสาลิกาในวัย 27 - 28 ปี ผู้เป็นแม่ของขันทองจมอยู่ใต้น้ำของอ่างแก้วแห่งนี้
สาลิกาดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานอยู่ใต้น้ำ พยายามกระเสือกกระสนเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้
ขันทองรีบหลับตา ขบกรามแน่น เพียงแค่นึกถึงความตายของแม่ แม้จะไม่ได้เห็นกับตาแต่ก็รู้สึกได้ ว่าแม่ต้องทรมานมากขนาดไหน
ขณะนั้นเอง เสียงหลวงศรีมะโนราชดังขึ้น
"บังเอิญจริง"
ขันทองหันกลับไป เห็นหลวงศรีมะโนราชเดินมากับผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่ง อายุประมาณ 30 ปีเศษ แต่ดูมีสง่าราศี
"นึกไม่ถึงว่ามืดค่ำแล้วยังได้พบเจอคุณหลวงอีก"
ขันทองปั้นยิ้มรับ
"ดีฉันมาตรวจตราความเรียบร้อย คุณหลวงเองก็คงเป็นเช่นเดียวกันกระมัง"
ศรีมะโนราชยิ้มๆ
"ฉันไม่ขยันขันแข็งเช่นนั้นดอก ฉันก็เพียงแต่เดินเป็นเพื่อนคุยกับท่านเจ้าคุณกำแหงเท่านั้นเอง"
ขันทองชะงักไปนิดนึง ก่อนจะยกมือไหว้พระยากำแหง "ดีฉันไหว้เจ้าค่ะ"
เจ้าพระยากำแหงรับไหว้
"ดีฉันรู้ว่ามีผู้มาดำรงตำแหน่งออกญาวังคนใหม่ เพิ่งมีบุญได้พบหน้าค่าตาวันนี้เอง"
พระยากำแหงยิ้มรับ
"ฉันเองก็ยินดีที่ได้พบคุณหลวง เพราะได้ยินมาเหมือนกันว่าคุณหลวงเพิ่งเข้าวังมาไม่นาน ก็ได้รับความไว้วางใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายหน้าฉันคงต้องขอคำแนะนำจากคุณหลวงบ้างเสียแล้ว"
หลวงศรีมะโนราชแอบเบ้ปากหมั่นไส้
"ท่านเจ้าคุณล้อดีฉันเล่นแล้ว คนอย่างดีฉัน มิบังอาจแนะนำท่านเจ้าคุณดอกเจ้าค่ะ" แล้วตัดบท "หากไม่มีกระไรแล้ว ดีฉันขอไปตรวจตราทางด้านอื่นก่อน"
"เชิญเถิดคุณหลวง"
ขันทองรีบเดินเลี่ยงไป
หลวงศรีมะโนราชรีบใส่ไฟ
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านเจ้าคุณ พิกลอย่างที่ดีฉันว่าหรือไม่"
"เท่าที่ดู ฉันก็ยังไม่เห็นมีข้อพิรุธกระไร คุณหลวงระแวงเกินไปกระมัง"
"ไม่เกินไปดอกเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณลองพิจารณาดูเถิด ชาวโต้ระกี่อย่างดีฉัน แม้จะเรียนรู้ภาษาของคนไทมาดีอย่างไร สำเนียงก็ยังแปลกแปร่งอยู่ แต่หลวงศรีขันทินผู้นี้ กลับพูดจาชัดเจนนัก แลที่มาที่ไปก็คลุมเครือ หากไม่เชื่อ ท่านเจ้าคุณก็ลองสืบดูเองเถิด"
พระยากำแหงมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองตามขันทองไปด้วยความสนใจ
หน้าเรือนพระราชาข่านตอนเช้า พระราชาข่านกำลังรินน้ำชาจีนร้อนใส่ถ้วยชาที่อยู่ในถาด แล้วยกถาดมาให้พระยากำแหงที่นั่งรออยู่
"หลวงศรีขันทินผู้นี้มีพ่อเป็นชาวอโยธยา ไปค้าขายที่เมืองโต้ระกี่แล้วได้เมียที่นั่น ต่อมาพ่อแม่ตายหมด ญาติพี่น้อง รังเกียจ ด้วยเห็นเป็นภาระแลมิใช่ชาวโต้ระกี่โดยแท้ จึงขายมาเป็นขันทีแต่เด็ก ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่จะพูดด้วยสำเนียงไทชัดเจน"
พระยากำแหงพยักหน้ารับ
"ฉันได้ยินออกพระพูดเช่นนี้ ก็เบาใจไปได้บ้าง"
ราชาข่านระแวง
"ทำไมหรือเจ้าคะท่านเจ้าคุณ หลวงศรีขันทินทำสิ่งใดให้เห็นว่าไม่ดีงามกระนั้นหรือ"
"มิใช่ดอกคุณพระ แต่ฉันต้องถามให้แน่ใจ เพราะมีคนแจ้งฉันว่าหลวงศรีขันทินนั้น ดูผิดแปลกจากนักเทศขันทีทั่วไป"
ราชาข่านปั้นยิ้มกลบเกลื่อน
"ก็คงแปลกไปบ้าง เพราะมิใช่คนไทแท้ แลมิใช่ชาวโต้ระกี่แท้อีกด้วย แต่ท่านเจ้าคุณอย่ากังวลเลย ดีฉันเป็นคนไปรับตัวหลวงศรีขันทินในวันที่มาถึงอโยธยาด้วยตนเอง ย่อมเป็นตัวจริงแน่นอน"
พระยากำแหงยิ้มแย้ม
"ฉันต้องขอประทานโทษด้วย ที่ทำให้คุณพระต้องกังวล ด้วยนับแต่สิ้นศึกพระเจ้าอลองพญามา ก็มีการกวดขัน ยิ่งกว่าเดิม เพราะเกรงว่าจะมีจารบุรุษแฝงตัวเข้ามา แม้การแฝงตัวมาเป็นนักเทศขันที ออกจะเหลือเชื่อไปบ้างก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อยากประมาท"
พระราชาข่านยิ้มรับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจร้อนรุ่มสุดๆ เพราะระแวงว่าขันทองจะพลาดอยู่แล้ว
สวนภายในวัง ตอนสายในวันหนึ่ง
ขันทองกำลังเครียดหนัก เมื่อฟังความจากพระราชาข่าน
" ออกญาวังเพียงแต่ทำตามหน้าที่ ไม่มีกระไรดอก ออกพระท่านอย่ากังวลไปเลย"
ขันทองกำลังคุยกับพระราชาข่าน เห็นว่า สีหน้าของราชาข่าน เคร่งเครียดหนักหนาเอาการอยู่
"ไม่มีไฟ มีหรือจะควันได้ เอ็งแน่ใจนะ ว่ามิได้กระทำสิ่งใดให้ออกญาวังหรือคนอื่นสงสัย"
ขันทองถอนใจหนักๆ ครั้งหนึ่งก่อนตอบ
"ออกพระท่านก็เห็นอยู่ ว่าฉันยึดถือกฎเกณฑ์ แลขนบธรรมเนียมในวังทุกข้อ มิเคยบกพร่อง มิหนำซ้ำ ฉันยังเคยเรียนภาษาโต้ระกี่จากแม่ จนสามารถพูดได้คล่อง ต่อให้มีการไต่สวนกันต่อหน้า ฉันก็พูดได้ไม่มีผิด ออกพระวางใจเถิด"
ราชาข่านก็ยังระแวง "เอ็งไม่พลาด แล้วเพื่อนของเอ็งเล่า"
"อ้ายแน่นมันระวังตัวแจ วันทั้งวันแทบไม่ได้..."
ขันทอง และพระราชาข่านชะงักไป เมื่อเหลือบเห็นแน่นเดินมา
ห่างออกไปพอสมควร แน่นเดินผ่านนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังยกพานดอกไม้ผ่านมา แน่นเห็นนางข้าหลวงสวยน่ารัก เลยส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ พวกนางข้าหลวงเห็นสายตาแน่นก็ยิ้มเขินอาย
ก่อนจะเดินจากกันไป
ขันทองหน้าเสีย ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เพราะไม่มีขันทีที่ไหน มองผู้หญิงแบบนี้แน่ ในขณะที่พระราชาข่านหันมาจ้องหน้าขันทองตาดุดัน โกรธจัด ชี้หน้า
"จำเอาไว้ให้ดี หากหัวของข้าไม่อยู่บนบ่า หัวของพวกเอ็งก็ต้องโดนกุดเช่นเดียวกัน"
พระราชาข่านเดินจากไปด้วยความไม่สบอารมณ์
ขันทองจ๋อยไปทันที ก่อนจะหันไปมองแน่นแล้วถอนใจออกมาด้วยความไม่พอใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย ขันทองกำลังด่าแน่นอยู่ในเรือนที่พัก
ขันทองไม่พอใจ โวยเพื่อน
"เราสร้างความลำบากให้เขา ก็ควรต้องเจียมตัว ไม่ก่อเรื่องก่อราวอีก แล้วนี่กระไรของเอ็งวะอ้ายแน่น ส่งตาเล็กตาน้อยให้นางข้าหลวง มีขันทีที่ใดทำอย่างเอ็งบ้าง"
แน่นจ๋อยๆ บ่นอุบอิบ
"มิรู้จะกลัวกระไรกันนักกันหนา นางข้าหลวงพวกนั้นก็เล่นหูเล่นตาให้ข้าเหมือนกันล่ะวะ ของอย่างนี้ ไม่มี ใครกล้าฟ้องใครดอก"
ขันทองโมโห
"แล้วควรรึที่จะประมาท พลาดขึ้นมาคราเดียว มิใช่แค่ชีวิตเอ็งกับข้านาโว้ย"
"เออๆๆ ข้าขออภัยด้วยก็แล้วกัน" แล้วแน่นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ "แต่เอ็งรู้หรือไม่ว่าข้าได้ข่าวกระไรมา"
ขันทองหน้าบึ้งตึง
"อยากพูดก็พูดมา ข้าไม่มีแก่ใจจะเล่นกับเอ็งแล้ว"
แน่นพยายามทำความดีความชอบกลบความผิด
"ข้าได้อ่านบันทึกในวันที่แม่เอ็งตาย ทำให้รู้ว่าส่งศพไปที่ใด แลยังรู้ด้วยว่า สัปเหร่อที่รับศพแม่เอ็งไว้ ชื่อกระไร"
ขันทองตกใจนึกไม่ถึง
"แล้วเอ็งได้อ่านได้อย่างไร บันทึกพวกนี้เก็บไว้มิดชิดนัก ข้ายังไม่รู้เลยว่าผู้ใดเก็บรักษาไว้"
แน่นกระหยิ่มยิ้มยิ้มย่อง ยืดอกภูมิใจมาก
"นับถือข้าขึ้นมาแล้วซี แต่อย่ากระวนกระวายไปเลยวะ ถึงข้าจะรู้ แต่เรายังไม่มีโอกาส
ออกจากวัง คงต้องรออีกเป็นแรมเดือน กว่าจะไปหาสัปเหร่อคนนั้นได้"
ขันทองยิ้มมั่นใจ "ไม่นานขนาดนั้นดอก ข้าจะไปคืนนี้เลย"
แน่นตกใจมาก
"คืนนี้ เอ็งบ้าไปแล้วหรืออ้ายขันทอง นักเทศขันทีห้ามออกจากวังโดยมิได้รับอนุญาตแม้แต่ก้าวเดียว ยิ่งยามวิกาล ยิ่งไม่มีทางย่างเท้าออกไปได้ ขืนไป ก็หัวขาดเสียเท่านั้นเอง"
ขันทองยิ้มๆ
" นี่ยังเช้าอยู่ รอให้ถึงคืนนี้ก่อนเถิด เอ็งก็จะรู้เอง ว่าข้าจะออกไปอย่างไร"
แน่นมองขันทองด้วยความไม่อยากเชื่อ ในขณะที่ขันทองยิ้มมั่นใจ ว่าไม่มีใครจับตนได้แน่
แน่นกำลังเดินคุยกับขุนรักษ์เทวามาที่มุมหนึ่งในวัง
ขุนรักษ์เทวาเป็นขันทีชาวตุรกี แต่มีท่าทางกระตุ้งกระติ้ง ไม่เหมือนขันทีคนอื่น แต่มีความซื่อสัตย์และเข้าได้กับทุกกลุ่ม เลยมีหน้าที่ดูแลเอกสารต่างๆในวัง
ขุนรักษ์เทวาออกอาการงอนๆ ทิ้งค้อนตามจริต
"อยากอ่านบันทึกเก่าๆ ฉันก็หาให้ ทั้งที่จริงมันผิดกฎเกณฑ์แท้ๆ แต่พอถึงคราฉันไหว้วานบ้างกลับไม่ยอมทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร"
แน่นรีบง้อ
"อย่าเพิ่งแง่งอนไปเลยท่านขุน ใช่ว่าฉันไม่ยอมทำ แต่ของอย่างนี้จะใจเร็วไม่ได้" พลางกระซิบ ยิ้มแซวๆ "อยากกินมะม่วงหวานหอม ก็ต้องอดใจรอหน่อยซี"
ขุนรักษ์เทวาเขินอาย ตีแน่นเบาๆ
"พูดกระไรกันท่านขุน เกิดออกหลวงศรีขันทินมาได้ยินเข้า ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน"
"ได้ยินสิดี หลวงศรีขันทินจะได้รู้ความในใจของท่านขุนเสียที ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเป็นพ่อสื่อ"
ขุนรักษ์เทวาอายม้วน "บ้า"
แน่นแอบหัวเราะคิกๆ ที่แท้ตนเอาขันทองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหาข่าวนี่เอง
ขณะนั้นเอง สายตาขุนรักษ์เทวา ก็เห็นพระยากำแหงกำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อย
ผ่านมา
ขุนรักษ์เทวาตะลึงงัน "ผู้ใดกัน ผึ่งผายสมชายชาตรีนัก"
แน่นมองตาม เบะปากไม่ชอบหน้า "พระยากำแหง ออกญาวังคนใหม่ ท่านขุนไม่รู้จักรึ"
"วันทั้งวัน ฉันอยู่แต่กับหนังสือ ได้เจอะเจอผู้คนสักกี่มากน้อยเชียว" แล้วมองพระยากำแหงตาละห้อย"แม้มิได้งามเหมือนหุ่นปั้นดั่งหลวงศรีขันทิน แต่ก็มีเสน่ห์ของชายนัก"
แน่นฉุกคิดขึ้น ยิ้มเจ้าเล่ห์
"ได้ยินมาว่า ออกญาวังเพิ่งตกพุ่มหม้าย เมียตายแลไม่มีเมียใหม่ หรือเมียน้อยคนอื่น นับว่าแปลกพิกลนัก ลือกันว่าอาจจะชอบ... " แน่นมองขุนรักษ์เทวาแล้วยิ้มแบบมีเลศนัย
ขุนรักษ์เทวาหูผึ่งทันที "จริงรึ"
"ท่านขุนไม่ทดสอบดูเองเล่า หากจริง ก็ดีกว่ามีลูกสวาทมากนัก"
ขุนรักษ์เทวามีความหวังขึ้นมาทันที รีบเดินฉับๆไปหาพระยากำแหงทันที
"ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ ดีฉันไหว้เจ้าค่ะ"
พระยากำแหงรับไหว้ เห็นการแต่งตัวก็รู้ว่าเป็นขันที ยิ้มรับ
"ดีฉัน ขุนรักษ์เทวา ทราบว่าท่านเจ้าคุณเพิ่งมารับตำแหน่ง จึงมาขอฝากเนื้อฝากตัวเจ้าค่ะ"
พระยากำแหงยิ้มแย้ม
"เกรงใจไปแล้วท่านขุน ฉันต่างหาก ที่ต้องขอคำแนะนำจากท่านขุนด้วย"
ขุนรักษ์เทวาแกล้งตกใจ "อุ๊ย นั่นตัวกระไรเกาะหลังท่านขุนเจ้าคะ"
พระยากำแหงตกใจ พยายามหันกลับไปดู "อยู่ไหนรึ"
"ดีฉันเอาออกให้เจ้าค่ะ"
ขุนรักษ์เทวาตีเนียน ทำทีเข้าไปช่วยจับ แต่จริงๆแล้วแอบจับเนื้อจับตัวพระยากำแหง จับโน่นจับนี่เปะปะไปเรื่อย สีหน้ายิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ โดยที่พระยากำแหงพาซื่อ ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าถูกแต๊ะอั๋งอยู่
ฝ่ายแน่น ยิ้มเยาะ สมน้ำหน้าออกญาวัง
"สอดเรื่องคนอื่นดีนัก สมน้ำมะหน้าล่ะท่านเจ้าคุณ"
ตอนหัวค่ำ ในบรรยากาศโรงรับชำเรา (ซ่องโสเภณี) ตอนหัวค่ำ
โรงรับชำเราแห่งนี้มีขนาดใหญ่หรูหรา แขกที่มาเที่ยวส่วนใหญ่มีแต่เศรษฐีทั้งนั้น คนมาเที่ยวแน่นขนัดไปหมด เจ้าของคือ “หมิ่น” ชายวัยประมาณ 50 สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา โดยคนทั่วไปตั้งสมญานามว่า “ออกญาหมิ่น” เพราะเป็นเจ้าของโรงรับชำเราที่ใหญ่ที่สุดในอโยธยา และมีอิทธิพลในวงการโรงรับชำเรามาก
บรรยากาศโรงรับชำเราดูคึกคัก นักดนตรีเล่นเพลงจังหวะสนุกสนานคลอไปตลอดเวลา แขกที่มาเที่ยวก็กินเหล้ากับแกล้ม หยอกล้อกับโสเภณีประจำโรงรับชำเราอย่างสนุกสนาน
ขณะนั้นเอง ม่วงกับลูกน้อง 3-4 คน ก็เดินเข้ามาในโรงรับชำเรา พวกลูกน้องดูคึกคัก เมื่อเห็นสาวๆสวยๆเต็มไปหมด ส่วนม่วงคอยสอดส่ายสายตาหาใครบางคนอยู่
ขณะนั้นเอง ม่วงก็เหลือบเห็นยี่สุ่น หรือ “สุ่น” โสเภณีคนสวยที่ตนติดพันอยู่เดินออกมาจากข้างใน
ม่วงและสุ่นเห็นกันเข้าก็ยิ้มให้กัน
ยี่สุ่นกำลังจะเดินมาหาม่วง แต่ทันใดนั้น ก็ถูกกล้าคว้าแขนเอาไว้ ยี่สุ่นตกใจ ที่จู่ๆกล้ามา
คว้าแขนตน
กล้ายิ้มร้ายๆ
"จะไปที่ใดหรือนังสุ่น มาๆ มากินเหล้าเป็นเพื่อนพี่กล้าก่อน"
กล้าจะลากยี่สุ่นไปที่โต๊ะของตน
ม่วงโมโหที่ถูกหยาม และหึงหวงยี่สุ่นด้วย
"หยุดประเดี๋ยวนี้นะโว้ยอ้ายกล้า ข้าจับจองแม่สุ่นไว้แล้ว เอ็งจะมาตัดหน้ากันอย่างนี้ไม่ได้"
กล้าหัวเราะเยาะหยัน
"เฮ้ย ได้ยินอ้ายลูกเศรษฐีโรงกระดาษพูดมั้ยวะ แม่เจ้าโว้ย หึงหวงหญิงงามเมืองเสียด้วย"
ลูกน้องกล้าและคนอื่นๆพากันหัวเราะลั่น
ม่วงโมโหจนขบกรามแน่นแต่ก็ยังไม่อาละวาด
ออกญาหมิ่นเห็นท่าไม่ดี ก็รีบเข้ามาห้าม รีบไกล่เกลี่ยทันที
"มีกระไรกันพ่อม่วง พ่อกล้า ค่อยๆพูดค่อยจากันเถิดพ่อ อย่างไรก็เป็นคนกันเองของที่นี่ทั้งนั้น"
ม่วงโมโหมาก แต่พยายามระงับอารมณ์
"ออกญาหมิ่นดูเอาเถิด ฉันจับจองแม่สุ่นไว้แล้ว แต่อ้ายกล้ามันยังจะแย่งไปอีก อย่างนี้จะให้ทนได้อย่างไร"
ออกญาหมิ่นจะหันไปพูดกับกล้า แต่กล้าเอาถุงใส่เงินถุงใหญ่โยนให้หมิ่นรับไป ก่อนที่หมิ่นจะพูดอะไร
"ค่าตัวนังสุ่นเท่าใด ฉันให้มากกว่าสามเท่า เพียงเท่านี้ ออกญาหมิ่นคงพอใจแล้วกระมัง"
ออกญาหมิ่นกระอักกระอ่วน "พ่อกล้า ทำเช่นนี้ ฉันลำบากใจนา"
ยี่สุ่นเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
"พี่กล้าจ๋า อย่ามีเรื่องกันเลยนะจ๊ะ พวกเราแม้จะค้าขาย อยากได้เบี้ยก็จริง แต่คำพูดก็ต้องรักษา มิเช่นนั้น ต่อไปใครจะมาเที่ยวที่นี่กันล่ะจ๊ะ"
กล้าหัวเราะเยาะ
"หญิงที่ขายกระทั่งตัวเองอย่างเอ็ง ยังมีคำพูดต้องรักษาอีกหรือวะ" แล้วดึงยี่สุ่นเข้ามากอด "ก็ได้ ข้าเห็นแก่ว่าเมื่อคืน เราเพิ่งเป็นผัวเมียกันมา เอ็งบอกให้ข้าชื่นใจทีเถิดวะ ว่าระหว่างข้ากับอ้ายม่วง ใครมีดีกว่ากัน"
ม่วงโมโหสุดๆ "อ้ายกล้า มึง"
ม่วงบุกเข้าใส่กล้าโดยความโกรธจัดทันที กล้ารออยู่แล้ว เลยผลักยี่สุ่นเข้าหาม่วง ม่วงรับไว้ตามสัญชาติญาณ กล้าได้ที เลยต่อยม่วงเข้าเต็มหน้า
ลูกน้องม่วง และลูกน้องกล้า ก็บุกเข้าตะลุมบอนกันทันที สร้างความวุ่นวายไปทั่วโรงรับชำเรา แขกเหรื่อวิ่งหนีกันอลหม่าน สาวๆในโรงรับชำเรา กรีดร้องกันวุ่นวายไปหมด
ออกญาหมิ่นร้อนใจ พยายามห้าม
"พ่อคุณ ขอเถิด อย่ามีเรื่องกันเลย"
ไม่มีใครฟังใคร ต่างชกต่อยกันอลหม่าน
กล้าได้ทีเล่นงานม่วงไม่ยั้ง ม่วงพยายามป้องกัน
ทั้งคู่ใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าใส่กันทันที แต่ม่วงเก่งกว่า พอตั้งหลักได้ก็เล่นงานกล้าไม่ยั้ง กล้าโดนเข้าไปหลายทีจนปากคอแตก
กล้าโกรธจัด ชักมีดออกมาทันที
ยี่สุ่นห่วงม่วงมาก "พี่ม่วง ระวัง"
กล้าพุ่งเข้าเสียบม่วงทันที แต่ม่วงฉากหลบไปได้ กล้าก็ใช้มีดทั้งฟันทั้งแทงใส่ม่วงจนม่วงถอยร่น
ม่วงเหลือบเห็นถาด เลยรีบหยิบถาดมากันมีดของกล้าไว้ ก่อนจะศอกกลับจนกล้าเลือดกลบปาก
ม่วงฉวยโอกาสจับแขนและหักแขนกล้าจนมีดหลุดมือ ก่อนจะประเคนเข่าใส่กล้า จนกล้าทรุดร่วง
ลงไป
ม่วงจะกระทืบซ้ำ แต่กล้ารีบหลบไป แล้วหนีออกมาทันที โดยมีพวกลูกน้อง รีบหนีตามไปด้วยเช่นกัน
ม่วงมองตามด้วยความเจ็บใจ กล้าหนีเร็วมาก ตนยังไม่หายแค้น
ผ่านเวลามาครู่หนึ่ง ณ ห้องยี่สุ่น ในโรงรับชำเรา
ม่วงกำลังนอนหนุนตักยี่สุ่น ให้ยี่สุ่นประคบยาให้อยู่ หลังจัดการเรื่องทะเลาะวิวาทเสร็จ
ยี่สุ่นประคบยาไปพูดไป อย่างไม่สบายใจ
"ไม่ควรเลยพี่ม่วง ที่ต้องมาเจ็บตัวแลเสียเบี้ยอัฐเพราะผู้หญิงอย่างฉัน"
ม่วงหน้านิ่งๆ
"หญิงอย่างแม่สุ่นทำไมรึ ผู้อื่นจะว่าอย่างไร ฉันไม่สนใจ ฉันรู้แต่ว่า แม่สุ่นคือผู้หญิงที่ฉันรัก"
ยี่สุ่นน้ำตาคลอ ซาบซึ้งใจ "พี่ม่วง"
ม่วงลุกขึ้นนั่ง จับมือยี่สุ่นไว้
"ฉันพูดจริง" ม่วงเสียใจปนเจ็บใจเมื่อนึกถึงอิน
"คนอื่นมีแต่รังเกียจ หาเรื่องผลักไสฉันต่างๆนาๆ มีแม่สุ่นคนเดียวเท่านั้นที่ดีกับฉัน แล้วจะไม่ให้ฉันรักแม่สุ่นได้อย่างไร" ม่วงรู้สึกผิด "แต่ฉันก็เลวนัก ที่ไม่มีความกล้าพอ ที่จะไถ่ตัวแม่สุ่นออกไปตกแต่งเป็นเมียฉัน"
ยี่สุ่นเข้าไปซบอก กอดม่วง น้ำตาคลอ "อย่าพูดเช่นนั้นเลยพี่ม่วง พี่เป็นลูกเศรษฐี มีหน้ามีตา จะรับหญิงงามเมืองอย่างฉันเป็นเมียให้เสียราศีได้อย่างไร ขอเพียงแค่ พี่รักฉัน ฉันก็ไม่ต้องการกระไรอีกแล้ว"
ม่วงกอดยี่สุ่นแน่น
"พี่พูดกับออกญาหมิ่นแล้ว นับแต่นี้ พี่จะไม่ให้แม่สุ่นรับแขกอื่นอีก นอกจากพี่คนเดียว เสียเท่าใดพี่ไม่ว่า แต่พี่จะไม่ยอมให้ใครมาดูแคลนแม่สุ่นอีกแล้ว"
ยี่สุ่นร้องไห้กับอกของม่วงด้วยความซึ้งใจ ไม่เคยคิดว่าชีวิตโสเภณีอย่างตนจะมีคนรักจริงแบบนี้
ยามดึกคืนนั้น บริเวณท้ายวัง ดูมืดวังเวง น่ากลัว
ขันทองกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดรัดกุมสีดำทั้งชุด เพื่อพรางตัวในความมืด โดยมีแน่นยืนรออยู่ใกล้ๆด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ปิดบังหน้าตา
แน่นมองไปรอบๆ กลัวมาก
"เอ็งเล่นพิเรนทร์กระไรของเอ็งวะ ที่อื่นมีออกมาก เอ็งไม่ไป กลับพาข้ามาที่นี่ ไม่รู้รึ ว่าที่นี่เป็นที่ใด"
แน่นสีหน้ากลัว ขนลุกเกรียว
ขันทองพูดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
"รู้ซีวะ ถึงได้มา ที่นี่เรียกกันติดปากว่าประตูผี คนที่ตายในวังทุกคน ล้วนขนศพออกมาทางนี้ทั้งนั้น กลางวันแสกๆ ยังไม่มีใครอยากผ่านมาทางนี้เลย"
แน่นโวยลั่น
"รู้แล้วยังจะมาอีก เอ็งเป็นบ้ารึอ้ายขันทอง"
ขันทองเปลี่ยนชุดเสร็จ ยิ้มขำๆ ก่อนจะเดินไปที่พุ่มไม้พุ่มหนึ่ง แล้วเอาไม้ที่บังออก เห็นทางแคบๆเล็กๆอยู่ข้างใต้
แน่นงงๆ "กระไรของเอ็งวะ"
"ทางระบายน้ำ ข้ารู้มาว่าสร้างขึ้นเอาไว้ระบายทางน้ำต่างๆลงคลอง ถ้าเราไปตามทางระบายน้ำนี้ ก็จะออกจากวังไปสู่คลองข้างนอกได้โดยง่าย"
แน่นฉุกคิดขึ้น "มิน่าเล่า เอ็งถึงมั่นใจนักว่าจะไปหาสัปเหร่อคืนนี้ได้ แลทางเข้ายังอยู่ที่ประตูผีอีก ย่อมไม่มีใครผ่านมาเห็นเอ็งแน่"
ขันทองยิ้มรับ ตบบ่าแน่น "เอ็งก็ไม่โง่นี่"
แน่นงงๆ ตกลงชมหรือด่าวะ
"ข้าไปล่ะ ทางข้างใต้ซับซ้อนนัก กว่าข้าจะเข้าใจปรุโปร่ง ก็ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่นานเดือน คงพาเอ็งไปด้วยไม่ได้ เอ็งกลับไปที่เรือนแลอำพรางให้ข้าด้วย อย่าให้ใครจับได้เล่า"
ขันทองพูดเสร็จก็ลงไปทางระบายน้ำ แล้วมุดเข้าทางเล็กๆแคบๆทันที
แน่นตกใจ
"อ้ายขันทอง ประเดี๋ยวซีวะ อ้ายขันทอง"
เมื่อมองไปรอบๆ ... อยู่คนเดียวยิ่งวังเวงหนัก กลัวผีจับใจ รีบเผ่นแน่บกลับไปทันที
ผ่านเวลาสักพัก
สัปเหร่อแก่ๆคนหนึ่ง กำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้ากระท่อมแก้หนาว พลางหยิบกระบอกไม้ไผ่ใส่เหล้ามาจิบเพื่อแก้หนาว ขณะนั้นเองก็มีถุงใส่เงินถุงหนึ่ง โยนมาจากทางด้านหลัง มาตกที่หน้าสัปเหร่อ
สัปเหร่อตกใจ จะหันกลับไป "ใครวะ"
ทันใดนั้น สัปเหร่อก็ต้องหยุดหัน เมื่อมีมีดเล่มหนึ่ง จ่อที่กลางหลังสัปเหร่อ ขันทองใช้มีดจ่อกลางหลังสัปเหร่อ เพื่อไม่ให้เห็นหน้า
"อย่าหันกลับมา ข้าไม่อยากฆ่าเอ็ง"
สัปเหร่อกลัวมาก "อย่าทำฉันเลย ฉันกลัวแล้ว"
"ข้าไม่ทำร้ายเอ็งดอก แลยังจะให้เบี้ยในถุงนั้นแก่เอ็งด้วย ขอเพียงเอ็งตอบคำถามข้าเท่านั้น"
สัปเหร่อเหลือบตาไปมองถุงที่ถูกโยนมา เริ่มสนใจขึ้นมาทันที
"พ่อจะถามกระไรฉันรึ"
"เอ็งคือสับปะเหร่ออิ่มใช่หรือไม่"
"ใช่จ้ะ"
"ข้าอยากรู้เรื่องคุณท้าวสาลิกา ที่จมน้ำตายเมื่อสิบปีก่อน"
ได้ยินชื่อเท่านั้น สัปเหร่อถึงกับตกใจสุดๆ "ฉัน ฉันไม่รู้ ไม่รู้กระไรทั้งนั้น"
ขันทองเอามีดจี้กลางหลังซ้ำเข้าไป
"อย่าปด เอ็งเป็นสัปเหร่อ มีหน้าที่ตรวจตราศพทุกศพ ข้าเพียงแต่ต้องการรู้ ว่าคุณท้าวสาลิกาฆ่าตัวตายจริงหรือไม่" ก่อนตะคอกถาม "บอกข้ามา" แล้วกดมีดเข้าหลังแรงขึ้นอีกนิดเพื่อขมขู่
สัปเหร่อออกอาการกลัวสุดๆ
"เอ่อ ถ้าฉันบอกแล้ว อย่าฆ่าฉันนะ แลอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ด้วญ"
ขันทองตะคอกซ้ำ "บอกมา"
สัปเหร่อกลัวสุดๆ บอกตามความจริง
"ไม่จริงจ้ะ เมื่อสิบปีก่อน ฉันพบรอยช้ำที่คอศพ แสดงว่ามีคนบีบคอแลจับกดน้ำจนตาย แต่มีคนขู่ฉัน มิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ฉันจึงต้องบอกว่าฆ่าตัวตายจ้ะ"
ขันทองขบกรามแน่น แค้นสุดๆ ตะคอกถามต่อ
"ผู้ใดขู่เอ็ง บอกข้ามา"
สัปเหร่อยกมือพนม ตัวสั่นเทK
" ฉันไม่รู้จริงๆ สาบานได้จ้ะ เรื่องเช่นนี้ รู้ยิ่งน้อยยิ่งดี ถ้าทำได้ ฉันไม่อยากรู้กระไรเลยด้วยซ้ำจ้ะ"
ขันทองขบกรามแน่น สายตาเต็มไปด้วยความแค้นสุดๆ
สัปเหร่อหวาดกลัวมาก
"พ่อคุณ จะถามกระไรอีกหรือไม่"
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ
"พ่อคุณๆ"
สัปเหร่อเห็นไม่มีคนตอบ เลยหันกลับไป ปรากฏว่าขันทองไม่อยู่แล้ว สัปเหร่อมองไปรอบๆ
ไม่รู้ว่า ขันทองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบฉวยถุงเงินแล้ววิ่งเข้ากระท่อมไปด้วยความหวาดกลัว
จมื่นศรีสรรักษ์เดินลงจากเรือนมาด้วยความหงุดหงิด
" อ้ายหน้าโง่ โง่เง่าแลยังหน้าหนาอีก"
จมื่นศรีสรรักษ์เดินลงจากเรือนมาหากล้าที่นั่งพับเพียบ พนมมือรออยู่
จมื่นศรีสรรักษ์ออกอาการหงุดหงิด
"เอ็งไปมีเรื่องมีราวในโรงรับชำเรา แลยังแพ้กลับมา ก็นับว่าน่าอับอายพอแล้ว ยังด้านหน้ามาขอยืมทหารจากข้าไปเล่นงานคู่อริอีกรึ นี่ถ้าไม่เห็นแก่พ่อเอ็ง ข้าจะเตะกระเด็นกลับไปประเดี๋ยวนี้" พูดจบก็ยกเท้าจะถีบกล้า
กล้ารีบจับขาจมื่นศรีสรรักษ์ไว้
"ใจเย็นก่อนขอรับคุณพระนาย กระผมรู้ตัวว่าผิดนัก แต่ขอคุณพระนายช่วยกระผมให้หายแค้นสักคราด้วยเถิดขอรับ"
จมื่นศรีสรรักษ์ดึงขากลับ ตะคอก
"ไม่ช่วยโว้ย ทหารของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ตามใจชอบ เอ็งไสหัวกลับไปได้แล้ว ข้าจะนอน"
กล้ารีบพูดทันที
"ค่าอากรบ่อนเบี้ยเดือนนี้ กระผมยินดียกให้คุณพระนายทั้งหมด คุณพระนายได้โปรดเมตตากระผมสักคราเถิดขอรับ"
จมื่นศรีสรรักษ์ชะงักไป สนใจทันที
"เอ็งว่าอย่างไรนะ ให้ข้าหมดเลยรึ อย่าพูดพล่อยๆนา พ่อเอ็งมีหรือจะยอม"
"ให้คุณพระนาย มิได้ให้คนอื่น ทำไมพ่อกระผมจะไม่ยอมเล่าขอรับ"
กล้าคลานเข้าไปกอดขาจมื่นศรีสรรักษ์ไว้ ประจบ
"นอกจาก พ่อแล้ว กระผมก็มีคุณพระนายเป็นที่พึ่งเดียวเท่านั้น อ้ายม่วงมันทำกับกระผมครานี้ ถ้ากระผมยอมให้มันลอยนวล ก็เสียทีเกิดเป็นชายแล้ว ถ้าพ่อรู้เข้า ก็ต้องคิดเช่นเดียวกันขอรับ"
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา สิ่งที่กล้าเสนอนับว่าน่าสนใจมากทีเดียว
กลางดึกคืนนั้น
ขันทองกลับจากบ้านสัปเหร่อ เดินมาคนเดียว ครุ่นคิดเกี่ยวกับการตายของแม่ในหัวตลอดเวลา
ขณะที่ขันทองกำลังคิดหนัก ทันใดนั้นเอง ก็เหลือบเห็นเงาคนแว๊บๆผ่านหน้าตนไป
ขันทองรีบก้มหลบ แล้วตามคนกลุ่มนั้นไป ไม่นานก็เห็นคนกลุ่มนั้นแต่งตัวเหมือนกัน มีอาวุธ
ครบมือ กำลังซุ่มอยู่ข้างทาง ใช้ต้นไม้บังตัว
คนเหล่านี้คือกล้ากับลูกน้องของจมื่นศรีสรรักษ์
ขันทองเห็นเข้า ก็รู้ว่าคนพวกนี้เตรียมซุ่มทำร้ายคน เลยซุ่มคอยดูท่าทีอีกที
อึดใจก็เห็นม่วงกับลูกน้อง 3-4 คนเดินคุยกันมาตามทางเพื่อจะกลับบ้าน หลังจากเที่ยวโรงรับชำเรา
กล้ากับพวกที่ซุ่มอยู่ รีบเอาผ้ามาปิดบังหน้าตาทันที
ขันทองมีสีหน้าไม่พอใจไม่ชอบพฤติกรรมหมาลอบกัด
พอม่วงกับพวกเข้ามาในระยะ กล้าก็นำทหารบุกเข้าใส่ทันที
ม่วงกับพวกลูกน้องตกใจที่มีคนบุกเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ แต่ม่วงกับลูกน้องก็ใช้วิชามวยไทยสู้เต็มที่
แต่พวกทหารมีฝีมือพอสมควร แถมมีดาบกันมาทุกคน สู้กันได้ไม่เท่าไหร่ ก็เริ่มทำร้ายพวกลูกน้องม่วงได้ จนลูกน้องม่วงต้องสู้อย่างยากลำบาก
กล้าโพกผ้าปิดบังหน้าตา แต่ใช้ดาบไล่ฟันใส่ม่วง ม่วงหลบซ้ายหลบขวา ก่อนจะสวนกลับ แต่ยันกล้าไปได้ ก็มีทหารบุกเข้ามาอีก
กล้าก็ได้โอกาสเตะม่วงล้มลง กล้าเงื้อดาบขึ้น กะฟันให้ตาย
แต่ทันใดนั้นเอง ขันทองก็เอามีดสั้นที่พกติดตัว ขว้างปักเข้าไปที่หัวไหล่กล้าอย่างแม่นยำ
กล้าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และตกใจ
กล้าผงะถอยออกมา พวกทหารเห็นกล้าบาดเจ็บก็ตกใจ
ขันทองแกล้งตะโกนเสียงดัง สั่งลูกน้อง
"พวกมันอยู่ที่นั่น ล้อมเอาไว้ แล้วฆ่าเสียให้หมด"
กล้ากับพวกทหารตกใจกลัว พวกทหารเลยรีบพากล้าที่บาดเจ็บหนีไปทันที
ม่วงมองตามด้วยความแปลกใจ หันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครล้อมเข้ามาซักคน
ขันทองมองจนแน่ใจว่าพวกกล้าไม่ย้อนกลับมา ก็รีบหลบไปทางอื่น ไม่อยากให้ใครเห็นตน
ตอนเช้า แมงเม่ารีบเดินออกมาจากข้างในด้วยความตกใจและเป็นห่วงพี่ชาย พอออกมาก็เห็นม่วงกำลังคุยกับอิน มิ่ง และชื่น ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"พี่ม่วง เกิดกระไรขึ้น บ่าวบอกว่าพี่ถูกลอบทำร้าย ถึงขั้นจะฆ่าแกงกันเชียวรึ"
ม่วงเครียด
"พี่ไม่เป็นกระไรมากดอก แต่อ้ายพวกที่ไปด้วยถูกดาบเจ็บกันไปพอควร"
"แล้วนี่ฝีมือใครกัน ถึงกับจะฆ่าฟัน คงมิใช่โจรทั่วไปดอก"
ม่วงหน้าจ๋อยลง
"เมื่อหัวค่ำ พี่มีเรื่องกับพวกอ้ายกล้าแล้วไล่ตะเพิดมันไป มิรู้ว่าอ้ายกล้ามันตามมาล้างแค้นหรือไม่ เพราะอ้ายพวกที่มาลอบทำร้าย โพกผ้าปิดหน้าไว้ แต่ก็น่าสงสัยมันเป็นที่สุด"
ชื่นว่า "เพียงแค่สงสัย คงเอาไปฟ้องร้องไม่ได้ดอก แต่พ่อม่วงกับอ้ายกล้าก็วิวาทกันมาหลายครา หนักข้อขึ้นทุกที ครานี้ มีเรื่องอะไรกันเล่า"
ม่วงหน้าเสีย อึกๆอักๆ
มิ่งถาม "อ้ำอึ้งอยู่นั่นล่ะ บอกมาสิ ว่ามีเรื่องกระไร"
ม่วงตัดใจพูด "ฉันไปที่โรงรับชำเรามา อ้ายกล้ามันตัดหน้าหญิงที่ฉันจับจองไว้ ก็เลยชกต่อยกันจ้ะ"
แมงเม่า อิน มิ่ง และชื่น ตกใจจนอึ้งกันเป็นแถว
แมงเม่านึกไม่ถึง "คุณพระ"
อินหน้าเสีย นึกไม่ถึงเหมือนกัน "โรงรับชำเรา"
มิ่งทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง
"อ้ายม่วง เอ็งทำอย่างนี้ ข้าจะไปสู้หน้าใครได้อีกวะ"
"ใจเย็นๆจ้ะพี่มิ่ง" ชื่นว่า แล้วหันไปดุม่วง "พ่อม่วงนะพ่อม่วง เมียก็มีทั้งคน ยังจะไปที่สกปรกอีก"
ม่วงอึกอัก พูดไม่ออก หันไปมองหน้าอิน อินก็กระอักกระอ่วน รู้ว่าปัญหาเกิดจากตน
แมงเม่าแอบมองสายตาสองคนที่มองกันก็รู้สึกติดใจสงสัย
ม่วงเดินเซ็งๆ กลับเข้ามาด้านในเรือน หลังจากโดนพ่อกับแม่เลี้ยงด่าโดยแก้ตัวอะไรไม่ได้
ขณะนั้นเอง อินก็เดินตามมา
อินไม่สบายใจ "พี่ม่วงจ๊ะ"
ม่วงหันกลับไปมองอิน
อินเดินเข้ามาหาม่วง ไม่สบายใจ ยกมือไหว้ "ฉันต้องขออภัยพี่ด้วย ที่พี่ต้องไป"
อินอึกๆอักๆ กระดากปากแต่ก็ต้องพูด "เอ่อ โรงรับชำเรา ก็เพราะฉันเป็นต้นเหตุ แลต้องขอบพระคุณ ที่พี่ไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่"
ม่วงยิ้มประชด
"ฉันจะกล้าบอกได้อย่างไร แม่อินเป็นสะใภ้ผู้เป็นศรีเรือนของพ่อแลน้าชื่น ฉันมิกล้าทำให้มัวหมองดอก"
อินหน้าเสีย ถอนใจ
"ฉันรู้ ว่าพี่เคืองฉัน แต่ฉันสาบาน ว่าฉันพูดจริง ผีพี่อิ่มหึงหวงฉันกับพี่ คอยตามหลอกหลอน จนฉัน..."
ม่วงตัดบท
"พอเถิด ถ้าแม่อิ่มหึงหวงฉันจริง ก็คงต้องไปหลอกหลอนผู้หญิงที่โรงรับชำเราด้วยซี"
อินอึ้งๆไป
ม่วงน้อยใจ
"แม่อินอย่าเอาเรื่องนี้มาอ้าง เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่ในใจเลย เมื่อแม่อินไม่รักไม่อยากหลับนอนกับฉันอย่างผัวเมีย ก็ไม่ต้องฝืนใจดอก" แม่อินเดินเลี่ยงไปอย่างเศร้าๆ
อินได้แต่มองตามด้วยความกลุ้มใจจนน้ำตาท่วมตา อัดอั้น ไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
ในมุมหนึ่ง แมงเม่าแอบฟังและได้ยินทุกอย่าง เข้าใจและเห็นใจทั้งสองฝ่าย แมงเม่ามีสีหน้าไม่สบายใจมาก
ภายในเรือน ขันทองกำลังคุยกับแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แน่นตกใจ
"นี่แม่เอ็งถูกฆ่าจริงๆรึ ถ้าไม่ได้ยินจากปากสัปเหร่อ ข้าไม่มีวันเชื่อ"
" พ่อข้าสงสัยเรื่องนี้มาแต่แรกแล้ว เพราะคนอย่างแม่ ไม่มีวันฆ่าตัวตายเป็นอันขาด แต่พ่อข้าก็ตายไปเสียก่อน จึงยังสืบความจริงไม่ได้"
แน่นหน้าเครียด "แม่เอ็งเป็นถึงคุณท้าว มีศักดิ์สูงในฝ่ายในนัก แล้วผู้ใดกัน ที่กล้าฆ่าแม่เอ็ง"
ขันทองสีหน้ามั่นใจ "ต้องเกี่ยวข้องกับคดีความของแม่ข้าเป็นแน่ คนฆ่าคงต้องการ..."
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ดังแทรกเข้ามา
" โอ๊ย กลัวแล้วเจ้าค่ะ โอ๊ย"
ขันทอง และแน่นตกใจที่ได้ยินเสียงร้องแบบนี้ในฝ่ายใน เลยรีบออกไปดูทันที
ที่สวนในวัง หลวงศรีมะโนราชกำลังใช้หวายเฆี่ยนเยื้อนไม่ยั้ง
เยื้อนเป็นทาสที่ถูกนำมารับใช้ในวัง เยื้อนนั่งขดตัวอยู่กับพื้น ขณะถูกหลวงศรีมะโนราชเฆี่ยน ทั้งหวาดกลัวและเจ็บปวดสุดๆ โดยมีขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษา ยืนมองด้วยความสะใจ ใกล้ๆกับตัวเยื้อน มีตะกร้าใส่กาน้ำชา ถ้วยชาตกกระจายอยู่เต็มพื้นด้วย
เยื้อนทั้งเจ็บทั้งกลัวสุดๆ วิงวอน
"เมตตาด้วยเจ้าค่ะ บ่าวกลัวแล้ว โอ๊ย"
ขันทอง และแน่น ได้ยินเสียงร้องก็ตามมาจนเห็นเหตุการณ์เข้า
ขันทองไม่พอใจ "หยุดประเดี๋ยวนี้"
หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษา ชะงัก หันไปมองขันทองด้วยความไม่พอใจ
ขุนเทพชำนาญโมโห
"โกงการกระไรของออกหลวงท่าน อีนี่เป็นทาสของฉัน ฉันจะทำกระไรกับมันก็ย่อมได้"
"แต่ที่นี่เป็นเขตพระราชฐาน ควรรึ ที่จะมีการเฆี่ยนตีกันให้ระคายเคืองคุณข้างใน หรือท่านขุนจะต้องรอให้ถูกตำหนิก่อน"
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาหน้าเสีย
พระราชาข่านเดินผ่านมา เห็นเหตุการณ์เข้า ก็มองด้วยความสนใจ
หลวงศรีมะโนราชยิ้มแย้มบอก
"คุณหลวงมิต้องเอาคุณข้างในมาอ้างดอก อีทาสนี่มันทำผิด ยกน้ำชามาให้ฉันแต่กลับทำหกเลอะเทอะ ฉันสั่ง สอนตามธรรมเนียม คงไม่มีใครว่าฉันทำไม่ถูกดอก"
แน่นไม่พอใจ
"เฆี่ยนจนหลังลายนี่หรือธรรมเนียม แม้ฉันจะเข้าวังมาหลังออกหลวงท่าน แต่ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน ออกหลวงคงเพิ่งตั้งธรรมเนียมนี้ขึ้นมาเองกระมัง"
ขุนเทพรักษาโมโห ชี้หน้าแน่น
"จะมากเกินไปเสียแล้ว เอ็งมันแค่ข้ารับใช้ปลายแถว มิรู้จักที่ต่ำที่สูง"
แน่นยิ้มยั่วโมโห
"ข้ารับใช้ปลายแถวกับข้ารับใช้หัวแถว มันต่างกันอย่างไร วานท่านขุนช่วยสอนฉันหน่อยเถิด"
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาโมโห แต่ศรีมะโนราชกลับไม่ตอบโต้ หันไปเฆี่ยนเยื้อนหนักกว่าเก่าทันที เป็นการท้าทายพวกขันทอง
เยื้อนร้องด้วยความเจ็บปวด
ขันทองชักโมโห "คุณหลวง"
ยิ่งขันทองโมโห หลวงศรีมะโนราชก็ยิ่งกระหน่ำตีหนักขึ้นไปอีก
ขันทองจะเข้าไปช่วยก็กลัวกระเทือนงานของตน ก่อนจะฉุกคิดขึ้น หันไปพูดกับแน่น
"ท่านขุน ดีฉันจำได้ ว่าวันนี้เจ้าจอมเพ็ญ ท่านถือศีล หากมีการเฆี่ยนตี เลือดตกยางออกในวันมงคลเช่นนี้ ท่านขุนคิดว่า เจ้าจอมท่านจะว่าอย่างไร"
หลวงศรีมะโนราชชะงักไปทันที ตนรู้ว่าเจ้าจอมเพ็ญเป็นคนถือสาเรื่องพวกนี้มาก ถ้ามีปัญหากัน
ตนคงแย่แน่
แน่นรีบรับลูก
"ฉันไม่กล้าคิดเลยคุณหลวง เจ้าจอมท่านถือสาเรื่องเช่นนี้นัก ยิ่งหากเกิดเหตุร้ายกระไรขึ้น ก็คงเป็นเพราะมีคนก่อบาปกรรมเป็นแน่"
หลวงศรีมะโนราชโมโห
"นี่พวกเจ้ากล้าเอาเจ้าจอมท่านมาขู่ฉันเชียวรึ"
ขันทองยิ้มบางๆ
"ดีฉันหรือจะกล้าขู่คุณหลวง ที่พูด ก็เพราะห่วงใยคุณหลวงกับท่านขุนทั้งสองต่างหาก เกรงว่าพวกท่านจะทำ ให้เจ้าจอมเพ็ญท่านไม่พอใจ" แล้วมัดมือชก "เอาเช่นนี้เถิด ถือว่าช่วยเหลือกัน เมื่อนางทาสคนนี้
มันไม่ดี ดีฉันก็ขอซื้อต่อมาอบรมเองเป็นกระไร ซื้อมาเท่าใด ดีฉันให้เพิ่มเป็นสองเท่า"
เยื้อนเหลือบตามองขันทองด้วยความรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณ
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา หันมองหน้ากัน ได้กำไรก็ชักสนใจ ดีกว่าต้องมีเรื่องราวใหญ่โต
ในขณะที่ศรีมะโนราชจ้องหน้าขันทองเขม็ง โกรธที่ขันทองข่มขู่ตน แต่ถ้าขันทองเอาไปฟ้องเจ้าจอมเพ็ญก็กลัวเป็นเรื่อง เลยได้แต่จ้องหน้าขันทองด้วยความแค้น
"หลวงศรีขันทิน"
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นพระราชาข่านยืนมองด้วยสายตาถมึงทึง ไม่พอใจ
พระราชาข่านเดินไอโขลก โดยมีขันทองเดินตามหลังมาอยู่ที่มุมหนึ่งในวัง
ขันทองมองไปรอบๆ
"ที่นี่ไม่มีผู้อื่น ออกพระท่านมีกระไรจะพูดกับฉันหรือ"
ราชาข่านไอโขลก หันกลับมาคุยกับขันทองด้วยความโมโห
"รู้หรือไม่ ว่าอีทาสที่ช่วยไว้เป็นผู้ใด"
ขันทองแปลกใจ
"ออกพระท่านหมายความว่าอย่างไร"
ราชาข่านโมโห
"นังคนนั้น ชื่อนังเยื้อน มีพ่อเป็นถึงพระยาผู้ใหญ่ แต่ต้องโทษฟันคอริบเรือน นังเยื้อนจึงต้องตกเป็นทาส เปลี่ยน นายมาก็หลายคน ด้วยนายแต่ละคนเรียกมันไปบำเรอ แล้วเกิดเหตุหึงหวงขึ้น ท้ายสุดจึง
ส่งมันเข้ามารับใช้นักเทศขันที จะได้ไม่มีเหตุอีก รู้เช่นนี้แล้ว ก็รีบเอามันไปคืนเสีย จะได้ไม่ต้องรับเคราะห์เพราะกาลกิณีของมัน"
ขันทองนิ่งไปครู่หนึ่ง
"ออกพระท่านคงไม่ได้เกรงฉันจะรับเคราะห์ดอก แต่เกรงว่าฉันอยู่ใกล้ผู้หญิงแล้วจะอดใจไม่ได้ จนความแตกต่างหากกระมัง"
"เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ต้องพูดอีก"
ขันทองถอนใจ หน้าขรึมลง
"ที่ผ่านมา ฉันอยู่ท่ามกลางนางในงดงามมากมาย บางคนผลัดผ้าผ่อนไม่ระวังเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ข่มใจไว้ไม่เคยเป็นพิรุธ ถึงขั้นนี้แล้ว ออกพระท่านยังไม่วางใจอีกหรือ"
"ตราบใดที่เอ็งยังเป็นชายแท้ ข้าก็ไม่มีวันวางใจ คืนนังเยื้อนไป อย่ารับเข้ามาเป็นอันขาด"
"คืนไป ก็ไม่แคล้วถูกเฆี่ยนตีอีก" ขันทองไหว้ "ฉันต้องกราบขออภัยออกพระด้วย ฉันคงทำตามไม่ได้จริงๆ"
ขันทองเดินเลี่ยงไป ถึงเวลาจำเป็น ขันทองก็เด็ดขาดเหมือนกัน
พระราชาข่านมองตามด้วยความเจ็บใจ ทั้งโมโหทั้งระแวง ที่ขันทองไม่ยอมทำตามคำสั่ง
ผ่านเวลาพักใหญ่ ในเรือนขันทอง
ขันทองเปิดประตูห้องออก ให้เยื้อนเดินถือห่อผ้าเข้ามาในห้อง
เยื้อนยังเจ็บพอสมควร ตามเนื้อตัวมีรอยหวายใหม่ๆเต็มไปหมด
เยื้อนมองไปรอบๆ ห้อง แม้ไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน
เยื้อนแปลกใจ
"ห้องนี้ไม่มีคนอยู่หรือเจ้าคะ"
ขันทองยิ้มรับ
"ไม่มี เรือนนี้ฉันอยู่คนเดียว ต่อไป ก็จะมีเจ้ามาอยู่อีกคน"
เยื้อนนึกไม่ถึง
"นี่คุณหลวงให้ห้องหับบ่าวอยู่แต่เพียงผู้เดียวเลยหรือเจ้าคะ"
เยื้อนดูเกรงใจมาก "เอ่อ เกินวาสนาบ่าวนัก บ่าวรับไว้ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มขำๆ
"ไม่อยากรับ ก็ต้องรับล่ะ หรือเจ้าต้องให้ฉันหาบ่าวอีกคนมาอยู่เป็นเพื่อน ถึงจะพอใจ"
เยื้อนหน้าเจื่อน
"มิได้เจ้าค่ะ" เยื้อนยกมือไหว้ "เป็นพระคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจทำงานทดแทนพระคุณคุณหลวงให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มแย้ม
"ก่อนทำงาน เจ้ารักษาตัวเองให้หายก่อนเถิด รอยหวายที่หลังเจ้ายังมิได้ทายาเลยไม่ใช่รึ รออยู่นี่ ฉันจะไปเอายามาให้"
ขันทองเดินกลับออกไป
เยื้อนมองตามแล้วยิ้มบางๆ นานมากแล้วที่ไม่มีใครดีกับตนแบบนี้ แถมขันทองยังรูปงามหล่อเหลาอีกด้วย ทำให้อดรู้สึกดีๆไม่ได้
พระยาสีหะราชเดชะกับลูกน้องกลุ่มหนึ่งกำลังรอลูกน้องคนหนึ่งอยู่ที่ทางเปลี่ยวกลางดึก
ทุกคนแต่งตัวแบบชาวบ้านเพื่อพรางตัว
ไม่นานนักก็มีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
พระยาสีหะราชเดชะร้อนใจมาก รีบเข้าไปหาลูกน้องที่วิ่งมาทันที
"เป็นอย่างไรบ้างวะ"
ลูกน้อง 1หน้าเครียด
"ไม่ได้เรื่องเลยขอรับ คนรู้จักที่ท่านเจ้าคุณหวังพึ่งพา ถ้าไม่ตาย ก็หมดอำนาจวาสนากันหมดสิ้น กระผมว่า เราฟ้องร้องกันเองเถิดขอรับ"
พระยาสีหะราชเดชะเครียด
"ไม่ได้ เอ็งไม่รู้ดอกว่าเจ้าคุณพลเทพมีอำนาจเพียงใด ขนาดความผิดเห็นอยู่ทนโท่ ยังดั้นเมฆตัดสินให้ถูก มาแล้ว หากเราบุ่มบ่ามไปฟ้องร้อง ไม่ทันไต่สวนทวนความ คงกลายเป็นผีกันเสียก่อน"
"ถ้ากระนั้น จะทำอย่างไรดีขอรับ เราสู้อุตส่าห์ลอบเข้ามาอโยธยาได้แล้ว จะกลับไปทั้งอย่างนี้หรือขอรับ"
พระยาสีหะราชเดชะคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขบกรามแน่น
"ถึงขั้นนี้แล้ว มีเพียงคนเดียวที่จะช่วยเราได้ เห็นที พวกเราต้องเสี่ยงเข้าฝ่ายในกันแล้ว"
ทันใดนั้น ลูกน้องพระยาพลเทพพร้อมอาวุธครบมือ นำโดยขุนแผลงฤทธิ์ กับจมื่นศรีสรรักษ์
ก็กรูกันเข้ามาล้อมพระยาสีหะราชเดชะกับพวกไว้
พวกพระยาสีหะราชเดชะตกใจ รีบชักดาบออกจากฝักเตรียมพร้อมทันที
ขณะนั้นเอง พระยาพลเทพก็เดินฝ่าลูกน้องเข้ามา
พระยาพลเทพยิ้มแย้ม
"เหตุใดแต่งตัวเช่นนี้เล่าท่านเจ้าคุณ ดีนะ ที่สายตาฉันยังไม่ฝ้าฟาง มิเช่นนั้น คงจำท่านเจ้าคุณมิได้"
พระยาสีหะราชเดชะแค่นหัวเราะ
"เป็นบุญของกระผมนัก เพิ่งเหยียบอโยธยาได้ไม่ทันไร ออกญาท่านก็มารับกระผมด้วยตนเองเสียแล้ว"
" ระหว่างเราคงไม่ต้องอ้อมค้อม ท่านเจ้าคุณตามฉันไปพูดคุยกันที่เรือนแต่โดยดีเถิด มีกระไร ยังพอตกลงกันได้"
"แล้วหากกระผมไม่ไปเล่าขอรับ"
พระยาพลเทพยิ้มรับ ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณ
ทันใดนั้น ขุนแผลงฤทธิ์กับพวกก็บุกเข้าไปทันที
สองฝ่ายตะลุมบอนกัน สู้กันอย่างดุเดือด โดยมีจมื่นศรีสรรักษ์กับพระยาพลเทพยืนดูอยู่
จมื่นศรีสรรักษ์ ไม่กล้าเข้าไป
"ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเจ้าคุณจะบอกกระผมได้หรือยังขอรับ ว่าพระยาสีหะราชเดชะผู้นี้ผิดด้วยเหตุใด พวกเราถึงต้องทำขนาดนี้"
"ออกญาผู้นี้ เคยเป็นข้าเก่าของฉันกับเจ้าจอมท่านมาก่อน แต่เนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง จึงขาดกันไป คิดไม่ถึง ว่ายังสู้อุตส่าห์ลอบกลับเข้ามาอีก ชะรอย คงจะหาทางกลับมาทำร้ายเจ้าจอมท่านเป็นแน่"
จมื่นศรีสรรักษ์ห่วงพี่ เลยกัดฟันชักดาบออกบุกเข้าไปสู้ด้วย
จมื่นศรีสรรักษ์ไม่มีฝีมืออะไร สู้ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนพระยาสีหะราชเดชะรุกไล่จนปั่นป่วน
แต่ขุนแผลงฤทธิ์เก่งกว่ามาก บุกเข้าไปช่วยจมื่นศรีสรรักษ์ แล้วเล่นงานจนพระยาสีหราชเดชะถอยร่น
ลูกน้องพระยาสีหะราชเดชะจะเข้าไปช่วย แต่คนของพระยาพลเทพมีมากกว่าเลยช่วยไม่ได้ก่อนจะถูกรุมฆ่าไปทีละคน สองคน
พระยาสีหะราชเดชะเห็นท่าไม่ดี พยายามจะตีฝ่าแต่สู้ไม่ไหว ถูกขุนแผลงฤทธิ์พลิกตัวหลบแล้วฟันเข้าที่ท้องน้อยจนเป็นแผลฉกรรจ์
ขุนแผลงฤทธิ์จะเข้าไปซ้ำ แต่ลูกน้องพระยาสีหะราชเดชะคนหนึ่ง รีบตามไปขวางไว้
"ท่านเจ้าคุณ รีบหนีไปขอรับ"
พระยาสีหะราชเดชะกัดฟันหนีไปทันที
จมื่นศรีสรรักษ์ตะโกนลั่น "พวกมึงตามกูมา จับมันให้ได้"
จมื่นศรีสรรักษ์นำลูกน้องบางส่วนตามไปทันที ในขณะที่ขุนแผลงฤทธิ์กำลังไล่ฆ่าลูกน้องพระยาสีหะราชเดชะที่เหลืออยู่อย่างโหดเหี้ยม
พระยาพลเทพมองตามแล้วยิ้มเหี้ยม ไม่มีวันปล่อยให้พระยาสีหะราชเดชะ หนีรอดไปได้เด็ดขาด
บริเวณหน้าเรือน ยามเช้า มิ่ง กับชื่น เดินนำขุนนางคนหนึ่ง พร้อมกับแม่สื่อขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ขุนนางมียศประมาณขุน ไม่หล่อ แถมอายุมากใกล้ๆกับมิ่ง
มิ่งยิ้มแย้ม
"เชิญขอรับท่านขุน เป็นเกียรติเป็นศรีแก่เรือนกระผมเหลือเกินขอรับ ที่ท่านขุนมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนวันนี้"
มิ่งเดินนำทุกคนมานั่งที่หอนั่ง
พวกทาสก็รีบเอาน้ำ ของว่างมารับแขกทันที
ขุนนาง 1ยิ้มแย้ม
"พ่อมิ่งไม่ต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจอย่างนั้นดอกจ้ะ ฉันเองได้ยินชื่อเสียงพ่อมิ่งมานานแล้ว อยากจะขอฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานอยู่เช่นกัน"
มิ่ง และชื่น อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็หัวเราะตามมารยาท ในใจกระอักกระอ่วนไม่ใช่น้อย
ชื่นกระซิบ
"ดูจากหน้าตาแล้ว ท่าจะอ่อนเดือนกว่าพี่มิ่งไม่เท่าใด จะขอเป็นลูกหลานกันเชียวรึ"
มิ่งกระซิบ
"เอาเถิดน่ะ บางทีคนสูงวัย อาจจะกำหราบนังแมงเม่าอยู่มือก็เป็นได้"
แม่สื่อมองไปรอบๆ ยิ้มแย้มถาม
"แล้วนี่แม่แมงเม่าอยู่ที่ใดกันจ๊ะ ท่านขุนคงอยากเห็นตัวจริงแทบขาดใจแล้ว"
ขุนนางหัวเราะด้วยความเขินอาย
"คงยังแต่งเนื้อแต่งตัวไม่เสร็จ รอประเดี๋ยวนะขอรับท่านขุน กระผมจะไปตามให้เอง"
มิ่งลุกเดินไป
ผลกำลังยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่หน้าห้องนอนแมงเม่า
ขณะนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง โพกผ้าปิดบังหน้าตา เปิดประตูออกมาจากห้องนอนแมงเม่า
ออกมาหาผล ที่แท้แมงเม่าปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อจะหนีการดูตัว
ทั้งคู่กำลังจะเดินหนีไป แต่มิ่งเดินมาเข้ามาก่อน
มิ่งหน้าบึ้งตึง " พวกเอ็งสองคนขึ้นมาทำกระไรบนนี้วะ"
ผล กับแมงเม่า รีบคุกเข่าลงทันที แมงเม่าก้มหน้างุด ผลมีท่าทางตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
"ข้าถาม ทำไมไม่ตอบ"
แมงเม่าแอบกระทุ้งศอกใส่ผลให้ตอบ
ผลอึกๆอักๆ
"เอ่อ เอ่อ แม่หญิงไม่ใคร่สบาย พวกกระผมจึงต้มยาขึ้นมาให้ขอรับ"
มิ่งแปลกใจ
"ไม่สบายรึ" แล้วยิ้มแบบรู้ทันลูกสาว "จะดูตัว ก็เลยออกฤทธิ์ออกเดชล่ะซีอ้ายลูกคนนี้"
ฝ่ายแมงเม่าที่ปลอมตัวเป็นชาย สีหน้าลุ้นๆ กลัวโดนพ่อจับได้
"พวกเอ็งไปได้แล้ว แม้เรือนข้าจะไม่ถือสาเรื่องผู้ชายขึ้นมาบนเรือนเหมือนเรือนอื่น แต่เลี่ยงได้ เอ็งก็ควรเลี่ยง ลูกข้าจะได้ไม่ถูกนินทาว่าร้าย"
ผลรับคำ "ขอรับ"
ผลกับแมงเม่ารีบเดินเลี่ยงไปทันที
มิ่งกระหยิ่มอย่างรู้ทันแผนลูก ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป
แมงเม่าอมยิ้มพอใจที่รอดมาได้
มิ่งเดินเข้าไปในห้อง เห็นบนเตียง มีคนนอนคลุมโปงปิดหน้าปิดตาอยู่
มิ่งยิ้มขำๆ "ถึงกับคลุมโปงเลยรึ อ้ายตัวดี"
มิ่งเดินมานั่งข้างๆเตียง
"เจ้าแมงเม่า ท่านขุนมารอแล้ว เอ็งรีบแต่งเนื้อแต่งตัว แล้วออกไปพบท่านเสีย อย่าให้ท่านรอนาน"
คนที่คลุมโปงตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที
"ชะ ช้า ทำตัวสั่น หลอกคนอื่นเถิดโว้ย ข้าเป็นพ่อเอ็ง ถ้าตามลูกไม้เอ็งไม่ทัน แล้วจะเป็นพ่อเอ็งได้อย่างไร" มิ่งจะดึงผ้าห่มออก "ไป ไปกับข้า"
คนที่คลุมโปง ดึงผ้าห่มแน่น ไม่ยอมให้ดึงออก
มิ่งถอนใจ
"พ่อรู้ ว่าเอ็งไม่ชอบ แต่เข้าใจพ่อบ้างเถิดวะ เอ็งเป็นลูกหลงมาเกิดตอนพ่ออายุมากแล้ว พ่อถึงได้เป็นห่วง กลัวไม่มีคนดูแลเอ็งต่อจากพ่อ เอ็งอย่าดื้อดึงอีกเลย" มิ่งจะดึงผ้าห่มอีก
แต่คนในผ้าห่มก็ดึงไว้แน่น ไม่ยอมให้ดึง
มิ่งชักโมโห เลยออกแรงดึงกันไป ดึงกันมาหลายรอบ จนในที่สุดมิ่งก็ดึงสุดแรง จนผ้าห่มหลุด
ออกมาได้ เห็นติ่นใส่เสื้อผ้าของแมงเม่านอนตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง
มิ่งตกใจนึกไม่ถึง โวยลั่น "อ้ายติ่น"
ติ่นกลัวตัวสั่น ยกมือไหว้ "ฉันไหว้จ้ะ"
มิ่งโมโห ยกเท้าจะกระทืบติ่น แต่ติ่นรีบพลิกตัวหลบ มิ่งฉวยของในห้องได้ก็ไล่ฟาดติ่น ติ่นรีบลนลาน วิ่งหนีไม่คิดชีวิตออกไปจากห้อง
มิ่งบ่นด้วยความเจ็บใจ "นังแมงเม่า เสียรู้มันอีกแล้ว"
บริเวณตลาด บรรยากาศดูคึกคัก มีผู้คนมากมาย เป็นตลาดที่อยู่ติดกับกำแพงวัง
แมงเม่าในชุดผู้ชายเดินหัวเราะท้องคัดท้องแข็งมากับผล
" ป่านฉะนี้ พ่อคงเอ็ดตะโรลั่นเรือนอยู่เป็นแน่"
ผลหน้าจ๋อยๆ กลัวซวยไปด้วย
"แม่หญิงขอรับ ทีหน้าทีหลัง อย่าเล่นอย่างนี้อีกเลยนะขอรับ ตอนเจอท่านเศรษฐี หัวใจแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้"
"อ้ายใจเสาะ เอ็งไปบอกพ่อข้าโน่นไป ถ้าพ่อเลิกให้ข้าดูตัว ข้าก็จะเลิกทำ"
แมงเม่าไม่สนใจ เดินดูของต่างๆ หยิบโน่น ดูนี่อย่างอารมณ์ดี
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เหลือบเห็นโรงเรือนมุงจาก สร้างเป็นแนวยาวคู่มากับกำแพงวัง ซึ่งแมงเม่าไม่เคยเห็นมาก่อน
โรงเรือนแนวยาวคู่กับกำแพงวัง เพื่อกั้นไม่ให้คนภายนอกเห็นเจ้าจอม พระสนมของกษัตริย์ เวลาออกมาข้างนอก โดยสร้างด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยจาก เป็นลักษณะชั่วคราว สามารถสร้างและรื้อถอนได้ง่าย
"นั่นโรงกระไร"
ผลมองตาม "ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันจ้ะ พิกลนัก แลเหตุใดถึงได้ไปปลูกอยู่ข้างกำแพงวัง"
แม่ค้า 1มองตาม
"เพิ่งเคยเห็นรึ โรงนั้นเป็นฉนวนทางเดินของฝ่ายใน กั้นมิให้ไพร่อย่างเราเข้าไปใกล้ วันนี้มีงานสมโภชใหญ่ฝ่ายใน คงจะออกมาชมงาน จึงต้องมีการสร้างโรงไว้คอยกั้นน่ะ"
แมงเม่านึกสนุก
"ยิ่งกั้น ก็ยิ่งอยากดูเสียแล้ว"
แม่ค้า 1ตกใจ "อย่าเชียวนา ประเดี๋ยวก็ถูกไล่ตีเอาดอก"
แมงเม่ายิ้มๆ ไม่กลัว เดินปรี่ไปที่โรงเรือนทันที
ผลตกใจ รีบตามแมงเม่าไปติดๆ
แมงเม่าและผลเดินมาที่หน้าโรงเรือน พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ชะเง้อมองเข้าไปในโรงเรือนอยู่ อยากเห็นสาวๆชาววัง
แต่ทันใดนั้นเอง หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษา ก็ถือหางกระเบนออกมาจากโรงเรือน ไล่ตีคนที่มุงดูไม่ยั้งทันที
พวกหนุ่มๆที่มุงดู ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตกใจ บางคนถูกหวดเข้าที่แขน ขา ก็เลือดไหลทันที ดูน่าหวาดกลัว
หลวงศรีมะโนราชตรงเข้ามาที่แมงเม่าและ ผล ด้วยท่าทางน่ากลัว
แมงเม่าสวมชุดผู้ชาย มัดผม โพกผ้าบนหัว หลวงศรีมะโนราชไม่ทันสังเกต เลยจะเฆี่ยนแมงเม่าด้วย
หลวงศรีมะโนราชหวดหางกระเบนเข้าใส่ผลทันที
ผลโดนหางกระเบนเข้าไปเต็มๆ ร้องออกมาอย่างเจ็บมาก
แมงเม่าตกใจ "อ้ายผล"
หลวงศรีมะโนราชเงื้อหางกระเบน หวดมาที่แมงเม่าเต็มเหนี่ยว
แมงเม่าตกใจสุดๆ แต่หนีไม่ทัน ได้แต่หลับตา กัดฟัน เตรียมถูกเฆี่ยนด้วยความหวาดกลัว
แต่ก่อนที่หางกระเบนจะกระทบตัวแมงเม่า ก็มีมือแข็งแรงข้างหนึ่ง คว้าข้อมือของหลวงศรีมะโนราชได้ทัน
แมงเม่าชะงัก หันไปมองตาม เห็นคนที่คว้าข้อมือหลวงศรีมะโนราชคือ หลวงศรีขันทิน นั่นเอง
" นี่มันกระไรกันออกหลวง ฉันกำลังจะลงโทษอ้ายพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มาขวางฉันทำไม"
"ดีฉันจำต้องขวางเจ้าค่ะ" ขันทองหันไปมองที่แมงเม่า "เพราะคนผู้นี้ มิใช่ชาย"
ขันทองเดินเข้าไปหาแมงเม่า ยืนอยู่ระยะประชิด ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ สายตาสบกันนิ่ง ใบหน้าห่างกันเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ขันทองจะเอื้อมมือไปปลดมวยผมของแมงเม่าออก ขณะที่ปลดมวยผม ใจของแมงเม่าก็เต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มือของแมงเม่ากำขากางเกงแน่น ด้วยความตื่นเต้น อย่างที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ขันทองปลดมวยผมเสร็จ ทำให้ผมของแมงเม่าสยายออก เห็นเป็นผู้หญิงชัดเจน
หลวงศรีมะโนราชหงุดหงิดที่เสียหน้า
"เป็นหญิงดอกรึ"
ขันทองยิ้มบางๆ
"คุณหลวงคงกำลังตั้งใจทำหน้าที่ จึงมิทันสังเกตกระมังเจ้าคะ"
หลวงศรีมะโนราชหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ ก่อนจะเดินหัวเสียเลี่ยงไป
ขันทองหันมามองแมงเม่า จ้องแมงเม่าด้วยสายตาตำหนิ
แมงเม่าหน้าจ๋อย รีบก้มหน้าหลบตา รู้ว่าตัวเองผิดที่ซนเกินไป ถ้าไม่ได้ขันทองช่วยไว้คงโดนเฆี่ยนจนได้แผลไปแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 3