หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 10
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
พระยาพลเทพเดินนำพระยาตาก และหลวงพิชัยอาสาขึ้นเรือน โดยมีขุนแผลงฤทธิ์ยืนรออยู่บนเรือน
พระยาพลเทพเสแสร้งปั้นยิ้มต้อนรับ พระยาตากรู้ ยิ้มไปตามมารยาท
"เชิญเลยท่านเจ้าคุณ ถือเสียว่าเป็นเรือนของท่านเจ้าคุณเองก็แล้วกัน ฉันได้ยินชื่อเสียงท่านเจ้าคุณมานานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสได้เจอตัวจริงวันนี้เอง"
" ชื่อเสียงที่พระเดชพระคุณได้ยินมา เกรงว่าจะเกินจริงไปเสียมาก เพราะกระผมเพียงแต่ทำความชอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองขอรับ"
พระยาพลเทพเดินนำพระยาตากมานั่งที่หอนั่ง
ขุนแผลงฤทธิ์จ้องหลวงพิชัยอาสาเขม็ง ยังเจ็บใจเรื่องที่แพ้ยับเยินคราวก่อนอยู่ ขุนแผลงฤทธิ์จำได้
แต่หลวงพิชัยอาสาจำไม่ได้ เพราะตอนสู้กัน ขุนแผลงฤทธิ์โพกผ้าปิดบังหน้าตา
" มีกระไรหรือขอรับท่านขุน"
ขุนแผลงฤทธิ์จ้องเขม็ง แต่ไม่พูด เดินไปนั่งใกล้ๆพระยาพลเทพ
หลวงพิชัยอาสามองอย่างงงๆ ก่อนจะเดินไปนั่งกับพระยาตาก
"พระคุณให้กระผมมาหา มีกระไรให้รับใช้หรือขอรับ"
พระยาพลเทพบอก
"อย่าเรียกว่ารับใช้เลย เรียกว่าเตือนจะเหมาะกว่า ด้วยฉันรู้มาว่าท่านเจ้าคุณ รับอ้ายเสือหาญมาเป็นทหารอาสาไม่ใช่รึ"
"หมายถึงพันหาญศึกอาสาน่ะหรือขอรับ"
"ใช่ อ้ายนั่นล่ะ ก่อนที่จะมาเป็นทหารอาสา มันเคยเป็นโจรร้ายมาก่อน ทั้งปล้น ฆ่า ข่มขืนกระทำชำเรา คนชั่วช้าเช่นนี้ ท่านเจ้าคุณเลี้ยงไว้ได้อย่างไร ไม่ต่างจากเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ข้างกายเลย"
พระยาตากยิ้มเล็กน้อย รู้ทันว่าพระยาพลเทพต้องการอะไร
"เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับที่พระคุณตักเตือนกระผม แต่ก่อนจะรับมา กระผมทราบมาว่า พันหาญผู้นี้เคยเป็นลูกน้องเก่าเสือขุนทองมาก่อน แลเสือขุนทองก็มีชื่อเสียงว่าปล้นแต่คนฉ้อฉลคดโกง แต่ไม่เคยทำร้ายคนอ่อนแอกว่า แลยังกตัญญูต่อบ้านเมือง คราศึกพระเจ้าอลองพญา ก็อาสาออกศึกจนตัวตาย พันหาญผู้นี้ เท่าที่ดูก็มีน้ำใจไม่ผิดลูกพี่นัก กระผมจึงเลี้ยงไว้ขอรับ"
พระยาพลเทพหน้าบึ้งตึงไม่พอใจทันที ที่พระยาตากปฏิเสธตนกลายๆ แม้จะพูดอย่างสุภาพก็ตาม
ขุนแผลงฤทธิ์หน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
"ที่พระเดชพระคุณเตือนท่านเจ้าคุณ ก็เพราะมีใจเมตตา แต่ท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้ เหมือนไม่ไยดีในน้ำใจเลยนะขอรับ"
" พุทโธ่ท่านขุน หากคำว่า “ไยดีในน้ำใจ” ของท่านขุน หมายถึงต้องทำตามที่สั่ง โดยชี้แจงกระไรไม่ได้ กระผมกับท่านเจ้าคุณก็คงอับจนคำพูดแล้วล่ะขอรับ"
พลเทพโมโหมากแต่เก็บอาการ พูดเหน็บแนมหน้าตาย
" ช่างเถิดขุนแผลงฤทธิ์ พระยาตากไม่ใช่คนไทอย่างเรา บางทีธรรมเนียมจีนคงชอบที่จะเลี้ยงคน
ชั่วไว้ข้างกาย แลไม่เคารพ นบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่กระมัง"
พระยาพลเทพนิ่งมองพระยาตาก
ขุนแผลงฤทธิ์แอบอมยิ้มสะใจ
หลวงพิชัยอาสาขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
ส่วนพระยาตากได้แต่ยิ้มรับบางๆ ไม่ต่อปากต่อคำอะไร
พระยาตากเดินคุยมากับหลวงพิชัยอาสามาที่ท่าน้ำบ้านพระยาพลเทพ ซึ่งบ่าวไพร่ของตนจอดเรือรออยู่
" พระยาพลเทพผู้นี้ คุ้นชินแต่คนพินอบพิเทา พอพูดจาเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ก็พาลพาโลถึงเชื้อสายของท่านเจ้าคุณ ช่างน่าโมโหนัก"
" คงเสียหน้า ที่ฉันเห็นทหารอาสาคนหนึ่งดีกว่าพระยานาหมื่นกระมัง ช่างเถิด อย่าเอามาใส่ใจเลย เพลานี้เป็นยามศึก ทหารที่ออกรบได้คนหนึ่ง มีค่ามากกว่าขุนนางที่รับราชการด้วยปากมากนัก"
หลวงพิชัยอาสาขำๆ
"ท่านเจ้าคุณช่างเปรียบเปรยนัก แต่ไม่ใส่ใจเสียเลย ก็คงไม่ได้นะขอรับ กระผมว่าเรารู้คำตอบเรื่องเกณฑ์ทหารเมื่อใด ก็รีบออกจากอโยธยากันเถิดขอรับ"
พระยาตากพยักหน้ารับ
"คุณหลวงรอบคอบดี เอาตามนั้นเถิด"
พระยาตากกับหลวงพิชัยลงเรือที่บ่าวจอดรออยู่
บนชานเรือน
พระยาพลเทพกับขุนแผลงฤทธิ์ยืนคุยกันอยู่หลังจากมองตามพระยาตากไปจนลับตา
ขุนแผลงฤทธิ์หน้าตาถมึงทึงน่ากลัว
"ถึงหลวงพิชัยอาสาผู้นี้จะมีฝีมือร้ายกาจ แต่ถ้าท่านเจ้าคุณให้กำลังกระผมสักห้าสิบคน กระผมมั่นใจ
ว่าจะฆ่าทิ้งทั้งอ้ายพระยาตาก หลวงพิชัย แลอ้ายหาญลงได้ขอรับ"
" ถึงฆ่าได้ ก็คงวุ่นวายไม่น้อย ฉันว่าได้ไม่คุ้มเสีย" พระยาพลเทพถอนใจแรงออกมาก่อนจะฉุกคิด หันถาม "แล้วพระยาตากมาที่อโยธยาทำกระไร"
"มาขออนุญาตเกณฑ์ทหารเพิ่ม เผื่อต้องรับศึกอังวะขอรับ"
พระยาพลเทพยิ้มเจ้าเล่ห์
"ไปบอกกลาโหมว่าเมืองตากเป็นเมืองเล็ก ไม่น่าที่อังวะจะบุกตี ฉะนั้น อย่าให้เกณฑ์ทหารเพิ่ม เกลือกพระยาตากจะคิดคดเป็นกบฏได้"
ขุนแผลงฤทธิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ เข้าใจแผนพระยาพลเทพ
"ขอรับท่านเจ้าคุณ"
ขุนแผลงฤทธิ์เดินเลี่ยงไป
พลเทพพูดพึมพำ สายตาเหี้ยมเกรียม
"ตายด้วยน้ำมืออังวะเสียเถิดวะ อ้ายพระยาตาก"
บ่ายวันหนึ่ง
ทหารอังวะกำลังสู้รบกับทหารไทยอย่างดุเดือดกลางทุ่งกว้าง
ทหารอังวะมีจำนวนมากกว่าทหารไทย ทำให้ทหารไทยถูกรุมฆ่าไปคนแล้วคนเล่า แต่ทหารไทยก็สู้
ไม่ถอย ชนิดตายเป็นตาย
,มังมหานรธานั่งอยู่บนหลังม้า มีทหารกางร่มขนาดใหญ่ให้ แสดงถึงฐานะแม่ทัพใหญ่
ทหารไทยพยามสู้เต็มที่ แต่ทำร้ายทหารอังวะได้คนหนึ่ง ก็ถูกคนอื่นรุมเข้ามา จนทหารไทยถูกฆ่าตายจนหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
พอทหารไทยคนสุดท้ายตาย ทหารอังวะก็ชูมือ ชูดาบโห่ร้องลั่นไปทั่วบริเวณ
มังมหานรธามองไปรอบๆ หัวเราะชอบใจ
"ดีมาก ทหารของข้า มิเสียที ที่เป็นทหารใต้ร่มธงของมังมหานรธาผู้นี้"
ขณะนั้นเอง ก็มีทหารอังวะคนหนึ่ง ขี่ม้าเข้ามาหามังมหานรธา
"ท่านแม่ทัพขอรับ อโยธยามีทัพใหญ่ พลประมาณสองหมื่น กำลังเคลื่อนมาทางเรา คาดว่าไม่เกินครึ่งชั่วยามน่าจะถึงขอรับ"
มังมหานรธายิ้มพอใจ
"ออกคำสั่ง ถอยทัพทั้งหมด กลับเมืองทวาย"
ทหาร 2ตกใจ "ทหารเรากำลังฮึกเหิม เหตุใดให้ถอยทัพเล่าขอรับ"
"ที่ข้าล่วงเข้ามาในแดนอโยธยา ก็เพื่อต้องการหยั่งเชิงเท่านั้น แลเพลานี้ข้าก็ได้รู้แล้ว ไม่บังควร ที่เราจะรบให้เสียไพร่พลโดยไม่จำเป็น...กลับ"
มังมหานรธาชักม้ากลับ
พวกทหารอังวะก็เริ่มถอยทัพกลับตาม
10 วันผ่านมา ค่ายทหารพระเจ้ามังระ เมืองมณีปุระ
พระเจ้ามังระกำลังเดินดูสภาพภายในค่าย โดยมีอะแซหวุ่นกี้ และเหล่าขุนนางเดินตาม
มีขุนนางคนหนึ่งกำลังอ่านจดหมายของมังมหานรธาให้พระเจ้ามังระฟังด้วย
" ทหารหัวเมือง ยังนับว่าเข้มแข็งอยู่ แต่มีจำนวนน้อยเกินไป ส่วนทหารจากอโยธยาแม้มีจำนวนมาก
แต่ฝีมือไม่เข้มแข็งแลวินัยหย่อนยาน จึงเป็นโอกาสเหมาะ ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จะเสด็จลงมายึดครองอโยธยา เพื่อให้เป็นพระเกียรติยศสืบไป"
พระเจ้ามังระหัวเราะชอบใจ
"ฟังจากสาส์นของมังมหานรธาแล้ว ดูท่าว่าอโยธยาจะอ่อนแอกว่าตอนที่สมเด็จพ่อข้ายกทัพไปเสียอีก...
น่าสงสัยนัก ว่าผ่านมานานปี อโยธยามัวทำกระไรอยู่ เหตุใดไม่จดจำเป็นบทเรียนเสียบ้างเลย"
ขุนนาง 2 พนมมือ "หรือว่ามังมหานรธาจะประเมินอโยธยาต่ำเกินไปพระพุทธเจ้าข้า"
อะแซหวุ่นกี้บอก
"ไม่มีทาง มังมหานรธา กรำศึกมาค่อนชีวิต หากนับความสุขุมรอบคอบแล้ว ยังรอบคอบกว่าข้าเสียอีก ถ้าไม่มั่นใจ ไม่มีทางส่งสาส์นมาถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดอก"
ขุนนาง 2 พนมมือ "ถ้าเช่นนั้น ก็สมควรเสด็จไปนะพระพุทธเจ้าข้า การปราบกบฏเมืองมณีปุระนี้ คงจะสำเร็จในอีกไม่กี่วัน"
พระเจ้ามังระเงียบไปอย่างใช้ความคิด
"จากนั้นก็ยกทัพไปรวมกับทัพของมังมหานรธาแลเนเมียวสีหบดี อโยธยาคงไม่พ้นไปได้ พระเกียรติยศของพระองค์ ก็จะเสมอด้วย พระเจ้าชำนะสิบทิศพระพุทธเจ้าข้า" ขุนนาง 2 บอก
พระเจ้ามังระกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะตนเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่ขณะนั้นเอง พระเจ้ามังระ เห็นทหารกลุ่มหนึ่ง กำลังช่วยกันหาม แบก ทหารที่บาดเจ็บมา แล้วช่วยกันทำแผล หายาให้กิน สภาพทหารแต่ละคนดูอิดโรย อ่อนแรงมาก
พระเจ้ามังระมีสีหน้าเคร่งเครียด ดูกังวลขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าจืดจางไปทันที
ป่าใกล้ค่ายทหารพระเจ้ามังระ
ท้องฟ้ายามค่ำคืน พระเจ้ามังระกำลังใช้กิ่งไม้วาดแผนที่อยุธยาคร่าวๆ และวาดจุดตั้งทัพของกองทัพตนบนพื้นดิน โดยมีคบไฟ วางอยู่ใกล้ๆ
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้น พระเจ้ามังระชักปืนพกที่เหน็บเอวออกมาเล็งทันที
พระเจ้ามังระตวาดถาม "นั่นใคร"
อะแซหวุ่นกี้เดินเข้ามาหาพระเจ้ามังระ พนมมือ
"ข้าพระพุทธเจ้าเองพระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้าเองรึ อะแซหวุ่น" พระเจ้ามังระเหน็บปืนกลับที่เดิม "รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่"
"ข้าพระพุทธเจ้าไปเข้าเฝ้าที่พลับพลามา แต่พระองค์ไม่ทรงประทับอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจึงคาดเดาเอาว่าอาจจะอยู่ที่นี่ เหมือนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ เพลามีเรื่องยุ่งยากใจ พระองค์มักทรงเก็บองค์อยู่เพียงพระองค์เดียวพระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระหัวเราะชอบใจ
"สมแล้ว ที่เจ้าเห็นข้ามาแต่เล็กแต่น้อย จะหาผู้ใดรู้ใจข้าเช่นเจ้าเป็นไม่มี"
อะแซหวุ่นกี้มองไปที่ภาพแผนที่บนพื้น
"พระองค์ทรงกำลังวางแผนเข้าตีอโยธยาอยู่หรือพระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระพยักหน้ารับ "ใช่ แต่ข้าไม่คิดไปด้วยตัวเองดอกนะ"
"ทำไมเล่า พระองค์ไม่ทรงหวังในพระเกียรติยศหรือพระพุทธเจ้าข้า"
" เกียรติยศ อันแลกมาด้วยความเสื่อมโทรมของอังวะอย่างนั้นรึ"
"หมายความว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า"
"พระเจ้าชำนะสิบทิศใช้กองทัพอันยิ่งใหญ่พิชิตอโยธยาได้ก็จริง แต่ก็เสียทั้งไพร่พลแลทรัพย์สินมหาศาล พอเสด็จสวรรคต หงสาวดีก็อ่อนแอลงทันที ข้าไม่อยากให้อังวะเป็นเช่นนั้น แลอาณาเขตของพุกามประเทศก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก จะเอาอโยธยามาเพิ่มอีกทำกระไร"
อะแซหวุ่นกี้คิดตามอยู่ครู่นึง
"พระองค์จะทรงบุกอโยธยา แต่ไม่ทรงคิดยึดครองอย่างนั้นหรือพระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระยิ้มพอใจ
"ข้าบอกแล้ว ว่าไม่มีผู้ใดรู้ใจข้าเกินเจ้า มาเถิด มาวิจารณ์แผนการของข้าดูสักหน่อย ว่าถูกผิดประการใดบ้าง"
พระเจ้ามังระใช้กิ่งไม้ชี้ไปตามจุดต่างๆแล้วอธิบายแผนให้อะแซหวุ่นกี้ฟัง
ทั้งคู่หารือกันอย่างเคร่งเครียด
ผ่านมา 10 กว่าวัน ค่ายทหารมังมหานรธา
มังมหานรธากับเหล่าทหารกำลังนั่งคุกเข่าพนมมือ ฟังพระบรมราชโองการของพระเจ้ามังระ
ที่ให้ทหารถือมาอ่านให้ฟัง
" ด้วยอังวะกรำศึกมานานปี แลเพลานี้ก็มีกบฏเมืองมณีปุระอยู่ จึงไม่ควรที่จะจัดทัพกษัตริย์ให้ลำบากแก่อาณาประชาราษฎร์อีก ฉะนั้น การศึกอโยธยาจึงขอให้เป็นหน้าที่ของแม่ทัพมังมหานรธา"
ทางด้านเนเมียวสีหบดีกับเหล่าทหารกำลังนั่งคุกเข่าพนมมือ ฟังพระบรมราชโองการของพระเจ้ามังระอยู่เช่นกัน
" ...กับแม่ทัพเนเมียวสีหบดี จงยกทัพลงมาพร้อมกัน บีบอโยธยาให้อยู่ตรงกลาง แต่ศึกนี้ มิใช่เพื่อยึดครองอโยธยา หากแต่..."
มังมหานรธา ฟังพระบรมราชโองการอย่างตั้งใจและคิดตาม
" ...เป็นการทำลายอโยธยา มิให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นเสี้ยนหนามต่ออังวะได้อีก..."
เนเมียวสีหบดี ฟังพระบรมราชโองการอย่างตั้งใจและคิดตาม
" ...อโยธยามีชัยภูมิเหมาะแก่การตั้งรับ แลทัพทั้งสองมีเพียงสี่หมื่น แม้จะส่งกำลังมาเพิ่มให้ทัพของมังมหานรธาอีกหนึ่งหมื่น ก็มีเพียงห้าหมื่น ไม่อาจหักเข้าอโยธยาได้โดยเร็ว"
มังมหานรธา ฟังพระบรมราชโองการอย่างตั้งใจและคิดตาม
" ...ฉะนั้น จึงต้องใช้แผนการรบยืดเยื้อ ทัพทั้งสองจงสะสมเสบียงไว้ให้มาก แล้วเคลื่อนพลในหน้าหนาวนี้
เพื่อจะได้มีเวลาทำศึกนานขึ้น"
เนเมียวสีหบดี ฟังพระบรมราชโองการอย่างตั้งใจและคิดตาม
" ...ระหว่างเดินทัพ ให้หลีกเลี่ยงการปะทะกับทัพใหญ่ แต่ให้โจมตีเมืองเล็กที่อ่อนแอเพื่อรวบรวมเสบียง
เมืองใดยอมอ่อนน้อม ให้ยึดเสบียงแลข้าวของ แต่ห้ามทำร้ายผู้คนโดยเด็ดขาด"
มังมหานรธา ฟังพระบรมราชโองการอย่างตั้งใจและคิดตาม
" ...แต่หากเมืองใดขัดขืน ให้ฆ่าสิ้นเสียทั้งเมือง อย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง แลทัพทั้งสองนั้น ให้เป็นสิทธิขาดแก่แม่ทัพ แต่แม้จะมีอิสระต่อกัน ก็จงประสานกันให้ดี อย่าชิงดีชิงเด่นให้เสียการเป็นอันขาด"
ทั้งมังมหานรธา และเนเมียวสีหบดี
ต่างพนมมือไหว้ขึ้นเหนือหัว พร้อมกัน
"รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า"
ผ่านมา 10 กว่าวัน
กรุงศรีอยุธยายามเย็น ยังดูสงบร่มเย็น ผู้คนพูดคุย ยิ้มแย้มทักทายกันตามปกติ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจ้าจอมเพ็ญนั่งพับเพียบอยู่บนตั่ง ดูกระดาษเขียนรูปกระทงที่ทำอย่างสวยงาม วิจิตรพิสดาร เพื่อจะใช้ลอยในงานลอยพระประทีปประจำปี ซึ่งขันทองเอามาให้ดู โดยมีเลื่อนนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับขันทอง
ขันทองนั่งนิ่งๆ สีหน้าเคร่งเครียดเหม่อลอย
"งามนัก งานลอยพระประทีปปีนี้ กระทงของข้าต้องงามกว่าทุกผู้คนเป็นแน่ จริงหรือไม่นังเลื่อน"
เลื่อนประจบประแจง
"พุทโธ่ อย่าถามบ่าวเลยเจ้าค่ะ ใครเล่าจะกล้าแข่งบารมีกับหม่อมแม่ ข้อนี้ก็ประจักษ์กันอยู่แล้วเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม ยื่นกระดาษเขียนรูปให้ขันทอง
"คุณพระไปบอกช่าง ว่าฉันพอใจมาก ถึงงานลอยพระประทีปเมื่อใดก็ทำตามนี้ได้เลย สำคัญว่าต้องให้ฉันคนเดียวเท่านั้น อย่าทำให้ผู้อื่นเป็นอันขาด"
ขันทองเหม่อลอย นั่งนิ่ง ไม่ได้ยินที่เจ้าจอมเพ็ญพูด
เจ้าจอมเพ็ญกับเลื่อนพากันแปลกใจ
"ออกพระศรี ออกพระศรีเจ้าคะ"
ขันทองเพิ่งรู้สึกตัว "เจ้าค่ะ เอ่อ ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มขำๆ
" วันนี้คุณพระดูแปลกนัก ฉันไม่เคยเห็นคุณพระเหม่อลอยเช่นนี้เลย"
" ดีฉันทราบข่าวการศึกมา ว่าทัพอังวะทั้งสองยังอยู่ที่ทวายแลเชียงใหม่ นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ยังไม่ยกทัพกลับ จึงกังวลว่าทัพทั้งสองจะคิดเข้าโจมตีอโยธยาเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญ และเลื่อนหัวเราะกับคำพูดขันทอง
ขันทองแปลกใจ "หัวร่อทำไมหรือเจ้าคะ"
เลื่อนยิ้มแย้ม
"จะไม่ให้หัวร่อได้อย่างไรเจ้าคะ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของฝ่ายหน้า ไม่ใช่โกงการของฝ่ายในเรา คุณพระเอามาคิดทำไมเจ้าคะ"
"เมื่อเกิดศึก ย่อมเดือดร้อนกันถ้วนทั่วทุกตัวคน จะแบ่งแยกฝ่ายในฝ่ายหน้าอีกรึแม่เลื่อน"
"อโยธยามีเทวดาอารักษ์ พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองคอยปกปักรักษาอยู่ คราศึกพระเจ้าอลองพญา คุณพระยังไม่เข้ารับราชการจึงไม่รู้ ครานั้นถึงขั้นล้อมเมืองแลระดมยิงปืนใหญ่เข้ามา แล้วเป็นอย่างไร ปืนใหญ่แตกจนพระเจ้าอลองพญาสวรรคต ไม่เรียกว่าบุญบารมีแล้วจะเรียกว่ากระไร"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ
" ขนาดเป็นกษัตริย์เสด็จมาด้วยพระองค์เอง ยังสู้บุญของอโยธยามิได้ แล้วนี่เพียงแต่แม่ทัพสองคนยกมา เห็นทีจะป่วยตายกลางทางก่อนเห็นกำแพงเมืองอโยธยาเป็นแน่เจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญกับเลื่อนหัวเราะชอบใจ
ขันทองกระอักกระอ่วนใจมาก ถึงขนาดนี้ยังงมงายกันไม่เลิก แถมไม่รู้สำนึกอะไรทั้งนั้น แต่จะพูดมากกว่านี้ก็ไม่ได้ ได้แต่อึดอัดอยู่
ขณะนั้นเอง จมื่นศรีสรรักษ์ก็เดินเข้ามาหา
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มทักทาย
"อ้าว คุณพระนาย มีกระไรรึ ถึงมาหาพี่ได้"
จมื่นศรีสรรักษ์ไหว้
"กระผมเพียงแต่คิดถึงคุณพี่เท่านั้น ไม่มีกระไรสำคัญดอกขอรับ" แล้วหันไปพูดกับขันทอง "คุณพระศรีมีธุระกับคุณพี่เจ้าจอมรึ ฉันมาใหม่ก็ได้"
"มิได้เจ้าค่ะ หน้าที่ของดีฉันเสร็จแล้ว ดีฉันจะไปทำตามที่เจ้าจอมสั่งนะเจ้าคะ กราบลาเจ้าค่ะ" ขันทองไหว้ลา
ขันทองคลานเข่าเลี่ยงออกมา ก่อนจะออกจากห้องไป
"มีกระไรรึคุณพระนาย เหตุใดถึงต้องไล่ออกพระศรีทางอ้อมด้วย"
จมื่นศรีสรรักษ์หันไปพูดกับเลื่อน
"นังเลื่อน ไปปิดประตูหน้าต่างให้หมด"
"เจ้าค่ะ"
เลื่อนลุกออกไป
เลื่อนกำลังปิดประตู หน้าต่างตามที่จมื่นศรีสรรักษ์สั่ง
ขันทองแอบดูอยู่ด้วยความสงสัย พอจมื่นศรีสรรักษ์ไล่ตนออกมา ก็นึกแล้วว่าต้องมีอะไรซักอย่าง พอเห็นเลื่อนปิดประตูหน้าต่าง ก็ยิ่งมั่นใจ
ท้องฟ้ายามค่ำคืน
เจ้าจอมเพ็ญใช้ผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า แล้วรีบเดินไป
ขันทอง และแน่น แอบมองอยู่ ขันทองใส่ชุดรัดกุม แบบเตรียมจะลอบออกจากวัง
"จริงอย่างที่เอ็งบอก ย้ายพวกโขลนแลทหารไปทางอื่น เพื่อจะได้หลบออกไปโดยง่าย"
"ถึงอย่างไร ก็คงมีคนของจมื่นศรีสรรักษ์รออยู่ข้างนอกอยู่ดี ไม่กล้าออกจากวังไปคนเดียวดอก" ขันทองตบบ่าแน่น "ข้าจะตามไปเอง เอ็งจัดการทางนี้ให้ข้าด้วย"
"ไว้ใจข้าเถิด"
ขันทองรีบสะกดรอยตามเจ้าจอมเพ็ญไปทันที
ขันทอง เห็นเจ้าจอมเพ็ญ พระยาพลเทพ และจมื่นศรีสรรักษ์ มาถึงกระท่อมร้างกลางป่าซึ่งเป็นที่นัดพบกับขรัวเถื่อนชาวมอญ
โดยมีลูกน้องพระยาพลเทพถืออาวุธครบมือ ล้อมกระท่อมอยู่ก่อนแล้ว
เจ้าจอมเพ็ญ พระยาพลเทพ และจมื่นศรีสรรักษ์ เดินเข้าไปในกระท่อม
พวกลูกน้องก็เฝ้ากระท่อมอยู่ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรนัก จับกลุ่มคุยกัน เอาเหล้าที่พกติดตัวมาแบ่งกันกินแก้หนาว
ขันทอง ซุ่มดูอยู่ห่างออกไปพอสมควร อยากรู้มากว่าทั้งสามคนเข้าไปทำอะไร แต่มีลูกน้องล้อมอยู่ เลยเข้าไปไม่ได้
ขันทองคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเศษใบไม้ใบหญ้าบนดินขึ้นมา แล้วปล่อยออกเพื่อดูทิศทางลม พอรู้ทางลมก็รีบเดินอ้อมไปที่หลังกระท่อมทันที
ที่หลังกระท่อม มีลูกน้องอยู่คนเดียวนั่งเฝ้าอยู่
ขันทองหมอบหลบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ห่างนัก ขันทองหยิบไม้ซางเล็กๆออกมา แล้วเล็งไปที่ลูกน้องคนนั้น ก่อนจะพ่นควันขาวๆออกจากไม้ซาง
ซักพัก ลูกน้องคนนั้นก็เริ่มสะลึมสะลือ ก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะควันยาสลบ
ขันทองรีบออกจากที่ซ่อน แล้วเปิดหน้าต่างค่อยๆเพื่อแอบดูข้างใน
เห็นเจ้าจอมเพ็ญกำลังนั่งพับเพียบ พนมมือ ให้ขรัวเถื่อนชาวมอญ ใช้เทียนจุ่มน้ำมนต์ แล้วเขียนอักขระลงบนใบหน้าของเจ้าจอมเพ็ญ พร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย
โดยมีพระยาพลเทพ และจมื่นศรีสรรักษ์นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
ขันทองตกใจสุดๆ ที่เห็นกับตาว่าเจ้าจอมเพ็ญกำลังทำเสน่ห์ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงของชาววัง
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ขันทองตกใจที่มีคนกำลังมาทางตน เลยรีบหนีไปทันที
ขณะนั้นเอง ลูกน้องพระยาพลเทพอีกคนก็เดินมา พอเห็นเพื่อนกำลังหลับอยู่ก็ตกใจ
" อ้ายชม"
อ้ายชมงัวเงียตื่นขึ้น โดนยาของขันทองเข้าไปยังมึนๆอยู่
"อ้ายสันหลังยาว มาหลับกระไรตรงนี้วะ ประเดี๋ยวก็โดนท่านเจ้าคุณลงโทษเอาดอก" แล้วฉุดแขนเพื่อนขึ้นมา "ไป ไปล้างหน้าล้างตาเสีย"
ลูกน้องเดินงงๆมึนๆจากไป
ในกระท่อม ขรัวเถื่อนลงคาถาเสร็จ เจ้าจอมเพ็ญก็ก้มลงกราบ
ขรัวเถื่อนสีหน้าจริงจัง น่าเกรงขราม
"เรื่องลูก ข้าจะดูฤกษ์ให้อีกทีถึงค่อยทำพิธี ส่วนที่ข้าลงคาถา มหาเสน่ห์ให้ครานี้ ภายในกึ่งปี เอ็งไม่ต้องมาหาข้าอีก แลข้าก็จะไปธุดงค์ มีกระไร ก็ฝากเจ้าคุณพลเทพมาก็แล้วกัน"
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
ศรีสรรักษ์หมั่นไส้
"ไปธุดงค์ ไม่กลัวศึกสงครามหรือขอรับขรัวตา พวกอังวะ ก็ใช่จะชอบคนมอญอย่างขรัวตานะขอรับ"
ขรัวเถื่อนตะคอก
"คนอย่างข้า ไม่กลัวคมดาบคมหอกดอกโว้ย หรือเอ็งจะลอง"
" อย่าโมโหโกรธาไปเลยเจ้าค่ะขรัวตา น้องชายฉันพูดโดยไม่ยั้งคิด ไม่มีกระไรดอกเจ้าค่ะ"
ขรัวเถื่อนหน้าหงิกงอไม่พอใจ
ส่วนจมื่นศรีสรรักษ์ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ชอบขี้หน้าเหมือนกัน
" พูดถึงเรื่องการศึกแล้ว กระผมอยากให้ขรัวตาช่วยดูดวงชะตาเมืองให้ทีเถิด ว่าศึกนี้จะมีผลอย่างไรบ้าง" พระยาพลเทพบอก
"พูดเรื่องแพ้ชำนะนั้น ข้าไม่ขอทำนาย แต่ข้าบอกได้เพียงแค่" ขรัวเถื่อนชี้หน้าเจ้าจอมเพ็ญ
"ชะตาของเจ้าจอมต้องยิ่งใหญ่เหนือทุกผู้คน มิว่า อโยธยาจะเป็นของผู้ใด ก็ไม่อาจขวางความจำเริญรุ่งเรือง
ของเจ้าจอมได้"
เจ้าจอมเพ็ญดีใจมาก ได้คำทำนายแบบนี้ ก็ยิ่งมั่นใจในวาสนาตัวเองมากขึ้นไปอีก
ขันทองเปลี่ยนชุดแล้ว เดินกลับขึ้นมาบนเรือนมากลางดึก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดครุ่นคิดตลอดเวลา
... เจ้าจอมเพ็ญกำลังนั่งพับเพียบ พนมมือ ให้ขรัวเถื่อนชาวมอญ ใช้เทียนจุ่มน้ำมนต์ แล้วเขียนอักขระลงบนใบหน้าของเจ้าจอมเพ็ญ พร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย โดยมีพระยาพลเทพ จมื่นศรีสรรักษ์นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ...
ขันทองยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นทุกที
...
สับปะเหร่อกลัวสุดๆ
"เมื่อสิบปีก่อน ฉันพบรอยช้ำที่คอศพแสดงว่ามีคนบีบคอแลจับกดน้ำจนตาย แต่มีคนขู่ฉัน มิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ฉันจึงต้องบอกว่าฆ่าตัวตายจ้ะ"
ขันทองเดินหน้าเครียด ใช้ความคิดตลอดเวลา
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเยื้อนดังขึ้น
" คุณพระเจ้าคะ"
ขันทองตกใจเล็กน้อย หันไปมองตามเสียง เห็นเยื้อนยืนมองตนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ผิดปกติ
ขันทองแปลกใจ "ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ยังไม่นอนอีกรึ"
เยื้อนจริงๆแล้วหึงหวง แต่บอกเลี่ยงว่า "คุณพระยังไม่กลับ บ่าวจะกล้านอนได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ"
" เจ้าจะอยู่รอฉันทำกระไร ฉันก็ออกไปตรวจตราตามหน้าที่ เป็นเช่นนี้มานานแล้วไม่ใช่รึ"
" ตรวจตรา วันนี้ไม่ใช่เวรคุณพระเสียหน่อย ไปตรวจตราถึงที่ใดมาหรือเจ้าคะ"
ขันทองหน้าบึ้งทันที กิริยาท่าทาง น้ำเสียงของเยื้อน บอกได้ว่ากำลังประชดตนอยู่
"เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ากระไร"
" บ่าวก็ไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณพระดอกเจ้าค่ะ แต่การเลี้ยงลูกสวาทนั้น แม้จะเลี้ยงไว้ข้างนอกวัง ก็ถือว่ามีความผิดอยู่ดีนะเจ้าคะ"
ขันทองโมโห หน้าตาถมึงทึงน่ากลัว เสียงดัง ดุ "เยื้อน"
เยื้อนเห็นขันทองโกรธจริงก็ชักกลัว คุกเข่าลง "ขอประทานโทษเจ้าค่ะ"
" ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินที่เจ้าพูด แต่อย่าแสดงกิริยาวาจาเช่นนี้ให้ฉันเห็นอีก จำเอาไว้"
ขันทองเดินเข้าข้างในไปด้วยความไม่พอใจ
เยื้อนมองตามด้วยความไม่พอใจเช่นกัน ยิ่งขันทองแสดงท่าทีอย่างนี้ ตนก็ยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้นทุกที
แน่นกำลังตกใจ เสียงดัง หลังจากฟังเรื่องที่ขันทองเล่า
"ทำเสน่ห์"
แน่นกำลังเดินคุยกับขันทองอยู่ที่มุมหนึ่งในวัง
ขันทองปราม
"อ้ายแน่น จะเรียกคนมาฟังทั้งวังหรือกระไร"
แน่นจ๋อย เสียงอ่อย
"ยกโทษเถิดวะ ข้าตกใจนัก ไม่คิดว่าคนงามอย่างเจ้าจอมเพ็ญจะต้องทำเสน่ห์เล่ห์กล ข้ารู้ดอกนะ ว่าเจ้าจอมเป็นคนร้ายกาจ แต่ไม่คิดว่าจะกล้าถึงขนาดนี้ ไม่กลัวโทษยี่สิบเอ็ดสถานบ้างหรืออย่างไรวะ"
" แต่ที่ข้าสงสัย คือเจ้าจอมเพ็ญทำเสน่ห์มานานเพียงใดแล้ว แลเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่ข้าด้วยหรือไม่"
"เกี่ยวกับแม่เอ็ง เหตุใดคิดอย่างนั้นวะ"
" แม่ข้าถูกใส่ความว่าแอบวางยาพระพุทธเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า จากนั้น แม่ข้าก็หนีจากคุก แลมาฆ่าตัวตายที่อ่างแก้ว ความนี้คนในวังรู้กันทั่ว แต่สับปะเหร่อที่ข้าไปพบ บอกว่าแม่ข้าถูกฆ่าตายเพราะมีรอยช้ำที่คอ"
" โทษวางยาสมเด็จเจ้าฟ้านั้นหนักนะ อย่าว่าแต่แม่เอ็งซึ่งเป็นหญิงไม่มีวิชาเลย ต่อให้แม่ทัพชาญศึก ก็ไม่มีทางหนีออกจากคุกมาได้ ย่อมแสดงว่ามีคนช่วยแม่เอ็งหนี เพื่อเอาแม่เอ็งมาฆ่าปิดปากตามที่สับปะเหร่อบอก ... เอ็งสงสัย ว่าเป็นฝีมือเจ้าจอมเพ็ญ"
ขันทองพยักหน้ารับ
"ใช่ เจ้าจอมเพ็ญทั้งเกลียดทั้งกลัวอ่างแก้วนัก แม้แต่เดินผ่านยังไม่ยอม นี่เป็นพิรุธข้อหนึ่ง"
แน่นฟังคิดตามพร้อมพยักหน้ารับ
"แลข้ารู้มาว่าก่อนถวายตัว เจ้าจอมเพ็ญเคยเป็นข้าหลวงในบังคับของแม่ข้ามาก่อน ไม่แน่ ว่าแม่ข้าอาจจะรู้เห็นเรื่องทำเสน่ห์เข้า จึงต้องใส่ความ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงการคาดการณ์ของข้า ถ้าจะให้แน่นอน เราต้องรู้มากกว่านี้"
"จะรู้ได้อย่างไรวะ เรื่องเช่นนี้ ก็มีแต่เจ้าจอมเพ็ญเท่านั้นที่รู้ แล้วมีหรือจะยอมเล่าความจริง"
ขันทองได้ยินเสียงคนเดินมา รีบพูดขึ้น "เงียบก่อน"
แน่นรีบเงียบทันที
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินคุยกับเป้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผ่านมา
เป้าเห็นขันทอง แน่น ยิ้มทักทาย
"คุณพระศรี ท่านขุนจิต บังเอิญจริง วันนี้ได้เจอพร้อมกันเสียด้วย"
แน่นยิ้มแย้ม "ฉันกำลังคุยข้อราชการกับคุณพระศรีอยู่ แล้วแม่เป้าเล่า เหตุใดถึงมากับแม่แมงเม่าได้ หรือกรมขุนวิมลท่านให้แม่แมงเม่ามาแก้กลบทถวายอีก"
"ไม่ใช่ดอกเจ้าค่ะ กรมขุนท่านชวนฉันมาถือศีลแปดสามวัน เพื่อถวายพระพุทธเจ้าอยู่หัวต่างหากเจ้าคะ"
"จริงซี ฉันลืมไปเลย ว่าฝ่ายในทั้งหมด ร่วมกันถือศีลแปดเพื่อถวายพระองค์ท่าน"
ขันทองมองไปที่แมงเม่าแล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
แน่นกำลังเดินคุยมากับเป้าตามทางเดินในวัง
"ออกพระศรีนี่พิกลนัก จู่ๆก็ใช้ให้ฉันกับท่านขุนมาเอาของหวานไปถวายกรมขุนวิมลท่านเสียอย่างนั้น เรื่องเช่นนี้ ฉันมาคนเดียวก็ได้"
แน่นยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ออกพระศรีขันทิน คงอยากให้ฉันกับแม่เป้าได้อยู่ใกล้ชิดกันกระมังจ๊ะ"
เป้าหัวเราะคิกๆ
"ท่านขุนก็พูดให้ขำ นี่ถ้าคนไม่รู้มาได้ยินเข้า คงนึกว่า ท่านขุนเกี้ยวฉันเป็นแน่"
แน่นชักทะแม่งๆ
"แล้วแม่เป้าไม่คิดว่าฉันเกี้ยวรึ"
" จะคิดเข้าไปได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านขุนกับฉัน ก็เหมือนเป็นหญิงด้วยกัน แล้วจะเกี้ยวฉันได้อย่างไรเจ้าคะ"
เป้ายิ้มขำๆ ปล่อยมือแน่น แล้วเดินเลี่ยงไป
แน่นเกาหัว เซ็งๆ "ควรจะดีใจ หรือเสียใจดีวะ"
แน่นถอนใจแล้วเดินตามเป้าไปด้วยความผิดหวังเสียดาย
แมงเม่ากำลังตกใจ
" ไม่เจ้าค่ะ ฉันไม่มีวันอยู่กับเจ้าจอมเพ็ญตามลำพังเป็นอันขาด"
ขันทองกำลังคุยกับแมงเม่าอยู่
ขันทองสงสัย
"ทำไมรึ หรือเจ้าจอมเคยทำกระไรเจ้า"
แมงเม่าอึกๆอักๆ "เอ่อ" แล้วรีบตัดบท "ทีเรื่องของคุณพระ ยังไม่ให้ฉันถามเลย เรื่องของฉัน คุณพระก็อย่าถามเลยเจ้าค่ะ"
ขันทองอ้อนวอน
"ไม่ถามก็ได้ แต่ถือว่าช่วยฉันสักคราเถิด เรื่องนี้ ฉันทำเองไม่ได้ มีแต่เจ้าที่อาศัยช่วงถือศีลสามวันนี้ถึงจะทำได้"
" ฉันก็ทำไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ แลหากจะฝืน ก็ยิ่งเป็นพิรุธเสียอีก คุณพระไปหาคนอื่นเถิดเจ้าค่ะ"
"ไม่มีผู้ใด ที่ฉันจะไว้ใจเท่าเจ้าอีกแล้ว แลฉันไม่มีวันให้เจ้าเป็นอันตรายดอก ขอเพียงเจ้าทำตามแผนฉันเท่านั้น"
" แล้วมันเรื่องกระไร คุณพระถึงได้อยากรู้เรื่องคุณท้าวสาลิกานักเล่าเจ้าคะ"
"เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคน สักวัน ฉันจะเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันขอเถิดนะแม่แมงเม่า ช่วย
ฉันสักคราเถิด ฉันให้สัญญา ว่าหากเจ้าช่วยฉัน ฉันจะยอมทำตามที่เจ้าต้องการทุกอย่างหนึ่งครั้ง ไม่ว่าเจ้าจะอยากให้ฉันทำกระไร ฉันจะไม่บิดพลิ้วเลย"
แมงเม่าอึกๆอักๆ ลังเลไม่รู้จะเอาไงดี
ในหอพระ พระประธานองค์ใหญ่สวยงาม
หอพระ คือห้องพระขนาดใหญ่ ยิ่งในวัง ยิ่งมีขนาดใหญ่ประมาณอุโบสถในวัด
กรมขุนวิมลภักดีกำลังนำทุกคน ทั้งแมงเม่า เจ้าจอมเพ็ญ เป้า เจ้าจอมอำพัน
คุณท้าวโสภา เลื่อน เจ้าจอมคนอื่นๆ และข้าหลวงคนอื่น ก้มลงกราบพระประธาน โดยทุกคน
นุ่งขาวห่มขาว เหมือนกันหมด เพราะต้องถือศีลแปดเป็นการถวายเป็นพระราชกุศล
"ขอบน้ำใจทุกคนมากนะจ๊ะ ที่มาร่วมถือศีลแปดกับฉัน แลเมื่อเราทุกคนตั้งใจแล้ว ก็ขอ
อย่าให้มีอุปสรรคใดมารบกวนพวกเราได้เลย"
ทุกคนไหว้พร้อมกัน "ขอบพระทัยเพคะ"
เจ้าจอมอำพันบอก "เอ้า ใกล้จะเพลแล้ว รีบแยกย้ายกันไปกินสำรับเสียเถิด ประเดี๋ยวเลย
เพลขึ้นมา กว่าจะได้กินอีกทีก็วันพรุ่ง จะมีคนศีลขาดเสียก่อน"
ทุกคนพากันยิ้มแย้ม ขำที่เจ้าจอมอำพันแซว
แมงเม่าลุกขึ้นแล้วเดินผ่านหน้าเจ้าจอมเพ็ญ โดยทำเหมือนปกติ ไม่มีพิรุธอะไร
แต่ทันใดนั้น แมงเม่าก็เป็นลม ทรุดร่วงลงไปกับพื้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
กรมขุนวิมลภักดีตกใจ รีบเข้าไปดูอาการ
"เจ้าแมงเม่า"
เป้ารีบเข้าไปประคองที่นอนอยู่กับพื้นขึ้นมา
"แม่แมงเม่าเป็นลม ใครพอมียาดมบ้างจ๊ะ"
คุณท้าวโสภาหยิบตลับใส่ยาดมขึ้นมายื่นให้
"เอ้า เอาของฉันไปก่อน"
เป้าเอาตลับใส่ยาดมมาให้แมงเม่าดม
เจ้าจอมอำพันแปลกใจ
"เมื่อครู่ก็ยังดีๆอยู่ จู่ๆเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาได้อย่างไรกันล่ะนี่"
ฝ่ายเจ้าจอมเพ็ญรำคาญ กำลังจะลุกขึ้น
"ไปเถิดนังเลื่อน หาใช่โกงการของเราไม่"
ขาดคำ แมงเม่าลืมตาโพลง ! แล้วลุกขึ้นนั่งพับเพียบ ด้วยท่าทางสง่างาม หลังเหยียดตรง วางมือไว้บนตักอย่างเรียบร้อย
ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
แมงเม่ายิ้มบางๆ ปรายตามองไปทางเจ้าจอมเพ็ญ
"จะไปแล้วหรือแม่เพ็ญ ไม่อยู่คุยกันสักหน่อยหรือ"
เจ้าจอมเพ็ญชักสีหน้าไม่พอใจทันที ที่แมงเม่าพูดจาเหมือนตีตนเสมอ
เลื่อนโมโห รีบออกรับทันที
"จะมากไปเสียแล้ว กล้าดีอย่างไร มาพูดจาอย่างนี้กับหม่อมแม่ อยากจะหลังลายรึ"
" ขอประทานโทษเถิด ฉันลืมไป ว่าเพลานี้แม่เพ็ญได้เป็นเจ้าจอมแล้ว คงจะพูดจาเหมือนคราที่แม่เพ็ญเป็นข้าหลวงที่ฉันดูแลอยู่ไม่ได้อีก"
ทุกคนยิ่งงงกันหนัก
กรมขุนวิมลภักดีงงมาก
"พูดกระไรกันนี่ เจ้าแมงเม่า"
เจ้าจอมเพ็ญมองแมงเม่าด้วยความแปลกใจสุดๆ
" ทำไมมองฉันอย่างนั้นเล่า จำฉันไม่ได้หรือแม่เพ็ญ ฉัน สาลิกา อย่างไรเล่า"
ทุกคนตกใจสุดๆกับคำพูดของแมงเม่า
คุณท้าวโสภาออกอาการกลัวสุดๆกว่าใคร
"ผีคุณท้าวสาลิกาเข้าแม่แมงเม่า"
คุณท้าวโสภากลัวมาก รีบเข้าไปกอดเจ้าจอมอำพันที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าจอมอำพันก็กลัวพอกัน ทั้งคู่เลยกอดกันกลม
เจ้าจอมเพ็ญกลัว แต่ทำกลบเกลื่อน
"ผีกระไรกัน ที่นี่เป็นหอพระ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร"
ขาดคำ แมงเม่าก็จับมือเจ้าจอมเพ็ญ
เจ้าจอมเพ็ญสะดุ้งเฮือกตกใจ
คนอื่นก็กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
" แม่เพ็ญ ฉันหิวเหลือเกิน วานแม่ช่วยหาฟักเขียวต้มโรยปลาแห้งป่นให้ฉันกินแก้หิวสักหน่อยเถิด"
เจ้าจอมเพ็ญช็อกสุดๆ ที่พูดมาคืออาหารจานโปรดของคุณท้าวสาลิกาที่ไม่น่าจะมีใครรู้
ถึงกับพึมพำออกมาเบาๆ "คุณท้าวสาลิกา"
ย้อนเวลากลับไป ขันทองกำลังคุยกับแมงเม่า หลังจากแมงเม่ายอมรับปากช่วยขันทอง
" คุณท้าวสาลิกา เป็นลูกครึ่งโต้ระกี่กับคนไทย มีกิริยามารยาทงดงาม มีสง่าราศี แต่ก็เป็นคนใจคอ
เข้มแข็ง ทำให้ดูเด็ดขาดอยู่ในที"
แมงเม่ารับฟังอย่างตั้งใจและจดจำ
" เออ คุณท้าวสาลิกาชอบกินฟักเขียวต้มโรยปลาแห้งป่นนัก กินได้ไม่มีเบื่อ สิ่งเหลานี้ เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจอย่าผิดพลาดเป็นอันขาด"
" ฉันจำไม่พลาดดอกเจ้าค่ะ แต่จะให้เลียนแบบกิริยาคุณท้าวสาลิกาจากคำบอกปากเปล่าของออกพระโดยไม่เคยเห็นตัวนั้น ฉันทำไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ"
ขันทองคิดอยู่ครู่นึง
"เจ้าจอมเพ็ญ เพลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น กิริยาท่าทาง หรือแม้แต่วิธีพูดจาของเจ้าจอมเพ็ญเหมือนกับคุณ ท้าวสาลิกานัก ฉันไม่แน่ใจ ว่าเจ้าจอมเพ็ญเลียนเยี่ยงคุณท้าวสาลิกามาหรือไม่ แต่เจ้าจอมเคยเป็นข้าหลวงที่คุณท้าวสาลิกาดูแลมาก่อน ก็อาจเป็นได้ ฉะนั้น เจ้าเลียนแบบกิริยาเจ้าจอมเพ็ญก็ใช้ได้แล้ว"
แมงเม่าคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง
แมงเม่ายิ้มบางๆ เลียนแบบท่าทางคุณท้าวสาลิกาทุกคนเชื่อสนิท
เจ้าจอมเพ็ญเองก็กลัวจนหน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
เป้ากลัวมาก พนมมือไหว้
"คุณท้าวเจ้าขา คุณท้าวอย่ามาเข้าสิงแม่แมงเม่าเลยนะเจ้าคะ ถ้าต้องการสิ่งใด ก็ขอให้คุณท้าวบอกมา พวกอีฉันจะทำบุญไปให้เจ้าค่ะ"
"ฉันไม่ต้องการสิ่งใดดอก เพียงแต่ในอ่างแก้วหนาวเย็นนัก แลฉันไม่รู้ว่าฉันตายได้อย่างไร จึงไปไหนไม่ได้ แม่เพ็ญช่วยสงเคราะห์บอกฉันทีเถิด ว่าฉันตายได้อย่างไร"
เจ้าจอมเพ็ญกลัวสุดๆจนหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออก
เลื่อนกลัวสุดๆ เข้าไปจับมือเจ้าจอมเพ็ญไว้ พูดตะกุกตะกักด้วยความกลัว
"หม่อมแม่ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ผีคุณท้าว มาทวงชีวิตแล้วเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญตะคอก " หุบปาก นังเลื่อน"
เลื่อนกลัวจนปากคอสั่น ทั้งกลัวเจ้าจอมเพ็ญ ทั้งกลัวผี จนไม่กล้าพูดอะไรอีก
เจ้าจอมอำพันว่า
"นี่มันกระไรกัน ก็คุณท้าวฆ่าตัวตายที่อ่างแก้วเองไม่ใช่รึ แล้วจะไม่รู้ว่าตัวเองตายอย่างไรได้กระไร"
" ว่าอย่างไรแม่เพ็ญ ฉันตายได้อย่างไร แม่บอกมาทีเถิด"
เจ้าจอมเพ็ญกลัวสุดๆ ทำอะไรไม่ถูกแถมโดนรุกหนัก ทันใดนั้น ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
เจ้าจอมเพ็ญแกล้งกรีดร้องลั่น เป็นลมล้มพับไป เหมือนกลัวสุดขีดจนสลบไป
เลื่อนตกใจมาก "หม่อมแม่ หม่อมแม่เจ้าคะ"
แมงเม่าหน้าเสีย ไม่คิดว่าเจ้าจอมเพ็ญจะสลบ จะทำอะไรต่อก็ทำไม่ได้ แอบมีแววตาเจ้าเล่ห์
เล็กน้อยแล้วแกล้งเป็นลมสลบไปบ้างเพื่อเอาตัวรอด
กรมขุนวิมลภักดีเป็นห่วง
"เจ้าแมงเม่า เร็ว ช่วยเจ้าแมงเม่าที"
ทุกคนรีบกุลีกุจอช่วยแมงเม่า ทั้งยาดม ทั้งพัด แถมยังมีคนสั่งให้ไปหาน้ำมนต์มาอีก เลยวุ่นวายกัน
ยกใหญ่
เจ้าจอมเพ็ญแอบลืมตามอง พอเห็นไม่มีใครสนใจตนแล้ว ก็รีบหลับตา แกล้งทำเป็นสลบต่อ ทั้งเจ้าจอมเพ็ญทั้งแมงเม่าแกล้งสลบเอาตัวรอดด้วยกันทั้งคู่ โดยไม่ได้นัดหมาย
ต่อมา แมงเม่ากำลังกินน้ำมนต์ทั้งขัน อยู่ โดยมีเป้า กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา คอยดูแลด้วยความเป็นห่วง
"กินน้ำมนต์แค่นี้ ก็คงพอแล้วกระมังเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดี หน้าเครียด จริงจังมาก
"ไม่ได้ ผีเข้าไม่ใช่เรื่องเล็กนะเจ้า ต้องกินให้หมดขันจะได้ล้างสิ่งอัปมงคลออกไป"
น้ำมนต์ขันใหญ่มาก
"น้ำมนต์หลวงตาแช่มวัดพนัญเชิงศักดิ์สิทธิ์นัก กินให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียวเชียวนา"
แมงเม่าหน้าเหยเก บ่นเบาๆ "เวรกรรมสนองแท้ๆ"
เป้าได้ยินแว่วๆ
"แม่แมงเม่าว่ากระไรนะจ๊ะ เวรกรรมกระไร"
แมงเม่าหน้าเสีย รีบกลบเกลื่อน
"เอ่อ เวรกรรมที่ผีเข้าน่ะจ้ะ แต่เกิดมา ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาทำกระไรเช่นนี้"
แมงเม่าดื่มน้ำมนต์ต่อ
เจ้าจอมอำพันกลัวมาก ขนลุกขนพอง
"พูดแล้วก็ขนลุก ผีคุณท้าวสาลิกานี่ดุจริงๆ ขนาดผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว ยังน่ากลัวขนาดนี้"
คุณท้าวโสภารีบเสริม
"ผีตายโหงก็อย่างนี้ล่ะเจ้าค่ะ ทุกวันนี้ ยังมีคนเห็นผีคุณท้าวสาลิกามาฆ่าตัวตายที่อ่างแก้วอยู่เลยนะเจ้าคะ
พูดแล้วก็ขนลุกนะเจ้าคะ"
"ไม่รู้ป่านฉะนี้ เจ้าจอมเพ็ญจะเป็นอย่างไรบ้างนะเจ้าคะ จู่ๆก็กรีดร้องแล้วเป็นลมสลบไปเลย สงสัย จะเป็นเพราะฤทธิ์เดชคุณท้าวสาลิกาแน่ๆเลยเจ้าค่ะ"
"ไม่ดอก ตอนคุณท้าวสาลิกายังอยู่ สนิทสนมกับแม่เพ็ญนัก ตัวแม่เพ็ญเอง ก็ได้คุณท้าวสาลิกาฝึกสอนมาทั้งนั้น เรื่องที่จะทำร้ายแม่เพ็ญ ฉันไม่เห็นด้วย"
แมงเม่ากินน้ำเข้าไปเยอะมากจนท้องอืด ผะอืดผะอม
เป้าหันไปมองแมงเม่า เป็นห่ว
"เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแม่แมงเม่า ดีขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ดี ฉันจะได้ไปเอาน้ำมนต์มาเพิ่มให้อีก"
แมงเม่ารีบพูดทันที "ดีจ้ะ ดีมาก ไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อนเลยจ้ะ ไม่ต้องเอาน้ำมนต์มาอีกแล้วนะจ๊ะ แม่เป้าจ๋า"
ทุกคนเห็นท่าทางแมงเม่าแล้วก็งงๆ
"เสด็จเพคะ เราควรไปดูอาการแม่เพ็ญดีหรือไม่เจ้าคะ เห็นแม่เพ็ญเป็นลมเป็นแล้งกับตา ไม่ดูดำดูดีเลยก็กระไรอยู่นะเพคะ" เจ้าจอมอำพันบอก
คุณท้าวโสภาบอก
"ให้คนไปถามไถ่อาการก็พอเจ้าค่ะเจ้าจอม อย่าไปด้วยตนเองเลย เจ้าจอมเพ็ญหาได้ชื่นชอบพวกเราเท่าใด ไปด้วยตัวเองก็จะถูกค่อนว่าไปเยาะได้นะเจ้าคะ"
กรมขุนวิมลลังเล ว่าจะเอายังไงดี
แมงเม่ารีบเอาตัวรอดทันที ไปหาเจ้าจอมเพ็ญจะได้สืบเรื่องต่อ และไม่ต้องดื่มน้ำมนต์อีกด้วย
"หม่อมฉันไปเองเพคะ"
ทุกคนหันมองไปที่แมงเม่า
แมงเม่ารีบอธิบาย
"ไม่รู้ตอนผีเข้า หม่อมฉันทำกระไรไม่งามไปบ้าง จะได้ไปขอประทานโทษเจ้าจอมด้วยเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีชักสนใจ เลยหันไปมองเจ้าจอมอำพันกับคุณท้าวโสภาเป็นเชิงถามความเห็น
แมงเม่า และเป้าเดินตามข้าหลวงคนหนึ่งเข้ามา เพื่อมาเยี่ยมเยียนเจ้าจอมเพ็ญ แต่ยังไม่ทัน
เข้าห้องโถง ก็ได้ยินเสียงเจ้าจอมเพ็ญกำลังด่าลั่นอยู่
"เพราะความโง่เง่าของเอ็งเทียวนังเลื่อน เกือบทำให้ข้าต้องรับเคราะห์แล้ว"
" พุทโธ่ หม่อมแม่เจ้าขา เพลานั้น บ่าวกลัวจับใจ คิดแต่เรื่องในอดีต จนไม่มีสติจะคิดเรื่องอื่นแล้วเจ้าค่ะ หม่อมแม่อย่าถือโทษโกรธบ่าวเลยนะเจ้าคะ"
แมงเม่า และเป้าได้ยินเสียงทั้งคู่ ก็เลยหยุดยืนไม่กล้าเข้าไป
ข้าหลวง 1 บอก"รอสักครู่นะจ๊ะ"
"จ้ะ"
ข้าหลวง 1 เข้าไปในโถงเพื่อรายงานเจ้าจอมเพ็ญ
แมงเม่าและเป้าหันมองหน้ากัน สีหน้ากลัวๆ
ไม่นานนักข้าหลวงก็กลับออกมา
"เชิญจ้ะ แม่เป้า แม่แมงเม่า"
"จ้ะ"
แมงเม่า และเป้าเดินเข้าไปในโถง
เจ้าจอมเพ็ญกลับมานั่งที่ตั่ง ท่าทางมีสง่าราศีเหมือนเดิม ไม่เหมือนคนที่กลัวผีจนเป็นลม ท่าทางก็ดูอ่อนโยน ไม่เหมือนคนที่ด่าเลื่อนเสียงดัง เมื่อครู่นี้เลย
เลื่อนนั่งตัวสั่นงันงก ชำเลืองมองแมงเม่าเป็นระยะด้วยความหวาดกลัว
เป้า และแมงเม่า นั่งพับเพียบกราบเจ้าจอมเพ็ญ
"มีกระไรรึ"
"กรมขุนท่านทรงให้ฉันมาเยี่ยมเจ้าจอมเจ้าค่ะ แลฉันอยากจะมาขอประทานโทษเจ้าจอม ที่ได้ล่วงเกินไปด้วยเจ้าค่ะ"
"เจ้าถูกผีเข้า ฉันจะถือโทษเจ้าได้อย่างไร ฝากขอบพระทัยเสด็จพระองค์หญิงด้วย"
"เจ้าค่ะ"
" แล้วแม่ไม่เป็นกระไรแล้วรึ" เลื่อนพูดทั้งที่ยังกลัวอยู่
"ไม่เป็นแล้วจ้ะ กรมขุนทรงให้ฉันดื่มน้ำมนต์วัดพนัญเชิง" แล้วหยิบสร้อยพระให้ดู "แลทรงประทานสร้อยพระให้ฉันคุ้มครองตน แม่เลื่อนไม่ต้องกลัวฉันดอกจ้ะ"
เลื่อนถอนใจโล่งอก
"แล้วเจ้าจอมเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" เป้าถาม
"ฉันสบายดี" เจ้าจอมเพ็ญหลบสายตาไปทางอื่น "เมื่อครู่ ฉันกลัวจนเป็นลม แต่ตอนนี้ไม่เป็นกระไรแล้ว"
เป้ายิ้มแย้ม
"เป็นเช่นนั้นจริง ตอนคุณท้าวสาลิกายังอยู่ สนิทสนมกับเจ้าจอมนัก ย่อมไม่ทำร้ายเจ้าจอมดอกเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญร้อนตัว ตวาดแว๊ด
"เจ้ามารู้ได้อย่างไร ว่าฉันสนิทสนมกับคุณท้าวสาลิกา"
" เสด็จทรงเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเจื่อน รีบกลบเกลื่อน
"จริงซี เรื่องนี้ คนที่อยู่ในวังมานานย่อมรู้กันทั้งนั้น"
แมงเม่าฉวยโอกาส เลียบๆเคียงๆ
"เจ้าจอมเจ้าคะ เมื่อเจ้าจอมเคยสนิทสนมกับคุณท้าวสาลิกามาก่อน เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าที่ผีคุณท้าวมาเข้าฉัน เพราะอยากจะขอร้องให้เจ้าจอมทำกระไรให้"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเสีย ปั้นหน้าเศร้า
"ถ้าจริง ฉันก็ยินดีจะทำให้คุณท้าวทุกอย่าง แต่คุณท้าวเองก็ยังมีลูกอยู่ ถ้าต้องการกระไร ก็น่าจะไปเข้าฝันบอกลูกมากกว่ามาขอฉันไม่ใช่รึ"
เป้าสงสัย
"คุณท้าวสาลิกามีลูกด้วยหรือเจ้าคะ เคยได้ยินแต่ว่า เพราะความผิดที่คุณท้าวกระทำ จึงถูกประหารสิ้นทั้งโคตรไปแล้ว"
เจ้าจอมเพ็ญฉวยโอกาสใส่ไฟทันที ปั้นหน้าเศร้า
"ก่อนเข้าวัง คุณท้าวสาลิกาเคยมีผัวเป็นโจร แลมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ฉันเอง ยังเคยเห็นผัวคุณท้าวกับตามาครั้งหนึ่งเลย"
10 กว่าปีก่อน
บรรดาข้าหลวงกำลังทำงานกันในครัวอย่างขยันขันแข็ง
คุณท้าวสาลิกาเป็นคนควบคุม ในขณะที่เลื่อนก็เป็นข้าหลวงคนหนึ่งด้วยเช่นกัน
เจ้าจอมเพ็ญ เดินเก้ๆกังๆเข้ามาในครัว เจ้าจอมเพ็ญเป็นข้าหลวงเพิ่งเข้ามาใหม่ ตอนนั้นอยู่ในวัยแรกรุ่น ท่าทางประหม่ากลัวๆ ผิดกับตอนนี้ลิบลับ
เลื่อนเหลือบไปเห็นเพ็ญ "มาหาใครรึแม่"
"เอ่อ ฉันชื่อเพ็ญจ้ะ เพิ่งเข้าวังมาเป็นข้าหลวงวันนี้วันแรก"
เสียงคุณท้าวสาลิกาดังนำมาก่อน
" ชื่อเพ็ญรึ"
ทุกคนหันมอง
ขณะนั้นเอง คุณท้าวสาลิกาก็เดินเข้ามาหา
เลื่อนเดินเลี่ยงออกไป
"เจ้าค่ะ"
" งามสมชื่อ มาเถิด ฉันจะสอนงานให้"
คุณท้าวสาลิกาเดินนำเพ็ญเข้ามาในครัว และเริ่มสอนงาน
เจ้าจอมเพ็ญเล่าให้แมงเม่ากันเป้าฟังว่า
" คุณท้าวสาลิกา เป็นหญิงงาม สูงวัยกว่าฉันไม่กี่ปี แต่มีฝีมือเป็นเลิศในทุกด้าน โดยจำเพาะด้านอาหารการกิน ถือว่าไม่มีใครสู้ จึงได้เป็นคุณท้าวตั้งแต่ยังสาว"
มุมต่างๆที่อยู่ในวัง
คุณท้าวสาลิกาค่อยๆสอนเพ็ญ เย็บปักถักร้อย ตรงไหนผิดก็ค่อยๆสอน
คุณท้าวสาลิกาสอนเพ็ญแกะสลักผักผลไม้ เพ็ญตั้งใจเรียนอย่างดี
คุณท้าวสาลิกาสอนเพ็ญทำอาหาร โดยมีข้าหลวงคนอื่นยืนมอง
คุณท้าวสาลิกากินอาหารพร้อมกับเพ็ญ ทั้งคู่ดูสนิทสนมกัน เหมือนครูกับศิษย์ พี่กับน้อง
ในสำหรับอาหารมักจะมีฝักเขียวต้ม โรยปลาแห้งป่น อาหารจานโปรดของสาลิกาด้วย
"แต่ถึงกระนั้น คุณท้าวก็เป็นคนใจดี ไม่เคยดุว่าใครมาก่อน จึงเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน แต่ฉันรู้มาว่าก่อนเข้าวัง คุณท้าวเคยถูกโจรฉุดไป แลได้เสียเป็นผัวเมียกัน พ่อของคุณท้าวหาทางเอาตัวลูกสาวกลับมา แลส่งเข้าวัง เพื่อไม่ให้อ้ายโจรผู้นั้นมายุ่งเกี่ยวได้อีก แต่แรก ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อนัก จนกระทั่งคืนหนึ่ง..."
เมื่อเสด็จประพาสป่า และฝ่ายในตามเสด็จด้วยในคราวหนึ่งล่วงมาแล้ว
บริเวณกระโจมกลางป่าของฝ่ายใน พวกโขลนเดินเวรยามกันตามหน้าที่
เพ็ญเดินใช้ความคิดมาคนเดียว คิดทะเยอทะยานอยากจะถวายตัวเป็นหม่อมของเจ้าฟ้าเอกทัศน์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ขึ้นเป็นกษตริย์ นางกำลังหาช่องทางวางแผนอยู่ เลยมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ครุ่นคิด
ทันใดนั้นเอง เพ็ญก็เหลือบเห็นเสือขุนทองลอบเข้ามา จึงรีบหลบและแอบดูทันที
เสือขุนทองเข้าไปในกระโจมของคุณท้าวสาลิกา
พอเข้าไป ก็เห็นคุณท้าวสาลิกากำลังนอนหลับอยู่
ขุนทองเขย่าตัว " สาลิกาๆ"
ตื่นขึ้นมา พอเห็นขุนทองเข้าก็ทั้งตกใจ ทั้งดีใจสุดๆ
"พี่ขุนทอง"
ขุนทอง และสาลิกาสวมกอดกันทันที ด้วยความรักและคิดถึงที่มีต่อกันสุดๆ
สาลิการ้องไห้
"พี่ขุนทอง ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอพี่แล้วเสียอีก"
ขุนทองกอดสาลิกาแน่นด้วยความรักและคิดถึงเต็มเปี่ยม
"ข้าตามหาเอ็งไปทั่วสาลิกาเอ๊ย พอรู้ว่าเอ็งอยู่ในวังหลวง ข้าก็อยากจะเข้าไปพาเอ็งหนีออกมานัก แต่ทหารวังหลวงมีมาก เกินปัญญาแลฝีมือข้าจะช่วยเอ็งได้ เพิ่งมีวันนี้ ที่สมเด็จเจ้าฟ้าเสด็จเที่ยวป่า ข้าจึงลอบเข้ามาหาเอ็งได้"
ขุนทองจูบหน้าผากสาลิกาด้วยความคิดถึงสุดๆ
สาลิกาเช็ดน้ำตา
"แล้วลูกเล่า พ่อขันทองลูกฉันเป็นอย่างไรบ้าง"
ขุนทองยิ้มภูมิใจ
"ข้าให้ลูกบวชเณร เพื่อเล่าเรียนศึกษาวิชา พระครูท่านนี้เคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับข้ามาก่อน มีปัญญาแลความรู้มากนัก เอ็งอย่าได้ห่วงเลย แลข้าจะพาเอ็งไปกราบชายผ้าเหลืองเณรเอง รีบไปกันเถิด"
สาลิกาหน้าเสีย ลังเลขึ้นมา
ที่หน้ากระโจม เพ็ญกำลังแอบดูอยู่ เพ็ญได้เห็นได้ยินเรื่องทั้งหมด ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบหลบออกไปอย่างเงียบกริบ ไม่ให้ขุนทองได้ยินเสียง
" เป็นกระไร เอ็งไม่ดีใจรึ"
" ฉันรับราชการจนได้เป็นคุณท้าวแล้ว หากตามพี่ไป พ่อแม่ฉันจะมีผิดได้ แลพ่อท่านก็คงไม่ยอมให้เราอยู่ ด้วยกัน ดีร้ายจะเป็นอย่างคราก่อน ส่งคนไปพาฉันกลับมาอีก"
"เอ็งอย่าได้กลัวเลย ครานี้ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาพรากเอ็งไปจากข้าได้อีกแล้ว"
ขาดคำ โขลนก็บุกเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ ตรงเข้าทำร้ายขุนทองทันที
ขุนทองตกใจ รีบหลบแต่พวกโขลนก็รุมเข้ามาอีก สาลิกาตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก
จังหวะนั้นเอง เพ็ญก็เข้าไปในกระโจม แล้วดึงมือสาลิกาให้มากับตนทันที
"หนีเจ้าค่ะคุณท้าว"
สาลิกาห่วงขุนทอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องตามเพ็ญออกนอกกระโจมไป
ขุนทองจะตามภรรยาไป แต่พวกโขลนก็ยังไล่ทำร้ายตนอยู่
ขุนทองยกแขนขึ้นกันดาบ ตนมีวิชาคงกระพัน ดาบฟันเข้าเต็มแขน แต่เพียงมีเลือดออกซิบๆเท่านั้น พวกโขลนตกใจ ขุนทองเลยฉวยโอกาสจับข้อมือโขลนคนหนึ่ง บิดเพื่อแย่งดาบมา แล้วผลักโขลนคนนั้นไปชนกับโขลนคนอื่น ก่อนจะรีบวิ่งตามสาลิกาออกไปทันที
เพ็ญดึงมือสาลิกาให้หนีมากับตน
สาลิกาหนีไป ก็หันไปมองหาขุนทองอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง
ขณะนั้นเอง ขุนทองก็วิ่งตามมาทัน ก่อนจะวิ่งมาดักหน้าทั้งคู่ไว้
" ปล่อยเมียข้า"
เพ็ญแข็งใจตะโกนลั่น "ช่วยด้วย มีโจรจะฆ่าคุณท้าว ช่วยด้วยๆ"
ขุนทองเข้าไปดึงมือสาลิกาออกมาจากเพ็ญ
แต่ทันใดนั้นเอง ทหารกลุ่มหนึ่ง ก็บุกเข้ามาหาขุนทอง
ขุนทองใช้ดาบที่แย่งมาจากโขลนสู้กับพวกทหารทันที แต่ขุนทองมีคนเดียว แถมมืออีกข้างยังจับมือสาลิกาทำให้สู้ไม่ถนัด
สู้ไปได้ซักพัก ก็จำเป็นต้องปล่อยมือสาลิกาออก
เพ็ญเลยไปดึงสาลิกากลับมาหาตน
" พี่ขุนทอง พอเถิด อย่าสู้อีกเลย รีบหนีไปเสีย"
ขุนทองมีคนเดียว แต่ก็สู้ขาดใจ จนพวกทหารเข้าไม่ติด
แต่ทันใดนั้น โขลนกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือ กับทหารอีกกลุ่มก็รีบเข้ามาเสริม
ขุนทองเห็นว่าลำบากขึ้นเรื่อยๆ จึงโหมฟันดาบจนพวกทหารถอยร่น เกิดช่องว่างให้ตนตีฝ่าออกไป
จนได้
สาลิกามองตามสามีไปด้วยความเป็นห่วง
แมงเม่า และเป้ากำลังฟังเจ้าจอมเพ็ญเล่า โดยมีเลื่อนอยู่ใกล้ๆ
แมงเม่าแปลกใจมาก เพราะเรื่องที่ฟัง คล้ายเป็นเรื่องต่อเนื่องจากเรื่องที่ขันทองเล่าให้ตนฟังไม่มีผิด
"แล้วโจรคนนั้น หนีไปรอดหรือไม่เจ้าคะ"
"รอดซี แลต่อมายังกลับใจมาทำคุณให้บ้านเมืองอีกด้วย พวกเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างกระมัง เสือขุนทองอย่างไรเล่า"
แมงเม่าตกใจมาก " เสือขุนทอง"
เป้าหันไปมองด้วยความแปลกใจ "เป็นกระไรรึแม่แมงเม่า"
แมงเม่าหน้าเสีย อึกๆอักๆ เผลอตัวโพล่งออกไป ฉันตกใจน่ะสิ ฉันเคยได้ยินชื่อเสือร้ายผู้นี้มาก่อน"
ขณะนั้นเอง ข้าหลวงคนหนึ่งก็เข้ามา แล้วคุกเข่าลง
"เสด็จพระองค์ชายเชษฐ์เสด็จมาเยี่ยมหม่อมแม่เจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญรีบลงจากตั่งทันที
"รีบไปทูลเชิญเสด็จเร็ว"
ข้าหลวง 1 ยังไม่ทันออกไป พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็เดินสวนเข้ามา
พระองค์เจ้าเชษฐ์เป็นผู้ชายอายุประมาณ 26-27 หน้าตาหล่อเหลา เจ้าชู้กรุ้มกริ่ม
แมงเม่า และเป้า เห็นพระองค์เจ้าเชษฐ์มา ก็รีบก้มลงกราบ
" จะต้องพิธีรีตองไปไย เราใช่คนอื่นไกลกัน ฉันรู้มาว่าเจ้าจอมกลับจากถือศีลแล้วไม่สบาย จึงมาเยี่ยมเท่านั้น"
เพ็ญไหว้
"เป็นพระกรุณาเพคะ" แล้วหันไปพูดกับเลื่อน "นังเลื่อน ไปจัดน้ำจัณฑ์มาถวายเสด็จพระองค์ชายซี"
" เจ้าค่ะ" แล้วหันไปพูดกับพระองค์เจ้าเชษฐ์ "หม่อมแม่เพิ่งได้น้ำจัณฑ์อย่างดีมาพอดีเลยเพคะ"
พระองค์เชษฐ์หัวเราะชอบใจ
"จะหาใคร รู้ใจฉันเหมือนคนที่ตำหนักนี้เป็นไม่มีจริงๆ"
"เจ้าจอมต้องให้การรับเสด็จ พวกฉันขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ"
เจ้าจอมเพ็ญพยักหน้ารับ "ไปเถิด"
แมงเม่า และเป้า เงยหน้าขึ้น เพื่อจะคลานเข่าเลี่ยงออกมา จังหวะนั้นเอง พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็เห็นหน้าแมงเม่า
พระองค์เจ้าเชษฐ์ตะลึงในความสวยของแมงเม่า จนต้องมองตามแมงเม่าจนเหลียวหลังด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าจอมเพ็ญ เธอแอบสังเกตเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ
อ่านต่อตอนที่ 11