หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 1
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
แผนที่แสดงให้เห็นการแผ่ขยายอำนาจของพระเจ้าอลองพญา จากกรุงอังวะ เรื่อยมาจนยึดตองอู แปร พสิม มณีปุระ หงสาวดี เมาะตะมะ ฯลฯ
พระเจ้าอลองพญาทรงแผ่ขยายอำนาจของกรุงอังวะ จนยึดครองได้ทั่วพุกามประเทศ กรุงศรีอยุธยาหวั่นเกรงในอำนาจของพระองค์มาก จึงให้การสนับสนุนพวกมอญก่อกบฏต่อกรุงอังวะ พระเจ้าอลองพญาทรงพิโรธมาก มีพระราชสาสน์ถึงกรุงศรีอยุธยาให้หยุดการสนับสนุน แต่กรุงศรีอยุธยาก็เพิกเฉยเสีย พระองค์จึงกรีธาทัพ 40,000 คน บุกกรุงศรีอยุธยา ในเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2302
คืนหนึ่ง ทหารอังวะกลุ่มหนึ่งกำลังบุกไล่ฆ่าชาวบ้านที่อยู่ชานกรุงศรีอยุธยา ทหารอังวะส่วนหนึ่งก็ฆ่าชาวบ้าน อีกส่วนก็ปล้นทรัพย์สิน และเสบียงอาหาร พวกชาวบ้านบางคนก็หนีตาย บางคนก็พยายามสู้ แต่ก็สู้ไม่ไหว โดนทหารอังวะฆ่าตายไปก็มาก
เศรษฐีมิ่งกำลังพาชื่นภรรยากับแมงเม่าลูกสาววัย 12-13 หนีการบุกโจมตีของทหารอังวะด้วยความหวาดกลัว โดยมีม่วงลูกชายคนโตวัย 22-23 คอยใช้ดาบสู้กับพวกอังวะเป็นการคุ้มกันให้พ่อ น้อง และแม่เลี้ยง
ม่วงมีฝีมือพอสมควร เลยสู้กับพวกอังวะอย่างดุเดือด ขณะที่ต่อสู้ก็ตะโกนบอกพ่อไปด้วย
" พ่อ พาทุกคนหนีไป ฉันจะระวังหลังให้เอง"
พูดจบ ม่วงก็ควงดาบตะลุยรุกไล่พวกทหารอังวะจนล่าถอยไป
มิ่งรีบสั่ง "แม่ชื่น แมงเม่า ตามข้ามา"
มิ่งพาภรรยากับลูกสาววิ่งหนีไปอีกทาง แต่ทันใดนั้นก็เจอทหารอังวะที่บุกเข้ามาพอดี
ม่วงหันไปเห็นเข้าก็ตกใจจะเข้าไปช่วยพ่อ แต่พวกอังวะก็รุมเข้ามาจนไม่สามารถเข้าไปช่วยได้
มิ่งตัดใจชักดาบออกมาสู้กับพวกอังวะ แต่มิ่งไม่มีฝีมือการต่อสู้ สู้ได้นิดเดียวก็โดนทหารอังวะถีบจนล้มคว่ำ
แมงเม่าตกใจสุดๆ ห่วงพ่อมาก เข้าไปกอดพ่อที่ล้มอยู่กับพื้น "พ่อ"
ทหารอังวะเงื้อดาบจะฟันมิ่งกับแมงเม่า แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องขึ้น
ทหารอังวะตกใจหันไปมองตาม เห็นขุนทอง โจรร้ายผู้มีชื่อเสียง พาหาญและพวกลูกน้อง ขี่ม้าบุกเข้ามาช่วยพวกชาวบ้าน
ทหารอังวะตกใจ รีบเข้าไปต่อสู้กับขุนทองทันที
แต่ขุนทองมีฝีมือร้ายกาจมาก ขี่ม้าบุกตะลุยใส่ทหารอังวะอย่างกล้าหาญ พร้อมกับสะบัดดาบฟาดฟัน ทหารอังวะล้มตายเป็นใบไม้ร่วงทันที
มิ่งดีใจสุดๆตะโกนลั่น
"เสือขุนทอง เฮ้ย เสือขุนทองมาช่วยพวกเราแล้ว"
พวกชาวบ้านต่างดีใจสุดๆ หยิบอาวุธเท่าที่หาได้ ไม่ว่าจะดาบ มีดพร้า ไม้คาน ฯลฯ เข้าช่วยสู้อีกแรง
ขุนทอง หาญและพวกลูกน้องไล่ฆ่าฟันทหารอังวะ จนพวกอังวะต้องหนีตายกันอลหม่าน หาญกับพวกลูกน้องจะตามไปไล่ฆ่าพวกอังวะต่อ
ขุนทองรีบห้าม
"ไม่ต้องตาม เรามีงานสำคัญต้องไปทำ อย่าพะวงให้เสียการใหญ่"
ขุนทองหันไปตะโกนบอกพวกชาวบ้าน พร้อมกับชี้มือไป
"พวกเอ็ง จงหนีไปตามทางนี้ ที่ท้ายคลองมีค่ายของออกญาพลเทพตั้งอยู่ ออกญาท่านจะปกป้องพวกเอ็งทุกคนเอง"
พูดจบ ขุนทองก็ขี่ม้าจากไป ตามด้วยหาญและพวกลูกน้อง
ชาวบ้านต่างดีอกดีใจที่รอดมาได้ ทุกคนต่างสรรเสริญเสือขุนทองกันยกใหญ่
แมงเม่ามองตามขุนทองไปด้วยสายตาชื่นชม ในสายตาเด็ก ... คนที่ช่วยชีวิตตนกับพ่อ ถือว่าเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
ในป่า ทหารอังวะจำนวนมากกำลังขนเสบียงกันอยู่ มีทั้งใส่คานแบกหาม ทั้งขนด้วยเกวียนเทียมวัวเป็นทางยาว
ทางด้านขุนทอง หาญ และพวกลูกน้องกำลังหมอบกับพื้น ซุ่มดูอยู่ เตรียมที่จะบุกปล้นเสบียง
หาญยิ้มกระหยิ่ม
"เป็นไปตามข่าวที่ได้มาจริงๆพี่ขุนทอง เสบียงของพวกมันครานี้มีมากนัก ถ้าเราทำลายได้ คงตัดกำลังทัพอังวะได้โขอยู่"
ขุนทองรู้สึกแปลกๆ แต่เพราะความมืดเลยยังลังเล
"แต่ข้าว่ากองเสบียงครานี้ดูประหลาดนัก เพียงแต่มันมืด ข้าเห็นไม่ถนัด จึงบอกไม่ได้ว่าประหลาดอย่างไร"
"ฉันไม่เห็นจะประหลาดตรงไหนเลยพี่ ก็เหมือนทุกคราวที่เราปล้นมา" หาญบอก
ลูกน้อง 1ร้อนใจบอก " รีบตัดสินใจเข้าเถิดพี่ หากพ้นป่านี้ไป จะมีกองทหารของพวกมันรออยู่ เราคงหมดโอกาสปล้นแล้ว"
ขุนทองลังเลอยู่ครู่นึง ก่อนจะตัดสินใจตะโกนลั่น "อ้ายเสือ บุก"
ขาดคำ เสือขุนทองก็ถือดาบกระโจนออกจากที่ซ่อน พร้อมด้วยหาญและพวกลูกน้อง
ทหารอังวะตกใจที่ถูกซุ่มโจมตี เลยตั้งรับกันอย่างอลหม่าน
ขุนทองกับพวกมีฝีมือเหนือกว่า เลยบุกตะลุยพวกอังวะจนกระเจิง บางคนก็บาดเจ็บล้มตาย บางคนก็หนีหัวซุนหัวซุนไป
ขุนทองเดินมาที่เกวียนบรรทุกเสบียง ยังรู้สึกแปลกๆเลยมองไปรอบๆเกวียน ทันใดนั้นเอง ขุนทองก็ตกใจ รีบคุกเข่าดูตรงล้อเกวียนทันที
เห็นดินบริเวณล้อเกวียนแทบจะไม่มีรอยล้อเกวียนกินดินลงไปลึก ซึ่งถ้าบนเกวียนบรรทุกเสบียงจำนวนมาก ต้องมีน้ำหนักเยอะ รอยล้อเกวียนต้องชัด แสดงว่าบนเกวียนอาจไม่ใช่เสบียงอาหาร
ขุนทองรีบลุกขึ้น เปิดเสื่อที่คุมเกวียนออก ปรากฏว่าบนเกวียนมีแต่ฟางข้าว ไม่มีเสบียงอาหารแม้แต่น้อย
ขุนทองตกใจสุดขีด ตะโกนลั่น "หลงกลแล้ว รีบหนีเร็ว"
แต่ก็ช้าเกินไป ทันใดนั้น ทหารอังวะจำนวนมากก็กรูกันออกมา ล้อมขุนทองกับพวกลูกน้องไว้จนหมด
ในเวลาเดียวกัน
เณรขันทอง ในวัย 17-18 ปี กำลังก้มลงกราบพระประธานในโบสถ์
เณรขันทอง เป็นลูกชายคนเดียวของขุนทอง บวชเป็นเณรตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อพยายามตามหาแม่ของตนกลับมา เลยต้องพาลูกมาบวชเป็นเณรเพื่อหาที่ให้อยู่ และเพื่อเรียนวิชา
เณรกราบพระประธานเสร็จ ก็เงยหน้ามองพระประธานในโบสถ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฝ่ายขุนทองกำลังนำหาญกับลูกน้องบุกตะลุยทหารอังวะอย่างดุเดือด เพื่อตีฝ่าออกไปให้ได้
ขุนทองตะโกนลั่น "ตามข้ามา"
ขุนทองบุกตะลุยไปข้างหน้าเพื่อเปิดทางให้ลูกน้องอย่างไม่กลัวตาย แต่ทหารอังวะมีมากกว่าเยอะเลยต้านขุนทองเอาไว้ได้
พระราชบุตรมังระ กำลังยืนทอดพระเนตรดูการต่อสู้อยู่
พระราชบุตรมังระ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของพระเจ้าอลองพญา ในขณะนั้นมีพระชนมายุ 24 พรรษา รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว องอาจสมเป็นทหาร มีพระอุปนิสัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ภายหลังได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์
มังระยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ชี้ไปที่ขุนทอง "นั่นน่ะรึอ้ายเสือขุนทอง"
ทหาร 1พนมมือ รายงาน
"ใช่แล้วพระพุทธเจ้าข้า อ้ายเสือขุนทองคนนี้มันเป็นโจรใหญ่ แต่กลับใจมาช่วยอโยธยารบ หลายวันมานี่ มันทั้งซุ่มโจมตี ทั้งเผา ทำลายเสบียงของเรา จนเสียหายไปไม่น้อยพระพุทธเจ้าข้า"
พระราชบุตรมังระพยักหน้ารับ กล่าวชื่นชมอยู่ในที
"โจรปล้นเค้ากิน ยังมีใจห่วงบ้านเมือง อโยธยาไม่สิ้นคนดีจริงๆ"
เณรขันทองกำลังสวดมนต์ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ เสียงสวดมนต์ภาษาบาลีดังเบาๆตลอดเวลา
ลูกน้องขุนทองถูกทหารอังวะฆ่าตายไปทีละคน สองคน
ขุนทองฆ่าทหารอังวะตายไปคนหนึ่ง แต่ก็โดนทหารอีก 3-4 คนรุกไล่เข้ามา จนถอยหลังมาชนกับหาญ ทั้งคู่เอาหลังพิงกันไว้
หาญเครียดสุดๆ "พวกมันมีมากเหลือเกิน เอาอย่างไรดีพี่"
ขุนทองมองไปรอบๆ "เอ็งคอยดูข้า ข้าตีฝ่าไปทางใด เอ็งก็รีบตีหักพาพวกเราหนีไป"
หาญเป็นห่วง "แล้วพี่เล่า"
ขุนทองยิ้มเล็กน้อยพลางบอก "ข้าอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายง่ายๆหรอกโว้ย แต่หากข้าตาย เอ็งต้องสืบหาคนที่หักหลังเราให้จงได้ การลอบปล้นเสบียงครานี้ มีคนรู้ไม่กี่คน ถ้าไม่มีคนทุรยศเป็นไส้ศึกให้อังวะลวงพวกเรามาฆ่า ไหนเลยพวกอังวะมันจะรู้ได้"
หาญใจคอไม่ดี "พี่อย่าพูดเป็นลาง ฉัน..".
ขุนทองตวาดตัดบท "ไป"
ขุนทองฮึดเต็มที่ บุกตะลุยใส่ด้านที่มีทหารน้อยที่สุด คนเดียวรบกับคนหลายคน เพื่อเปิดทางให้หาญ
หาญตัดใจ "พวกเอ็ง มากับข้า"
หาญนำลูกน้องที่เหลืออยู่ บุกตะลุยหนีไปตามช่องที่ขุนทองเปิดให้ โดยมีทหารอังวะจำนวนหนึ่ง ตามไล่หลังไป
เณรขันทองกำลังสวดมนต์อยู่คนเดียวในโบสถ์ สูงขึ้นไป ... พระเนตรของพระประธานเหมือนจะมองลงมายังเณรขันทอง ด้วยความสงสารและเมตตา
ขุนทองอยู่ท่ามกลางทหารอังวะตัวคนเดียว แต่ก็สู้ไม่ถอย ฝีมือดาบของขุนทองสูงมาก แม้จะตัวคนเดียวแต่ก็ทำร้ายทหารอังวะไปไม่น้อย
ทหารอังวะคนหนึ่ง ฉวยโอกาสฟันเข้ากลางหลังขุนทอง
เสื้อของขุนทองขาด แต่มีเลือดไหลเป็นเพียงแผลซิบๆ
ขุนทองหันกลับมาฟันใส่ทหารคนนั้นตายไปทันที
ทหารที่เหลืออยู่เริ่มขยาด ได้แต่ล้อมเอาไว้ ไม่มีใครกล้าเข้าปะทะตรงๆซักคน
พระราชบุตรมังระยิ้มพอใจ
"วิชาอยู่ยงคงกระพัน อ้ายโจรนี่มันร้ายนัก"
ทหาร 1หน้าเครียดบอก
"คนมีวิชาเช่นนี้ ต้องฆ่าด้วยการจับกดน้ำหรือใช้ไม้แหลมสวนทวาร ข้าพระพุทธเจ้าจะให้พวกทหารล้อมจับมันเองพระพุทธเจ้าข้า"
"วิชาดาบมันดีนัก ล้อมจับเป็นยังยากกว่าฆ่าเสียอีก เอาเถิด ข้าจะจัดการมันเอง"
พระราชบุตรมังระหยิบปืนสั้นที่พกไว้ที่เอวออก แล้วเดินออกไปหาขุนทอง
ขุนทองเห็นพวกทหารล้อมตนไว้แต่ไม่กล้าเข้ามาก็เริ่มได้ใจ บุกตะลุยเข้าใส่ทหารทันที
พระราชบุตรมังระ เดินช้าๆเข้าไป กล่าวกับฟ้าดิน
"หากบุญบารมีของข้า ถึงเศวตฉัตรแห่งพุกามประเทศแล้วไซร้ ก็ขอให้กำจัดอ้ายเสือขุนทองผู้นี้ได้ด้วยเถิด"
จังหวะนั้นเอง ขุนทองก็ตะลุยรุกไล่ จนพวกทหารแตกออก เห็นพระราชบุตรมังระกำลังเดินเข้าหาตน
ขุนทองเหลือบดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ เลยวิ่งเข้าใส่ทันที
ขุนทองกระโจนเข้าใส่พระราชบุตรมังระ เงื้อดาบหมายจะเข้าฟันเต็มแรง พระราชบุตรมังระก็ยกปืนขึ้น จังหวะที่ขุนทองกำลังจะฟันถูก พระราชบุตรมังระก็เหนี่ยวไกปืนสวนออกไป
ลูกกระสุนพุ่งเข้าถูกกลางหน้าผากของเสือขุนทอง โดยดาบที่ขุนทองฟันเข้ามา ห่างจากคอพระราชบุตรมังระเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด แต่แรงยิงของปืนทำให้ร่างของขุนทองหงายไปทางด้านหลัง ดาบที่ฟันมาเลยพลาดเป้า
ร่างขุนทองร่วงตกลงพื้น เสียชีวิตจมกองเลือดทันที
ทหารอังวะส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ฮึกเหิมเต็มที่เมื่อเห็นความกล้าหาญและบุญบารมีของพระราชบุตรของตน
พระราชบุตรอังวะมองศพของขุนทองด้วยสีหน้าเสียดายคนมีฝีมือ แต่จำเป็นต้องฆ่า
เทียนไขหน้าโต๊ะหมู่บูชาในโบสถ์ดับวูบลงอย่างไม่มีสาเหตุ เณรขันทองหยุดสวดมนต์ด้วยความรู้สึกแปลกใจ เหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง !?
เช้าวันหนึ่ง บรรยากาศภายในวัดดูสงบร่มรื่น
เณรขันทองกำลังกวาดลานวัดอยู่
ขณะนั้นเอง หาญในสภาพร่างกายโชกเลือด เต็มไปด้วยบาดแผล เดินโซซัดโซเซเข้าประตูวัดมา ก่อนที่จะทรุดนั่งลง เพราะอาการบาดเจ็บและหมดแรง
เณรขันทองตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปหาหาญทันที
ขันทองตกใจมาก "น้าหาญ เกิดกระไรขึ้น"
หาญทั้งเจ็บทั้งอ่อนเพลียสุดๆ "ฉันถูกอ้ายพวกอังวะมันไล่ล่า หนีรอดมาได้คนเดียว อ้ายพวกที่เหลือ ตายหมดสิ้นแล้ว"
ขันทองห่วงพ่อสุดๆ ถาม "แล้วโยมพ่อเล่า โยมพ่อขุนทองเป็นอย่างไรบ้าง"
หาญทั้งเจ็บ ทั้งอ่อนเพลีย
"พี่ขุนทองเป็นคนตีฝ่ามาให้ฉัน แต่แรก ฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นอย่างไร แต่เมื่อรุ่งสาง ฉันได้ข่าวว่า..."
พลันสีหน้าหาญก็เห็นแววเสียใจอย่างที่สุด ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคถัดไป
"พี่ขุนทองถูกพวกอังวะฆ่าเสียแล้ว พ่อเณรเอ๋ย"
ขันทองถึงกับตกใจสุดๆ ทำอะไรไม่ถูก
หาญปวดร้าวสะเทือนใจถึงกับร้องไห้ ทั้งแค้นทั้งเสียใจ
"พวกเราโดนอังวะมันซ้อนกลเพราะมีไส้ศึก เราต้องลากตัวมันออกมาล้างแค้นให้พี่ขุนทองให้ได้นะ พ่อเณร"
เณรขันทองน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ ขบกรามแน่น แววตาที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวด้วยความเจ็บแค้น
มุมหนึ่ง ห่างออกไป หลวงตายืนดูอยู่ ได้แต่ถอนใจออกมาด้วยรู้สึกกังวลว่า เณรขันทองจะต้องสึกไปล้างแค้นแทนพ่อในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ
ค่ายพระเจ้าอลองพญา หน้าเมืองอยุธยา ยามสาย
ทหารอังวะกำลังระดมยิงปืนใหญ่นับร้อยกระบอกใส่กรุงศรีอยุธยา เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นไปทั่วค่ายทหาร
พระเจ้าอลองพญาเดินคุยมากับพระราชบุตรมังระ
พระราชบุตรมังระเป็นกังวล
" เราระดมปืนใหญ่ยิงใส่อโยธยามาหลายวัน ทั้งวันทั้งคืน ลูกเกรงว่าปืนใหญ่ของเราจะทนไม่ไหว"
อลองพญาหน้าเครียด
"พ่อรู้ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเร่งตีอโยธยาให้เร็วที่สุด ก่อนที่น้ำเหนือจะหลากลงมา จนเราตั้งค่ายไม่ได้"
ขณะนั้นเอง พระเจ้าอลองพญาก็เหลือบไปเห็นทหารยิงปืนใหญ่
กระสุนปืนใหญ่ไปตกที่หน้ากำแพง เข้าไปไม่ถึงในตัวเมืองอยุธยา
พระเจ้าอลองพญาโมโห เสียงดัง
"พวกเอ็งทำกระไรกัน ยิงไม่ถึงกำแพงเมืองเสียด้วยซ้ำ คิดจะให้ข้าสิ้นเปลืองลูกปืนใหญ่รึ"
พวกทหารกลัวมาก รีบใส่ดินปืนอัดเต็มที่ แล้วจุดชนวนยิงปืนใหญ่ออกไป
ลูกปืนใหญ่ถูกยิงด้วยความแรง ลอยละลิ่วไปโดนยอดปราสาทของพระบรมมหาราชวังหักโค่นลงมา
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ระเบิดออก เพราะทนแรงดินปืนไม่ไหว ประกอบกับปืนยิงติดต่อกันมานานเกินไปโดยไม่ได้พัก แรงระเบิดอัดกระแทกทั้งทหารที่ยิง และพระเจ้าอลองพญาที่อยู่ใกล้ บาดเจ็บสาหัสทันที
พระราชบุตรมังระตกใจสุดขีด รีบเข้าไปดูอาการทันที
"สมเด็จพ่อ"
พระเจ้าอลองพญาสาหัสมาก พระราชบุตรมังระหันไปสั่งทหาร
"รีบไปตามหมอมาเร็ว"
พวกทหารรีบวิ่งไปทันที
พระราชบุตรมังระชี้หน้าทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน สั่งเสียงเฉียบขาด
"ส่วนพวกมึง หากใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กูจะตัดหัวให้สิ้นเสียทั้งโคตร"
พวกทหารพากันหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งนั้น
พระราชบุตรมังระโอบกอดพระเจ้าอลองพญาที่บาดเจ็บสาหัส และสิ้นสติเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงพ่ออย่างที่สุด
กองทหารอังวะกำลังเดินทัพกันในทุ่งโล่งอย่างเป็นระเบียบ เป็นการถอนทัพกลับหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอลองพญา
"พระเจ้าอลองพญา สวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พุทธศักราช 2303 แต่เหล่าแม่ทัพของอังวะได้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็น
ความลับสุดยอด ทำให้สามารถถอยทัพได้อย่างเป็นระเบียบและปลอดภัย ซึ่งแม้สงครามครั้งนี้จะไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ แต่ก็ทำให้ฝ่ายอังวะเห็นถึงข้อผิดพลาดในการศึกครั้งนี้ และนำมาแก้ไข เพื่อใช้ในการศึกครั้งต่อไป"
3 ปีผ่านไป
บ่ายวันหนึ่ง ภายในวัดที่ดูสงบร่มรื่น ชาวบ้านกำลังฝึกซ้อมเพลงอาวุธบ้าง เรียนหนังสือบ้าง โดยมีพระเป็นคนสอน
ขันทอง แน่น และ พันหาญร่วมอยู่ด้วย
หลังจบศึกอลองพญา หาญเข้ารับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น “พัน” เรียก พันหาญ
ทั้งสามกำลังก้มลงกราบหลวงตาที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้
แน่นและพันหาญเงยหน้าขึ้นมาก่อน
ขันทองค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย บัดนี้ ... ขันทองผมยาวแล้ว เป็นหนุ่มหล่อ หน้าหวาน วัย 20-21ปี
"กระผมจะมากราบลาแลขอพรให้กระทำการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีขอรับ"
สีหน้าหลวงตาไม่สบายใจนัก
"ข้าให้พรเอ็งไม่ได้ดอก เพราะสิ่งที่เอ็งกำลังจะไปกระทำนั้นขัดต่อกิจของสงฆ์ แต่ข้าขอให้สติเอ็งแทนก็แล้วกัน สติมา
ปัญญาเกิด คนเราเมื่อมีสติอยู่กับตัว ไม่ว่าจะเผชิญภัยอันตรายใด ก็สามารถแก้ไขได้ทั้งสิ้น"
ขันทองพนมมือไหว้
"ขอบพระคุณขอรับ"
ขันทองยิ้มรับพรอย่างมีกำลังใจ
อีก 2-3 วันต่อมา บริเวณ "ท่าเรือ เมืองธนบุรี" ตอนกลางคืน
บรรยากาศโดยรอบดูคึกคัก เพราะธนบุรีเป็นเมืองท่าสำคัญสมัยอยุธยา มีคนมาค้าขายกันมากมาย
แม้จะตกกลางคืนแล้วก็ยังคึกคัก มีการตั้งวงกินข้าว กินเหล้า เสียงพูดคุยร้องรำทำเพลงดังลั่นไปหมด
ขันทองในชุดโทรมๆ กำลังนั่งกินข้าวจากใบตองอยู่ที่มุมหนึ่งคนเดียวเงียบๆ ขณะกิน สายตาก็คอยสอดส่องตลอดเวลา
ขณะนั้นเอง พันหาญ และแน่น ซึ่งสวมชุดแบบเดียวกันกับขันทอง ก็เดินเข้ามาหา ในมือถือห่อผ้าห่อใหญ่มาด้วย
ขันทองร้อนใจ ถามพันหาญ
"ว่าอย่างไรบ้างน้าพันหาญ"
"ไม่ต้องห่วง ออกพระราชาข่านรับสินบนเราไปแล้ว อย่างไร เราก็ได้เข้าไปแน่"
"มีขันทีจากเมืองโต้ระกี่ (ตรุกี) มาใหม่สองคน ออกพระท่านให้พวกเราปลอมตัวเป็นทาสของขันทีทั้งสองเพื่อเข้าสู่วัง"
ได้ยินแล้วขันทองหน้าเครียดขึ้นมาทันที
"เป็นทาส อย่างมากก็อยู่ได้ประเดี๋ยวเดียว จะไปทันสืบกระไร"
พันหาญบอก "ได้เข้าไปก่อนเถิดพ่อขันทอง ออกพระราชาข่าน มีอำนาจสูงสุดในบรรดาขันทีฝ่ายใน แม้จะให้เราอาศัยอยู่วังในไม่ได้ แต่ก็คงให้เราเข้านอกออกในฐานะทาสของขันทีใหม่ได้ ถึงตอนนั้น โอกาสก็คงมาเอง"
ขันทองคิดตามแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะรับห่อผ้าจากแน่นมา แล้วเอาชุดที่อยู่ข้างในออกมาผลัดเปลี่ยน
ต่อมา ณ เรือนแพรับรอง ซึ่งเป็นเรือนแพที่พระราชาข่านให้ขันทีที่มาใหม่จากตุรกีมาพักอาศัยหนึ่งคืน ก่อนที่จะเดินทางไปอยุธยา ในพรุ่งนี้เช้า
ด้านใน ... พระราชาข่านหัวหน้าขันที กำลังทะเลาะกับสิขันทิน ขันทีใหม่จากตุรกีอยู่ สิขันทินเหน็บกริชไว้ที่เอวด้วย
ราชาข่านโมโห อารมณ์เสีย
"ตัวข้าอยู่อโยธยามาครึ่งชีวิต เจ้าเพิ่งมาเหยียบแผ่นดินอโยธยาไม่ถึงครึ่งคืน กล้าพูดกับข้าอย่างนี้เชียวรึ"
สิขันทินเหยียดยิ้มดูถูก
"ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเอง แต่เป็นคำสั่งจากองค์สุลต่าน องค์สุลต่านเห็นว่าท่านสูงวัยแล้ว รับใช้ราชสำนักอโยธยาได้
ไม่เต็มที่ จึงให้ข้าเป็นหัวหน้าขันทีแทนท่าน"
ราชาข่านโมโหมาก
"โป้ปดมดเท็จ เจ้ายังไม่เคยเข้าไปในราชสำนักอโยธยาสักครั้ง องค์สุลต่านจะแต่งตั้งเจ้าให้แทนข้าได้ยังไง"
สิขันทินโมโห ตอกกลับ "ถึงข้าไม่เคยเข้าไป แต่ข้าก็ฝึกฝนมาอย่างดี รู้กระจ่างว่าธรรมเนียมประเพณีของราชสำนักอโยธยาเป็นอย่างไร" ก่อนจะชี้หน้าราชาข่าน พูดต่อ
"ท่านอย่ามาโยกโย้เพราะกลัวเสียอำนาจอยู่เลย รีบทำตามที่ข้าสั่งประเดี๋ยวนี้ หาไม่ ข้าจะถือว่าท่านขัดรับสั่งองค์สุลต่าน"
พระราชาข่านโมโหมาก เตรียมจะเถียงต่อ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น
ราชาข่านพยายามระงับอารมณ์ "เข้ามา"
ประตูเปิดออก ขันทอง พันหาญ และแน่น ในชุดทาส เดินถือถาดใส่สำรับอาหารเข้ามา
"สำรับขอรับ ออกพระ"
ราชาข่านหงุดหงิด "วางไว้นั่นล่ะ"
ขันทอง แน่น พันหาญ เอาสำรับอาหาร พร้อมน้ำดื่มวางไว้บนโต๊ะกลางในห้อง
สิขันทินสังเกตหน้าตาพวกขันทอง
"คนพวกนี้เป็นใคร ไม่ใช่คนที่คอยรับใช้ข้านี่"
ราชาข่านหงุดหงิด
"ข้าย้ายพวกนั้นไปที่อื่นแล้ว นับแต่นี้ คนพวกนี้จะคอยรับใช้เจ้าแทน"
สิขันทินระแวง พูดเสียงดุ
"ไม่เอา ข้าต้องการคนเดิมเท่านั้น ท่านจะมากำหนดคนรับใช้ข้าตามใจชอบของท่านไม่ได้"
"เรื่องเพียงเท่านี้ เจ้าอย่ามากเรื่องนักเลยน่ะ สิขันทิน"
สิขันทินชักกริชที่เอวออกมา สร้างความตกใจให้ทุกคน ไม่คิดว่าจะบานปลายขนาดนี้
"ข้าบอกแล้วว่าต้องการคนเดิม คนพวกนี้ท่านหามา เกิดสมคบกันทำร้ายข้าระหว่างทาง ข้าจะทำอย่างไร" สิขันทินตะคอก
แน่นเห็นท่าไม่ดี จะเข้าไปจับสิขันทินไว้ แต่สิขันทินเห็นเข้าเลยตวัดกริชใส่แน่นทันที
แน่นฉากหลบออกมาได้ แต่กริชก็บาดข้อมือเป็นแผลได้เลือด
พันหาญ และขันทองตกใจ รีบเตรียมตัวสู้ทันที
แต่จังหวะนั้นเอง พระราชาข่านก็เข้าไปล็อกตัวสิขันทินไว้จากทางด้านหลัง แล้วพยายามแย่งกริชมา
สิขันทินโวยลั่น พยายามยื้อไม่ให้แย่งกริชไป
"คิดจะฆ่าข้ารึ ข้าจะทูลองค์สุลต่าน แล้วจะแจ้งราชสำนักอโยธยาว่าท่านทุรยศ"
ราชาข่านพยายามแย่งกริช โมโหมาก
"หุบปากของเจ้าได้แล้ว เจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งข้า พอข้าไม่ให้ ก็ระแวงไปเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำกระไรเจ้าสักหน่อย"
ทั้งคู่ยื้อยุดกริชกันไปมาอยู่
ขันทอง และพันหาญหาจังหวะช่วย แต่ทั้งคู่ก็แย่งกันไปมา ไม่อยู่นิ่ง ทำให้จับตัวลำบาก
แต่ทันใดนั้นเอง สิขันทินก็สะดุ้งเฮือกขึ้น ตาเบิกโปน หันไปจ้องพระราชาข่านด้วยความตกใจสุดๆ ก่อนที่ร่างของสิขันทินจะทรุดร่วงลงกับพื้น
ทุกคนพากันตกใจสุดๆ เห็นท้องของสิขันทินมีรอยแผลฉกรรจ์ และกริชของสิขันทินก็อยู่ในมือพระราชาข่าน ตัวกริชเลอะเลือดเต็มไปหมด ที่แท้ระหว่างแย่งกริช พระราชาข่านเผลอแทงกริชเข้าใส่สิขันทิน
สิขันทินดิ้นอยู่สองสามที ก่อนจะแน่นิ่งขาดใจตายไป
พระราชาข่านดูกริชในมือ และดูศพของสิขันทินด้วยความตกใจสุดขีด ทำอะไรไม่ถูก
ขันทองเครียดหนัก ขันทีมาใหม่ตายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พวกตนจะหาทางออกจากเรื่องนี้ยังไงดี
10 ปีต่อมา
เช้าวันหนึ่ง บ้านของมิ่ง ซึ่งเป็นโรงงานทำกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในอยุธยา มีคนงานมากมายช่วยกันทำกระดาษ เห็นขั้นตอนการทำกระดาษสมัยโบราณ ตั้งแต่การต้มเอาเยื่อกระดาษ การแผ่กระดาษ การตาก ฯลฯ
บริเวณบ้านแมงเม่าตามจุดต่างๆ พวกทาสชายยืนหน้าตาถมึงทึง ล้อมทั่วบริเวณเรือนอย่างแน่นหนา ราวกับจะเกิดศึกสงคราม
บนเรือน มิ่งกำลังเดินคุยกับชื่น และอิน โดยมีพวกทาสหญิงเฝ้าตามจุดต่างๆบนเรือนอย่างขยันขันแข็ง
“นังแมงเม่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชื่นยิ้มแย้มบอก “อย่าห่วงเลยเจ้าค่ะพี่มิ่ง สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ในห้อง ราวกับผ้าพับไว้ก็ไม่ปาน”
มิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ต้องอย่างนี้ซี ดูตัวครานี้ คุณท้าวท่านมาเป็นแม่สื่อด้วยตนเอง จะขายขี้หน้าท่านไม่ได้เป็นอันขาด”
ทั้งสามคน มิ่ง ชื่น อิน เดินถึงห้องนอนของแมงเม่า
อินเคาะประตู “แมงเม่า เปิดประตูที พ่อกับน้าชื่นมาหา”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ
อินเคาะประตูอีกครั้ง “แมงเม่า”
มิ่งชักทะแม่ง รู้สึกผิดปกติ
“เปิดเข้าไปเลยแม่อิน ชะรอยนังแมงเม่าจะไม่อยากดูตัว ก็เลยตะแหง่แง่งอนเอา”
อินเปิดประตูตามที่พ่อสามีสั่ง แต่พอเปิดเข้าไป ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแมงเม่ากำลังตั้งท่าจะ
ปีนหน้าต่างจะกระโดดหนี
อินตกใจ “แมงเม่า”
แมงเม่าเห็นทุกคนเข้ามาในห้องก็ตกใจ เลยรีบกระโดดลงจากหน้าต่างทันที
มิ่ง ชื่น และอิน ห่วงแมงเม่า รีบเข้าไปดูที่หน้าต่างทันที พื้นดินด้านล่าง แมงเม่าลุกขึ้นยืนปกติ เอามือตบก้นปัดเปื้อนไปมา ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย
มิ่งเห็นลูกปลอดภัยก็โล่งอก ก่อนจะโวยลั่น
“เอ็งทำกระไรของเอ็งวะนังแมงเม่า ประเดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวก็หักไปดอก”
แมงเม่ายิ้มแย้มพลางบอก
“กระดูกฉันไม่หักง่ายๆดอกพ่อ ฉันไปก่อนนะ เบื่ออยู่ในห้องเต็มทนแล้ว ใครอยากอยู่แทนฉัน ก็อยู่ไปเถิด”
พูดจบ แมงเม่ายิ้มหน้าเป็นกวนๆ ก่อนจะวิ่งหนีไปทันที
“ทำไมลูกสาวข้าถึงได้แก่นกะโหลกขนาดนี้” มิ่งบ่นแล้วถอนใจส่ายหน้า
ชื่นและอินได้แต่ยิ้มๆเอ็นดูในความทะโมนของแมงเม่า
ผ่านเวลาสักพัก ... บรรยากาศย่านร้านค้า มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยคึกคักไปหมด
แมงเม่าเดินอารมณ์ดีเข้ามาเห็นของชิ้นไหนสวยถูกใจก็หยุดยืนดู ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง ก่อนจะเดินมาหา ติ่น และผล ลูกน้องของตนยืนรออยู่
ติ่น และผลเป็นผู้ชาย เป็นคนงานของบ้านแมงเม่า ไม่ใช่ทาส แต่ก็เป็นลูกจ้างในโรงงานกระดาษ แต่ยกแมงเม่าเป็นลูกพี่ ทั้งกลัวทั้งตามใจแมงเม่าสุดๆ ติ่นจะเป็นคนปากดี แต่ท่าดีทีเหลว ผลเป็นคนขี้กลัว มักจะโดนบังคับให้ออกหน้าเป็นประจำ
“อ้ายติ่น อ้ายผล ซื้อของเสร็จหรือยังวะ จะได้กลับเรือนกัน”
ติ่นหน้าหงิก
“ยังไม่ได้ซื้อเลยจ้ะแม่หญิง พวกทหารไม่ยอมให้พวกฉันเข้าไป”
แมงเม่ามองไปที่ร้านขายเครื่องหอม เห็นทหารสองคนยืนเฝ้าหน้าประตูร้าน
ใครก็ตามที่เดินผ่านไปผ่านมาที่ร้านนั้น ทหารจะพูดจากระโชกโฮกฮาก ไล่ให้ไปที่อื่น ไม่ให้เข้าร้าน
แมงเม่าหน้าบึ้งตึงบ่น
“กระไรวะ ห้ามไม่ให้คนซื้อของก็ว่าแย่แล้ว ยังดุด่าคนที่จะเข้าไปซื้ออีก วางอำนาจบาตรใหญ่นัก”
ติ่นเป็นลูกขุนพลอยพยัก
“คิดเหมือนฉันเลยแม่หญิง แหม่ นี่ถ้าเป็นไพร่เหมือนกันล่ะก็ พ่อจะเตะให้กลิ้งเป็นลูกขนุนเชียว”
ผลกลัวตามประสา “ อย่าพูดดังไปซีวะอ้ายติ่น ประเดี๋ยวก็มีเรื่องดอก...”
พูดไม่ทันจบ แมงเม่าก็เดินเข้าไปหาทหารทั้งสองทันที
ติ่น และผล ตกใจอย่างหวาดกลัว แต่ห่วงแมงเม่ามากกว่าก็เลยต้องตามไป
ทหาร 1ยกดาบมากั้นไว้ไม่ให้เข้าร้าน แต่พอเห็นแมงเม่าเป็นสาวสวยก็กะลิ้มกะเหลี่ย
“ยังเข้าไม่ได้จ้ะแม่น้องสาว พระเดชพระคุณท่านกำลังเลือกซื้อของอยู่ พี่ว่าแม่น้องสาวกลับไปก่อนเถิดจ้ะ
หรือถ้าอยากจะได้เครื่องหอมกระไร ก็บอกพี่ ประเดี๋ยวพี่เอาไปให้ถึงเรือนเอง”
แมงเม่าแกล้งยิ้มแย้ม “ขอบน้ำใจพ่อนัก แต่อย่าเลยจ้ะ ฉันขี้เกียจต้องล้างเรือนตอนพ่อกลับไป”
ทหาร 1ชักโมโห ชี้หน้าแมงเม่า
“เอ๊ะ พูดอย่างนี้ หาว่าข้าเป็นตัวเสนียดรึ ข้าสู้อุตส่าห์พูดด้วยดีๆ ยังจะมา...”
แมงเม่าปัดมือที่ชี้หน้าออก สวนทันควัน
“นี่รึพูดด้วยดีๆ ยืนขวางหน้าร้าน คนอื่นจะซื้อข้าวของ ก็ดุด่าไล่ส่งไป พระเดชพระคุณจากไหนกัน ฉันเคยพบเจอผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มามากนัก แต่ยังไม่เคยเห็นใครเหิมเกริมเท่านี้เลย”
ทหาร 1 ตกใจ ไม่คิดว่าแมงเม่าจะเถียงฉอดๆโดยไม่กลัวตนขนาดนี้ เลยตั้งหลักไม่ทัน
ทหาร 2ชักกลัว “อย่ามีเรื่องเลยวะ หากรู้ถึงหูออกหลวงศรีขันทินเข้า เรื่องใหญ่เชียวนา”
ทหาร 1 ถึงกับหน้าเสีย กลัวเจ้านายตัวเองมากทีเดียว
แมงเม่าได้ยินแว่วๆ
“ออกหลวง อ้อ ที่วางอำนาจปิดร้านอยู่ เป็นคุณหลวงเองดอกรึ พุทโธ่เอ๊ย ฉันก็นึกว่าพระยานาหมื่นหรือเจ้าประคุณจากไหน ที่แท้ก็...”
ขณะนั้นเอง ขันทองก็เปิดประตูออกมา ขันทองแต่งตัวประหลาด มีผ้าโพกผมแบบแขก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดี มีเครื่องประดับตามสมควรแก่ฐานะ
พวกทหารเห็นขันทองเข้าก็ตกใจ รีบเบี่ยงตัวออกทันที
“เกิดกระไรขึ้น เสียงเอะอะมะเทิ่ง ได้ยินไปถึงข้างในร้าน”
พวกทหารอึกๆอักๆ ไม่มีใครกล้าตอบซักคน
แมงเม่ามองการแต่งกายขันทองด้วยความประหลาดใจ
“เป็นนายของทหารพวกนี้รึ ถ้าใช่ก็ดีแล้ว ทหารพวกนี้กันหน้าร้านไว้ ไม่ให้คนเข้าไป แล้วยังใช้กิริยาวาจาโอหังอีก”
ขันทองปรายตามองทหารทั้งคู่ ทั้งคู่กลัวมาก ก้มหน้าไม่กล้าสบตา
ขันทองหันมาพูดกับแมงเม่า
“ฉันต้องขอประทานโทษแทนคนของฉันด้วย ฉันเป็นคนสั่งให้กั้นหน้าร้านไว้เอง ด้วยฉันรับคำสั่งจากฝ่ายใน
ให้มาเลือกซื้อเครื่องหอม แลเครื่องหอมร้านนี้ก็ดีที่สุดในอโยธยา เพียงแต่ข้าวของมีมากนัก ฉันต้องค่อยๆเลือกเพื่อมิให้ผิดพลาด ขอเจ้าอย่าถือสาเลย แลจงมาใหม่ในวันพรุ่งเถิด”
“พูดจาอย่างนี้ ค่อยระรื่นหูหน่อย ช่างเถิดเจ้าค่ะพระคุณ ฉันไปซื้อร้านอื่นก็ได้” แมงเม่ายกมือไหว้ “แลฉันก็ต้องขอประทานโทษพระคุณด้วยที่ทำให้เสียงานเจ้าค่ะ...” แล้วหันไปสั่งลูกน้อง... “ไป”
แมงเม่าเดินเลี่ยงไป ติ่น และผลโล่งอกที่ไม่มีเรื่อง รีบตามไปทันที
ขันทองมองตามแมงเม่าด้วยความสนใจที่กล้าผิดหญิง แต่ก็มีเหตุผล แถมเวลาจะพูดจาดี ก็พูดเพราะมีสัมมาคารวะดี ขันทองได้แต่ยิ้มบางๆ ออกมามองตามแมงเม่าไป
แมงเม่าเดินนำติ่น และผลมา เพื่อจะไปซื้อของที่ร้านอื่น
ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงขันทองดังขึ้นทางด้านหลัง
“ประเดี๋ยวก่อน”
แมงเม่า ติ่น และผล หันกลับไปตามเสียง เห็นขันทองเดินถือหีบใบขนาดกลางใบหนึ่งเข้ามาหาตน
แมงเม่ายิ้มเยาะ “นึกแล้ว มีหรือจะปล่อยให้ฉันไปโดยง่าย” แล้วชักสีหน้าบึ้งตึง เตรียมมีเรื่อง
“ว่าอย่างไรเจ้าคะ จะหาเรื่องหาราวกระไรก็ว่ามา”
ผลหน้าเสีย กระซิบ “พูดกระไรอย่างนั้นแม่หญิง”
แมงเม่าทำหน้าดุใส่ผลที่พูดมาก
ขันทองเดินถือหีบเข้ามาถึง
“ฉันทำให้เจ้าไม่ได้ซื้อข้าวของ รู้สึกผิดนัก จึงเอาของมาให้เจ้าเลือก อยากได้กระไรก็เอาไปเถิด”
แมงเม่าผิดคาด นึกไม่ถึงว่าขันทองจะทำแบบนี้ “ให้ฉันเลือกหรือเจ้าคะ”
ขันทองยิ้มเล็กน้อย “ฉันว่าฉันพูดเสียงดังฟังชัด หรือ เจ้าหูตึง”
แมงเม่าหน้าหงิกงอ ถึงขันทองจะใจดีแต่ก็กวนไม่น้อย “เป็นพระคุณเจ้าค่ะ”
แมงเม่าเปิดหีบใบนั้นออก เห็นเครื่องหอมหลายอย่าง ทั้งแป้ง น้ำอบ น้ำปรุงฯลฯ อยู่ในหีบเต็มไปหมด แมงเม่าเลยค่อยๆเลือก
“จะให้ฉันยืนถือหีบอยู่อย่างนี้รึ”
แมงเม่าเงยหน้ามองขันทองประมาณจะเอาไงเนี่ย
“อ้ายติ่น รับหีบจากคุณหลวงซี”
“ขอรับ”
ติ่นเข้าไปรับหีบจากขันทอง
“เลือกได้แล้ว ก็เอาที่เหลือไปคืนฉันที่ร้าน ราคาค่างวดเท่าใด ฉันจะออกให้ ถือเป็นการไถ่โทษที่คนของฉันทำกิริยาไม่งามกับเจ้า”
ขันทองพูดเสร็จจะเดินเลี่ยงไป
“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
ขันทองหันกลับมา
แมงเม่าหยิบแป้งหอมตลับเล็กๆจากในหีบออกมา แล้วยกหีบจากติ่นเอามาให้ขันทอง
ขันทองรีบรับหีบไว้อย่างงงๆ
แมงเม่ายิ้มกวนๆ
“ฉันเลือกได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณหลวงนัก เชิญเอาที่เหลือกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
ขันทองไม่พอใจ
“ฉันไม่ใช่บ่าวเจ้านะ เอามาให้เลือกแล้วยังให้ฉันขนกลับอีกรึ”
แมงเม่าทำท่าแคะหู กวนๆ
“อุ๊ย ฉันหูตึงเจ้าค่ะ ไม่ได้ยินที่คุณหลวงพูดเลย ขอประทานโทษนะเจ้าคะ” แล้วยกมือไหว้ “ลาอีกทีเจ้าค่ะ”
แมงเม่าเดินถือตลับแป้งหอมดูไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนติ่นและผลก้มหน้างุดกลัวๆ รีบตามเจ้านายสาวไปติดๆ
ขันทองมองตามด้วยความเจ็บใจ อุตส่าห์ใจดีมีน้ำใจให้แล้วยังมาทำแบบนี้ อย่าให้เจอตัวอีกก็แล้วกัน
บนเรือน มิ่งกำลังหงุดหงิดที่แมงเม่าหายหัวไปแต่เช้า
ชื่นกำลังตรวจทานบัญชีไป ฟังสามีบ่นไป ส่วนม่วงลูกชายคนโต ก็กำลังอ่านอ่านหนังสือเก่าๆที่ลูกค้าเอามาให้ซ่อมอยู่ พร้อมคิดหาวิธีว่าจะซ่อมยังไงดี
ตามปกติ บ้านผู้ดีสมัยโบราณจะไม่ให้บ่าวไพร่ผู้ชายขึ้นบนเรือน บนเรือนจะมีแต่เฉพาะบ่าวไพร่ผู้หญิง แต่บ้านมิ่งเป็นเศรษฐีไม่ใช่ขุนนาง และยังเปิดเป็นโรงงานทำกระดาษอีก ธรรมเนียมนี้จึงไม่เข้มงวดนัก
มิ่งยังหงุดหงิดอยู่
"มันน่าจะเปลี่ยนชื่อจากแมงเม่าเป็นนกรู้นัก อ้ายลูกคนนี้ รู้ว่าจะมีคนมาดูตัว เลยหายหัวกบาลไปตั้งแต่ไก่โห่ ทำให้ข้าต้องเสียหน้าอีกแล้ว"
ชื่นตรวจบัญชีไปคุยไป "คุณพี่ก็ทราบ ว่าเจ้าแมงเม่าไม่อยากออกเรือน ก็ไม่ควรไปบังคับนี่เจ้าคะ"
มิ่งโวยวาย "ถ้าฉันบังคับมันได้จริง มันออกเรือนไปตั้งแต่โกนจุกแล้ว ไม่อยู่มาฉีกหน้าฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ดอก"
มิ่งกำลังหงุดหงิด เมินหน้ามองไปทางอื่น เลยไม่ทันสังเกตว่าแมงเม่าค่อยๆย่องเบาขึ้นเรือนมา
ชื่นเหลือบเห็นแมงเม่าเข้า ก็รีบส่งสายตาให้แมงเม่าหลบไปข้างใน ไม่ต้องเจอพ่อ
แมงเม่าพยักหน้า แล้วเดินย่องเบาๆจะหลบไป
ม่วงอยากแกล้งน้อง
"มาแล้วรึเจ้าแมงเม่า ไปถึงไหนมาล่ะ"
มิ่งหันขวับมาทันที "อ้ายวอก มานี่"
แมงเม่าหันไปถลึงตาใส่พี่ชาย ม่วงยิ้มขำๆสะใจเล็กๆ แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้อ่านหนังสือเก่าที่เป็นลักษณะเหมือนคัมภีร์ใบลาน ไม่ได้เย็บเป็นเล่มเหมือนสมัยนี้ เพื่อหาทางซ่อมต่อ
แมงเม่าเปลี่ยนมาอ้อนพ่อทันที
"พ่อจ๋า ลูกชื่อแมงเม่า ชื่อนี้ก็ได้ประทานมาจากกรมขุนวิมลท่านเชียวนา ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อลูกเป็นวอกเสียล่ะจ๊ะ"
"ก็เอ็งมันไวปานวอกนักนี่ รู้หรือไม่ ว่าวันนี้ที่เอ็งหนีการดูตัว ข้าต้องเจอกระไรบ้าง"
"ลูกก็แค่ออกไปซื้อแป้งหอมให้น้าชื่นเท่านั้นเอง" แมงเท่าหยิบตลับแป้งออกมาแล้วเดินเข้าไปให้ชื่น "นี่จ้ะน้าชื่นจ๋า"
ชื่นรับตลับแป้งมา ยิ้มแย้ม "ขอบน้ำใจนัก แป้งน้าเพิ่งหมด ว่าจะไปซื้ออยู่เทียว ช่างรู้ใจน้าเหลือเกิน"
แมงเม่าเข้าไปกอดชื่น อ้อนสุดฤทธิ์ "ก็ฉันรักน้าชื่นนี่จ๊ะ น้าชื่นก็เหมือนแม่ฉัน ตั้งแต่แม่เสียไป ก็ได้น้าชื่นเฝ้าถนอมกล่อม เกลี้ยงเลี้ยงดูฉันมา ฉันจะไม่รักน้าชื่นได้อย่างไรล่ะจ๊ะ"
ชื่นเป็นน้องสาวแท้ๆของแม่แมงเม่า
ชื่นปลาบปลื้มมาก "แม่คุณของน้า"
"พอๆๆ เอ็งไม่ต้องมาติดสินบนแม่ชื่นด้วยแป้งตลับเดียวดอกวะ ถึงอย่างไร เอ็งก็ต้องดูตัว โดยจำเพาะวันพรุ่ง คุณท้าวข้างในท่านเป็นแม่สื่อด้วยตัวเอง เอ็งจะหายหัวกบาลเหมือนวันนี้ไม่ได้อีกเป็นอันขาด"
แมงเม่าจ๋อย เซ็งสุดๆแต่ก็ทำพ่อเดือดร้อนมากกว่านี้ไม่ได้ "เจ้าค่ะ"
แมงเม่าเดินหน้าหงิกไป เห็นม่วงกำลังอ่านหนังสือเก่าอยู่ ไม่ทันระวัง เลยฉกหนังสือมาจากมือม่วงเป็นการเอาคืน แล้ววิ่งหนีไปทันที
ม่วงตกใจ "เฮ้ย เจ้าแมงเม่า เอาคืนมา"
ม่วงรีบตามน้องไปทันที ชื่นมองพี่น้องเล่นกันแล้วยิ้มขำๆ แต่มิ่งส่ายหน้าระอาในความแก่นของลูกสาวเต็มทน
แมงเม่าวิ่งหนีม่วงมา แล้วแอบอ่านหนังสือเก่าไปด้วย
ม่วงวิ่งตามมาทันจะเอาหนังสือคืน แต่แมงเม่ารีบหลบ ไม่ยอมให้คืนง่ายๆ
"คืนพี่มาประเดี๋ยวนี้เลย ออกญาท้ายน้ำท่านให้เอามาซ่อมแซม เกิดเสียหายไปมากกว่านี้ พี่จะถูกตำหนิเอา"
แมงเม่าคืนหนังสือให้ "อยากได้ก็เอาไป แค่กลบทเท่านั้น ไม่เห็นมีกระไรแปลกพิสดาร"
ม่วงรับหนังสือมา แปลกใจ
"เอ็งรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกลบท อักษรในนี้มันเลือนเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง"
"ถึงจะไม่กี่ตัว แต่อ่านดูก็รู้แล้ว" แมงเม่าท่องกลบทออกมา
"นางร้อง น้องร่ำ เลิศล้ำนาง เสียงร้อง สองร่าง สำอางเสียง กลบท กบเต้นกลางสระบัว ง่ายออกจะตาย"
ม่วงเปิดหนังสือดูตาม นึกไม่ถึง
"เออ ถ้าเอากลบทของเอ็งใส่ลงไป ก็พอดีกับตัวอักษรที่เหลืออยู่จริงๆ" ม่วงยิ้มดีใจ "เอ็งนี่มันมีความรู้มาก
ผิดหญิงทั่วไป ถ้าอย่างไร มาช่วยข้าซ่อมแซมให้ออกญาท้ายน้ำทีสิ"
แมงเม่ายิ้มเจ้าเล่ห์
"ได้ซี แต่วันพรุ่ง พี่ม่วงต้องช่วยฉันตอนดูตัวด้วย ตกลงหรือไม่ล่ะ"
ม่วงส่ายหน้ายิ้มขำๆ
"เอ็งนี่น๊า เอาๆ ข้าจะช่วยเท่าที่ไม่โดนพ่อด่าก็แล้วกัน"
แมงเม่ายิ้มดีใจหน้าเป็น หาทางดึงม่วงมาช่วยตนสำเร็จจนได้
บรรยากาศในพระบรมมหาราชวังยามบ่าย สวยงาม โอ่โถง
นางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินสวนกันมา โดยถือพานใส่ดอกไม้ อาหารคาวหวานมาด้วย
แต่ทันใดนั้นเอง ขบวนของเจ้าจอมเพ็ญก็เดินผ่านมา เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่บนเสลี่ยงคานหาม โดยมีโขลนหลายคนเป็นคนแบกหาม และมีนางข้าหลวงอีกจำนวนหนึ่งห้อมล้อมมา
โขลน คือตำรวจวังที่เป็นผู้หญิง ส่วนมากจะตัวใหญ่ แข็งแรง และมีฝีมือการต่อสู้ เพื่อปกป้องสนมของกษัตริย์หากมีศัตรูบุกเข้ามา
พวกข้าหลวงเห็นเจ้าจอมเพ็ญ ก็รีบคุกเข่าลงทันที ก้มหน้าไม่กล้าสบตา
เจ้าจอมเพ็ญแต่งตัวสวย สง่า มาดดุจนางพญานั่งอยู่บนเสลี่ยงคานหาม และยิ่งให้โขลนมาแบกหามอีก ก็ยิ่งแสดงถึงอำนาจบารมีของเจ้าจอมเพ็ญที่มีมากเกินเจ้าจอมทั่วไปในขณะนั้น
เวลาต่อเนื่อง บริเวณศาลาในวัง
เจ้าจอมอำพันรับขวดน้ำหอมจากหลวงศรีมะโนราชที่นั่งพับเพียบอยู่ โดยมีขุนเทพชำนาญ
ขุนเทพรักษา นั่งพับเพียบอยู่ห่างออกไป
หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษา เป็นขันทีจากตุรกีเช่นเดียวกับพระราชาข่าน จึงมีการแต่งกายรูปแบบเหมือนกัน และเหมือนขันทองด้วย
ในขณะที่เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเจ้าจอมอำพัน มีขันทอง และแน่น นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆคอยรับใช้
เนื่องจากพระราชาข่านพลั้งมือจนเป็นเหตุให้ศรีขันทินตัวจริงเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน พระราชาข่านจึงให้ขันทองที่ติดสินบน ปลอมตัวมาเป็นขันทีจากตุรกี
ขันทอง เป็นออกหลวงศรีขันทิน ส่วนแน่น เป็นขุนจิตใจภักดิ์
อำพันอวดเต็มที่
"นี่เป็นน้ำปรุงจากเมืองฝาหรั่ง ที่พ่อค้าชาวจีนนำเข้ามาขาย ทั้งอโยธยามีไม่ถึงสิบขวด ฉันทราบมาว่าแม่เพ็ญชอบ ก็เลยหามาฝากจ้ะ"
เจ้าจอมอำพันส่งขวดน้ำหอมให้ แน่นรีบคลานเข่ามารับไปให้เจ้าจอมเพ็ญ
เพ็ญปั้นยิ้ม
"ขอบน้ำใจแม่อำพันนัก ที่สู้อุตส่าห์เอาของหายากมาให้ฉัน ฉันไม่มีกระไรตอบแทน นอกจากของเล็กๆน้อยๆ ขอแม่อำพันโปรดรับไว้เถิด"
ขันทองคลานเข่า เอาตลับแป้งหอมไปให้เจ้าจอมอำพัน
เจ้าจอมอำพันรับตลับแป้งมา "แป้งหอมรึ เอามาจากที่ใดกันเล่า หลวงศรีขันทิน"
"นำมาจากร้านแม่ทิพย์ที่ขายเครื่องหอมเจ้าค่ะ"
หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพรักษา ขุนเทพชำนาญหันไปสบตากันแล้วยิ้มเยาะ
ขุนเทพชำนาญบอก "ร้านนี้ฉันรู้จัก นับว่าขึ้นชื่อที่สุดในอโยธยาเทียว ใครพอมีเบี้ยมีอัฐล้วนไปซื้อหาที่นี่ทั้งสิ้น"
ขุนเทพรักษาปั้นยิ้ม
"ออกหลวงท่านเป็นคนไปซื้อหามารึ ช่างเข้าใจซื้อนัก"
เจ้าจอมอำพันยิ้มเล็กน้อย แม้จะเป็นของดี แต่ก็ไม่ใช่ของหายาก มีเงินก็ซื้อได้ แสดงว่าตนชนะใสๆ
"แต่แป้งตลับนี้ ไม่เหมือนแป้งตลับอื่น ขอเพียงเปิดตลับออกดู ก็จะทราบว่าแตกต่างกันอย่างไร"
เจ้าจอมอำพันยิ้มขำๆ
"ถึงขั้นนั้นเชียวรึออกหลวง" แล้วเปิดตลับแป้งออก เอามาดม แปลกใจ
"ประหลาด กลิ่นหอมนัก แต่ก็ไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน"
เมื่อลองจับเนื้อแป้งดู ทึ่ง "เนื้อละเอียดเหลือเกิน ทำได้อย่างไรกัน"
"แป้งตลับนี้ เจ้าของร้านเพิ่งปรุงขึ้นมาใหม่ ยังไม่เคยขายมาก่อน มีเพียงตลับเดียวเท่านั้นในอโยธยา แต่แรกก็ไม่ยอมขาย ดีฉันต้องอ้อนวอนอยู่นานกว่าจะได้มาเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมอำพันกับพวกอึ้งไป นึกว่าจะข่มได้ แต่กลับเจอเจ้าจอมเพ็ญข่มกลับ เอาของหายากกว่ามาให้แทน
ศรีมะโนราชพูดหน้านิ่ง "คุณหลวงช่างมีอุตสาหะนัก ของเช่นนี้ ก็ยังหามาได้อีก มิน่าเล่า มาอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรดาศักดิ์เท่ากันกับฉันแล้ว"
"ออกหลวงท่านชมเชยเกินไปแล้ว ดีฉันยังด้อยนัก ต้องขอ คำสั่งสอนจากออกหลวงท่านด้วย"
ขันทองคลานเข่ากลับไปหาเจ้าจอมเพ็ญตามเดิม
เพ็ญยิ้มข่ม
"ฉันหวังว่าคงถูกใจแม่อำพันนะจ๊ะ แลเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของแม่อำพัน หากมีสิ่งใดขาดเหลือ ก็บอกฉันได้" เจ้าจอมเพ็ญยกมือไหว้ "ฉันจะกราบทูลพระพุทธเจ้าอยู่หัวให้"
เจ้าจอมเพ็ญข่มกลับ นอกจากจะเอาของดีกว่าให้ไปแล้ว ยังข่มว่าตนเป็นคนโปรดอีกต่างหาก มีอะไรก็กราบทูลได้ทันที
เจอข่มแบบนี้ เจ้าจอมอำพันเลยชักสีหน้าหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจมาก แต่ต้องระงับอารมณ์ไว้
"ขอบน้ำใจจ้ะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มบางๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
เจ้าจอมเพ็ญออกจากศาลา มาที่ทางเดิน ซึ่งมีเหล่าโขลน นางข้าหลวง รอเจ้าจอมเพ็ญอยู่ที่เสลี่ยง ขันทอง และแน่น ตามมาด้วย
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม
"หิ่งห้อยไม่ควรแข่งแสงกับพระจันทร์ ครานี้ แม่อำพันคงจะได้รู้แล้วกระมัง"
ขุนจิตใจภักดิ์ปั้นยิ้ม
"คาดว่าคงเข็ดไปอีกนาน ดีไม่ดี อาจจะไม่กล้าอีกเลยเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะเล็กน้อย
"ท่านขุนพูดถูกใจฉัน เอาไว้ฉันจะบำเหน็จให้ท่านทั้งสองเอง" เจ้าจอมหันไปพูดกับขันทอง
"โดยจำเพาะคุณหลวง ครานี้ มีความชอบนัก ฉันจะบำเหน็จให้อย่างงาม"
"เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง พวกโขลนหามเสลี่ยงขึ้น แล้วเคลื่อนขบวนออกไป โดยมีนางข้าหลวงเดินห้อมล้อม
ขันทอง และแน่นมองตาม แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ด้านหนึ่งเป็นกลุ่มหลวงศรีมะโนราช และพวก
หลวงศรีมะโนราชมองตามขันทองไปด้วยสายตาเกลียดชัง
ขุนเทพรักษาริษยาจับใจ "อ้ายพวกขี้ประจบประแจง น่ารังเกียจนัก"
ขุนเทพชำนาญบอก "เราอยู่มานานกว่าแท้ๆ จะปล่อยให้พวกมันแย่งความดีความชอบไปอย่างนี้รึ คุณหลวง"
หลงวงศรีมะโนราชเจ็บใจ "ถ้าไม่ใช่เพราะออกพระราชาข่านคอยปกป้องมันล่ะก็ มีรึ มันจะอยู่ถึงป่านฉะนี้ได้" ขบกรามแน่น "แต่พวกเอ็งคอยดู ไปเถิด ข้าจะทำให้มันถูกส่งกลับโต้ระกี่ให้จงได้"
ขันทองเดินกลับเข้ามาในเรือน โดยมีแน่นเดินตามมา
แน่นยิ้มๆ "พวกผู้หญิงนี่ช่างวุ่นวายนัก เรื่องมิเป็นเรื่องเลย ก็แข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย พลอยลำบากคนอื่นไปด้วย จริงหรือไม่วะ อ้ายขันทอง"
ขันทองตกใจ รีบไปชะโงกหน้าดูที่ประตูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครก่อนจะรีบปิดประตูลง
ขันทองหน้าเครียด เตือน "เอ็งอย่าเผอเรออย่างนี้อีกนะอ้ายแน่น ใครมาได้ยินเข้าจะหัวขาดกันหมด อย่าลืมว่า ข้าไม่ใช่ขันทอง ส่วนเอ็งก็ไม่ใช่อ้ายแน่น"
"พุทโธ่ อ้ายขันทอง เราอยู่กันในเรือน ไม่มีใครสักหน่อย เอ็งจะระแวงมากเกินไปกระมัง"
ขณะนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมากจากทางด้านหลัง มาจับบ่าแน่น
แน่นสะดุ้งเฮือก ตกใจมาก "เฮ้ย ! "
ขันทอง และแน่น หันไปมองตาม เห็นพระราชาข่านยืนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว อยู่ด้านหลังแน่นถอนใจโล่งอก
"คุณพระน่ะเอง ฉันใจหายหมด"
ราชาข่านหน้าเครียดมาก
"ใจหาย ก็ยังดีกว่าหัวหาย ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าต้องรอบคอบ จะให้ใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ว่าพวกเอ็งไม่ใช่ขันที"
แล้วหยิบมีดโกนสำหรับโกนหนวดวางกระแทกลงบนโต๊ะ "แล้วที่ข้าเจอตรงหัวนอนนี่คือกระไร ขันที ต้องใช้มีดโกนเพื่อโกนหนวดด้วยรึ"
ขันทีทั่วไปไม่มีหนวด ! แต่ขันทอง และแน่น หน้าเสีย พวกตนต้องใช้มีดโกนหนวดทุกวัน เพื่อไม่ให้คนจับได้ว่าไม่ใช่ขันที
แน่นหน้าจ๋อยๆ
"ความผิดฉันเอง อย่าโทษขันทองมันเลยคุณพระ ฉันสัญญาว่าคราหน้าจะเก็บให้มิดชิด ไม่หลงลืมอย่างนี้อีก"
ราชาข่านไอโขลก เครียดสุดๆ
"เป็นเพราะเรื่องครานั้นแท้ๆ ข้าถึงต้องตกกระไดพลอยโจนมากับพวกเอ็ง ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ"
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน
พระราชาข่านโยนกริชเปื้อนเลือดทิ้งด้วยความตกใจสุดๆที่ฆ่าสิขันทินตาย โดยมีขันทอง พันหาญ และแน่น ยืนเครียดอยู่ ที่เหตุการณ์พลิกผันจนมีคนตาย
ราชาข่านกลัวสุดๆ "ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มัน มัน..."
ขันทองตั้งสติได้ก่อน
"ใจเย็นก่อนคุณพระ ตอนนี้เราต้องหาทางแก้ไข มิใช่ตื่นกลัว โทษทัณฑ์เรื่องนี้ หนักเพียงใดรึ"
ราชาข่านกลัวสุดๆ
"ฆ่านักเทศขันทีของราชสำนัก แม้จะยังไม่ได้ถวายตัวรับใช้ แต่ก็ต้องถูกตัดหัวสถานเดียว"
ขันทองคิดตาม
"ถ้าขันทีผู้นี้ยังไม่เคยเข้าวัง ก็แสดงว่าไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อน" แล้วก็ฉุกคิดขึ้น "ถ้าเช่นนั้น หากฉันปลอมตัวเป็น
ขันทีผู้นี้เข้าวังไปล่ะ มิเพียงแต่จะยังสืบความลับได้ต่อไปตามเดิม ยังช่วยคุณพระให้มิต้องรับโทษได้อีกด้วย"
พระราชาข่าน พันหาญ คิดตามที่ขันทองพูด เริ่มเห็นด้วย
แน่นตกใจ
"เอ็งจะบ้ารึอ้ายขันทอง ปลอมเป็นขันทีเข้าวัง มิใช่ง่ายนะโว้ย ขนบธรรมเนียมกระไรพวกเราก็ไม่รู้ แลต้องอยู่ท่ามกลางสนมนางใน แต่ละคนก็งดงามปานนางฟ้า มีรึ ความจะไม่แตก"
"มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วอ้ายแน่น ถ้าไม่ทำเช่นนี้ คุณพระก็ต้องรับโทษ แลพวกเราก็หมดโอกาสที่จะสืบความลับด้วย"
พันหาญสนับสนุน"พ่อขันทองพูดถูกแล้ว แต่ขันทีที่มาใหม่คราวนี้มีสองคนไม่ใช่รึ"
ราชาข่านขบกรามแน่น ตัดใจ "อีกคน พักอยู่ที่เรือนแพถัดไป"
ขันทองฉุกคิดขึ้น ตกใจมาก
"ไม่ได้นะน้าพันหาญ เราจะฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยไม่ได้เป็นอันขาด"
"แต่ถ้าไม่ทำ แผนนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ พ่อขันทองคิดรึ ว่าขันทีอีกคนจะยอมปกปิดเรื่องนี้ให้เรา"
"แต่..."
พันหาญตัดบท
"บาปกรรมทั้งหมด น้าจะรับไว้เอง นับแต่นี้ พ่อขันทองกับอ้ายแน่นตั้งใจสืบความลับให้ดีก็แล้วกัน"
แน่นตกใจมาก "ฉันด้วยรึ"
"หรือเอ็งจะให้คนแก่อย่างข้าเข้าไปเป็นขันทีรึ ถามโง่ๆ"
พันหาญก้มลงหยิบกริชเปื้อนเลือด แล้วเดินออกจากห้องไป
ขันทองไม่สบายใจสุดๆ ที่การทำงานของตน ทำให้ต้องมีผู้บริสุทธิ์ต้องตายแบบนี้
พระราชาข่านเหลือบตามองศพสิขันทินด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว หายใจไม่ทั่วท้อง
พระราชาข่านกำลังเครียดหนัก
" ข้าไม่ควรรับสินบนแต่แรก มิฉะนั้น ก็ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวเช่นนี้ดอก" พลางไอโขลก "ทุกวันนี้ ข้าไม่เคยข่มตา
หลับสนิทได้เลยสักคืน"
ขันทองไม่สบายใจ
"ฉันรู้ ว่าพวกเราทำให้คุณพระเดือดร้อน แต่พวกเราก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว กฎเกณฑ์ในวังมีกระไร พวก
เราก็ทำตามมิเคยผิดพลาด แลหากวันใดได้รู้ความลับที่ต้องการ พวกเราก็จะไปเอง มิให้ภัยมาถึงคุณพระเป็นอันขาด"
" อยู่มาเป็นแรมปีแล้ว ข้ายังไม่เห็นพวกเอ็งสืบกระไรได้สักอย่าง"
รัราชาข่านไอโขลก
"พุทโธ่คุณพระ ความลับสำคัญเช่นนี้ มิใช่เดินไปถามแล้วเค้าจะบอกเสียเมื่อไหร่ เท่าที่พวกเราหามาได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้วนา" แน่นบอก
ขันทองปลอบใจ
"พักนี้ คุณพระก็เจ็บออดๆแอดๆ อย่าเอาเรื่องนี้มาบั่นทอนให้ทรุดลงไปอีกเลย เชื่อฉันเถิด ฉันไม่บิดพลิ้วดอก
แต่หากยังไม่สบายใจ จะให้ฉันสาบานต่อหน้าคมหอกคมดาบก็ได้"
พระราชาข่านได้ยกมือมือปัดๆ ขี้เกียจฟัง ยังไงก็ไม่เลิกระแวงก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ขันทองไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำงานของตนต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
บ้านมิ่ง ตอนกลางคืน ในห้องนอน ม่วงและอิน มีท่าทางกระอักกระอ่วนด้วยกันทั้งคู่
"เอ่อ พี่ พี่รู้ว่าเจ้ายังคิดถึงพี่สาวเจ้า พี่ก็คิดถึงแม่อิ่มไม่น้อยไปกว่ากัน แต่แม่อิ่มก็ตายไปนานแล้ว แลเจ้า"
ม่วงพูดอึกๆอักๆ "ก็ออกเรือนมาเป็นเมียพี่แทนแม่อิ่มก็หลายปี แต่ เอ่อ.."
อินหน้าจ๋อยๆ
"พี่ไม่ต้องพูดดอก ฉันรู้ ว่าพ่ออยากได้หลานไว้สืบตระกูล ฉันผิดเอง ที่มีลูกให้พี่ไม่ได้ หากพี่จะมีเมียใหม่ ฉันก็ ว่ากระไรดอกจ้ะ"
ม่วงถอนใจเฮือกใหญ่ "ถ้าพี่อยากมี พี่มีไปนานแล้วอินเอ๋ย แต่พี่เห็นเรือนที่มีหลายเมียมามาก แต่ไม่เคยเห็นเรือนใดเป็นสุขเลย หากเลือกได้พี่ก็อยากมีลูกกับเจ้ามากกว่า"
อินนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ รู้สึกผิดมาตลอด เพราะตั้งแต่ที่ตนแต่งงานกับม่วง ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันเลย แต่ม่วงก็ปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่บอกใครว่าอินเป็นฝ่ายผิด และยังไม่ยอมมีเมียน้อยอีก ในที่สุด อินก็ยอมตัดใจ พยักหน้าเป็นเชิงตกลง
ม่วงเห็นอินพยักหน้าตกลงก็ดีอกดีใจ เลยค่อยๆดึงอินเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ก่อนจะบรรจงจูบหน้าผากอิน
อินตัวสั่นเทา ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นสุดๆ
ม่วงค่อยๆโอบตัวอินแล้วล้มลงบนเตียงนอน อินหลับตาปี๋
ขณะที่ม่วงโน้มตัวอินลงบนเตียง อินค่อยๆลิมตา แต่เห็นม่วงเป็นภาพผู้หญิงห่มสไบเผชิญหน้าประชิดตน
ที่แท้เป็นอิ่มที่มองด้วยสายตาถมึงทึง เกลียดชัง อาฆาตสุดๆ ดูน่าหวาดกลัว
" มึงแย่งผัวกู กูจะฆ่ามึงให้ตาย อีน้องชั่ว"
อินกรี๊ดลั่นด้วยความกลัวสุดขีด
อินผลักม่วงออก กลัวสุดขีด ก่อนจะรีบลุกจากเตียงหนีห่างออกมาทันที
ม่วงหน้าขรึมลง เพราะเจอแบบนี้มาหลายครั้ง
"เห็นผีแม่อิ่มอีกแล้วรึ"
อินกลัวลนลาน พยักหน้ารับทั้งน้ำตา
ม่วงหน้าเครียดขรึม จะเดินเลี่ยงออกจากห้องไป
อินเข้าไปจับแขนม่วง กลัวจนร้องไห้
"ฉันขออภัยเถิดจ้ะพี่ม่วง แต่ฉัน ฉัน..."
"พอได้แล้ว"
อินกลัวจนร้องไห้สะอึกสะอื้น
"พี่ม่วง ฉันกลัวจริงๆ"
ม่วงตะคอกสวน โมโหมาก
"ข้าบอกว่าพอได้แล้วอย่างไรเล่า เมื่อเอ็งไม่รักไม่ชอบข้า ก็ไม่ต้องฝืนใจ แต่เลิกเอาเรื่องผีแม่อิ่มมาอ้างได้แล้ว ข้าไม่มีวันเชื่อดอก ว่าคนอย่างแม่อิ่มจะกลายเป็นผีมาหึงหวงข้ากับเอ็งได้ จะมีก็แต่เอ็งยังไม่ลืมอ้ายทิดคล้อย คนรักเก่าของเอ็งเสียมากกว่า ข้าผิดเองที่คิดว่าเอ็งมีใจให้ข้า หากรู้ว่าเอ็งรังเกียจข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่จับแม้แต่ชายสไบเอ็งเสียด้วยซ้า"
ม่วงสะบัดแขนออกจากอิน แล้วเปิดประตูออกจากห้องไปด้วยความโมโห
อินร้องไห้เสียใจ ตนกับม่วงปรับความเข้าใจกันไม่ได้ซักที นับวันมีแต่จะแย่ลงไป
เช้าวันใหม่...มิ่ง และชื่น คอยต้อนรับพินอบพิเทาคุณท้าวที่เดินขึ้นมาบนเรือนอย่างอ่อนน้อม
คุณท้าว เป็นข้าราชการฝ่ายในชั้นผู้ใหญ่ วัยประมาณ 50 เศษ ช่างพูดช่างคุย ไม่ดุ
มิ่งยิ้มแย้มต้อนรับ
"เป็นบุญของกระผมเหลือเกินขอรับ ที่คุณท้าวเมตตามาเยี่ยมเยียนกระผมถึงเรือน"
คุณท้าวยิ้มแย้ม
"พ่อมิ่งพูดราวกับเป็นคนอื่นคนไกลกันไปได้ กระดาษของพ่อมิ่ง ฉันก็สั่งเข้าไปใช้ในวังอยู่ไม่น้อย จะว่าไปก็คนกันเองทั้งนั้น"
มิ่ง และชื่น หัวเราะชอบใจ ยิ่งคุณท้าวพูดอย่างนี้ ยิ่งรู้สึกดี
ชื่นยิ้มแย้ม
"คุณท้าวเจ้าคะ คนที่จะมาดูตัวแม่แมงเม่า ยังไม่มาอีกหรือเจ้าคะ"
"อีกประเดี๋ยวก็คงมา อย่าห่วงเลย ฉันดูแล้ว พ่อคนนี้เป็นคนขยันขันแข็ง เอาการเอางาน แลมั่งมีไม่แพ้พ่อมิ่ง นับว่าสมกันราวอิเหนากับบุษบาเทียว"
มิ่งแปลกใจ
"เอ คนที่มั่งมีเท่ากับกระผม หากเป็นพ่อค้า กระผมก็รู้จักทุกคนนะขอรับ ผู้ใดกัน"
ขณะนั้นเอง ม่วงก็เดินขึ้นเรือนมา ม่วงหายไปทั้งคืนเพิ่งกลับ เสื้อผ้ายังอยู่ในชุดเดิมทั้งหมด
มิ่งเหลือบเห็นลูกชาย
"อ้ายม่วง นี่เอ็งเพิ่งกลับเอาป่านฉะนี้รึ ไปค้างอ้างแรมที่ใดมา"
ม่วงอึกๆอักๆ หน้าเสีย "เอ่อ ฉัน"
ขณะนั้นเอง กล้าก็เดินขึ้นมาบนเรือนเหมือนกัน
กล้ายิ้มเยาะ
"ลุงมิ่งอยากรู้จริงรึ ว่าเมื่อคืนอ้ายม่วงไปค้างที่ใด"
ม่วงตกใจ ก่อนจะโกรธจัด
" อ้ายกล้า นี่เอ็งเหิมเกริม ถึงขั้นเหยียบขึ้นมาบนเรือนข้าเชียวรึ จะมากเกินไปเสียแล้วโว้ย"
กล้าหัวเราะเยาะ เดินเข้าไปหาคุณท้าวแล้วไหว้คุณท้าว
"อย่าเพิ่งโมโหโกรธาไปเลย วันนี้ข้าไม่ได้มาท้าตีท้าต่อยเหมือนทุกคราว แต่ข้ามาสู่ขอแม่แมงเม่าน้องสาวเอ็งต่างหาก"
ม่วง และ มิ่ง ชื่นตกใจมาก ที่คนมาดูตัวคือกล้า !
ชื่นตั้งสติได้ก่อน โวยวาย
"ประเดี๋ยวก่อน วันนี้แค่มาดูตัว มิใช่สู่ขอ พ่อกล้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง"
คุณท้าวบอก "อ้าว ถ้าดูตัวแล้วถูกอกถูกใจกัน ก็สู่ขอกันไปเสียวันนี้เลยซี จะได้ไม่ต้องมาอีก" พูดก่อนชักสีหน้าหน้าบึ้งตึง "หรือพ่อมิ่งกับแม่ชื่นเห็นว่าฉันมียศศักดิ์ไม่พอ ไม่คู่ควรจะสู่ขอก็ว่ามา"
มิ่งหน้าเสีย "เอ่อ มิได้ขอรับ แต่..."
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแมงเม่าดังขึ้น
" ช่างเป็นบุญของฉันนัก ที่พี่กล้ามาสู่ขอฉันถึงเรือน"
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นแมงเม่าเดินออกมาจากข้างใน แมงเม่าแต่งตัวสวยมาก จนทุกคนตะลึง โดยเฉพาะกล้ากับคุณท้าว ถึงกับจ้องแมงเม่าไม่วางตา
คุณท้าวยิ้มแย้ม ชอบคนสวย "นี่รึแม่แมงเม่า ช่างงามนัก"
แมงเม่าเดินเรียบร้อยเข้ามาไหว้คุณท้าว คุณท้าวรับไหว้ด้วยความชื่นชม
แมงเม่ายิ้มหวานให้กล้า
"ว่าอย่างไรจ๊ะพี่กล้า จะเปลี่ยนใจหรือไม่"
กล้าหายตะลึงก็รีบจีบทันที "แม่แมงเม่างามถึงเพียงนี้ ใครเปลี่ยนใจ ก็โง่เง่าจนมิใช่คนแล้วล่ะจ้ะ ถ้าแม่แมงเม่าไม่รังเกียจพี่ ก็ เรียกสินสอดมาเถิด เท่าใด พี่ก็ยอมจ่าย"
ม่วงโมโห
"บ๊ะ อ้ายกล้า เอ็งคิดจะหยามพวกข้า เลยแกล้งมาสู่ขอ มิใช่ข้าไม่รู้เท่านะโว้ย"
แมงเม่าตัดบท "ช่างเถิดจ้ะพี่ม่วง" แล้วหันไปพูดกับกล้า "เมื่อพี่กล้าให้ฉันเรียกสินสอด ฉันก็จะเรียก แต่ฉันไม่ขอสินสอดเป็นแก้วแหวนเงินทองดอกนะ เพราะบ้านฉันก็มีมากโข ให้ใช้จนตายก็ไม่หมดแล้ว"
แมงเม่าเดินไปนั่งบนตั่ง ด้วยมาดมีสง่าราศี
"ฉันขอเพียงพี่กล้า คลานเข่ามากราบฉันแทนสินสอดก็พอ"
มิ่ง ชื่น และคุณท้าวตกใจ แต่ม่วงยิ้มสะใจ
โมโหมาก "จะมากไปเสียแล้วโว้ยนังแมงเม่า ถึงกับจะให้ข้าคลานไปกราบเอ็งเชียวรึ"
ม่วงยิ้มสะใจ "เมื่อเอ็งไม่ทำ ก็ถือว่าจบสิ้นการดูตัว กลับเรือนเอ็งไปได้แล้ว"
กล้าแค้นจัด หันไปพูดกับคุณท้าว "คุณท้าวขอรับ พวกมันทำเช่นนี้ เท่ากับไม่ไว้หน้าคุณท้าวเลยนะขอรับ ถึงจะร่ำรวยเพียงใด ก็เป็นแค่ไพร่ โอหังบังอาจนัก"
แมงเม่า ลุกขึ้นยืน เสียงเฉียบขาด
" รู้หรือไม่ ว่าชื่อแมงเม่าของฉันมาจากผู้ใด เมื่อตอนยังเล็ก ฉันป่วยหนักเจียนตาย" แล้วยกมือไหว้ "กรมขุนวิมลภักดี
ท่านทรงเมตตาให้ฉันใช้ชื่อเดียวกับพระนามเดิมของท่านเป็นการแก้เคล็ด ฉันจึงรอดมาได้ ถ้าคิดจะสำแดงอำนาจบาตรใหญ่ ก็ไปเข้าเฝ้ากรมขุนท่านพร้อมกันเลย"
คุณท้าวตกใจ หน้าเสีย "จริงรึพ่อมิ่ง"
มิ่งยิ้มแหยๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
กล้าแค้นสุดๆ แต่อยู่เรือนคนอื่นทำอะไรไม่ได้ ชี้หน้าแมงเม่า
"เอ็งจำไว้นะนังแมงเม่า ชาตินี้ ข้าต้องได้เอ็งเป็นเมียให้จงได้"
กล้าโกรธจัดผุนผันจะเดินลงจากเรือน
แมงเม่าลุกเดินไปหากล้า
"ประเดี๋ยวก่อน"
กล้าหันกลับมามอง แมงเม่าเดินเข้าไปหากล้า
แต่พอเข้าไปใกล้กล้า แมงเม่ากลับมองไปที่บันไดเรือนด้านหลังกล้า แล้วแกล้งทำสีหน้าตื่นตกใจ
กล้าแปลกใจ เลยหันหน้าไปมองตาม
ทันใดนั้น แมงเม่าก็ฉวยโอกาสถีบที่ก้นของกล้าจนกล้าเซถลาตกบันไดเรือนลงไป
กล้าทั้งตกใจ ทั้งกลิ้งตกบันไดลงมาจนเจ็บ "เฮ้ย โอ๊ยๆ"
ม่วงหัวเราะเยาะสะใจ แต่มิ่ง ชื่น และคุณท้าว ตกใจแทบช็อก
มิ่งหันไปมองลูกสาวด้วยความโมโห แต่แมงเม่าหันมายิ้มให้พ่อหน้าระรื่น มีความสุขมากที่ได้ถีบกล้าตกบันได
พระพุทธรูปในหอพระของในวัง กรมขุนวิมลภักดีกำลังก้มลงกราบพระพุทธรูป โดยมีแมงเม่านั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
กรมขุนวิมลภักดีกราบเสร็จก็หันไปพูดกับแมงเม่า
"พอก่อเรื่องเสร็จก็วิ่งมาหาฉัน ป่านฉะนี้ ฉันมิถูกนินทาป่นปี้ไปแล้วรึ ว่าให้ท้ายเจ้าจนเป็นเช่นนี้"
"ใครจะกล้านินทาเสด็จกันเพคะ แลที่หม่อมฉันมาเข้าเฝ้า" แมงเม่าปั้นหน้าจ๋อย "ก็เพราะเสด็จ ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่สัตว์ผู้ยาก หม่อมฉันไม่เห็นใครอีกแล้ว ที่จะมีเมตตาให้หม่อมฉัน เหมือนที่เสด็จทรงมี"
กรมขุนวิมลภักดีหมั่นไส้
"พอทำผิดล่ะก็ปากหวานเชียวนะ เอาเถิด กลับไปบอกพ่อเจ้าว่า ครานี้ถึงเจ้าจะทำเกินเลยไป แต่ถือว่าฉันขอให้พ่อเจ้ายกโทษให้เจ้าก็แล้วกัน"
แมงเม่าดีใจ ก้มลงกราบ
"เป็นพระกรุณาเพคะ แต่หม่อมฉันยังไม่อยากรีบกลับเรือน ขอหม่อมฉันอยู่ถวายรับใช้เสด็จก่อนนะเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีหน้าขรึมลง "วันนี้ไม่ได้ดอก เจ้ารีบกลับไปเถิด"
แมงเม่าแปลกใจ
"ทำไมเล่าเพคะ หม่อมฉันไม่ได้อ่านกลอนถวายมานานแล้วนะเพคะ ไม่เหมือนตอนที่เสด็จทรงบวชเป็นรูปชี หม่อมฉันอยากเข้าเฝ้าที่วัดเมื่อใดก็ได้ ได้ฟังเสด็จทรงสอนเรื่องกาพย์กลอน เป็นสุขเหลือเกินเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีถอนใจ ลูบหัวแมงเม่าด้วยความเอ็นดู
"แมงเม่าเอ๊ย มีเรื่องอีกมากที่เจ้ายังไม่รู้ เชื่อฉันเถิด กลับไปเสีย อย่าดื้อดึงอีกเลย"
แมงเม่าหน้าจ๋อยลงไป แต่ก็ต้องทำตามที่กรมขุนวิมลภักดีสั่ง
กรมขุนวิมลภักดีเดินออกมาจากหอพระ โดยมีแมงเม่าเดินตามหลังมา
พอออกมาก็เห็นขันทองกับพวกนางข้าหลวงยืนรออยู่ ขันทองกับพวกข้าหลวงเห็นกรมขุนวิมลภักดีก็รีบคุกเข่า และหมอบกราบลงทันที
ขันทองลอบเหลือบตามองเลยไปที่แมงเม่า จำเด็กสาวปากกล้าที่เจอหน้าร้านเครื่องหอมวันก่อนได้ รู้สึกสงสัยว่ามาอยู่กับกรมขุนวิมลภักดีได้ยังไง
กรมขุนวิมลภักดียิ้มทักทาย
"หลวงศรีขันทิน มาได้อย่างไรกัน"
แมงเม่ามองไปที่ขันทอง จำได้ทันทีว่าเป็นใคร เลยยิ่งมองอย่างสนใจ
"กระหม่อมออกเวรแล้วผ่านมา ทราบว่าเสด็จทรงไหว้พระอยู่ จึงอยู่รอเพื่อถวายรับใช้กระหม่อม"
" ขอบน้ำใจนักออกหลวง อยู่เวรมาจนป่านฉะนี้ คงจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว กลับไป..." กรมขุนวิมลภักดีฉุกคิดขึ้น เหล่ไปทางแมงเม่านิดนึง ก่อนจะพูดต่อ
"ฉันขอไหว้วานออกหลวงสักเล็กน้อยเถิด”
ขันทองแปลกใจ ที่กรมขุนวิมลภักดีพูดเหมือนจะให้ตนไปพักผ่อน แต่แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนใจ
ขันทองเดินเร็วนำแมงเม่ามาทางด้านหลังของวังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แมงเม่าพยายามเดินกวดให้ทันจะชวนคุย
ขันทองพยายามเดินเร็วหนี
แมงเม่าตัดพ้อ
"บางคนก็แปลกพิกล เคยพบเจอกันมาก่อนแท้ๆ แต่กลับทำเป็นจำกันไม่ได้"
แต่ขันทองก็ไม่สนใจ เมินหน้าใส่ ทำหน้าตาบึ้งตึงไม่พูดด้วยเดินนำไป
แมงเม่ายิ่งงงหนัก ว่าขันทองเป็นอะไร ไม่ยอมแพ้ รีบเดินแซงไปขวางหน้าเลย
ขันทองจำต้องหยุดเดินทันที ก่อนจะชนกับแมงเม่า
"ออกหลวงศรีขันทินใช่หรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองหน้าเครียดขรึม "ใช่"
"ทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่าเหตุใดเสด็จท่านถึงให้ออกหลวงมาส่งฉันที่หลังวัง แต่มิให้กลับออกไปทางด้านหน้า ทั้งที่อ้อมกว่ากันโขอยู่"
"ฉันไม่ควรต้องรู้ หน้าที่ของบ่าวไพร่ คือทำตามที่นายสั่ง มิใช่ถาม"
แมงเม่าหน้าหงิก หมั่นไส้สุดๆ ปั้นยิ้ม
"หรือเจ้าคะ หากเสด็จท่านทรงใช้ให้ออกหลวงฆ่าตัวตาย ออกหลวงก็คงจะทำโดยไม่ถาม" แล้วปั้นหน้าเศร้า "พุทโธ่ ช่างตายโดยไม่รู้กระไรเลย"
ขันทองหน้าบึ้งตึงหนักกว่าเดิม จ้องแมงเม่าเขม็ง
แมงเม่ากอดอก ลอยหน้าลอยตากวนๆ ไม่กลัว
ขันทองถอนใจ ไม่อยากเอาเรื่อง
"ฉันคาดเดาเอาว่า เสด็จท่านคงไม่อยากให้เจ้านายพระองค์อื่นทอดพระเนตรเห็นเจ้า จึงให้กลับมาทางหลังวัง"
แมงเม่าแปลกใจ
"ทำไมหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่อยากให้ทอดพระเนตรเห็นฉัน"
ขันทองถอนใจ
"ฉันบอกแล้วว่าคาดเดา จะให้ตอบทั้งหมดไม่ได้ดอก เข้าเฝ้าเสด็จเมื่อใด ก็ทูลถามเอาเองก็แล้วกัน ช่างถามนักมิใช่รึ"
แมงเม่าตีหน้าตาย พูดจายอกย้อนกลับ
"การถามเป็นสิ่งที่ดีนะเจ้าคะ ไม่รู้สิ่งใดก็ไต่ถาม ปัญญาก็จะพอกพูนขึ้น หากทำตามอย่างเดียวโดยไม่ถาม ก็คงดักดานไม่ได้รู้สิ่งใดใหม่เพิ่มขึ้นมาเลยนะเจ้าคะ"
ขันทองยิ่งหน้าหงิกหนักกว่าเดิม เบี่ยงตัว เดินนำลิ่วโดยไม่พูดอะไรอีก
แมงเม่าขำๆ รู้สึกสนุกที่ได้แกล้งหลวงศรีขันทินผู้นี้ ก่อนจะยิ้มขี้เล่นแล้วรีบเดินตามไปติดๆ
อ่านต่อตอนที่ 2