เพลิงรักไฟมาร ตอนที่ 23
คำผายเดินกึ่งวิ่งรีบร้อนมาหาตลับที่บริเวณฟร้อนต์ของรีสอร์ต
“ป้า มานี่หน่อย ฉันมีเรื่องให้ช่วย”
“มีอะไรคำผาย”
คำผายดึงตลับมาคุยตรงไม่มีใครอยู่ บอกเสียงเบาๆ ไม่ให้ใครได้ยิน
“งานด่วน ป้าไปช่วยฉันเก็บเสื้อผ้าของคุณธรหน่อย คุณนัยจะเอาไปโรงพยาบาล”
ตลับได้ยินว่าโรงพยาบาลก็ตกใจ อุทานลั่น
“โรงพยาบาล ทำไมต้องเอาไปที่นั่น”
คำผายถอนหายใจ เหลือบมองรอบๆ กลัวใครมาได้ยิน
“ฉันจะบอกเรื่องนี้แค่ป้านะ อย่าให้หลุดไปถึงหูคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะคุณประภา”
ตลับพยักหน้าตั้งใจฟัง คำผายกำลังจะเล่า
ระหว่างนี้ภัทร์ธีราเดินถือถาดอาหารของประภามาเก็บตามปกติ
“คือคุณธรแกเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลในจังหวัด”
ภัทร์ธีราชะงัก ได้ยินเข้าพอดี ถึงกับอึ้งไป ถาดในมือร่วงลงพื้นเสียงดังเปรื่องปร่าง ตลับกับคำผายตกใจหันไปมอง
“คุณจ๋า” ตลับอุทานลั่น
ภัทร์ธีราจ้องหน้าคำผาย “คำผาย เมื่อกี้ว่ายังไงนะ”
คำผายอึกอัก “เอ่อ...คือ...”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณธร”
อะไรบางอย่างทำให้ภัทร์ธีราถึงกับน้ำตาคลอ เป็นห่วงวิษธรขึ้นมา สองคนทำหน้าไม่ถูก
ทางด้านจิรดาตัดสินใจเปิดห้องพัก เวลานี้กำลังก็อปปี้ไฟล์คลิปวิดีโอจากโทรศัพท์ลงคอม ระหว่างรอจิรดาลุกขึ้นกดโทร.หาวิษธร แต่ใครคนนั้นไม่รับสาย สายถูกตัดไป จิรดากดโทร.ซ้ำอีก แต่วิษธรก็ไม่รับอยู่ดี
“ทำไมไม่รับสายซะที”
จิรดานั่งเครียด คิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี สักพักก็นึกบางอย่างออก รีบต่อสายหาอีกคนทันที
“ฮัลโหล...ฉันเองจิรดา ฉันมีเรื่องจะให้ช่วย”
จิรดาคุยกับปลายสายต่อสักพัก สายตามองจ้องที่จอคอมพ์ พบว่าไฟล์โหลดเสร็จเรียบร้อยจิรดายิ้มร้าย
พรพจีกลับจากงานสวดศพคืนแรกพร้อมกับสวาท ท่าทางอ่อนล้าโรยแรง สวาทประคองพาลงนั่งที่โซฟาโถงรับแขก
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ กลับมาพักที่บ้านก่อนก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกิดคุณจีเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่นะคะ”
“งานสุดท้ายของคุณริน ฉันก็อยากจัดการให้ดีที่สุด น้าหวาดไม่ต้องห่วงนะ ฉันยังรับมือไหว”
“แต่น้าไม่อยากเห็นคุณจีเป็นแบบนี้เลย เมื่อก่อนคุณจีสดใสแล้วก็มีชีวิตชีวากว่านี้”
“ไม่มีใครมีความสุขได้ตลอดหรอก ฉันน่ะเจอปัญหามาทั้งชีวิต เจออีกสักครั้งมันจะเป็นไรไป”
พรพจีฝืนยิ้มเพื่อให้สวาทสบายใจ แม้จะรู้ว่าพรพจีกำลังเป็นทุกข์หนัก แต่สวาทก็ไม่รู้จะปลอบยังไง
“น้าจะเชื่อคุณจีนะคะ คุณจีไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
พรพจีเหลียวไปมองที่ตีนบันไดถึงกับผงะนิดๆ ได้ยินเหมือนเสียงรถวีลแชร์เลื่อนมาตามพื้น สวาทซึ่งกำลังเดินกลับห้อง หยุดหันมาถาม
“คุณจีมีอะไรรึเปล่าคะ”
“น้าหวาดได้ยินเสียงอะไรไหม”
“เสียงอะไรคะ”
พรพจีนิ่งงันไป พยายามตั้งใจฟังอีกครั้ง โล่งใจเมื่อไม่มีเสียงอะไร
“สงสัยฉันคงหูฝาด ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
“ค่ะ แต่ถ้าคุณจีมีอะไรเรียกน้าได้เลยนะคะ จะให้น้าไปนอนเป็นเพื่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันอยู่ได้จริงๆ”
สวาทพยักหน้าให้แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเป็นห่วงเจ้านายไม่คลาย
พรพจีกวาดตามองไปรอบๆ คฤหาสน์ใหญ่โตทั้งหลัง เงียบสงัดจนดูผิดปกติ จึงลุกเดินขึ้นห้อง ขณะเดินผ่านหัวบันได ภาพเหตุการณ์วันนั้นก็หวนย้อนกลับมาหลอกหลวนอีกจนได้
นรินทร์ยิ้มเยาะ พรพจีไม่อยากมองหน้าจะเดินหนี นรินทร์พูดขึ้นมาลอยๆ
“น่าสงสาร คนบางคนพยายามแทบตายเพื่อจะให้ได้เด็กหนุ่มมาเยียวยาจิตใจต่ำๆของตัวเองให้ดูมีคุณค่า แต่สุดท้ายก็กลายเป็นอีแก่หน้าโง่ให้เขาหลอกเถือหนังเหี่ยวๆ ไปวันๆ”
นรินทร์ตวาดใส่ พรพจีหน้าชา กำมือจิกเล็บจนแน่น นรินทร์ชี้หน้าด่ากัดฟันพูดด้วยความอัดอั้น
“ฉันมันโง่ที่ถูกคนอย่างเธอหลอก คงสมใจแล้วสิที่น้องจ๋าหายไปได้ อีกไม่นานเธอก็คงกำจัดฉันทิ้ง เธอจะได้หนีไปเสวยสุขบนกองเงินกองทองที่หลอกคนอื่นเขามาทั้งชีวิต”
นรินทร์จิกพนักวีลแชร์แน่น โกรธและเจ็บปวดพอๆ กัน โต้กลับพรพจีอย่างรุนแรง
“ผู้หญิงอย่างเธอ ต่อให้พยายามทั้งชีวิตก็ไม่วันได้ใจไอ้งูพิษนั่น วันนึงมันจะกลับมาแว้งกัดเธอเหมือนที่เธอเคยทำไว้กับคนอื่น กรรมมันจะตามสนองเธอแล้ว พรพจี”
นรินทร์ดึงพรพจีไว้ อีกฝ่ายสะบัดออก ตะโกนใส่หน้าเสียงดังลั่น
“ปล่อยฉัน ฉันจะไปจากที่นี่ ฉันจะแต่งงานกับธร ฉันไม่แคร์อะไรอีกแล้ว ปล่อย”
นรินทร์กลิ้งตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงเสียงดังโครมคราม ร่างกระตุกๆ เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากศีรษะนองเต็มพื้น นรินทร์แน่นิ่งไป ดวงตาเบิกโพลงจ้องพรพจีอย่างเคียดแค้นน่าสยดสยอง
พรพจียืนนิ่งตั้งสติ มองไปที่หัวบันได ผวากลัวขึ้นมาจับจิต
“ไม่...ฉันไม่ได้ทำ...ฉันไม่ได้ทำ...ไม่”
พรพจีก้าวฉับๆ มาที่ห้องด้วยความหวาดกลัว ขณะจะเข้าห้องก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ พยายามตั้งสติ หันไปมองช้าๆ ปรากฏว่าไม่มีอะไร ไขกุญแจจะเข้าห้อง แต่แล้วก็มีเสียงแกร็กๆ เหมือนรถวีลแชร์เลื่อนไปตามพื้นดังขึ้นอีก และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พรพจีตัวแข็งทื่อ ปลายตามองซ้ายที ขวาที ด้วยสีหน้าหวาดระแวง ตะโกนถามดังลั่น
“ใคร”
เงียบไม่มีเสียงตอบกลับมา พรพจีรวบรวมความกล้าเดินหาไปทั่วบริเวณนั้น จู่ๆ เสียงรถเข็นก็ดังขึ้นอีก
พรพจีหันไปมองแล้วต้องสะดุ้งสุดตัว เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อพบว่ามีแต่รถวีลแชร์เปล่าๆ ของนรินทร์ตั้งอยู่ด้านหลัง
พรพจีผงะถดตัวถอยหนีมองรอบๆ สีหน้าระแวงหนัก จนไปชนกับเชิงบันได ทรุดตัวลงนั่ง หอบหายใจถี่ๆ หลับตาลง ยกมือปิดหูไม่อยากรับรู้ใดๆ พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา
“ไม่นะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
สักพัก เหมือนมีคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พรพจีชะงักลืมตาเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วต้องผงะ ช็อกตาตั้ง
“คุณ”
เป็นนรินทร์ยืนยิ้มอ่อนโยนมาให้ พรพจีเนื้อตัวสั่นเทา กลัวจับจิต
“คุณริน...คุณ...คุณยังไม่ตายเหรอ”
นรินทร์พูดกับพรพจี ทอดยิ้มมาให้ แววตาโศกศัลย์
“ผมจะทิ้งคุณได้ยังไง”
“แล้วทำไมคุณเดินได้ เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มันเป็นความฝันใช่ไหม...ใช่ไหม”
นรินทร์เดินเข้ามาหาใกล้ๆ ลงนั่งมองยื่นมือไปจับประคองใบหน้าพรพจีอย่างนุ่มนวลเต็มไปด้วยความรัก
“มันเป็นฝันร้าย ผมไม่เคยจากคุณไปไหน...”
“คุณ...ไม่โกรธฉันเหรอ”
“ผมรักจี ผมให้อภัยจีได้เสมอ ผมรักจีมากนะ มาก...จนอยากให้จีอยู่กับผมตลอดไป”
นรินทร์ยิ้มเยือกเย็นชวนขนลุกขนพอง
“หมายความว่ายังไง”
สักพักนรินทร์ก็เริ่มยิ้มแสยะ น่าสยดสยองออกมา เลือดค่อยๆ ไหลรินย้อยหยดลงมาจากศีรษะ พรพจีผงะ
“ไปอยู่กับผมนะจี อยู่กับผม อยู่ด้วยกันตลอดไป”
จู่ๆ มือนรินทร์เลื่อนมาจับคอพรพจีหมับ แล้วบีบแน่นขึ้นๆ เลือดจากศีรษะหยดรินลงมาเรื่อยๆ คล้ายกับตอนที่นรินทร์ตกลงไปเสียชีวิต
นรินทร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พรพจีตกใจกลัวจนจับขั้วหัวใจพยายามอิ้นหนีแกะมือออก กรีดร้องดังลั่น
“ไม่ ปล่อยฉัน ฉันจะอยู่กับธร ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่”
“ไม่มีวันที่เธอจะได้อยู่กับมันหรอก”
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย”
จังหวะนี้มีมือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามาจับตัว พรพจีกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง มือไม้ปัดเปะปะไปมา
“คุณจี เป็นอะไรรึเปล่าคะ นี่น้าเอง”
พรพจีเงยหน้าขึ้นเห็นสวาทก็ร้องไห้โฮออกมา บอกด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“น้าหวาด ช่วยฉันด้วย มันจะฆ่าฉัน....มันจะฆ่าฉัน”
สวาทแปลกใจ “ใครจะทำร้ายคุณจีคะ”
“ไม่รู้...ฉันไม่รู้”
สวาทกอดพรพจี ลูบหลังปลอบไปมา
“ไม่มีใครทำร้ายคุณจีทั้งนั้นนะคะ น้าอยู่ตรงนี้ น้าจะไม่ทิ้งคุณจีนะคะ”
พรพจีกอดสวาท เริ่มสงบลง แต่แววตายังเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ส่วนสวาทวิตกกังวลไม่หาย
เช้าวันต่อมา วิษธรกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ม่านแก้วมาเฝ้าไข้ดูแลว่าที่คู่หมั้นตามปกติ เวลานี้นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เตียง
สักพักจึงลุกไปที่ข้างๆ เตียง ขยับผ้าห่มจะห่มผ้าให้ดีๆ จู่ๆ มือของวิษธรก็เลื่อนมาจับที่มือม่านแก้วไว้
ม่านแก้วตกใจนิดๆ เขินหน่อยๆ อายจนหน้าแดง มองไปที่วิษธรเห็นว่ายังหลับอยู่
“พี่ธรคะ...”
ม่านแก้วจะพูดบางอย่าง แต่วิษธรกลับพูดขึ้นมาก่อน
“จ๋า...”
ม่านแก้วชะงัก รอฟัง แต่เขากลับเงียบไป
“พี่ธร เป็นอะไรรึเปล่าคะ พี่ธรเรียกหาใคร”
วิษธรไม่ตอบ จับมือม่านแก้วแน่นขึ้นแล้วเพ้อออกมาอีก
“จ๋า...ผมขอโทษ..ผมขอโทษ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ จ๋า...”
วิษธรยังจับมือม่านแก้วไม่ยอมปล่อย พึมพำชื่อภัทร์ธีราอยู่อย่างนั้น ทำเอาม่านแก้วอึ้งแล้วอึ้งอีก พึมพำออกมาเบาๆ
“คุณจ๋า”
ม่านแก้วจับมือวิษธรตอบ สีหน้าเศร้าลง อดสงสัยไม่ได้ว่าภัทร์ธีรากับวิษธรมีอะไรกันหรือเปล่า
ภัทร์ธีรารีบร้อนมาหาดนัยที่ออฟฟิศ พบว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ต่างคนต่างชะงักตกใจ
“คุณจ๋า”
“คุณนัยกำลังจะไปโรงพยาบาลใช่ไหมคะ”
ดนัยชะงัก อึ้งไปนิดหนึ่ง รีบปรับสีหน้าเป็นปกติ
“คุณจ๋ารู้ได้ยังไงครับ”
“คุณธรประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ”
“ภัทร์ธีรามองอย่างขอร้อง ในที่สุดดนัยก็จำใจต้องบอก”
“ครับ...แต่ มันขอร้องไม่ให้ผมบอกใคร”
“ทั้งๆ ที่อาจจะมีคนเป็นห่วงเขาอยู่เหรอคะ” ภัทร์ธีราโพล่งขึ้น
“คุณจ๋าหมายถึงใครล่ะครับ”
ภัทร์ธีราอึกอัก รีบหาข้อแก้ตัว
“คุณแม่ของคุณธรไงคะ”
“นั่นล่ะครับ ไอ้ธรมันถึงขอไม่ให้บอก แล้วผมก็ไม่เห็นว่าคุณจ๋าต้องใส่ใจ”
ภัทร์ธีรายิ่งพูดไม่ออก
“ฉัน...แค่กลัวเขาเป็นอะไรไปก่อนที่ข้อตกลงของเราจะเรียบร้อยน่ะค่ะ”
“เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงนะครับ มันใกล้จะจบแล้ว”
ภัทร์ธีราชะงัก สะดุดหู “หมายความว่ายังไงคะ”
“ไว้ถ้าคุณจ๋าได้เจอกับไอ้ธร คุณจ๋าก็จะรู้เอง”
“แล้วเมื่อไหร่ฉันถึงจะได้เจอเขาคะ”
ดนัยมองหน้าภัทร์ธีราอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
วิษธรตื่นแล้วนอนพักอยู่ในห้อง ม่านแก้วนั่งหั่นผลไม้อยู่ข้างๆ เสียงประตูเปิดออก วิษธรมองไปเห็นดนัยเดินเข้ามา
“พี่นัย สวัสดีค่ะ”
ม่านแก้วยิ้มทักดนัย แต่พอมองไปเห็นใครอีกคนตามเข้ามา วิษธรกับม่านแก้วก็นิ่งไป
“คุณจ๋า”
ภัทร์ธีราถือกระเป๋าเสื้อผ้าของวิษธรตามเข้ามา ดนัยหันไปบอกวิษธร
“ฉันให้คุณจ๋าช่วยเก็บเสื้อผ้ามาให้แกน่ะ”
“ขอบคุณมากนะพี่”
วิษธรเหลือบมองภัทร์ธีราแว่บหนึ่ง เห็นสายตาที่มองอย่างเป็นห่วงอยู่อีกฝ่ายก่อนจะเมินหนีไป วิษธรมองดูเวลาแล้วหันมาหาดนัย
“รบกวนพี่นัยช่วยพาน้องม่านไปกินข้าวหน่อยได้ไหมครับ”
วิษธรมองเลยดนัยไปที่ภัทร์ธีรา ดนัยเข้าใจ รีบรับปากบอกม่านแก้ว
“ได้สิ น้องม่านครับ เชิญครับ”
ม่านแก้วลุกขึ้นท่าทีงุนงง แต่ไม่อยากถามมาก ตามดนัยออกไปโดยดี
สองคนพ้นห้องออกไป ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ภัทร์ธีราเอากระเป๋าไปวางแก้เก้อ วิษธรพูดทำลายความเงียบขึ้น
“ตอนนี้แม่เป็นยังไงบ้าง”
“ท่านร่าเริงมากขึ้น ยอมกินยาครบ เลยไม่มีอาการซึมเศร้าหรือหวาดระแวงแล้วค่ะ”
“คุณดูแลแม่ผมได้ดีกว่าที่คิดนะ”
“ฉันทำตามสัญญาว่าจะดูแลคุณแม่คุณให้ดี”
“แล้วคุณก็ทำตามสัญญาที่จะชดใช้ทุกอย่างไปแล้ว”
วิษธรมองภัทร์ธีราด้วยแววตาอันเจ็บปวด ภัทร์ธีราเองก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน กลืนกล้ำก้อนแข็งๆ ที่แล่นขึ้นมาจุกลำคอไว้ แล้วฝืนพูดออกไปเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ภัทร์ธีราชะงักไปนิดหนึ่ง
“คุณว่าอะไรนะคะ”
“กลับบ้านของคุณเถอะจ๋า...คุณเป็นอิสระแล้ว”
ภัทร์ธีราอึ้งไป วิษธรเปิดลิ้นชักข้างเตียงหยิบกล่องที่เตรียมไว้ เปิดออก หยิบสร้อยเส้นเล็กๆ ออกมา
“ผมเสียใจที่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้...เสียใจที่ทำให้คุณไม่ได้อยู่กับคนที่คุณรัก ผมจะคืนทุกอย่างให้ แล้วก็หวังว่าคุณจะมีความสุขซักที”
ภัทร์ธีราจุกเจ็บปวดรวดร้าว น้ำตาคลอเต็มตา พูดอะไรไม่ออก
วิษธรยื่นสร้อยคริสตัลเส้นนั้นให้ภัทร์ธีรา
“ผมขอใช้สิ่งนี้ แทนคำขอโทษทั้งหมด หลังจากวันนี้เราอาจจะไม่เจอกันอีก แต่ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ผ่านมาของเรา ผมขอให้คุณโชคดีนะ ภัทร์ธีรา”
เสียงเรียกชื่อภัทร์ธีราดูห่างเหิน จนภัทร์ธีราแทบจะร้องไห้ออกมา แต่ฝืนกลั้น รับสร้อยเส้นนั้นมา
“ขอบคุณแล้วก็ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ลาก่อนค่ะ คุณวิษธร”
ทันทีที่หันหลังให้ภัทร์ธีราเดินน้ำตาร่วงเป็นสายออกไปในสภาพหัวใจสลาย วิษธรเองก็เสียใจ จนหยาดน้ำตาหยดรินออกมาจากหางตา ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็ง มองตามภัทร์ธีราไปจนประตูปิดลง
อีกฟากหนึ่ง สรัชแวะมาหาอิชยาถึงที่ทำงานอีกครั้ง เพื่อคุยเรื่องภัทร์ธีรา อิชยาลำบากใจมาก
“พี่ขอโทษที่มากวนถึงที่นี่ แต่พี่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ๋ากันแน่ แม้แต่งานศพอารินยังไม่มา”
“ที่ยารู้ยาก็บอกพี่เอ้ไปหมดแล้วนะคะ พี่เอ้อย่ามาคาดคั้นยาเลย ยิ่งพี่เอ้ถามยายิ่งลำบากใจรู้ไหมคะ”
อิชยาขอร้อง แต่สรัชไม่ยอมแพ้
“พี่รู้ว่าพี่ทำให้ยารู้สึกแย่ แต่จ๋าหายไปแบบนี้ มันอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับจ๋าก็ได้ พี่เป็นห่วงจ๋าจริงๆ”
สรัชเปิดข่าวสังคมที่เป็นเรื่องการขายหุ้นโรงแรมธาราในมือถือให้อิชยาดู
“เห็นนี่ไหมยา”
อิชยาอ่านพาดหัวข่าว “คุณวิษธรถอนหุ้นทั้งหมดจากธารา”
“ใช่ มันแปลกไหมที่จู่ๆ เขาถอนหุ้นออกจากกิจการที่กำลังไปได้ดีแล้วก็หายตัวไป”
“แต่มันอาจจะไม่เกี่ยวกับจ๋าก็ได้”
“เกี่ยวสิ เพราะพี่ไปถามคนรู้จักที่ทำงานที่นั่น เขาบอกว่าคุณวิษธรลาไปทำงานต่างจังหวัดร่วมเดือนแล้ว ช่วงเดียวกับที่จ๋าหายไปพอดี”
อิชยาคิดหนัก สุดท้ายยอมบอกออกไปว่า
“จ๋า...ไปสืบเรื่องคุณวิษธรค่ะ”
สรัชตกใจ “ว่าไงนะ”
“จ๋าสงสัยว่าคุณวิษธรมีน่าจะมีเบื้องหลังไม่น่าไว้ใจ เลยวางแผนกับยาให้ช่วยบอกว่าจะไปเที่ยวแล้วก็ไปสืบที่รีสอร์ตเขาที่สุโขทัย แค่นั้นล่ะค่ะที่ยารู้”
สรัชครุ่นคิด แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“จ๋าเคยให้พี่ช่วยแนะนำนักสืบให้ด้วย หรือว่าจะไปสืบเรื่องนี้”
สรัชกับอิชยามองหน้ากัน เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวบางอย่างได้
ด้านภัทร์ธีรากลับมาหาประภาที่บ้าน มองสร้อยที่วิษธรให้สีหน้าหมองเศร้า มองเข้าไปในห้อง เห็นประภานั่งอยู่ก็เข้าไปนั่งใกล้ๆ จับมือประภาขึ้นมาแนบหน้าตัวเองไว้
“ขอจ๋าอยู่แบบนี้สักพักนะคะ”
ประภาแปลกใจ
“น้องจ๋า มีอะไรรึเปล่า”
ภัทร์ธีราไม่ยอมตอบ ประภาไม่เซ้าซี้ถามลูบผมภัทร์ธีราเบาๆ ภัทร์ธีราทำใจสักพักก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้าวันนึงจ๋าไปจากที่นี่ คุณแม่จะคิดถึงจ๋าไหมคะ”
“ทำไมน้องจ๋าถามแบบนี้”
ภัทร์ธีราน้ำตาคลอ
“ถ้าจ๋าบอกคุณแม่ว่ากำลังจะไปจากที่นี่ คุณแม่จะโกรธจ๋าไหมคะ”
ประภาอึ้งไปนิดหนึ่ง หน้าเศร้าลง
“แล้วน้องจ๋าอยากไปจากที่นี่ไหม”
ภัทร์ธีราอึ้ง นิ่งงันไป ตอบไม่ถูกเหมือนกัน
“ทำไมล่ะ มีใครบังคับให้น้องจ๋าต้องไปเหรอ”
“ไม่มีใครบังคับจ๋าหรอกค่ะ แต่จ๋าจำเป็นต้องไป”
ประภาใจหาย น้ำตารื้นขึ้นมา
“ไม่...น้องจ๋าอย่าไป แม่จะให้น้องจ๋าอยู่ที่นี่”
“จ๋าขอโทษนะคะที่ต้องทำแบบนี้ แต่มันหมดเวลาของจ๋าแล้วค่ะ”
ประภาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ที่ภัทร์ธีราจะจากไป
“ทำไม...ทำไมคนที่ฉันรักถึงจากฉันไปหมดเลย”
ประภาร้องไห้สะอึกสะอื้น ภัทร์ธีราพลอยร้องไปด้วย
“ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ แล้วจ๋าสัญญาว่าวันนึง จ๋าจะกลับมาหาคุณแม่ ขอบคุณสำหรับความรักที่คุณแม่มีให้จ๋านะคะ”
ภัทร์ธีราก้มลงกราบลาประภากับตัก ประภากุมมือคู่นั้นน้ำตาไหลพราก ก้มลงกอดภัทร์ธีราเต็มรัก
ฝ่ายสรัชกับอิชยาตัดสินใจมาหาพรพจีถึงบ้าน เล่าเรื่องวิษธรให้ฟัง พรพจีฟังแล้วส่ายหน้าไม่เชื่อ
“น้องจ๋าน่ะเหรอหายตัวไปตั้งแต่เริ่มสืบเรื่องธร เป็นไปไม่ได้”
“ยากับพี่เอ้ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่พอมาคุยกันแล้วเริ่มปะติดปะต่อทุกอย่างได้ ว่าทุกอย่างเป็นแผนของคุณธรทั้งหมด”
พรพจีขมวดคิ้ว ไม่อยากเชื่ออยู่ดี
“แผนอะไรกัน”
“เขาวางแผนทำลายครอบครัวของอาจีไงครับ ทั้งเรื่องจ๋า เรื่องหุ้นโรงแรม”
พรพจีอึ้งไป เพราะรูปการณ์มันเป็นแบบที่สองคนนี้บอกทุกอย่าง แต่เธอก็ยังไม่ยอมเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ ธรไม่ใช่คนแบบนั้น”
“อาจีเชื่อพวกเราเถอะนะคะ จู่ๆ เราคงไม่ไปใส่ร้ายคุณธรหรอก”
“อาทำงานกับธรมานาน อารู้จักเขาดี แล้วเอ้กับยาก็แค่จับนั่นผสมนี่ขึ้นมาไม่มีอะไรจับต้องได้สักอย่าง จะให้อาเชื่อง่ายๆ ได้ยังไง” พรพจีว่า
“ที่ผมกับยาเล่าไปเป็นความจริงทั้งนั้นนะครับ” สรัชย้ำคำ
“อาจะไม่ปักใจเชื่ออะไรทั้งนั้น ถ้าไม่มีหลักฐาน”
สรัชกับอิชยามองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ
“ก็ได้ครับ ผมจะสืบให้ได้ว่านายวิษธรทำเรื่องชั่วอะไรไว้บ้าง แต่ผมอยากให้อาจีระวังตัวไว้ด้วย ก่อนที่จะสายเกินไป”
“ยากับพี่เอ้จะพยายามติดต่อจ๋าให้ได้ก่อนค่ะ ไม่แน่จ๋าอาจจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด”
พรพจีเหลือบมองทั้งสองคน ด้วยสีหน้าหวาดระแวง ต่อรองไปว่า
“เอาอย่างนี้ เอ้กับยาไปจัดการเรื่องหลักฐานเถอะ ส่วนจ๋า อาจะลองโทร.หาเอง”
สรัชกับอิชยามองหน้ากัน ตัดสินใจว่าจะลองทำตามนี้ดู
ภัทร์ธีราออกมาจากห้องประภาท่าทางซึมลงไปมาก ดนัยรออยู่ด้านนอก ยื่นโทรศัพท์กับตั๋วเครื่องบินให้
“โทรศัพท์ของคุณกับตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ครับ ผมจัดการตามที่ธรฝากไว้”
ภัทร์ธีราเสียใจที่ต้องจากที่นี่ไป แต่ต้องรับของจากดนัยมา
“ขอบคุณคุณนัยมากนะคะ”
ดนัยยิ้มให้
ภัทร์ธีราหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเครื่อง ทันทีที่เปิดขึ้นมาก็เห็นข้อความบอกว่าพรพจีติดต่อมาหลายสาย
“คุณนัยคะ ฉันขอโทร.หาอาจีนะคะ”
“ได้สิครับ”
ภัทร์ธีราแยกตัวออกมาจากดนัย แล้วกดโทร.หาพรพจี
พรพจียังอยู่ที่บ้านรมย์ฤดีกับสรัชและอิชยา สีหน้าเครียดจัดที่ยังติดต่อภัทร์ธีราไม่ได้ สักพักเสียงเรียกเข้าดังขึ้น พรพจีเห็นเป็นชื่อภัทร์ธีราโทร.มาก็ดีใจรีบรับสาย
“น้องจ๋า” อิชยากับสรัชมองหน้ากันอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ค่ะอาจี จ๋าเอง” ภัทร์ธีราอยู่ตรงโถงทางเดินเรือนวรกานต์ สุโขทัย
พรพจีถามภัทร์ธีราด้วยน้ำเสียงร้อนรน เป็นห่วงเป็นใย
“น้องจ๋าอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับอีก ติดต่อก็ไม่ได้เลย อาเป็นห่วงน้องจ๋ามากรู้ไหม”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ จ๋ากำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“จริงเหรอ น้องจ๋าจะกลับเมื่อไหร่”
“วันนี้เลยค่ะ จ๋ากำลังจะไปสนามบินแล้ว”
“อาจะให้เกลี้ยงไปรับที่สนามบิน น้องจ๋าจะถึงกี่โมง...”
จู่ๆ สายก็ถูกตัดไป ภัทร์ธีราตรวจดูพบว่าจอดับไป พยายามกดเปิดแต่ก็ไม่ติด ดนัยตามมาเร่งใหญ่
“คุณจ๋า เรียบร้อยรึยังครับ รีบไปเก็บของดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันขึ้นเครื่อง”
ภัทร์ธีราพยักหน้า ตามดนัยไป
รอจนพรพจีวางสายจากภัทร์ธีราแล้ว สรัชจึงถามขึ้น
“เป็นไงบ้างครับอาจี”
“สายตัดไปก่อน ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
อิชยาดีใจ “จ๋าจะกลับมาแน่แล้วใช่ไหมคะ”
พรพจีพยักหน้า “ใช่...แต่ทุกคนต้องออกไปงาน อากลัวน้องจ๋ากลับมาจะไม่เจอใคร”
สรัชเสนอไอดีขึ้น
“ผมอยู่รอเองครับ”
“ยาด้วยค่ะ”
พรพจีลังเลว่าควรทำยังไงดี
สรัชบอกว่า “อาจีไปงานอารินเถอะครับ ไว้จ๋ามาแล้วผมจะพาจ๋าไปที่งานเอง”
พรพจีนิ่งคิดนิดๆ “ตามนั้นก็ได้ ขอบใจมากนะ ยังไงเรื่องน้องจ๋าอาฝากด้วย”
พรพจีกลุ้มใจไม่คิดว่าภัทร์ธีราจะกลับมากะทันหันแบบนี้
ตอนเย็นๆ ดนัยกลับมาเฝ้าไข้วิษธรที่โรงพยาบาล วิษธรดูซึมลงไปมาก มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง
ดนัยรับรู้เดินเข้ามาหาข้างเตียง บอกเรื่องภัทร์ธีรา
“ฉันจัดการให้แกเรียบร้อยแล้วนะ คุณจ๋ากลับไปแล้ว”
วิษธรพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร ดนัยรู้ว่าวิษธรเสียใจเลยลองถามดู
“คิดดีแล้วใช่ไหมวะที่เลือกแบบนี้”
วิษธรพยักหน้า
“บอกตามตรงฉันเองก็ใจหายที่คุณจ๋าไป แถมน้าภายังดูเศร้าๆ ด้วย ดูแลกันมานาน จู่ๆ ต้องจากกันก็คงจะเสียใจมาก แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
วิษธรนิ่งงันไป ในใจปวดร้าวเหลือเกิน แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ไม่เลย”
“ปากแข็งเป็นหินเลยว่ะ”
“ผมไม่ได้ปากแข็ง แต่ผมกับจ๋าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ทุกอย่างจะได้จบซะที ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลับไปดูแลแม่ แต่งงานกับน้องม่าน สร้างครอบครัวที่มีความสุขอย่างที่เคยฝันไว้”
วิษธรฝืนพูดออกมา สะกดกลั้นกลืนความเจ็บปวดที่มีลงไปลึกสุดใจ ดนัยฟังเรื่องม่านแก้วซึมลง
“งั้นเอาที่แกสบายใจก็แล้วกัน แกก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของฉัน ไม่ว่าทางไหนที่แกเลือก ถ้าแกมีความสุข ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน”
ดนัยอวยพรพลางตบบ่าปลอบวิษธร ทั้งๆที่ในใจเจ็บปวดไม่ต่างกัน
เย็นจวนค่ำวันนั้น พรพจีออกไปงานศพนรินทร์แล้ว ส่วนสรัชกับอิชยารอภัทร์ธีราอยู่ที่บ้าน สองคนเครียดกังวล และหนักใจเอามากๆ
“แปลก...แปลกจริงๆ”
“แปลกอะไรเหรอคะพี่เอ้”
“เรื่องจ๋านี่ไง เราติดต่อเขาไม่ได้ตั้งนาน แต่พอนึกจะกลับก็กลับมาดื้อๆ”
“แบบนี้ที่เราคิดไว้เรื่องคุณธรก็จบแล้วสิคะ”
“พี่ว่ามันต้องมีอะไรที่เราไม่รู้...แต่แค่เรายังสาวไปไม่ถึง”
อิชยาเอนหลังพิงโซฟา กลุ้มใจ
“ตั้งแต่ที่จ๋าหายไปมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะจริงๆ แล้วนี่..เราจะบอกเรื่องอารินยังไงดีคะ”
สรัชถอนใจ เอามือนวดขมับคิดไม่ตก อิชยาก็ด้วย บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบ
มีเสียงเหมือนคนเดินเข้าบ้านมา แต่สองคนไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่วิตกกังวล
“ถ้าจ๋ารู้เรื่องแล้วจะรับได้ไหมนะ”
“เรื่องอะไรเหรอยา”
เห็นภัทร์ธีรายืนอยู่ตรงหน้า สรัชกับอิชยาอึ้งไป
“จ๋า...แกกลับมาจริงๆด้วย”
ภัทร์ธีราไม่ทันสังเกตว่าสรัชกับอิชยาอยู่ในอาภรณ์สีดำ เหลียวมองไปรอบๆ บ้านด้วยความคิดถึง
“พี่เอ้กับยามาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมบ้านเงียบแบบนี้ล่ะคะ อาจี อาริน ป้าหวาด กับคนอื่นๆ ไปไหนหมด”
สรัชกับกับอิชยามองหน้ากัน ลำบากใจทั้งคู่ สรัชจับมือภัทร์ธีราไว้เชิงปลอบโยน
“พี่จะพาจ๋าไปหาพวกเขาเอง”
ภัทร์ธีรางงๆ ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
ที่งานศพนรินทร์ พิธีทางศาสนาเสร็จสิ้นลงแล้ว แขกกำลังทยอยกลับ รถของสรัชแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ ศาลาที่ตั้งศพ สามคนเดินลงมา พอภัทร์ธีราเห็นชัดสองคนพามายังศาลาสวดศพในวัดก็ยิ่งสงสัย
“พี่เอ้...ที่บ้านจ๋ามาทำอะไรกันที่นี่คะ”
สรัชกับอิชยามองหน้ากัน ต่างคนต่างพูดไม่ออก สรัชเข้ามาโอบไหล่ภัทร์ธีรา กึ่งปลอบกึ่งให้กำลังใจ
“จ๋าทำใจดีๆไว้นะ”
อิชยาเข้ามาโอบภัทร์ธีราอีกคน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันกับพี่เอ้อยู่ข้างแกเสมอนะจ๋า”
ภัทร์ธีรามองทั้งสองคน เริ่มรู้สึกหวั่นๆ ในใจ ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ
“ไปเถอะ อารินรอจ๋าอยู่”
สรัชกับอิชยาพาภัทร์ธีราเดินเข้าไปในศาลา
ภัทร์ธีราเดินเข้ามาในศาลากับสรัชและอิชยา สรัชเดินไปหยุดบังรูปหน้าศพนรินทร์อยู่ ภัทร์ธีราตามเข้ามามองรอบๆ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อิชยาประคองภัทร์ธีราไว้ สรัชหันมามองคนรักแล้วเดินเลี่ยงออกไป
พอเห็นรูปหน้าศพนรินทร์ภัทร์ธีราอึ้งไปทันที ใจหายวาบ
“พี่เอ้... เกิดอะไรขึ้นกับอาริน ทำไม…”
สรัชพูดไม่ออก พรพจีเดินเข้ามาหาภัทร์ธีรา
“น้องจ๋า...”
ภัทร์ธีราเสียงสั่น “อาจี...อาริน...นั่นอารินจริงๆ เหรอคะ”
“อารินไปสบายแล้วจ้ะลูก”
ภัทร์ธีราได้ยินก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงตรงนั้น อิชยาเข้าไปประคองไว้
“ไม่...ไม่จริง เป็นไปได้ยังไง หลายวันก่อนจ๋ายังโทร.คุยกับอารินอยู่เลย”
ภัทร์ธีราน้ำตาร่วง ร้องไห้โฮ รับไม่ได้กับเรื่องที่ได้ยิน
“ไม่จริงใช่ไหมคะอาจี จ๋าแค่ฝันไปใช่ไหม นี่ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม”
พรพจีน้ำตาซึมสวมกอดภัทร์ธีราไว้
“อาก็อยากจะคิดว่าเป็นแค่ความฝัน แต่เราต้องยอมรับความจริง”
พรพจีกอดภัทร์ธีราแน่น ภัทร์ธีราถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนักหน่วง
“ไม่...อาริน..ไม่”
ภัทร์ธีราร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพรากปิ่มว่าจะขาดใจ พรพจีกอดหลานสาวด้วยสีหน้าหวาดระแวงลึกๆ สรัชกับอิชยาได้แต่ยืนมองภาพนั้น สงสารภัทร์ธีราจับใจ
ด้านอรดีอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พยายามโทร.หาวิษธรตลอดๆ สีหน้าแววตากระวนกระวายหนัก
“คุณธร...รับสายซักทีสิ รับ”
วิษธรไม่รับสายซักที อรดีเริ่มร้อนใจ จนคิดอะไรบางอย่างออก เปิดไลน์พิมพ์ข้อความหาวิษธรรัวๆ
วิษธรยังพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล หยิบมือถือมากดหน้าจอเห็นมีข้อความที่อรดีส่งมา เขาขมวดคิ้วสงสัย
ลังเลว่าจะเปิดอ่านดีไหม แต่สุดท้ายก็กดปิดหน้าจอไป ไม่อยากสนใจ ดนัยสังเกตเห็นเลยถามขึ้น
“มีอะไรรึเปล่าวะธร”
วิษธรคว่ำจอโทรศัพท์ของตัวเองลง ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่มีพี่ ข้อความเข้าธรรมดาน่ะ”
ดนัยพยักหน้า แล้วนั่งเล่นโทรศัพท์ตัวเองต่อ วิษธรโล่งใจ
สองคนนั่งคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งหน้าศาลาสวดศพในวัด คนในงานเริ่มบางตาลงแล้ว ภัทร์ธีรายังตาบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก นั่งซึมหลังจากรู้เรื่องที่พรพจีบอกเกี่ยวกับการตายของนรินทร์
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ…ว่าพี่ดาจะทำร้ายอารินได้ลง ทั้งๆที่ดูแลกันมาตลอด”
พรพจีไม่มีพิรุธใดๆ ตอบภัทร์ธีราไปนิ่งๆ
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอกน้องจ๋า เขาไม่ใช่ญาติเรา เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“แต่มันก็โหดร้ายเกินไปอยู่ดี แค่เรื่องเงินแท้ๆ”
“เงินนั่นแหละที่ทำให้คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะใส่ร้ายป้ายสี หรือแม้กระทั่งทำร้ายคนอื่นอย่างจิรดา”
“สงสารอาริน ไม่น่าไว้ใจคนผิดเลย”
พรพจีสะดุ้งเหมือนถูกว่ากระทบ แต่รีบปรับสีหน้ายิ้มให้
“อาจะลากมันมาเข้าคุกให้ได้เพื่อให้มันชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับอาริน”
พรพจีบอกด้วยแววตาแข็งกร้าวจนน่ากลัว ภัทร์ธีรามองแล้วรู้สึกหวั่นใจ กำลังจะถาม แต่มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของพรพจีดังขึ้นก่อน
“อาจี โทรศัพท์ค่ะ”
พรพจีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพอเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกๆ ก็ตกใจ
“อาขอตัวก่อนนะ”
พรพจีเดินแยกตัวออกมา ภัทร์ธีรามองตาม
พรพจีเดินแยกออกมาเพื่อรับสาย เสียงจิรดาดังลอดออกมาจากปลายสาย
“ว่าไงจ๊ะพรพจี งานสวดศพคุณสามีราบรื่นดีไหม”
จิรดาออกมาคุยสายที่ระเบียงนอกห้อง
“แกโทร.มาทำไมอีก”
“ไม่มีอะไร แค่กลัวเธอจะลืมซะก่อนว่าเราตกลงอะไรกันไว้”
พรพจีคุมแค้นกัดฟันแน่น ตอบกลับจิรดาไป
“ฉันไม่ลืมหรอกน่ะ”
“ไม่ลืมก็ดี แสดงว่าสมองยังไม่เสื่อมไปตามอายุ”
จิรดากระแนะกระแหนพรพจีแล้วก็หัวเราะเยาะ พรพจีไม่พอใจ
“ถ้าจะโทร.มาเพื่อแดกดันกัน ฉันไม่ว่างพอหรอกนะ”
“อะไรกัน พรพจีที่เก่ง ฉลาด เยือกเย็นน่ะหายไปไหนแล้ว พูดยั่วแค่นี้ต้องโมโหด้วย”
จิรดายิ้มเยาะ ชอบใจที่ยั่วโมโหพรพจีได้
“ฉันรู้ ว่าแกโทร.มาทวงเงินฉัน”
“งั้นก็ไม่ต้องอ้อมค้อม ฉันแค่จะโทร.มาตกลงสถานที่กับเวลา ฉันรอมานานแล้วนะ”
“ตอนนี้ฉันจัดการเรื่องงานคุณรินอยู่ ยังไม่สะดวก แต่ถ้าจบงานเมื่อไหร่ฉันจะติดต่อไปทันที คราวนี้เธอไม่ต้องรอนานแน่”
“พูดจริงเหรอ ฉันจะแน่ใจได้ไงว่าเธอจะไม่เบี้ยว”
“ถ้าจะให้ฉันรักษาสัญญา แกก็ต้องรักษาคำพูดเหมือนกัน ตามข้อตกลงไงล่ะ”
จิรดาได้ฟังแล้วยิ้มพอใจ
“ได้ ตามข้อตกลง”
จิรดาตัดสายไปเลย พรพจีกำมือแน่นด้วยความคับแค้นใจ
บ่ายวันนี้ เป็นงานฌาปนกิจศพนรินทร์ ผู้คนในแวดวงธุรกิจโรงแรมทยอยเดินขึ้นไปวางดอกไม้จันท์บนเมรุ คุณหญิงทอศรี นายพลสุทธิ สรัช อรดี อิชยา โรจนา รวมถึงพวกสวย เต่า และเกลี้ยงก็มาด้วยกันหมด ทุกคนวางดอกไม้จันทน์หมดแล้ว พรพจี ภัทร์ธีรา และสวาทจึงตามขึ้นไปเป็นกลุ่มสุดท้าย
ภัทร์ธีรามองรูปนรินทร์บอกลาสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะวางดอกไม้จันท์ลงไป หนูจ๋าฝืนกลั้นน้ำตามาตลอด แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวปล่อยโฮออกมาอย่างรุนแรง
พรพจีกับสวาทเข้าไปกอดปลอบ ภัทร์ธีราร้องไห้สะอื้นด้วยความเสียใจ เป็นที่น่าเวทนาต่อทุกสายตาที่เห็น
พรพจีหน้าเศร้าแต่แววตาเย็นชา ไม่ร้องไห้ ยืนมองส่งนรินทร์ บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย
“อโหสิให้ฉันก็แล้วกันนะ ฉันก็จะอโหสิให้คุณเหมือนกัน เราจะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกันเสียที”
ทั้งสามลงมารวมกลุ่มกับครบครัวคุณหญิงทอศรี อรดีและอิชยา พรพจียืนน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ อรดีเหลือบมองพรพจีเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป
เวลาผ่านไป หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อย แขกทยอยกลับ พรพจีมาอยู่คอยส่งแขก อรดีเดินออกมาเข้าไปไหว้ลา พรพจีรับไหว้หน้าตึงๆ ไม่ค่อยชอบขี้หน้า
“ขอแสดงความเสียใจด้วยอีกครั้งนะคะ แล้วนี่...เจอตัวคนร้ายที่ฆ่าอารินหรือยังคะ”
พรพจีชะงัก จ้องหน้าอรดีตอบไปนิ่งๆ
“ยังจ้ะ ตำรวจเขากำลังตามสืบให้อยู่ แต่อีกไม่นานก็คงเจอแล้วล่ะ”
อรดีทำเป็นพยักหน้าเออออไป
“อ้อ...ตกลงจิรดานี่เขาเป็นคนร้ายแน่เหรอคะ”
“หมายความว่ายังไงจ๊ะ”
“ดี้แค่ไม่คิดว่าจิรดาจะทำอารินได้ลง คนที่ทำร้ายคนพิการน่ะจิตใจมันโหดเหี้ยม อำมหิตยิ่งกว่าสัตว์ซะอีก”
อรดีพูดพลางจดสายตามองจ้องหน้าพรพจีไปด้วย พรพจีทำนิ่งไม่สะทกสะท้าน พูดกระทบอรดี
“บางคนถึงเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาคิดดีหรือร้ายกับเราบ้าง”
อรดียิ้มให้ พูดเหมือนปลอบ แต่สายตามองจิก
“คนโกหก ปั้นหน้าหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนดีมีเยอะแยะ แต่ความลับน่ะมันไม่มีในโลกหรอก ตำรวจต้องจับคนที่ฆ่าอารินได้แน่”
“เดี๋ยวนี้ดูเป็นคนดีจังนะ อุตส่าห์เป็นห่วงเรื่องนี้ด้วย”
“โชคดีที่ดี้กลับตัวได้ แต่คนที่ทำผิดมันไม่มีทางหนีพ้นไปได้หรอก ดี้เป็นกำลังใจให้อาจี ขอให้เจอคนร้ายตัวจริงเร็วๆ คนชั่วมันต้องได้รับโทษอย่างสาสม”
อรดียิ้มมุมปากนิดๆ ยกมือไหว้พรพจี ก่อนจะหันไปเรียกอิชยาแล้วเดินออกไป
พรพจีจิกมือเข้ากับกระโปรงของตัวเองแน่น ขึงตามองตามอรดีอย่างเจ็บใจ
ภัทร์ธีราออกมาส่งแขกอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน ครอบครัวสรัชเดินเข้ามา ภัทร์ธีรายกมือไหว้
“ขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็พี่เอ้มากนะคะ”
ท่านสุทธิปลอบ “ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้นะหนูจ๋า”
“ต่อไปนี้ก็ดูแลอาตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ เหลือกันอยู่แค่นี้แล้ว”
คุณหญิงพูดเชิดๆ ตามประสา แต่ใจจริงก็นึกสงสารภัทร์ธีราอยู่ไม่น้อย
“ค่ะ จ๋าจะดูแลอาจีให้ดี เดินทางกลับดีๆ นะคะ พี่เอ้ด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก จ๋าห่วงตัวเองเถอะ วันนี้หน้าซีดมากเลยรู้ไหม”
สรัชเข้าาไปดูภัทร์ธีราด้วยความเป็นห่วง
ภัทร์ธีราจ๋าแค่นอนน้อยน่ะคะ เดี๋ยวจบงานนี้ก็ได้พักแล้ว
ภัทร์ธีราฝืนยิ้มให้แต่ยังดูอ่อนล้าอยู่ดี สรัชอดห่วงไม่ได้ คุณหญิงทอศรีดึงแขนลูกชายให้กลับด้วยกัน ภัทร์ธีราหันไปไหว้ลาแขกคนอื่นๆ แต่ไม่นานก็ซวนเซจะล้มลงไป สรัชกับโรจนาเห็นเข้าพากันวิ่งเข้าไปช่วยประคองภัทร์ธีรา สวาทอยู่ใกล้กว่าใครจับภัทร์ธีราไว้ได้ก่อน
“คุณจ๋า”
ภัทร์ธีราพยายามทรงตัว บอกสวาท
“จ๋าไม่เป็นไรค่ะ ป้าหวาด จ๋า...”
ภัทร์ธีราพูดไม่ทันจบคำก็เกิดเวียนหัวออกอาการคลื่นไส้จะอาเจียนขึ้นมาอีก วิ่งออกไปมุมหนึ่ง พรพจีเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจถามสวาททันที
“น้าหวาด น้องจ๋าเป็นอะไรรึเปล่า”
“คุณจ๋าทำท่าจะเป็นลม คลื่นไส้อาเจียนด้วยค่ะ”
พรพจีมองตามด้วยแววตาสงสัย สรัช คุณหญิงและท่านนายพลเดินเข้ามาสมทบ
“ตายจริง น้องจ๋าเป็นอะไรคะนั่น ไปหาหมอดีไหม” คุณหญิงถาม
“ให้ผมพาไปก็ได้นะครับ” สรัชเป็นห่วงมาก
พรพจีไม่อยากให้คุณหญิงทอศรีมายุ่งวุ่นวายมากเลยรีบออกตัว
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวอาดูแลเอง”
“แต่ว่า...”
“เอ้พาคุณพ่อคุณแม่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอาส่งข่าวไปนะ”
พรพจีมองขอร้อง สรัชจึงจำใจรับคำ คุณหญิงทอศรีมองสงสัยในอาการภัทร์ธีราไม่คลาย
สามคนเดินมาที่รถกำลังจะกลับบ้าน คุณหญิงทอศรีเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทาง พอมาถึงรถก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“นี่คุณ เมื่อกี้คุณเห็นเหมือนฉันใช่ไหม”
“เห็นอะไรคุณ”
“คุณไม่เห็นเหรอว่ายัยน้องจ๋าน่ะออกอาการแปลกๆ พิกล เดี๋ยวก็เวียนหัว เดี๋ยวก็โอ้กอ้ากเหมือนคน...ท้อง”
สรัชได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่อยากเชื่อว่าคุณหญิงมารดาจะพูดแบบนี้
“แม่ คิดไปถึงขั้นนั้นได้ยังไงครับ”
“แหม ตาเอ้ แม่น่ะเป็นแม่คนแล้ว อาการง่ายๆแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ จ๋าคบกับผมอยู่ แล้ว…ยังไงจ๋าก็ไม่มีทางท้องแน่ครับ”
สรัชบอกอย่างมั่นใจ คุณหญิงทอศรียักไหล่ ตั้งข้อสังเกตต่ออีก
“แต่มันน่าสงสัย แม่น้องจ๋าของเอ้หายหน้าไปเป็นเดือนๆ พอกลับมาก็โอ้กอ้ากต่อหน้าแขกตั้งเยอะ จะให้คิดยังไง”
สรัชไม่พอใจที่มารดาพูดเหมือนใส่ร้ายภัทร์ธีรา ต่อว่ากลับ
“ที่ผ่านมาผมพอรู้ว่าคุณแม่ไม่ค่อยชอบจ๋า แต่ไม่นึกเลยว่าจะพูดจาใจร้ายกับจ๋าได้ขนาดนี้”
“โอ๊ย นี่ฉันเลี้ยงลูกให้เป็นพ่อพระมาจากสวรรค์ชั้นไหน...เลิกปกป้องยัยจ๋าซักทีเถอะ”
“ผมต้องปกป้องครับ เพราะจ๋าถูกใส่ร้าย”
“นี่เอ้ ที่แม่พยายามพูดอยู่เนี่ยเพราะอยากให้เอ้ตาสว่าง คนอื่นเขาจะได้ไม่คิดว่าลูกแม่โง่เป็นควาย ถูกหลอกให้รับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้เป็นลูก”
“คุณแม่”
สรัชเริ่มขึ้นเสียงใส่มารดา นายพลสุทธิเห็นว่าชักจะไปกันใหญ่เลยรีบห้ามปรามทั้งสองฝ่าย
“ไม่เอาน่าคุณ เอ้ด้วย มายืนเถียงแบบนี้ไม่อายเขารึไง”
“อับอายแค่นี้ก็ยังดีกว่ามารู้ทีหลังว่าลูกถูกผู้หญิงหลอกแล้วกัน”
สรัชเริ่มโกรธจะเถียงอีก ท่านนายพลจับตัวส่ายหัวห้ามไม่ให้เถียง ตัดบทขึ้นว่า
“พอเถอะคุณ กลับบ้านเราได้แล้ว ถ้าอยากจะว่ากล่าวอะไรไปพูดกันที่บ้าน ไม่ต้องไปขยายให้คนอื่นเขารู้ด้วย ถึงคุณไม่อาย แต่ผมอาย ไป! กลับ”
คุณหญิงทอศรีกอดอกเชิดหน้าไม่พอใจ นายพลสุทธิพยักพเยิดให้ลูกชายขึ้นรถไปก่อนแล้วลากภริยาตามขึ้นไป
เย็นนั้นสวาทและโรจนาพาภัทรธีรามานั่งพัก เอายามดมมาให้ดม ภัทร์ธีราดูอ่อนเพลียมาก พรพจีเดินเข้ามาดู จับไหล่จ๋าด้วยความเป็นห่วง
“น้องจ๋า เป็นไงบ้าง ไหวไหมลูก”
ภัทร์ธีราหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ทำท่าว่าไม่เป็นอะไร
“ไหวค่ะอาจี จ๋าคงพักผ่อนน้อยไปหน่อยเลยหน้ามืดมั้งคะ”
ภัทร์ธีราตอบเหมือนปกติ แต่หน้ายังซีดอยู่มาก
“แต่โรสว่ามันแปลกๆ นะคะ คุณจ๋าไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจหน่อยดีไหม” เชฟโรสว่า
“อาเห็นด้วยนะ เสร็จทางนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ให้น้าหวาดพาน้องจ๋าไปหมอดีกว่า”
ภัทร์ธีราตกใจ ไม่อยากไปหาหมอรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกค่ะอาจี แค่นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
พรพจียังไม่เชื่อ “แน่ใจเหรอว่าจะหาย”
“ค่ะ จ๋าไม่เป็นอะไรมาก จริงๆ นะคะ”
ภัทร์ธีรามองอ้อนวอน สุดท้ายพรพจีก็ต้องยอม
“ก็ได้จ้ะ งั้นฉันฝากน้าหวาดช่วยดูแลน้องจ๋าหน่อยได้ไหม”
“ได้เลยค่ะ แล้วคุณจีจะไม่กลับกับพวกเราเหรอคะ”
“พอดีฉันมีธุระเรื่องงาน ต้องไปจัดการให้เรียบร้อย ให้นายเกลี้ยงไปส่งน้าหวาดกับน้องจ๋าที่บ้านก่อนก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ คุณจีอย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงขับรถคนเดียวมันอันตราย”
“จ้ะ ฉันจะรีบกลับ ฝากน้องจ๋าด้วยนะ”
พรพจีลูบหัวภัทร์ธีราด้วยความเป็นห่วงก่อนจะลุกออกไป ภัทร์ธีรามองตามพรพจีนึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
ตกกลางดึก จิรดามารอพบพรพจีตามที่นัดกันไว้ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง รอจนเลยเวลานัดไปสักพักใหญ่ก็ยังไม่มา พยาบาลจอมแอ๊บเริ่มกระวนกระวาย ดูนาฬิกา
สักพักแสงไฟจากรถของใครคนหนึ่งก็สาดเข้ามาหาจิรดา พอรถจอดก็เห็นพรพจีก้าวลงมา
“มาได้ซักทีนะ”
พรพจีเดินเข้ามาหาจิรดา ถือกระเป๋าใส่เงินมาด้วย
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันรักษาคำพูดเสมอ”
“ก็ดี แล้วไหนล่ะ ที่เราตกลงกันไว้”
จิรดาแบมือออกไป พรพจีเปิดกระเป๋าเงินให้ดู จิรดาตาลุกวาว ยิ้มพอใจ ยื่นมือไปดึงกระเป๋าเงิน แต่พรพจีชักมือกลับ
“อะไรของเธออีก”
“แกลบคลิปนั่นให้ฉันเห็นก่อน”
“อ้อ...ได้สิ”
จิรดาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา ชูให้พรพจีดู แล้วกดลบคลิปทิ้งต่อหน้าต่อตา
“เป็นไง พอใจรึยัง”
พร้อมกับว่าจิรดายื่นมือมาดึงกระเป๋าเงินไป แต่พรพจียังไม่ยอมให้อีก จิรดาเริ่มหงุดหงิด
“อะไรอีกล่ะ”
“เงินตั้งสิบล้าน ฉันอยากแน่ใจว่าแกจะไม่เล่นตุกติก ก็อปปี้ไว้ที่ไหนอีก”
พรพจีจ้องจับผิดจิรดา
“คนอย่างฉันมีสัจจะพอ สิบล้านนี่ฉันจะเอาไปตั้งต้นชีวิตใหม่ ไม่อยากมาวุ่นวายอะไรอีก เอามือถือฉันไปเลยก็ได้”
“แต่ฉันยังไม่แน่ใจอยู่ดี”
จิรดายื่นมือถือให้ พรพจีรับมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นจนจิรดาเริ่มกลัว แต่ยังทำใจสู้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันทำงานรองมือรองเท้าคนอื่นมาทั้งชีวิต ไม่มีอะไรดีกว่าการได้หลุดพ้นไปจากชีวิตบัดซบนี่ได้หรอก ฉันเหนื่อยมามาก แล้วก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องคดีบ้าบอของเธอ เชิญไปใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุข ดีกว่ามาสงสัยฉัน”
พรพจีเหยียดยิ้ม ตอบนิ่งๆ
“จริงด้วยสินะ”
ที่สุดพรพจีก็ยอมปล่อยกระเป๋าเงินให้ จิรดากอดกระเป๋าเงินไว้อย่างดีใจ
“ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่นะจิรดา แล้วก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตฉันอีก”
จิรดายิ้มมุมปาก แปลกใจไม่น้อยที่พรพจียอมเชื่อง่ายๆ สุดท้ายยิ้มเยาะดูแคลนว่าพรพจีช่างโง่เง่าเหลือเกิน จังหวะที่จิรดาหันหลังเดินจากไป เสียงปัง! ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
จิรดาตาโตก้มลงดูตัวเองเห็นเลือดซึมออกมาจากหน้าอก ความเจ็บปวดแล่นเป็นริ้วๆ กระจายไปทั่วสรรพางค์ ก่อนจะหันไปมองพรพจีตาขวาง รีบเอามือกุมปากบาดแผลตัวเองไว้ พรพจีเหยียดยิ้ม ก่อนจะสิบเท้าเดินเข้าไปหาจิรดาช้าๆ
จิรดาทนความเจ็บปวดไม่ไหวร่างทรุดลงกับพื้น กระเป๋าเงินร่วงหลุดจากมือ จิรดามองพรพจีด้วยความเคียดแค้น
“แก”
“ช่วยไม่ได้ แกอยากใช้วิธีสกปรกกับฉันก่อนเอง”
พรพจีจิกผมจิรดาขึ้นมาเต็มมือ
“กรรมจะต้องตามสนองแก”
พรพจียิ้มเยาะ “ฉันไม่กลัวเวรกรรมหรอก ถ้ามันทำอะไรฉันได้ ฉันคงอยู่ไม่ถึงวันนี้ ส่วนนังงูพิษแบบแก คนอย่างฉันนี่แหละที่จะตัดสินให้ ว่าควรอยู่ หรือตาย”
พรพจียิ้มเยือกเย็น พูดน้ำเสียงแข็งกร้าว จิรดาเจ็บแผลมากขึ้นทุกขณะจิต ใกล้จะหมดแรงเต็มทน
“ลาก่อนนะ..จิรดา”
พรพจีพยักหน้าให้สัญญาณใครบางคน ฉับพลันทันใดนั้นเองกระสุนก็พุ่งเข้าเจาะศีรษะจิรดาจังๆ พยาบาลสาวร่วงลงกับพื้นนอนนิ่ง ดวงตาเบิกตาโพลง สิ้นใจตายคาที่
วันต่อมา เอกสารหุ้นโรงแรมวางอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานที่บ้านรมย์ฤดี พรพจีคุยสายกับจรัลอยู่
“คุณจรัล คุณจัดการติดต่อทนาย ให้เขาเข้ามาคุยกับฉัน เรื่องขายกิจการทั้งหมด เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
พรพจีฟังที่จรัลพูด ชะงักนิดๆ สายตามองเหม่อ พูดเหมือนพูดกับตัวเอง
“ฉันมีเหตุผลของฉัน ขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยเหลือฉันหลายๆ เรื่อง ถ้ามีโอกาสเราคงได้ร่วมงานกันอีก”
พรพจีสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะถามขึ้นอีก
“แล้วเรื่องตั๋วเครื่องบินที่ฉันให้คุณจอง จองให้ได้หรือยัง”
บ่ายวันเดียวกันนั้น เครื่องบินภายในประเทศทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ออกจากสนามบินดอนเมือง พาพรพจีมุ่งหน้าสู่สุโขทัย
ไม่นานต่อมา พนักงานที่เคาน์เตอร์ฟรอนต์มองหน้าแขกที่เพิ่งมาถึง และถามหาวิษธรด้วยความแปลกใจ
“คุณวิษธรเหรอคะ”
เป็นพรพจีนั่นเอง เธอถอดแว่นดำออกมองจ้อง ถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่ เขาอยู่หรือเปล่า”
พนักงานยิ้มให้ตามมารยาท ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ต้องเรียนให้ทราบว่าคุณวิษธรไม่อยู่ค่ะ”
“เขาไปไหน” พรพจีซักไซ้
“ไม่ทราบค่ะ คุณวิษธรไม่ได้แจ้งไว้”
พรพจีหงุดหงิด คิดปราดเดียว ควักเงินแบงก์หนึ่งพันบาทยื่นให้
“งั้นช่วยแจ้งเขาทีว่าฉันต้องการพบเขา ฉันเป็นเจ้านายเขาที่กรุงเทพฯ มีเรื่องด่วนมากต้องคุยด้วย แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย”
พนักงานไม่ยอมรับ อึกอัก “คือ..เรารับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องห้องพักเท่านั้นค่ะ ถ้าต้องการติดต่อฝ่ายบริหารต้องแจ้งตรงกับเลขาหรือคุณวิษธรเท่านั้น”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้บอกให้หน่อยไม่ได้เหรอ แค่บอกว่าคนชื่อ พรพจี ธนาพัทธ์ มา เขาก็รู้แล้ว”
“ไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”
“ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ นี่ธรสอนเธอมายังไงถึงจัดการอะไรไม่ได้ซักอย่าง”
พรพจีอารมณ์เสียที่ไม่ได้อะไรดั่งใจเลยเริ่มเหวี่ยง พนักงานหน้าจ๋อยสนิท พรพจีครุ่นคิด
“งั้นเธอเปิดห้องพักให้ฉัน ฉันจะรอเขาที่นี่”
“คุณจะพักที่นี่เหรอคะ”
พนักงานเหวอไปเลย
เช็คอินเสร็จพรพจีออกเดินสำรวจมุมต่างๆ ของรีสอร์ต พร้อมกับถือโอกาสสืบเสาะมองหาวิษธรไปด้วย แต่ก็ไม่เจอ อะไรบางอย่างทำให้พรพจีสะดุดตากับห้องพักด้านบนของเรือนวรกานต์ เงยหน้ามองขึ้นไปดูด้วยสีหน้าฉงนฉงาย และตัดสินใจแอบเดินขึ้นบันไดไปดูให้หายสงสัย
ประภานั่งกินข้าวอยู่ท่าทีหงอยๆ เหมือนทานอะไรไม่ค่อยลง ได้แต่เขี่ยข้าวไปมา บ่นพึมพำ
“น้องจ๋าไม่อยู่ เหงาจัง”
คำผายที่คอยดูแลอยู่เห็นด้วย “จริงด้วยค่ะ คุณจ๋าเธอน่ารัก คุยเก่ง แถมรู้ใจคุณท่านด้วย ตอนที่เธออยู่คุณท่านดูจะอาการดีขึ้นมากด้วยนะคะ”
“ฉันรักน้องจ๋า...น้องจ๋าเหมือนลูกฉันอีกคน ถ้าน้องจ๋ากลับมาที่นี่ได้ก็คงดี”
“คำผายก็คิดอย่างนั้นค่ะ”
ประภาซึมลงไปอีก วางช้อนเลิกทานไปดื้อๆ
“อิ่มแล้วเหรอคะ น่าจะกินอีกสักหน่อย”
“พอแล้วล่ะ เอาไปเก็บเถอะ”
คำผายรับคำแล้วยกกับข้าวออกไป ประภากำลังจะกลับเข้าห้อง แต่ได้ยินเสียงกุกกักเลยชะงัก
“ขอโทษนะคะ”
ประภาคุ้นเสียงที่ได้ยินนี้อย่างบอกไม่ถูก
“ที่นี่...มีคนชื่อวิษธรอยู่ไหมคะ”
ประภาหันไปตามเสียง เบื้องแรกยิ้มให้กำลังจะตอบ แต่พอเห็นว่าเป็นใครรอยยิ้มก็หายจากสีหน้าไปสิ้นเชิง
พรพจียืนเผชิญหน้ากับประภาด้วยสีหน้าเรียบเฉยจำได้ว่าเป็นใคร ขณะที่ประภาอึ้งหนัก
อ่านต่อ ตอนที่ 24 (อวสาน)