กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 23
เกาเหวินในชุดเดรสลูกไม้สีดำประดับด้วยขนนกกรุยกรายทั้งตัว ผมไดรตรง ดูสวยปนเซ็กซี่ เดินลงบันไดมา หยุดถามอี้หมิงซึ่งยืนหน้าเครียดอยู่ที่ตีนบันได
“ฉันสวยมั้ย”
อี้หมิงถอนใจ “คุณก็สวยทุกวัน”
“เจสันจัดปาร์ตี้ให้ ฉันต้องเผชิญหน้ากับสังคม”
“ผมไม่มีอารมณ์จริงๆ สังคมของผมก็วุ่นวายพอแล้ว”
อี้หมิงหน้าเครียดไม่หาย จนเกาเหวินนึกสังสัย
“เป็นอะไร”
“พาผมไปปาร์ตี้ด้วยได้มั้ย”
เกาเหวินยิ้มโล่งใจ “งั้นก็ช่างเถอะ ตอนแรกกลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่ฉันขาดคนควงแขนพอดีงั้นก็ ไปกัน ไป”
แต่อี้หมิงดันเปลี่ยนใจเอาดื้อ “ช่างเถอะ ไม่อยากถูกนักข่าวถ่ายรูป คุณไปเถอะ”
เกาเหวินชักฉุน “อะไรกันเนี่ยคุณรังเกียจฉันเหรอ จะไปหรือเปล่า”
อี้หมิงตอบเบาๆ ว่า “ไม่ไป” แล้วเดินหมดอาลัยตายอยากหนีขึ้นห้องไป
เกาเหวินสุดแสนจะเซ็ง “โธ่เอ๊ย”
รูปขนาดใหญ่ของเกาเหวินเด่นหราอยู่ด้สานหลังเวทีเล็กของห้องจัดเลี้ยง มีผู้คนในแวดวงบันเทิง รวมทั้งสื่อมวลชน รวมัวกันอยู่ พูดคุย ดื่มกิน ยิ้มหัวให้กัน ตามจริตใครมัน
เหม่ยลี่ในชุดราตรีสวยงามเดินเข้างานเลี้ยงมาเห็นเซี่ยวเลี่ยงคุยกับแขกในงาน จะเข้าไปทัก แต่ถูกเยี่ยฉีตัดหน้าเดินเข้าไปหาก่อน
“อ้าว” มี่โตะหยุดชะงักดูสองคนนิ่ง
เซี่ยวเลี่ยง ทักทายเยี่ยฉีอย่างแปลกใจ “ครับ ไม่เป็นไร มาด้วยเหรอ”
“งานสำคัญแบบนี้ฉันต้องมาสิ” เยี่ยฉีว่า
เซี่ยวเลี่ยงออกตัวทันที “อ้อ เพื่อนผมรออยู่ ขอตัวก่อน”
เยี่ยฉีเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวฉันต้องไปเจอลูกค้า แต่วันนี้ไม่มีเพื่อนชาย คุณช่วยฉันได้มั้ยคะ ดูเหมือนว่า คุณก็ไม่ได้พาเพื่อนหญิงมาด้วยคงไม่เป็นไรนะ ขอบคุณ”
พร้อมกับว่าเยี่ยฉีเดินไปคล้องแขนเขาเป็นการมัดมือชก เหม่ยลี่มองภาพบาดตานั้นหน้าจ๋อยสนิท
เจสันเป็นพิธีกรงานนี้ เดินขึ้นเวที กล่าวเปิดงานปาร์ตี้อย่างเป็นทางการ
“สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณทุกท่าน ในคืนนี้เป็นการเปิดตัวครั้งแรกของเกาเหวิน และเป็นการเริ่มต้นใหม่ของเธอ เอาล่ะ ขอเชิญ...นางฟ้า...เกาเหวิน”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราว
เกาเหวินเดินขึ้นไปบนเวที ยื่นแก้วไวน์ในมือให้เจสัน กล่าวขอบคุณแขกในงาน
“ขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติ จำได้ว่าครั้งก่อนฉันเคยพูดประโยคนึงกับทุกคนต่อหน้ากล้องชีวิตคนก็เหมือนละคร หวังว่าจะรอดูผลงานของฉัน ตอนนี้ฉันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังขอบคุณค่ะ”
เสียงปรบมือังขึ้นอีกกราวใหญ่
“เอ่อ ฉันต้องขอขอบคุณบริษัทต้นสังกัด” เกาเหวินผายมือมายังเจสันที่หน้าเวที ผู้จัดการหนุ่มยกแก้วไวน์รับเอาคำ “และเพื่อนร่วมงานทุกคน หากไม่มีพวกคุณก็คงไม่มีฉัน และต้องขอขอบคุณ เพื่อนที่สำคัญที่สุดของฉัน พวกเขาคอยอยู่เคียงข้างฉัน สนับสนุนฉันและให้กำลังใจฉัน พวกเขาทำให้ฉันมีความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง ขอบคุณมาก”
ทุกคนปรบมือให้อีก
เกาเหวินกล่าวเปิดงานด้วยใบหน้าเบิกบานว่า “หวังว่าทุกคนจะมีความสุข เชิญค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เสียงปรบมือดังสนั่น
เหม่ยลี่เดินไปหาเกาเหวินที่ลงจากเวที ยิ้มทัก
“หวัดดี”
เกาเหวินแปลกใจ ที่เห็นมี่โตะมาคนเดียว “หวัดดี มาคนเดียวเหรอเซี่ยวเลี่ยงล่ะ”
เหม่ยลี่หน้าจ๋อย “ฉันเห็นเขาอยู่กับคุณเยี่ยฉี”
เกาเหวินคาดไม่ถึง “อะไรนะ เยี่ยฉีเหรอ”
เหม่ยลี่ฝืนยิ้มออกมา
เกาเหวินไม่อยากเชื่อ “จริงๆ เหรอเนี่ย”
เซี่ยวเลี่ยงมองเห็นสองสาว ปลดแขนเยี่ยฉีออก “ผมมีธุระ ขอตัว”
แขกในงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ชมเกาเหวิน “ชุดสวยมากค่ะ คนก็สวย”
เกาเหวินหันไปเห็นเซี่ยวเลี่ยงเดินมาทางนี้ รีบดันหลังเหม่ยลี่หันไปหา “เอ่อ มาแล้ว”
เหม่ยลี่ยิ้มทัก “ไปไหนมาคะ ฉันหาคุณไม่เจอ”
เซี่ยวเลี่ยงบุ้ยใบ้ชี้ไปทางหนึ่ง “อ๋อ เอ่อๆ ผมไปเจอลูกค้าทางโน้นมาน่ะ”
เกาเหวินเหน็บแนม “เจอลูกค้า ที่ชื่อเยี่ยฉีน่ะเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงหน้าเสียนิดๆ เยี่ยฉีถือแก้วไวน์เดินยิ้มเข้ามาสมทบและได้ยินพอดี
“พูดถึงฉันเหรอ”
เกาเหวินยิ้มทัก “ไฮ้ คุณเยี่ย เป็นเกียรติมากที่คุณมา”
“คุณสวยมากเลย”
“คุณด้วย”
“ยินดีด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
ในจังหวะที่สวมกอดเกาเหวิน เยี่ยฉีจงใจเทไวน์ใส่ชุดเหม่ยลี่จังๆ มี่โตะร้องด้วยความใจ
“อ๊าย”
เยี่ยฉีทำเป็นขอโทษใหญ่ “ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะคุณมี่”
“เป็นไรมั้ย” เซี่ยวเลี่ยงขึงตามองเยี่ยฉีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจูงแขนพาคนรักเดินออกไปเลย
เหม่ยลี่บอกเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
เยี่ยฉีมองตามอย่างคาดไม่ถึง ที่เห็นเซี่ยวเลี่ยงปกป้องเหม่ยลี่ขนาดนั้น กำแก้วไวน์ในมือจนแน่น ก่อนจะหันมายิ้มให้เกาเหวินแล้วเดินออกไป เกาเหวินยิ้มในสีหน้ามองตามอย่างรู้เท่าทันอีกฝ่าย
ในสีหน้าอันยิ้มแย้มเกาเหวินตามเอาเรื่องเยี่ยฉีที่กำลังยืนเติมลิปสติกอยู่ในห้องน้ำหญิง
“แสดงได้ดีนี่ น่าจะไปเป็นนักแสดง”
เยี่ยฉีทำไก๋ ยิ้มตอบ “คุณเกาหมายความว่ายังไงคะ ฉันไม่เข้าใจ”
“เสแสร้ง งั้นฉันเปลี่ยนคำพูด อยู่ห่างเซี่ยวเลี่ยงไว้ เข้าใจมั้ย”
“ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ คุณกับเซี่ยวเลี่ยงเลิกกันแล้ว ทำไมต้องมายุ่งด้วย” ดูท่าเยี่ยฉีจะไม่ยี่หระ
เกาเหวินกอดอก “ปกติฉันก็ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เรื่องนี้ฉันต้องยุ่ง”
เยี่ยฉีหัวเราะไม่สะทกสะท้านหันไปจัดแต่งทรงผมกับกระจก
“อย่าบอกนะว่า ตอนนี้แฟนเก่าของคุณ กลายเป็นเพื่อนที่ดี”
“ฉันไม่คิดว่าเซี่ยวเลี่ยงเป็นแฟนเก่า แต่มี่โตะเป็นเพื่อนฉัน ฉันเป็นคนที่...รังแกฉันฉันทนได้ แต่ถ้ารังแกเพื่อนรักของฉัน ฉันทนไม่ได้”
เยี่ยฉีเตือนแกมขู่ในที “คุณอย่าลืมนะฉันเป็นสปอนเซอร์เสื้อผ้าคุณ”
เกาเหวินหัวเราะเยาะ “มันก็แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ถอนการลงทุนสิ”
“คุณเกา ฉันชื่นชมบุคลิกของคุณ จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มาก”
“เตือนตัวเองเถอะ อย่าเอาอาชีพคุณมาข่มฉัน คุณอาจโดนฉันหัวเราะเยาะ”
ซุปตาร์ผู้คัมแบ็ควงการพูดจบก็เดินหนีออกไปเลย เยี่ยฉีมองตามด้วยสีหน้านึกสนุก
ในรถที่แล่นมาตามถนน เกาเหวินหันไปมองเหม่ยลี่ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ ด้วยความหมั่นไส้
“ดูมีความสุขจัง”
เหม่ยลี่หัวเราะนิดๆ “ฉันรู้สึกว่าฉันมีความโชคดีในความโชคร้าย ทำให้รู้ว่า เซี่ยวเลี่ยงเขาเป็นห่วงฉันมาก”
เกาเหวินเซ็ง “เป็นห่วงเหรอ แล้วทำไมถึงให้ฉันไปส่งเธอล่ะ ดูไม่ออกเหรอว่ามีปัญหา”
เหม่ยลี่หันมามองเพื่อนซุปตาร์ งงๆ “ปัญหาอะไร”
“จะปัญหาอะไรได้ เยี่ยฉีไงล่ะ เขาบอกว่าจะไปคุยกับเยี่ยฉี”
ท่าทีและน้ำเสียงผู้พูดทำให้เหม่ยลี่ยิ่งงงใหญ่ “ไม่ใช่ เธอ...นี่เธออยากจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย”
เกาเหวินถอนใจ “เฮ้อ ระหว่างพวกเขาคลุมเครือกันมาก เข้าใจมั้ย”
“โธ่เอ๊ย เข้าใจผิดแล้ว เขาจะคลุมเครือกับคนอื่นได้ไง” สาวโลกสวยว่า
“งั้นถามหน่อย เธอเห็นเขาอยู่กับเยี่ยฉีมั้ย”
“เห็นสิ”
“แล้วไง ใกล้กันแค่ไหน”
“ใกล้กันมาก”
“ตอนเธอถามเขาเขาตอบว่ายังไง”
“เขาบอกว่าจัดการเรื่องงาน”
เกาเหวินเสียงดังขึ้น เตือนให้เหม่ยลี่คิด “จะบอกให้ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานพูดคุยกันก็ต้องรักษาระยะห่างไว้ ถ้าคุยเรื่องงานเซี่ยวเลี่ยงไม่จำเป็นต้องพูดคลุมเครือกับเธอ อีกอย่างเยี่ยฉีจงใจสาดไวน์ใส่เธอเซี่ยวเลี่ยงเองก็รู้”
เหม่ยลี่ไม่เชื่อ “เป็นไปได้ไง เซี่ยวเลี่ยง...”
เกาเหวินสวนออกมาด้วยความหงุดหงิด “ฉันเห็นเขาอารมณ์เสียใส่เยี่ยฉี ถ้าเยี่ยฉีไม่ได้ตั้งใจเซี่ยวเลี่ยงจะโกรธขนาดนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ เฮ่อ ถ้าเขาไม่ได้คุยกับเยี่ยฉีจะให้ฉันไปส่งเธอเหรอ ดูแลให้ดี เข้าใจมั้ย”
เหม่ยลี่ฟังแล้วเครียดขึ้นมา
ทางด้านเซี่ยวเลี่ยงยืนกอดอกพิงรถสปอร์ตคู่ใจรออยู่ริมถนน จนเยี่ยฉีเดินออกมาหา
“คุณโกรธเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงหันมามองอย่างรู้ทัน “คุณตั้งใจ”
เยี่ยฉีแดกดันขึ้นว่า “คุณมี่นี่ดีจัง มีแต่คนคอยปกป้อง”
เซี่ยวเลี่ยงมายืนประจันหน้า “รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
“ฉันต้องรู้ตัวอยู่แล้ว ฉันทดสอบคุณดู ว่าจะแคร์เธอมั้ย ถ้าแคร์ จะแคร์มากแค่ไหน”
เซี่ยวเลี่ยงยิ่งโกรธ “แล้วไง คุณจะได้อะไร”
“คุณมองเธอเหมือนกับที่เคยมองฉัน” เยี่ยฉีน้ำตารื้น พยายามพูดเข้าข้างตัวเอง
เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้าอดีตคนรักด้วยแววตาว่างเปล่า
“มี่โตะไม่เหมือนคุณ ความรักของคุณ คือธุรกิจ พอล้มเหลวคุณก็จากไป แต่สำหรับมี่โตะมันไม่ใช่”
เยี่ยฉีน้ำตาหยดเผาะ “ถูกต้อง ฉันเคยเห็นความรักเป็นการทำธุรกิจ แต่สำหรับคุณฉันไม่เคยคิดแบบนั้น”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะ “เฮอะ ผมควรประทับใจกับประโยคนี้สินะ แต่เสียใจ ผมไม่แคร์”
“จริงเหรอ เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันจะเป็นหรือตาย ก็ไม่เกี่ยวกับคุณใช่มั้ย”
เยี่ยฉีเดินลงไปกลางถนนที่มีรถวิ่งตรงมาบีบแตรใส่ดังลั่น
เซี่ยวเลี่ยงตกใจคาดไม่ถึง คว้าตัวเธอมากอดดึงให้พ้นจากการถูกรถชน
เหม่ยลี่เปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอนแล้วหยุดยืนมองชุดเดรสที่เลอะไวน์หน้าเศร้า ก่อนจะเดินมานั่งที่เคาน์เตอร์มุมครัว ประมวลเหตุการณ์ และนึกทบทวนคำพูดเยี่ยฉีใน 2-3 ครั้งที่เจอกันกับเธอ เริ่มจากตอนเจอกันที่ร้านอาหาร
“ไม่เจอกันนาน”
“คุณเซี่ยวคนนี้คือ...”
“ฉันเป็นเพื่อนเก่าของเขา ฉันแซ่เยี่ย”
“สวัสดีค่ะคุณเยี่ย ฉันมี่โตะ ฉันเป็น...”
เหม่ยลี่ยื่นมือไปจับ แต่เซี่ยวเลี่ยงคว้ามือเธอออกมา ชิงแนะนำว่า “เธอเป็นพนักงาน”
“บังเอิญจัง กลับมาก็เจอคุณเลย สบายดีมั้ย...ไม่เจอตั้งนาน เขาก็ยังเหมือนเดิม มักจะดื้อรั้น”
“คุณเข้าใจคุณเซี่ยวดีจัง”
“ฉันรู้จักเขาดีที่สุด”
เหม่ยลี่ยังคิดไปถึงตอนเซี่ยวเลี่ยงผิดนัดดูหนังเธอกลับมาที่ออฟฟิศแต่เจอฉีหยู “ฉันมาหาคุณเซี่ยว เขาทำงานอยู่”
“ไม่นี่ ไปดูหนังกับคุณไม่ใช่เหรอ เขายกเลิกโปรแกรมทั้งหมด”
เหม่ยลี่ดึงความคิดกลับมา พึมพำกับตัวเองอย่างหนักใจ และกังวลใจ ก่อนจะนึกได้ หยิบมือถือมาโทร.หากูรูเหล่าเหลย
“เขามีความสัมพันธ์อะไรกัน ใช่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญความรัก”
อี้หมิงนั่งดูข้อมูลจากไอแพดอยู่ที่ห้องรับแขก กำลังจะรับสายจากเหม่ยลี่ แต่ชะงักค้าง เมื่อเห็นเกาเหวินเปิดประตูเข้ามา บ่นบ้าอย่างขัดใจ
“จะบอกให้ มี่โตะโง่จริงๆ”
อี้หมิงไม่รับสาย วางมือถือและไอแพดลง ถามอย่างสนใจ “ทำไมเกิดอะไรขึ้น”
เหม่ยลี่แปลกใจที่สายตัดไปเฉยๆ
เกาเหวินเดินมานั่งอย่างหงุดหงิด “ฉันพูดไปขนาดนั้น ทำไมเขาไม่รู้ซักที”
อี้หมิงงง “เรื่องอะไร พูดมาสิ”
“คุณรู้มั้ย เยี่ยฉีร้ายกาจมาก ต้องคิดไม่ซื่อกับเซี่ยวเลี่ยงแน่ ฉันบอกมี่โตะแล้วแต่เขาก็ยังไม่เชื่อฉัน”
อี้หมิงเป็นห่วงยัยอ้วนของเขาจับใจ หยิบมือถือลุกพรวด วิ่งออกไปเลย
“ผมไปข้างนอกเดี๋ยว”
“ยังพูดไม่จบเลยจะไปไหน โอ๊ย ปวดหัวจริงๆ”
ฝ่ายเหม่ยลี่คิดไม่ตกเรื่องเซี่ยวเลี่ยง แถมที่ปรึกษาก็ไม่รับสายอีก มองมือถือเครียดจัด
“ไม่สิ เฮ่อ ฉันควรจะเชื่อใจเขา”
อีกฟากหนึ่ง เยี่ยฉียิ้มชื่นอยู่ในอ้อมกอดของอดีตคนรัก “คุณยังแคร์ฉันอยู่”
เซี่ยวเลี่ยงคลายวงกอดจับตัวเธอออกทันที จ้องตาเป๋งอย่างเหนื่อยหน่าย มีสายเรียกเข้าจากเหม่ยลี่ในจังหวะนี้ เซี่ยวเลี่ยงหยิบมาดูแต่ไม่รับสาย ทำให้เหม่ยลี่ยิ่งใจเสีย
“ไม่ว่าคนหรือสุนัข ผมก็ช่วย คุณเข้าใจมั้ย”
เยี่ยฉีคิดเข้าข้างตัวเองตลอด “แล้วทำไมต้องกอดฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงชักโกรธ ขึ้นเสียงใส่ “นั่นมันไม่เกี่ยวกับความรู้สึก จะคิดว่าผมยังรักคุณอยู่ก็ช่าง ผมไม่สน แต่ผมขอเตือน อย่าแตะต้องมี่โตะแม้แต่ปลายเล็บ”
เยี่ยฉีเองก็เสียงดังใส่กลับ “เธอสำคัญมากเลยเหรอ สำคัญกว่าความรักของเราอีก งั้นเหรอ”
“มี่โตะคือผู้หญิงที่ผมรัก และเธอก็รักผมมาก ไม่ไปจากผมเหมือนคุณ”
“ตอนนั้นเพราะอะไรฉันถึงไปจากคุณ ทำไมไม่ถามฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงถอนใจจับไหล่อดีตคนรักให้หันมามอง พูดดีๆ ด้วย
“เฮ่อ คุณแต่งงานแล้ว ผมก็มีคนรักแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“ฉันหย่าแล้ว ได้ยินชัดหรือยัง ฉันบอกว่าฉันหย่าแล้ว”
เยี่ยฉีน้ำตาร่วงตะโกนบอกเขาในตอนท้าย เซี่ยวเลี่ยงอึ้งไป
“ผมไม่อยากรู้ คุณจะหย่าหรือไม่หย่าหรือมีความสุขมั้ย มันเรื่องของคุณ ถ้าคุณยังก่อกวนชีวิตผมอีก ผมจะหยุด ความร่วมมือกับคุณ ผมขอให้คุณหยุดทุกอย่างซะ”
เซี่ยวเลี่ยงขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยเร็ว
เยี่ยฉีทรุดลงอย่างคนหมดแรงร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน
เหม่ยลี่กดโทร.หาเซี่ยวเลี่ยงแต่เขาก็ไม่รับสายเช่นเคย เธอยิ่งทุกข์ใจหนัก จนกระทั่งอี้หมิงเปิดประตูพรวดเข้ามา ถามขึ้นอย่างห่วงใย
“ยัยอ้วน ไม่เป็นไรนะ”
“เซี่ยวเลี่ยงถูกแย่งไปแล้ว ฉันควรทำไงดี”
“ฉันรู้แล้ว ไม่เป็นไรฉันจะไม่กลับ จะอยู่กับเธอ”
อี้หมิงหอบหายใจ ปลอบยัยอ้วนของเขาด้วยความสงสารจับใจ จะยื่นมือมาจับไหล่ปลอบ แต่สุดท้ายชักมือกลับ
เซี่ยวเจิ้นตงรู้ข่าวการเข้ามาวุ่นวายกับลูกชายจึงนัดเยี่ยฉีมาพบ สองคนนั่งจิบกาแฟอยู่ด้วยกัน ที่ห้องรับรองบนตึกเทซีโร่
“คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความจำจะไม่ค่อยดี ตอนนั้นที่เธอจากไป ยืนยันกับฉันว่ายังไง
“ฉันเคยสัญญาว่าจะไม่รบกวนเซี่ยวเลี่ยง”
เจิ้นตงพยักหน้า “ถูกแล้ว ฉันนึกออกแล้ว เธอรับเงินฉันไป และยังยอมรับ ผู้ชายที่ฉันแนะนำให้ ตอนนี้จะกลับมาทำไม”
“ฉันแค่มาคุยเรื่องธุรกิจไม่ได้จะผิดสัญญาค่ะ”
“คิดว่าฉันไม่รู้สถานการณ์ของเธอเหรอ เธอกำลังจะหย่ากับสามี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทำเรื่องหย่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมันไม่บริสุทธิ์ แม้ว่าจะหย่าแล้ว เธอคิดว่าจะเข้ามาอยู่ตระกูลเซี่ยวได้เหรอ”
“ถึงฉันยังโสดอยู่ ก็เข้าบ้านตระกูลเซี่ยวไม่ได้ เรื่องนี้ฉันรู้แก่ใจดีค่ะ”
“แล้วเธอกลับมาทำไม”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันบอกคุณแล้วว่า ฉันกลับมาคราวนี้แค่คุยเรื่องธุรกิจ”
เจิ้นตงหัวเราะเยาะ “ฮึ คุยธุรกิจ เธอควรรู้ว่าทำให้ฉันไม่พอใจ เธอจะไม่ได้เลยซักแดง”
“ฉันเข้าใจค่ะ แค่กลัวว่าบางคนจะไม่เข้าใจ” เยี่ยฉี่ยิ้มมีเลศนัย หงายไพ่ใบหนึ่งในมือ
เจิ้นตงสะดุดหู “หมายความว่าไง”
“ตอนฉันคบกับเซี่ยวเลี่ยง อย่างน้อยฉันก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าข้อเสนอดีพอ ฉันจะจากไปเอง แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างเซี่ยวเลี่ยง เธอไม่รู้อะไรเลย เทียบกับฉัน คุณควรตรวจสอบเธอมากกว่า”
เยี่ยฉีหมายถึงมี่เหม่ยลี่ ศัตรูหัวใจของเธอนั่นเอง
เจิ้นตงมองหน้าเยี่ยฉีอย่างครุ่นคิด
“รบกวนด้วยนะคะ”
เยี่ยฉีกับซือหยวนนั่งคุยงานกันอยู่ในห้องประชุมแล้ว ขณะคนอื่นๆ ในแผนกออกแบบเดินเข้ามาสมทบ เหม่ยลี่เดินนวยนาดเข้ามาด้วยลุคใหม่ นั่งลงอย่างมาดมั่นในชุดลูกไม้สีดำ แต่งหน้าเข้มทำผมแปลกตาไปจากเดิม วางท่าชดช้อย ทุกคนพากันยิ้มขำ
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาพร้อมกับฉีหยูเริ่มประชุมทันที “เริ่มประชุม เอ่อ รายละเอียดความร่วมมือ...”
“เรื่องเสื้อผ้าพร้อมแล้ว ถ่ายโปสเตอร์ได้เลยค่ะ” เยี่ยฉีบอก
เซี่ยวเลี่ยงถามทีมออกแบบ “อื้อ ทางเราล่ะ”
เหม่ยลี่กระแอมกระไอลุกขึ้นอธิบายเสียงอ่อนเสียงหวาน พูดไปคอยเกลี่ยผมข้างหูไปอย่างที่ไม่เคยทำ เซี่ยวเลี่ยงถึงกับชะงัก
“ฝ่ายการออกแบบได้เตรียมความพร้อมทั้งหมดแล้ว กรณีการวางแผนก็เขียนไว้ในนี้แล้วเตรียมพร้อมถ่ายโฆษณาได้เลยค่ะ จากนั้น หากคุณเซี่ยวมีอะไรไม่พอใจ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเลย”
เซี่ยวเลี่ยงทุบโต๊ะปัง เอ่ยขึ้นเสียงดัง “พอออกไป”
เหม่ยลี่งง วางท่าชดช้อย เล่นหูเล่นตาอีก “แต่ว่าฉัน...แต่ว่าฉันยังพูดไม่จบเลยนะคะ”
สาวๆ แผนกออกแบบพากันกลั้นหัวเราะทั้งแถบ รวมทั้งซือหยวนกับเยี่ยฉีด้วย
เซี่ยวเลี่ยงลุกเดินมาหยิบผ้าคลุมของเยี่ยฉี “ยืมผ้าคลุมหน่อย” มาห่มให้เหม่ยลี่ดันตัวเธออกไปพ้นห้องแล้วปิดประตูลง เดินกลับมานั่ง บอกในที่ประชุมว่า
“ประชุมต่อ”
หลังประชุมเสร็จเยี่ยฉีรีบเดินตามเซี่ยวเลี่ยงมาจนทันเรียกไว้
“เซี่ยวเลี่ยง เอาผ้าคลุมให้เขา ฉันหนาวไม่เป็นเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงหยุดหันมาหา ย้อนกลับ “คุณทำไวน์หกใส่เธอ ยังไม่ขอโทษ คุณควรขอบคุณผมมากกว่า”
ขณะที่เยี่ยฉียืนคุมแค้นมองตามเซี่ยวเลี่ยงที่เดินหนีไปอย่างไม่แยแสนั้น ก็มีสายเรียกเข้า เธอกดรับสาย
“ฮัลโหล ใครคะ”
เหม่ยลี่ล้างเครื่องสำอางทิ้งจนเกลี้ยงหน้า บ่นบ้าว่าตัวเองอยู่หน้ากระจกห้องน้ำหญิง เสียใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“โง่จริงๆ เลย จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ทำให้เซี่ยวเลี่ยงขายหน้า ความสวยอะไรกัน ความเซ็กซี่อะไรกัน คราวนี้เซี่ยวเลี่ยงคงไม่ต้องการเธอแล้ว”
มีสายจากเซี่ยวเลี่ยงโทร.หา พอดี “ประชุมเสร็จแล้ว แอบไปอู้อยู่ไหน ขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
พูดจบเขาก็วางสายไปเลย เหม่ยลี่ถอนใจเฮือก
เซี่ยวเลี่ยงนั่งดูแฟ้มอยู่ตรงมุมรับรองในห้อง ขณะเหม่ยลี่เคาะประตูเชิงขออนุญาต
“เข้ามา” รอจนเหม่ยลี่มายืนจ๋องอยู่ตรงหน้าจึงถามว่า “คุณแต่งตัวแบบนี้เพื่ออะไร”
เหม่ยลี่ระบายออกมาเป็นชุด บางคำพูดเธอถึงกับเสียงสั่น “ชอบถามว่าเพื่ออะไร ชอบทำหน้าขรึมสั่งสอนฉัน เคยคิดบ้างมั้ยว่าทำไมฉันทำแบบนี้ ตั้งแต่เราคบกันทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อคุณ ก็เพื่อปกป้องความรักของเรา แม้ว่าฉันจะโง่ ทำเรื่องที่น่าอายและสร้างปัญหาให้คุณ ถึงคนอื่นจะหัวเราะเยาะฉันฉันก็ยินดีที่จะเรียนรู้ ฉันอยากใกล้ชิดคุณ อยากเป็นความคาดหวังของคุณ แต่ว่าสิ่งที่ฉันกลัวคือ ไม่ว่าจะทำยังไง คุณก็ไม่เคยพอใจ ทำให้ฉันรู้สึกว่ายังไงก็มัดใจคุณไม่ได้ เซี่ยวเลี่ยง ถ้าคุณรักฉันก็บอกฉันสิฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ฉันควรเปลี่ยนแปลงตรงไหนถึงจะเป็นความคาดหวังของคุณได้”
เซี่ยวเลี่ยงนิ่งฟัง ก่อนจะย้อนถามว่า “หมายความว่าเรื่องโง่ๆ ที่คุณทำเพื่อผมเหรอ”
“ฉันตั้งใจและพยายามทุกครั้งที่จะทำเรื่องๆ นึง แต่ไม่รู้เพราะอะไร พอทำไปก็กลายเป็นเรื่องโง่”
เซี่ยวเลี่ยงยกมือยกไม้ มองชุดเหม่ยลี่ “เสื้อผ้ากับหน้าคุณ มันจะ..ไปทางไหนกันแน่เนี่ย”
“เซี่ยวเลี่ยง” เหม่ยลี่ถอนใจรวบรวมความกล้า “เฮ้อ ฉันไม่ได้โง่นะ ฉันรู้ว่าคุณกับคุณเยี่ย ต้องมีเรื่องบางอย่างแน่ ถึงฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในฐานะคนรักต้องให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้ ในงานเลี้ยงคุณกับคุณเยี่ยดูเหมะสมกันมาก ฉันเลย...ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ดีกว่าผู้หญิงคนนั้น ฉันอยากทำให้ตัวเองเหมาะกับคุณ เชื่อฉันนะ ฉันจะทำให้ดีที่สุดเลย”
เซี่ยวเลี่ยงลุกเดินมาหา เหม่ยลี่ถอยหนี “แต่ว่าวันนี้ฉันทำมันล้มเหลว ฉันรู้ว่าคุณโกรธฉันไม่ควรทำเรื่องนี้ แต่ถ้าฉันไม่พูดออกมาฉันต้องอึดอัดใจตายแน่”
เซี่ยวเลี่ยงจับให้เธอนั่งลงยิ้มตาหยีให้ “ผมไม่ได้โกรธ ที่จริงผมประทับใจมาก”
เหม่ยลี่งงเด้ “หือ”
เซี่ยวเลี่ยงลุกยืนถอดสูทมาคลุมชุดให้อีกชั้น แล้วลงนั่งจ้องหน้าคนรักอีก “มี่โตะ คุณขาดประสบการณ์ แต่มีความพยายาม คุณทำท่าทางน่ารักมากผมละอายใจมาก คุณรักผมแบบนี้ ผมกลับไม่นึกถึงความรู้สึกของคุณ ผมกับเยี่ยฉีไม่มีอะไรจริงๆ วางใจได้ ถึงแม้เยี่ยฉีคิดจะทำอะไร แต่คุณก็ชนะ
เหม่ยลี่เขิน “ฉันเก่งขนาดนั้นเชียว”
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้น ถอยออกไปมองเหม่ยลี่แล้วปิดปากหัวเราะขำ
“คุณหัวเราะอะไรเนี่ย โธ่เอ๊ย คนอื่นเค้าสอนฉันมาบอกว่า ฉันต้องสวยและอ่อนโยน แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง”
“ผมอนุญาตให้คุณลางานสองชั่วโมง ไปซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
เซี่ยวเลี่ยงหยิบบัตรเครดิตในกระเป๋ามายื่นให้ เหม่ยลี่ไม่ยอมรับ แถมเดินหนี
“ไม่เอา”
เซี่ยวเลี่ยงคว้าตัวไว้ ยัดบัตรใส่มือ ยื่นคำขาด “รับไปเถอะน่า แบบนี้จะทำงานได้ไง รีบเปลี่ยนซะ นี่คือคำสั่งของแฟน ต้องทำตามเข้าใจมั้ย”
เหม่ยลี่ยอมจำนน “เอ่อ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินไปที่โต๊ะทำงานไล่ให้รีบไป “ยังไม่ไปอีก อยากถูกอบรมเหรอ ไปสิ”
เหม่ยลี่เดินหมั่นไส้คนรักออกไป
ผู้ช่วยเหม่ยลี่ในการเลือกชุด เป็นเหล่าเหลยกูรูเลิฟเจ้าเก่า เขาถูกลากแขนเข้ามาในช็อปหรูในห้าง
“ช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าเร็ว”
อี้หมิงบ่นไม่หยุด เดินไปนั่งที่โซฟารับรอง ปล่อยเหม่ยลี่เลือกชุดไป
“ซื้อแค่ชุดเดียวทำไมต้องลากฉันมาด้วย”
“อย่าพูดมากช่วยดูหน่อย ดูสิ ชุดนี้เป็นไงผ่านมั้ย” เหม่ยลี่หยิบเสื้อบนราวแขวนมาทาบตัวให้ดู
อี้หมิงบอก “ไม่ผ่าน”
“เฮ่อ ช่วยเลือกหน่อยสิ คราวก่อนนายเลือกได้แย่มากเลย ตัวไหนดี”
อี้หมิงชี้บอกตัวทางขวามือ “ตัวนี้”
เหม่ยลี่ลังเล “นี่เหรอ”
อี้หมิงฉุน “นี่”
เหม่ยลี่พยักหน้าแล้วเดินไปลองชุดในห้องลองเสื้อผ้า มีเสียงอี้หมิงบ่นบ้าตามมาไม่หยุดหย่อน
“เร็วๆ หน่อยได้มั้ย นับหนึ่งถึงสามฉันจะไปแล้วนะ หนึ่ง สอง...”
เกาเหวินเดินเข้ามาในร้าน ชะงักเมื่อได้ยินเสียงหมอเหลย ฉากหลบอ้อมไปอีกทางแล้วกดโทร.หา อี้หมิงรับสายไม่รอให้เธอได้พูดถามอะไรก็วางสายไปเลย แล้วหันไปนับเร่งเหม่ยลี่ต่อ
“ฮัลโหล ผมไม่ว่าง วางนะ เฮ้อ สองครึ่ง”
เกาเหวินอารมณ์เสีย เดินเข้าไปทักตรงหน้า
“เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงตาค้างลุกมองหน้าอย่างคาดไม่ถึง “คุณ”
เกาเหวินมองจับผิดเขา “มาทำอะไร”
“แล้วคุณล่ะ”
“ไหนบอกว่าไม่ว่างไง ฉันหาคุณเกือบทั้งวัน”
“คุณๆๆ ยุ่งอะไร มันสำคัญกับคุณมากเลยเหรอ” อี้หมิงแถไป
“สำคัญสิ อยากรู้เหตุผลมั้ย ได้ ฉันจะพูดให้ชัดเจนไปเลย”
เกาเหวินขึ้นเสียงใส่ ทิ้งกระเป๋าลงบนโซฟา เป่าปากเรียกกำลังใจตัวเอง เป็นจังหวะที่เหม่ยลี่ออกมาจากห้องลองชุดพอดี ถึงกับชะงักกึก หยุดฟัง
“คุณฟังให้ดีนะ ฉันไม่อยากเล่นแมวจับหนูแล้ว ไม่อยากเล่นเป็นแฟนโง่ๆ ฉันชอบคุณมากถ้าคุณชอบฉันก็คบกับฉัน ถ้าไม่ชอบ ฉันจะจีบคุณ ใครจีบใครก็มีค่าเท่ากัน เฮ้อ จบแล้ว”
เกาเหวินบอกรักเร็วปรื๋อรวดเดียว คว้ากระเป๋าเตรียมกลับ หมอเหลยมองตาค้าง นิ่งงันไป
เหม่ยลี่เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้เธอก็ชอบอี้หมิงจริงๆ”
ขณะที่กูรูเหล่าเหลยตกใจอึ้งๆ อยู่อย่างนั้น เกาเหวินแปลกใจที่เห็นเหม่ยลี่
“หา พวกเธออยู่ด้วยกันได้ไง พวกๆ เธอ...”
“คือมี่โตะ ผมกับเกาเหวินมีเรื่องต้องคุยกัน มา”
เหม่ยลี่งงๆ อยู่ “เอ่อ”
อี้หมิงลากเกาเหวินออกไป “ตามผมมา”
เกาเหวินไม่วายหันมาโบกไม้โบกมือยิ้มให้เหม่ยลี่ “ไฮ้”
เหม่ยลี่โบกมือตอบ มองตามสองคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะกลายเป็นความกังวล ว้าวุ่น หวิวๆ โหวงๆ อยู่ในใจพิกล
“ที่แท้พวกเขาสองคนก็รักกันจริงๆ พวกเขาเป็นเพื่อนรักของฉัน พวกเขาคบกัน ฉันดีใจมาก แต่ว่าฉันรู้สึกเคว้งคว้างยังไงชอบกล ฉันกับอี้หมิงต่างก็เจอที่พักพิงทางใจคงอยู่ด้วยกันทั้งวันไม่ได้อีกแล้ว คงไม่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ นี่อาจจะ...เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
เกาเหวินถูกอี้หมิงลากกลับมาคุยกันที่บ้านของเธอ สะบัดมือออกเมื่อเข้ามาในห้องโถง
“เหลยอี้หมิงฉันเจ็บนะ”
“พูดมาซิ ต่อหน้ามี่โตะทำไมถึงพูดว่าชอบผม”
“ฉันยอมรับอย่างเปิดเผยก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมจะพูดว่าชอบคุณต่อหน้ามี่โตะไม่ได้ หรือคุณกับมี่โตะมีอะไร”
อี้หมิงแก้ตัวทันควัน “เหลวไหลน่า มี่โตะคบกับเซี่ยวเลี่ยงเธอให้ช่วยก็เพื่อเซี่ยวเลี่ยง”
“แล้วมีปัญหาตรงไหน ถามหน่อย คุณมีแฟนมั้ย”
“ไม่มี”
“คุณเกลียดฉันมั้ย อื๋อ...” เกาเหวินถามเสียงอ้อน
อี้หมิงอดหัวเราะขำไม่ได้ เดินไปนั่งที่เก้าอี้เล่นเปียโน “ผมจะเกลียดคุณได้ยังไง ผมรู้ดีว่าคุณน่ะเป็นผู้หญิงที่ดี อัธยาศัยดี จริงใจ ในมุมของเพื่อนนอกจากไม่เกลียดยังชื่นชมด้วย”
เกาเหวินตามไปนั่งด้วย “ถ้างั้น ก็แสดงว่าเราสองคนมีโอกาสคบกันน่ะสิ”
“พูดจาตรงไปตรงมาหน่อยได้มั้ย”
เกาเหวินขัดใจ “จึ๊ ไม่ตรงตรงไหนเนี่ย คุณชอบใครก็ยอมรับอย่างเปิดเผยสิ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย ฉันชอบคุณก็คือชอบคุณ ไม่เกี่ยวว่าคุณจะชอบฉันมั้ย ความรักของใครหลายคนถูกทำลายเพราะการคาดเดาและคิดไปเอง
“ใช่ คุณพูดถูก”
“ใช่ แล้ว คุณ...ชอบฉัน...บ้างมั้ย นิดเดียวก็ได้” เกาเหวินยกมือขอแค่นิ้วก้อยก็พอ
“ผมไม่เหมือนอย่างที่คุณคิด”
“ฉันว่าคุณดีก็ดีสิ ดูจากการแสดงออกคุณชอบฉันใช่มั้ย ไม่เป็นไรตอนนี้คุณอาจไม่ได้ชอบฉันมากมาย แต่มันต้องมีวันนั้นแน่เรื่องอนาคตใครจะรู้ คุณคือเสาบ้านฉัน ฉันไม่ให้ใครมาขุดไปหรอก หื๊อหือ ฮื่อๆ”
เกาเหวินยิ้มกริ่มคล้องแขนยึดเขาไว้ พูดออดอ้อนประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้ง เล่นเอาอี้หมิงอึ้งหนักเครียดจัด
ไม่นานต่อมา เกาเหวินหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่กับเจสัน บนโต๊ะมีแก้วเมรัยหลากสีอยู่เต็ม
“เอ๊ะ เหวินเอ๋อเบบี๋”
“คนบ้า” เกาเหวินพูดไปหัวเราะไปไม่หยุด “เรียกทำไม ก็ดื่มไปสิ”
“จะดื่มหมดเหรอ”
“บ้าจริง” คราวนี้เกาเหวินร้องไห้
เจสันตกใจ “อ้าว เกาเหวิน”
“จะตะโกนทำไม บ้าหรือไง”
“ฉัน...เปล่านะ”
“งั้นก็ดื่มสิ ฉันเลี้ยงเครื่องดื่มสีสันหลากหลาย ดีใจมั้ย เลือกดื่มตามใจชอบมา ดื่มสิ อื้อ”
“อ้อ งั้นฉัน...เริ่มดื่มจากแก้วเล็กก่อน”
เกาเหวินพยักหน้า “อื้มๆ”
“เบบี๋หัวเราะโง่อยู่ตั้งนาน เป็นไร น่าขนลุกมาก” เจสันงงอยู่นั่น
“ไม่เป็นไรก็อีกเดี๋ยว จะมีงานการกุศล”
“อ้อ”
“ฉันขอบัตรเชิญอีกใบได้มั้ย”
“เรื่องแค่เนี้ย ได้อยู่แล้ว นี่ จะพาฉันไปใช่มั้ย ฉันจะซื้อชุดใหม่” เจสันหัวเราะชอบใจ
“ไม่ต้องเลย”
“หา”
“นายควรอยู่หลังเวทีทำหน้าที่ตัวเอง ฉันจะพาเหล่าเหลยไป”
เจสันงงอีกดอก “พาใครไปนะ”
“พาเหล่าเหลยไป ฉันกะว่าจะพาเขาเดินพรมแดงฉันจะให้เขาควงฉันด้วย” เกาเหวินหัวเราะอีก
เจสันตกใจกว่าเก่า “นี่ เดี๋ยวๆๆๆ อย่าล้อเล่นนะ เธอไม่พาฉันไปแต่พาผู้ชายอีกคนไป เดี๋ยวก็เป็นข่าวเข้าใจผิดหรอก”
“ฉันจะอธิบายเอง” เกาเหวินหัวเราะ
“อธิบาย เธอพาเขาไปจะอธิบายยังไง”
“ก็บอกไปว่าเหลยอี้หมิงเป็นแฟนฉัน และก็บอกว่า โอ้ ฉันขาดเขาไม่ได้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องอยู่กับเขาให้ได้”
เจสันใช้ความคิด ปะติดปะต่อจนพอจะเดาเรื่องออก “เดี๋ยว เธอๆๆ กับเหลยอี้หมิง พวกเธอ...หา”
“เอ่อ คือ...”
“หา” เจสันเซอร์ไพร้ส์มากๆ
“ฉันลืมบอกไป ฉันสารภาพรักเขาแล้ว โฮ๊ะๆๆ” เกาเหวินหัวเราะร่า
เจสันตกใจกว่าเก่า “อะไรนะ เดี๋ยวก่อน ไหนบอกว่าอกหัก จะสารภาพรักได้ยังไง”
“ใช่ ตอนนั้นฉันอยู่บ้านตลอด ฉันถึงรู้ว่าเหลยอี้หมิงจริงใจกับฉัน เวลาที่ฉันตกอับเขาอยู่เป็นเพื่อนฉันเวลาที่ฉันเสียใจ เขาก็เป็นแสงสว่าง เวลาที่ฉันไม่มีชื่อเสียงเหมือนเมื่อก่อน เขาก็คอยหยอกล้อ หวังเจสัน ครั้งนี้ฉันจริงจังมาก ไม่ได้ล้อเล่นนะ”
เจสันหน้าบึ้ง “ฉันก็จริงจังเหมือนกัน ระวังจะตายเพราะผู้ชายนะ เพิ่งเลิกกับอีกคนก็คบต่อเลย จะให้พูดยังไง”
“ฉันไม่ได้ให้นายช่วยคิดหาวิธีซักหน่อย ฉันแค่อยากบอก ไม่ได้จะขอร้อง นายควรจะ...ยอมรับความจริง”
“ได้ ฉันยอมรับ แต่เธอห้ามบอกนักข่าวเด็ดขาด”
เกาเหวินหยิบแก้วเหล้าอีกใบมาลองชิมรสชาติ “อื้อ ชิมดีกว่า อื๋อ เปรี้ยวมากเลย”
เจสันกำชับหน้าเครียด “ถ้าเธอจะพูด พูดว่าเขาเป็นเพื่อนนอกวงการ ครั้งนี้ห้ามสร้างปัญหาเด็ดขาด เธอจะสร้างปัญหาไม่ได้”
เกาเหวินไม่ใส่ใจง่วนอยู่กับการชิมเมรัยสีสวย
“ลองนี่ดู อื้อ โอ้ หวานจัง นายว่าถ้าเอามารวมกันหมดมันจะมีรสชาติยังไง”
เจสันอยากจะบ้าตาย “จะรู้เหรอ”
“หา งั้นก็ลองสิ” เกาเหวินหัวเราะ “มา ลองอันนี้ก่อน ต้องดื่มพร้อมกันสองแก้วนะ ว้าว ใจกล้ามาก มา ดื่มสองแก้วนี้มา ดื่มพร้อมกัน สู้ๆ ถ้าฉันอารมณ์ดี จะคิดดูอีกที ดื่ม”
เจสันเครียดจัดกับอาการขึ้นๆ ลงๆ ของเกาเหวิน
จื่อเหลียงมาพบเจิ้นตงที่คฤหาสน์ตามคำสั่ง
“พ่อ เรียกผมเหรอครับ”
“แกทำงานกันยังไงเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ ทำไมไม่รายงานฉัน”
จื่อเหลียงทำเป็นงง “พ่อ...พูดอะไรเหรอครับ เข้าใจผิดหรือเปล่า”
“เยี่ยฉีมาที่บริษัท แกไม่ได้บอกฉัน และยังคุยข้อตกลงร่วมมือกับเขาเป็นการส่วนตัว เรื่องในอดีต แกลืมแล้วเหรอ”
จื่อเหลียงพยายามอธิบาย “พ่อครับ คือ...ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ พ่อ...ฟังผมอธิบายก่อน”
เจิ้นตงไม่ฟัง แถมกำหราบลูกชายคนเล็กเสียงเข้ม “อย่าหาข้ออ้างแกไว้ใจเยี่ยฉีแบบนี้ ต้องมีจุดประสงค์แน่ แกต้องการ ให้พี่ชายแกใกล้ชิดกับเยี่ยฉีทำแบบนี้ แกจะได้อะไร จะบอกให้นะจื่อเหลียง อย่าทำอะไรบ้าๆ กับพี่ชายแก เด็ดขาด ฉันจะให้ในส่วนที่แกควรได้ แต่แกต้องรู้ไว้ด้วย ของที่ไม่ใช่ของแก แกไม่มีวันได้มันแน่”
จื่อเหลียงตกใจ “พ่อครับ พ่อเข้าใจผมผิดไปจริงๆ ที่ผมไว้ใจเยี่ยฉี เพราะคิดว่าพวกเขา ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว เขาไม่ชอบเธอแล้ว จริงๆ”
เจิ้นตงสะดุดหู “ทำไมพูดแบบนี้ นี่แก รู้อะไรมาอีก”
“เปล่าครับ ผมแค่เดามั่วๆ” จื่อเหลียงหัวเราะกลบ
“เดามั่วเหรอ พี่ชายแกถูกผู้หญิงรังควานใช่มั้ย ดาราคนนั้นใช่มั้ย” เจิ้นตงคิดว่าเป็นเกาเหวินไปโน่น
“ไม่ๆ ไม่ใช่เธอ จริงๆ ไม่ใช่เธอ”
เจิ้นตงคาดคั้น “แล้วเป็นใคร”
จื่อเหลียงทำเป็นบ่ายเบี่ยง “พ่อ ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ผมว่าพ่อไปถามพี่เองดีกว่า”
“เข้าใจแล้ว ฉันพอจะเดาออก แต่ว่า ทำไมแกต้องทำแบบนี้ ช่วยเขาปิดบังเพราะแกมีจุดประสงค์ใช่มั้ย”
“พ่อ ถ้าพ่อสงสัยว่าผมมีจุดประสงค์ ใช่ผมมี ยังไง...เซี่ยวเลี่ยงก็เป็นพี่ชายผม น้องชายอย่างผมก็ไปยุ่งกับความรักของเขาไม่ได้ ผมเลย...ไม่ได้บอกพ่อ ถ้าพ่อจะตำหนิ ตำหนิผมเถอะ อย่าไปตำหนิเซี่ยวเลี่ยงเลย” จื่อเหลียงสร้างภาพแสนอีกไปอีก
เจิ้นตงมองหน้าอย่างบีบบังคับ “แต่แกรู้มั้ย ยิ่งแกให้ท้ายและสนับสนุนพี่ชายแกแบบนี้ มันจะยิ่งทำร้ายเขา ถ้าแกหวังดีกับเขาจริงๆ ก็ควร พูดความจริง”
จื่อเหลียงทำเป็นลำบากใจ แต่ที่สุดก็พูดออกไป “ที่จริงเรื่องนี้ผมเองก็ผิด เพราะว่าเธออยู่ฝ่ายออกแบบ”
เจิ้นตงชี้หน้าคาดโทษลูกชายถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...”
ทางด้านอี้หมิงแต่งตัวหล่อเนี้ยบเตรียมออกงานกับเกาเหวิน ระหว่างรอซุปตาร์สาวแต่งตัวอยู่นั้น เขาได้แต่บอกตัวเองอยู่ในใจ
“เหลยอี้หมิงนายต้องปล่อยมือแล้ว เกาเหวินสารภาพรักกับนาย นายไม่ควรทำร้ายเธอ บางที คบกับเกาเหวินอาจจะลืมมี่โตะได้”
อี้หมิงลูบผมใช้ความคิดหนักแล้วดันไปเจอผมแหว่ง ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ตอนเหม่ยลี่ยังอวบอ้วนไซส์มหึมาตัดผมให้เขา
“หยุดทำไม”
“เปล่านะ”
“ตัดผมฉันแหว่งเหรอ”
“เปล่านะ”
“กระจกล่ะ”
เหม่ยลี่หัวเราะคิก “เปล่า”
อี้หมิงไม่เชื่อจะส่องจากจอมือถือดู “ไม่ให้เหรอดูเองก็ได้ ใช้มือถือ”
“เปล่านะ” เหม่ยลี่แย่งมือถือมาแล้วเดินตุ๊ต๊ะหนีไป
“เอ๊ะ เอาคืนมา ตัดผมฉันแหว่ง” อี้หมิงตามไปใช้ผ้ากันผมเลอะฟาดยัยอ้วน
“ตีฉันทำไม”
อี้หมิงร้องลั่นถูกฟาดคืน “เฮ้ยๆๆ”
เหม่ยลี่ฮึดฮัด “ฮึ่ย”
“ใช้กำลังเหรอ ได้เลย”
“ย๊าก”
สองคนตะลุมบอนกันไปมา สุดท้ายอี้หมิงถูกยัยอ้วนจับทุ่มลงบนที่นอน
อี้หมิงคิดทบทวนชีวิตรักของตน เริ่มจากเรื่องความใกล้ชิดจนกระทั่งถูกเกาเหวินสารภาพรัก
“เวลาอยู่กับพวกเขาฉันเป็นเหมือนของประดับ แต่เวลาอยู่กับคุณ ฉันเป็นตัวของตัวเองมาก เวลาที่ฉันลำบากคุณไม่เคยทิ้งฉันเลย”
“คุณให้ไม่ได้หรอก เพราะผมต้องการอ้อมกอด”
“อ่ะ งั้นฉันจะมอบให้คุณ ขอบคุณมากนะสู้ต่อไป”
เหม่ยลี่อยู่ในเหตุการณ์ที่เกาเหวินกอดขอบคุณ ทำปากพูดโดยไม่มีเสียง “ดีใจด้วย”
สุดท้ายเพราะความรักที่มีต่อเหม่ยลี่ทำให้เขาต้องระเห็จออกจากบ้าน
“นี่ ทำไมเธอถึงชอบผลักฉันไปให้คนอื่น ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ ไม่อยากรักคนอื่น ใจฉันมีแต่เธอ ฉันชอบเธอ...ยัยอ้วน พิ้ว ฟู่ว์ ฉันจะกลับมา”
อี้หมึงดึงตัวเองกลับมา แต่สีหน้ายังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี
เหม่ยลี่ เดินเข้ามาหาเยี่ยฉี ที่ง่วนอยู่กับการออกแบบเสื้อผ้าอยู่ในร้านเสื้อ วางแฟ้มแผนงานลงบนโต๊ะให้
“คุณเยี่ย นี่คือแผนการถ่ายภาพวันพรุ่งนี้ค่ะ”
เยี่ยฉีหันมามองแว่บเดียว “วางไว้”
“เอ่อ แล้วก็…ผ้าคลุมไหล่” เหม่ยลี่พับผ้าคลุมไหล่มาคืน
เยี่ยฉีพูดโดยไม่ยอมมองหน้าว่า “ฉันยกให้”
เหม่ยลี่อึดอัด “เอ่อ อย่าเลยค่ะคือ...”
เยี่ยฉีสวนคำออกมาว่า “งั้นทิ้งไป”
“ไม่ดีมั้งคะ เอ่อ คุณเยี่ยวางไว้ตรงนี้นะคะ พอดีว่าฉันมีนัด”
เยี่ยฉีหยิบกรรไกรเล็มเศษด้ายหันมาจ้องหน้าถาม “กับคุณเซี่ยวใช่มั้ย”
เหม่ยลี่ไม่ตอบวางลงตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วจะเดินไป “ขอบคุณค่ะ”
เยี่ยฉีโมโหคว้าผ้าคลุมไหล่จะปาทิ้งแต่พลาด ถูกปลายกรรไกรเฉือนแขนเป็นแผลเลือดซึมร้อง “โอ๊ย”
เหม่ยลี่ตกใจ ถลากลับมาดู “เป็นไรคะ”
“เอาสำลีกับแอลกอฮอล์มาให้หน่อย”
“ค่ะ” เหม่ยลี่รับคำแล้วเดินออกไป
เยี่ยฉีกำมือห้ามเลือดแน่น
ขณะที่เหม่ยลี่หาสำลีและแอลกอฮอล์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพิธีกรหญิงรายงานข่าวจากงานประกาศผลรางวัลบันเทิงประจำปี ดังมาจากจอทีวีในร้านเยี่ยฉี
“ณ งานประกาศรางวัล ตอนนี้เกาเหวินมาถึงแล้ว”
มีเสียงแฟนคลับตะโกนเรียกชื่อ “เกาเหวินๆๆๆๆๆๆ” ดังก้องไปทั้งงาน
รถเกาเหวินแล่นเข้ามาจอดตรงแบ็คดร็อปงานประกาศรางวัล เกาเหวินในชุดเดรสสวยจับตาก้าวลงรถจับมือเหลยอี้หมิงมาหยุดยืนเตรียมเดินพรมแดงเข้างาน เธอถามเขาขึ้นว่า
“ต่อหน้าทุกคน กล้าเดินกับฉันมั้ย”
อี้หมิงพยักหน้าพร้อมกับยื่นแขนให้ควง “แน่นอน ไปสิ”
“เกาเหวินๆๆๆๆๆๆๆ”
บรรดาแฟนคลับซึ่งชูป้ายชื่อ ป้ายไฟ ป้ายเชียร์ ส่งเสียงร้องเรียกชื่อเกาเหวิน ดังเซ็งแซ่ในทุกก้าวย่างที่เธอเดินเคียงไปกับอี้หมิง
อ่านต่อ ตอนที่ 24
#กะรัตรัก #NOW26 #ละครออนไลน์