xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 22

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 22

พอเจอหน้าอดีตคนรักจังๆ เซี่ยวเลี่ยงก็ต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า เรื่องที่เธอแอบอ้างมาพบเขาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ก่อนจะเดินหนีไปนั่งทำงานโดยไม่ไยดี แต่เยี่ยฉีกลับคิดว่าเขาโกรธเรื่องที่ถูกเธอทิ้ง

“ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องธุรกิจเลย คุณก็รีบปฏิเสธซะแล้ว ยังโกรธเรื่องในอดีตอยู่เหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะ “คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมยังไม่ได้ปฏิเสธซักหน่อย ผมแค่ไม่สนใจงานนี้เท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ว่าคุณยังโกรธฉันอยู่ แต่ว่าเซี่ยวเลี่ยง มันผ่านไปแล้วนะคะ”
เยี่ยฉีถือวิสาสะมาลงนั่งตรงหน้าเขา เซี่ยวเลี่ยงโกรธจัด ทุบโต๊ะดังปัง
“อย่าเรียกชื่อของผมเพราะตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์”

ขณะเดียวกันเหม่ยลี่ถือแฟ้มงานมาพบเซี่ยวเลี่ยง แต่ถูกเลขาหน้าห้องทักไว้ไม่ให้เข้าไป
“มี่โตะ เธอยังเข้าไปไม่ได้ คุณเซี่ยวมีแขกอยู่ เขาสั่งว่าอย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาด”
เหม่ยลี่ท่าทีแปลกใจนิดๆ อดเหลียวมองเข้าไปดูในห้องไม่ได้ “งั้นฉันรอก่อนก็ได้”

เยี่ยฉีหยิบแฟ้มแผนงานมาชูให้ดู ก่อนจะวางลงบนโต๊ะยื่นไปตรงหน้าเซี่ยวเลี่ยง พลางอธิบาย
“นี่คือกรณีความร่วมมือที่บริษัทของเราเสนอ หวังว่าคุณจะใช้มุมมองของธุรกิจ พิจารณาดู”
เซี่ยวเลี่ยงบอกอย่างไม่มีเยื่อใย “ผมไม่พิจารณาหรอก”
“แต่คุณต้องพิจารณา ฉันจะรอฟังข่าวของคุณ”
เยี่ยฉีบอกอย่างมาดมั่น แล้วลุกไปหยิบเสื้อคลุมเดินออกไป หยุดตรงประตูแล้วหันมาทางเซี่ยวเลี่ยง บอกทิ้งท้าย
“ดูหนังสือการวางแผนก่อนสิ คุณต้องชอบแน่”
เซี่ยวเลี่ยงหยิบแฟ้มที่ว่ามาฉีกแล้วโยนทิ้งถังขยะโดยไม่แยแส

เหม่ยลี่ยืนรออยู่ เมื่อเห็นเยี่ยฉีเดินออกมาจากห้องเซี่ยวเลี่ยงก็จำได้ ยิ้มทักอย่างเป็นมิตร
“คุณเยี่ย”
เยี่ยฉีนิ่งนึก ก่อนจะยิ้มทักตอบ “คุณคือ...อ้อ คุณคือคนเมื่อคืนนี้นี่”
“เรียกฉันว่ามี่โตะก็ได้ค่ะ คุณมาคุยงานกับคุณเซี่ยวเหรอคะ”
“อืม...ก็ไม่ทั้งหมดหรอก แค่มาสานสัมพันธ์น่ะ ไม่ได้เจอกันหลายปีคุณเซี่ยวยังเหมือนเดิมเลย ดื้อรั้นไม่เคยเปลี่ยน”
“ดูเหมือนคุณจะรู้จักคุณเซี่ยวดีนะคะ” เหม่ยลี่พูดเชิงถาม
“ไม่มีใครรู้จักเขาดีไปกว่าฉันหรอก ขอตัวก่อน”
เยี่ยฉีเดินจากไป เหม่ยลี่มองตามด้วยสีหน้าสงสัย

“แล้วก็อันนี้นะ แก้ไขมันด้วยล่ะ นี่ด้วย เข้าใจมั้ย”
หลินจื่อเหลียงคุยงานกับซือหยวนอยู่ที่แผนกออกแบบ ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นเยี่ยฉีเดินลงบันไดมา
เยี่ยฉีเห็นเขาเช่นกัน ยิ้มทัก โดยไม่เดินเข้ามาหา “หลินจื่อเหลียง”
จื่อเหลียง มองจ้องอย่างคาดไม่ถึง “เยี่ยฉี”
ซือหยวนเหลียวไปมองตามด้วยสีหน้าฉงน “เธอคือ...”
“เพื่อนเก่าผมน่ะ ที่เหลือผมจะกลับมาคุยต่อ”
จื่อเหลียงยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปหา
เยี่ยฉียิ้มทัก “ไม่เจอกันซะนาน”
จื่อเหลียงยิ้มตอบ “นานมากๆ เลยล่ะ

เหม่ยลี่เคาะห้องขออนุญาต เซี่ยวเลี่ยงร้องบอกไปว่า “เข้ามา”
เหม่ยลี่เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขายื่นแฟ้มงานวางบนโต๊ะให้
“คุณเซี่ยวคะ นี่คือภาพเขียนใหม่ที่จะให้คุณตรวจ นี่ค่ะ”
“วางไว้ก่อน” เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้ามองเห็นเหม่ยลี่จ้องหน้าเขาอยู่ก็แปลกใจ “มีอะไรอีกเหรอ”
เหม่ยลี่มองไปดูที่ประตูจนแน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาแน่ จึงเดินอ้อมมายืนข้างโต๊ะ ยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ เซี่ยวเลี่ยง
“ตอนนี้ที่นี่มีแต่เรา คุณไม่ต้องรักษาระยะห่างกับฉันหรอกน่า ทำไมไม่ตอบข้อความฉันล่ะ”
“เอ่อ คุณส่งข้อความให้ผมเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงหยิบมือถือมาดู “ขอโทษทีผมปิดเครื่องอยู่”
“ทำไมไม่ตอบฉันทั้งคืนเลยล่ะ ฉันห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณซะอีก”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
“จริงสิ เมื่อกี้ฉันเจอคุณเยี่ยด้วย แต่พูดกันแค่ไม่กี่คำเอง”
เซี่ยวเลี่ยงลุกพรวด ถามเสียงขุ่น “เขาคุยอะไรกับคุณ”
“ไม่ได้คุยอะไรหรอก แค่ทักทายเท่านั้นเอง เธอบอกว่าเธอเป็นเพื่อนคุณมาตั้งหลายปี”
เซี่ยวเลี่ยงบอกเสียงเข้ม “ต่อไปอย่าคุยกับเยี่ยฉีอีก และอย่าถามเกี่ยวกับเรื่องของเธอ”
“พวกคุณเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงไม่พอใจขึ้นเสียงใส่ “ผมบอกว่าอย่าถามเรื่องเขาไงล่ะ”
“คุณอารมณ์เสียใส่ฉันทำไม ฉันเป็นห่วงคุณนี่นา”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบทว่า “คุณไม่ต้องห่วง ผมแค่มีบางอย่างต้องจัดการ ขออยู่เงียบๆ ซักพัก”
เหม่ยลี่แปลกใจที่เขาอารมณ์เสียมากขนาดนี้ เดินคอตกออกไปเงียบๆ เซี่ยวเลี่ยงมองตามคนรักไปถอนใจเฮือก เครียดหนัก

สองคนออกมาคุยกันที่มุมส่วนตัวในร้านกาแฟบรรยากาศเก๋ไก๋แห่งหนึ่ง จื่อเหลียงเปิดปากเหน็บแนมอดีตรักเซี่ยวเลี่ยงที่จิบกาแฟอยู่
“คิดไม่ถึงว่าจะเจอคุณที่บริษัท การเจอกันของคุณกับเซี่ยวเลี่ยง ต้องน่าตื่นเต้นมากแน่”
“ฉันกับเซี่ยวเลี่ยงแค่คุยธุรกิจกันเท่านั้น” เยี่ยฉีว่า
จื่อเหลียงยิ้มเยาะ “จริงเหรอ คุณเป็นคนยังไงผมรู้ดี กลับมาคราวนี้จะเล่นวิธีไหนอีกล่ะ”
เยี่ยฉีชักไม่พอใจ “เล่นเหรอ ในบ้านตระกูลเซี่ยวคนที่มีสิทธิ์เล่นกับฉัน มีแค่เซี่ยวเลี่ยงเท่านั้น คุณอย่ายุ่งเลยดีกว่า”
จื่อเหลียงโกรธ “คุณเยี่ยนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ ชอบฝันไกลเหมือนเดิมเลย”
“คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เพราะคุณก็ต้องการตำแหน่งของเซี่ยวเลี่ยงมาตลอด ผ่านมาตั้งหลายปี คุณก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นแซ่เซี่ยว ชีวิตนี้คงฟื้นตัวได้ยากแล้วล่ะ”
จื่อเหลียงฉุนแต่ไม่อยากถือสา “เยี่ยฉี จะพูดอะไรระวังๆ ปากหน่อย บางทีต่อไปต้องมีสักวัน คุณอาจมาขอความช่วยเหลือจากผมก็ได้ หืม”
“ช่วยฉันเหรอ” เยี่ยฉีหัวเราะเยาะ “เซี่ยวเลี่ยงเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของคุณ ฉันไม่หวังให้คุณช่วยฉันหรอกนะ ท่านรองหลิน ฉันว่าเรารักษาระยะห่างกันเหมือนเมื่อก่อนดีกว่านะ ไม่งั้นถ้าคนอื่นเห็น จะไม่ดีกับเราทั้งสองคน”
เยี่ยฉีไม่พอใจลุกขึ้นจะหยิบกระเป๋ากลับ จื่อเหลียงเอ่ยขึ้นว่า
“เยี่ยฉี ถึงเราจะไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ผมสามารถช่วยคุณได้แน่”
เยี่ยฉีหันมาหามองอย่างรู้ทันอีกฝ่าย “จุดประสงค์ล่ะ ทำไมคุณถึงต้องการที่จะช่วยเหลือฉันล่ะ”
“คุณยังจำได้มั้ยเมื่อก่อน ใครเป็นคนแยกพวกคุณออกจากกันล่ะ ตอนคุณอยากคุยความร่วมมือกับเซี่ยวเลี่ยง ไม่มีทางผ่านด่านพ่อผมไปได้แน่ นอกจากผ่านทางผม ไม่อย่างงั้น คุณจะไม่ได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บของเซี่ยวเลี่ยง”
เยี่ยฉีถูกจี้ใจดำ อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่นออกมา ก่อนจะลงนั่งคุยอย่างเดิม
“ถ้างั้นคุณบงการอยู่เบื้องหลัง ฉันจะรับผิดชอบการแสดงเบื้องหน้า ดูเหมือนจะยุติธรรม”
จื่อเหลียงยิ้มเจ้าเล่ห์ยื่นมือออกไปให้จับ “ดี งั้นขอให้ความร่วมมือของเรา เป็นไปอย่างราบรื่น”
“พูดในตอนนี้มันเร็วเกินไป” เยี่ยฉีไม่ยอมจับแต่ยื่นแฟ้มแผนงานให้ “คุณเอานี่ไปคิดดู ว่าจะเชื่อมงานแรกของฉันกับเซี่ยวเลี่ยงยังไง”
หลินจื่อเหลียงรับแฟ้มมา “คุณเยี่ยไม่ต้องกังวล มีผมอยู่ คณะกรรมการของบริษัทเรา ต้องยอมรับเพื่อนที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณเยี่ยไว้แน่”
“ยินดีน้อมรับ”
“โอเค”
สองคนยิ้มให้กันอย่างรู้เท่าทันกัน

เหม่ยลี่ถือแก้วกาแฟในมือนิ่ง และนั่งหน้าเครียดเป็นกังวลอยู่ตรงแคนทีนแผนกออกแบบ ถอนใจเฮือกก่อนจะลุกไปทำงาน แต่เจอฉีหยูเดินสวนมาพอดี จึงร้องทัก
“เอ๊ะ ผู้ช่วยฉี”
ฉีหยูหยุด เดินมาหา “อ้าว มี่โตะ”
“ปกติคุณมักจะอยู่ข้างๆ เซี่ยวเลี่ยงไม่ใช่เหรอ แล้วคุณรู้มั้ยว่า ช่วงนี้เขาทำอะไร เมื่อคืนเขาไปไหนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เมื่อคืนเหรอ เมื่อคืนเขาอยู่กับคุณไม่ใช่เหรอ”
“แล้วในบริษัท มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
ฉีหยูนิ่วหน้า “ไม่มีนะ ในบริษัททุกอย่างปกติดีนี่”
“งั้นก็แปลกจริงๆ ทำไมเมื่อวานเขาบอกฉันว่ามีธุระด่วนล่ะ”
ฉีหยูเตือนและปลอบใจในที “มี่โตะ ในเมื่อคุณเซี่ยวไม่ต้องการจะบอกคุณ คุณก็อย่าคิดฟุ้งซ่านเลย เขาคนนี้ เป็นคนไม่ชอบใกล้ชิดกับใครอยู่แล้ว คุณให้เวลาเขาหน่อยเถอะน่า”
“เขาชอบทำตัวเย็นชากับฉันนี่ ฉันต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
“แต่ผมรู้สึกว่าคุณควรจะเริ่มก่อนนะ อย่างเช่นว่า ชวนเขาไปดูหนัง หรือไปกินข้าว” ฉีหยูแนะนำ
เหม่ยลี่นิ่งคิด “เริ่มก่อนเหรอ”
“ใช่แล้ว คุณต้องชวนเขาก่อน เอาล่ะ คุณทำงานเถอะ”
ฉีหยูยิ้มให้ แล้วเดินจากไป เหม่ยลี่นิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะเดินกลับโต๊ะ

เหลยอี้หมิงออกจากห้องตรวจในแผนกสูตินรี แปลกใจที่มีคนมาถ่ายรูปตัวเองต้องยกมือบังหน้าไว้ แถมมีเพื่อนหมอเดินมาตบไหล่ยิ้มขำๆ ให้ หมอเหลยเดินตามโถงตรงมาหยุดที่เคาน์เตอร์ ถามพยาบาลเสี่ยวก๋อที่เข้าเวรอยู่กับเพื่อนพยาบาลอีกคนพอดี
“นี่เสี่ยวเหม่ย”
“คะ”
“วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนมองผมแปลกๆ บางคนยังถ่ายรูปผมด้วย”
เสี่ยวก๋ออึกอัก “เอ่อ...”
“หรือว่าตอนนี้ ผมหล่อกว่าเดิมมากงั้นเหรอ” หมอเหลยเท้าแขนเก๊กหล่อ
เพื่อนเสี่ยวก๋อยิ้มขำๆ เดินออกไป “ฉันไปก่อนนะ”
อี้หมิงงงใหญ่ “เกิดอะไรขึ้น”
“คุณยังไม่รู้เหรอ รูปคู่ของคุณกับเกาเหวินถูกโพสต์ลงโซเชียล”
อี้หมิงตกใจ “โพสต์รูปเหรอ”
“ใช่ คุณดูสิๆ” เสี่ยวก๋อเปิดข่าวในมือถือยื่นให้
อี้หมิงรับมา เลื่อนดูรูป เป็นเหตุการณ์ตอนเขากับเกาเหวินอยู่บนรถเมล์เมื่อวานนี้เอง
“เฮอะ ผู้ชายลึกลับอะไรกัน เราไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจนี่ เอ่อ...ผมหมายถึง ความสัมพันธ์ของเรามันซับซ้อนกว่าความสัมพันธ์แบบนี้น่ะ เพราะวันนั้น เราสองคนออกไปเที่ยวด้วยกัน ภายหลังเราสองคนก็เงินหมด ก็เลยนั่งรถเมล์ด้วยกัน ตอนที่เที่ยวอยู่ก็เลยถูกคนถ่ายรูป”
“อ้อ” เสี่ยวก๋อยิ้มๆ
“ฉะนั้น พยาบาลก๋อ ต่อไปคุณอย่าหาแฟนที่ไม่มีเงินแบบผมเด็ดขาด แล้วก็ไม่มีอนาคตเหมือนผมนะ ไม่งั้นคุณจะต้องนั่งแต่รถเมล์แบบนี้ไงล่ะ ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติดีอย่างคุณควรหาผู้ชายที่หล่อๆ รวยๆ เพราะผู้ชายแบบนั้นคู่ควรให้คุณชอบ”
หมอเหลยอี้หมิงวกเข้าเรื่องตัวเองในที่สุด มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นในจังหวะนี้
“แต่ฉันคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ เพราะชอบใครคนหนึ่งไม่มีเหตุผลหรอก ฉันคิดว่าคุณนั่นแหละที่ดีพร้อม” เสี่ยวก๋อบอกตาเป็นประกาย
“เอ่อ ผมรับโทรศัพท์ก่อนนะ” อี้หมิงคิดว่าเป็นสายของตนกดรับสายเดินออกไป “ตอนนี้ผมกำลังประชุมอยู่”
เสี่ยก๋อเรียกไว้แต่ไม่ทัน “เอ๊ะ คุณหมอเหลย นั่นโทรศัพท์ของฉันนะ”

เกาเหวินอยู่ที่บ้านเปิดดูข่าวจากมือถือ ขยายรูปดูใกล้ๆ ยิ้มปลื้มลืมโลก เพราะในภาพหมอเหลยมาดแมนมาก แถมคอยปกป้องเธอเต็มที่
“หล่อนี่นาขึ้นกล้องมากเลย ดูสิ ดีที่ฉันไม่เลือกดาราชายคนอื่น เลือกถูกคนแล้ว”
อี้หมิงเดินเข้ามาพอดี “เอ๊ะ ทำอะไรอยู่”
“เปล่านี่ มีละครบทหนึ่ง ช่วยซ้อมให้ฉันหน่อยสิ”
เกาเหวินหยิบบทบนโต๊ะมาเปิดอ่านดู
“ผมไม่มีอารมณ์ คุณซ้อมเองถอะ” อี้หมิงจะเดินหนีถูกเกาเหวินดึงแขนลากกลับมานั่ง ยัดบทใส่มือให้
“เอ่อ ไม่ได้ เจสันบอกว่าถ้าซ้อมไม่ดี ฉันจะไม่ได้เป็นแม้แต่นางรอง มา มาสิๆ เร็วๆๆ”
อี้หมิงรับมาอย่างไม่เต็มใจนัก “จิ้นหนาน จิ้นหนานค่อยๆ คุกเข่าลง จากนั้นก็เอาแหวนออกมายื่นไปตรงหน้าอ้ายลี่เพื่อบอกรัก” เกาเหวินทำเนียนเปิดกล่องแหวนตรงหน้าออก
“ที่รัก สัญญากับผมนะว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” อี้หมิงหยิบแหวนออกมาสวมให้เกาเหวิน “ไม่ใช่ๆๆ คุณดูในบทสิเขาเขียนว่า คุณเอาแหวนวงนี้ขึ้นมาแล้วโยนใส่หน้าของเขา”
“อย่าสนใจบทๆ สวมเข้าไปๆ เราซ้อมกันต่อซ้อมกันต่อ”
“แบบนี้ได้เหรอ”
“ใช่แล้วๆๆ” เกาเหวินเท้าคางมองหน้าอี้หมิงตาเยิ้ม
อี้หมิงอ่านบทไป “ผมรู้ว่าเมื่อก่อน ผมมักจะหนีคุณทำร้ายคุณ ทำร้ายความหวังดีที่คุณมีต่อผมแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วสุดท้ายผลกรรมก็ตามสนองผมอย่างสาสม กรรมของผมคือ ผมรักคุณ” อี้หมิงคว้าตัวเกาเหวินมาซบไหล่ตนอย่างแรง “โอบกอด แบบนี้ผ่านหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ ยังแสดงไม่สมบทบาท” เกาเหวินเป็นฝ่ายดึงเขามากอด
“ยังไม่สมบทบาทอีกเหรอ ผมคุกเข่าให้คุณแล้วนะเนี่ย”
“ไม่ใช่ สิ่งสำคัญคือ...”
อี้หมิงดันตัวเองออกมา “คุณต้องการอะไรกันแน่”
เกาเหวินคว้าบทมาอ่านดู “สิ่งสำคัญคือไม่ใช่การคุกเข่า แต่คือการแสดงความรู้สึกภายในใจออกมาให้ฉัน คุณดูสิ ถึงตอนที่ยี่สิบกว่าผมรักคุณ แต่คุณกลับไม่สารภาพรักฉันเลย ฉันปล่อยคุณไปคุณถึงจะรู้ซึ้ง แล้วกลับมาหาฉัน คุณไม่รู้สึกเสียใจเลยเหรอ”
“ก็พูดมีเหตุผลนะ”
“ใช่มั้ย ฉะนั้น ถ้าชอบคุณต้องบอกเธอทันที อย่าเก็บเอาไว้ไม่งั้นกรรมจะตามสนอง เข้าใจมั้ย” เกาเหวินชี้ช่อง
“มันก็ถูก”
“งั้นตอนนี้คุณมีอะไรจะบอกฉันมั้ย”
“ผมมีคำหนึ่งอยากบอกคุณ”
“พูดสิ” เกาเหวินเนื้อเต้นรอฟัง สุดท้ายอี้หมิงบอกออกมาว่า
“คุณ...ไปบอกผู้จัดการคุณได้มั้ย ว่าให้ลบรูปถ่ายพวกนั้นให้ผมหน่อย การเป็นดาราชายมันกดดันมากจริงๆ ผมไม่ชอบ”
เกาเหวินเซ็งยื่นบทให้เขาคืน “อ่านบทต่อ”
“คุณลบมันได้มั้ย”
เกาเหวินเสียงเข้มใส่ “ลบไม่ได้”
อี้หมิงก็เซ็ง “ฉากไหน”
“ฉากที่สอง”

ฟากเซี่ยวเลี่ยงเดินออกมาจากตึกเทซีโร่ พร้อมกับย้อนถามฉีหยูอย่างแปลกใจ
“แผนงานนั่นมันคืออะไร”
“คืออย่างนี้ครับคุณเซี่ยว เมื่อคืนห้องเสื้อผ้าเยี่ยฉีเสนอแผนงานนี้กับบริษัท พวกเขาต้องการร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับเราซักครั้ง และเงี่ยนไขที่เสนอมาก็ดีมาก ได้ยินว่ามีคณะกรรมการไม่น้อยตัดสินใจสนับสนุนแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงหน้าตึง “เรียกคณะกรรมการทุกคน มาประชุมอีกห้านาที”
“ได้ครับ”

ทุกคนรวมตัวอยู่ในห้องประชุมเทซีโร่ รวมทั้งหลินจื่อเหลียง ฉีหยู ยืนข้างๆ ผู้เป็นนาย เซี่ยวเลี่ยงหยิบแฟ้มงานบนโต๊ะถามที่ประชุมขึ้นทันทีว่า
“หนังสือแสดงเจตจำนงความร่วมมือ นี่มันคืออะไร”
“คุณเซี่ยว คงไม่มีอะไรต้องอธิบายแล้ว กฎทั่วไปในการร่วมแบรนด์สินค้า คือตัวชี้วัดในแต่ละสายงาน พวกเราทุกคนคิดว่า ต้องผ่านแน่ๆ” กรรมการ1บอก
“ผ่านหรือไม่ก็ต้องคอยดูต่อไป ผมต้องการรู้ว่าหนังสือนี้ มาอยู่ในมือของทุกคนได้ยังไง ทำไมคณะกรรมการถึงอนุมัติในชั่วข้ามคืน” เซี่ยวเลี่ยงปาแฟ้มลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ
จื่อเหลียงชี้แจงในเรื่องนี้ “ถ้าฝ่ายตรงข้ามมาด้วยความพร้อม เราก็สามารถประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนได้ ที่ผมแปลกใจคือ เมื่อก่อนคุณเซี่ยวจะไม่ใส่ใจกับโพรเจ็กต์เล็กๆ อย่างนี้ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงร้อนใจขนาดนี้ล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะ “รองประธานหลินรู้ดีจังเลยนะ แบรนด์ความร่วมมือทั้งหมดของเทซีโร่ มันเป็นโพรเจ็กต์เล็กๆ ในสายตาคุณเหรอ”
“งั้นความหมายของคุณเซี่ยวคือ...”
จื่อเหลียงถามไม่ทันจบ เซี่ยวเลี่ยงพูดสวนเสียงเข้ม “ผมไม่เห็นด้วย”
จื่อเหลียงซึ่งเตรียมการมาอย่างดี บอกที่ประชุมและเซี่ยวเลี่ยงว่า
“งั้นก็ทำตามกฎเดิม ออกเสียงตามผู้ถือหุ้น”
กรรมการ1 สนับสนุน “วิธีนี้ใช้ได้”
กรรมการทุกคนต่างก็เห็นดีด้วย “ผมเห็นด้วย” / “วิธีนี้ดี” / “ผมสนับสนุน”
เซี่ยวเลี่ยงรู้ทันทีว่าเป็นแผนของหลินจื่อเหลียง

เซี่ยวเลี่ยงเดินออกจากห้องประชุม จื่อเหลียงตามมาติดๆ พูดจาเหน็บแนมทันที
“คุณเซี่ยว เยี่ยฉีกลับมาแล้ว คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงหยุดเดินหันมามองจ้องหน้า “โง่จนไปร่วมมือกับเยี่ยฉี ไม่มีอะไรทำใช่มั้ย”
จื่อเหลียงเดินหนีไปอย่างไม่แยแส
เซี่ยวเลี่ยงหยิบมือถือมาโทร.หาเยี่ยฉี รอจนเธอรับสาย
“มาที่บริษัทผมหน่อย ผมต้องการเจอคุณเดี๋ยวนี้”
เยี่ยฉีรับสายจากร้านกาแฟแห่งนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนนี้เหรอ ตอนนี้ฉันไม่ค่อยสะดวก เดี๋ยวเย็นๆ ฉันจะบอกคุณนะ”
“เร็วหน่อยล่ะ แค่นี้แหละ”
“โอเค ก่อนมื้อเย็นแล้วกัน”

เหม่ยลี่ยืนจดบันทึกยุกยิกๆ อยู่บริเวณโถงบันได ก่อนจะทำทีเป็นเดินมาเจอเซี่ยวเลี่ยงโดยบังเอิญ
“เอ๊ะ คุณเซี่ยวบังเอิญจังเลย”
“มีอะไร” เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจ
“ฉันอยากชวนคุณดูหนัง” พร้อมกับว่าเธอยื่นตั๋วหนังให้เขา
เซี่ยวเลี่ยงมองซ้ายแลขวา แล้วยื่นหน้ามาบอกข้างๆ หูเธอ
“ผมจะพยายามเจียดเวลาว่าง”
เหม่ยลี่ยกนิ้วโอเค เซี่ยวเลี่ยงขยิบตาให้ เก็บตั๋วใส่กระเป๋า
ส่วนเหม่ยลี่รีบกลับโต๊ะทำงาน เปิดสมุดโน้ตดู หัวเราะคิกคัก
“ว้าว ดูหนังผี กับเรื่องชายชุดดำปริศนา สุดยอดมากหมิงหมิง”

อีกฟากหนึ่ง เหลยอี้หมิงออกจากห้องนอนมาในชุดหล่อเหลา เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่เจอเกาเหวินแน่ จึงเดินตรงไปที่ประตูบ้าน แต่จู่ๆ เกาเหวินก็โผล่หน้ามาจากอีกมุมร้องทัก
“เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงชะงักกึก “หะ”
“วันนี้คุณไม่ไปทำงานไม่ใช่เหรอ จะไปไหน”
อี้หมิงยกน้องหมามาอ้างอีกครั้ง “สุนัขที่บ้านผมไม่สบาย ป่วยจนถึงตอนนี้ยังไม่หายซักที ผมเลยอยากกลับไปดูมัน”
“แต่ทำยังไงดี ฉันจะไปเจอลูกค้าต้องพาผู้ช่วยไปด้วย”
“ผู้ช่วยเหรอ คุณให้ผู้จัดการของคุณชื่ออะไรนะ เจ้เจสันไปก็สิ้นเรื่องแล้วนี่”
“แต่เขาต้องดูแลศิลปินคนอื่น วันนี้เขาไม่มีเวลานี่นา”
“นั่นสิ ทำยังไงดี”
“ทำไง งั้นเหรอคุณก็ไปกับฉันสิ”
“ได้ ผมไปกับคุณ”
“โอเค”
“รอแป๊บนึงผมไปโทรศัพท์ก่อน”
อี้หมิงหยิบมือถือมาทำเป็นโทร.ออก คุยสายคล่องปรื๋อ
“ฮัลโหล ฉันเหลยอี้หมิงนะ หมาที่บ้านฉันเป็นไงบ้าง หา มันไม่ไหวแล้วเรอะ”
อี้หมิงร้องลั่น หันมาบอกเกาเหวินหน้าเครียด โดยไม่ทันสังเกตว่าเกาเหวินกดมือถือโทร.ออก อยู่
“สุนัขที่บ้านผมไม่ไหวแล้ว ผมต้องไปเจอหน้ามันเป็นครั้งสุดท้าย”
“งั้นทำไงดี รีบไปดูเร็วๆ เข้า”
“ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง”
มีเสียงสายเรียกเข้าดังขึ้นจากมือถืออี้หมิง เขาหน้าเสียที่โดนจับโกหกได้
เกาเหวินพยักพเยิดให้รับสาย “หืม”
“ฮัลโหล...” หมอเหลยรับสายเกาเหวินหน้าจ๋อย
เกาเหวินคุยสายตอบ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า อย่าเล่นละครต่อหน้าฉัน”
อี้หมิงยอมจำนนถามไปว่า “เวลา สถานที่ จะไปเจอใครเหรอ”
“เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องไปรู้หรอก ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าคุณรออยู่ข้างล่างล่ะ”
เกาเหวินเดินขึ้นห้องไปทันที เหลยอี้หมิงรับเอาคำอย่างเซ็งๆ
“เหรอ”

เซี่ยวเลี่ยงอยู่ที่ออฟฟิศ ดูนาฬิกาเพิ่งจะ ห้าโมงเย็น เขาหยิบตั๋วดูหนังมาดูรอบฉาย พบว่าเป็นเวลา 20.30 น.
เซี่ยวเลี่ยงกดินเตอร์คอมถามเลขาว่า “คุณยกเลิกงานเลี้ยงคืนนี้ของผมแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะคุณเซี่ยว” เลขาตอบกลับมา
“อืม” เซี่ยวเลี่ยงวางสายลุกขึ้นคว้าสูทมาสวมเตรียมไปดูหนังกับคนรัก มีสายเรียกเข้าดังขึ้นในจังหวะนี้ เซี่ยวเลี่ยงหยิบมาดูเป็นสายจากเยี่ยฉี แจ้งคิวนัดแล้ววางสายไปทันที
“คืนนี้เจอกันนะ สองทุ่มตรงที่โรงแรมซื่อจี้”
เซี่ยวเลี่ยงวางสายหยิบตั๋วหนังมาดู หน้าเครียดจัด

เหม่ยลี่มารอที่โรงหนังแล้วก่อนเวลาฉาย เข้าคิวซื้อของว่างและเครื่องดื่มรอเซี่ยวเลี่ยง
“สวัสดีค่ะฉันขอป๊อบคอร์นหนึ่งถุง แล้วก็โค้กแก้วใหญ่หนึ่งแก้ว เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันขอหลอดสองอันนะ อืม ขอบคุณค่ะ”
ชายคนขายชูนิ้วสองนิ้วเชิงถามย้ำ
เหม่ยลี่ยิ้ม “ขอบคุณค่ะ” ยืนรอครู่เดียวก็รับป๊อบคอร์น กะ เป๊ปซี่แบบสองหลอดดูด มองแก้วสองหลอดในมือหน้าตาเบิกบาน
“หลอดสองอัน คุณดูดฉันดูด”

เกาเหวินกับอี้หมิงมาถึงห้องวีไอพีของภัตตาคารที่นัดกับเยี่ยฉีไว้ เกาเหวินจับมือทักทายกับเยี่ยฉีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไฮ้ คุณเยี่ย”
เยี่ยฉีจับมือทักตอบ “สวัสดีค่ะคุณเกา”
“สวัสดีค่ะ ฉันได้ยินเจสันพูดถึงคุณบ่อยๆ โชคดีจังเลยค่ะที่ได้เจอคุณ”
“คุณต่างหากที่เจอตัวยากมากๆ ตัวจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลย”
“ฉันได้ยินคนอื่นชมอย่างนี้จนชินแล้วล่ะ”
สองสาวหัวเราะหัวใคร่ เยี่ยฉีเชื้อชวนให้นั่ง
“มาๆๆ รีบนั่งดีกว่าค่ะ ฉันยังเรียกเพื่อนเก่าคนหนึ่งมาด้วย เดี๋ยวเขาคงมาแล้วล่ะ”
อี้หมิงจะเดินไปนั่งห่างออกไป เกาเหวินเรียกให้มานั่งติดๆ กัน
“เอ๊ะ ผู้ช่วยเหลย คุณนั่งตรงนี้สิ”
อี้หมิงอึกอัก “ผม...”
เยี่ยฉีมองหน้าอี้หมิงงงๆ แปลกใจจนต้องถาม “คุณเกาท่านนี้คือ...”
เกาเหวินบอกว่า “อ้อ นี่คือบอดี้การ์ดและผู้ช่วยของฉัน”
เยี่ยฉียื่นมือมาจับทักทาย “สวัสดีค่ะคุณเหลย ยินดีที่ได้รู้จัก”
“สวัสดีครับ คุณเยี่ย เรียกผมเสี่ยวเหลยก็พอ ไม่ต้องเกรงใจ” หมอเหลยทักตอบ
“เชิญนั่งค่ะ”
เกาเหวินถามขึ้นด้วยความสงสัย “อ้อจริงสิคะคุณเยี่ย เพื่อนเก่าที่คุณหมายถึงเมื่อกี้ เขาคือ...ใครเหรอคะ”
เยี่ยฉีไม่ทันตอบ หันไปมองทางประตู ยิ้มทักใครคนหนึ่ง “มาแล้วเหรอคะ”
เกาเหวินและอี้หมิงแปลกใจที่เห็นเซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาในห้อง เซี่ยวเลี่ยงเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ด้านเหม่ยลี่ถือแก้วน้ำดื่มกะถังป๊อปคอร์นรอเซี่ยวเลี่ยงอยู่ที่หน้าโรงหนังไม่ยอมเข้าไปสักที จนพนักงานเดินตั๋วหน้าโรงต้องเตือน
“คุณคะ หนังเริ่มแล้ว คุณไม่เข้าไปเหรอ”
“ฉันขอรอเพื่อนอีกซักครู่ค่ะ”
พนักงานเดินไปปิดประตู มีชายคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา “รอเดี๋ยวๆ ยังมีอีกคน”
เหม่ยลี่มองประตูโรงหนังที่ปิดลง ยืนเคว้งรอเซี่ยวเลี่ยงอยู่เพียงลำพังตรงนั้นสีหน้าเศร้า

อีกฟากหนึ่ง สองสาวคุยกันอย่างชื่นมื่น แต่เหลยอี้หมิงมองหน้าเซี่ยวเลี่ยงอย่างไม่พอใจ เพราะรู้ว่าคืนนี้เขานัดดูหนังกับเหม่ยลี่ ส่วนเซี่ยวเลี่ยงก็อึดอัดเอาการ
“คุณเยี่ยคะ ดูเหมือนคุณจะรู้จักคุณเซี่ยวนานแล้วนะคะ ทำไมไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงคุณเลย” เกาเหวินชวนคุย
“เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมานานแล้วล่ะค่ะ มีอะไรก็มักเก็บเอาไว้ในใจ ใช่มั้ยคะคุณเซี่ยว” เยี่ยฉียิ้มแย้ม
“เรื่องในอดีตผมจำไม่ได้” เซี่ยวเลี่ยงยกแก้วเหล้าดื่ม ตอบด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“เห็นมั้ยคะเขาจำไม่ได้อีกแล้ว” เยี่ยฉีหัวเราะตักอาหารโปรดเอาใจเซี่ยวเลี่ยง หมอเหลยจ้องตาเป๋ง “มาค่ะ ชิมนี่หน่อยนะคะ ของโปรดของคุณเลย”
เซี่ยวเลี่ยงบอกเสียงขุ่นอีกว่า “คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ผมไม่ชอบกินแบบนี้มานานแล้ว”
เกาเหวินหัวเราะขำ “คุณเยี่ย ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจคุณเซี่ยวดีนะคะ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนเก่ากันมาหลายปี” เยี่ยฉีว่า
เกาเหวินหันมาหาอี้หมิงที่นั่งเป็นใบ้อยู่ “พูดอะไรหน่อยสิ มีส่วนร่วมกับบรรยากาศหน่อย”
อี้หมิงสลัดผ้ากันเปื้อนอย่างแรก และคำแรกที่เขาพูดออกไปแดกดันเซี่ยวเลี่ยงในที
“เพื่อนเก่าที่สวยๆ อย่างคุณเยี่ย รอบๆ ตัวคุณเซี่ยว คงจะมีไม่น้อยสินะ”
เยี่ยฉีนิ่งฟัง เก็บข้อมูล เกาเหวินรีบหัวเราะกลบบรรยากาศมาคุ
“อาหารจานนี้อร่อยจังเลย เอ้า เหลยเหลย ลองชิมดูสิ แบบนี้ไม่พูดจะดีกว่านะ”
เยี่ยฉีเอ่ยขึ้นว่า “ฉันเกือบลืมไปเลย คุณเกากับคุณเซี่ยวเคยเป็นแฟนกันมาก่อน น่าจะเข้าใจเขาดีกว่าฉันนะ”
“อืม...นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว เหมือนอย่างที่คุณเซี่ยวพูด ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว” เกาเหวินว่า
“คุณเกานี่เป็นกันเองดีนะคะ มา ดื่มค่ะ”
เกาเหวินชนแก้ว “ดื่มค่ะ”
“ขอให้ความร่วมมือราบรื่น” เยี่ยฉียิ้มบอก
“ขอให้ความร่วมมือราบรื่น”
เซี่ยวเลี่ยงทนอึดอัดไม่ไหวจึงขอตัว “ผมไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ”
อี้หมิงมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิดเคืองขุ่น ส่วนเยี่ยฉีจิบไวน์นิ่งนึก

เซี่ยวเลี่ยงไม่ได้เข้าห้องน้ำดูเวลาหน้าเครียด หลบมุมมาโทร.หามี่โตะของเขา แต่ไม่ทันได้คุยสาย เยี่ยฉีดันตามมา
“คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงถอนใจอย่างรำคาญ กดตัดสายเหม่ยลี่ไป
“ได้ยินว่า หนังสือเจตจำนงของฉัน ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มหยัน “ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมนัดคุณครั้งนี้เพื่อให้คุณถอนตัว ไม่งั้นผมจะใช้ฐานะของประธานดองโพรเจ็กต์นี้อย่างไม่มีกำหนด”
“ผ่านไปตั้งหลายปี คุณก็ยังเหมือนเดิม เป็นผู้ใหญ่ขึ้นหน่อยได้มั้ยคะ”
“เฮ้อ คุณก็รู้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว ทำไมคุณยังแทรกแซงความสัมพันธ์ของผมกับคนอื่นอีก”
“คุณพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างรู้ทันชี้ไปทางห้องวีไอพี “เกาเหวินเป็นแฟนเก่าของผม คุณนัดเรามาเจอกันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน”
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ที่ฉันนัดพวกคุณมาพร้อมกัน เพราะฉันเป็นสปอนเซอร์เสื้อผ้าของเกาเหวิน ต่อไปเราจะได้ร่วมงานกัน ถ้าฉันยังไม่ลืมอดีต ฉันจะสนับสนุนแฟนเก่าของคุณได้ไงล่ะ เซี่ยวเลี่ยง ฉันกลับมาคราวนี้ เพราะต้องการร่วมงานกับคุณอย่างจริงใจ ให้โอกาสเราได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ อย่างน้อยก็ให้ฉันเป็นเพื่อนคุณ ฉันรับรองว่า เราจะคุยเรื่องงานเท่านั้น ฉันจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงมองอดีตคนรักอย่างชั่งใจ ก่อนบอกออกไปว่า “ได้ คุณพูดเองนะ”

เหม่ยลี่ยืนแกร่วรอเซี่ยวเลี่ยงจนหนังรอบนั้นฉายจบลง พนักงานหญิงเปิดประตูโรงหนังให้คนดูออก
“ทุกคนเชิญออกทางนี้ค่ะ เก็บขยะของตัวเองออกมาด้วยนะคะ เชิญออกทางนี้ค่ะขอบคุณค่ะ”
พนักงานเดินตั๋วคนนั้นหันมาเห็นเหม่ยลี่ก็แปลกใจ
“คุณยังรออยู่อีกเหรอ คงไม่มาแล้วล่ะ”
พนักงานขายเครื่องดื่มชายเดินขึ้นมาหาพนักงานเดินตั๋ว สองคนซุบซิบๆ เรื่องเหม่ยลี่เบาๆ

เหม่ยลี่หอบแก้วน้ำดื่มหลอดคู่และถังป๊อปคอร์นกลับมาที่เทซีโร่ ตรงมาเคาะห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยงแล้วโผล่หน้าไปดู
“คุณยังทำงานอยู่เหรอ ไปไหนล่ะ”
แต่ต้องหน้าจ๋อย ผิดหวังเมื่อพบว่าทั้งห้องว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาซีอีโอขี้เก๊ก
ฉีหยูเดินขึ้นมาเห็นเข้า ถามอย่างแปลกใจ “มี่โตะ ทำไมคุณอยู่ที่นี่”
“ฉันมาหาคุณเซี่ยวค่ะ เขาไม่ได้ทำงานอยู่เหรอ”
“ไม่นี่นา เขาไปดูหนังกับคุณไม่ใช่เหรอ เขายกเลิกโปรแกรมของคืนนี้หมดแล้วนะ”
“แปลกจังเขาหายไปไหนนะ”
ฉีหยูแปลกใจกว่า “เขาไม่ได้อยู่กับคุณเหรอ”

ทั้งสี่คนเดินออกมาที่ลานจอดรถหน้าภัตาคาร เยี่ยฉีหันไปหาเกาเหวิน
“คุณเกาคะ นี่รถของคุณเหรอ”
“ใช่ค่ะ เสี่ยวเหลยของฉันช่วยเลือกให้” เกาเหวินว่า
“มา คุณเกา เชิญขึ้นรถ” หมอเหลยเปิดประตูรอ
เกาเหวินโบกมือลา “แล้วเจอกันนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยค่ะ” เยี่ยฉีโบกมือลา
“คุณเยี่ย คุณเซี่ยว ขอตัวก่อน”
อี้หมิงมองเซี่ยวเลี่ยงด้วยสายตาแปลกๆ แล้วขึ้นรถ ขับออกไป
เซี่ยวเลี่ยงดูเวลาแล้วออกตัวทันที “เยี่ยฉี ผมมีธุระนิดหน่อยไปก่อนนะ”
เยี่ยฉีพยายามยื้อ “อืม...ฉันเพิ่งกลับประเทศ ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ทางนี้ ไม่รู้เวลาแบบนี้จะโบกรถง่ายหรือเปล่า”
“คุณไม่ได้ขับรถมาเหรอ”
“คุณสะดวกไปส่งฉันมั้ยคะ”
ขณะที่เซี่ยวเลี่ยงยืนอึดอัดอยู่นั้น เหม่ยลี่ก็ส่งข้อความมาหา เซี่ยวเลี่ยงกดเปิดดู
“ฉันรอคุณอยู่ที่บริษัทค่ะ”
“ขอโทษที ผมมีธุระต้องจัดการ คุณกลับเองแล้วกันนะ”
“อื้ม ได้ ขับรถดีๆ นะคะ”
เยี่ยฉียิ้มบอก โบกมือส่ง พอรถเซี่ยวเลี่ยงพ้นออกไป สีหน้ายิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไม่รู้คิดอะไรอยู่

เหม่ยลี่รอจนหลับคาโซฟาตรงมุมรับแขกในห้องทำงาน เซี่ยวเลี่ยงเปิดประตูเข้ามาหยุดมองคนรักด้วยความรู้สึกผิด ลงนั่งมองหน้าใกล้ๆ
สักครู่เหม่ยลี่ก็ลืมตาตื่น ยิ้มทักคนรักโดยไม่ได้ต่อว่าใดๆ “หืม คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
“ผมบอกให้คุณกลับบ้านพักผ่อนไง”
เหม่ยลี่ลุกนั่ง “คุณบอกว่าจะจัดการธุระก่อน ฉันคิดว่าอยู่ที่นี่ซะอีก เสร็จงานแล้วเหรอ”
“จัดการเรียบร้อยแล้ว สามารถอยู่กับคุณอย่างตั้งใจได้แล้ว”
“น่าเสียดายที่หนังของเราฉายจบแล้ว ดูสิ ฉันซื้อโค้กแก้วใหญ่มา ว่าจะให้เราดูดกันคนละครึ่ง ฮิๆ”
เหม่ยลี่หยิบแก้วมาดูดก่อน เซี่ยวเลี่ยงดูดอีกหลอด
เซี่ยวเลี่ยงวางแก้วลง ลุกขึ้น ยื่นมือมาให้ “มา ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปนั่งรถกินลม”
เหม่ยลี่จับมือเขาลุกขึ้นหัวเราะคิกคัก
เซี่ยวเลี่ยงคว้าแก้วน้ำกะถังป๊อปคอร์น สองเดินเดินตามกันออกไป

ซือหยวนในชุดคลุมเตรียมเข้านอน นั่งทานบะหมี่อยู่ที่มุมครัวห้องพัก ตรวจดูงานไปด้วย แต่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นหลินจื่อเหลียงเปิดประตูเข้ามานั่งในห้องรับแขก จึงวางงานรีบเดินไปหา
“ท่านรองหลิน คุณมาได้ยังไงคะ”
“นี่เป็นบ้านผม ผมมาแปลกมากเหรอ”
“งั้นคืนนี้ฉันจะออกไปค้างข้างนอก”
“ไม่ต้องหรอก ผมมานั่งเล่นแป๊บเดียวเอง นั่งสิ”
“เอ่อ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย คงไม่เกิดอะไรขึ้นใช่มั้ยคะ” ซือหยวนลงนั่งด้วย มองเป็นห่วง
“มีโพรเจ็กต์หนึ่งเกิดปัญหานิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
“แล้วเมื่อวาน ลูกค้าผู้หญิงที่ออกไปกับคุณ...คือ...”
จื่อเหลียงคิดตามจนนึกออก “ลูกค้าผู้หญิงอะไร อ๋อ คุณหมายถึงเยี่ยฉีเหรอ ในมือของเธอมีชิปที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอยู่ เธอไม่ใช่ลูกค้าทั่วไปหรอก”
ซือหยวนงุนงง “ชิปที่ใหญ่ที่สุด ฉันไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร”
จื่อเหลียงยกมือเชิงห้ามซัก “ร่วมงานกันไปก่อน แล้วผมจะบอกคุณเอง”
รองหลินมองซือหยวนตาเชื่อม ขยับตัวมานั่งใกล้ๆ กระซิบถามข้างๆ หู อย่างมีความหมาย
“โพรเจ็กต์ใหม่ของบริษัท ต้องการนักออกแบบหลักหนึ่งคน สนใจมั้ยล่ะ”
“แน่นอนค่ะ ฉันจะทำให้ดีที่สุด”
“อื้ม วันนี้ใช้อะไรสระผมเหรอ หอมจังเลย หืม”
ซือหยวนกุมมือตัวเองจนแน่น ถูกจื่อเหลียงผลักให้ลงไปนอนกับโซฟา เดาไม่ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่นานต่อมา ซือหยวนตั้งโต๊ะเสร็จร้องบอกจื่อเหลี่ยง “กับข้าวเสร็จแล้วค่ะ”
จื่อเหลียงเดินแต่งตัวออกจากห้องนอนมาลงนั่งที่โต๊ะ คีบอาหารและข้าวเข้าปาก แต่กลืนไม่ลง ต้องวางถ้วยข้าวและตะเกียบ ยกแก้วน้ำมาดื่มล้างคอพลางถาม
“ไม่เคยทำอาหารใช่มั้ย”
ซือหยวนลองชิมดู แล้วหน้าเสียหนัก “ขอโทษค่ะ ฉันไม่เคยทำอาหาร อยู่บ้านเซียนหนานเป็นคนทำตลอด ปกติเขาทำงานค่อนข้างเยอะ เคยเป็นเชฟด้วย ดังนั้นจึงทำอาหารอร่อยกว่าฉัน”
“นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีความสามารถ ให้เมียทำกับข้าวให้กิน ในเมื่อคุณมาอยู่บ้านนี้แล้ว ก็ต้องลืมเรื่องในอดีตโดยเร็วที่สุด ผมไม่ต้องการได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีก ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ คือต้องมอบชีวิตที่ผู้หญิงของตัวเองต้องการได้ ไม่ใช่อยู่แต่ในครัวทำกับข้าวให้ผู้หญิงกิน ช่างเถอะ คุณรีบไปแต่งตัว ผมจะพาไปกินข้างนอก”
จื่อเหลียงลุกเดินนำออกไป ซือหยวนนั่งคอตกอยู่อย่างนั้น

รุ่งเช้า จื่อเหลียงเดินเข้ามาในแผนกออกแบบ ในมือมีแฟ้มแผนงานของเยี่ยฉีด้วย หยุดยืนตรงหน้าเหม่ยลี่ เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ทุกคนวางงานที่อยู่ในมือก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจะประกาศ บริษัทของเรากับโพรเจ็กต์ความร่วมมือห้องเสื้อเยี่ยฉีออกมาแล้ว ต้องการเพื่อนร่วมงานห้าคนไปจัดการ ตอนนี้ผมยืนยันผู้รับผิดชอบแล้วสองคน ทุกคนสามารถไปสมัครกับเขาได้”
เขามองจ้องที่เหม่ยลี่ “มี่โตะ คุณมาเป็นหัวหน้าทีม หลิวซือหยวน คุณรับผิดชอบช่วยเหลือเขา”
เหม่ยลี่ลุกขึ้นทักท้วงทันที “มันไม่ดีมั้งคะท่านรองหลิน ยังไงพี่ซือหยวนก็เป็นรุ่นพี่ของฉัน”
“ผมให้คุณเป็นหัวหน้าทีม เพราะโพรเจ็กต์นี้ต้องดำเนินการผ่านโฆษณาของเกาเหวิน พวกคุณเป็นเพื่อนรักกันนี่ แบบนี้การทำงานจะสะดวกกว่า” จื่อเหลียงเอาเรื่องนี้มาอ้าง
เหม่ยลี่พบยายามทักท้วง “แต่ว่า”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ตกลงตามนี้”
จื่อเหลียงตัดบทเสียงเข้มแล้วเดินเข้าห้องทำงานไปเลย
ทุกคนอึ้งกันทั้งแถบ ซือหยวนมองเหม่ยลี่อย่างไม่พอใจ

ซือหยวนทั้งน้อยใจและเสียใจ ที่ต้องทำงานในฐานะผู้ช่วยเหม่ยลี่ รีบตามเข้ามาถามจื่อเหลียงถึงในห้อง
“ท่านรองหลิน คุณให้ฉันทำโพรเจ็กต์นี้ไม่ใช่เหรอ”
จื่อเหลียงนั่งลงที่โต๊ะทำงานอย่างใจเย็น “เล่นหมากรุกเป็นมั้ย”
ซือหยวนงุนงงสงสัย “ทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ”
“ในกระดานหมากรุกอันที่อยู่ด้านหน้าสุด ต้องเป็นทหารเสมอ พวกเขาต้องเดินหน้าเท่านั้นถอยหลังกลับไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น คนที่สูญเสียที่สุดก็คือพวกเขา”
ซือหยวนงงไม่หาย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโพรเจ็กต์นี้ล่ะ”
“มี่โตะคือทหารที่อยู่ในมือเรา เหตุผลที่ผมให้เขาอยู่หน้าสุด คือช่วยปกป้องหมากรุกที่อยู่ด้านหลังอย่างเรา คุณรีบร้อนเดินหน้าอย่างนี้ ต้องการช่วยเขากั้นศัตรูเหรอ”
“ศัตรูเหรอ ในโพรเจ็กต์จะมีศัตรูได้ยังไง”
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่ต่อไปจะกลายเป็นศัตรู เยี่ยฉีคือแฟนคนแรกของเซี่ยวเลี่ยง คือผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมเธอ ตอนนี้คุณเข้าใจหรือยัง ว่าทำไมผมถึงให้มี่โตะเป็นหัวหน้าทีมนี้ ถ้าผู้หญิงสองคนนี้ต่อสู้กันขึ้นมา ความสูญเสียของเซี่ยวเลี่ยงต้องมหาศาลแน่ เมื่อถึงเวลานั้น เราก็สามารถเอาโพรเจ็กต์กลับมาได้ แล้วแพร่ข่าวไปถึงหูของท่านประธาน มันต้องเป็นเกมที่สนุกมากแน่”
จื่อเหลียงปรบมือยิ้มร้ายในแผนการอันแยบยลของตน ซือหยวนฟังแล้วนิ่งงันไป ก่อนจะพยักหน้ารับเอาคำ

เซี่ยวเลี่ยงจิบกาแฟอยู่ในห้องทำงาน ถึงกับวางแก้ว ย้อนถามฉีหยูที่รายงานจบลงเสียงเข้ม
“นายแน่ใจเหรอ”
“มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ท่านรองหลินเลือกมี่โตะเป็นหัวหน้าทีม ตอนนี้รายชื่อสมาชิกส่งไปให้คุณเยี่ยเรียบร้อยแล้ว”
“นายรีบติดต่อกับเยี่ยฉี ให้เธอมาที่นี่ด่วน”
“ได้ครับ”
ไม่ทันขาดคำ เยี่ยฉีก็เดินยิ้มเข้ามาในห้องพอดิบพอดี
“บังเอิญจัง ฉันมาแล้วค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าให้ฉีหยู “นายออกไปก่อน”
“ฉันกำลังอยากคุยเรื่องโพรเจ็กต์กับคุณพอดี ฉันได้รับรายชื่อแล้วล่ะ”
“รายชื่อพวกนั้นเป็นโมฆะแล้ว เปลี่ยนคน” เซี่ยวเลี่ยงเดินหนีไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
เยี่ยฉีตามมา “ทำไม มีปัญหาอะไรเหรอ”
“นักออกแบบที่เป็นหัวหน้าทีม คุณสมบัติไม่เพียงพอ ต้องเปลี่ยนเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า”
“นักออกแบบหัวหน้าทีมคือมี่โตะ ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ คนที่ไปออกงานกิจกรรมกับคุณน่าจะเป็นเธอ สามารถอยู่ข้างๆ คุณได้ ฉันคิดว่าเธอคงไม่มีปัญหาแน่นอน” เยี่ยฉีว่า
เซี่ยวเลี่ยงโยนแฟ้มงานลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ
“มีปัญหาหรือไม่ผมตัดสินเองได้ คุณแค่ทำตามที่ผมบอกพอ”
“พนักงานเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องให้คุณไปถามด้วยตัวเองเชียวเหรอ หรือว่าคุณสนใจโพรเจ็กต์ของฉันเป็นพิเศษ”
“ผู้รับผิดชอบคือเทซีโร่ ในเมื่อคุณต้องการร่วมมือกับเทซีโร่ ก็ฟังคำสั่งของผม”
“ได้ ฉันจะฟังคำสั่งคุณ”

เยี่ยฉีลงมาจากห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยง เห็นเหม่ยลี่ทำงานอยู่ที่โต๊ะ จึงเดินตรงมาหา ทักทาย
“คุณมี่คะ”
“คุณเยี่ย สวัสดีค่ะ”
“ต่อไปต้องร่วมงานกันระยะยาวแล้ว ต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ”
“หวังว่าคุณเยี่ยจะให้การชี้แนะ” เหม่ยลี่หันมาทางซือหยวนที่เดินออกจากห้องจื่อเหลียงมาพอดี แนะนำให้รู้จักกัน “นี่คือผู้รับผิดชอบโพรเจ็กต์ของเรา คุณหลิวซือหยวนค่ะ พี่ซือหยวน”
ซือหยวนหน้าบึ้ง ไม่ทักตอบเดินไปที่โต๊ะเลย เยี่ยฉีพอดูออกว่าอะไรเป็นอะไร ยิ้มให้เหม่ยลี่
“มีเวลามั้ย ฉันอยากชวนคุณไปดื่มกาแฟ มีบางอย่างจะขอคำแนะนำจากคุณ”
“ได้ค่ะ”

สองสาวอยู่ที่ร้านกาแฟละแวกออฟฟิศ เหม่ยลี่เอ่ยขึ้นว่า
“คุณเยี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรับผิดชอบโพรเจ็กต์ ถ้าหากว่า ต่อไปมีตรงไหนไม่ถูกต้อง ขอคำแนะนำจากคุณด้วยนะคะ”
“ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในบริษัท ไม่ต้องเป็นทางการหรอกค่ะ คุณวางใจได้ ฉันเป็นเพื่อนของคุณเซี่ยว ฉันต้องดูแลคุณอย่างดีแน่นอน”
เหม่ยลี่อึ้งไป “เอ่อ เขาบอกให้คุณดูแลฉันเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอก ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
เหม่ยลี่หัวเราะกลบเกลื่อน “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“พูดถึงคุณเซี่ยวแล้ว ดูเหมือนฉันจะยิ่งไม่รู้จักเขา เหมือนเขาจะเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าเรื่องความร่วมมือครั้งนี้ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ ที่จริงคุณเซี่ยว ดูภายนอกเหมือนเขาจะเย็นชา แต่ความจริงแล้ว เขาเป็นคนดีมากเลยนะคะ”
“งั้น...ในด้านอื่นๆ มีตรงไหนที่ต้องระวังเป็นพิเศษบ้างล่ะ”
เหม่ยลี่ตกหลุมพราง “อืม...คุณเซี่ยว เป็นคนไม่ค่อยพูด ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับเขาล่ะก็ คุณต้องเป็นคนที่เริ่มก่อนค่ะ ยังมีอีกอย่างคือ...อืม...เขาค่อนข้างเอาแต่ใจ ทางที่ดีคุณต้องเชื่อฟังเขา”
เยี่ยฉีจ้องหน้าเหม่ยลี่ “ดูเหมือนคุณจะเข้าใจเขาดีนะคะ”
“อ้อ เปล่าหรอกค่ะ ที่จริง...พวกเราทั้งบริษัท ก็เข้าใจเขาเหมือนกันทุกคนค่ะ”
“วันนี้ฉันได้กำไรเยอะมาก ขอบคุณนะมี่โตะ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ต่อไปถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร คุณมาหาฉันได้เสมอเลยนะ”
“ได้สิ”
สองสาวยิ้มให้กัน เยี่ยฉีลอบมองเหม่ยลี่ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

เหลยอี้หมิงอยู่ในห้องตรวจที่แผนก เอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยฉีกับเซี่ยวเลี่ยงที่ดูสนิทสนมกันเกินเพื่อน แถมเยี่ยฉียังคอยเอาอกเอาใจเซี่ยวเลี่ยงตลอดๆ
“เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมานานแล้วล่ะค่ะ มีอะไรก็มักเก็บเอาไว้ในใจ”
“เรื่องในอดีตผมจำไม่ได้”
เยี่ยฉีคอยตักอาการเอาใจ “ชิมนี่หน่อยนะคะ ของโปรดของคุณเลย”
“คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ผมไม่ชอบกินแบบนี้มานานแล้ว”
“จริงเหรอ ว้าว”
อี้หมิงคิดว้าวุ่นอยู่ในใจว่าจะบอกเหม่ยลี่ดีไหม
“เซี่ยวเลี่ยงกับเยี่ยฉีดูเหมือนจะมีปัญหา แต่จะบอกยัยอ้วนดีมั้ยนะ”
คนไข้หญิงท้องโต ถูกส่งเข้ามาลงนั่งตรงหน้า เอาแต่ร้องไห้ อี้หมิงดูประวัติคนไข้แล้วถามว่า
“เป็นอะไร สุขภาพแข็งแรงพัฒนาการของทารกก็ดี มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่เอาเด็กคนนี้แล้ว”
“คุณบ้าไปแล้วหรือไง เด็กคนนี้หลายเดือนแล้วใกล้คลอดแล้วนะ”
“ฉันไม่อยากอยู่แล้ว สามีของฉันมีเมียน้อย” คนไข้โวยวายลั่น
หมอเหลยพยายามปลอบ “เดี๋ยวๆๆๆคุณอย่าเพิ่งใจร้อนสิ ถ้ายังไม่แน่ใจคุณอย่าเพิ่งสงสัยสามีของคุณเลย”
“คนที่ฉันโกรธไม่ใช่เขาหรอก แต่คือคนรอบข้างของฉันต่างหากล่ะ แม้แต่เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เขาก็รู้ว่าสามีฉันมีเมียน้อย แต่เขาปิดบังฉันมาตลอด” คำพูดนั้นกระแทกใจหมอเหลยจังๆ เขาอึ้งไปเลย “เป็นเพราะเขาคนเดียว ฉันถึงได้เป็นแบบนี้ ตั้งท้องลูกโดยที่เขาไม่ต้องการ คุณหมอ ฉันไม่เอาเด็กคนนี้แล้ว โอ๊ย”
“คุณๆ” อี้หมิงตกใจลุกพรวดขึ้น ตะโกนเรียกพยาบาลหน้าห้อง “พยาบาล...พยาบาล”
หญิงท้องชุดฟ้าร้องไห้โฮๆ “ทำไงดี”
พยาบาล2 คน ปลอบ พยุงคนไข้ออกไป “ผ่อนคลาย นะคะๆ”
แต่ดูจะไม่ได้ผลคนไข้ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“นิ่งไว้นะคะสูดหายใจ สูดหายใจเข้า”
หมอเหลยหน้าเสีย ห่วงยัยอ้วนจับใจเมื่อคิดว่าเซี่ยวเลี่ยงกำลังนอกใจเธอ

อี้หมิงอินเรื่องคนไข้ และกังวลไม่หาย จนมโนไปใหญ่โตว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเหมี่ยลี่ และถูกเธอต่อว่า
“ยัยอ้วน ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ”
“ถ้านายบอก ฉันไม่มีทางแต่งงานกับเซี่ยวเลี่ยงหรอก ยิ่งไม่มีทางตั้งท้องลูกของไอ้เลวคนนั้น ทั้งที่นายรู้ว่าเขามีเมียน้อยยังไม่บอกฉัน ฉันไม่มีวันยกโทษให้นายแน่”
อี้หมิงได้สติถอนใจเฮือก

เหม่ยลี่ลุกเดินมาคุยงานกับซือหยวนด้วยท่าทีเกรงใจ
“พี่ซือหยวน เรื่องเกี่ยวกับโพรเจ็กต์นี้ฉันอยากคุยกับพี่ให้เข้าใจ”
ซือหยวนยิ้มเย้ยประชดขึ้นทันที “หัวหน้ามีอะไรจะสั่งเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น เอ่อ...แม้ว่าในโพรเจ็กต์นี้ฉันจะเป็นหัวหน้า แต่ว่า...ในการทำงาน พี่ก็ยังเป็นรุ่นพี่ของฉัน ฉันหวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากพี่นะคะ”
ซือหยวนยิ้มเยาะ ส่อเสียดด้วยวาจาไม่เลิก เพราะรู้ว่าเยี่ยฉีเป็นแฟนเก่าเซี่ยวเลี่ยง
“เธอเป็นห่วงฉัน หรือสงสารฉันล่ะ ถ้าว่างก็เป็นห่วงตัวเองให้มากๆ จะดีกว่า ยังมีเวลาไปห่วงคนอื่นอีกเหรอ อย่าคิดว่ามีคุณเซี่ยวแล้ว ทุกอย่างจะตกไปอยู่ในมือของเธอนะ”
เหม่ยลี่งง “ฉันไม่รู้ว่าพี่หมายถึงอะไร”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่นนี่ คุณเซี่ยวกับคุณเยี่ย เป็นคนชั้นสูงเหมือนกัน พวกเขาเป็นคนในวงการเดียวกัน คนอย่างพวกเราอย่าหวังว่าจะแทรกเข้าไปได้ อย่าคิดว่าถูกยกยอแล้วตัวก็ลอยไปด้วย เดี๋ยวจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง”
“แต่เรื่องระหว่างฉันกับคุณเซี่ยว ฉันจัดการเองได้”
ซือหยวนเสียงดังใส่ “งั้นก็ดี งั้นขอให้เธอโชคดีนะ”
เหม่ยลี่กลับโต๊ะไปอย่างหนักใจ ซือหยวนปรายตามองตามด้วยสีหน้าสะใจ

ฝ่ายอี้หมิงมาดักรอเหม่ยลี่ที่หน้าบ้านตัวเองถอนใจเฮือกๆ เพราะรออยู่นาน กว่าจะเห็นยัยอ้วนของเขาเดินคอตกกลับมา
“เอ่อ...เธอเป็นอะไร”
เหม่ยลี่เดินมาหาถามเสียงเศร้า “ฉันด้อยกว่าผู้หญิงคนอื่นจริงๆ เหรอ”
“ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ เซี่ยวเลี่ยงทำให้ลำบากใจเหรอ หรือว่าเขาบอกเลิกเธอ”
“เลิกเหรอ เลิกเรื่องอะไรล่ะ”
“เมื่อกี้เธอพูดถึงผู้หญิงอื่นไม่ใช่เหรอ”
“พี่ซือหยวนบอกฉันว่า ฉันไม่เหมาะสมกับเซี่ยวเลี่ยง อีกอย่าง เขาพูดว่าเราสองคนเหมือนอยู่กันคนละโลก ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว เซี่ยวเลี่ยงชอบทำตัวเย็นชากับฉันเสมอ ซักวันเรื่องนี้ต้องเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างเราแน่”
“ยัยอ้วน มีบางเรื่องที่ฉันคิดว่าต้องบอกเธอ...”
อี้หมิงไม่ทันได้พูดอะไรอีก ก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้น เหม่ยลี่ขอตัวรับสายจากเซี่ยวเลี่ยง
“เซี่ยวเลี่ยงโทร.มา ฮัลโหลเซี่ยวเลี่ยง ว่างสิคะ งั้นฉันจะรีบไปเตรียมตัว เกาเหวินจะจัดปาร์ตี้คัมแบ็ค คืนนี้เซี่ยวเลี่ยงให้ฉันไปกับเขา นายมีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ”
“แต่ว่าฉัน...”
“เฮ้อ ฉันไปเตรียมตัวก่อนไม่มีเวลาแล้ว ค่อยคุยกันเถอะน่า”
เหม่ยลี่กระวีกระวาดเข้าบ้าน อี้หมิงขยับจะตามไป สุดท้ายยอมถอยได้แต่ถอนใจเฮือกๆ

หมอเหลยกลับเข้าบ้านเกาเหวินหน้าเครียด เจอเจ้าของบ้านในชุดสวยเดินลงบันไดมาถามขึ้นว่า
“วันนี้ฉันสวยมั้ย”
อี้หมิงถอนใจบอกเสียงเนือยๆ โดยไม่มองเธอด้วยซ้ำ “วันไหนบ้างที่คุณไม่สวย”
“เจสันจัดปาร์ตี้คัมแบ็คให้ฉัน อีกสองชั่วโมงฉันก็ต้องไปเข้าสังคมแล้ว”

อี้หมิงบอกอย่างซังกะตายว่า
 
“ผมไม่มีอารมณ์ไปเข้าสังคมกับคุณหรอก”

อ่านต่อ ตอนที่ 23

#กะรัตรัก #NOW26 #ละครออนไลน์
กำลังโหลดความคิดเห็น