หน้ากากนางเอก ตอนที่ 8
ปราชญ์ขับรถอยู่ เสียงป้าสายดังขึ้นมา
“ข่าวว่าคุณยายของคุณเขมเป็นอัลไซเมอร์ น่าสงสารนะคะ ตอนคุณเขมไปทำงาน ไม่รู้จะกินอยู่ยังไง”ปราชญ์ครุ่นคิด ก่อนเบนรถไปบ้านของเขมทันที
ยายของเขมเหมือนได้ยินใครบางคนเรียกชื่อ จึงเดินออกมานอกบ้าน แล้วเดินออกไป ...ยายเดินออกมายังถนน ดวงตาว่างเปล่า เลื่อนลอย เดินไปเรื่อย ไม่มีจุดหมายปลายทาง พอมาถึงทางเลี้ยวมุมถนน ร่างของยายก็เดินลับหายไป
เขมปัญฑาเลี้ยวรถมาจอดหน้าบ้าน ก่อนเดินลงมาด้วยท่าทางสง่า แต่ทว่าสุขุมเรียบร้อย เธอถือกล่องอาหารเดินเข้าไปข้างใน ร้องเรียกอ่อนหวาน
“คุณยายคะคุณยาย...เขมกลับมาแล้วค่ะ”
เธอวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ กวาดสายตามองหายาย แต่ไม่เห็นยายอยู่ในห้อง
“คุณยายคะ...เขมกลับมาแล้ว ซื้อของโปรดคุณยายมาให้ด้วย … คุณยาย”
เงียบ ! เหมือนนึกได้ เธอเดินเร็วๆออกไปยังนอกบ้าน หน้าซีดเผือด รีบวิ่งออกไปนอกบ้านทันทีด้วยความเป็นห่วงยาย
พระอาทิตย์ส่องเปรี้ยง แดดร้อนจัด ยายที่เดินอยู่ข้างถนน มีอาการเหนื่อยอ่อน … ในซอย เขมปัญฑาเดินแกมวิ่งถามผู้คน
“เห็นคุณยายของเขมมั้ยคะ”
“เห็นค่ะ เดินไปทางโน้น” ชาวบ้านบอก
“ขอบคุณค่ะ” เธอรีบตามไปด้วยความร้อนใจ
ฝ่ายยาย จากที่เดินๆก็หยุดนิ่ง โลกหมุน มีอาการเวียนหัวก่อนจะเซล้ม เป็ฯจังหวะที่ปราชญ์ขับรถมา เห็นคนแก่เป็นลมอยู่ข้างถนน เขารีบจอดรถลงไปช่วยทันที
ปราชญ์กระโจนลงจากรถ ตรงเข้ามาประคองคุณยาย ที่หลับตามึนงง ร้องเรียกเบาๆเตือนสติ
“คุณยายครับคุณยาย”
ผู้คนแถวนั้นรีบเดินกันเข้ามา ปราชญ์ถามห่วงใยอย่างมีน้ำใจ
“ไหวมั้ยครับคุณยาย”
ยายพยักหน้าแบบเบลอๆ บอกแผ่วๆ “ไหว..ไหว”
“บ้านอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
คุณยายไม่ตอบ เหมือนตอบไม่ไหว แต่คนแถวนั้นตอบแทน โดยการชี้ไปในซอยพลางอธิบาย
“บ้านแกอยู่ในซอยนั่นแหละ...บ้านของคุณเขมที่เป็นดาราน่ะ”
ปราชญ์ถามทันที
“บ้านของคุณเขมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
เขมปัญฑาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เทางด้านหลัง เธอเห็นปราชญ์กอดประคองยายเอาไว้ พอเห็นหน้ายายก็ร้องลั่น
“คุณยาย”
ปราชญ์ได้ยินเสียง หันไปมอง เขมปัญฑาตกตะลึงที่เห็นปราชญ์
ในมุมนั่งเล่น ปราชญ์นั่งอยู่ข้างๆยายที่ท่าทางยังเหนื่อยอ่อน ในมือปราชญ์ถือยาดมให้ยายดม
ขณะที่เขมปัญฑาเช็ดตามเนื้อตัวหน้าตาให้คุณยาย ยายสูดลมหายใจบอก
“พอแล้วลูก...ยายดีขึ้นแล้ว...” ยายสูดลมหายใจ ก่อนมองปราชญ์งงๆ “นี่ใคร แฟนหนูเหรอ”
เธอรีบบอกหน้าตาตื่น “เปล่าค่ะ”
ปราชญ์รีบบอกเหมือนกัน
“ผมเป็นเพื่อนคุณเขมครับ”
เธอหน้าตึง แต่มีมารยาท
“ยายเดินออกไปปากซอยแล้วหน้ามืดเป็นลมน่ะค่ะ....คุณเค้ามาช่วยไว้พอดี”
ยายทำหน้าแบบตกใจ ขณะที่ปราชญ์ยกมือไหว้นอบน้อม
“ผมปราชญ์ครับคุณยาย”
ยายมองประทับใจ
“ขอบใจนะคะคุณ ขอบใจ … ยายจำไม่ได้เลย ว่าเดินออกไปนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่” ยายบอกเขมปัญฑา
“ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง เขมถึงไม่อยากให้น้านางออกไปทำงานนอกบ้าน จะได้มีคนคอยอยู่ดูแลยาย นี่ถ้าวันนี้เขมไม่รีบกลับมา ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับยายรึเปล่า”
ยายทำหน้าครุ่นคิด ปราชญ์ได้ฟังเรื่องราวก็นึกเห็นใจเขมปัญฑาขึ้นมาทันที
ทางด้านเวฬุยาเดินมากับครูตรงทางเดินที่จะมาสวนสนามเด็กเล่น
“มีผู้ปกครองหลายคนฝากขอบคุณและก็ฝากคำชมมาให้คุณมะม่วงด้วยนะคะ ที่เมื่อวานพาเด็กๆปลูกต้นไม้แล้วก็จัดสวน”
“คะ มะม่วงยินดีและก็เต็มใจมากๆคะ...เอ่อ...คุณครูคะ เดี๋ยวอีกซักครู่ต้นไม้ที่มะม่วงสั่งไว้ก็มาถึงแล้วคะ วันนี้มะม่วงตั้งใจจะพาเด็กๆจัดสวนแล้วก็จัดสนามเด็กเล่นใหม่คะ”
“จัดสวนกับสนามเด็กเล่นเหรอคะ...แต่มันทำเสร็จแล้วนี่คะ”
ครูชี้นำให้มะม่วงหันไปมองที่สนามเด็กเล่น มะม่วงหันมองตามไป ที่สนามเด็กๆเล่นมีการจัดสวนไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว มะม่วงงงว่าเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
“เอ๊ะ...ทำไมที่นี่ถึง”
“เช้ามาก็เจอแบบนี้แล้วคะ...ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ...ตอนแรกครูยังนึกว่าเป็นฝีมือคุณมะม่วงซะอีกนะคะเนี่ย”
“ไม่ใช่คะ มะม่วงไม่ได้เป็นคนทำ” เธอหันมองสนามเด็กเล่นอีกครั้งอย่างสงสัย “ใครเป็นคนทำ?”
เธอครุ่นคิด และไม่นานก็มีเสียงของแทนไทดังมาจากอีกด้าน
“ก็ลงทุนทำขนาดนี้ไม่เห็นใจกัน ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะครับ” แทนไททำหน้าเก้อๆออกแนวกวนๆ
เธอหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียง จำได้ว่าเป็นเสียงแทนไท ทันทีที่ได้ยินเสียงอยากจะด่า แต่ต้องเก็บอาการไว้
“นี่...แก!!!!...เอ่อ...คุณ”
ครูเห็นจำได้
“เอ๊ะ...ผู้ชายคนนี้...ที่เมื่อวาน...นี่เค้ากับคุณมะม่วง” ครูยิ้มๆเป็นนัยๆ
“ไม่ใช่นะคะ...เค้าไม่ใช่อย่างที่ครูคิดนะคะ มะม่วงไม่รู้จักเค้า”
“อ้าวๆๆๆ...อะไรกันคุ๊ณ คุณไปโกหกครูเค้าได้ไงว่าไม่รู้จักผม อย่ามาทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะในโรงเรียนสิคุ๊ณ เด็กๆจะจำเอาไปเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเอานะ”
ครูเริ่มยิ้มแหยๆตกลงว่าคู่นี้นี่ยังไงกันแน่
“เอ่อ...ถ้างั้นเชิญคุยกันตามสบายนะคะ ครูขอตัวไปเตรียมแผนการสอนก่อนคะ” ครูรีบเดินออกไป
“เอ่อ...ครูคะ เดี๋ยวสิคะ..มะม่วงไม่” เธอมองตามครูไป ก่อนจะหันกลับมาพูดตอกหน้าแทไท “นี่นาย...นายมาทำตัวยุ่งจุ้นจ้านอะไรอยู่ที่นี่ไม่ทราบ”
“ผมยุ่งอะไร๊...ผมก็แค่จะมา...ขอ”
เธอพูดสวนทันที
“ฉันไม่มีอะไรจะให้นายขอ ไปให้ไกลๆหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ...ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว”
“โธ่คุณ จะพูดกันดีๆบ้างไม่ได้รึไง ที่ผมทำขนาดนี้ก็เพราะผมอยากจะขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณมะม่วงจะกรุณาให้ความเห็นใจผมหน่อยได้ไหมค้าบ ไม่ใช่เอะอะเจอหน้าก็ด่ากันแบบนี้”
“ได้... ฉันเห็นใจคุณก็ได้ เห็นใจคนที่มีสมอง แต่ไม่รู้จักคิด คุณถึงได้ละเมิดสิทธิ์ฉันทุกอย่าง”
แทนไทรีบปฏิเสธ แถมมีฟอร์ม
ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่า ผมเสียใจ”
เธอพยายามรวบรวมสติ ไม่อยากอารมณ์เสีย ไม่อยากฟังคำแก้ตัว และไม่อยากพูดต่อความยาวอีกต่อไป
“ โอเค โอเค... เอาเป็นว่าที่ผ่านมา ฉันจะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรคุณทั้งนั้น..ต่อไปเราจะไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีก พอใจม๊ะ”
แทนไทยิ้มดีใจ
“พอใจที่สุดเลยครับ...ต่อไปเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันซะที”
เธอสวนกลับทันควัน
“ไม่มีทาง...เพราะต่อไปเราจะต้องไม่เจอหน้ากันอีก ขอให้เราต่างคนต่างอยู่ ฉันจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...จบนะคะ” เธอจะเดินหนี
“จะใจร้ายไปรึเปล่าคุณ ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจซะทีว่าที่ผมทำไป ก็เพราะผมอยากให้คุณรู้ว่าผมรู้สึกผิด และผมก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น...แล้วนี่ผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะให้อภัยผม”
“อย่าเสียเวลาเลยค่ะ คนทำอาจจะลืม แต่คนที่ถูกระทำยังจำฝังใจ”
เธอเดินไปไม่สนใจ แทนไทรู้เลยว่า เธอยังเกลียดขี้หน้า
เวลาต่อเนื่องมา ฝ่ายเขมปัญฑาเดินออกมาส่งปราชญ์ด้วยท่าทางเรียบๆ หน้าเฉยๆ จนเขาเดาอารมณ์ไม่ออก เธอพูดอย่างสุภาพ
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยคุณยาย”
ปราชญ์พูดออกมาอย่างไว้เชิง ทำเป็นมองไปทางอื่นแก้เขิน
“ก็...แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ” แล้วแอบมองหน้าเธอแบบเก็บท่าที “คราวหลัง...ถ้าคุณมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็บอกละกัน เพราะมัน...ก็คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมเคยทำไว้...กับคุณ”
เธอชิงตัดบท เหมือนไม่อยากรื้อฟื้น
“ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวไปดูคุณยาย ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่ช่วย”
เธอพูดแค่นั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน อาการนิ่งเฉย สำรวมทำให้ปราชญ์รู้ ลึกๆ เธอยังโกรธอยู่
ปราชญ์ได้แต่ถอนใจ ไม่สบายใจ รู้สึกผิด
บนคอนโดฯ เจ๊เต่า อรัญภัทรนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เจอแต่ข่าวตัวเองถูกด่า เปิดโซเชี่ยลก็เจอแต่ตัวเองถูกด่าเช่นกัน เธอทำหน้าเซ็งสุดๆ
“ไม่มีงาน ไม่มีเพื่อนก็เซ็งเหมือนกันนะเจ๊”
“ดี!จะได้รู้ วันหลัง อย่าทำนิสัยอย่างนี้อีก”
เธอหน้าหงิก
“อย่าพูดอย่างนี้เลยเจ๊ เอี๊ยมไม่อยากทะเลาะ ..มนุษย์เรานี่ก็แปลก ชอบคนตอแหล คนพูดความจริง พูดตรงๆก็ไม่ฟัง”
“เจ๊เคยบอกหลายครั้งแล้วนะ คนตรง คนแรง กับคนไม่มีอีคิว ไร้มารยาท เส้นมันห่างกันแค่นิ้ดเดียว เอี๊ยมต้องแยกให้ออก”
เธอได้แต่หน้างอ ถอนหายใจ เจ้เต่าทำทีเหมือนเพิ่งนึกได้ บอก
“เออ...เขมฝากนี่ไว้ให้เอี๊ยม โทษที เจ้เพิ่งนึกได้”
เจ๊เต่าเดินไปหยิบโน้ตมาให้ เธอรับโน้ตมาอย่างงงๆ
คอนโดในมุมใหม่ เธออ่านโน้ตของเขมปัญฑา
“...ถึงเอี๊ยม เขมมีเรื่องจะบอก ...เรื่องคุณวรรษ”
เธองุนงงสงสัย เต็มไปด้วยความสนใจ รีบกวาดตาอ่านโน้ตรวดเร็ว
เจ๊เต่านั่งอยู่ในห้อง เธอวิ่งกลับเข้าไปในห้องด้วยท่าทางร่าเริง
“เจ๊...วันนี้จะไปไหนเปล่า”
เจ๊เต่าส่ายหน้า ทำหน้าเบื่อๆเซ็งๆ
“ไม่ล่ะ ไม่มีคนจ้าง”
“งั้น...ยืมรถหน่อยสิ”
เธออ้อนบอก
“น่า...เดี๋ยวจะออกไปสร้างกระแส จะได้มีงานเข้ามานะ”
เจ๊เต่ายิ้ม รีบคว้ากุญแจมาให้ เธอยิ้มยื่นมือมารับแต่ เจ๊เต่าเอาคืนบอก
“ขอเป็นเรื่องราวดีๆนะจ้ะ เพราะถ้าสร้างกระแส ถูกด่าเหมือนตอนนี้ รับรองดับ”
“ก็ไม่รู้สินะ” เธอตอบทะเล้น คว้าเอากุญแจวิ่งออกไปท่าทางร่าเริง
เจ๊เต่าเหวอ ได้แต่ร้องตะโกน
“อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกนะเอี๊ยม โอ๊ย!!เจ้อยากตาย”
เจ๊เต่าได้แต่ยกมือขยุ้มผมตัวเอง มองตามกลัวว่า เธอจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
อรัญภัทรขับรถด้วยสีหน้าอิ่มเอิบมีความสุข คิดถึงโน้ตที่เขมเขียนถึง
“เอี๊ยม...คุณวรรษโทร. มาหาเอี๊ยมนะ แต่เขมกลัวจะมีข่าวโจมตีเอี๊ยมในทางที่ไม่ดีขึ้นมาอีก...เขม..เขมเลย..ลบมิสคอลคุณวรรษ แต่มาถึงตอนนี้..เขมคิดว่า...เอี๊ยมคงต้องการกำลังใจ และคุณวรรษก็คงเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของเอี๊ยม ขอโทษอีกครั้งจ้ะ ..เขม”
เธอสีหน้ามีความสุขสุดๆ
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 8 (ต่อ)
เวลาต่อมา วรรษชลเดินหัวยุ่งออกมาจากห้องตัด ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน เขาหาวหวอดๆแต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นอรัญภัทรยืนยิ้มอยู่ ใบหน้าของเธอ สวย สดใส ร่าเริงอย่างที่สุด
มุมหนึ่งในห้องตัดต่อ เธอนั่งอยู่ วรรษชลเอากาแฟมาให้ ขณะที่อีกมือถือแก้วกาแฟของตัวเอง
ทำท่าจะตักน้ำตาลใส่ แต่เธอดึงที่ตักน้ำตาลออกจากมือ อรัญภัทรถาม
“น้ำตาลกี่ช้อนคะ”
“ช้อนเดียว”
เธอตักน้ำตาล ใส่แก้วกาแฟคนๆ ส่งให้วรรษชล ทำก่อนของตัวเอง วรรษชลพึมพำงงๆ
“ขอบคุณ”
เธอชงกาแฟของตัวเอง
“กินแต่กาแฟ แล้วจะได้หลับได้นอนเหรอคุณ”
เขาเหนื่อยๆ ตาปรือๆ
“ก็ยังหลับไม่ได้นี่ งานยังไม่เสร็จ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“หือ” เขามองอย่างประหลาดใจ
เธอหัวเราะ
“อะไรเล่า ก็...ดูแลตัวเองไง”
“แปลกใจ...คุณนึกถึงคนอื่นด้วยเหรอ”
เธอยิ้มนิ่งไปนิด ก่อนอ้อมแอ้มพูด
“นึกสิ ก็....ตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณ”
วรรษชลมองอย่างไม่เชื่อ เธอว่า
“ฉันทำอย่างที่คุณบอกแล้วนะ...แต่เสียดาย ที่เขมกับมะม่วงไม่อยู่ แต่ฉันโอเค อย่างน้อยฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำบ้าง”
“ไม่เลว”
“อะไร ไม่เลว”
“กาแฟ คุณชงได้ไม่เลว”
เธอค้อนขวับ อดยิ้มขำไม่ได้
“จะกัดฉันยังไงก็ช่าง ฉันไม่โกรธคุณหรอก เพราะฉันรู้...จริงๆแล้วคุณ...ก็...W
เขาถามรัวเร็ว “ทำไม”
“ห่วงฉันเหมือนกันนี่!” เธอหัวเราะเสียงใส
วรรษชลยิ้มเขิน เธอมองวรรษชล พูดในใจ
“ขอบใจมากนะเขม...ขอบใจจริงๆ”
เวลาต่อมา เธอนั่งดูวรรษชลทำงาน ป้อมบอก
“พักก่อนนะพี่...หิว”
“โอเค ตามสบาย อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน”
“ฮะ!” ป้อมยิ้มให้ ทั้งคู่เดินออกไป
ที่หน้าห้องตัด สองคนเดินออกมายืดเส้นยืดสาย เธอถามวรรษชล
“วันๆนั่งอยู่แต่ในห้องตัดอย่างนี้ไม่เบื่อเหรอ”
“ไม่...เพราะผมรักที่จะทำ คุณเบื่อล่ะสิ”
“ฮื่อ! กองก็พัก เขมกับมะม่วงก็ไม่อยู่ ฉันยิ่งเซ็งไปใหญ่”
“ไม่ไปออกงานอีเวนท์ล่ะ”
“ไม่เอาอ่ะ...เดี๋ยวคนเค้าจะหาว่า สร้างกระแส เพื่อรอออกงานอีเวนท์”
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา งั้น..” เขามองหยั่งเชิง แบบไม่กล้าชวน
เธอมองวรรษชลอย่างสนใจ รอให้เขาพูด “อะไรคะ”
“ไปออกกองกับผมมั้ยล่ะ ลำบากหน่อย แต่รับรองคุณจะได้อะไรดีๆกลับมาเยอะเลย”
เธอมองเขาอย่างตื่นเต้น
มุมหนึ่งบริเวณนั้น … ผู้ชายคนหนึ่งท่าทาง เหมือนเด็กแวนซ์ ทำทีเป็นยืนดูโน่นดูนี่แบบคนผ่านทาง แต่หูเงี่ยฟังทั้งสองคุยกันตลอด พอทั้งคู่เผลอ ก็แอบเอามือถือถ่ายรูป
พิมพิชชาคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านด้วยท่าทางร้อนใจ
“ว่าไงคัพเค้ก”
เด็กแวนซ์ ที่ว่า ก็คือ คัพเค้ก คนของนางที่าส่งมาติดตามความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ คัพเค้กเดินมาตามทางพลางโทรศัพท์
“ก็ตามที่ผมส่งรูปให้คุณพิมดูนั่นแหละครับ...คุณเอี๊ยมอยู่กับคุณวรรษ นัดแนะกัน เหมือนพรุ่งนี้ จะไปไหนด้วยกันนี่แหละครับ ท่าทางสวีทหวานเชียว”
พิมพิชชาวางสาย เห็นไลน์ที่คัพเค้กส่งมาให้ เป็นภาพที่วรรษชลคุยกับอรัญภัทรอย่างสนิทสนม พิมพิชชาเห็นแล้ว ถึงกับหน้าเสีย
เบอร์รี่ชะโงกหน้าเข้ามามอง ประกายตาบอกถึงความผิดหวัในทันที ก่อนบอกพิมพิชชาเสียงใส่อารมณ์
“รองเท้าที่ถอดทิ้งไปแล้ว พี่พิมจะเก็บมาใส่ใหม่ทำไมคะ”
“เพราะฉันหาคู่ไหน ใส่ได้ไม่สบายเท่าคู่นั้นน่ะสิ”
“มันคงไม่ผิดหรอกค่ะถ้าเป็นรองเท้า....แต่นี่...พอดีเป็นคน...แล้วพี่พิมเปรียบคนเคยรักเป็นรองเท้า แล้วอย่างนี้ ถ้าคุณวรรษรู้ เค้าจะยอมกลับมาเป็นรองเท้าให้พี่พิมใส่เล่นเหรอคะ”
“ยอมหรือไม่ยอม ก็ต้องลอง...แต่ที่รู้ ฉันเชื่อ คำว่าถ่านไฟเก่า ถ้าไฟมันไม่มีการคุขึ้นมา คงไม่มีคำนี้หรอก ถึงตอนนั้น...ถ้าไฟจะลนรองเท้า .. รองเท้าก็ต้องไหม้อยู่กลางกองไฟแกคิดอย่างฉันมั้ยเบอร์รี่” นางมั่นใจสุดๆ
“อันนี้ไม่ก็ไม่แน่เหมือนกันค่ะ เพราะถ้าเป็นรองเท้าที่ทำจากหินเนื้อดี....เวลาถูกไฟไหม้...หินมันจะร้อนยิ่งกว่าไฟอีกนะคะพี่พิมมี่”
เบอร์รี่หัวเราะหน้าตบสุดๆ ก่อนเดินไป
พิมพิชชาเบ้ปากตาม
“ผู้ชายจืดชืดเป็นก้อนดินจากวรรษน่ะเหรอ จะกลายเป็นหินเนื้อดีไม่มีทาง”
เบอร์รี่ สีหน้าบ่งบอกถึงความเสียใจเล็กๆ เดินออกไป
ในเวลากลางคืน เบอร์รี่เดินออกมาอยู่ตามลำพัง หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู เห็นรูปวรรษชลที่แอบถ่ายเอาไว้ เธอมองละห้อย คิดในใจ
“ไม่ว่าคุณวรรษจะเป็นหิน หรือว่าเป็นดิน หนูจะไม่มีทางเปรียบคุณเป็นรองเท้า เหมือนอิปลวกหน้าเหี่ยวแน่ๆ ค่ะ”
และเมื่อคิดถึงรูปที่เห็บแว่บๆ ที่คักเค้กถ่ายส่งมาให้พิมพิชชา เธอหน้าหมองลง เหมือนเด็กกำลังจะถูกแย่งของเล่น ทั้งๆที่ของเล่นชิ้นนั้น เบอร์รี่ไม่เคยได้สัมผัสเลย
เช้ามืดวันใหม่ พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า รถตู้ทีมงานของวรรษชลมุ่งหน้าบนถนนไปยังทางออกทางต่างจังหวัด วรรษชลนั่งข้างๆอรัญภัทรที่อยู่ในชุดสบายๆ คอยดูแลเทคแคร์ ส่งขวดน้ำให้ดื่ม เอายาดมให้ดม เธอส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร ยังไม่แก่”
“ก็เห็นทำท่าจะเป็นลม วันนี้คุณเอี๊ยมตื่นแต่เช้าในรอบปีเลยมั้ง”
“ยังไม่ได้นอนเลย ฉันกลัวตื่นไม่ทัน คุณเล่นออกกองตั้งแต่ตี 5”
“พูดยังกับตีห้า คุณไม่เคยออกกอง”
“ใช่...ฉันบอกเจ๊เต่า...ขอรับงานตอน8 โมง ฉันตื่นเช้าไม่ไหว”
“สมกับเป็นซุปตาร์จริงๆ”
เธอพูดเอง “เรื่องมาก!”
วรรษชลยิ้มขำ
“เพราะถ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ จะน่ารัก น่าชื่นชม ทำตัวตามกฎกติกาทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นซุปตาร์อย่างคุณนี่ จะมีข้อต่อรองทุกอย่างเหมือนกัน”
“น่าเตะ”
“ฮื่อ!”
“งั้นฉันจะพยายามเป็นซุปเปอร์สตาร์ให้ได้....ไม่เป็นแล้วซุปตาร์!”
วรรษชลยกนิ้วให้ อรัญภัทรทำท่าจะเอาขวดน้ำตีเขา ความน่ารักๆของทั้งคู่ ทีมงานมองเป็นตาเดียวแล้วอมยิ้ม
วรรษชลหันมาบอกทีมงาน
“เดี๋ยวแวะกินข้าวกันเลยนะ จะได้ขับรถยิงยาวทีเดียวถึงน่านเลย”
“คร้าบพี่”
ทีมงานรับคำ รถตู้เบนเข้าข้างทางทันที
รถตู้ จอดรถที่หน้าเพิงอาหารข้างทาง แบบธรรมดามากๆ ทั้งสองรวมทั้งทีมงานทยอยเดินกันลงมาจากรถ ผู้คนเห็นเอี๊ยมก็ซุบซิบ ชาวบ้านเมาท์กัน
“ไปซุบซิบเค้า เดี๋ยวเค้าก็ตบเอาหรอก”
“จริงด้วย ไม่เห็นเหรอ เค้าด่าเมียใหม่พ่อซะเสียคนไปเลย”
เธอได้ยินก็หน้าเสีย วรรษชลมองเห็นใจ ชาวบ้านอีกคนเมาท์
อีกคนบอก “แต่เค้าสวยดีนะ หน้าเด้ก...เด็ก ฉันอยากถ่ายรูปเค้า”
เธอได้ยินก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นมิตร
“ถ่ายรูปด้วยกันมั้ยคะ”
“ถ่ายๆ ถ่ายกับคุณวรรษ... ขอถ่ายรูปด้วยนะคะ”
วรรษชลยิ้มเจื่อนๆ อรัญภัทรก็ยิ้มเจื่อนๆ ชาวบ้านบางคนเห็นนางเอกไม่วีนก็บอก
“ขอถ่ายรูปกับคุณเอี๊ยมได้มั้ยคะ”
“ยินดีค่ะ มาๆ มาถ่ายรูปด้วยกันค่ะ” เธอบอก
“เชิญครับเชิญ”
ชาวบ้านผู้คนเห็นอย่างนั้นก็มาถ่ายรูปกัน ท่าทางทั้งคู่ดูเป็นกันเอง ชาวบ้านหยิบกล้องมาเซลฟี่เองด้วย รถผ่านไปมา เห็น บางคันก็จอดลงมาถ่ายด้วย ชาวบ้านผู้คนประทับใจอย่างที่สุด
ร้านกาแฟ ในมุมรีแล็กซ์ เจ๊เต่านั่งเช็กข่าวอยู่ เห็นรูปของอรัญภัทรกับวรรษชล ก็ตาโตตกใจ กับรูปที่ถ่ายกับชาวบ้านข้างทาง และบางรูปก็เป็นรูปสองคนนั่งกินข้าวในเพิงข้างทาง
“ตาย!!ยายเอี๊ยมกับคุณวรรษ ไหนบอกไม่มีอะไร แล้วทำไมเป็นแบบนี้”
เจ๊เต่ากวาดตามอง เห็นสองคนถ่ายรูปกับชาวบ้านก็จริง แต่ท่าทางสนิทสนมกันมาก
“ป้าไก่เห็น เป็นเรื่องแน่ เอี๊ยมเอ้ย”
เจ๊เต่าสีหน้ายุ่งยากใจสุดๆ
ป้าไก่กำลังดูรูปพร้อมเมาท์กับเพื่อนนักข่าว
“แหมๆๆ!ว่าผู้ชายเลวกว่าหมา...แล้วนี่ยายเอี๊ยมคงกำลังกินข้าวอยู่กับหมาสินะเนี่ย”
“เฮ้ย!ป้าไก่ ว่าคุณวรรษทำไม? คุณวรรษไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะ”
“เออนั่นสิ! ขอโทษ คะนองปากไปหน่อย” ป้าไก่ตบปากตัวเอง
“แล้วเอาไงกับข่าวนี้”
“ถามได้...เล่นข่าวไปเลยสิจ้ะ แล้วก็จิกสิจ้ะ จิกอย่าได้ปล่อย ลองไปด้วยกันขนาดนี้ แล้วมาบอกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ฉันจะได้ส่งสะตอไปให้ยายเอี๊ยมมันกินแทนข้าวเลย”
ป้าไก่แค้นฝันหุ่นเอี๊ยม
ข่าวของนางเอกสาวกับสารคดีหนุ่ม ถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คนอ่านข่าวทั้งจากหนังสือพิมพ์. เพจ โซเชี่ยล ฯลฯ
เบอร์รี่อ่านข่าวจากมือถือ
“ด่าผู้ชายเลวกว่าหมา แต่เอี๊ยม อรัญภัทร ดอดไปกับวรรษชล เอ๊ะ!!!ยังไง”
เบอร์รี่มองดูรูปทั้งคู่ หน้าหงิกหน้าง้ำ พึมพำเบาๆ
“มันจะมากเกินแล้วนะนังเอี๊ยม ต้องให้นางพญาปลวกจัดการซะแล้ว”
เบอร์รี่ลุกพรวดเดินออกไป
เวลาต่อมา เบอร์รี่ยื่นมือถือให้พิมพิชชา
“พี่พิมดูนี่”
พิมพิชชาหันมามองดูมือถือของเบอร์รี่ สายตาเหยียดหยามบอก
“จะให้ฉันดูมือถือกะโหลกกะลาของเธอ ฉันไม่ดูหรอก” นางทำหน้าพยักเพยิดไปทางไอแพด “หยิบไอแพดมา”
เบอร์รี่แอบค้อน ขณะหยิบไอแพดส่งให้ พิมพิชชาถามยิ้มๆ แบบดีใจ
“ข่าวฉันเหรอ”
เบอร์รี่ได้ทีแดกดัน
“เปล่าค่ะ!! ข่าวคุณเอี๊ยม กับคุณวรรษ”
พิมพิชชากระชากไอแพดมาดูทันที พร้อมอ่าน
“คุณเอี๊ยมน่ารักจัง ไม่เห็นวีน เห็นเหวี่ยงอย่างที่เป็นข่าวเลย -ติดดินด้วย น่ารักสุดๆ /เห็นมากับคุณวรรษ ตกลง เค้าสองคนเป็นแฟนกันเหรอ?/ คุณวรรษกับคุณเอี๊ยมสมกันสุดๆ เห็นแล้วฟิน อิอิ” …
“แอร้ยย”
“มีคนกรีดร้องด้วยเหรอคะพี่พิม”
“ฉันนี่แหละร้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา แค่คนกินข้าวข้างทาง ก็แห่ไปอวย เกิดมาไม่เคยเห็นรึไง”
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 8 (ต่อ)
เบอร์รี่ได้ทีเย้ยพิมอีก
“เห็น แต่นี่เค้าเป็นคนดัง เป็นเซเล็บ”
“ก่อนที่มันจะดัง มันก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ ใครมั่งไม่เคยกินข้าวข้างทาง พอตอนนี้ทำมาเป็นกรี๊ดวี๊ดว๊าด จะอ้วก”
“แต่ก็น่าอิจฉาจริงๆนะพี่...คนดัง ขยับตัวทำอะไรก็เป็นข่าว” เบอร์รี่เว้าซื่อๆแต่แอบเย้ยๆ “แต่คนไม่ดัง ทำยังไงก็ไม่ดังอ่ะ อย่างพี่พิมอ่ะ ขนาดเรียกนักข่าวมาสัมภาษณ์ ยังไม่ค่อยมีคนลงข่าวให้เลย ลงแต่ข่าวคุณเอี๊ยม”
“นังเบอรี่!” นางกระชากผมเบอร์รี่เต็มแรง “แกเข้าข้างมันใช่มั้ย”
“เปล่านะพี่ … หนูไมได้เข้าข้าง หนูพูดความจริง”
“แต่ฉันไม่อยากฟัง มานี่เลยแก มานี่”
พูดจบนางก็ลากเบอร์รี่ออกไปอย่างแรง เบอร์รี่ได้แต่ร้องโอ๊ยๆๆดังลั่น
พิมพิชชากระชากลากถูมาที่สระว่ายน้ำ เบอร์รี่ร้องลั่น
“พี่จะทำอะไรหนู ปล่อย ปล่อย”
พิมพิชชาไม่ปล่อย แต่จับเบอร์รี่กดน้ำแล้วกระชากขึ้นมา แล้วกดลงไปอีก จนเบอร์รี่สำลักน้ำ สภาพน่าสงสารแล้วนางก็ผลักเบอร์รี่ลงน้ำอย่างแรง เบอร์รี่ร้องลั่น ไม่ทันได้ตั้งตัว สำลักน้ำอีก ก่อนโผล่ขึ้นมาหอบหายใจ บอกพิมพิชชา
“หนูหวังดี อุตส่าห์เอาข่าวมาบอก พี่พิมทำหนูทำไม”
“ฉันไม่อยากได้ยิน!! อย่าพูดอะไรอย่างนี้ให้ฉันได้ยินอีก ถ้าแกยังอยากอยู่ที่นี่ ได้ยินมั้ยนังเบอร์รี่...ไม่งั้น แกจะมีสภาพไม่ต่างจากแม่ของนังเอี๊ยม”
อนงค์แอบมองอยู่ได้ยิน สงสัยในคำพูดของพิมพิชชา
นางกระแทกเท้าเดินเข้าไปในบ้าน อารมณ์เสียสุดๆ เบอร์รี่มองตามด้วยสายตาเคียดแค้น คิดในใจ
“ฉันแค่หมั่นไส้นังเอี๊ยม...แต่ฉันเกลียดแก ซักวันฉันจะเอาคืนแกทุกอย่าง”
เบอร์รี่ตาเขียวมองตามอย่างเกลียดนางมาก
เวลากลางคืน รถตู้ทีมงานสารคดีของวรรษยังคงแล่นมาตามทาง บางระยะค่อนข้างเปลี่ยว ตามปกติ
ธรรมดาของการขับรถที่ต่างจังหวัด อรัญภัทรกวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้า ท่าทางหวาดๆก่อนหันมามองวรรษชล เขาเจอสายตาของความหวาดหวั่นพอดี จึงรีบถาม
“ทำไมมองผมอย่างนี้...ไม่ไว้ใจผมเหรอ”
เธอรีบบอก
“เปล๊า...ก็แค่..รู้สึกว่ามันน่ากลัว”
“ต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละครับ แสงสีไม่ค่อยมี ก็เลยดูน่ากลัว ตรงกันข้าม ที่ที่มีแสงสว่างก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย ทุกสิ่งในโลก เปลือกนอก ล้วนแต่ฉาบด้วยมายา แต่การที่เราเข้าไปสัมผัสได้ ก็ไม่ได้...มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
เธอยิ้มขำ
“โอ๊ย! ฟังคุณพูดแล้วปวดหัว”
วรรษชลยิ้มจริงจัง
“แปลง่ายๆ ทุกอย่างในโลก เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองไงล่ะ”
“งั้นใกล้ถึงหมู่บ้านผึ้งรึยังคะ? ฉันอยากเรียนรู้เต็มทีแล้ว ว่าที่นั่นมีอะไร”
วรรษชลยิ้ม มองเอ็นดู เธอก็ยิ้ม นับวันยิ่งอบอุ่นใจที่อยู่ใกล้วรรษชล
เวลากลางคืน รถทีมงานของวรรษชลเข้าไปถึงหมู่บ้านผึ้ง ทีมกล้อง และเขาเตรียมตัวอย่างดี พอลงจากรถได้ ช่างกล้องก็ถ่ายภาพ วรรษชลสวัสดีทักทายกับชาวบ้านที่รายการนัดเอาไว้
วรรษชลหันมาพูดกับกล้องแนะนำรายการ
“มาถึงแล้วครับหมู่บ้านผึ้ง...หมู่บ้านที่ชาวบ้านไม่ได้เลี้ยงผึ้ง แต่เป็นที่ที่ผึ้งมาอาศัยอยู่ แล้วก็ผลิตน้ำผึ้งออกมา หรือที่เค้าเรียกว่า น้ำผึ้งป่า ชาวบ้านน่ารักแล้วก็มีน้ำใจมากครับ ตอนที่ผมมาถึงที่นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว” เขาพูดพลางมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ “พวกเค้าก็ยังมารอรับกันอยู่เลยครับ”
“กินข้าวกันมารึยัง” ชาวบ้าน 1 ถาม
ชาวบ้าน2 บอก “เดี๋ยวมากินข้าวด้วยกันนะ เตรียมกับข้าวไว้ให้เยอะแยะเลย”
“ขอบคุณครับขอบคุณ... เขาหันมาพูดกับกล้อง … “นี่เป็นน้ำใจที่เราพบได้ อาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่
ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า น้ำใจไม่เคยหายไปจากคนไทยด้วยกันครับ”
วรรษชลยิ้มให้กล้อง ก่อนเดินไปกับชาวบ้านด้วยท่าทางสบายๆ
อรัญภัทรแอบมองเขา ชื่นชมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
แฟนเพจรายการของวรรษ อัพรูปของวรรษกับชาวบ้าน นั่งล้อมวงกินข้าวในบรรยากาศแบบสบายๆกับข้าวพื้นเมืองธรรมดาๆ แต่สีหน้าของทุกคนอบอุ่นมีความสุข
ที่คอนโดฯ ป้าไก่มองดูภาพยิ้มๆก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทร.
ขณะนั้น เธอนั่งล้อมวงกินข้าวกับชาวบ้าน รีบหยิบมือถือดู พอเห็นเบอร์ป้าไก่ก็ชักสีหน้า วรรษชลเห็น ถามอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรคุณ”
อรัญภัทรจ๋อยๆ
“นักข่าวโทร. มา คงจะเห็นภาพฉันกับคุณ”
“ก็รับสายสิ เราไมได้ทำอะไรผิด”
“ไม่เอาอ่ะ ฉันขี้เกียจคุย”
วรรษชลพยักหน้าไม่ได้สนใจอะไร กินข้าวพูดคุยกับชาวบ้านต่อ เธอกดสายทิ้ง
ป้าไก่สุดจะฉุน
“ตัดสายทิ้ง ฉันไม่ยอมหรอก” แล้วกดสายโทร. หาวรรษชลทันที
วรรษชล มีสายโทร.มา เป็นสายป้าไก่ เขาอึ้งๆ เธอถาม
“ป้าไก่โทรฯมาใช่เปล่า”
วรรษชลยิ้มเจื่อนๆพยักหน้า
“ทำไมไม่รับล่ะ”
วรรษชลยิ้มเฉไฉ
“กินข้าวอยู่”
เธอค้อนวรรษชลเล็กๆแบบรู้ทันแล้วอมยิ้ม สองคนพร้อมใจกันไม่รับโทรศัพท์ หันไปกินข้าว
คุยกับชาวบ้าน
ป้าไก่ตาเป็นประกาย
“ไม่คุยเองน้า...แล้วจะหาว่าไก่ร้ายไม่ได้”
ป้าไก่หัวเราะคิกคัก นั่งก้มหน้าก้มตาพิมพ์ยิกๆ
พิมพิชชานั่งอยู่ในห้องอาหารขนาดใหญ่ นั่งจ้องไอแพดมองดูรูปภาพวรรษชลในแฟนเพจ ก่อนเพ่งตามองเหมือนเห็นอะไรซักอย่าง เธอเห็นอรัญภัทรนั่งด้วย แม้จะไม่ใช่ภาพคู่แบบจงใจ แต่เป็นลักษณะ
รวมกลุ่มกันไปด้วยกัน มีหนึ่งรูป วรรษชลตักกับข้าวใส่จานให้นางเอกสาว พิมพิชชามองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดแสลงหัวใจ ริมฝีปากสั่นระริก เมื่อนึกถึงความหลัง ข้อความที่ป้าไก่เขียนดังก้อง
“กิ๊กกันเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่วรรษ เอี๊ยม โผล่ไปสวีทสองต่อสอง อย่าเอางานมา อ้าง เพราะภาพส่อหวานเกิ๊น”
พิมพิชชาน้ำตาคลอ
ในอดีต … วรรษชลในชุดปกติธรรมดา ดูเก่า ๆ โทรมๆ นั่งกินข้าวกับพิมพิชชาในชุดนักเรียนพยาบาล ร้านข้าวแกงข้างทาง เขาดูแลพิมพิชชาทุกอย่าง เดินเอาจานข้าวมาให้ ไปตักน้ำที่ทางร้านมีบริการมาให้, สองคนยืนรอรถเมล์ข้างทาง ฝนตก วรรษชลถอดเสื้อคลุมด้านนอก เอามากันสายฝนให้เธอ, สองคนเดินไปด้วยกัน พิมในชุดนักเรียนพยาบาล เกิดหกล้ม รองเท้าติดอยู่ในซอกพื้น พิมทำท่าจะก้มลงไปเก็บ แต่วรรษชลติงในทันที เป็นเชิงไม่ต้อง เดี๋ยวกระโปรงเปิดจะโป๊ กอดทรุดตัวลงนั่งที่พื้น ดึงรองเท้าออกมาให้พิมพิชชาสวม เขาทะนุถนอม ดูแลแบบสุดๆมาก
พิมพิชชานั่งน้ำตาไหล มองภาพในแฟนเพจด้วยความเสียใจ ก่อนกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง เห็นโต๊ะอาหารตัวใหญ่หรูหรา อาหารมีอย่างมากมาย แต่นางนั่งอยู่คนเดียว
เบอร์รี่ย่องมาแอบมองที่นอกห้อง เห็นพิมพิชชาก้มหน้าจ้องดูไอแพดก็ชะเง้อคอมอง ก่อนน้ำตาจะไหลพรากๆออกมาอีก เบอร์รี่เห็นอาการ ก็ล้วงมือถือมาถ่ายเอาไว้
พิมหลุด พูดออกมาพร้อมมองจ้องไปที่รูปวรรษชลในเพจ
“ถ้าตอนนั้นพิมเลือกวรรษก็คงจะดี”
เบอร์รี่เบิกตากว้าง ท่าทางยินดี เหมือนได้ข่าวชิ้นโต ก่อนที่เบอร์รี่จะเบ้หน้าเบ้ปาก ใส่พิมพิชชาอย่างเกลียดชัง สมน้ำหน้า พิมพิชชามองที่เพจ
เพจอัพรูปขึ้นมาใหม่พอดี เป็นรูปวรรษชลยืนเท่ๆกับชาวบ้าน พิมพิชชามองด้วยความหึงหวง อยากได้กลับคืนมา
“นี่พิมจะต้องเสียวรรษไปจริงๆเหรอ พิมไม่ยอม พิมจะแย่งวรรษคืนมาให้ได้”
พิมพิชชาร้องกรี๊ด ก่อนจะเอามือปัดจานบนโต๊ะอาหารทิ้งจนตกแตกเกลื่อนกระจาย อนงค์ที่ทำงานบ้านอยู่ด้านนอกอีกมุม ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็วิ่งตรงมาด้วยสีหน้าตกใจ
เบอร์รี่เห็นท่าทางพิมพิชชาก็สาแก่ใจมาก ถ่ายคลิปเอาไว้ตลอด เสียงของอนงค์ดังขึ้น
“คุณพิมคะคุณพิม”
เบอร์รี่ได้ยินเสียงของอนงค์ก็รีบหลบมุมอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดาย อนงค์วิ่งหน้าตาตื่นด้วยความเป็นห่วงเข้ามา แต่พอเห็นจานชามข้าวของแตกกระจายเกลื่อนพื้น พร้อมกับพิมพิชชาที่ฟูมฟายน้ำหูน้ำตาร่วงอาละวาดกวาดข้าวของบนโต๊ะ อนงค์ก็ตวาดทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณพิม หยุด”
พิมหันมามองอนงค์ทั้งน้ำตา อนงค์ไม่ได้เห็นใจ กลับถามต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน
“คุณทำอย่างนี้ทำไม”
“อยากทำ”
“เลว”
นางตกใจคาดไม่ถึง “พี่อนงค์”
อนงค์มองโกรธ ไม่ชอบ ไม่พอใจ
“พูดมาได้ อยากทำ ทั้งๆที่ข้าวของที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ของคุณแม้แต่ชิ้นเดียว”
“ก็แล้วจะเก็บมันไว้ทำไม บ้านหลังตั้งใหญ่แต่ไม่มีคนอยู่ กินข้าว ฉันก็ต้องกินคนเดียว ท่านก็คงเที่ยวเพลินละมั๊ง ประชุมบ้าอะไรไม่กลับมาซักที”
“ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่า อยากให้ท่านไปพักผ่อน....เอ..หรือคุณคิดจะทำอะไรแล้วมันไม่ได้ดั่งใจ ถึงได้อารมณ์เสีย”
เมื่อถูกจี้ใจดำ พิมพิชชาหันขวับมองอนงค์เอาเรื่อง
“แสนรู้อย่างนี้ นอกจากเป็นแม่บ้านแล้ว ก็ช่วยเฝ้าบ้านแทนนังด่างมันด้วยแล้วกัน”
อนงค์ยิ้ม
“คุณด่าว่าฉันเป็นหมา แต่ฉันไม่โกรธหรอกค่ะ เพราะหมามันยังรู้จักบุญคุณคน ไม่เหมือนคุณ”
พิมอึ้ง ตาวาววับ ไม่คิดว่า อนงค์จะกล้าพูดขนาดนี้ อนงค์พูดต่อ
“อะไรที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้อง มันไม่มีทางที่จะมีความสุขได้หรอกค่ะ คุณทำให้พ่อลูกเค้าทะเลาะกัน ไม่มองหน้ากัน พ่อลูกต้องตัดขาดกัน..แล้วคิดเหรอว่าชีวิตคุณจะมีความสุข ไม่มีทาง”
อนงค์กับพิมพิชชาจ้องหน้ากัน นางรู้สึกเสียฟอร์ม เสียเหลี่ยมที่สุด โกรธจนเนื้อตัวสั่น เบอร์รี่มองด้วยสายตาอยากรู้ครุ่นคิด
เบอร์รี่ที่อยู่ในห้อง นั่งมองดูมือถือที่ถ่ายคลิปของพิมเอาไว้ คิดถึงเรื่อที่พิมพิชชาบอกเบอรี่ เป็นแฟนเก่าวรรษ / เรื่องแถลงข่าวไม่ได้แย่ง เบอร์รี่หรี่ตามองด้วยความสงสัย ก่อนอมยิ้ม นิ่งคิดมีแผนอะไรซักอย่าง
อรัญภัทรนั่งด้วยท่าทางสบายๆ มองดูดวงจันทร์ ดูบรรยากาศรอบๆของหมู่บ้านผึ้ง วรรษชลเดินมาหาพลางถาม
“เป็นไงมั่งคุณ”
วรรษชลทรุดตัวลงนั่ง วางมือถือลงข้างๆตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เอี๊ยมยิ้มถามว่า
“เรื่องอะไรคะ งาน นักข่าว”
“เรื่องนักข่าวคุณคงเซียนแล้วล่ะ ที่นี่เป็นไงมั่ง”
“ดีค่ะ...ดีมาก ฉัน ไม่ค่อยได้มาต่างจังหวัดแบบนี้”
วรรษชลยิ้ม
“เพราะส่วนมากต่างจังหวัดของคุณคงเป็นรีสอร์ทหรูๆที่หัวหิน กระบี่ ภูเก็ตอะไรแบบนี้”
เธอยิ้มขื่น
“เมื่อก่อนตอนที่แม่อยู่ก็คงใช่ค่ะ แต่...ตั้งแต่มีผู้หญิงคนนั้นเข้ามา...ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป” เธอเสียงเข้ม...พูดตรงๆแลดูเหมือนนางร้าย “ฉันเกลียดผู้หญิงคนนั้น”
วรรษชลระอาปนหนักใจ
“เอี๊ยม..คุณมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังเก็บเอาเค้ามาคิดอีกเหรอ? ไม่ใช่เค้าไม่ปล่อยนะ แต่คุณต่างหากที่ไม่ยอมปล่อย” เขาพูดแกมดุ “เลิกย้ำคิดย้ำทำ แล้วก็เลิกนึกถึงเค้าได้แล้ว”
เธอมองวรรษหน้าจ๋อยๆบอก
“ฉันจะพยายามค่ะ”
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 8 (ต่อ)
วรรษชลยิ้มให้
“ มาถึงหมู่บ้านผึ้งทั้งที งั้นเดี๋ยวผมไปเอาน้ำผึ้งมะนาวมาให้นะ”
“ขอบคุณค่ะ”
วรรษลุกเดินออกไปได้สองสามก้าว เสียงมือถือวรรษชลก็ดัง เขาหันมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอหยิบโทรศัพท์บอก
“เดี๋ยวฉันเอาไปให้ค่ะ”
สายตาเอี๊ยมเห็นมีไลน์ส่งมาหาวรรษชล เมื่อนึกได้ว่า พิมพิชชาเคยส่งไลน์มา ความระแวงเกิดขึ้นทันที เธอถือมือถือค้าง สีหน้าลังเลระแวง วรรษชลเห็นสีหน้าก็เดินมาหา พลางมองมือถือตัวเอง มีไอคอนไลน์ส่งมา วรรษชลรีบบอก
“ไม่ใช่ไลน์ของคุณพิมนะ...ผมกับเค้าไม่ได้ติดต่อกันอีก”
เธอเสียงนิ่งๆท่าทางไม่เชื่อ “ไม่ได้ว่าอะไร” แล้วยื่นมือถือให้
วรรษชลรับมาพลางบอก
“ถ้าคุณไม่เชื่อ...ผมให้คุณดูก็ได้”
เธอรู้สึกดีมาก รีบบอก
“ไลน์ส่วนตัวของคุณ ไม่เป็นไรค่ะ อย่างที่คุณบอก ฉันไม่ควรเก็บเอาความทุกข์มาใส่ตัว”
เขายิ้ม ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกดีรีบบอก
“อ่ะ...คุณกดดูเลย คุณจะได้สบายใจมากยิ่งขึ้น”
วรรษชลยื่นมือถือให้ เธอมองแต่ไม่คิดจะรับ วรรษชลยิ้มอีกบอก
“ดูเถอะ คุณจะได้รู้ ผมไม่มีความลับกับคุณ”
“ฉันเชื่อคุณค่ะ”
เขาพยักหน้า
“งั้นก็ยิ่งต้องดู...อะ” เขายื่นมือถือให้
“คุณนี่ จริงๆเลยแล้วก็ว่าแต่ฉันย้ำคิดย้ำทำ” เธอหยิบมือถือมาอย่างเสียไม่ได้
เธอกดดู เห็นเป็นรูปพิมพิชชาร้องไห้ฟูมฟาย เบอร์รี่ถ่ายรูปให้อย่างสวยงาม เธอเพ่งตามอง รู้สึกปี๊ดขึ้นมาทันที
“บอกว่าฉันไม่ยอมปล่อย คุณต่างหากที่ไม่ยอมปล่อย”
วรรษชลตกใจปากคอสั่น
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆนะ”
“คำตอบทุกอย่าง มันอยู่มือถือของคุณค่ะ” เธอยัดมือถือใส่มือเขา แล้วเดินไปแบบโกรธมาก
“เอี๊ยม! คุณเอี๊ยม”
เธอไม่หัน วรรษชลมองมือถือ ไม่ได้สนใจพิมพิชชา แต่สนใจเบอร์ที่ส่งเข้ามา เขาหน้านิ่วคิ้ว
ขมวดไม่รู้จักเบอร์ที่ส่งมาเลย
พิมพิชชานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เบอร์รี่เป็นคนมาเสิร์ฟให้
“เห็นรูปฉันร้องไห้ขนาดนั้น วรรษคงจะเห็นใจฉันบ้างล่ะ ว่ายายเอี๊ยม ทำฉันจนเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น … ขอบใจมากนะที่เมื่อคืนอุตส่าห์มาถ่ายรูปฉันแล้วยังส่งไปให้วรรษด้วย เพราะถ้าเอามือถือฉันส่งไปเอง วรรษก็คงหาว่าฉันสร้างเรื่อง หรือไม่ก็เรียกร้องความสนใจอีก”
เบอร์รี่แอ๊บยิ้มหวาน
“ยังไงพี่พิมก็ดีกับหนูค่ะ เพราะถ้าพี่พิมไม่เมตตา หนูก็คง ไม่ได้มาอยู่อย่างสุขสบายขนาดนี้”
พิมพิชชามองแบบไม่แน่ใจ
“จริงเหรอ”
“ก็ถ้าไม่จริง...หนูคงไปจากที่นี่แล้ว พูดก็พูดเถอะนะคะ...หนูยังเด็ก ยังสาว ยังสวย ถึงไม่ขายตัว แต่คงเป็นเมียเก็บใครซักคนได้...แต่หนูไม่อยากทำอย่างนั้นค่ะ เพราะหนูรู้...ชีวิตที่มีศักดิ์ศรี เป็นชีวิตที่ดีกว่าเยอะเลย และพี่พิมก็ทำให้ชีวิตหนูมีศักดิ์ศรีค่ะ”
เบอร์รี่ยิ้มหวานประจบ นางรู้สึกดีที่เบอร์รี่ศิโรราบให้
เบอร์รี่ ยิ้มแบบมีนัยเหมือนเดิม พิมพิชชาอิ่ม รวบช้อนเดินออกไปข้างนอก โดยทิ้งมือถือเอาไว้ เสมือนให้เบอร์รี่คอยติดตามรับใช้ทุกอย่าง เบอร์รี่คว้าหมับขึ้นมา เดินตามพิมพิชชา แต่แอบกดดูรายชื่อคนติดต่อของนางอย่างรวดเร็ว และมือของเบอร์รี่ก็หยุดอยู่ที่รายชื่อของป้าไก่
ที่หน้าสำนักพิมพ์ ป้าไก่เดินมากับนักข่าวรุ่นเด็ก สองคนคุยกัน นักข่าวรุ่นน้องบ่นว่า
“ช่วงนี้ไม่มีข่าวหนุกๆเลยนะป้า”
“ทำไมจะไม่มี๊”
“จะมีได้ยังไงป้า?..เงียบกริ๊บ”
“ข่าวของเอี๊ยมกับคุณวรรษไง ที่เราต้องกัดไม่ปล่อย” ป้าไก่ยิ้ม ดวงตาแพรวพราวมีเล่ห์เหลี่ยม “อีกอย่างเราเป็นนักข่าว ต่อให้ไม่มีแหล่งข่าว เราก็ต้องสร้างข่าวขึ้นมาใหม่”
นักข่าวเด็กหน้าแหยๆ
“แปลว่า..เราต้องเต้าข่าวเหรอป้า”
“เต้าข่าวที่ไหน เค้าเรียกจุดประเด็น และคนที่จุดประเด็น คือคนที่นำเทรนด์ จำไว้!”
นักข่าวเด็กทำหน้าแหยๆเหมือนไม่เห็นด้วย ป้าไก่บอกจริงจัง
“เมื่อก่อนป้าก็รู้สึกเหมือนเราน่ะแหละ ต่ำต้อย ด้อยคุณค่า ดูถูกตัวเอง ที่ต้องทำอะไรอย่างนั้น แต่ถ้าไม่ทำ เราก็จะถูกกลืนหายไปกับคนอื่นๆ ทุกอาชีพ การมี การเป็น someoneสำคัญที่สุด...ซักวัน..เราจะเข้าใจ”
ป้าไก่เดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเศร้าๆอยู่ในที เด็กรุ่นน้องมองตามด้วยท่าทีหนักใจ เริ่มแปลกๆกับอาชีพตัวเอง
เบอร์รี่ หลบมุมมาอยู่คนเดียว ดวงตายิ้มมีเลศนัย ก่อนจะกดหมายเลขเบอร์โทร. ป้าไก่ง่วนอยู่กับการทำงานในสนพ. เสียงสัญญาณมือถือดังขึ้น ป้าไก่รับมาดู เห็นเป็นรูปพิมร้องไห้
“บอกแล้ว วงการมายา ไม่เคยขาดสีสัน บทจะมา ก็พาดหัวข้อความไม่ทัน”
ป้าไก่ยิ้มหยิบมือถือเดินเลี่ยงออกมา
เบอร์รี่มองดูมือถือด้วยใจระทึก เสียงมือถือดัง เห็นเป็นชื่อป้าไก่ เบอร์รี่ยิ้มดีใจ ก่อน
แอ๊บเสียงแบ๊วรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“ป้าอยากคุยด้วยเรื่องภาพข่าวที่ส่งมา”
เบอร์รีทำเสียงกลัวๆแต่หน้าตายิ้ม
“อุ้ย...คือ...หนู...หนูไม่สะดวก”
ป้าไก่ฉุน
“ไม่สะดวกแล้วส่งมาทำไม”
“คือ...หนูถูกพี่พิมบังคับให้ส่งไป...พี่...พี่อย่าบอกพี่พิมนะคะ หนูกลัว”
“ไม่บอกหรอก...ถ้าหนูออกมาคุยกับฉันแค่แป๊บนึง”
เบอร์รี่แกล้งทำเสียงอึกๆอักๆ
“หนู”
“นะ แป๊บนึง ถ้าหนูออกมาฉันไม่บอกคุณพิมแน่ๆ ฉันรับรอง” ป้าไก่วางสายกดดัน
เบอร์รี่ยิ้ม พิมพิชชาเดินมาพอดีเห็นก็ทัก
“ยิ้มอะไรเบอร์รี่ แอบคุยกับผู้ชายรึไง”
เบอร์รี่แกล้งขวยเขิน
“เอ่อ...พอดี พี่วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย เค้าอยากเลี้ยงขนมหนูนิดนึงนะค่ะพี่พิม”
พิมหัวเราะหยัน
“มอเตอร์ไซค์วินหน้าปากซอย แต่มันก็เหมาะกับเธอดีน่ะนะ”
เบอร์รี่กลั้นความโกรธไว้แสร้งยิ้ม
“หนูขอออกไปนะคะ”
“อยากไปก็ไป...ยังไงระวังด้วยล่ะ ฉันเป็นห่วง กลัวเธอจะท้อง ไม่มีพ่อ”
เบอร์รี่แอ๊บยิ้มหวาน
“ค่ะพี่พิม ขอบคุณมากที่เป็นห่วง หนูจะระวังตัวให้ดีที่สุดค่ะ”
พิมพิชชายิ้มหยันเดินกลับไป เบอร์รี่มองตาม สายตาสุดจะเกลียดพิมพิชชา ในใจบอก
“นับตั้งแต่วันนี้ แกรอความฉิบหายได้เลยนังพิม ทั้งท่านอานนท์ ทั้งคุณวรรษ ฉันจะแย่งแกมาให้หมด”
วรรษชลอยู่ในป่า ท่ามกลางผึ้งป่าที่กำลังสร้างรัง ทีมงานถ่ายทำรายการ ทีมลูกหาบ ชาวบ้าน เห็นภาพเขาอยู่กับชาวบ้านที่มาเก็บผึ้ง ก่อนที่วรรษชลจะเดินมาส่งมือถือให้
“ฝากหน่อยสิคุณ”
“เก็บไว้ในกระเป๋าคุณสิ”
“ก็ผมอยากฝากคุณนี่นา” เขายัดมือถือใส่มือเธอ สายตามองแสดงความจริงใจ
เธอจำต้องรับมือถือของเขา ขณะที่วรรษชลเดินไปทำงาน คุยกับกล้อง
“ผึ้งป่า...หรือว่าผึ้งหลวง จะทำรังอยู่บนต้นไม้สูง 10-20 เมตร และด้วยความที่ผึ้งอยู่สูงขนาดนี้ การจะขึ้นไปเอารังผึ้ง ย่อมเสี่ยงในความปลอดภัย” แล้วถามชาวบ้าน “ชาวบ้านจึงจะต้องทำอะไรครับลุง”
“ทำพิธีขอขมานางไม้”
ลุงบอกพร้อมเอาเครื่องเซ่นที่มีดอกไม้ เทียนมาวาง ยกมือไหว้ วรรษชลอธิบายกับกล้อง
“ชาวบ้านเชื่อกันว่า ต้นไม้ ที่ให้ความหวาน จะมีนางไม้สิงสถิตย์อยู่ การที่จะมาเอารังผึ้งบนต้นไม้ จึงต้องทำพิธีขอขมานางไม้ เครื่องเซ่นก็จะมีดอกไม้ และนี่ครับ เทียน ที่ทำมาจากไขผึ้ง แต่แค่นี้ยังไม่หมดนะครับ”
ลุงเห็นหยิบเอาแท่งไม้ปลายแหลมเนื้อแข็ง ตอกติดลงไปที่ลำต้นต้นไม้
วรรษชลถามชาวบ้าน
“นี่กำลังทำอะไรครับลุง”
“ตอกทอย”
“เพื่ออะไรครับ”
“สะกดวิญญาณนางไม้”
“เป็นความเชื่อของชาวบ้านนะครับ แต่อีกนับหนึ่งการตอกทอยก็คือการไต่และปีน ซึ่งการตอกทอยจะมีลักษณะเหมือนขั้นบันได ให้กับชาวบ้านได้ปีนขึ้นไปเก็บน้ำผึ้ง” เขาพูดเล่นๆ “แต่...ทันทีที่เก็บรังผึ้งเสร็จแล้ว ต้องเอาออกนะครับ ปีหน้าค่อยมาตอกทอยกันใหม่ เพราะถ้าทิ้งเอาไว้ เดี๋ยวหมีจะปีนขึ้นไปเก็บน้ำผึ้งแทน”
เธอยืนมองที่ด้านนอก เห็นเขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง จริงจังกับงานที่ทำอยู่ ไมได้มีลักษณะของคนหลุกหลิก ขี้โกหกแต่อย่างใด เธอมองวรรษชลชั่งใจ
ชาวบ้านอีกคนเอาเชือกกล้วยมาสานรอบๆปี๊บ เพื่อเอาปี๊บแขวนติดตัวขึ้นไปด้วย เวลาเก็บน้ำผึ้ง วรรษชลอธิบาย
“นี่คือ...ปี๊บที่ชาวบ้านจะแขวนไปติดตัวเพื่อเก็บน้ำผึ้ง สมัยก่อน อาจจะทำด้วยกระชุที่ทำจากไม้ไผ่แล้วรองด้วยใบตอง แต่ปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยครับ” เขาบอกกับชาวบ้าน “เดี๋ยววันนี้ผมขอขึ้นไปเก็บน้ำผึ้งด้วยนะครับลุง”
“ยินดีๆๆ”
ลุงยิ้ม วรรษชลก็ยิ้ม เธอก็เผลอยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นวรรษชลกุลีกุจอ ขอขมานางไม้แล้วตอกทอยเพื่อปีนขึ้นไปเก็บน้ำผึ้งป่า
อ่านต่อตอนที่ 9