กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 19
หลินจื่อเหลียงรีบตามออกมาที่หน้าคฤหาสน์ เรียกเซี่ยวเลี่ยงไว้ พูดแทบเป็นตวาดด้วยน้ำเสียงอันดุดันเกรี้ยวกราด
“ฉันเตือนนายไว้ก่อนนะ ห้ามทำร้ายแม่ฉันอีก”
เซี่ยวเลี่ยงหยุด เดินเข้ามาประจันหน้าโดยไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าทำดีไม่มีใครทำร้ายหรอก พ่อฉันละอายใจกับพวกนายมาก พ่อฉันไม่รู้ความคิดของพวกนายปิดฉันไม่ได้หรอก อย่าให้มันมากเกินไป”
“เซี่ยวเลี่ยง คอยดูเถอะ นายมีทุกอย่าง มีตำแหน่งการศึกษาความร่ำรวย อย่างกับพระราชา นายไม่มีวันเข้าใจ ว่าฉันรอวันนี้ภายใต้เงาของนายยังไง นายไม่เคยรู้เซี่ยวเลี่ยง นายถามตัวเองดู ฉันหลินจื่อเหลียงด้อยกว่านายตรงไหนมีอย่างเดียว ฉันแซ่หลิน แซ่สำคัญมากมั้ยจะบอกให้ มันสำคัญมากเพราะเป็นเครื่องวัดฐานะ แม่ของฉัน เพื่อไม่ให้กระทบนาย หลังจากคลอดฉันก็ให้ใช้แซ่เขา และพ่อของฉัน เพื่อไม่ให้นายเจ็บปวด ฉันก็ยอมทำตามแม่ นับแต่นั้นมา ฉันก็เหมือนเงาตามตัวนาย คนภายนอกคนในบริษัท รู้ว่าท่านประธานมีลูกชายคนเดียว ไม่มีใครรู้เลยว่ายังมีลูกชายอีกคน” จื่อเหลียงเดินเข้ามาพูดข้างๆ หู “ความเจ็บปวดนี้ ฉันอยากให้นายได้ลิ้มรสมันจริงๆ แต่ฉันคิดว่ามันใกล้มาถึงแล้ว”
“นายจะทำอะไร”
หลินจื่อเหลียงหัวเราะกวนประสาทออกมา
“ฉันเปล่า ไม่ได้ทำอะไร เซี่ยวเลี่ยง ถ้าทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างสงบ ฉันจะปล่อยนายไป ไม่อย่างงั้นฉันจะทำเพื่อแม่กับฉัน แย่งชิงทุกอย่างกลับคืนมา”
“นายข่มขู่ฉันเหรอ
จื่อเหลียงยิ้มร้าย “เปล่า เกลี้ยกล่อมต่างหาก ฉันโน้มน้าวนาย เซี่ยวเลี่ยง เป็นคนอย่าหยิ่งยโส ทุกคนมีจุดอ่อน และฉันก็รู้ว่าจุดอ่อนของนายคืออะไร จริงสิ เมื่อกี้ฉันพูดผิดไปมีอย่างหนึ่ง ที่ฉันเหนือกว่านาย ฉันมีแม่ แต่นายไม่มี”
“นายจะต้องชดใช้กับคำพูดนี้”
เซี่ยวเลี่ยงโกรธจัด กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเต็มแรงก่อนจะผลักออกไปแรงพอกัน จนจื่อเหลียงอดตกใจไม่ได้ และมองตามพี่ชายต่างมารดาด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์
ซือหยวนนั่งทุกข์ใจกุมแหวนในมือด้วยความสับสนรอเซียนหนานอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง คิดถึงคำพูดเซียนหนานตอนขอแต่งงาน
“คุณเคยบอกว่าอยากแต่งงาน ผมคิดดีแล้ว แต่งงานกันนะ”
และคำพูดจื่อเหลียงหลังเผลอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยความเมา
“ผมลืมไปคุณมีแฟนแล้ว เห็นกระเป๋าคุณเก่า ดังนั้นผมเลยให้คนไปซื้อให้ หวังว่าคุณจะชอบ”
ในที่สุดเซียนหนานในชุดทำงานก็มาถึง เขาลงนั่งพลางถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ที่รัก มีอะไรหรือเปล่า ผมทำงานอยู่”
“เปล่าหรอก แค่คิดถึง ฉันไม่ไปทำงาน ลางานแล้ว”
“คิดถึง ไม่ต้องมาที่แพงๆ ก็ได้ คุณให้ประหยัดนี่”
“สั่งอาหารเถอะ”
ซือหยวนตัดบท
มีสายจากจื่อเหลียงโทร.เข้ามา เธอหยิบมาดูแต่ไม่รับสายถามเซียนหนานขึ้นว่า
“เอ่อ อยากกินอะไร”
เซียนหนานแปลกใจมากๆ “ซือหยวน มีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร ทำไมถามแบบนี้”
“ตาคุณบวมๆ ร้องไห้เหรอ เมื่อเช้าว่าจะถามใครรังแกคุณ”
“เอ่อ มีเรื่องในบริษัท มีลูกค้า เขาฟ้องฉัน ไม่เกี่ยวกับแผนกเรา ฉันรู้สึกอาย ฉัน เลยร้องไห้”
“เฮ้ย ไม่เห็นต้องร้องเลย สำหรับบริษัทคุณเป็นพนักงาน สำหรับผมคุณเป็นโลกทั้งใบ อีกอย่างเราจะแต่งงานแล้ว มีเรื่องอะไรผมจะช่วยเอง” เซียนหนานออกอาการปกป้องคนรัก
มีสายจากหลินจื่อเหลียงโทร.มาอีกครั้ง ซือหยวนก็ไม่รับ เซียนหนานมองฉงน
“ทำไมไม่รับล่ะ”
“โฆษณาเล็กๆ เอ่อ ไม่อยากรับ”
“เอาล่ะผมมานานแล้ว ไปทำงานล่ะ กินคนเดียวนะ”
เซียนหนานจะลุกซือหยวนจับแขนรั้งไว้
“เอ๊ะ เซียนหนาน ขอถามอย่างนึง”
“ถามอะไรเหรอ” เซียนหนานกุมมือตอบ
“ถามหน่อย จะไปจากฉันมั้ย”
เซียนหนานแปลกใจ “อยู่ดีๆ ผมจะไปจากคุณได้ไง”
“ถึงฉันทำผิด ก็ไม่ไปจากฉันเหรอ”
เซียนหนานยิ้มให้ “ไม่แน่นอน ต้องดูว่าผิดเรื่องอะไร”
“ฉันแค่สมมุติ ถ้าหากฉันทำอะไรผิด จะไม่ไปจากฉัน จะดีกับฉันเหมือนเดิม ใช่หรือเปล่า”
เซียนหนานยกมือที่กุมขึ้นมา ให้คำมั่นใจ “ที่รัก ไม่ว่าคุณทำอะไรผิดแค่อย่าไปรักคนอื่นก็พอ ผมจะดีกับคุณดูแลคุณ ปกป้องคุณ จะเดินไปด้วยกันสบายใจหรือยัง คนมักพูดว่า ก่อนแต่งงาน ผู้หญิงจะกลัวการแต่งงาน คุณไม่กลัวใช่มั้ย อย่าคิดฟุ้งซ่าน ผมไปล่ะ หาเงิน”
“เอ่อ...” ซือหยวนอึกอักอัดอั้นเหมือนอยากจะสารภาพ สุดท้ายถอนใจเฮือกๆ มองตามคนรักที่เดินออกไปก่อนจะยกมือกุมขมับอย่างหนักใจ
ในเวลาเดียวกัน อี้หมิงเปิดประตูบ้านพาเหม่ยลี่เข้าไปในบ้านเกาเหวิน
“มา เข้ามา”
เหม่ยลี่แปลกใจมาก ดึงแขนเขาไว้ “เอ๊ะ ไหนบอกว่าจะพาไปหางาน มานี่ทำไม”
“ก็หางานไง อยู่ในนี้มา มา”
อี้หมิงควงแขนเหม่ยลี่เข้าไป แต่ต้องรีบปล่อยออกเมื่อเกาเหวินเดินมาเห็นถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“หือ ทำไมมาด้วยกัน”
เหม่ยลี่อึกอัก “เอ่อ”
อี้หมิงอธิบาย “เอ่อ เมื่อกี้เขาเดินวนเวียนอยู่ข้างบ้านคุณ ผมเจอก็เลยพามา”
เหม่ยลี่พยักพเยิด “อ้อใช่ เขาเป็นคนดี ขอบคุณค่ะ”
“เอ่อ จริงสิ จะลาออกจากงานไม่ใช่เหรอ ลางานสองวันไม่มีอะไรทำ มาช่วยเกาเหวินขายเสื้อผ้าสิ”
เหม่ยลี่งงไม่รู้เรื่องมาก่อน “ขายเสื้อผ้า”
เกาเหวินยิ่งแปลกใจ “เขาเหรอ
“ใช่ เขาวางแผนโฆษณาได้ มาช่วยคุณน่ะถูกแล้ว” อี้หมิงหันมาหาเหม่ยลี่ “จริงสิ คุณอยากช่วยเกาเหวินไม่ใช่เหรอ ไม่ดีใจเหรอ”
“อ้อ เอ่อ...ถ้าฉันช่วยเธอได้ ฉันก็ยินดี” เหม่ยลี่ว่า
เกาเหวินนึกได้ “อ้อ ทำไมเธอถึงลาออก เซี่ยวเลี่ยงว่าไง”
อี้หมิงถามเสียงขุ่น “คุณหมายถึงใคร
เกาเหวินจ๋อย “ซะ-เซี่ยวเลี่ยง ทำไมเหรอ”
อี้หมิงเสียงดังใส่ ทำเป็นหึง “ทำไมต้องพูดถึงเขาต่อหน้าผม หา แคร์ความรู้สึกผมมั่งสิ พูดถึงเขาเรื่อยเลย”
เกาเหวินลากแขนเขามาตีอย่างเขินๆ “อิจฉาเหรอ อ๋ามี่โตะก็อยู่ ไว้หน้าฉันหน่อยสิ”
“สัญญาก่อน ห้ามพูดถึงเขาอีก”
“ได้ โอเค โอเคๆๆๆ” เกาเหวินฟาดเขาแก้เขิน
“พอแล้วๆ พอๆๆ หยุด”
อี้หมิงรำคาญความเวอร์ของนาง
ถัดมา เกาเหวินอยู่บนชั้นสองกำลังอธิบายที่มาของชุดสวยๆ ที่นำออกมาขาย กับสาวๆ ที่มาดูถึงบ้าน โดยเป็นชุดเดรสยาวสีขาวแขนกุดที่ติดอยู่บนผนังสูงเท่ากับห้องโถงของบ้าน
“ภาพๆ นี้ฉันถ่ายตอนที่ เข้าร่วมงานประกาศรางวัลภาพยนตร์นานาชาติ ชุดฉันเป็นที่นิยมมาก”
หญิงหนึ่งบอกว่า “สวยมากค่ะ”
ส่วนเหม่ยลี่พรีเซนต์อยู่ที่ชั้นล่าง มีราวแขนชุดสวยอยู่รายรอบ และกระเป๋าแบรนด์เนมใบหรูพร้อมกล่องเครื่องประดับจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะกลางต่อหน้าสาวๆ อีกกลุ่ม
“เสื้อผ้าพวกนี้เกาเหวินใส่ตอนเดินพรมแดง เพราะความสวยงามของมันทำให้เธอดึงดูดสายตาของทุกคน พวกคุณคิดดูสิคะว่าเงินสำคัญ หรือตัวเองสำคัญพวกคุณคงไม่มีเวลาไม่มีสไตลิสต์ช่วยแต่งตัวให้ใช่มั้ยล่ะ เกาเหวินคือสไตลิสต์มืออาชีพ คิดดูนะ แฟนของคุณ สามี และเทพบุตรในใจถ้าเขาเหล่านั้นเห็นพวกคุณสวยขึ้นจะรู้สึกยังไง เพื่อความรู้สึกเหล่านี้ ซื้อเสื้อผ้าพวกนี้คุ้มค่ามากค่ะ”
หญิงสองที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกวางท่า ทักท้วง “คุณก็พูดง่ายไป เสื้อผ้าเปลี่ยนมุมมองของผู้ชายได้ ผู้ชายที่ไหนเปลี่ยนง่ายแบบนี้ ศูนย์กลางความคิดของเขา ไม่ได้อยู่ที่เราซักหน่อย”
“ที่จริงผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกัน ผู้ชายก็มีความเปราะบาง มีช่วงที่โศกเศร้าที่สุด ผู้หญิงอยากให้เอาใจ ผู้ชายก็เหมือนกัน ที่จริงฉันมีคนที่ชอบ เขามักจะอบรมฉัน มักจะดุฉัน บอกว่าทำไปเพราะหวังดีกับฉัน แต่ทุกครั้งที่เขาดุฉัน ฉันก็จะโกรธและทะเลาะกับเขา แต่พอย้อนคิดดู เขาคงจะเจอเรื่องที่ยากลำบากที่สุด ต่อสู้จนเหน็ดเหนื่อย และในเวลานี้ ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดก็ยังไม่เข้าใจเขา เขาถึงได้ใส่อารมณ์ แต่ลูกผู้ชายจะไม่ร้องไห้ ผู้หญิงร้องไห้ แต่ผู้ชายต้องต่อสู้เพียงลำพัง”
เหม่ยลี่เอาตัวเองมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ทำเอาอี้หมิงที่ยืนฟังอยู่ด้วยถึงกับอึ้งไป และยิ่งสะท้อนใจที่เห็นเหม่ยลี่เศร้าลง รู้ว่าเธอตัดใจจากเซี่ยวเลี่ยงไม่ได้
หญิงสองหันไปคุยหารือกันในกลุ่ม
“แต่สามีฉันชอบบ่นว่าเหนื่อยอยู่เรื่อย ตอนที่ฉันอยู่ข้างๆ เขาเดินไปเดินมา ยิ่งเหนื่อยใหญ่เลย”
“สามีฉันเหมือนกัน ก่อนแต่งงานฉันอ่อนโยนน่ารัก หลังแต่งงานเป็นยัยป้าหน้าเหี่ยว คุณว่าเขาเปลี่ยนใจหรือเปล่า” คราวนี้เป็นหญิงสามบอก
หญิงสองพยักพเยิดเห็นด้วย “นั่นสิ”
“ฉันเพิ่งจะอกหัก จะทำให้เขาเปลี่ยนใจกลับมาได้ยังไง” หญิงสี่ว่า
ชะนีแต่ละนางแย่งกันพูดในทำนองเดียวกันว่า
“ไม่เป็นไรนะ” / “เร็วๆๆ ช่วยเธอคิดหาวิธีหน่อย”
เหม่ยลี่นั่งทำใจอยู่พักใหญ่จึงหันไปขายของ
“เอาล่ะฟังนะคะ ความจริงจะทำให้ผู้ชายรักมากขึ้นจะต้องรู้จักรักตัวเองก่อน เพราะตอนที่เขาชอบคุณ ไม่ใช่เพราะพวกคุณสวย แต่มีบางอย่างในตัวคุณที่สามารถดึงดูดเขาได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงโทรมๆ ไม่เคารพตัวเอง ผู้หญิงที่อ่อนแอรวมถึง ผู้หญิงที่ไร้ความสามารถ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรักตัวเองก่อนเขาถึงจะรักเรามากขึ้น”
ระหว่างนี้เกาเหวินกับสาวๆ อีกกลุ่มเดินลงมาสมทบ
“คุณหน้าตาสวยขนาดนี้ คงมีผู้ชายมาจีบตรึม ทำไมคุณรู้เรื่องปัญหาของผู้หญิงดีอย่างงี้ล่ะ” หญิงห้าท้วงขึ้นด้วยแปลกใจ
ทุกคนเห็นงามตามกัน “ใช่ๆ”
“จริงด้วยเนอะ” หญิงสามพยักพเยิด
“เอ่อ ที่จริง ที่จริงเมื่อก่อน ฉัน ธรรมดามาก” เหม่ยลี่หัวเราะ บอกไปตามจริง
อี้หมิง รีบแถเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ให้ ออกท่าออกทางโน้มน้าวสมเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ
“เอ่อ คือๆว่า ทุกคนครับ ผมเป็นผู้ชายผมมีสิทธิ์ออกเสียงมากที่สุด และผมก็รู้ด้วยว่าผู้ชายชอบผู้หญิงแบบไหนมากที่สุด ผู้ชายชอบผู้หญิงที่ทำให้เขาสบายใจถ้าหากเขาชอบคุณเพราะคุณสวย นั่นไม่ใช่รักแท้หรอกถ้าอยู่กับเขา แล้วมีความสุข นั่นคือรัก”
เหม่ยลี่ยิ้มขำ ขณะที่เกาเหวินมองจ้องเขาอย่างเป็นปลื้ม
“แต่ว่า ผู้ชาย ต้องการ มีเซอร์ไพรส์ถูกต้องผู้ชายต้องการการเอาใจ หลังจาก ผู้ชายของคุณกลับบ้าน พบว่าคุณเปลี่ยนไป สวยสง่าเหมือนคุณเกา เขาต้องตะลึงแน่”
โดนคำหวานของเหลยอี้หมิง ชะนีทุกนางลุกพรวดเร่งเร้าเซ็งแซ่
“เร็วเข้าๆๆ” / “เราต้องสวยจนเขาตะลึง” / “มาเปลี่ยนตัวเองกันเถอะ”
“พี่เหวิน ใครน่ะ หล่อจังเลย” หญิงหกข้างๆ เกาเหวินกรี๊ดอี้หมิง
“ใช่แล้ว อยากได้เบอร์จัง” หญิงเจ็ดก็คัน
เกาเหวินยกนิ้วขึ้นทำท่าจุ๊ปาก “ชู่ว์ เขาเป็นแฟนฉัน”
“ว้าว จริงเหรอคะ” หญิงเจ็ดตื่นเต้น
อี้หมิงบอกสาวๆ ว่า “เลือกได้เลย”
หญิงหกหูผึ่ง “จริงเหรอ”
หญิงเจ็ดว้าวแล้วว้าวอีก “ว้าว”
เกาเหวินคุยข่ม “ไม่เชื่อเหรอ ดูนะ”
อี้หมิงบอกสาวๆ ว่า “ลองอันนี้ดูครับ”
เกาเหวินเข้ามาหากวักมือเรียก “เหลยอี้หมิง”
“หา ผมยุ่งอยู่”
เกาเหวินกวักเรียกยิกๆ อยากอวดแฟน “มานี่ๆ มานี่”
“มีแต่สวยๆ ทั้งนั้นเลือกไม่ถูกเลยจริงๆ เนอะ” หญิงสองว่า
อี้หมิงเดินมาหาเกาเหวิน เธอขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณที่ช่วยฉัน จะขอบคุณยังไงดี”
“คุณให้ไม่ได้หรอก เพราะผมต้องการอ้อมกอด”
“อ่ะ งั้นฉันจะมอบให้คุณ”
เกาเหวินคว้าคออี้หมิงมากอดเต็มแรง ทุกคนมองเป็นตาเดียวกัน ไม่เว้นกระทั่งเหม่ยลี่ที่หันมามองยิ้มๆ
“ฉันรู้ว่าเมื่อกี้คุณพูดถึงฉัน มันเพราะกว่าคำหวานทั้งหมดที่เคยได้ยินมาขอบคุณมากนะ สู้ต่อไป ไปดูเสื้อผ้ากันค่ะ”
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่มพูดกับอี้หมิงโดยไม่ได้ยินเสียง
“ดีใจด้วย”
หมอเหลยอึ้งอยู่อย่างนั้นมองเหม่ยลี่ตาละห้อย ระหว่างเขากับยัยอ้วนคงต้องเหลือเพียงความเป็นเพียงแน่แท้
“คุณมี่โตะ ชุดนี้เหมาะกับฉันมั้ย”
หญิงสองกระซิบถาม
สาวๆ นักช็อปกลับไปหมดแล้ว รวมทั้งอี้หมิงที่ต้องไปเข้าเวร เหม่ยลี่นั่งนับเงินขายเสื้ออยู่ที่พื้น แยกเป็นกองๆ ทำบัญชีให้ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
เกาเหวินนั่งหมดแรงปากเคี้ยวช็อกโกแลตคาหยับๆ อยู่ข้างๆ
“หือ นี่ ได้เงินมาแค่นี้ เธอยังมีความสุขขนาดนี้ คบกับเซี่ยวเลี่ยงไม่บินขึ้นฟ้าเลยเหรอ ครั้งนี้เลิกกันจริงเหรอ”
เหม่ยลี่พยักหน้าให้ “อื้ม”
“คิดจะคืนดีมั้ย”
“ใครอยากคืนดีฉันถูกเอาเปรียบ นอกจากเขาจะมาคุกเข่าขอโทษฉันถึงจะกลับไป” เหม่ยลี่บอกโดยไม่หันไปมอง
“โอเค โทร.หาเขาเลยนะ” เกาเหวินคว้าโทรศัพท์มากดยิกๆ แล้วยกแนบหู “ฮัลโหล เซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่ตกใจกระโจนไปแย่งมือถือพัลวัน “นี่ๆ อย่าๆ โทร. ชู่ว์”
“ตอนนี้มี่โตะอยู่บ้านฉัน เธอต้องการให้คุณมาคุกเข่าขอโทษเธอ” เกาเหวินทำเป็นคุยมือถือเสียงดัง
เหม่ยลี่แย่งมาจนได้รีบพูดบอก “เอ่อๆ ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ได้จะให้คุณคุกเข่านะ”
เกาเหวินหัวเราะขำ เหม่ยลี่รู้ตัวว่าโดนหลอก
“เอ๊ะ เฮ้อ หลอกฉัน”
เกาเหวินขำไม่หาย “นี่ เธอดูจริงจังมาก พอโทร.ไป เธอก็กลายเป็นสะใภ้เล็กทันที”
เหม่ยลี่บอก “ฮื่อ” เซ็งๆ
“มานี่ ลุกขึ้น” เกาเหวินจับเหม่ยลี่ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาด้วยกัน “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้อยากเลิกกับเขา เอางี้ ฉันจะช่วยเธอเอง วันนี้หกโมงเย็นฉันจะนัดเซี่ยวเลี่ยงมา จะได้ปรับความเข้าใจกัน”
“ฮื้อ เธอไปเองเถอะ”
เกาเหวินหมั่นไส้ “จะฟอร์มทำไมเนี่ย เอาตามนี้แล้วกัน แต่ฉันไม่ไปนะ เดี๋ยวคนบางคนจะหึง”
เหม่ยลี่ตาโต “เอ่อ เธอ หมายถึงเหลยอี้หมิง หมอเหลยเหรอ นี่ บอกมานะถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“ก็ ก็เพื่อนกัน ธรรมดา” เกาเหวินเขินไปมา เหม่ยลี่หัวเราะรู้ทัน
“เพื่อนธรรมดาอะไรกันเล่า อยู่ด้วยกัน เข้ากันได้ดี ฉันดูออกว่าเขาชอบเธอมาก มีความจริงใจด้วย”
“เธอไม่เข้าใจซักหน่อย รู้ได้ยังไงว่าเขาชอบฉัน” เกาเหวินหัวเราะเบิกบานใจ
“จำเป็นต้องเข้าใจด้วยเหรอ ดูสิ ลักษณะภายนอกเขาด้อยกว่าเธอ แต่เขาก็กล้ามาตามจีบเธอหมายความว่าไงรู้มั้ย หมายความว่ารักแท้”
“เขาด้อยตรงไหนเหรอ เขาเป็นคนดีหล่อเป็นสุภาพบุรุษ เขาด้อยตรงไหน” เกาเหวินออกโรงป้อง
เหม่ยลี่ขำคิก พูดกลั้วหัวเราะ “ดูสิ แค่นี้ก็ปกป้องเขาแล้ว”
เกาเหวินค้อนควัก “เกลียดจริงๆ อย่าหัวเราะคนอื่นแบบนี้สิ”
“เกลียดอะไรล่ะ ว่าฉันเหมือนสะใภ้เล็ก เธอเหมือนอะไร เหมือนกว่าฉันอีกนะเนี่ย” เหม่ยลี่เย้าแหย่จี๋เอวเกาเหวินหัวเราะไม่หยุด
“อื๋อ คนบ้า คนบ้า” เกาเหวินหัวเราะเบิกบานสุดๆ
“ไม่เล่นแล้ว นับเงินต่อ” เหม่ยลี่ลงไปนับเงินทำบัญชีต่อ
“ยังจะนับอีกเหรอ”
ฉีหยูนัดเจอเหม่ยลี่ที่สวนสวยเพื่อโน้มน้าวให้เธอรีบกลับไปที่เทซีโร่ รอสักครู่จึงเห็นเธอเดินตรงมาหา
“มี่โตะ มาแล้วเหรอ”
“ขอโทษที่ให้รอค่ะ คุยเสร็จฉันก็รีบมาเลย บริษัทเป็นไงบ้าง”
“ยื่นจดหมายลาออกแล้วยังเป็นห่วงอีก” ฉีหยูยิ้มเย้า “คุณห่วงคุณเซี่ยวมากกว่า ที่จริง คุณเซี่ยวเศร้าโศกมากเลย หดหู่ทั้งวัน ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้”
“เขา มีปัญหาอย่างอื่นหรือเปล่า เฮ้อ ฉันไม่อยู่แล้ว คุณต้องดูแลเขาให้ดีนะคะ”
“ถ้าคนอื่นดูแลได้ผล ผมจะมาหาคุณทำไม มี่โตะ คุณเซี่ยวสนใจการออกแบบของคุณมาก เขาเตรียมแถลงข่าวก็เพื่อคุณนะ เห็นแก่ที่เขาทุ่มเทให้คุณมากมาย กลับมาเถอะ”
เหม่ยลี่ปากแข็ง “ฉันไม่สนงานแถลงข่าวนั่นหรอก ไม่สนที่ทิ้งการออกแบบนั่นไป ฉันสนใจแค่เซี่ยวเลี่ยงมองฉันยังไงเมื่อก่อน เขาหวังว่าฉันจะทิ้งการออกแบบ ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเตรียมไว้ แต่ฉันต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เขาดู ดังนั้น ฉันอยากบอกว่า ฉันจะใช้ความสามารถของฉันไม่ต้องพึ่งเขา ถึงได้ออกแบบเครื่องประดับนั่น แต่คิดไม่ถึงเลยแม้แต่ ผลงานตัวเองก็ปกป้องไม่ได้”
“ผมรู้ เพื่อปกป้องคุณ เขายังทะเลาะกับหลินจื่อเหลียง เขาเอาแต่โทษตัวเองที่ปกป้องคุณไม่ได้”
“ฉันเข้าใจ แต่เพราะเข้าใจเกินไป ฉันเลยกลับไปไม่ได้ เขากับท่านรองหลิน ขัดแย้งกันเพราะฉัน ต่อไปจะยิ่งลำบากใจ ถ้าฉันกลับไปอีกจะทำให้เขาเดือดร้อน”
ฉีหยูโน้มน้าวต่อ “แต่ถ้ามีคุณอยู่ อย่างน้อยคุณเซี่ยวก็มีความสุขต้องพึ่งพากันและกัน ตอนคุณพึ่งพาเขา เขาก็คอยปกป้องคุณ ได้รับพลังจากตัวของคุณ เห็นแก่เขา กลับมาเถอะนะ”
เหม่ยลี่อึดอัด ทอดถอนใจออกมา
ฝ่ายเซี่ยวเลี่ยงกลับเข้ามาในออฟฟิศ เดินเข้ามาในแผนกออกแบบ ตรงมานั่งที่โต๊ะเหม่ยลี่ นึกถึงวันที่เขาทะเลาะกับเธอทั้งที่บ้าน และที่งานแถลงข่าว
“ที่ผมให้คุณลาออก เพราะต้องการจะคบกับคุณอย่างมีความสุข ปัญหาและความกดดันที่เราเจอก็จะไม่มี เชื่อผมเถอะ ผมทำเพราะหวังดี”
“อย่าพูดประโยคนี้กับฉันอีก คุณเกลียดคนที่พูดว่าหวังดีกับคุณที่สุดไม่ใช่เหรอ”
“มี่โตะ ผมเป็นประธานบริษัท ผลประโยชน์ต้องมาก่อน”
“เข้าใจแล้ว ฉันโง่เกินไป ซื่อเกินไปฉันยังแข็งแกร่งไม่พอ ฉันเป็นตัวปัญหาของคุณ”
ฉีหยูหิ้วกระเป๋าเดินลงบันไดมากำลังจะกลับบ้าน แปลกใจที่เห็นเซี่ยวเลี่ยงกลับมาที่ออฟฟิศอีก รีบเดินมาหา
“คุณเซี่ยว กลับมาอีกทำไม”
“ฉีหยู การออกแบบครั้งนี้ ฉันจัดการแย่มากใช่มั้ย” เซี่ยวเลี่ยงปรารภขึ้นสีหน้าเศร้า
“คุณมีความจำเป็น”
“แต่เธอต้องเจ็บเพราะฉัน ฉันดึงเธอเข้ามาเกี่ยว กลับปกป้องเธอไม่ได้”
“คุณเซี่ยว คุณพยายามแล้ว ผมเชื่อว่ามี่โตะเข้าใจคุณแน่” มือขวาตัวเล็กๆ พยายามปลอบ
“ฉันรู้ ถ้าไม่ใช่เพื่อฉัน เธอคงไม่มุ่งมั่นและตั้งใจขนาดนี้ เพื่อให้การออกแบบสมบูรณ์ นี่เป็นงานชิ้นแรกอีกอย่างแรงบันดาลใจมาจากคนรัก”
ฉีหยูอึ้ง นึกไม่ถึง “คุณหมายถึงการออกแบบนั่น มะ หมายถึง...”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับ “ฉันเอง ฉันอารมณ์เสียต่อหน้าทุกคน แต่ที่ฉันโกรธคือตัวเอง ฉันอยากอยู่คนเดียว นายไปเถอะ”
ฉีหยูโค้งลา แล้วเดินออกไป ปล่อยให้เซี่ยวเลี่ยงนั่งเครียด ใช้ความคิดอยู่ลำพัง
อี้หมิงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ขณะเตรียมหม้อไฟชุดใหญ่ ควันฉุยพร้อมทานไว้รอท่ายัยอ้วนของเขา
เหม่ยลี่เปิดประตูเข้ามาเห็นถึงกับร้องทึ่ง “โห”
“อ้าว มาๆๆ ได้กินเนื้อแกะแล้ว มานั่งก่อน”
เหม่ยลี่ลงนั่งสูดกลิ่น “หอมจัง”
“มา นั่ง”
“หิวพอดีเลย”
“รีบกินเถอะ”
เหม่ยลี่จะคีบลวกจิ้ม แล้วชะงักนึกแปลกใจ วางตะเกียบจ้องหน้าถาม
“เอ๊ะ จริงสิ ไม่มีโอกาสพิเศษทำอาหารมื้อใหญ่ มีอะไร”
“เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ฉันมีแค่จุดประสงค์เดียว ขอให้ร้านเสื้อผ้า ขายดิบขายดี เงินทองไหลมาเทมา มา ชนแก้ว” อี้หมิงหยิบแก้วน้ำเปล่ามาชน เหม่ยลี่ชนแล้วสงสัยอีก
“ชนแก้ว หือ เอ๊ะ รู้ได้ไงว่าขายดี”
“สาวสวยสองคนเป็นป้ายโฆษณาอยู่ด้านหน้า หนุ่มหล่ออย่างฉันสนับสนุน ไม่ได้เงินจะโทษภาพลักษณ์ตัวเอง”
เหม่ยลี่ยิ้มขำ แกมหมั่นไส้ “โห รู้จักภาพลักษณ์ด้วย”
“เอ๊ะ อีกอย่าง เอ่อ พอเจองานที่ดี เธอก็ทำอย่างมีความสุข อย่ากลับไปเทซีโร่เลย อ่ะ มา ฉลองที่เธอลาออกสำเร็จ”
เหม่ยลี่อึกอักไม่ชนด้วย “คือว่า ฉันคิดดีแล้วล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปทำงานอีก”
อี้หมิงเซ็งโคตรๆ วางแก้วลง
“หา สมองเธอเป็นอะไร มีงานของตัวเองเลี้ยงตัวเองได้ มีความสุขแล้วทำไมต้องกลับไป อีกอย่างเรื่องก็อปปี้ เซี่ยวเลี่ยงก็ยังไม่ให้คำตอบ”
“งานที่ฉันอยากทำคือการออกแบบเรื่องเกี่ยวกับการก็อปปี้ ฉันก็คิดดีแล้ว ในตอนนั้น เซี่ยวเลี่ยงพูดว่า เขาก็อึดอัดใจและถ้าหากเขา ไปโวยวายเรื่องนั้นล่ะก็ จะทำให้สูญเสียผลประโยชน์ของบริษัท ฉะนั้นฉันคิดว่าฉันไม่ควรใส่อารมณ์ และไม่ควรมองเขาผิดไป”
“เซี่ยวเลี่ยงเขา...”
เหม่ยลี่ถอนใจ พูดขัดขึ้น
“เฮ้อ ฉันรู้น่า รู้ว่านายหวังดี แต่ว่า ฉันรู้สึกได้ว่า เขารู้สึก เจ็บปวดมากกว่าฉันซะอีก อีกอย่างเขาแบกรับมากกว่าฉัน เพราะฉะนั้น ฉันควรจะ เป็นฝ่ายเริ่มต้นกับเขาสิ ควรจะให้กำลังใจและมอบพลังให้กับเขา”
“พูดถึงแต่เซี่ยวเลี่ยง เธอถูกรังแก ฉันก็เจ็บปวดเหมือนกัน ให้กำลังใจมั่งดิ” อี้หมิงทำตัวเบิกบาน
“เอาล่ะๆ ให้กำลังใจมา กินเนื้อแกะเอ้า” เหม่ยลี่คีบเนื้อแกะมาเทลงหม้อให้
อี้หมิงโวยวายจับวางลง ยื่นมือมาขอเงินคืน “ไม่ ไม่เลี้ยงแล้ว เอาเงินมา”
“ฉันเลี้ยง เอาเงินมาให้ฉัน”
“เธอเลี้ยงเธอต้องจ่ายสิ”
“แชร์ก็ได้คนขี้งก จดในบัญชีด้วย” เหม่ยลี่ว่า
“เงินล่ะ”
“กินก่อนค่อยคุย”
เหม่ยลี่ไม่ให้ แถมยังหยิบจานเนื้อแกะมาเทลงหม้อไฟ
เช้าวันต่อมา เหม่ยลี่ออกจากลิฟต์เดินเข้ามาหยุดหน้าแผนกสูดลมหายใจลึกๆ ปลุกปลอบตัวเองในใจว่า
“ในที่สุดก็กลับมา”
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะก็หันไปทักสาวๆ “หวัดดี”
“หวัดดี” ยิวยิวทักตอบ
“หวัดดี หวัดดีพี่ซือหยวน” เหม่ยลี่แปลกใจที่ซือหยวนทำปั้นปึ่งใส่ เดินออกไปโดยไม่ทักตอบจึงเดินมาหาหนานหนาน
“เขาเป็นอะไร”
หนานหนานกระซิบบอกเบาๆ “ไม่รู้”
“เปล่าหรอก ไม่เป็นไร จริงสิ มี่โตะมีเวลามั้ยช่วยฉัน ดูงานนี้หน่อย” ยิวยิวลุกขึ้นหยิบแฟ้มมากางให้ดู
เหม่ยลี่แปลกใจ “ให้ฉันดูเหรอ”
“ใช่ ช่วยดูหน่อย”
เหม่ยลี่ลังเล “จะดีเหรอ”
“เฮ้อ มีอะไรไม่ดี ฟังนะ ที่จริงการออกแบบนี้เราดูละเอียดแล้ว ยอดมาก” ยิวยิวว่าเสียงเบาๆ
หนานหนานเสริมว่า “ใช่แล้วมี่โตะ เรื่องงานแถลงข่าวเรารู้หมดแล้ว เรารู้ว่าเธอออกแบบเครื่องประดับรุ่นใหม่เราเชียร์เธอ สู้ๆ”
“สู้ๆ มา” ยิวยิวยื่นมาให้กำลังใจ
เหม่ยลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ”
ยิวยิวเร่ง “รีบดูเร็ว”
ขณะที่เหม่ยลี่ดูงานอยู่นั้น เซี่ยวเลี่ยงเดินตรงเข้ามาหา ทำเป็นเก๊กขรึมเรียกเสียงดัง
“มี่โตะ”
เหม่ยลี่เดินมาหา “ขาดงานหลายวันไม่เขียนใบลา เขียนรายงานมาด้วย”
“อ้อ ค่ะ” เหม่ยลี่รับเอาคำ
“ตอนเที่ยงไปกินข้าวกัน” เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้ามาป้องปากกระซิบกระซาบบอกเบาๆ แถมยักคิ้วให้ด้วย แล้วเก๊กขรึมเดินออกไปกับฉีหยู
เหม่ยลี่อมยิ้มขำหัวเราะหึๆ
สาวๆ พากันดี๊ด๊า หนานหนานยื่นหน้ามากระซิบถามเบา
“นี่ มี่โตะ คุณเซี่ยวพูดอะไร”
เหม่ยลี่ไม่ตอบลงนั่งทำงานไป
ช่วงพักสมองชะนีแผนกออกแบบสองนางมานั่งจิบกาแฟเม้าท์มอยกันเรื่องมี่โตะกลับมาทำงานอยู่ตรงแพนทรี หญิงผมยาวหยิกเปิดประเด็นขึ้นว่า
“มี่โตะกลับมาคืนดีกับคุณเซี่ยวแล้วสิ ดูท่าทางคุณเซี่ยวไม่ค่อยจะเหมือนเดิม”
หญิงผมยาวสลวยสวยตรงทำหน้างุนงง
“ทะเลาะกันเหรอ”
หญิงผมยาวหยิกขัดใจ “เฮ้ย เรื่องงานแถลงข่าวไง เขารู้กันหมดแล้วว่าทำไมมี่โตะถึงไม่กลับมา”
“รู้เยอะดีนี่ แต่ว่า เธอกลับมาครั้งนี้ ต้องมีบางคนปวดหัวแน่ ถึงจะพูดต่อหน้าทุกคน ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นการออกแบบของมี่โตะกลับถูกซือหยวนแย่งไป เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาจะสู้หน้ามี่โตะยังไง”
ระหว่างนี้ซือหยวนถือแก้วชาเข้ามาได้ยิน จึงหลบกำแพงแอบฟัง กำแก้วกาแฟแน่น
“นั่นสิ ก่อนหน้านี้ยังโอ้อวดอยู่เลยว่ามีความสามารถ แต่สุดท้าย ก็ไปก๊อปปี้ผลงานของคนอื่น เฮอะ”
“ช่างเถอะ อย่าพูดเลย เขากำลังรุ่งโรจน์ ท่านรองหนุนหลังใครจะกล้าพูดคำว่าไม่ซื่อสัตย์ไว้ดีกว่า รักษาปากท้องตัวเองเอาไว้”
หญิงผมยาวหยิกส่ายหัวเยาะหยัน
เหม่ยลี่เข้ามาพบหลินจื่อเหลียงในห้องทำงานของเขา ยื่นจดหมายลางานให้
“จดหมายพิจารณาค่ะ”
“ที่มาพบผม คุณคิดได้แล้วใช่มั้ย”
“คุณพูดอะไรคะ”
จื่อเหลียงเดินออกจากโต๊ะมาหาใกล้ๆ คุยโตโอ้อวด “การแถลงข่าวคุณคงได้รับบทเรียนแล้ว เพื่อผลประโยชน์เซี่ยวเลี่ยงให้คุณเสียสละ ยังติดตามเขาอีกผมไม่เหมือนเขา ถ้าติดตามผม ผมจะปกป้องและช่วยให้คุณได้สิ่งที่ต้องการ”
เหม่ยลี่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยจริงจัง “คุณคงเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่เคยคิดว่าใครเป็นที่พึ่งของฉัน ฉันไม่ต้องการให้ใครมาช่วยอะไรฉันเลย ฉันกลับมาไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเอง ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของใคร”
จื่อเหลียงยิ้มยั่ว “คิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆ เหรอ จะบอกให้ นับจากนี้ไป คุณ ประธานและบริษัท มีความสัมพันธ์กัน อยู่ห่างๆ เซี่ยวเลี่ยงไว้ ไม่งั้นคุณแย่แน่”
“คุณจะทำอะไร อย่าคิดทำร้ายเขา เพราะฉันจะเป็นคนปกป้องเขาเอง” เหม่ยลี่บอกเสียงดังสีหน้าขึงขังจริงจัง
จื่อเหลียงยิ้มร้ายให้ “โง่มาก คุณว่าผมทำร้ายเขา คุณก็เคยทำร้ายเขา ผมแปลกใจมาก คุณคบกับเซี่ยวเลี่ยง แต่อยู่กับผู้ชายอีกคน ถ้าเซี่ยวเลี่ยงรู้เรื่องนี้เขาจะจัดการยังไงนะ คุณควรคิดดูให้ดีถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่ะก็ จะอธิบายยังไง”
เหม่ยลี่อึ้งไป เธอโกรธจัด เดินหนีออกไปเลย
จื่อเหลียงเดินไปหยิบมือถือที่โต๊ะ กดโทร.หาลูกน้องสั่งการทันที
“ไปดูที่บ้านของมี่โตะ ต้องหาหลักฐาน ที่เธออยู่กับผู้ชายคนนั้นให้ได้”
จื่อเหลียงวางสาย ยิ้มชั่วออกมาเต็มหน้า
ทางฝ่ายเซี่ยวเลี่ยงกำลังโทร.สั่งเลขาเป็นที่วุ่นวาย เพื่อเลี้ยงต้อนรับเหม่ยลี่
“อ้อ ลูซี่ เอ่อ ช่วยไปที่ร้านอาหารอิตาลี่แถวๆนี้ อ้อ เอาสเต็กเอ่อ สองชุด เอ้อ เอ่อๆ ลูซี่ ปลาทูน่าดีกว่า อ้อ สดๆ นะ”
ฉีหยูวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาจนเซี่ยวเลี่ยงสะดุ้ง ไม่เท่านั้นเขายังยื่นหน้ามารายงานใกล้ๆ ดีใจเวอร์ๆ
“คุณเซี่ยวๆ มี่โตะมาแล้ว ผมเห็นเธอ เธอทักทายผม”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มกริ่ม พอรู้ตัวก็เก๊กขรึมทุบโต๊ะปังอย่างหมั่นไส้ “นี่ ทำไมต้องดีใจด้วย”
ฉีหยูยังตื่นเต้นดีใจไม่หาย “ก็ ผมดีใจแทนคุณไง ผม...”
เซี่ยวเลี่ยงขวางตาจ้องจับผิด “ฉันจำได้ว่า นายกับเธอไม่ได้ติดต่อเรื่องงานกันนี่นา ทำไมต้องทักทายกัน”
ฉีหยูเซ็ง “เธอเป็นคนทักทายผมก่อน ครับคุณเซี่ยว คุณ...”
เซี่ยวเลี่ยงขัดขึ้นอ้างกฎบริษัทไปโน่น “ชายหญิงต้องรักษาระยะห่าง เป็นกฎบริษัทไม่รู้เหรอ”
พร้อมกับว่าซีอีโอหลุดเก๊กหยิบโน่นวางนี่มาให้ผู้ช่วย “เฮอะ ถ้าว่างมากเอ้านี่ เอาพวกนี้ไปเคลียร์ นี่อีก ไปได้ เดี๋ยวก่อน เอาขยะไปทิ้งด้วย ออกไป อ่ะนี่ เร็ว”
“คุณเซี่ยว ผมกับเธอห่างไกลกันมาก” ฉีหยูหอบแฟ้มข้าง ถือถังขยะอีกข้าง ถอยหลังไปอธิบายไป
เซี่ยวเลี่ยงตะเพิด “รีบไป”
ฉีหยูหยุดหันมาอีก “เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นครับ”
“ออกไป”
“คุณเซี่ยว เรา…”
เซี่ยวเลี่ยงขึงตาใส่ ฉีหยูเลยรีบเผ่นอย่างขัดใจ
คล้อยร่างมือขวาตัวเล็ก เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำออกมา ก่อนจะยกแขนดูเวลา
เซี่ยวเลี่ยงเดินมาแถวกระจกดึงมู่ลี่ลงมองไปยังแผนกออกแบบอย่างร้อนรุ่ม ก่อนจะเดินกระวนกระวาย ใจต่อ เพราะรอนานแล้วแต่เหม่ยลี่ไม่ขึ้นมาทานกลางวันด้วยสักที อาหารที่ให้เลขาสั่งก็วางอยู่บนโต๊ะกลางแล้ว
“เฮ้อ ทำไมยังไม่มา”
จนสุดท้ายเขาต้องลงมาตามเอง สาวๆ แผนกออกแบบหันไปเห็นรีบบุ้ยใบ้ให้กันดู เซี่ยวเลี่ยงหยุดตรงตีนบันไดแปลกใจที่เหม่ยลี่ไม่อยู่ที่โต๊ะ
“มี่โตะไปไหน”
ยิวยิวบอกว่า “เธอบอกว่าที่บ้านมีเรื่องด่วนน่ะค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงถอนใจอย่างผิดหวัง แล้วเดินไปที่ลิฟต์เลย
ยิวยิวหันไปเม้าท์ทันที
“นี่ พวกเธอรู้สึกมั้ย เหมือนคุณเซี่ยวตามจีบมี่โตะเลย...ใช่มั้ย”
สาวๆ ยิ้มกริ่ม พยักพเยิดเห็นตามกัน
ที่แท้เหม่ยลี่ร้อนใจที่จื่อเหลียงขู่ รีบกลับเข้ามาในบ้านเก็บเสื้อผ้าข้าวของในห้องอี้หมิงใส่กระเป๋าเข็นออกมา อี้หมิงเพิ่งออกเวรกลับเข้าบ้านมาพอดี ใช้เท้าถีบปิดประตู เดินสะโหลสะเหลตาปิดมา
“เหลยอี้หมิง”
“มีอะไร”
“เอ่อ ขอคุยด้วยหน่อยสิ
อี้หมิงสูดลมหายใจ ถามทั้งที่ตายังปิดอยู่ “พูดมา”
“นายย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้มั้ย”
“หือ” อี้หมิงนึกได้ปรือตาร้องงงๆ “หา”
“นายย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้มั้ย” อี้หมิงไม่ทันเห็นว่า สีหน้าเหม่ยลี่เศร้าหนัก
“ให้ฉันย้ายออกไปเหรอ อย่าหาเรื่องได้มั้ย ฉันเพิ่งอยู่เวรกลับมาง่วงจะตายไปนอนล่ะ”
อี้หมิงฉุน จะเข้าห้องนอน เหม่ยลี่หยิกแขนดึงไว้ “เดี๋ยวก่อนสิ”
“อย่าหยิก เจ็บนะ”
“ฉันเก็บเสื้อผ้าของนายเสร็จแล้ว ฉันจะช่วยหาที่ดีๆ ถือซะว่าช่วยฉัน”
อี้หมิงงง “นี่มันบ้านฉันนะ จะย้ายเธอก็ย้ายเองสิ”
เหม่ยลี่ถอนใจเฮือก
“เฮ้อ จริงด้วย ที่นี่บ้านนายฉันต่างหากที่ต้องย้าย ขอโทษนะ ฉันตื่นเต้นเกินไป เห็นแก่ตัวชั่ววูบ ก็เลยให้นายย้ายออกไป”
อี้หมิงง่วงก็ง่วง งงก็งง ต่อให้เข้าใจเพียงไหน แต่ไม่มีทางที่เขาจะย้ายหนีไปจากยัยอ้วนแน่ อธิบายไปทั้งที่ตาปิดอยู่
“เฮ้อ ฉันแปลกใจจริงๆ เลย เราโตมาด้วยกันและต่างก็รู้จักพ่อแม่ของอีกฝ่าย อยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ก็นอนคนละห้องเราดูแลกันและกัน เป็นอะไร ความรู้สึกเราบริสุทธิ์ ความสัมพันธ์ขาวสะอาด ถึงหลินจื่อเหลียงหรือเซี่ยวเลี่ยงรู้แล้วจะเป็นอะไรไป เธอขี้ขลาดเกินไปแล้ว ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย”
“ถ้าหากว่าเรื่องนี้อธิบายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก มันก็คงไม่มีอะไรอยู่แล้ว ตอนเริ่มต้นมันวุ่นวายตอนนี้ก็ยิ่งวุ่นวาย อยากอธิบายก็อธิบายไม่ได้ ที่สำคัญเกาเหวินกับเซี่ยวเลี่ยง เห็นเราเป็นเพื่อนที่น่าไว้ใจที่สุด ถ้าเขารู้ว่าเราปิดบังต้องโกรธมากแน่ ไม่กล้าคิดเลย เฮ้อ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
“เฮ้อ จริงด้วย เธอคืนดีกับเซี่ยวเลี่ยงแล้ว เราอยู่ด้วยกัน มันก็ไม่เหมาะได้ ฉันจะย้ายออก”
อี้หมิงเดินมาคว้ากระเป๋าจะลากไป เหม่ยลี่กลับไม่ให้ไป
“นายไม่ต้องย้ายแล้ว มันก็ถูก ถ้านายย้ายออกไปฉันอยู่บ้านนี้คนเดียว ฉันรู้สึกกลัวเป็นเพราะฉันไม่ดีเอง อ่อนแอไม่มีความกล้าหาญ ถ้าฉันเข้มแข็งล่ะก็ อาจจะเผชิญหน้ากับปัญหาได้”
“เธอน่ะเก่งมากแล้ว ฉันทึ่งมากเลยนะ” อี้หมิงยิ้มชม บอกต่อว่า
“อาจเพราะ เรื่องราวเหล่านี้คือบททดสอบใหม่ ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาแน่นอน เราก็ไม่ควรบ้าบิ่น ฮื่อ ฉันรู้เธอรักเซี่ยวเลี่ยง ตอนนี้เซี่ยวเลี่ยงเจอวิกฤติคนอื่นใช้เธอกดดันเขา อย่าให้คนอื่นทำสำเร็จนะ อีกอย่างที่สำคัญ ดูแลตัวเองให้ดี และต้องใช้ชีวิตดีๆ อย่าเอาแต่กินไข่กวนกับมะเขือเทศทั้งวันสิ ไม่มีประโยชน์เลยซักนิด กินเนื้อสัตว์ เธอผอมมากไม่ต้องลดแล้ว ยัยอ้วน ฉันเชื่อเธอต้องทำได้”
“จริงเหรอ”
อี้หมิงยกกำปั้นขึ้นแล้วเข็นกระเป๋าออกไป “สู้ๆ เอาละ”
แต่เห็นเหม่ยลี่ยืนกลุ้มอยู่จึงหันมาหา
“อะไร ไม่ไปส่งเหรอ”
เหม่ยลี่เดินมาส่งที่หน้าบ้าน อี้หมิงยกกระเป๋าเก็บท้ายรถ มองซ้ายแลขวาแล้วจึงบอกลา
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
“นายจะไปอยู่ไหน”
“มีเงินอยู่ไหนก็ได้ ฉันมีแฟนเยอะแยะ ไปค้างบ้านละคืนอยู่ได้เป็นเดือน” หมอเหลยคุยโต
เหม่ยลี่ยิ้มได้ “ไม่เลวเลยนี่”
ลมหนาวพัดมาวูบใหญ่อี้หมิงสูดปาก วางมาดปราชญ์ร่ายกวี
“โอ้ ลมมาลมพัดลมเพโชยผ่านมา อากาศเย็นยะเยือก”
เหม่ยลี่หมั่นไส้ “พอแล้วน่า นี่ ทำเป็นนักปรัชญาอีกไม่กี่วันฉันจะหาบ้าน นายจะได้ย้ายกลับมานะ หาซักหลัง”
“จริงด้วย แน่นอน ฉันต้องกลับมาอีก ไปล่ะ”
อี้หมิงปีนข้างรถเกาะหลังคาชะโงกหน้าทำมือเป็นปืนมายิงใส่บอกลาด้วยมาด เจมส์ บอนด์
“เอ่อ ยัยอ้วน ฟู่ว์ แล้วฉันจะกลับมา”
เหม่ยลี่ยิ้มส่งโบกมือลา โดยไม่ได้เห็นสีหน้าเศร้าของอี้หมิงที่มองออกมาจากในรถ ก่อนจะออกรถไปอย่างเร็วและแรง
เซี่ยวเลี่ยงขับเข้ามาทันเห็นรถอี้หมิงแล่นออกไปลิบๆ ตา จึงถามทันทีที่ลงรถมาหาเหม่ยลี่
“รถคันเมื่อกี้ของใคร”
เหม่ยลี่ชะงักนิดๆ “ของเพื่อนฉันเองค่ะ ออกมาส่งเขา”
เซี่ยวเลี่ยงมองจ้อง “เพื่อนอะไร”
“ทะ ที่จริงคือ...”
เหม่ยลี่ตัดสินใจจะบอก แต่เซี่ยวเลี่ยงตัดบทเสียก่อน
“ช่างเถอะ จะยังไง ผมก็สำคัญกว่า คุณลืมนัดทานข้าว”
“ขอโทษค่ะฉันลืม”
“เรื่องงานแถลงข่าว ยังโกรธอยู่มั้ย”
“ไม่แล้วค่ะ หายโกรธตั้งนานแล้ว”
“ผมขอโทษ”
“ฉันก็ควรขอโทษคุณ ฉันไม่นึกถึงความจำเป็นของคุณ ฉันขอโทษ”
ท้องเหม่ยลี่ดันร้องจ๊อกๆ ประจาน จนเจ้าตัวต้องกุมท้อง
“ยังไม่ได้กินข้าว หิวแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำ “ผมก็หิว คุณดูแลแฟนยังไงเนี่ย”
เหม่ยลี่ยิ้มขำ เซี่ยวเลี่ยงประคองใบหน้าคนรักดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรักและคิดถึง ไม่ต่างจากเหม่ยลี่เธอกอดตอบเขา
สองคนยืนกอดกันนิ่งนาน
ด้านอี้หมิงขับรถมาตามทางด้วยอาการฮึดฮัดขัดใจ “ฮึ่ย”
เพราะรายการวิทยุแต่ละคลื่นที่กดฟัง มีแต่ชะนีโทร.มาระบายเรื่องแฟนและสามี แต่ละนางพูดอย่างไม่เหลือเยื่อใย
“เมื่อคุณก้าวขึ้นเวที จากนี้ไปต้องเดินคนเดียว ฉันทำได้เพียงอวยพรให้คุณ” เสียงสาวคนแรกว่า
สาวคนที่ 2 บอก “คุณเหนื่อยมาก บ้านก็ไม่กลับ ตอนนี้เศร้ามากใช่มั้ย”
ส่วนคนสุดท้ายพูดจี้ใจดำสุดๆ “ประกาศข่าวการเช่าบ้าน ใครที่ต้องการเช่าบ้านเชิญฝากข้อความประกาศข่าวการเช่าบ้าน ใครที่ต้องการเช่าบ้าน เชิญฝากข้อความ”
ฟังแล้วอี้หมิงสุดจะทนหักรถเลี้ยวเข้าข้างทางอย่างแรงปิดวิทยุไปอย่างหงุดหงิด
“เช่าบ้านๆ พูดซ้ำอยู่ได้”
มีสายจากเหม่ยลี่โทร.มา แต่เขาไม่อยากรับ เสียงโทรศัพท์อยู่หลายครั้งก่อนจะเงียบไป
“ยัยอ้วน ยัยอ้วนๆ ฮื่อ เฮ้อ”
หมอเหลยก้มหัวโขกพวงมาลัยรถสองสามครั้ง แล้วฟุบหน้าคาพวงมาลัยอยู่อย่างนั้น จากบ่ายคล้อยจนมืดค่ำ
ฝ่ายเกาเหวินเดินเข้ามา ถอดแว่นตาดำสอดตามองหาอี้หมิงอยู่ที่แผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาล
“อยู่ไหน
เสี่ยวเอ๋อเดินมาเห็นจึงถามขึ้น “มาหาใครคะ”
“เอ่อ คุณหมอเหลย”
เสี่ยวเอ๋อจำได้ “คุณเกาเหวิน”
เกาเหวินวางมาดซุปตาร์ “อ้อ ใช่ ฉันเอง คุณหมอเหลยอยู่มั้ย”
“อ้อ วันนี้เขาลาป่วยค่ะ” เสี่ยวเอ๋อบอก
“เขาเป็นอะไรเหรอ” เกาเหวินแปลกใจ
“เมื่อวานตอนเย็น เขาไข้ขึ้น”
เกาเหวินตกใจจะโทร.หา “ไข้ขึ้นเหรอ”
เสี่ยวเอ๋อตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คุณเกาคะ”
“อะไรคะ”
“คุณมาหาหมอเหลยบ่อยจัง เขาเป็นคนธรรมดา ถ้าใกล้ชิดกันมากไปจะถูกนินทาได้นะคะ”
“ฉันเพิ่งมีข่าวฉาว กลัวกระทบต่อเขาใช่มั้ย” เกาเหวินยิ้มรู้ทัน “ชอบเขาทำไมไม่บอกเขาล่ะ”
เสี่ยวเอ๋อหลบตาวูบ
“เฮอะ อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ว่า มีคนชอบเขาเยอะเพราะเขามีเสน่ห์ อีกอย่าง ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ไม่มีใครรัก”
เสี่ยวเอ๋อหลบตาวูบ แก้ตัวพัลวัน “เอ่อ คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
เกาเหวินยิ้มรู้ทันแล้วเดินออกไป โทร.หาอี้หมิงทันที
ค่ำวันนั้นอี้หมิงลากกระเป๋าเข้ามาในแผนกสูติฯ ด้วยท่าทางอิดโรย ทิ้งตัวลงบนโซฟายาวในแผนกเกยคางบนกระเป๋าบ่นพึมพำถึงยัยอ้วนของเขา
“เฮ้อ ไม่รู้ว่ายัยอ้วนทำอะไรอยู่ จะคิดถึงฉันมั้ย” จู่ๆ หมอเหลยก็ของขึ้น “เอ๊ะ ไม่สิ เพราะเขาฉันถึงมาที่นี่ เขายังไม่เป็นห่วงฉันเลย ทำไมต้องห่วงเขา นอนดีกว่า”
อี้หมิงคว้าผ้าห่มในกระเป๋ามาห่มคลุม หลับไปในทันที
เสี่ยวเอ๋อเดินมาวางแฟ้มงานให้ที่โต๊ะ หันไปเห็นอี้หมิงหลับอยู่บนโซฟา จึงเดินไปใกล้ๆ เก็บกระเป๋าวางแอบข้างผนังให้อย่างเบามือ
ก่อนจะลงนั่งใกล้ๆ มองจ้องหน้าเขายิ้มเขินๆ กระซิบบอกถ่อมตนว่า
“คงมีแค่ช่วงเวลานี้ ที่ฉันจะได้ใกล้ชิดคุณ กู๊ดไนท์”
พยาบาลสาวขโมยจุ๊บแก้มหมอเหลยไปฟอดหนึ่ง ลุกขึ้นคลุมผ้าห่มให้แล้วเดินยิ้มจากไป
อี้หมิงสะดุ้งตื่นปัดแก้มข้างที่โดนจุ๊บ ลุกขึ้นมานั่งกอดตัวเองบ่นงึมงำ
“ให้ตายเถอะ คงอยู่นี่ไม่ได้แล้ว หลงเข้ามาอยู่ใน ดงผู้หญิงชัดๆ จะไปไหนดี”
สุดท้าย รุ่งเช้าอี้หมิงงัวเงียตื่นขึ้นมาในรถของเขานั่นเอง ที่เปิดหลังคาจอดนอนอยู่หน้าโรง’บาลนั่นเอง หมอเหลยสะบัดแข้ง ขา และ ยืดแขน เพราะนอนงอในรถทั้งคืน คว้าน้ำมากระติดมาดื่มก็เกลี้ยง ขนมขบเคี้ยวในรถไม่เหลือติดถุง
“โอ๊ย เฮ้อ ขืนอยู่แบบนี้ต้องกลายเป็นคนพเนจรแน่เลย”
เหลยอี้หมิงบ่นพึมพำเสียงแหบโหย เป็นที่น่าเวทนายิ่ง
ซือหยวนมาถึงออฟฟิศรีบเข้ามาพบจื่อเหลียงในห้องทันที
“ท่านรองคะ คุณเรียกฉันเหรอคะ”
“ไป คุยข้างนอก” จื่อเหลียงเก็บแฟ้มงานแล้วเดินนำออกไป
ระหว่างนี้เซียนหนานในชุดพนักงานไปรษณีย์ จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าตึกเทซีโร่ กดโทร.หาซือหยวน
ยืนรอสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กะมาเซอร์ไพรส์คนรัก
อ่านต่อตอนที่ 20