กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 17
เซียนหนานพยายามเอาใจซือหยวน โทร.มาบอกว่าเขาไปซื้อเบียร์และซื้อปลาที่เธอชอบทานมาทำอาหารไว้รอ
“ผมคิดว่าคุณเลิกงานแล้ว คืนนี้จะทำกับข้าวรอ”
แต่กลับถูกตวาดกลับไปอย่างรุนแรง “ฉันไม่อยากกินปลาตาย ไม่อยากดื่มเบียร์หมดอายุ คุณเลิกโทรหาฉันได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินเสียงคุณ”
เซียนหนานหน้าเสียไป
ชะนีทุกนางในแผนกออกแบบต่างตกใจที่ได้ยินสาวแบรนด์เนมตัวแม่อาละวาดดังลั่น และหันมามองซือหยวนเป็นตาเดียวกัน
หลินจื่อเหลียงลงมาจากห้องประชุมได้ยินพอดี เขาเดินเข้ามาหาซือหยวน จงใจพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
“หลิวซือหยวน หลังเลิกงานทำตัวให้ว่างนะ เราจะไปกินข้าวด้วยกัน”
ซือหยวนเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ
สองคนนั่งอยู่ในห้องวีไอพีของภัตตาคารหรูกลางเซี่ยงไฮ้ พนักงานหญิงกำลังจ๊ะจ๋ารอรับออเดอร์
“คุณหลินคะ วันนี้พวกคุณจะรับอะไรดีคะ”
“อยากกินอะไรล่ะ” จื่อเหลียงบุ้ยใบ้ให้ไปถามทางซือหยวน
“ฉันอยากกินปลา เอาปลาเป็นนะ” ซือหยวนบอก
“คุณคะ ปลาของทางร้านของเราจะเป็นก่อนปรุงอาหารทุกตัว คุณไม่ต้องกังวลค่ะ” พนักงานหญิงว่า
จื่อเหลียงถามอีกว่า “นอกจากปลาแล้ว ยังอยากกินอะไรอีกมั้ย”
ซือหยวนบอกทันที “ไวน์แดง ฉันขอที่แพงที่สุด”
“ได้ค่ะ”
“ไปเตรียมพร้อมเถอะ” จื่อเหลียงว่า
“ได้ค่ะ กรุณารอซักครู่”
จื่อเหลียงพยักหน้าห้พนักงาน “อื้ม”
รอจนพนักงานคล้อยหลังไปซือหยวนจึงถามขึ้น “ทำไมต้องพาฉันมาที่นี่”
จื่อเหลียงยิ้มแย้มเอาใจ “ในฐานะเจ้านาย เอาใจลูกน้องของตัวเอง มันแปลกมากเหรอ”
“งั้น...” ซือหยวนไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้น เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นชื่อ “เซียนหนาน” โทร.เข้ามา เธอจึงกดปิดเครื่องทันที
เซียนหนานแปลกที่สายถูกโอนเข้าคอลเซ็นเตอร์
“ขอโทษค่ะ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก”
เซียนหนานแปลกใจแต่ไม่ได้ติดใจสงสัย ยืนมองอาหารและเครื่องดื่มบนโต๊ะ ใช้ความความคิด
“จะไม่กลับมากินข้าวจริงๆ เหรอ ปลาหนึ่งตัว ผัดผักสองจาน จะซื้ออะไรเพิ่มดีล่ะ ใช่แล้ว”
ด้านซือหยวนหันมาทางจื่อเหลียง “ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าผลงานของฉันถูกเขี่ยทิ้ง คุณยังเอาใจฉันอีกเหรอ พาฉันมาร้านอาหารแพงๆ อย่างนี้ รู้สึกน่าแปลกมาก”
“การออกแบบประจำปีมีปีละครั้ง ซือหยวน คุณเห็นมองมันเล็กเกินไปหรือเปล่า อีกอย่างเราแค่กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้น ต่อไปคุณอยากมาเมื่อไหร่ เราก็มาเมื่อนั้นได้นี่ และอีกอย่าง ถ้าแค่กินข้าวมื้อเดียวต้องเลือกวันล่ะก็ ชีวิตแบบนี้อยู่ไปจะมีความหมายอะไร จริงมั้ย”
ซือหยวนยิ้มหยัน “แต่สำหรับคนอย่างฉันแล้ว อยากจะกินมื้อใหญ่ทั้งที ก็ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม เหมือนอย่างตอนนี้ ฉันนั่งอยู่กับคุณที่นี่ แต่ฉันไม่มีความรู้สึกเลยว่า ตำแหน่งนี้เป็นของฉัน”
“งั้นคุณบอกกับผมได้มั้ยว่า ตำแหน่งของคุณอยู่ที่ไหน”
“อาจเป็นบ้านธรรมดาแถวชานเมือง หรือว่าบ้านเช่าราคาถูก ที่ฉันจะย้ายไปอยู่เดือนหน้านี้ เพราะฉันเกิดในชนชั้นล่าง เลยถูกกำหนดให้อยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต ใครก็ช่วยฉันไม่ได้”
หลินจื่อเหลียงจ้องหน้าซือหยวนแน่วนิ่ง ก่อนจะลุกขึ้น เดินมาแตะไหล่เธอเบาๆ เดินอ้อมมาอีกทาง
“แต่ผมช่วยได้ ตราบใดที่คุณยินดี ผมสามารถพาคุณออกจากตำแหน่งนั้น ไปยังสถานที่ที่คุณอยากไปได้”
ซือหยวนเงยหน้ามามองอึ้งๆ “ทำไมคุณต้องช่วยฉันด้วย”
“บางที เพราะคุณเหมือนคนๆ หนึ่งมาก ในตัวของคุณผมสามารถมองเห็นเงาของเขา และอีกอย่าง ผมเป็นที่พึ่งพาของคุณแล้ว ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน หืม”
“ขอบคุณค่ะ ท่านรองหลิน”
“ถ้าจะขอบคุณ ต้องขอบคุณคุณมากกว่า เพราะคุณเลือกคนช่วยที่ถูกต้อง อีกอย่าง คุณควรจะยินดี ที่คุณไม่ถูกเลือกถึงจะถูก”
“ฉันไม่เข้าใจความหมายที่คุณพูด”
“เพราะว่าบางสิ่งบางอย่าง ตอนเริ่มแรกอาจจะพลาดไป แต่สิ่งที่เป็นของเราอย่างแท้จริง มันจะกลับมา คุณคอยดูต่อไปแล้วกัน”
ซือหยวนยิ้มให้หลินจือเหลียง
พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ “คุณหลินคะ ปลาที่คุณสั่งมาแล้วค่ะ ขอให้อร่อยนะคะ”
ซือหยวนได้ฟังเชิดหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ จือเหลียงเห็นท่าทีนั้น
ทางด้านเหลยอี้หมิงนั่งอยู่บนเตียงนอนจ้องน้องหมีที่วางแหมะอยู่ในซอกตู้เสื้อผ้า บ่นบ้าระบายอยู่ลำพัง
“ยัยอ้วน ฉันคิดดีแล้ว เรื่องเมื่อคืนนี้ เป็นความผิดของฉัน เธออย่าใส่ใจเลยนะ เรายังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย ทำไมเรื่องนี้เป็นความผิดของฉันล่ะ ฉันไม่มีสิทธิ์ชอบเขาหรือไง เฮ้อ ไม่คิดฟุ้งซ่านแล้ว เกลี้ยกล่อมเขากลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
ว่าแล้วก็หยิบมือถือมากดโทร.หายัยอ้วนของเขา
เหม่ยลี่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในออฟฟิศ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบกดรับ พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ฮัลโหล ในที่สุดคุณก็โทร.หาฉันแล้ว”
คนที่โทร.หา และเธอคุยสายด้วยกลับเป็นเซี่ยวเลี่ยงที่เวลานี้ขับรถอยู่บนท้องถนน ยิ้มแย้มคุยสายด้วยบลูทูธ
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ”
“ไม่มีอะไรนี่คะ ก็ฉันมีความสุขนี่นา”
เซี่ยวเลี่ยงเหน็บ “วางลิ้นให้ตรงก่อนค่อยพูดเถอะ”
เหม่ยลี่กระแอมปรับเสียง “คุณโทร.มาหาฉันได้ไง”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มแฉ่ง “แฟนกันโทร.หากันไม่ได้รึไง”
“ฉันคิดว่าคุณหวาน...หวานไม่เป็นซะอีก”
“คุณมีอะไรที่ชอบหรือเปล่า”
“ของชอบเหรอ ของชอบเยอะมากเลย ฉันชอบกินของอร่อย ชอบของน่ารักๆ แล้วก็ชอบคุณด้วย”
“โธ่เอ๊ยอย่าพูดเล่นสิ”
“งั้นเริ่มจากตรงไหนดีนะ”
“ก็ต้องเริ่มจากผมสิ”
“คุณเหรอ” เหม่ยลี่ยิ้มขำกระแอมอีก “จะฟังความจริงเหรอ”
“แน่นอน” เสียงเซี่ยวเลี่ยงดังออกมา
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่ม พูดไป ยิ้มไป แล้วก็เขินไปราวกับอยู่ต่อหน้าเขา
“ฉันชอบจมูกของคุณ ฉันชอบปากของคุณ จริงสิ ฉันชอบตาตี๋ๆ ของคุณด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของคุณ ตาดวงนี้ลืมตากับไม่ลืมไม่ต่างกันเลย ว้าว น่ารักสุดๆ ไปเลย”
“แล้วคุณชอบกินอะไร”
“ของโปรดเหรอ อ้อ มีเยอะมาก ในเซี่ยงไฮ้มีของอร่อยอะไรบ้างน้า ขาหมู หมั่นโถ ติ่มซำ ก๋วยเตี๋ยวหัวหอม ซี่โครงวัว แล้วก็ข้าวเหนียวม้วน โดนัทเค้ก น้ำเต้าหู้ แล้วก็เต้าฮวย”
ส่วนเซี่ยวเลี่ยงฟังไปยิ้มไปเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ ฉันมี่โตะเอง ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะรับสาย เชิญฝากข้อความเสียง...”
นั่นจึงเป็นเสียงที่อี้หมิงได้ฟัง เพราะสายไม่ว่างเลย หมอเหลยวางสายหน้าเศร้า แล้วโยนมือถือทิ้ง ลงเตียงไปจ้องหน้าน้องหมี
“เขาไม่มีเวลาสนใจคุณหรอก นอนได้แล้ว เฮ้อ”
จากนั้นก็กระโดดขึ้นเตียงนอน แต่ดูท่าแล้วคงไม่มีทางหลับลง
ส่วนเหม่ยลี่ยิ้มหน้าบานคุยสายอย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ โดยไม่ทันมองว่าเซี่ยวเลี่ยงเพิ่งออกจากลิฟต์กำลังเดินเข้ามาในแผนกออกแบบ ในมือหิ้วถุงของกินมาด้วย
“นี่ คุณเซี่ยว คุยกับฉันนานขนาดนี้ คุณไม่นอนหรือไงคะ”
“ตอนนี้คุณยังอยู่บริษัทอยู่เหรอ” เซี่ยวเลี่ยงย่องเข้ามา แกล้งกระซิบถาม
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่บริษัทคนเดียว”
“อยู่บริษัทคนเดียวไม่กลัวเหรอ”
“ก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย”
“งั้นผมไปหาคุณนะ”
“หะ ดีสิ แล้วคุณจะมาเมื่อไหร่” เหม่ยลี่ยิ้มกริ่ม
เซี่ยวเลี่ยงเดินมาถึงโต๊ะแล้ววางถุงของลงเบาๆ จับหมุนโคมไฟ ให้ส่องมาที่หน้าตัวเอง
“มี่โตะ”
เหม่ยลี่หันไปทางเสียงแล้วสะดุ้งสุดตัว ร้องกรี๊ดตกใจสุดขีด ขนาดทำมือถือหล่นคิดดู๊
“อ๊าย”
เซี่ยวเลี่ยงทำหน้าเป็น ยื่นถุงของกินเอาใจ
“เฮ้ยๆๆ ของโปรดที่คุณบอกเมื่อกี้ ผมซื้อมาให้แล้ว”
ของกินสุดโปรดที่เหม่ยลี่สาธยายบอกไปเมื่อครู่วางอยู่เต็มโต๊ะกลาง ตรงมุมรับแขกในห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยง
“ว้าว ของอร่อยเยอะแยะเลย”
“ผมว่าคุณเห็นของกินแล้ว ดีใจกว่าเห็นผมซะอีกนะ”
“ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”
“ผมว่า คุณกินเก่งขนาดนี้ เมื่อก่อนคุณเป็นยัยอ้วนใช่มั้ย” เซี่ยวเลี่ยงยิ้มย่อง ยกมือกางออกประกอบ
เหม่ยลี่ซึ่งยกน้ำขึ้นดื่มล้างคอถึงกับสำลักพรวด
เซี่ยวเลี่ยงตกใจ “เอ่อ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ”
เหม่ยลี่คีบกินไป แต่คำว่า “ยัยอ้วน” นี่เองปลุกจิตให้เหม่ยลี่นึกถึงเขาคนนั้น ตอนสอนบทเรียนรักประหลาดๆ ในร้านปิ้งย่าง
เวลานั้นอี้หมิงอ้าปากให้เธอป้อน “อ้ำ”
“อะไรล่ะ”
อี้หมิงทำปาก “อ้ำ”
“นายจะกินก็กินเองสิ นี่ๆๆ นี่แน่ะ”
เหม่ยลี่ป้อนอย่างรำคาญๆ
อี้หมิงอ้อล้อ “เช็ดปากด้วยสิ”
เหม่ยลี่เช็ดให้อย่างเสียไม่ได้ อี้หมิงยิ้มเยิ้ม
นึกขึ้นมาแล้วเหม่ยลี่อดขำไม่ได้
เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจ “คุณขำอะไร”
“อ้อ ไม่มีอะไร อ้ำ” เหม่ยลี่จะป้อน
“ผมไม่กิน” เซี่ยวเลี่ยงหันหนี
“อ้อ ฉันลืมไปว่าคุณสองคนไม่เหมือนกัน” เหม่ยลี่บ่นหน้ามุ่ย
เซี่ยวเลี่ยงได้ยินไม่ถนัดหู “อะไรไม่เหมือนกัน”
“เปล่า”
“ช่างเถอะ เอาชิ้นใหม่สิ”
เหม่ยลี่งง “หืม”
“ชิ้นเมื่อกี้ไง ป้อนให้ผมอีกครั้งสิ” เซี่ยวเลี่ยงกลั้นยิ้มที่เห็นอีกฝ่ายเงอะงะถูกเขาแกล้ง
เหม่ยลี่ยิ้มออก จัดให้ “อ้ำ” เซี่ยวเลี่ยงกัดไปคำแล้วคว้าไปเคี้ยวหยับๆ “โอ้โห กินขนมยังหล่อซะขนาดนี้”
“ถือว่าคุณสายตาดี” เซี่ยวเลี่ยงเก๊กหล่อ พลางกระแอมเมื่อนึกขึ้นได้ “จริงสิ พรุ่งนี้ทำตัวให้ว่างนะผมจะเดตกับคุณ”
“แต่พรุ่งนี้ฉันต้องเตรียมตัวประชุมสินค้าใหม่นะ มีที่ไหนกันนัดเดตกับคนอื่นอย่างนี้ ไม่ถามความเห็นของเขาก่อนเลย ไหนคุยกันว่าจะไม่ก้าวก่ายเวลาส่วนตัวและบังคับกันไง”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบทคาดโทษอีกด้วย “พรุ่งนี้แปดโมงผมจะไปรับ สายสิบนาทีจะคำนวณหักเงินโบนัสมีอะไรมั้ย”
เหม่ยลี่จ้องหน้าตะบึงตะบอนค้อนควัก “คนบ้า”
เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างระอา ก่อนจะถอดสูทออก จับตัวเหม่ยลี่เหวี่ยงลงกับโซฟาแล้วโน้มตัวตามลงไปจู๋จี๋ เหม่ยลี่ฮึดฮัดโวยวายไปมา เสียงอู้อี้ๆ
อีกฟากจื่อเหลียงให้คนขับรถขับพาซือหยวนมาส่งถึงหน้าอพาร์ตเม้นต์ สองคนลงรถมา โดยไม่ทันดูว่าระหว่างนี้เซียนหนานซึ่งออกไปซื้อของเพิ่มกลับมาพอดี ยืนตะลึงมองภาพจื่อเหลียงประคองซือหยวนซึ่งซวนเซจะล้มเอาไว้
“มา ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
จื่อเหลียงเป็นห่วง
“ท่านรองหลิน ฉันถึงบ้านแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
“ได้”
จื่อเหลียงมองส่งจนเห็นซือหยวนเดินเข้าตึกไป โดยมีเซียนหนานยืนมองอยู่ด้านหลัง รอจนรถจื่อเหลียงเคลื่อนตัวออกไป จึงเดินตามเข้าตึกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ซือหยวนเดินเข้ามาในห้อง ชะงักเมื่อเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดไว้รอท่า ปลาทอดพริกที่เธอชอบวางนิ่งอยู่ในจาน พร้อมเบียร์กระป๋อง ขณะจะลงนั่ง เห็นเซียนหนานเดินเข้ามาจึงถามขึ้น
“ดึกขนาดนี้แล้วคุณไปไหนมา”
เซียนหนานไม่ตอบ วางของในมือลงบนโต๊ะย้อนถามเสียงเรียบ
“เมื่อกี้ผู้ชายที่มาส่งคุณเป็นใคร”
“รองประธานแผนกของเรา วันนี้มีงานต้องคุยกัน เลยกลับดึก”
เซียนหนานไม่เชื่อขึ้นเสียงใส่ “คุยงานเหรอ คุยงานกันจนกลิ่นเหล้าหึ่งเนี่ยนะ คุยงาน ต้องกอดกันด้วยเหรอ”
“คุณพูดอะไร ใครกอดกับใครกันล่ะ” ซือหยวนโมโห สองคนทะเลาะกันจนได้
“ผมเห็นกับตา คุณยังไม่ยอมรับอีกเหรอ”
“ฉันไม่ยอมรับเรื่องอะไร เขาแค่ประคองฉันแป๊บเดียวเท่านั้นเอง คุณคิดอะไรอยู่ ท่านรองหลินดีกับฉัน คุณควรจะดีใจสิ หึงหวงอะไรกันล่ะ ได้สิ งั้นจากนี้ไป ฉันไม่ทำงานแล้ว ให้คุณเลี้ยงฉันดีมั้ย”
“ใช่ ผมไม่มีปัญญาเลี้ยงคุณ คุณก็ไปหาเขาเซ่ เขามีบ้านมีรถหนิ ไร้ยางอายสิ้นดี”
“คุณว่าไงนะ”
“ผมพูดอะไรคุณรู้ดีแก่ใจ”
ซือหยวนโกรธจัด คว้ากระเป๋าเดินออกจากบ้านไปเลย เซียนหนานเรียกก็ไม่ยอมหัน
“คุณจะไปไหน”
เซียนหนานโกรธเช่นกัน กวาดของบนโต๊ะเกลื่อนกระจาย หลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ
อี้หมิงนอนไม่หลับ มานั่งจุ้มปุ๊กรอยัยอ้วนที่บันไดขึ้นห้อง รอจนเธอกับมา
“กลับมาแล้วเหรอ”
เหม่ยลี่ “อืม”
ต่างคนต่างเก้อเขินทำตัวไม่ถูก เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กันเมื่อเจอหน้าจังๆ
“ฉัน” / “นาย”
“อืม เธอพูดก่อนสิ” อี้หมิงบอก
เหม่ยลี่อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง “คือว่า วันนี้เพื่อนที่ทำงานมาหารูมเมต” อี้หมิงชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วก็อยู่ใกล้ที่ทำงานด้วย ยังไงฉันก็อยู่ที่นี่มาตั้งนานมากแล้ว แล้วก็ยังอยู่ไกลบริษัทด้วย ฉันเลยต้องไปสายบ่อยๆ ฉันเลยคิดว่า อยากจะย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานน่ะ”
อี้หมิงลุกขึ้นจากบันไดเดินมาใกล้ๆ “คงไม่ใช่เป็นเพราะฉันพูดว่าชอบเธอใช่มั้ย”
เหม่ยลี่ส่ายหน้ายิ้มให้ “เปล่านี่ เพื่อนร่วมงานฉันหารูมเมตพอดีเท่านั้น”
อี้หมิงพลิกเกมทันควัน “โธ่ เธอเลิกเล่นละครได้แล้วน่า อืม ที่จริงตอนกลางวันฉันจะบอกเธอแล้ว เมื่อวานเพราะว่าฉันกำลังโกรธก็เลยพูดล้อเล่น เพราะอยากให้เธอหยุดพูดเท่านั้นเอง”
“ล้อเล่นเหรอ งั้นที่นายบอกว่าชอบฉันก็ไม่จริงน่ะสิ” ยัยอ้วนไม่อยากเชื่อนัก
“ไม่ใช่แน่นอน” อี้หมิงทำตัวเป็นเสี่ยวหมิงหมิงคนเดิม เดินห่างออกมาตีนบันได “เมื่อวานที่ฉันพูดแบบนั้นเพราะว่าโกรธมาก เพื่อให้เธอกับเซี่ยวเลี่ยงดีกัน ฉันต้องทำตัวแบบนั้นต่อหน้าเกาเหวิน มันน่าเกลียดมาก ฉันก็เลยอยากจะลงโทษเธอ เป็นยังไง เธอดูวันนี้สิ อารมณ์ฉันยังไม่ค่อยดีใช่มั้ยล่ะ”
“เฮอะ” เหม่ยลี่เหมือนจะเชื่อแต่ก็ยังไม่สนิทใจนัก เดินมาจับตัวให้เขาหันมามอง “นายกลายเป็นคนเจ้าแผนการตั้งแต่เมื่อไหร่ นายแน่ใจนะว่าที่พูดออกมาไม่ใช่ความจริง”
อี้หมิงทำเป็นยิ้มกริ่ม “แน่นอนสิ ฉันจะชอบเธอได้ยังไงล่ะ เรารู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ถ้าฉันจะชอบเธอฉันชอบไปตั้งนานแล้ว”
“นายทำให้ฉันตกใจหมด” เหม่ยลี่โล่งอก ยกแขนฟาดเข้าให้ “เมื่อกี้ฉันอยู่หน้าบ้านไม่กล้าเข้ามาเลย”
อี้หมิงทำหน้าทะเล้น “จริงเหรอ ใช่สิ ถูกผู้ชายเพอร์เฟกต์อย่างฉันชอบ ก็ต้องกดดันอยู่แล้ว แต่เธอวางใจได้ ตอนนี้ฉันเลื่อนขั้นไปอยู่ในชนชั้นของเกาเหวินแล้ว ไม่มีทางกลับไปชอบเด็กประถมอย่างเธอหรอกน่า”
“เย้ ขอบคุณที่นายไม่ได้ชอบฉัน มา เหลยอี้หมิง”
สองคนยกแขนไฮไฟว์ร้อง “เย้”
เหม่ยลี่หัวเราะโล่งใจ
อีกฟากเจ๊หลินนั่งรอลูกชายอยู่จนดึกดื่น พอเห็นจื่อเหลียงกลับบ้านมารีบเข้ามาหา
“ลูกชาย”
จื่อเหลียงแปลกใจ “แม่”
“ทำไมทำงานดึกขนาดนี้ล่ะ ดูสินี่มันกี่โมงแล้ว”
“แม่ครับ ต่อไปแม่ไม่ต้องรอผมแล้วนะ รีบไปพักผ่อนเถอะครับ”
“ก็แม่เป็นห่วงแกนี่ ข้างบนเปิดน้ำอาบให้แล้ว เร็วเข้า อาบเสร็จแล้วรีบพักผ่อนซะนะ เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารมื้อดึกให้แกอีกหน่อยนะ”
จื่อเหลียงดึงแม่ไว้ “แม่ครับ เพื่อบ้านหลังนี้ หลายปีมานี้แม่เหนื่อยมามากแล้ว ถ้ามีอะไรที่อร่อย อะไรน่าใช้ ก็ต้องคิดถึงเซี่ยวเลี่ยงก่อน ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย แม่ทำอย่างนี้ไม่เหนื่อยเหรอครับ ไม่ลำบากเหรอครับ”
“ทำไมถึงพูดอย่างนี้ล่ะ”
จื่อเหลียงเปลี่ยนเรื่อง “แม่ ผมเจอคนๆ หนึ่ง เธอเหมือนแม่มาก”
หลินยิ้มดีใจ “ใครเหรอจ๊ะ”
จื่อเหลียงเปลี่ยนใจ แต่ยังไม่เล่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่เพื่อนน่ะครับ แม่ ดึกมากแล้ว แม่รีบไปพักผ่อนเถอะครับ”
“แกก็รีบไปพักผ่อนนะ”
“ครับ” หลินขึ้นบ้านไปจื่อเหลียงมองตาม
รุ่งเช้าจื่อเหลียงคุยสายอยู่ตรงมุมรับแขก ขณะซือหยวนเข้ามาพบในห้องทำงาน
“โอเคผมรู้แล้ว”
ซือหยวนถามขึ้นทันทีที่จื่อเหลียงวางสาย แปลกใจมากที่ถูกตามตัวให้มาพบอย่างเร่งด่วน
“ท่านรอง เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ประธานเซี่ยวไปโรงงาน และยังพามี่โตะไปด้วย” จื่อเหลียงมีท่าทางหงุดหงิดฉุนเฉียว
“พวกเขาทะเลาะกันไม่ใช่เหรอคะ” ซือหยวนแปลกใจ
“ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ทะเลาะกันหรือไม่ แต่อยู่ที่ก่อนประธานเซี่ยวจะออกไป ได้ลงนามหนังสือสัญญา ให้จัดการแถลงข่าวก่อนล่วงหน้า”
ซือหยวนยังไม่เข้าใจอีก “มี่โตะเป็นนักออกแบบหลักในครั้งนี้ เกี่ยวอะไรกับเราคะ”
จื่อเหลียงยิ้มร้าย “ถ้าเราดำเนินการก่อนล่วงหน้า โครงการนี้ก็จะไม่มีที่ว่างให้พลิกผัน”
“แต่คุณเซี่ยวเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ที่ว่างที่คุณหมายถึงคือ...”
“ผมพูดตั้งแต่แรกแล้ว ถ้ายังไม่ถึงตอนท้ายใครก็สามารถแพ้ชนะได้ เอางี้ ไปเตรียมความพร้อมก่อน ผมจะพาคุณไปเจอลูกค้าเพื่อแถลงข่าว”
“แต่นักออกแบบในครั้งนี้คือมี่โตะ คุณจะพาฉันไปเหรอ” ซือหยวนงงยกใหญ่
จื่อเหลียงยิ้มร้าย ลุกเดินไปที่โต๊ะทำงาน
“มี่โตะเที่ยวสนุกอยู่ข้างนอก จะมีเวลาที่ไหนเป็นนักออกแบบล่ะ”
ซือหยวนยิ้มย่อง
ทุกคนทั้งชายและหญิงนั่งรออยู่แล้วในห้องวีไอพีของภัตตาคารที่นัดกันเอาไว้ ขณะจื่อเหลียงเดินนำซือหยวนเข้ามา เอ่ยทักทายหัวหน้าทีม
“คุณหวัง เฮ่อ ต้องขอโทษจริงๆ”
คุณหวังลุกขึ้นจับมือทักตอบ “สวัสดีครับ”
“ทำให้คุณรอนานแล้ว มา ผมจะแนะนำให้ นี่คือนักออกแบบสินค้าใหม่ของเรา คุณหลิวซือหยวน”
คุณหวังงงนิดๆ ก่อนจะยื่นมือไปทักทาย “ครับๆ สวัสดีครับๆ”
ซือหยวนทักตอบอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะคุณหวัง”
“ครับๆๆ สุดท้ายก็หนุ่มสาวมีความสามารถที่สุด มาๆๆ ท่านรองหลิน นักออกแบบหลิว เชิญนั่งๆ” หวังหัวเราะ เชื้อเชิญสองคนลงนั่ง
“ครับ นัดทุกคนออกมากะทันหัน ต้องขอโทษจริงๆ” จื่อเหลียงว่า
คุณหวังยิ้มแย้มโอภาปราศรัย “นี่ ท่านรองหลิน คุณพูดอย่างนี้เกรงใจเกินไปแล้ว เราเป็นเพื่อนเก่ากันมานานหลายปี จะว่าไป การประชุมสินค้าใหม่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกคนออกมาเจอพูดคุยกันก็สมควรแล้วล่ะครับ”
จื่อเหลียงเยื้อนยิ้มพยักหน้า “อื้ม”
ชายชุดสูทที่นั่งข้างคุณหวังทักซือหยวนขึ้น “เอ๊ะ คุณนักออกแบบหลิวคนนี้ เรายังไม่เคยเจอกันใช่มั้ยครับ”
เห็นซือหยวนอึกอัก จื่อเหลียงรีบตอบแทนทันที “อ้อ นักออกแบบหลิวซือหยวน คือคนที่บริษัทเราปั้นขึ้นมา ก่อนหน้านี้ก็มีผลงานที่ดีมากมาย” รองหลินหันมาทางทุกๆ คน “ผมหวังว่าในที่ประชุม ทุกคนจะดูแลเธอให้มากๆ”
คุณหวังและทุกคนยิ้มแย้มรับเอาคำขอ “ครับๆ” / “ค่ะๆ”
จื่อเหลียงหันมาทางซือหยวน “ซือหยวน”
ซือหยวนยังประหม่าอยู่ ก่อนจะนึกออก หยิบแก้วไวน์ลุกขึ้น
“งั้นดิฉันขอดื่มให้ทุกคนก่อนนะคะ ถือเป็นการให้เกียรติ”
พร้อมกับว่า นักออกแบบสาวเจ้าแม่แบรนด์เนมนำดื่มจนหมดแก้ว
“เยี่ยมๆ ดื่มเก่งมาก มา ทานอาหาร” คุณหวังยิ้มพอใจ
ทุกคนปรบมือให้เกียรติซือหยวน
จื่อเหลียงยิ้มสมใจ ขณะที่ซือหยวนทำหน้าประดักประเดิด ทุกคนร่วมทานอาหารกันอย่างชื่นมื่น
ตลอดทั้งวันมานี้เหลยอี้หมิงอยู่ในชุดผ่าตัด พยายามสลัดความทุกข์ขมในใจทิ้ง นำทีมทำการผ่าตัดกับคณะแพทย์และพยาบาลแทบทุกเคส ด้วยท่าทีแปลกไป ซึ่งทุกคนมองเห็น แต่ทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี ทุกคนแยกย้ายกันไป
“ผมไปก่อนนะหมอเหลย” เพื่อนหมอเดินแยกไปอีกทาง
เสี่ยวเอ๋อเดินมาหาขณะเขากำลังจะล้างมือ “เอ่อ คุณหมอเหลย ยัยอ้วนโทร.มาบอกว่าจะมาหาคุณที่โรงพยาบาล”
อี้หมิงงง “หะ มีอะไร”
“อ้อ เธอบอกว่าโทร.เข้ามือถือคุณไม่รับ คิดว่ากำลังยุ่ง เธอเลยฝากฉันมาบอกคุณ คืนนี้เธอจะมีการแถลงข่าว จองที่นั่งไว้ให้คุณแล้ว ต้องการให้คุณไปด้วย”
“คุณช่วยบอกเธอหน่อยสิว่าผมกำลังผ่าตัดไม่มีเวลา”
“คุณทำงานมาทั้งวันแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปจะเสียสุขภาพนะคะ คุณก็คิดซะว่าไปผ่อนคลายสิ” เสี่ยวเอ๋อบอกเสียงดังด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมไม่อยากพัก คุณช่วยบอกเธอตามที่ผมบอกทีนะ ขอบคุณมาก”
อี้หมิงเดินหนีไปทันที
“เอ๊ะ” เสี่ยวเอ๋อได้แต่มองตามด้วยความแปลกใจและไม่สบายใจ
ทางฝ่ายเกาเหวินเล่นโยคะอยู่ที่บ้าน แต่ดูเหมือนสมาธิจะแตกซ่าน เพราะเอาแต่มองจอมือถือแล้วถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า รอสายจากเหลยอี้หมิงทุกขณะจิต
“เฮ้อ เฮ้อ เหลยอี้หมิง ทำไมไม่กลับบ้าน โทรศัพท์ก็ไม่โทร.มา มัวแต่ทำอะไรอยู่นะ ไม่ได้ๆ อย่างนี้ฉันก็แพ้สิ แล้วจะทำไงดี”
สุดท้ายนางดับกลุ้มด้วยการโทร.หา แต่เขาก็ไม่รับสายเช่นเคย
ค่ำวันนั้น เซี่ยวเลี่ยงเดินออกจากลิฟต์เข้ามาหน้าห้องจัดแถลงข่าวพร้อมกับเหม่ยลี่
“เตรียมตัวรึยังว่าจะขอบคุณลูกค้ายังไง”
เหม่ยลี่เดินไปหยุดหน้าป้ายงานหันกลับมา กระแอม ทำท่ากล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณแขกผู้มีเกียติทุกท่านที่มาร่วมงานแถลงข่าว ขอบคุณการมาเยือนของพวกคุณ และการสนับสนุนแบรนด์ของเรา ขอบคุณมากค่ะ”
“งั้น คุณต้องการขอบคุณใครเป็นพิเศษมั้ย” เซี่ยวเลี่ยงแกล้งถาม
“มีสิ ที่จริงการออกแบบในครั้งนี้ ฉันต้องขอบคุณคนๆ หนึ่งมาก แต่น่าเสียดาย วันนี้เขาไม่ได้มา ดังนั้นหลังจากกิจกรรมสิ้นสุดแล้ว ฉันจะไปหาเขา วันนี้คุณไม่ต้องไปส่งฉันกลับบ้านนะ”
เซี่ยวเลี่ยงหน้าตึง แกล้งงอน “ใครเหรอ”
“เพื่อนรักของฉันไงล่ะ เอาล่ะอย่างอนเลยน้า”
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้าห้องไป เหม่ยลี่ยิ้มกริ่มวิ่งตามงอนง้อเอาใจ
ในห้องเก็บผลงานเพชรคอลเล็กชั่นใหม่ ซือหยวนในชุดสวยงามนั่งหน้าเครียดอยู่หน้ากล่องเครื่องเพชรที่เหม่ยลี่เป็นคนออกแบบ จนจื่อเหลียงเดินมาหา
“ท่านรองหลิน”
“คิดอะไรอยู่”
“ฉันไม่กล้าจริงๆ ค่ะ”
จื่อเหลียงไม่พอใจ “ถึงตอนนี้แล้วคุณยังลังเลอีกเหรอ”
“แต่มันเสี่ยงเกินไปนี่คะ”
“ตั้งแต่ผมให้คุณแก้ไขรูปการออกแบบของมี่โตะ ผมเตรียมความพร้อมไว้เพื่อวันนี้แล้ว แค่คุณทำตามแผนของเราก็จะไม่มีปัญหา”
“แต่คุณก็รู้ว่ามันเป็นของมี่...”
จื่อเหลียงขึงตาใส่ ซือหยวนอึ้งไป “คุณต้องการรักษาตำแหน่งมาตลอดไม่ใช่เหรอ ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นโอกาสเดียว ผมหวังว่าคุณจะคว้ามันไว้ ผมจะรออยู่ข้างนอก”
ซือหยวนมือไม้สั่น ไม่มั่นใจเอาเลย
เหม่ยลี่เดินเข้ามาในห้องนั้น “พี่ซือหยวน
ซือหยวนก้มหน้าทักตอบ “อื้ม”
เหม่ยลี่วางกระเป๋าหันมาขอบคุณ “พี่ซือหยวน ขอบคุณค่ะ”
ซือหยวนงง “เอ่อ ขอบคุณอะไร”
“พี่จำได้มั้ย ที่พี่ให้ฉันยืมหนังสือข้อมูล การออกแบบสินค้าใหม่ครั้งนี้ มีเนื้อหามากมาย ที่ฉันได้รับแรงบันดาลใจ จากในหนังสือเล่มนั้น ดังนั้น ขอบคุณพี่มากค่ะพี่ซือหยวน”
เหม่ยลี่ยื่นมือไปจับแสดงการขอบคุณ ซือหยวนลุกยืนจับด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ
“และการออกแบบในวันนี้ พี่ก็เคยแก้ไขให้ฉัน ฉะนั้นถ้าหากไม่มีพี่ ก็ไม่มีฉันในวันนี้ค่ะ”
“เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ทำงานก่อนเถอะ”
“ค่ะ” เหม่ยลี่ยิ้มกว้างก้มมองผลงานดีไซน์ครั้งแรกของเธอหยิบเพชรที่ได้แรงบันดาลใจจากเซี่ยวเลี่ยงมามองดูอย่างปลื้มปริ่ม ไม่รู้ตัวว่าจะโดนรุ่นพี่ขโมยผลงานในอีกมากี่นาทีนี้
งานแถลงข่าวเริ่มขึ้นด้วยแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นใหม่ของเทซีโร่ เสียงปรบมือดังเกรียวกราวจากกลุ่มคนดู เซี่ยวเลี่ยงนั่งเคียงข้างเหม่ยลี่อยู่แถวฟร้อนท์โรล จื่อเหลียงนั่งติดกับเซี่ยวเลี่ยงถัดเขามาเป็นซือหยวนที่นั่งกังวลอยู่ไม่วายเว้น
จื่อเหลียงยิ้มร้ายพูดกระซิบกระซาบกระแนะกระแหนเซี่ยวเลี่ยงขึ้น
“ได้ยินว่านายกับมี่โตะดีกันแล้ว คืนนี้มาด้วยกันใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงหันมามองพูดนิ่มนิ่งแต่เชือดเฉือนทุกคำ
“ฉันขอเตือนนายอย่าคิดร้ายกับเธอเด็ดขาด ทางที่ดีอย่าละเมิดกฎ”
จื่อเหลียงยิ้มเยาะ “ละเมิดกฎเหรอ ฉันจำไม่ได้เลยว่า ระหว่างเรายังมีกฎด้วยเหรอ”
“นายไม่เชื่อก็ลองดูสิ ฉันจะเตือนความจำให้นายเอง”
เห็นซือหยวนกังวลไม่หาย จื่อเหลียงหันไปมองพลางยื่นแขนไปตบไหล่ให้กำลังใจ
แฟชั่นโชว์จบลง เสียงปรบมือเกรียวกราว จื่อเหลียงรับไมค์จากแบ็คสเตจมาลุกยืนขึ้นเดินไปบนเวที ดำเนินงานต่อในฐานะหัวหน้าทีมออกแบบ
“ขอบคุณทุกคน ที่มาเข้าร่วมการแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าใหม่”
กลุ่มคนปรบมือเกรียวกราว
“ในฐานะที่ผมเป็นรองประธานฝ่ายการออกแบบ รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมมือกับประธานเซี่ยว จัดแถลงข่าวสินค้าใหม่ในครั้งนี้ ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนในบริษัทของเรา ดังนั้นผมขอเป็นตัวแทนของบริษัท ขอบคุณการสนับสนุนของทุกคนครับ”
เสียงปรบมือดังเซ็งแซ่ เหม่ยลี่ตื่นเต้นเมื่อนึกว่าจะได้ยินชื่อตัวเองในฐานะดีไซเนอร์ในลำดับต่อไป เซี่ยวเลี่ยงยิ้มให้แรงใจ ซือหยวนกุมมือตัวเองแน่นข่มความตื่นเต้นหวาดหวั่นในใจ
“ตอนนี้ ขอเชิญหัวหน้านักออกแบบ สินค้าใหม่ในครั้งนี้ของเรา ดาวดวงใหม่ผู้มีความคิดสร้างสรรค์”
เหม่ยลี่ลุกยืนตามคิว แต่แล้วจื่อเหลียงกลับผายมือมาที่ซือหยวนและเอ่ยขึ้นว่า
“นักออกแบบ หลิวซือหยวนครับ”
ทุกคนปรบมือต้อนรับเกรียวกราว เซี่ยวเลี่ยงชะงัก เช่นเดียวกับเหม่ยลี่ที่ยืนอึ้งตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น เซี่ยวเหลียงเหลียวขวับไปทางซือหยวน มองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ปรบมือต้อนรับนักออกแบบหลิวขึ้นเวทีด้วยครับ”
ซือหยวนหลบตาสองคนเดินขึ้นไปบนเวทีทันที จื่อเหลียงส่งไมค์ให้ ตบหลังเบาๆ เชิงให้กำลังใจแล้วเดินลงเวทีไปยืนประจันหน้ากับจื่อเหลียงอย่างท้าทาย ประกาศสงครามอย่างชัดแจ้ง
แสงไฟ แสงแฟลช และเสียงปรบมือทำให้เธอหายประหม่าเป็นปลิดทิ้ง
“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันคือนักออกแบบของเทซีโร่ หลิวซือหยวนค่ะ”
กลุ่มคนปรบมือเกรียวกราว
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าเรียกจื่อเหลียงให้ตามออกมานอกห้อง “นายออกมากับฉัน”
“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่งานการแถลงข่าวของบริษัทเทซีโร่ของเรา”
ซือหยวนเจื้อยแจ้วอยู่บนเวทีโดยไม่สนใจมองเหม่ยลี่ที่ลงนั่งอย่างอึ้งๆ คาดไม่ถึงอยู่กับที่
“ในที่นี้ ฉันขอแนะนำให้ทุกคน รู้จักสินค้าใหม่ของฉัน แหล่งที่มาคือหนังสือนวนิยายเล่มหนึ่ง ที่วีรสตรีในนวนิยาย นั่งอยู่บนหาดทราย มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเงียบสงบ และมีดาวดวงหนึ่ง เปล่งประกายเป็นพิเศษ”
จื่อเหลียงตามออกมาบริเวณแบ็คดรอปงานห่างจากห้องมาทางลิฟต์ พูดจายียวนกวนประสาท
“มีอะไรประธานเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงหันมา ซัดเปรี้ยงเข้าเต็มหมัด แล้วกระชากร่างคว้าคอเสื้อจื่อเหลียงขึ้นมา แต่ถูกอีกฝ่ายข่มขู่ขึ้นว่า
“ฉันจะบอกให้ มีแขกอยู่มากมาย ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ นายนั่นแหละต้องสูญเสีย”
เซี่ยวเลี่ยงคุมแค้น “นายกำลังก็อปปี้ ฉันพูดคำเดียวก็สามารถทำลายนายทันที”
จื่อเหลียงยิ้มเยาะ มองท้าทาย “ก็ไปพูดสิ ยังไงบริษัทเราก็มีเรื่องอื้อฉาวอยู่แล้ว ที่จริงใครก็อปปี้ใคร ไม่สำคัญหรอก ทุกคนก็พูดได้ โธ่เอ๊ย การบริหารจัดการภายในของเทซีโร่วุ่นวายจัง ฉันจะบอกให้ ถ้าพ่อโกรธเมื่อรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายกับมี่โตะ ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”
เซี่ยวเลี่ยงผลักจื่อเหลียงออกอย่างรังเกียจ
“ฉันรู้แล้ว นายเห็นว่าฉันไม่แตะต้องนาย จึงใช้ผลประโยชน์ของบริษัทกับมี่โตะมาขู่ฉัน”
“เป็นอะไร เห็นแฟนของตัวเองทุกข์ใจแล้วเจ็บปวดมากใช่มั้ย เอาสิ นี่ งั้นก็โทรศัพท์หาพ่อสิ แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง” เห็นเซี่ยวเลี่ยงนิ่งขึงจื่อเหลียงยิ้มอย่างผู้ชนะ “แต่ไม่ว่านายจะโทร.หรือไม่ก็เหมือนกัน เพราะฉันชนะนายแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงแทบไม่เชื่อ “นายบ้าไปแล้วเหรอ”
“ถ้านายถูกคนอื่นเหยียบอยู่มานานยี่สิบกว่าปี นายต้องบ้ามากกว่าฉันแน่”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะ กระจ่างแจ้งในใจ “นายพูดถูก แต่น่าเสียดายคนที่ถูกเหยียบคือนายตลอดไป อยากทำลายเทซีโร่อยากทำลายฉัน ฝันไปเถอะ นายมีชีวิตอยู่อย่างสกปรก ไม่ต้องให้ใครเหยียบก็ไม่มีวันยืดหลังตรงได้ จำเอาไว้”
“ฉันจำคำพูดของนายแล้ว แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่านายควรรีบไปปลอบโยนแฟนของนายมากกว่านะ”
จื่อเหลียงไม่ใส่ใจหันตัวเดินกลับเข้าห้องหัวเราะด้วยความสะใจ
เซี่ยวเลี่ยงเครียดจัด โดยเฉพาะเป็นห่วงความรู้สึกคนรัก
จื่อเหลียงเดินมาถึงหน้าห้อง เจอเหม่ยลี่เดินหน้าเศร้าออกมาพอดี เห็นเธอตาแดงๆ เหมือนคนร้องไห้ก็ยิ่งสะใจ
“อย่าเสียใจเลย คราวหน้ายังมีโอกาสอีกมาก โอ๊ะ ร้องไห้อยู่เหรอ งั้นก็ไปหาประธานเซี่ยวสิ เขาเป็นคนยุติธรรมมาก ต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณแน่”
เหม่ยลี่จ้องหน้าจื่อเหลียงอย่างชิงชังรังเกียจ “คุณมองผมอย่างนี้ทำไม ยังไงคุณก็เป็นคนที่ผมบ่มเพาะมา คุณเสียใจผมก็แค่ปลอบใจมันสมควรอยู่แล้ว นะ ไม่ต้องขอบคุณ อ้อจริงสิ ประธานเซี่ยวอยู่ตรงนั้น คุณรีบไปหาเขาสิ นะ”
หลินจื่อเหลียงหัวเราะเยาะอย่างสะใจแล้วกลับเข้าห้องไป
เหม่ยลี่มองตาม ก่อนจะเดินเข้ามาหาเซี่ยวเลี่ยงที่ยืนเครียดอยู่ที่เดิม
“คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงอึดอัดใจมาก แต่เขาทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ขอโทษเธอ
“มี่โตะ ผมขอโทษนะ เพราะผมไม่ดูให้รอบคอบเอง”
“เป็นหัวหน้านักออกแบบหรือไม่ฉันไม่สนใจหรอก แต่การออกแบบครั้งนี้ เป็นผลงานชิ้นแรกในชีวิตฉัน เขาเอาไปตามอำเภอใจได้ยังไงกัน แม้แต่เครดิตก็ไม่ให้ฉัน ฉันไม่ต้องการตำแหน่งหัวหน้านักออกแบบ และไม่ต้องการเงินปันผลส่วนแบ่ง ฉันแค่ต้องการให้เขียนชื่อฉันไว้ในผลิตภัณฑ์ แค่เขียนว่านักออกแบบมี่โตะเท่านั้น”
เหม่ยลี่ขยับมาจับแขนเซี่ยวเลี่ยงขอร้อง
“เซี่ยวเลี่ยง เราเข้าไปประกาศใหม่อีกครั้งได้มั้ย ฉันขอร้องล่ะ คุณช่วยฉันได้มั้ย ได้โปรดช่วยฉันซักครั้งเถอะ”
เซี่ยวเลี่ยงจับมือเธอมากุม “ไม่ได้ เรื่องนี้ห้ามเผยแพร่ออกไปเด็ดขาด”
เหม่ยลี่ไม่เข้าใจ สลัดแขนออก ระบายออกมาด้วยความอัดอั้น
“ทำไมล่ะ แค่เขียนชื่อของฉันมันมากไปงั้นเหรอ คุณรู้มั้ยว่าฉันพยายามแค่ไหนกว่างานออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ คุณเป็นคนช่วยแก้ไขให้ฉัน ทีละเส้น ทีละลวดลายออกมาเอง เพราะนี่คือพยานรักชิ้นแรกของเรา คุณรู้มั้ยว่าแหล่งที่มาของงานชิ้นนี้คืออะไร คือ แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉะนั้น จะให้ฉันทิ้งมันไปฉันทำไม่ได้แน่นอน”
“มี่โตะผมขอโทษ ครั้งนี้ทำให้คุณทุกข์ใจแล้ว”
เหม่ยลี่ทั้งน้อยใจ เสียใจ และแค้นใจ “ทำไมล่ะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงจับไหล่เธอไว้ “มี่โตะ ในฐานะที่ผมเป็นประธาน ต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทเป็นอันดับแรก ผมรู้ว่า งานชิ้นนี้มีความสำคัญกับคุณมาก แต่ว่า มันก็ทำให้ผมกดดันมากเช่นกัน เพราะทุกอย่างไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ข่าวถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว ถ้ามันเป็นการออกแบบที่ดี ลูกค้าจะไม่สนใจว่านักออกแบบคือหลิวซือหยวนหรือว่ามี่โตะ แต่ถ้าหากเปลี่ยนแปลงข่าว จะทำให้มีผลกระทบ ต่อความซื่อสัตย์ขององค์กร”
เหม่ยลี่รับไม่ได้ ขับแขนเขาออก “ใช้ความไม่ซื่อสัตย์แลกกับความซื่อสัตย์เหรอ ยังไงฉันก็ไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด”
“ผมขอโทษ แต่ว่า ธุรกิจก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น นี่คือหนึ่งในเหตุผล ที่ผมให้คุณลาออกจากบริษัทก่อนหน้านี้ไงล่ะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันโง่เกินไป ซื่อเกินไป และฉันไม่แข็งแกร่งพอ ฉันจึงไม่รู้จักการต่อสู้ทางธุรกิจ ฉันคงเป็นภาระของคุณตลอดไป ฉันทำให้คุณเสียเวลาแล้ว”
“มี่โตะ มี่โตะ เฮ้อ...”
เซี่ยวเลี่ยงเรียกไว้แต่อีกฝ่ายเดินหนีไปโดยไม่เหลียวหลัง
ซือหยวนเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องเก็บเครื่องเพชร จนเห็นเหม่ยลี่เดินเข้ามาเอากระเป๋าและเสื้อคลุม รีบทำเป็นเข้ามาพูดขอโทษขอโพย
“มี่โตะ เมื่อกี้ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านรองหลินถึงเรียกชื่อของฉันโดยตรง นักข่าวก็เห็นแล้ว ฉันไม่ขึ้นไปคงไม่ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอจริงๆ นะ”
“ฉันรู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพี่”
“แต่เธอ…”
“ฉันไม่โทษพี่หรอก”
ซือหยวนอึ้งไป “เธอไม่โทษพี่จริงๆ เหรอ”
“ฉันยินดีด้วย”
เหม่ยลี่ฝืนยิ้มแสดงความดีใจ สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกไปทันที ซือหยวนรู้สึกแย่ไม่หาย
อีกฟาก เสี่ยวเอ๋อเดินมาเจออี้หมิงในชุดเสื้อกาวน์ยังไม่กลับก็แปลกใจ
“เอ๊ะ คุณหมอเหลย ป่านนี้แล้วคุณยังไม่กลับบ้านเหรอคะ”
“อะไรนะ มีคนไข้ต้องการผมเหรออยู่ที่ไหน” อี้หมิงพยายามทำตัวยุ่ง จะเดินออกไป เสี่ยวเอ๋อต้องจับไว้
“เอ่อๆ ไม่มีค่ะๆๆ ฉันแค่ถามคุณเท่านั้นเอง ดูสิ คุณไม่ได้กินข้าวเลยทั้งวัน ถ้างั้นฉันเลี้ยงมื้อดึกคุณดีมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกขอบคุณ ตอนนี้ผมกินไม่ลง”
“งั้นฉันไปส่งคุณกลับบ้านนะ คุณเหนื่อยขนาดนี้คงไม่อยากขับรถกลับเองแน่”
อี้หมิงถอนใจเฮือก “ผมไม่อยากกลับบ้าน และไม่อยากได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านนี้ด้วย”
เสี่ยวเอ๋อยิ่งแปลกใจ “ทำไมคะ ที่บ้านคุณมีอะไร เกิดอะไรขึ้นคะ”
“มันเงียบเหงา บรรยากาศก็เศร้าโศกมากด้วย” เขาบอกตามตรง เสี่ยวเอ๋อยังงงอยู่อย่างนั้น
ระหว่างเดียวกันนี้เหม่ยลี่เดินใจลอยออกมาตามถนน คิดถึงคำพูดเซี่ยวเลี่ยง
“ผมขอโทษ แต่ว่า ธุรกิจก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น นี่คือหนึ่งในเหตุผล ที่ผมให้คุณลาออกจากบริษัทก่อนหน้านี้ไงล่ะ”
อี้หมิงอธิบายต่อว่า “เมื่อก่อนบ้านหลังนี้มีแต่ความคิดถึง แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ผมไม่อยากกลับไปยังที่ที่ไร้ซึ่งความหวัง และยังต้องไปเจอคนที่ผมไม่รู้จะเผชิญหน้ายังไงด้วย”
“ที่บ้านคุณมีคนอื่นด้วยเหรอ เขาคือใครคะ” เสี่ยวเอ๋องุนงงสงสัยเอามากๆ
เหม่ยลี่เดินมาเรื่อยเปื่อย จนคิดขึ้นได้
“ใช่แล้ว ยังมีเหลยอี้หมิง มีแค่เหลยอี้หมิงที่เข้าใจฉัน”
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อี้หมิงรีบกดรับสายทันที
“เอ่อ ฮัลโหล...” เขานิ่งฟังแล้วบอกไปว่า “เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ เอ่อ ฮัลโหลๆ”
หมอเหลยเซ็งสุดขีดที่พบว่าแบตตารี่หมด
“มาแบตหมดในเวลาสำคัญ ผมกลับบ้านก่อนนะ”
เสี่ยวเอ๋อหน้างอ มองตามหมอเหลยที่ถอดเสื้อกาวน์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้ววิ่งหน้าตั้งออกไปเหมือนครั้งก่อนๆ
“เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย ทุกครั้งที่เขาโทร.มาก็ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว”
เหม่ยลี่แปลกใจที่สายอี้หมิงไม่ว่าง พยายามโทร.หาอีกครั้ง แต่ได้ยินเสียงจากคอลเซ็นเตอร์แทน
“เลขหมายที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”
“ฉันเศร้ามากเลย ฉันอยากจะคุยกับนาย เหลยอี้หมิง นายอยู่ที่ไหน”
เหม่ยลี่บอกตัวเองในใจ ด้วยสีหน้าอันหมองเศร้า
จื่อเหลียงให้คนรถขับพามาส่งซือหยวนที่อพาร์ตเม้นต์เช่นเคย เขาเอ่ยขึ้นเมื่อรถจอดนิ่ง
“ถึงบ้านคุณแล้ว”
ซือหยวนกังวลไม่หาย “ท่านรองคะ คุณเซี่ยวต้องไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่”
จื่อเหลียงตัดบทเสียงเข้ม “อย่าพูดถึงเขากับผม”
“ถ้าเขาตรวจสอบพวกเราล่ะ”
จื่อเหลียงเริ่มอารมณ์เสียหันมามองอย่างไม่พอใจ พูดแทบเป็นตวาด
“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าพูดถึงเขา ทำไมเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คุณต้องพูดชื่อเขาให้ผมได้ยิน สำหรับคุณเซี่ยวเลี่ยงสำคัญมากหรือไง คนที่ผลักดันให้คุณขึ้นเวทีคือผม ผมต่างหากที่เป็นคนควบคุมทั้งหมด”
“ท่านรองคะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ซือหยวนตกใจกับท่าทีของเขา
จื่อเหลียงได้สติ มีท่าทีอ่อนลง “คุณไม่เชื่อผมใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่เชื่อตัวเองต่างหาก ฉันอยากเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบมาตลอด แต่ฉันต้องการใช้ความสามารถของตัวเองเอาชนะเขา ไม่ใช่การแย่งชิงแบบนี้”
จื่อเหลียงเกลี้ยมกล่อมโน้มน้าวซือหยวนทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งในตอนท้าย
“ในเมื่อคุณทำไปแล้ว ยังสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ทำไม ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงชะตาของตัวเอง ก็ปล่อยวางศักดิ์ศรีที่น่าตลกนั่นไปซะ คุณต้องหัดเหยียบหัวของคนอื่น ถึงจะมีสิทธิ์ไปพูดว่าตัวเองเก่งกว่าได้ นะ หรือคุณคิดว่า นี่คือการเป็นแม่ยก ที่ควรถูกเซี่ยวเลี่ยงปราบปรามใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะท่านรอง”
“งั้นก็ดี ซือหยวน คุณต้องจำเอาไว้ เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว คุณควรทำตามความต้องการของผม ขับรถออกไป ถ้าวันหนึ่งรถคว่ำโดยไม่ตั้งใจขึ้นมา คนที่เป็นอะไรไม่ใช่มีแค่ผมเท่านั้น”
“ค่ะฉันรู้แล้ว” ซือหยวนพยักหน้ารับ
“กลับไปหลับให้สบายเถอะ พรุ่งนี้ ผมต้องเห็นคนที่ร่าเริงสดใส นักออกแบบหลิวซือหยวน ดีมั้ย”
“ค่ะ”
จื่อเหลียงยิ้มให้กำลังใจ “อื้ม”
ซือหยวนลงรถมามองตามจนรถเคลื่อนออกไปจึงหันตัวเดินขึ้นห้องไป
ฟากเซี่ยวเลี่ยงกลับมาถึงคอนโดถอดเสื้อสูทเหวี่ยงทิ้งลงบนโซฟาระบายความเครียดความแค้น ลงนั่งทอดถอนใจเฮือกๆ มองเห็นแฟ้มงานดีไซน์ หยิบมาเปิดดูรูปสเก็ตช์แล้วคิดถึงคำพูดตัดพ้อของมี่โตะขึ้นมา ก่อนจะเดินหนีไป
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันโง่เกินไป ซื่อเกินไป และฉันไม่แข็งแกร่งพอ ฉันจึงไม่รู้จักการต่อสู้ทางธุรกิจ ฉันคงเป็นภาระของคุณตลอดไป ฉันทำให้คุณเสียเวลาแล้ว”
สายที่อี้หมิงรับที่แท้เป็นสายจากเกาเหวิน เวลานี้หมอเหลยยืนงงอยู่หน้าประตูบ้านเมื่อกดรหัสเปิดเข้ามา แปลกใจที่บ้านทั้งหลังมืดสนิท
“เกาเหวิน ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ เกาเหวิน...เกาเหวิน”
“เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงเดินเข้ามามองหา “คุณอยู่ไหน”
เกาเหวินร้องบอก “เหลยอี้หมิงฉันอยู่ตรงนี้”
อี้หมิงมองฝ่าความมืดไป พบว่าเสียงดังมาจากห้องโฮมเธียเตอร์ชั้นใต้ดินจึงเดินลงไป ส่งเสียงถาม
“เกาเหวิน คุณอยู่ไหน”
“ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ๆ อยู่ตรงนี้ๆ อยู่ตรงนี้”
อี้หมิงเดินมาหาแต่ไม่เจอ “เกาเหวิน”
“ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ใต้โต๊ะ”
“ใต้โต๊ะเหรอ”
เกาเหวินร้องบอก “อยู่นี่ๆ”
อี้หมิงก้มลงไปมองหา “นี่คุณ ไปหลบอยู่ตรงนั้นทำไม”
“ไม่เห็นเหรอว่าบ้านฉันไฟดับ มันมืดๆ”
“คุณเรียกผมมาเพราะบ้านคุณไฟดับงั้นเหรอ”
“ฉันกลัว คุณรีบเข้ามาเร็ว”
“คุณออกมาสิ”
“ไม่ได้คุณเข้ามาสิ”
อี้หมิงถูกเกาเหวินลากเข้าไปหาหัวโขกกับโต๊ะโครม “โอ๊ย”
“เข้ามาๆ คุณเป็นอะไร”
“คุณดึงผมทำไม หัวผมโขกถูกโต๊ะแล้ว เจ็บมากเลย”
“ฉันกลัว คุณอย่าไปไหนนะ จับมือไว้” เกาเหวินโผล่ออกมาด่าแล้วผลุบเข้าไปใต้โต๊ะดังเดิม
“กลัวอะไรของคุณเนี่ย ก็แค่ไฟดับ ปกติไม่กลัวอะไรไม่ใช่เหรอ”
“ใครบอกว่าฉันไม่กลัวล่ะ ปกติฉันใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงแฟลชนะ ตอนนี้มืดเกินไปฉันไม่ค่อยคุ้นเท่านั้น”
อี้หมิงสุดเซ็ง “โอเค คุณปากแข็งไปเถอะ ผมจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น คุณอยู่ที่นี่ก่อน อย่าหนีไปไหนล่ะ”
เกาเหวินไม่ยอมให้ไปลุกมาเกาะแขนเขาไว้ “ไม่ได้ๆ ฉันจะไปกับคุณด้วย ไม่งั้นฉันไม่วางใจ”
อี้หมิงถอนใจเฮือกๆ บ่นบ้า “ชาติที่แล้วผมเป็นหนี้คุณหรือไงนะ คุณถึงมาตามทวงหนี้กับผม”
“ไม่ใช่ ไม่มี” เกาเหวินว่า
“บอกมาสิ วงจรไฟฟ้าอยู่ที่ไหน”
เกาเหวินไม่รู้จัก “อะไรคือวงจรไฟฟ้าล่ะ”
อี้หมิงหันไปมองซุปตาร์ดวงตกอย่างระอา เซ็งโครตๆ
“โอเค คุณชนะแล้ว ตอนนี้ผมคอมเฟิร์มได้เลย คืนนี้บ้านของคุณไฟไม่ติดแน่ พรุ่งนี้เรียกช่างไฟมาแล้วกัน ผมกลับบ้านก่อน”
“ไม่ได้ๆๆ คุณไปไม่ได้ๆๆ”
อี้หมิงแหกปากร้องลั่นเพราะเกาเหวินกระโดดกอดแจ แถมเหยียบตีนเขาเต็มๆ
“โอ๊ย คุณเหยียบเท้าผมทำไม”
“คุณต้องอยู่ต่อ ไปไม่ได้”
“ผมรู้สึกว่าชีวิตของคุณเปิดเผยดีนะ ให้ผู้ชายมาอยู่บ้านตามอำเภอใจ คุณรู้มั้ย ผมเป็นคนยังไง ผมไม่ใช่คนจิตใจดีงาม เพราะงั้น ผมต้องกลับบ้าน โอ๊ยๆๆ”
อี้หมิงจะเดินหนี ถูกเกาเหวินกระชากคอเสื้อลากไว้ไม่ให้ไปไหน “จับคุณได้แล้วๆ คุณคิดมิดีมิร้ายกับฉันใช่มั้ย เลยไม่กล้าพูดใช่มั้ย ภายใต้บรรยากาศมืดๆ คุณจะทำอะไรฉันใช่มั้ย ทำไมคุณไม่อธิบายล่ะ คุณพูดมาเซ่”
“ปล่อยมือๆ ผมพูดไม่ออก” อี้หมิงสำลัก เกาเหวินปล่อยมือจากคอเสื้อแต่ยังคว้าตัวเขาไว้ ไม่ให้ไปไหน
“นี่คุณจะบีบคอผมให้ตายใช่มั้ย ผมรู้สึกว่าคุณหลงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ผมเหลยอี้หมิงเป็นใคร”
สองคนแหกปากใส่กัน ถามกันไปมา “ใครๆๆ” / “ใครๆๆ”
“ใครเล่า” เกาเหวินหงุดหงิด อี้หมิงเซ็ง
“ผม...ผมเหลยอี้หมิง เป็นศัตรูตัวฉกาจของหญิงสาวทุกคนอยู่แล้ว ผมจะมีความคิดไม่ดีกับเพื่อนได้ยังไงล่ะ”
“ถ้าคุณไม่คิดแบบนั้น ทำไมไม่กล้าอยู่ต่อ เรานอนกันคนละเตียงกัน คุณกลัวอะไร”
“ได้ นี่คุณจะสู้กับผมใช่มั้ย งั้นวันนี้ถึงคุณไล่ผมก็ไม่ไป ดูสิว่าเราสองคนใครจะชนะ”
เกาเหวินกะอี้หมิงมองท้าทายกันไปมา “ใครๆๆๆ”
สุดท้าย จู่ๆ เกาเหวินร้องกรี๊ดกระโดดขึ้นกอดหนีบเขาไว้กับตัว “อ๊าย”
“หลังของผม คุณอย่าหนีบผมสิ โอ๊ยๆ” อี้หมิงร้องโอดโอย
“ฉันกลัว”
“คุณ โอ๊ยหลังของผม”
สุดท้ายอี้หมิงเลยไปไหนไม่ได้ ต้องลากโซฟายาวมานอนติดเตียงนอนใหญ่ของเกาเหวิน
“ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องให้คุณนอนค้างกับฉัน เพราะว่าฉันกลัวความมืดมาก ฉันรู้สึกว่าพอไฟดับก็เหมือนมีภูเขาลูกใหญ่มาทับฉัน ทับจนฉันหายใจไม่ออกเลยล่ะ”
“นั่นเป็นเพราะว่าคุณเคยชินกับการอยู่ใต้แสงไฟมากเกินไปน่ะสิ”
“คุณรู้มั้ย ที่จริงมีผู้ชายมากมายมาตามจีบฉัน”
“อย่านับผมเข้าไปด้วยนะ พี่สาว ทำไมคุณยังไม่ง่วงอีก รีบนอนได้แล้ว คุณหลับแล้วผมจะได้กลับบ้าน”
“ฉันรู้ว่า คุณไม่เหมือนกับคนพวกนั้นหรอก พวกเขาชอบฉันเพราะว่าฉันสวยและหุ่นดี แล้วก็บทบาทดาราของฉัน เวลาอยู่กับพวกเขา ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเครื่องประดับ”
เกาเหวินพร่ำเพ้อระบดระบาย โดยไม่รู้ว่าอี้หมิงอ่อนล้าจนหลับไปแล้ว
อ่านต่อ ตอนที่ 18