กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 8
เซี่ยวเลี่ยงยืนนิ่งอยู่ไม่นาน ก็ถอนใจเฮือกออกมาเดินมานั่งที่โซฟายาว จะหยิบแก้วกาแฟที่ยัยจอมจุ้นนำมาให้ขึ้นดื่ม แต่แล้วต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีกระดาษโน้ตสีชมพูหวานพร้อมข้อความ แปะอยู่ข้างแก้ว เขาหยิบมาอ่าน เป็นข้อความให้กำลังใจจากเหม่ยลี่
“คิดถึงโซลทาวเวอร์สิคะ แม้จะเป็นตอนกลางคืน ดวงดาวที่แท้จริง ก็ไม่ถูกความมืดบดบัง สู้ๆ”
ซีอีโอหนุ่ม มีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
เหม่ยลี่กลับลงมาที่แผนกกำลังจะทำงาน ซือหยวนหันไปหยิบหนังสือสองสามเล่มที่เตรียมไว้ ลุกเดินมาหา มอบหนังสือนั้นให้
“มี่โตะ อยากเรียนการออกแบบไม่ใช่เหรอ นี่เป็นตำราที่ฉันเคยใช้เอาไปดูสิ”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้างรับมาอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะพี่ ไม่นึกว่า พี่จะจำเรื่องนี้ได้”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เธอก็เคยช่วยฉัน”
“อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ อ้อ จริงสิพี่ซือหยวน การออกแบบโพรเจกต์ใหม่นี้ ฉันขอมีส่วนร่วมได้มั้ยคะ”
ซือหยวนลำบากใจ “ฉันเกรงว่า...เธอเป็นแค่ผู้ช่วย ถ้าอยากเข้าร่วมการออกแบบ ต้องผ่านความเห็นของท่านรองหลิน”
เหม่ยลี่หน้าเศร้าลง พยักหน้ารับรู้ “อ้อ”
ซือหยวนยิ้มให้กำลังใจ “ฉันรู้ว่าเธอมุ่งมั่น ฉันเข้าใจเธอนะ แต่ว่าบางครั้ง ต้องมีอย่างอื่นด้วย การทำงานมันซับซ้อน ต้องระวังให้มาก”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำเตือนของพนักงานสาวรุ่นพี่ “อื้อ ฉันจะระวังค่ะ”
“จริงสิ ในห้องเก็บข้อมูลมีหนังสือความเชี่ยวชาญ ไปยืมมาอ่านสิ ถ้าเธอเขียนภาพออกแบบได้ โพรเจกต์ใหม่นี้ ฉันจะผลักดันเธอเอง”
“ขอบคุณมากค่ะ” เหม่ยลี่ยิ้มออกมาได้ หยิบตำราออกแบบมาเปิดอ่านดูอย่างตื่นเต้น
ซือหยวนกลับไปทำงานต่อสักครู่หนึ่ง ยิวยิวก็ถือแฟ้มเอกสาร 2 เล่มเดินมาหา กระแอมเรียก พร้อมกับวางเอกสารที่เปิดอ่านก่อนหน้านี้ ถามอย่างแปลกใจ
“พี่ซือหยวน ข้อมูลโฆษณาที่พี่ต้องการ นี่มันของครึ่งปีก่อน พี่จะเอาไปทำไม”
“เปล่าหรอก ตรวจสอบข้อมูลนิดหน่อย” ซือหยวนยิ้มบอก
“โอเค ฉันไปทำงานก่อนนะ บ๊ายบาย”
ยิวยิวเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว ซือหยวนมองเอกสารนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด หยิบมาเปิดดู
ทางด้านอี้หมิงนั่งกระวนกระวายอยู่ที่มุมรับแขกในบ้าน เหมือนรอบางอย่างอยู่ สุดท้ายยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาดู พร้อมกับนับถอยหลัง
“5-4-3-2-1 6 โมง” เพราะ 6 โมงเย็น มันคือเวลาเลิกงานของพนักงานเทซีโร่ หมอหนุ่มหยิบมือถือบนโต๊ะมากดฝากข้อความถึงมี่เหม่ยลี่ทันทีด้วยสีหน้าร่าเริงบันเทิงใจ แอ็คติ้งน่าหมั่นไส้สุดๆ
“ยัยอ้วนวันนี้ เพราะว่าฉันผ่าตัดสามครั้งอย่างราบรื่น เพราะฉะนั้นหัวหน้าของฉันก็เลยให้รางวัลฉันโดยให้กลับบ้านก่อนเวลา จากนั้น ฉันกับเธอก็จะได้กินอาหารเย็นด้วยกันแล้วนะ จะบอกให้ ตอนเธอกลับมา ผ่านตลาดอย่าลืมซื้อผักมาด้วยนะ แล้วก็ เนื้อสัตว์ ใช่แล้ว ซื้อปลาสองตัว ตัวโตๆ นะ เพราะช่วงนี้ฉันค่อนข้างเหนื่อยอยากจะซักหน่อยบำรุงน่ะ”
เหม่ยลี่แหกปากร้องเรียกเอ็ดตะโรมาจากประตูบ้าน “นี่...ฉันกลับมาแล้ว เร็วๆๆ มารับหน่อย เร็วๆ เข้าสิ”
อี้หมิงหันไปมองงงๆ อะไรจะไวปานนี้ ทิ้งโทรศัพท์มือถือลงโต๊ะ กระโจนไปช่วยถือกล่องกระดาษในมือเหม่ยลี่อย่างดีอกดีใจ
“อ้าว ยัยอ้วน ยัยอ้วน ไม่เสียแรงเลยจริงๆ ฉันเพิ่งส่งข้อความไปให้เธอ ให้ซื้อผักเธอก็ซื้อผักกลับมาเลย ไม่ต้องซื้อมาเยอะก็ได้”
เหม่ยลี่เดินหอบเหนื่อยมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟายาวอย่างเหนื่อยล้า
อี้หมิงเปิดฝากล่อง กะว่าเจอผัก ปลา เนื้อ ที่สั่งแน่ๆ แต่ในนั้นมีแต่หนังสือ “เอ๊ะ ในกล่องมีแต่อะไรเนี่ย แล้วผักที่ให้ซื้อล่ะ”
“ใครว่าฉันจะซื้อผัก ไม่ได้จะทำกับข้าวซักหน่อย” เหม่ยลี่ว่า
“ฉันอยู่ข้างนอกตากลมตากฝน ไม่ให้ฉันกินข้าวซักคำเลยเหรอ” อี้หมิงโวยวายโมโหหิว
เหม่ยลี่ลุกไปหยิบกล่องมาวางลงบนโต๊ะกลาง “วันนี้ฉันต้องทำงาน ไม่มีเวลาทำกับข้าว”
อี้หมิงมองประเมิน ลงนั่งข้างๆ ถามเสียงอ่อยๆ “เพราะเซี่ยวเลี่ยงอีกแล้วใช่มั้ย เธอจะช่วยเขาเหรอ”
“ใช่” เหม่ยลี่หยิบตำราออกแบบ และเอกสารที่ยืมจากห้องเก็บข้อมูลบริษัทมาเปิดดู เจื้อยแจ้วบอก “ฉันจะเข้าร่วมการออกแบบโพรเจกต์ใหม่ในครั้งนี้ เพื่อนร่วมงานบอกว่าจะช่วยฉัน ฉันต้องคว้าโอกาสเอาไว้ ออกแบบผลงานเป็นของตัวเอง”
อี้หมิงหงุดหงิดแย่งหนังสือจากมือเหม่ยลี่ยัดคืนกล่อง “จะบอกให้ แค่อึดใจเดียวกินไม่หมดหรอก มุ่งมั่นก็ดี แต่ไม่ควรทำให้ตัวเองลำบากเพราะเซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่ย้อนแย้ง “ลำบากตรงไหนมันเป็นแรงบันดาลใจต่างหาก แรงบันดาลใจที่ดีฉันคิดดีแล้ว นับจากนี้ไปฉันจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อือ เหมือนกับเพชรเม็ดเบ้อเริ่ม ที่ทำให้ตัวเองส่องแสง ถึงจะปกป้องเซี่ยวเลี่ยงได้ จริงมั้ย”
อี้หมิงมองแล้วอึ้ง เตือนสติอีก “แบบนี้เรียกว่าฝืน ทำอะไรต้องค่อยเป็นค่อยไป เธอไม่รู้หรือไง”
เหม่ยลี่เถียงอีก “เป็นคนต้องรู้จักทะเยอทะยานสิ ในเมื่อฉันโม้ไปแล้ว ฉันก็ต้องทำให้มันเป็นจริงให้ได้”
อี้หมิงเหนื่อยใจ “เอาจริงเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” สาวจอมจุ้นลอยหน้าบอก
อี้หมิงคอตก ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ระคนน้อยใจ “ก็ได้ แล้วแต่เธอ”
“จริงเหรอเหลยอี้หมิง สุดยอดไปเลย” เหม่ยลี่มองเอกสารในมือ อย่างสนใจ “เอ๊ะ การอบรมจิวเอลรี นายช่วยฉันดูหน่อยแล้วกันถ้าอันไหนดีล่ะก็ ฉันจะไปสมัคร”
อี้หมิงทำเป็นหูทวนลม “ฉันสนับสนุน..ในด้านจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงแบบนี้”
“เสี่ยวหมิง...” เหม่ยลี่อ้อนสุดฤทธิ์ถึงกับเรียกประจบเอาใจว่า “หมิงน้อย” เลยทีเดียว
“ฉันมีแค่นายคนเดียวเท่านั้นนะที่เป็นเพื่อนรักอ่ะ” ฟังแล้วเหมือนจะดี๊ดี อี้หมิงหันมามอง พอได้ยินว่า
“ต้มบะหมี่ให้หน่อย”
“เฮ้อ...”
หมิงน้อยถอนใจเฮือกกุมขมับ อยากลาตายขึ้นมาทันที
แต่สุดท้าย นอกจากจะต้มบะหมี่ให้นางแล้ว หลายวันต่อมาอี้หมิงยังพาตัวเองมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่สถาบันออกแบบเครื่องประดับและอัญมณี ของอาจารย์แฟรงค์ ซึ่งกำลังสอนอยู่ในคลาส
“เอาล่ะทุกคน บทเรียนวันนี้เราจะค้างไว้ตรงนี้ก่อน กลับไปแล้วอย่าลืมฝึกฝนให้มากๆ อาทิตย์หน้าส่งการออกแบบให้ผมด้วยนะ กลับบ้านได้”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์” / “ขอบคุณครับอาจารย์” ลูกศิษย์ชายหญิงกล่าวขอบคุณ
“งั้นทุกคนรีบกลับบ้านเถอะ”
“แล้วเจอกันค่ะ” ลูกศิษย์ลุกเดินออกจากคลาสไป
“แล้วเจอกัน”
อี้หมิงพรวดเข้ามาดักหน้าจับแขนแฟรงค์ไว้แนะนำตัวเองท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่าย
“เอ่อๆๆ คุณคือนักออกแบบแฟรงค์ใช่มั้ย ผมเคยนัดคุณไว้ ผมแซ่เหลย เหลยที่แปลว่าฟ้าผ่าเหลยน่ะ”
“อ้อ” แฟร้งค์ชี้หน้ายิ้มให้ “ผมนึกออกแล้ว ที่จะช่วยเพื่อนสมัครเรียนออกแบบใช่มั้ยครับ”
“อ้อ ใช่ ผมอยากถามคุณ เธอ...”
“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ เพื่อนของคุณไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด ดังนั้นที่นี่...ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ต้องขอโทษด้วย”
แฟรงค์จะเดินหนี เหลยอี้หมิงหรือจะยอม “นี่ เธอมีพรสวรรค์จริงๆ เธอศึกษาเรื่องจิเอลรีด้วยตัวเอง ไม่ด้อยกว่าคนมีพรสวรรค์เลย จริงสิคือ…”
เหลยอี้หมิงก้มลงยุกยิกๆ อยู่ตรงเป้ากางเกง ทำท่าเหมือนจะเปิด แฟรงค์สะดุ้งตกใจ ขยับหนี
“นี่คุณ คุณจะทำอะไร”
“ขอโทษที” อี้หมิงหันไปล้วงหนีไปล้วงเอกสารที่ยัดไว้ในเสื้อตัวในออกมา “คือ ผมขโมย ไม่สิ ผมเอาความคิด ด้านการออกแบบของเธอมา คุณดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถอะนะ ดูก่อนเถอะ ผมขับรถมา รถติดมากเลย แถมยังตื่นแต่เช้าด้วยเพื่อเอานี่มาให้คุณ ดูหน่อยเถอะ”
หมอหนุ่มยัดกระดาษงานออกแบบของยัยอ้วนใส่มืออาจารย์นักออกแบบอัญมณี แล้วหยิบเอกสารของแฟรงค์มาถือให้
“ผมช่วยถือให้นะ”
แฟรงค์รับไปเปิดดูอย่างสนใจ อี้หมิงยื่นหน้าไปมองลุ้น “เป็นไง”
“เพื่อนคุณออกแบบจริงๆ เหรอ” แฟรงค์ถาม
อี้หมิงหน้าตาตื่น “ใช่ เยี่ยมมากใช่มั้ย”
“อ้อ แน่นอนสิ ถ้าพูดในมุมของคนที่ไม่มีพรสวรรค์ เธอเขียนออกมาได้ดีแบบนี้ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ขึ้นมาแล้วละ”
“แล้วไงต่อ”
“เอาอย่างงี้ ผมให้เป็นข้อยกเว้น จะรับเธอไว้เป็นนักเรียน”
“เยี่ยมไปเลย” อี้หมิงร้องลั่นหัวเราะร่า กระโดดกอดแฟรงค์อย่างดีใจ
“ขอบคุณๆ” แฟรงค์ทำหน้าเหยเกสยดสยอง
อี้หมิงละตัวออก “ผมพาเธอมาเลยนะ”
“เดี๋ยวๆๆ” แฟรงค์หยิบแฟ้มตำราคืนแล้วคืนงานออกแบบเหม่ยลี่ให้ “คืนนี่มาให้ผมก่อน อ้อ เอาอันนี้ไป เอ่อ มีอยู่เรื่องหนึ่ง ผมขอเตือนคุณไว้ก่อนนะ การศึกษาที่นี่ คือ...ค่าเล่าเรียนมันแพงมากพวกคุณคงต้อง...หารือกันก่อน ขอตัว”
อาจารย์แฟรงค์เดินออกไปแล้ว
อี้หมิงยกแขนร้อง “เยส” ดีใจเวอร์ๆ
นับจากนั้น ทุกวันหลังจากเลิกงาน เหลยอี้หมิงต้องไปรับมี่เหม่ยลี่มาเรียนออกแบบเครื่องประดับและอัญมณี ที่สถาบันของอาจารย์แฟรงค์ ร่วมกับหนุ่มสาวในคลาสราว 20 คน และคอยส่งสายตามองผ่านกระจกห้องเรียนไปให้กำลังใจยัยอ้วนของเขาที่ตั้งอกตั้งใจเรียนเอามากๆ คอยจดโน้ตช่วยจำลงสมุดบันทึกประจำตัวขณะฟังเลกเชอร์
รอนานชักเริ่มง่วง อี้หมิงเดินยืดแขนยืนขาไล่ความเหนื่อยล้า แต่สุดท้ายก็ฝืนไม่ไหว นอนกอดกระเป๋าของเหม่ยลี่หลับคาโซฟาหน้าห้องเรียนนั่นเอง
พอเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน อี้หมิงนั่งกำตะเกียบในมือข้างละอัน บ่นงึมงำท่าทางหิวซก อยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าแพนทรีเป็นที่น่าเวทนา ในขณะที่เหม่ยลี่กะลังทบทวนการเรียนออกแบบวันแรกอย่างคร่ำเคร่งอยู่ที่โซฟา
“ยัยอ้วน ฉันหิว ฉันหิวๆๆ”
เหม่ยลี่เก็บหนังสือลุกไปหา “ไปเถอะ”
อี้หมิงกระโดดลงมาหาอย่างดีใจ ดูนาฬิกาออเดอร์เมนูเองเสร็จสรรพ
“ไปไหนกินอะไรดี หมดเวลางานแล้ว ฉันอยากกินไก่ตุ๋นชามใหญ่”
“ไก่ตุ๋นเหรอ” เหม่ยลี่นึกได้ “หา ฉันลืมของไว้ที่บริษัทต้องกลับไปเอาขอโทษทีนะ”
เหลยอี้หมิงอยากจะหักคอยัยอ้วนจิ้มน้ำปลากินแก้หิวนัก
เหม่ยลี่เดินนำออกไป แถมยังมีหน้าหันมาบอกอีกว่า “ขึ้นไปเอาเสื้อแป๊บ”
จากนั้นนางก็วิ่งตึงตังขึ้นบันไดไป
อี้หมิงตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อทั้งหิวและเหนื่อยล้าง่วงงุน ขณะขับรถมาจอดหน้าทางเขาตึกเทซีโร่ ซึ่งโถงชั้นล่างเปิดไฟสว่างไสว มีรปภ.ยืนยาม 2 คนที่ประตูด้านใน
“ถึงแล้ว”
“ฉันขึ้นไปเอาข้อมูลก่อน”
“ทำดีต้องให้ถึงที่สุดฉันขึ้นไปส่ง” อี้หมิงบอก
“ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอก หิวไม่ใช่เหรอ เก็บแรงไว้เดี๋ยวฉันก็ลงมาแล้ว”
“เร็วๆ หน่อยนะ”
เหม่ยลี่ปลดเข็มขัดแล้วลงรถ “บ๊ายบาย” ให้อี้หมิงปิดประตูแล้ววิ่งจู๊ดไปเลย
“หิวนะ” อี้หมิงส่งเสียงตอกย้ำตามไป
เหม่ยลี่ขึ้นมาที่แผนกออกแบบ เดินมาเปิดโคมไฟที่โต๊ะทำงาน เก็บตำราที่กางอยู่บนโต๊ะเป็นแผงรวบรวมกันมากอดแนบอก ปลุกปลอบตัวเอง
“สู้ต่อไปมี่โตะ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินนำฉีหยูลงบันไดมาจากห้องทำงานชั้นบน มองมาเห็น จึงร้องถามพร้อมกับเดินเข้ามาหา
“ทำไมยังไม่กลับล่ะ
“คุณเซี่ยว เอ่อ...ฉันเพิ่งกลับมา” เหม่ยลี่บอก
“คุณกลับมาบริษัททำไม”
เหม่ยลี่ยื่นเอกสารให้ดู “ฉันมาเอาข้อมูลบางอย่าง”
เซี่ยวเลี่ยงมองดูแล้วถามอย่างแปลกใจ “นี่คุณ..เอาข้อมูลการออกแบบไปทำไม”
“เพราะว่าฉันอยากเข้าร่วมการออกแบบสินค้าใหม่ ก็เลย อยากศึกษาดู”
เซี่ยวเลี่ยงยิ่งงง “ออกแบบสินค้าใหม่ แต่ว่า เท่าที่ผมรู้ ผู้ช่วย..ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมนี่นา”
“ใช่ค่ะ ฉันเลยอยากจะลองดู ถ้าเกิดถูกเลือก ฉันอาจจะช่วยคุณได้” เหม่ยลี่ยิ้มภูมิใจ
“ช่วยผมเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงอึ้งอยู่ในเบื้องแรก จู่ๆ ก็หงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมา “ใครให้คุณวุ่นวาย นับจากนี้ไป หยุดการออกแบบทั้งหมดในมือคุณซะ อย่าให้ใครรู้ว่าคุณอยากช่วยผม เพราะเราไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน”
โดนด่าขนาดนี้ เหม่ยลี่ยังไม่ยอมแพ้ “แต่ฉันมุ่งมั่นมาโดยตลอด ฉันเชื่อว่าจะ…”
เซี่ยวเลี่ยงสวนออกมา แถมยังขึ้นเสียงใส่อย่างเดือดดาล “ผมไม่ได้หารือกับคุณ ผมออกคำสั่งในฐานะประธาน ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณ คุณไม่มีสิทธิ์คิดว่าจะช่วยผมได้”
รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป เหม่ยลี่ตาแดงๆ ไม่นานคงจะร้องไห้ มองตามเซี่ยวเลี่ยงที่เดินหุนหันออกไปด้วยแววตาน้อยใจ เสียใจสุดจะประมาณ ก่อนจะวางเอกสารในอ้อมกอดลงอย่างเหนื่อยล้า
ตอนดึก มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด มีรปภ. ยืนยามตรงประตูด้านในอาคาร 2 คน และประตูหน้าตึก อีก 2 นอกจากนี้ ยังมีรปภ. ยืนยามอยู่รอบๆ ตึกเทซีโร่ อย่างแข็งขัน
สองหนุ่มขึ้นรถที่หน้าตึกเรียบร้อย เซี่ยวเลี่ยงหลับตาลงเตรียมงีบระหว่างทาง ฉีหยูเอ่ยขึ้นเชิงตำหนิเจ้านายในท่าทีเกรงใจเรื่องดุด่าเหม่ยลี่จนเกือบร้องไห้ ขณะคาดเข็มขัด เตรียมสตาร์ตเครื่องยนต์
“คุณเซี่ยวไม่เห็นต้องดุขนาดนั้นเลย ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง และหวังดีต่อคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงลืมตาขึ้น บอกเจตนาที่แฝงเร้นในถ้อยคำดุด่าเมื่อครู่
“มี่โตะน่ะ ยังไร้เดียงสา ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่ง หลินจื่อเหลียงคิดไม่ดีกับเธอ นายช่วยดูหน่อย”
ฉีหยูมองหน้าเจ้านายผ่านกระจกมองหลังยิ้มทึ่ง “งั้นความหมายของคุณคือ คุณต้องการปกป้องเธอ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้า แล้วหลับตาลง ฉีหยูเข้าใจแจ่มแจ้งออกรถไปอย่างโล่งใจ
ในขณะที่รถแล่นเลี้ยวออกมายังถนนใหญ่ เซี่ยวเลี่ยงลืมตาขึ้นมามองเห็นเหลยอี้หมิงที่นั่งรอเหม่ยลี่อยู่ในรถพอดี
หมอหนุ่มค่อยๆ ยกมือที่บังหน้าลง มองตามรถเซี่ยวเลี่ยงไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด รับรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับยัยอ้วนของเขา ที่หายหัวไปจนบัดนี้เป็นแน่
เช้าวันต่อมา ซือหยวนรีบเข้ามาพบหลินจื่อเหลียงที่เรียกหาทันที เวลานี้ยืนก้มหน้านิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“ท่านรองหลินคะ”
จื่อเหลียงวางแฟ้มงานในมือลง เงยหน้ามอง “ตั้งแต่คุณทำผิดพลาด เพื่อนร่วมงานก็ไม่ให้ความร่วมมือ ถูกรังแกแบบนี้คงรู้สึกไม่ดี”
“ฉันทำงานไม่รอบคอบ ทำให้คุณผิดหวัง”
“ทำผิดพลาด เป็นกันทุกคนนั่นแหละ คราวหน้าก็ทำให้ดี จะได้ไม่โดนตำหนิ”
“ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะพยายามให้มาก”
จื่อเหลียงยิ้มพอใจ พยักหน้าให้ก่อนจะหยิบแฟ้มงานแผนโฆษณาของเหม่ยลี่ไปให้
“อ่ะ ดูการวางแผนอันนี้ เป็นฝีมือมี่โตะ”
ซือหยวนรับมาแล้วเปิดดูทันที จื่อเหลียงถามขึ้น “เป็นไง”
ซือหยวนแทบไม่อยากเชื่อ “มี่โตะเหรอ”
จื่อเหลียงพยักหน้าอีก “อื้อ”
“เธอทำเป็นได้ยังไง”
จื่อเหลียงเอ่ยขึ้นขณะลุกเดินออกมาจากโต๊ะ “สิ่งที่มี่โตะทำเป็น ไม่ใช่แค่การวางแผน”
เขามาหยุดยืนใกล้ๆ รอจนซือหยวนหันมาหา จึงเปิดฉากเสี้ยมทันที เพื่อดึงมาเป็นพวก
“จำครั้งก่อนที่คุณเกือบโดนไล่ออกได้มั้ย แค่เธอไปขอร้องประธานเซี่ยวคุณก็ได้อยู่ต่อ ที่ไปเกาหลี ทำไมเขาต้องพามี่โตะไป มันต้องมีอะไรแน่ๆ ตอนแรกผมอยากให้มี่โตะมาเป็นผู้ช่วยผม ไม่นึกว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยของคนอื่นไปแล้ว”
ซือหยวนคิดตามแต่ก็ยังไม่เชื่อ ย้อนแย้งออกไป “แต่มี่โตะไร้เดียงสามาก”
จื่อเหลียงเยาะหยัน เดินกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ
“ไร้เดียงสาเหรอ โลกนี้ยังมีคนไร้เดียงสาอีกเหรอ ใครๆ ก็เดินขึ้นที่สูงทั้งนั้น ทำไม คุณไม่อยากทำเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างงั้นค่ะท่านรองหลิน ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยตรวจสอบเอง”
จื่อเหลียงพยักหน้าพอใจยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาในสีหน้า ขณะที่ซือหยวนมีสีหน้าหนักใจ
กลับถึงห้องพักค่ำคืนนั้น ซือหยวนในชุดเตรียมเข้านอน นั่งตรวจเช็คแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ของเหม่ยลี่ที่จื่อเหลียงให้มา อยู่ที่มุมนั่งเล่นข้างเตียงในส่วนห้องนอน บนโต๊ะกลางตรงหน้ากางโน้ตบุ๊กเปิดใช้งานอยู่
ซือหยวนพิมพ์เสิร์ชค้นข้อมูล ตรวจสอบอย่างละเอียด และใช้ปากกาเขียนเป็นไฮไลต์ไว้เทียบกัน ขณะเปิดเข้าไปดูข้อมูลแผนงานดังกล่าวจากเว็บไซต์ของบริษัทแอล
เครื่องกำลังประมวลผลช้าๆ และสำแดงให้เห็นชื่อเจ้าของผลงานคือ “มี่เหม่ยลี่” ภาพใบหน้ายัยอ้วนของเหลยอี้หมิงก่อนศัลยกรรม กำลังปรากฏขึ้นบนจอ จากศีรษะเรื่อยลงมาเห็นดวงตา
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงด้วยวิธีผิดปกติ ซือหยวนสะดุ้งเงยหน้าจากจอมองไปยังประตูลุกขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อมีชายชุดแดงท่าทางดูออกว่าไม่ใช่คนดี เดินเข้ามาในห้อง พร้อมลูกกระจ๊อกชุดดำอีก 3 ตัว
“บ้านสวยดีนี่” ชายชุดแดงมองสำรวจห้อง
ซือหยวนยืนเหรอหรา ถามออกไปด้วยความตกใจ
“พวกคุณเป็นใคร ใครให้พวกคุณเข้ามา”
ชายชุดแดงหยิบแอปเปิ้ลตรงโต๊ะทานอาหารติดมือ เดินเข้ามาหา ลูกกระจ๊อก ยืนคุมหลับเป็นแผง
“ขอถามหน่อย จูเซียนหนานอยู่ที่นี่เหรอ” ชายชุดแดงถาม
ซือหยวนอึกอัก “เขาไม่...เขาไม่อยู่”
“ไม่อยู่” ชายชุดแดงไม่เชื่อ “ฉันจะบอกให้ มันไปเล่นการพนันที่คาสิโนจูหลง ติดหนี้ฉันสองแสน นี่ ไปเรียกมันออกมา”
“เล่นการพนัน” ซือหยวนพึมพำด้วยความตกใจ แต่ไม่เชื่อ “เขาเล่นการพนันไม่เป็น พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว”
ชายชุดแดงรำคาญเริ่มชี้หน้าข่มขู่ “ไม่ต้องพูดมาก เร็วๆ เข้าสิ ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจ”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาอยู่ไหน”
“ไม่รู้เหรอ เฮอะ” นักเลงชุดแดงหันไปพยักพเยิดกับบรรดาลูกน้อง แล้วพากันหัวเราะอย่างขบขัน
“เธอบอกว่าไม่รู้ว่ะ” ชายชุดแดงยื่นแอปเปิ้ลในมือให้ลูกกระจ๊อกคนหนึ่งช่วยถือ แล้วล้มโต๊ะกลางอย่างรุนแรง ยังผลให้ร่างซือหยวนกระเด็นไป ดีที่มีโซฟารับไว้ โน้ตบุ๊กกระเด็นไปหล่นบนเตียงนอน ส่วนแฟ้มงานตกเกลื่อนพื้น
“ไม่รู้เหรอ” ชายชุดแดงตะคอก ซือหยวนผวาตัวก้มหน้าหลบ
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม พังสิ”
สิ้นคำสั่ง 3 นักเลงลูกน้องกระจายกันไปตามมุมห้อง หยิบจับข้าวของกวาดทิ้งลงกับพื้นตามอำเภอใจ
ซือหยวนตื่นตกใจเมื่อเห็น ลูกน้อง 1 ใน 3 กำลังหยิบกระเป๋าสุดหวงขึ้นมาจากที่แขวน ถลาเข้าไปแย่งคืน
“จะทำอะไร อย่าแตะต้องกระเป๋าฉัน เอามา...เอามา”
แต่ถูกชายชุดแดงจับเหวี่ยงกลับไปที่โซฟาแล้วชี้หน้าขู่อีก “ฉันจะบอกให้ นี่แค่สั่งสอน ฟังให้ดีนะ รีบบอกให้มันไปหาฉัน ไม่งั้นฉันจะมาอีก”
ไม่เท่านั้นมันยังยื่นหน้ากวนตีนกางมือมาขู่ใกล้ๆ ซือหยวนต้องเบือนหน้าหลบ จากนั้นมันก็หันไปถามลูกกระจ๊อกขำๆ
“สนุกมั้ย ไป”
นักเลงทั้ง 4 เตะข้าวของขวางทางตีน แล้วพากันเดินกร่างออกไป
ซือหยวนขวัญเสียกอดหมอนอิงไว้แน่น มองข้าวของเกลื่อนห้อง ก้มหน้าร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
ดึกมากแล้ว แต่ซือหยวนยังไม่กล้าหลับตานอน ดูออกว่าคงกลัวนักเลงทวงหนี้จะโผล่มาอีก ขยับลงมานั่งกอดกระเป๋าแบรนด์เนมก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นห้อง
ระหว่างนี้เซียนหนานโผล่เข้ามา เห็นสภาพห้องนอนก็ตกใจ รีบเข้ามานั่งลงถามอาการ
“ที่รัก เกิดอะไรขึ้น มันทำร้ายคุณใช่มั้ย”
ซือหยวนเงยหน้านองน้ำตามามองอย่างเจ็บช้ำ เซียนหนานจับประคอบใบหน้าถามอย่างห่วงใย
“นี่ เจ็บตรงไหน เจ็บมากมั้ย”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ซือหยวนสลัดหัวออก จ้องหน้าถามคนรักอย่างคับแค้นใจ “เล่นการพนันเหรอ คุณเล่นการพนันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ติดหนี้สองแสนงั้นเหรอ”
เซียนหนานหน้าเสีย รู้สึกผิดเต็มหัวใจ
“ฟังผมอธิบายก่อน ผมก็โดนหลอกเหมือนกัน พี่หลงบอกว่าจะพาผมไปเจอลูกค้า แต่พาผมไปบ่อนใต้ดิน ผมเลยอดไม่ได้เล่นสองตา”
“ไม่ต้องแก้ตัวอะไรอีกแล้ว คุณไม่มีเงินฉันทนได้ ฉันไม่ขอให้คุณร่ำรวยอะไร อย่างน้อยคุณก็มีความซื่อสัตย์” ซือหยวนอัดอั้นปล่อยโฮออกมาอีก “ฮือๆ ฉันมองคุณผิดไป ฉันผิดหวังในตัวคุณมาก”
“ไม่ ที่รัก ผมจะไม่เล่นอีกแล้ว” เซียนหนานลูบแขนปลอบยกนิ้วขึ้นสาบาน “ผมสาบาน จะไม่เล่นอีกแล้ว”
ซือหยวนไม่อยากฟัง วางกระเป๋าลุกขึ้น เซียนหน้างง จับมือคนรักไม่ยอมปล่อย
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันจะเลิกกับคุณ ฉันทนมาพอแล้ว” ซือหยวนบอกเสียงสั่น ร้องไห้ไม่หยุด
“ที่รัก ให้โอกาสผมแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น” เซียนหนานจะสาบานอีก
ซือหยวนสะบัดตัวออก โพล่งออกมาอย่างสุดทน
“ฉันจะไม่ให้โอกาสคุณอีกแล้ว คุณต้องการอะไรกันแน่ ฉันทนคุณมานานแค่ไหน บอกว่าจะแก้ไข แต่ไม่เคยแก้ไขได้เลย ฉันเกลียดคุณ”
ซือหยวนร้องไห้ไป ตบตีตามเนื้อตัวอีกฝ่ายไป โดยที่เซียนหนานยืนนิ่งให้อีกฝ่ายระบายจนหนำใจ แล้วจึงคว้าร่างคนรักมากอดไว้แน่น
“ผมขอโทษ...ผมไม่เล่นอีกแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งได้มั้ย”
ซือหยวนฟาดตีแผ่นหลังระบายความขมขื่นต่อ “คุณรู้บ้างมั้ยว่าฉันรอมานานแค่ไหนแล้ว”
“ผมรู้ ผมทิ้งทุกอย่างได้ แต่ผมขาดคุณไม่ได้” เซียนหนานกอดซือหยวนแน่น
“เมื่อไหร่คุณจะได้เรื่องเหมือนคนอื่นเค้าซักทีนะ” ซือหยวนร้องไห้หนักมาก
เซียนหนานได้แต่เสียใจพร่ำบอก “ผมขอโทษ” อยู่อย่างนั้น
สองคนยืนกอดกันแน่นท่ามกลางข้าวของที่เกลื่อนกระจายไปทั้งห้อง
ซือหยวนมาถึงออฟฟิศในตอนเช้า ไล่โทร.ติดต่อเพื่อกู้เงินนำเงินมาช่วยคนรัก มีนามบัตรพวกปล่อยเงินกู้วางอยู่หลายใบบนโต๊ะ
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ คุณเสี่ยวหลิวใช่มั้ยคะ ฉันหลิวซือหยวนเป็นนักออกแบบ คืองี้ค่ะเพื่อนฉันอยากกู้เงิน ฉันขอปรึกษาหน่อย กู้สองแสนมีเงื่อนไขอะไรบ้าง หา อ้อ ฉันจะบอกเขา ขอบคุณค่ะ”
ซือหยวนค้นหาเบอร์โทร.เจ้าใหม่
เหม่ยลี่เดินถือแฟ้มเข้ามาหาเห็นว่าอีกฝ่ายยุ่งจึงวางให้ “ข้อมูลที่พี่ต้องการค่ะ วางนี่นะ”
“อ้อ ขอบใจนะ” ซือหยวนพยักหน้า แล้วหันไปดูนามบัตรต่อ
เหม่ยลี่แปลกใจ “เอ๊ะ ทำไมสีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลย”
“เอ่อ...เมื่อคืนนอนไม่พอมั้ง” ซือหยวนบอกยิ้มๆ พลางจับหน้าตัวเอง
เหม่ยลี่พยักหน้ารับรู้
ซือหยวนหันมาหา “จริงสิเธอมีเงินสดมั้ย”
“ทำไมคะ”
ซือหยวนลุกขึ้น ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ “ฉันหาบัตรเครดิตไม่เจอ ฉันอยากซื้อกระเป๋า เขาให้จ่ายเดี๋ยวนี้”
เหม่ยลี่อึ้งแต่ยินดีช่วย “ซื้อกระเป๋าเหรอ ฉันมี...เท่าไหร่เหรอ”
“เอ่อ ไม่มาก แค่แสนกว่า” ซือหยวนบอกราวกับเป็นเงินจิ๊บๆ
เหม่ยลี่ตาโตตกใจ “แสนกว่าเลยเหรอ เอ่อ ทำไมกระเป๋าแพงแบบนี้ล่ะ ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”
“แล้วเธอมีเท่าไหร่”
“รอแป๊บนึงนะ ช่วงนี้ฉันก็ต้องใช้เงิน” เหม่ยลี่เดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ ควักเงินมาให้ทั้งกระเป๋า “มีแค่นี้แหละค่ะ ไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า”
“พอแล้ว เอางี้ฉันคืนให้สองร้อย ที่เหลือฉันขอยืมก่อนนะ” ซือหยวนเบาเสียงลง “อีกอย่าง เธออย่าบอกใครนะฉันยืมเงินเป็นครั้งแรก ฉันอายน่ะ”
เหม่ยลี่ยิ้มรู้กัน “วางใจได้ฉันไม่บอกใครหรอก”
“ขอบใจนะ” ซือหยวนจับมือเหม่ยลี่เขย่าๆ แล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
เหม่ยลี่ยกเงินสองร้อยหยวนในมือแล้วเก็บคืนกระเป๋าไป “เฮ้อ...คิดซะว่าลดหุ่น”
วันต่อมา ยิวยิวส่งเสียงเชิงปรารภคล้ายไม่เชื่อขึ้น
“ไม่มั้ง เขายืมเงินคนอื่นจริงเหรอ ไหนบอกว่าบ้านเขารวยมากไง แถมยัง มีแฟนทำธุรกิจอีกต่างหาก”
สี่สาวแผนกออกแบบสุมหัวตั้งวงกาแฟ จับกลุ่มเม้าท์มอยเรื่องชาวบ้านอยู่หน้าแพนทรีอย่างออกรสชาติ โดยไม่รู้ว่า ซือหยวน เจ้าของเรื่อง ที่เพิ่งมาถึง ยืนฟังอยู่ด้านหลัง
หญิงผมยาวขาวสวยไม่อยากเชื่อ “จริงเหรอ”
ยิวยิวลอยหน้าบอก “จริงสิ”
“งั้นต้องเป็นเรื่องโกหกแน่” หนานหนานโมโห วางแก้วกาแฟ ปัง! “ถ้าเขารวยขนาดนั้นจริงๆ จะอยู่ชานเมืองเซี่ยงไฮ้เหรอ อีกอย่างนะ โม้เก่งแบบนี้ โม้จากต้าซิงอันหลินไปถึงกวงโจวได้เลยนะเนี่ย”
หนานหนานบุ้ยใบ้ไปที่โต๊ะซือหยวนแล้วหัวเราะเยาะ ยิวยิวหัวเราะผสมโรง
ซือหยวนยืนหน้าซีดขาวเป็นกระดาษฟังคนนินทาระยะเผาฝน
หญิงผมหยิกที่ยืนฟังมาแต่ต้น ไม่อยากจะเชื่อ
“คิดไม่ถึงเลย แผนกเราก็มีคนแบบนี้ด้วย ปากเงี้ยพูดแต่แชนแนลเอย แอร์เมสเอย เลิกงานแล้วก็ต้องไปยืนโหนรถไฟฟ้า กลับชานเมืองไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ทั้งสี่สาวแยกย้ายกันไป รับรู้การมาถึงของซือหยวนจากเสียงรอเท้าส้นสูแบรนด์หรูกระแทกพื้นอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ไม่มีใครสน
เหม่ยลี่เดินมาจากอีกทาง เห็นซือหยวนรีบเข้าไปหา คืนตำราให้
“พี่ซือหยวน ฉันเอาข้อมูลมาคืน
ซือหยวนไม่สนใจ จ้องหน้าด่าว่า “ทำไมต้องบอกคนอื่น”
เหม่ยลี่งงสิ รออะไร “บอกอะไร”
“เรื่องที่ฉันอยู่ชานเมือง และยืมเงินเธอ ฉันบ้าไปแล้วที่บอกเธอ ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ”
“ฉันไม่ได้บอกใครจริงๆ พี่เข้าใจฉันผิดแล้วพี่ซือหยวน”
“เธอต้องชดใช้กับการกระทำนี้”
ซือหยวนกระชากเอกสารมาอย่างแรง เดินหนีไปที่โต๊ะทำงาน
เหม่ยลี่ตกใจ วิ่งตามไปอธิบาย
“พี่ซือหยวน ฉันไม่ได้พูดจริงๆ พี่เข้าใจผิด ฟังฉันอธิบายก่อน”
ซือหยวนไม่ฟัง โกรธสุดขีด ฟาดหนังสือในมือกวาดของบนโต๊ะใส่เหม่ยลี่ หันมาจ้องหน้าอย่างอาฆาตแค้น แล้วเดินหนี
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว”
ทุกคนในแผนกหันมามองเป็นตาเดียว
เหม่ยลี่ยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดลงเก็บคู่มือออกแบบและอีกแฟ้มที่กางออกอยู่ล่างสุด แล้วต้องตะลึงเมื่อพบว่าหน้าแรกของแฟ้มดังกล่าวเป็นบันทึกการใช้โทรศัพท์ของเธอ ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจ
“พี่ซือหยวนตรวจสอบฉันทำไม ทำไงดี เหลยอี้หมิง ใช่ เหลยอี้หมิง”
คิดแล้วสาวเซี่ยงไฮ้จอมจุ้นก็กดโทร.หากุนซือ กรอกเสียงใส่สายทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ
“ฮัลโหล เหลยอี้หมิง นายมาแป๊บนึงได้มั้ย”
อี้หมิงในชุดกาวน์เพิ่งออกเวร คุยสายอยู่ตรงเคาน์ที่เสี่ยวเอ๋อเข้าเวรอยู่
“ยัยอ้วนอย่ากังวล เดี๋ยวฉันไปหา เอ้า ฝากเก็บด้วย” อี้หมิงถอดเสื้อกาวน์โยนให้เสี่ยวเอ๋อ แล้ววิ่งจู๊ดออกไปโดยไว
“คุณหมอเหลย” เสี่ยวเอ๋องงได้อีก
“โทษครับขอทางหน่อย”
อี้หมิงโลดแล่นไปโดยไม่เหลียวหลัง
สองคนนั่งคุยกันอยู่ในรถอี้หมิงที่จอดอยู่หน้าตึกเทซีโร่
“พี่ซือหยวนกำลังตรวจสอบฉัน ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย ฉันไม่ได้ทำละเมิดกฎซักหน่อย”
อี้หมิงฟังแล้วเครียด “เฮ้อ...บอกฉันมา มันเกิดอะไรขึ้น”
“เขาคิดว่าฉันเปิดเผยความลับของเขา บอกว่าจะให้ฉันชดใช้ เขามีแผนงานวางแผนของฉัน ตรวจสอบถึงบริษัทโฆษณาแอล แล้ว”
อี้หมิงยิ่งแปลกใจ “อะไรกันเนี่ย ไปอยู่ในมือเขาได้ยังไง”
เหม่ยลี่นึกขึ้นได้ เธอมารอพบเพื่อมอบเอกสารให้เซี่ยวเลี่ยง แต่กลับไม่กล้าเอาไปให้ จนมาเจอกับหลินจื่อเหลียงที่เดินเข้ามาพอดี
“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่า ฝากเอกสารไปให้คุณเซี่ยวได้มั้ยคะ”
“คุณเซี่ยวเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“อ้อ...ได้สิ”
“ขอบคุณนะคะ ลาก่อนค่ะ”
“ลาก่อน”
เหม่ยลี่นึกออกแล้ว ตกใจมาก
“แย่แล้วเหลยอี้หมิง กรณีวางแผนตอนแรกฉันจะเอาไปให้เซี่ยวเลี่ยงฉันฝากท่านรองหลินเอาไปให้ แสดงว่าเขาไม่ได้เอาไปให้เซี่ยวเลี่ยงเลย”
อี้หมิงปะติดปะต่อเรื่องราวแต่มีบางจุดที่คิดไม่ตก “ก็หมายความว่า คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคือรองประธานหลิน ทำไมต้องให้ความสนใจกับพนักงานเล็กๆ อย่างเธอ ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์เปลี่ยนไป ตัวตนเปลี่ยนไป แต่เธอทำงานอย่างแข็งขัน ทำไมเขาต้องตรวจสอบเธอด้วย”
เหม่ยลี่นิ่งคิด “ฉันนึกออกแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับคุณเซี่ยวไม่ดีมาโดยตลอด อีกอย่าง ท่านรองหลินถามฉันทุกครั้ง ว่าฉันกับคุณเซี่ยวมีความสัมพันธ์อะไรถามแบบนี้ทุกครั้งเลย”
อี้หมิงผ่อนลมหายใจ เครียดเลยทีนี้ “เธอฟังฉันนะ ถึงคนอื่นรู้เรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครคุกคามเธอได้ แต่ว่าถ้าเรื่องนี้เกี่ยวกับการแข่งขันภายในบริษัท ต้องไม่ดีแน่ ฟังฉันให้ดี ไปหาหลิวซือหยวนก่อน ดูว่าเขาจะทำอะไรค่อยมาหารือกันว่าจะจัดการยังไง ดีมั้ยยัยอ้วน อย่ายอมแพ้เด็ดขาด”
เหม่ยลี่“ใช่ ฉันยอมแพ้ไม่ได้กว่าจะได้รับโอกาสไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันต้องเป็นนักออกแบบจิวเอลรีให้ได้ ดังนั้นห้ามยอมแพ้เด็ดขาด”
อี้หมิงปลุกปลอบและให้กำลังใจ “ยัยอ้วน จำไว้ ไม่ว่าเวลาไหน ก็มีฉันอยู่”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอากำลังใจ “อื้อ”
ตอนค่ำวันนั้น ซือหยวนถือซองใส่เงินเดินรีบร้อนเข้ามาหยุดยืนหน้าห้องที่นัดหมายไว้
มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น ซือหยวนหยิบมือถือจากกระเป๋ามาดูเห็นชื่อ “มี่โตะ” โทร.มา จึงไม่รับ เก็บคืนกระเป๋า มองถุงเงินในมือ สูดลมหายใจลึกๆ รวบรวมความกล้า แล้วเปิดประตูเข้าไปด้านใน
เมื่อเปิดเข้าไป ซือหยวนพบว่ามันเป็นห้องจัดเลี้ยงวีไอพีส่วนตัว มีชายฉกรรจ์กินดื่มกันอยู่ 3 คน สมุนอีก สองคนยืนดูแลคอยรับใช้อยู่
ชายชุดแดงที่ไปทวงหนี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น บ่นบ้าออกมา “รอนานแล้วนะ”
เซียนหนานยืนกระวนกระวายอยู่ หันมาเห็นซือหยวนรีบวิ่งมารับ “ทำไมเพิ่งมาล่ะ มาๆ เร็วเข้า”
หลง พี่ใหญ่หัวหน้าแก๊งบ่น “หมดไปหลายลังแล้วนะเนี่ย”
เซียนหนานพาซือหยวนมาที่โต๊ะแนะนำสองคน “พี่หลง เธอคือแฟนผม...ทักทายพี่หลงสิ”
ซือหยวนทักทายเสียงเบา “หวัดดีค่ะพี่หลง”
หลงกวน “เรียกพวกนายเหรอ”
“ไม่ได้ยินเลย” ชายชุดแดงตะโกนขึ้น
เซียนหนานรีบบอก “เงินๆ”
ซือหยวนยื่นซองเงินให้ “พี่หลง ฉันเตรียมเงินไว้ให้แล้ว”
พอขยับจะลุกรับซองเงิน พี่หลงดันเส้นยึดร้องโอดโอย
“โอ๊ย ปวดหลังๆ ๆ”
ชายชุดแดงรับแทนมองซองเงินปราดเดียว ก็เงยหน้ามาถามอย่างไม่สบอารมณ์
“แค่นี้เหรอ”
“พี่หลง ให้เวลาแค่อาทิตย์เดียว ผมหาได้แค่นี้ จริงๆ พี่” เซียนหนานว่า
“นายเอาเงินแค่นี้มาหลอกพี่หลงใช่มั้ย” ชายชุดแดงยัวะ
หลงยกแขนปรามคนสนิท ลุกขึ้นชวนซือหยวนตามานั่งข้างๆ
“ช่างเถอะๆ เพื่อนใหม่พูดเรื่องเงินอะไรมาๆๆ นั่งลงก่อนสิ”
เซียนหนานเอาใจหลง บอกให้คนรักไปนั่งด้วย “ใช่ เพื่อนกันทั้งนั้นไม่เป็นไรหรอก นั่งข้างๆ พี่หลงเถอะ”
ซือหยวนไปนั่งอย่างไม่เต็มใจ ถูกหลงจับไหล่หมับ ยกแก้วเหล้าเพียวๆ มาให้
“ใช่ๆ มานั่งตรงนี้ มาๆ ทุกคนในที่นี้ ก็คือเพื่อนกัน มา ดื่มซักแก้ว”
ซือหยวนปฏิเสธ “พี่หลง ฉันดื่มไม่เป็น”
“เฮอะ” หลงหันไปทางลูกน้อง “เพื่อนใหม่บอกว่า ดื่มเหล้าไม่เป็น”
เซียนหนานกลัวจะมีเรื่อง รีบหยิบเบียร์บนโต๊ะมาดื่มแทน “พี่หลง...พี่หลง เธอดื่มไม่เป็นจริงๆ ผมดื่มแทนเอง”
ชายชุดแดงหันไปตบไหล่ส่งสัญญาณลูกสมุนที่นั่งติดกัน
“อ้อ เซียนหนานจะดื่มแทน อ้อ เขาอยากจะดื่มเหล้า”
สมุนดำหนึ่งเดินมาโอบไหล่พาเซียนหนานไปตรงมุมห้อง
“อยากดื่มใช่มั้ย มาๆๆ พวกฉันจะดื่มกับนาย”
สมุนชุดดำสองช่วยกัน “มาๆๆ”
จากนั้นสมุนทั้ง 3 ก็รุมตุ๊ยท้องเซียนหนานจนร้อง “โอ๊ยๆๆ”
“พี่หลง พอได้แล้วฉันดื่ม” ซือหยวนตกใจรีบหยิบแก้วมาดื่มจนหมด แต่สำลักเพราะไม่เคยดื่มเหล้า
เซียนหนานคุมแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ ถูกสมุนกดคออยู่
พี่หลงพอใจมาก “เธอทำถูกต้องแล้ว คืนนี้ดื่มกับพี่หลงให้เต็มที่เลย พวกนายดูสิ ดูชุดของเธอสิ เรียกอีกอย่างนึงว่า...เอ่อ ชุดสูทคอสเพลย์”
ชายชุดแดงลุกบอก “ไม่ใช่ พี่หลง เขาเรียกว่าชุดนักเรียนคอสเพลย์ คอซอง”
“คอซองเหรอ หา อันนี้ๆ เรียกคอซองใช่มั้ยเนี่ย” หลงยื่นมือมาจับเสื้อซือหยวนทำท่าจะเปิด
“จะทำอะไร” ซือหยวนตกใจ ปัดมือหลงออกแล้วกระโดหนี
ชายชุดแดงให้สัญญาณ “เพื่อนใหม่ไม่ให้เกียรติพี่หลงเลย”
เซียนหนานเลยโดนยำอีก “โอ๊ยๆๆ”
หลงทำเป็นเจ็บแทน “โอ๊ย เจ็บ”
ซือหยวนเห็นแล้วใจจะขาด รีบมาขอโทษหลง
“พี่หลง ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะลงโทษตัวเอง”
พร้อมกับว่าซือหยวนยกขวดเหล้าขึ้นมากรอกปากตัวเองดื่มทันที ดื่มจนหมดขวด เซียนหนานกองอยู่กับพื้นได้แต่มองสงสาร
พี่หลงปรบมือชอบอกชอบใจ สมุนทั้ง 4 ยกนิ้วโป้งชม ส่งเสียงเชียร์เซ็งแซ่
“ดีมาก” / “พี่หลงมีเกียรติ” / “พี่หลงมีเกียรติ”
“นั่งๆ มานั่งลงสิ มาๆ ดื่มต่อ”
ซือหยวนปรายตามองไปยังคนรักอย่างชอกช้ำใจ
“เฮ้ย นั่งลง ดื่มเลย” พี่หลงร้องบอก พวกสมุนพากันมะรุมมะตุ้มชนเหล้ากับซือหยวน เซียนหนานได้แต่โกรธตัวเอง ที่ช่วยอะไรซือหยวนไม่ได้
ซือหยวนดื่มหนักจนเริ่มเมา ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ นั่งบนเข่าอ้วกอยู่กับอ่างล้างหน้า พอค่อยยังชั่วจึงใช้แขนดึงตัวขึ้นไปมองกระจก ยิ้มหยันอย่างสมเพชเวทนาตัวเอง
ระหว่างนี้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจาก เหม่ยลี่ - มี่โตะ ซือหยวนหยิบจากกระเป๋ามารับสายอย่างรำคาญ
“ฮัลโหล มีอะไรจะพูดอีก”
เหม่ยลี่นั่งมาในรถที่อี้หมิงเป็นคนขับคุยสายไปด้วย
“พี่ซือหยวน พี่เข้าใจฉันผิด ฉันไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับใครเลยจริงๆ นะ คุยกันทางโทรศัพท์คงไม่รู้เรื่อง ฉันว่าหาโอกาสมาเจอกันดีกว่า”
ซือหยวนเหมือนนึกบางอย่างได้ “ก็ได้ งั้นเธอมาหาฉันสิ”
เหม่ยลี่ดีใจ “ตอนนี้เหรอ”
“ไป๋จิงหานกง ห้อง 777” ซือหยวนบอกแล้ววางสายไป
อี้หมิงรอจนยัยอ้วนวางสายจึงหันมาถาม “เขาว่าไง”
“นัดที่ไป๋จิงหานกง”
คุณหมอนักรักรู้จักดี “ร้านเหล้าเหรอ มั่วสุมจะตาย ไม่ต้องไป”
“นายเคยไปบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพี่ซือหยวนก็อยู่ ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นฉันไปด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ถ้ามีปัญหาอะไรฉันจะโทรหาทันที”
อี้หมิงจึ๊ปากฮึดฮัด “ก็ฉันเป็นห่วงเธอนี่”
“นายติดจีพีเอสที่โทรศัพท์ฉันแล้วนี่”
“งั้นระวังตัวด้วยมีปัญหาโทร.มาเลย”
เหม่ยลี่พยักหน้าบอก แต่สีหน้ากังวลไม่คลาย
ทางด้านซือหยวนซับหน้าเสร็จ จ้องหน้าตัวเองในกระจก
สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อกลับเข้าไปในห้องอันน่าขยะแขยงนั้นอีก
เหม่ยลี่เดินเข้ามาด้านในตึก มองหาห้อง 777 ที่นัดไว้ เดินเข้าไปด้านใน
ภายในห้องจัดเลี้ยงซือหยวนถูกบังคับให้เต้นรำอยู่กับพี่หลง โดยที่ลูกสมุนขนาบคุมตัวเซียนหนานอยู่ข้างละคนพร้อมกระทืบ
เหม่ยลี่เปิดประตูเข้ามาเห็นสภาพห้องแล้วถึงกับชะงักกึก
ซือหยวนหันมาเห็นพอดี รีบเดินมารับจะดึงไป “เฮ้อ มาแล้วเหรอ เข้ามาสิ”
เหม่ยลี่ขืนตัวไม่ยอมไปด้วย ถามออกไป “พวกเขาเป็นใคร”
“อ๋อ เป็นเพื่อนฉันเอง อยากดื่มกับเธอ ไม่ถือสาใช่มั้ย”
เหม่ยลี่แปลกใจ “แต่วันนี้ฉันมาเพื่อ…”
ซือหยวนทำทีเป็นโกรธ “ไหนบอกมีเรื่องจะคุยกับฉัน แค่ความจริงใจก็ไม่มีเหรอ”
พี่หลงรอนานจนเซ็ง ตะโกนมาเรียกสองสาว “เอ่อๆ เพื่อนใหม่มาแล้ว มานั่งคุยกันสิ”
“เขาชื่อพี่หลง เป็นเพื่อนฉัน ถ้าไม่ให้เกียรติเขา ก็เหมือนไม่ให้เกียรติฉัน”
ซือหยวนจับตัวเหม่ยลี่พาเดินไปที่โต๊ะจนได้ และให้เหม่ยลี่นั่งติดกับหลง ส่วนตัวเองขยับออกมา เซียนนานมองงงๆ เพราะไม่รู้จักและไม่เคยเจอหน้าเหม่ยลี่
“นั่งก่อน เพื่อนใหม่ หน้าตาสวยดีนี่” พี่หลงยิ้มกริ่ม จ้องเหม่ยลี่ตาเป็นมัน หยิบเหล้ามายื่นให้ “อ่ะมาๆๆ ดื่มซักแก้วสิ” เหม่ยลี่ไม่ยอมดื่ม หลงหันไปส่งสัญญาณให้สมุนซ้อมเซียนหนาน “ไม่ให้เกียรติอีกแล้วว่ะ”
“พี่หลง เธอจะดื่มค่ะ” ซือหยวนตกใจรีบรับแก้วมา ส่งสายตาขอร้องแกมบังคับให้เหม่ยลี่ดื่ม “มี่โตะ ใช่มั้ย”
หลงส่งเสียงเชียร์ “ดื่ม”
สมุนทุกคนเชียร์ตาม “ดื่มสิๆ”
สมุนชุดแดงเห็นเหม่ยลี่นั่งนิ่งไม่รับแก้วมาดื่มสักทีก็ไม่พอใจ “หา มีปัญหาเหรอ”
เซียนหนานลุกขึ้นแต่ถูกกระชากลงนั่งตามเดิม
“พี่หลง ดื่มมาเยอะแล้ว แยกย้ายกันก่อนดีมั้ย”
“แกหาข้ออ้างอีกแล้วเหรอ” หลงโกรธจัด เหลียวขวับไปด่าเซียนหนาน ก่อนจะกระชากแก้วในมือซือหยวนมาบังคับให้เหม่ยลี่ดื่ม “ฉันจะบอกให้ ถ้าวันนี้เธอไม่ดื่มเหล้าแก้วนี้ อย่าคิดจะออกไปเลย ดื่มสิ ดื่ม ฉันบอกให้ดื่ม”
เหม่ยลี่ขัดขืนเมื่อหลงจ่อเหล้ามาตรงหน้า
“ทำอะไร”
หลงสั่งเสียงดัง “ฉันบอกให้ดื่ม”
โดยไม่มีใครคาดคิด เหม่ยลี่หยิบแก้วมาสาดเหล้าใส่หน้าหลงจังๆ ลูกพี่ใหญ่
สมุนชุดแดงรีบเข้ามาคอง “เฮ้ย พี่หลง”
หลงโกรธสุดขีด ประกาศกร้าว “กล้าสาดใส่ฉันเหรอ ใครก็ห้ามออกไปจากที่นี่”
เหม่ยลี่อาศัยช่วงชุลมุนลากแขนซือหยวนจะวิ่งออกไป ลูกสมุนมากางแขนขวางไว้
“พี่หลงๆ จะไม่มีใครออกไปแน่ ผมจะดื่มกับพี่” เซียนหนานคิดปราด ถ่วงเวลาให้สองสาว ยกเบียร์ขวดใหญ่ตรงหน้า ฟาดเข้าหัวหลงเต็มแรง ขวดแตกกระจาย
หลงแหกปากร้องลั่น “โอ๊ย”
สมุนทุกคนละตัวจากสองสาวมารุมซ้อมเซียนหนาน
สมุนชุดแดงมาดูอาการลูกพี่ เห็นพี่หลงเลือดอาบก็ยิ่งแค่น
“พี่หลง ไม่เป็นไรใช่มั้ย จัดการมัน”
ในจังหวะอันชุลมุนนี้เหม่ยลี่ลากแขนซือหยวนวิ่งออกห้องไปโดยไว
พ้นห้องออกมาได้ เหม่ยลี่ชะงัก มองหาทางหนี สุดท้ายชี้ไปทางหนึ่ง “ทางนี้”
สองสาววิ่งมาหลบอีกทาง เพื่อดูสถานการณ์ ซือหยวนจะกลับไปช่วยคนรัก
“ไม่ได้ ฉันต้องกลับไป เขาต้องตายแน่”
เหม่ยลี่ๆม่ยอมให้ไป “พี่อย่าไป พวกเขาไม่ปล่อยพี่ไปแน่”
สมุนชุดแดงกุมหัวห้ามเลือดให้หลงอีกคนหิ้วปีกอีกข้าง ลูกกระจ๊อกสองคนวิ่งตามมา ทุกคนวิ่งไปที่ประตูทางออก
“เร็วเข้าๆ พี่ใหญ่ทางนี้”
“ไป”
เสียงเงียบไปแล้ว ซือหยวนหันมาด่า โทษว่าเป็นความผิดเหม่ยลี่
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาคงไม่ถูกตี”
เหม่ยลี่หน้าเสีย “ฉันแค่อยากช่วยพี่”
“ฉันไม่ต้องการให้ช่วย ฉันรู้ เธอดูถูกฉันตั้งแต่แรกแล้ว ถึงฉันเป็นขอทาน ก็ไม่ต้องมาให้ทานฉัน”
เหม่ยลี่ใจหาย “พี่ซือหยวน พี่เข้าใจฉันผิดนะ”
“เธอไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเกลียดหน้าที่เสแสร้งของเธอ ตั้งแต่เธอหักหลังฉัน ฉันก็ตัดขาดกับเธอแล้ว”
ซือหยวนสะบัดหน้าวิ่งกลับไปทางห้องจัดเลี้ยงเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว
เหม่ยลี่หน้าเศร้าเครียดจัด เรื่องระหว่างเธอกับเพื่อนรุ่นพี่ยิ่งเลวร้ายลงไป
ซือหยวนวิ่งมาหยุดหน้าประตูมองหา จนเห็นร่างคนรักนอนตัวงออยู่ที่พื้นห้อง รีบวิ่งไปโอบประคองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“เซียนหนาน...เซียนหนาน...เซียนหนาน”
เซียนหนานพลิกตัวขึ้นมาใบหน้าบวมช้ำ ปากแตกมีเลือดซึม เจ็บระบมไปทั้งร่าง “โอ๊ย”
“เซียนหนานคุณไม่เป็นไรนะ”
เซียนหนานหอบแฮ่กๆ “ที่รัก วันนี้ผมแมนมั้ย”
ซือหยวนหัวเราะพยักหน้าให้ “แมนมาก”
“คุณคงลำบากมาก ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีบ้านไม่มีรถ แต่ใครก็ห้ามรังแกเมียผม ใช่มั้ย โอ๊ย”
ซือหยวนจับปากดูให้ “เจ็บมั้ย”
“เจ็บสิ” เซียนหนานฝืนหัวเราะ
ซือหยวนร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม โอบประคองคนรักไว้
เซียนหนานกอดตอบใช้มือปาดเช็ดน้ำให้ “ไม่ร้องนะ”
สภากาแฟในแผนกออกแบบเปิดประชุมตอนเช้าวันต่อมา ด้วยวาระเดิม เรื่องของซือหยวน
ยิวยิวจิบกาแฟ รีบวางแก้วแทบ “อะไรนะ เขาไปกู้เงินนอกระบบเหรอ”
เหม่ยลี่เดินเข้ามาในแผนก สะดุดหู หยุดกึก หันมาทางเสียงซึ่งมีจุดเกิดเหตุตรงเคาน์เตอร์แพนทรี
หนานหนานลุกขึ้นเม้าท์อย่างสะใจ “ใช่แล้ว ไม่งั้นจะรู้ได้ไงว่าบ้านเขาจน นี่ เพื่อนฉันที่ปล่อยเงินกู้บอกว่า บ้านเขาแสนจะธรรมดาอยู่แถวชานเมืองเช่าอยู่ด้วยนะ ค่ามัดจำก็ไม่มี”
หญิงชุดเขียวยังไม่อยากเชื่อเช่นเคย “พระเจ้า ถ้าเธอไม่บอก เราก็คิดว่าเขาเป็นเศรษฐีนีอยู่นะเนี่ย”
ยิวยิวพยักเพยิด “ใช่แล้ว”
เหม่ยลี่กระจ่างแจ้งเดินปรี่เข้ามาสามสาว จ้องหน้าหนานหนาน
“เธอเป็นคนเอาเรื่องพี่ซือหยวนมาพูดเหรอ”
ยิวยิวกับสาวชุดเขียวรีบยกกาแฟขึ้นมาจิบ หนานหนานไม่สะทกสะท้าน สวนกลับ
“ทำไม เขาทำได้ฉันก็พูดได้ ฉันพูดเรื่องจริง”
เหม่ยลี่โกรธ “นั่นมันเรื่องของคนอื่น ทุกคนต่างก็มีความลับ เธอไม่มีสิทธิ์เอาเรื่องของคนอื่นมาพูด”
หนานหนานหมั่นไส้ “นี่มี่โตะ พวกเธอมีความสัมพันธ์อะไรกัน เธอจะกังวลไปทำไม”
“เขาเป็นเพื่อนฉัน” เหม่ยลี่บอก โดยไม่รู้ว่าซือหยวนเดินสีหน้าอิดโรยเข้ามาในแผนกได้ยินพอดี
หนานหนานยิ้มเยาะ “เพื่อนเหรอ เธอประจบเขาทุกวันเพราะความเป็นเพื่อนงั้นเหรอ มิตรภาพของเธอราคาถูกไปหรือเปล่า”
เหม่ยลี่ขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ “เธออย่าพูดเกินไปได้มั้ย พี่ซือหยวนช่วยเธอมาตลอดนะ”
เซี่ยวเลี่ยงซึ่งเดินเข้ามาไล่ๆ กับซือหยวน ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรก็ไม่พอใจ เดินเข้าดุ
“เวลาทำงานห้ามจับกลุ่ม ห้ามเสียงดังด้วย”
เหม่ยลั่นไปมองอึ้งๆ ทุกคนเงียบทันที หนานหนานหันไปฟ้อง “คุณเซี่ยว มี่โตะมาหาเรื่องก่อนนะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงมองหน้าเหม่ยลี่ “คุณเหรอ”
เหม่ยลี่จะอธิบาย “ใช่ค่ะ แต่นั่นเป็นเพราะว่า…”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบทไม่ฟัง “ผิดก็คือผิด ผมไม่อยากฟังคำอธิบาย” ซีอีโอหนุ่มหันมาทางยิวยิวกับหนานหนาน “มี่โตะเป็นเด็กใหม่ ไม่รู้กฎของบริษัท แต่พวกคุณทำไมยังละเมิดกฎ มีปัญหาต้องถามคนเก่าก่อน ถ้าแม้แต่กฎก็ยังไม่รู้แล้วจะทำงานยังไง พิจารณาด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงขึ้นห้องทำงานไปพร้อมฉีหยู เหม่ยลี่มองหน้าทั้งสามคนแล้วเดินไปที่โต๊ะ
หนานหนานบ่นงึมงำ “งานเข้าเลย”
ยิวยิวพยักพเยิดไปทางเหม่ยลี่อย่างแค้นเคือง “ฉันว่านะ คุณเซี่ยวลำเอียงออกนอกหน้าเกินไปแล้ว คงไม่หลงเสน่ห์นังนั่นหรอกนะ”
ซือหยวนซึ่งหลบมุมฟังอยู่ เดินแยกไปอีกทาง
ที่แท้ซือหยวนเข้ามาพบจื่อเหลียงในห้องทำงาน วางแฟ้มผลตรวจสอบเหม่ยลี่ให้บนโต๊ะ
“ท่านรองหลิน ข้อมูลที่ต้องการค่ะ”
“ตรวจสอบเป็นไงบ้าง” จื่อเหลียงเปิดซองหยิบเอกสารออกมาดู
“ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว บริษัทโฆษณาไม่เกี่ยวข้องกับมี่โตะ”
“แล้วคนที่ติดต่อกับเขา น่าสงสัยหรือเปล่า”
“ฉันตรวจสอบการสื่อสาร คนที่ติดต่อมีเพียงเพื่อน ทุกอย่างปกติดีค่ะ”
“จริงเหรอ” หลินจื่อเหลียงวางกระดาษรายงานลง เปลี่ยนเรื่องคุย “แต่ว่าช่วงนี้บริษัทมีข่าวลือเรื่องคุณไม่น้อย เป็นความจริงหรือเปล่า”
เห็นอีกฝ่ายเงียบก้มหน้านิ่งรองหลินก็รู้คำตอบ จึ๊ปากอย่างระอา “เฮ้อ...ความจริงผมก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่คิดไม่ถึงว่า คุณจะถูกคนอื่นเล่นงาน”
“ท่านรองหลิน ขอโทษค่ะ ฉันจะระวังตัว”
“งั้นก็ดี ไปเตรียมการประชุมการออกแบบสินค้าใหม่”
ซือหยวนเนื้อเต้น “คุณหมายความว่า การออกแบบสินค้าใหม่ จะให้ฉันรับผิดชอบเหรอคะ”
“อย่าเพิ่งดีใจไป การออกแบบสินค้าใหม่ไม่ใช่โพรเจกต์เล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรับผิดชอบ ผลลัพธ์จะต้องดีกว่าโพรเจกต์ของประธานเซี่ยว คุณทำได้มั้ย”
ซือหยวนรับคำอย่างมันใจ “ได้ค่ะ”
จื่อเหลียงเยื้อนยิ้มพอใจ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวค่ะ”
จื่อเหลียงพยักหน้าให้ “ไปเถอะ”
ซือหยวนโค้งลาแล้วเดินออกไป
ฝ่ายเหม่ยลี่ชงกาแฟเสร็จเดินถือแก้วมาหยุดตรงเคาน์เตอร์ นึกถึงคำพูดเซี่ยวเลี่ยง 2 ครั้งที่เหมือนปกป้องตัวเองแล้วยิ้มฟินอยู่อย่างนั้น
“มี่โตะเป็นเด็กใหม่ ถ้าแม้แต่กฎก็ยังไม่รู้แล้วจะทำงานยังไง”
และก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า “เข้าใจผิดแล้ว ผมแค่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเสีย”
ขณะที่เหม่ยลี่ยิ้มหัวจิบกาแฟอย่างรื่นรมย์อยู่นั้น ซือหยวนก็เดินเข้ามาหยุดมองเงียบๆ จนเหม่ยลี่รู้ตัว หันมายิ้มให้
“พี่ซือหยวน”
เห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่ดี ก็พอนึกออกว่าคงเป็นห่วงเซียนหนาน “เอ่อ...แฟนพี่เป็นไงบ้าง”
“ไม่ดีเลย อาจต้องรักษาตัวอีกหนึ่งสัปดาห์”
“พี่จะยกโทษให้เขาเหรอ”
“ไม่ยกโทษก็ไม่ได้ ฉันไม่เหมือนเธอหน้าตาสวย ถึงจะทำผิด ก็มีคนช่วยเธอ ฉันต้องใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเอง จริงสิ ฉันเอาเงินมาคืนให้เธอ”
ซือหยวนหยิบซองน้ำตาลข้างในใส่เงินวางให้
เหม่ยลี่เลื่อนคืน “อ้อ ไม่ต้องหรอก แฟนพี่อยู่โรงพยาบาลคงต้องการใช้เงินแน่”
“รับไปเถอะ” ซือหยวนเลื่อนไปให้ พร้อมกับวางแฟ้มบางอย่างลงตรงหน้า “ยังจำอันนี้ได้มั้ย ฉันไม่รู้ว่าเธอปิดบังอะไร และไม่อยากรู้ความลับของเธอ ไม่อยากเป็นหนี้เธอด้วย เราไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว”
“ฉันไม่เคยรู้สึกว่าพี่เป็นหนี้ฉัน เพราะเราเป็นเพื่อนกัน”
“เธอคิดผิดแล้ว เราไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่แรก ตอนนี้ไม่ใช่ อนาคตยิ่งไม่ใช่ นับจากนี้ไป เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดคิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
เห็นวี่แววเสียใจในแววหาซือหยวน ก่อนที่เธอจะก้าวฉับๆ เดินกลับโต๊ะทำงานไป
เหม่ยลี่กลับโต๊ะเช่นกัน นั่งพลิกแฟ้มแผนงานโฆษณาของบริษัทแอลดู สีหน้าเศร้า
อีกฟากหนึ่ง เกาเหวินหัวเราะร่าเริงออกมาขณะคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่ง เดินขึ้นบันไดคฤหาสน์จากน้ำพักน้ำแรงของเธอ โดยมีเจสันคอยเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย
“ไม่เจอกันไม่กี่วันก็ลืมฉันแล้วเหรอ ฉันรู้แล้ว วันนี้วันเกิดฉัน มาฉลองกันนะ อื้อ ได้ บ๊ายบาย”
เจสันเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ถามขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายกดวางสาย “เดี๋ยว เบบี๋โอเคแล้วเหรอ”
“โอเคอะไร”
เจสันตายิ้มแซว “เซี่ยวเลี่ยงไง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอโทร.หาผู้ชาย ไม่น่าเชื่อ”
“ใครว่าฉันโทร.หาเขาล่ะ”
“อ้าว เธอโทร.หาเซี่ยวเลี่ยงไม่ใช่เหรอ”
เกาเหวินยิ้มกระหยิ่ม “เขาสำคัญกว่าเซี่ยวเลี่ยงมาก”
เจสันหูผึ่ง “ใครเหรอ”
“มี่โตะไง” เกาเหวินบอก
“มี่โตะงั้นเหรอ” เจสันหัวเราะโล่งอก “ดีมากเลย”
เกาเหวินจะเข้าบ้านแต่นึกสงสัยหันมาจ้องหน้าผู้จัดการหนุ่มใจสาว
“หลายวันนี้นายเป็นอะไรเนี่ย ฉันโทร.หาใครเกี่ยวอะไรด้วย”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างงั้น ฉันหมายความว่า...”
“ขอตัว” เกาเหวินกดรหัสเปิดประตูหนีเข้าบ้านไปเลย
“เดี๋ยวสิ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ เบบี๋”
เจสันหันกลับมากดโทรศัพท์มือถือโทร. ออก ยืนรอสาย รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปจากใบหน้าของเขาจนสิ้น
“ฮัลโหล ที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง ฉันแน่ใจว่าเขากลับมาแล้ว สืบโปรแกรมการเดินทางของเขา อย่าให้เขาเจอกับเกาเหวินเด็ดขาด แค่นี้นะ”
เจสันวางสาย หันไปมองประตูแว่บเดียว แล้วเดินลงบันไดไป
ทันทีที่เจสันพ้นตัวไป ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดรัดกุมก็แสดงตัวออกมาจากที่ซ่อน เดินขึ้นบันไดคนละฝั่งกับเจสัน เหลียวมองไปยังประตูบ้านเกาเหวินนิ่งๆ
เกาเหวินยืนรอการมาถึงของใครบางคนอยู่อย่างตื่นเต้น จนกระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้น ซุปตาร์สาวในชุดเดรสสั้นสีแดงลายลูกไม้หวานเบรกความร้อนแรง รีบเปิดประตูให้
“อ้อ มาแล้วอ่ะ”
“ไฮ” กลายเป็นเหม่ยลี่ที่โผล่หน้าเข้ามา ไม่ใช่ชายคนเมื่อครู่นี้
“ฮัลโหล”
“สุขสันต์วันเกิดนะ” เหม่ยลี่กล่าวอวยพรขณะเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ในมือถือกล่องบางอย่างมาด้วย
“เข้ามาเร็วรออยู่ตั้งนานแน่ะ” เกาเหวินปิดล็อคประตู เดินตามมา
เหม่ยลี่ร้อง “ว้าว” มองรอบๆบ้านอย่างตื่นตา “นี่บ้านคุณเหรอเนี่ย สวยแล้วก็น่าอยู่มากเลย”
“เธอชอบเหรอ” เกาเหวินหันกลับมาหา “เอ๊ะ ถ้าเธอชอบย้ายเข้ามาอยู่กับฉันสิ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยอยู่กับใครเลย”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก ฉัน...ที่บ้านฉันเลี้ยงสุนัขไว้ตัวนึงฉันต้องดูแลมันทุกวันน่ะ”
เกาเหวินหน้าเศร้า
เหม่ยลี่ยิ้มร่าเริง “จริงสิ ฉันเห็นในเน็ต วันเกิดคุณผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องฉลองอีกล่ะ”
“อ๋อ ตอนนั้น บริษัทให้เปิดตัวฉันเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงแก้ไขวันเกิดของฉัน”
“อ๋อ มีอยู่เรื่องนึงฉันอยากจะบอกคุณก่อน ช่วงนี้ฉัน หมุนเงินไม่ค่อยทัน ฉันเลยไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้คุณ แต่ฉันสัญญาคราวหน้าจะชดเชยให้”
“ใครว่าไม่ได้เตรียมมา นี่คือของขวัญที่เตรียมให้ฉันไม่ใช่เหรอ อ่ะ เค้ก”
เกาเหวินยิ้มแฉ่งหยิบกล่องในมือเหม่ยลี่มาวางลนบนโต๊ะทานอาหารแกะกล่อง
“ตอนแรกฉันอยากจะซื้อก้อนใหญ่กว่านี้ แต่ว่า คุณไม่ต้องห่วงนะ ร้านนี้เป็นร้านที่ฉันชอบที่สุดเลยชิมดูสิ อร่อยมากเลยนะ”
เกาเหวินหยิบเค้กก้อนเล็กๆ ตกแต่งหน้าตาด้วยกลีบกุหลาบสีแดง ดูน่ารักและน่าทานจัด
“ว้าว สวยจังเลย ฮ้า ต้องอร่อยมากแน่”
เกาเหวินเป็นปลื้ม หยิบมีดตัดเค้กออกมา จะตักชิม แต่มีเสียงกริ่งดังมาจากหน้าบ้าน จึงบุ้ยใบ้มาทางเหม่ยลี่
“นี่ ไปเปิดทีสิ”
เหม่ยลี่วิ่งไปเปิดประตูให้ ชะโงกหน้าออกไปทักแขกคนสำคัญของซุปตาร์สาว
“หวัดดี”
พอแขกคนนั้นหันหน้ามาเผยตัวให้เห็นว่าเป็นเหลยอี้หมิง เหม่ยลี่ก็ต้องตกใจ พอๆ กับหมอหนุ่ม
“นายไปเดทไม่ใช่เหรอมาที่นี่ทำไม”
“เขาเรียกฉันมา เธออยู่นี่ได้ไง”
เหม่ยลี่เหลียวไปมองในบ้านกลัวเกาเหวินจะมาเห็นแล้วหันมาด่าอี้หมิง จับตัวให้รีบกลับไป
“นายตามฉันมาใช่มั้ย ฉันอธิบายกับนายชัดเจนแล้วนี่ ไปเลย กลับไปเลย ไป”
เกาเหวินเห็นหายไปนาน จึงเดินออกไปดู “หือ...ยังไม่เข้ามาอีก”
อี้หมิงขืนตัวสุดฤทธิ์ไม่ยอมกลับ “ฉันไม่ไปหรอก”
สองคนยื้อยุดกันอยู่ที่หน้าประตู แต่ต้องรีบปล่อยเมื่อเห็นเกาเหวินวิ่งออกกวักมือเรียก
“อื้อ มี่โตะ ทำอะไรกันอยู่ เข้ามาสิ เร็วๆๆ เข้ามาเร็ว”
“ขอบคุณ ไม่สิ” อี้หมิงเข้ามาในบ้านจนได้ ทำท่ากวนประสาทอย่างผู้ชนะ
เหม่ยลี่แค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ ปิดประตูแล้วรีบวิ่งตามไป
เกาเหวินเชิญสองแขกคนพิเศษ “นั่งสิ”
อี้หมิงลงนั่งติดกับเกาเหวิน “อื้อได้”
“นั่งก่อนนะ ฉันจะแนะนำให้รู้จัก” เกาเหวินแนะนำอี้หมิงให้รู้จักกับมี่โตะ “คนนี้ชื่อมี่โตะ เป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ส่วนคนนี้ชื่อ…”
อี้หมิงแนะนำตัวเองยื่นมือออกไปจับ “เหลยอี้หมิง หวัดดี”
เหม่ยลี่หันหลังมือไปจับ “ยินดี” พอรู้ตัวจึงยื่นมืออีกข้างไปจับ “หวัดดี” อี้หมิงดันหันหลังมือให้
สุดท้ายสองคนก็จับมือกันได้ด้วยดี “หวัดดี”
เกาเหวินหัวเราะขำ “ทำไมทำอย่างงั้นล่ะ ขาดไวน์ใช่มั้ย รอแป๊บนะ”
เหม่ยลี่โมโหด่าอี้หมิงทันทีที่ซุปตาร์สาวหายไปทางครัว “บอกแล้วว่าอย่ามา ถ้าเธอจับได้จะทำยังไง”
อี้หมิงกวนประสาทเล่น เลยถูกเหม่ยลี่ยเตะหน้าแข้งเต็มแรง
“ฉันอยากไปไหนก็ได้มันเรื่องของฉัน...โอ๊ย”
เกาเหวินกลับเข้ามาพอดี เหม่ยลี่หันไปฉีกยิ้มให้ ส่วนอี้หมิงกุมแข้งเจ็บร้องโอดโอยอยู่
ซุปตาร์สาวมองฉงน “หือ เป็นอะไร”
“จู่ๆ ขาก็เป็นตะคริว...โอ๊ย” อี้หมิงแสดงอย่างสมบทบาท
เกาเหวินหัวเราะคิกคัก หยิบแก้วไวน์ที่เทเรียบแล้วยื่นให้ “อ่ะนี่”
อี้หมิงสลัดแข้งสลัดขา “ดูสิ หายแล้ว”
เกาเหวินหัวเราะขำ
“หายแล้ว”
เกาเหวินอารมณ์ดีสุดๆ หันมาทางเหม่ยลี่ “เธอรู้มั้ยเขาตลกมากเลย ฉันอยากแนะนำให้เธอรู้จักตั้งนานแล้ว”
เหม่ยลี่หัวเราะแค่นๆ พูดผ่านไรฟัน “ใช่ตลก”
“เขาเป็นหมอ เดาซิว่าอยู่แผนกอะไร”
“ดูท่าทางแล้ว” เหม่ยลี่ทำท่าคิด แกล้งตอบผิดกัดอี้หมิงไปในตัว “น่าจะเป็นจิตแพทย์”
เกาเหวินขำกลิ้ง ปิดหน้าหัวเราะคิกคัก
“คุณนี่สายตาดีจังนะ แต่อาการของคุณเนี่ย ผมจะค่อยๆ บอก” อี้หมิงถูกเหม่ยลี่กระทืบเท้ากดไว้ไม่ให้พูดมาก หมอหนุ่มหันไปทางเกาเหวิน “วันนี้วันเกิดคุณ ช่วงนี้ ผมหมุนเงินไม่ค่อยทันน่ะ ไม่ได้ซื้อของขวัญมาให้”
“วันเกิดของฉันลางไม่ดีเลยเหรอ พวกเธอต่างก็หมุนเงินไม่ทันทั้งคู่เลย”
หมอหนุ่มกับยัยอ้วนหันมามองหน้ากันแว่บหนึ่ง
เหม่ยลี่หัวเราะแหะๆ “บังเอิญจังเลย”
ส่วนอี้หมิงหัวเราะหึๆ “บังเอิญมาก”
ซุปตาร์สาวเจ้าบทบาทมองหน้าเหม่ยลี่ที อี้หมิงที ใช้ความคิด ถามออกไปว่า
“พวกเธอรู้จักกันแล้วหรือเปล่า”
สองคนประสานเสียงปฏิเสธดังลั่น “เปล่า”
เกาเหวินเหล่มองอย่างเคลือบแคลงใจ “ไม่ใช่มั้ง”
เหม่ยลี่ยิ้มอิหลักอิเหลื่อ
“ฉันรู้สึกว่าเธอสองคน”
เกาเหวินคาใจไม่หาย พยายามนึก สุดท้ายปรบมือ ชี้หน้าเหม่ยลี่อย่างดีใจ
“อ้อ...ฉันนึกออกแล้ว”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแขกคนพิเศษทั้งสอง สยองขวัญแค่ไหน?
อ่านต่อตอนต่อไป