xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก – Diamond Lover ตอนที่ 5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 5

เหลยอี้หมิงแบกมี่เหม่ยลี่เดินร้องเพลงมาตามทางบนสะพานลอย โดยคอยมองยัยอ้วนของเขาจากหางตาอย่างห่วงใยตลอดเวลา เหม่ยลี่อิงซบลงกับหัวคุณหมอเพลย์บอย ร่ำร้องอีกเพลงในหัวใจ ตัดพ้อเซี่ยวเลี่ยงผู้แสนเย็นชา และมองโลกในแง่ร้าย

“เพราะว่าฉันชอบคุณ คุณคงคิดว่าฉันไม่รู้จักเจียมตัว ทั้งที่เราอยู่กันคนละโลก แต่ทุกครั้งฉันก็ยังพยายาม พยายามจะเข้าใกล้คุณ ทำให้คุณหันมาสนใจ”

อีกฟากหนึ่ง งานเลี้ยงเลิกแล้ว เซี่ยวเลี่ยงยืนกอดอกมองไปยังเวทีสีหน้าเคร่งเครียด คล้ายกำลังนึกถึงการบอกรักและบอกลาของพนักงานสาวจอมจุ้นก่อนหน้านี้
“เพราะว่าฉันชอบคุณไง...คุณคงคิดว่าฉันพูดไม่เกรงใจใช่มั้ย เพราะว่าเราเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่ฉันก็ยังพยายามทุกอย่าง เพื่อจะได้อยู่ใกล้คุณ และทำให้คุณสนใจฉัน แต่คุณไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ฉันได้ตัดใจแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ตามรังควานคุณอีก ขอให้คุณมีความสุขเซี่ยวเลี่ยง”

สักครู่หนึ่งเกาเหวินเดินเข้ามายืนข้างๆ ยื่นขวดเครื่องดื่มให้
“มาดื่มให้กับการแสดงที่ราบรื่น” เกาเหวินเห็นสีหน้าเคร่งของอีกฝ่ายก็แปลกใจ “ไม่ดีใจเหรอ”
“แค่ธุรกิจ จะดีใจหรือไม่ สำคัญด้วยเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“ฮึ แน่นอน ทำธุรกิจก็ต้องหวังผลประโยชน์ คุณประสบความสำเร็จแล้ว คุณก็ต้องดีใจสิ”
“เดี๋ยวให้คนเตรียมสัญญา เขียนข้อผูกมัดที่เราต้องปฏิบัติ มันจะดีทั้งสองฝ่าย”
เกาเหวินฟังแล้วสะท้อนใจ “เฮ้อ...เดี๋ยวนี้มีความรักยังต้องทำสัญญาอีก คงไม่มีความรักที่บริสุทธิ์แล้ว”
“มีสิ” เซี่ยวเลี่ยงพลั้งปากออกไป
เกาเหวินมองหา “ไหนคะ”
“บางที...อาจจะมี”
เกาเหวินพยักหน้ายิ้มๆ “โอเค”
สองคนหันไปมองป้ายชื่องานบนเวที งานแถลงข่าวประกาศความสัมพันธ์ของเซี่ยวเลี่ยงและเกาเหวิน

เหม่ยลี่งัวเงียตื่นขึ้นมา คว้ามือถือตรงโต๊ะหัวเตียงมากดดูเวลา แล้วต้องตกใจสุดขีด ดีดตัวขึ้น แหกปากร้องโวยวาย วิ่งลงบันไดมาหน้าตาตื่น เพราะสายมากแล้ว
“ห๊าแย่แล้วๆ เหลยอี้หมิงฉันไปสายแล้ว เหลยอี้หมิงฉันไปสายแล้วๆ ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกเลย รีบช่วยฉันคิดหาวิธีเร็ว”
เหลยอี้หมิงไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน หอบเสื้อผ้าผ่านหน้าเหม่ยลี่เข้าไปซักกับเครื่องซักผ้าในห้องน้ำ บอกหน้าตาเฉย
“ไม่ต้องกังวลนาฬิกาปลุกเธอ ฉันเป็นคนปรับเองแหละ ฉันลางานให้เธอแล้ว”
เหม่ยลี่ฟังแล้วโมโห “นายปรับนาฬิกา แถมยังลางานให้ฉัน นายบ้าไปแล้วเหรอ”
อี้หมิงเดินออกมาพร้อมขวดน้ำยาซักผ้าในมือ สวนกลับ
“เธอน่ะสิบ้า ดูสภาพเธอสิ ดูตอนนี้ซิ เธอคิดว่าจะทำงานได้และกล้าเจอหน้าเซี่ยวเลี่ยงเหรอ”
หมอหนุ่มเทน้ำยาใส่ฝา ยกขึ้นทำท่าจะดื่มแล้วนึกได้ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“ได้อยู่แล้ว เขาคือเขางานคืองาน ตอนที่ฉันยังเป็นมี่เหม่ยลี่ ฉันยอมเสียงานเพื่อเขามาครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ฉันคิดดีแล้วฉันจะต้องลุกขึ้นสู้ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
เหม่ยลี่กำกำปั้นยกมืออวดว่าตัวเองสตรองสุดๆ
อี้หมิงตกใจวิ่งออกมาห้ามไว้ “ไม่ใช่ เดี๋ยวๆๆ เธอหมายความว่าเธอยังไม่ยอมแพ้เซี่ยวเลี่ยงเหรอ”
เหม่ยลี่ “ฉันจะมีชีวิตอยู่เพราะเขาไม่ได้”
อี้หมิงยิ้มกริ่ม “ยัยอ้วน ดีมาก ไม่เสียแรงที่ปล่อยให้เธอ...ร้องไห้แล้วเช็ดเสื้อของแฟนเก่าฉัน”
เหม่ยลี่หัวเราะแหะๆ
“เอาละ วันนี้พักผ่อนก่อนนะ กินข้าวก่อน” อี้หมิงยกจานแซนด์วิชที่เตรียมไว้ให้เดินไปทางโต๊ะทานอาหาร
เหม่ยลี่กางแขนเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“หือ” อี้หมิงงง หันมาหา อะไรอีกยัยอ้วน
เหม่ยลี่อธิบาย “ฉันชอบบริษัท ฉันชอบเพชร อนาคตฉันหวังว่า ฉันจะกลายเป็นนักออกแบบเพชร สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้บริษัทไม่ใช่มีเพียงเซี่ยวเลี่ยง แต่มีความฝันของฉัน ฉันจะทิ้งความฝันกับความรักพร้อมกันไม่ได้”
“ยัยอ้วน ดีมากที่เธอมีความมุ่งมั่น” อี้หมิงชอบใจมากลูบหัวชม “มีคำกล่าวที่ว่า เหวจากความทุกข์ไม่มีวันหันกลับ เธอจะต้องไปจากเซี่ยวเลี่ยงเธอถึงจะเจอชีวิตที่มีความสุข เข้าใจมั้ยเชื่อฟังฉันอยู่บ้านพักผ่อนดีกว่า พอหายจากอาการอกหักแล้วค่อยไปทำงาน ดีมั้ย”
เหม่ยลี่ขำ “ฮึ คิดว่าพ่อฉันผลิตที่ตอกบัตรหรือไง ให้ฉันพักได้ตามใจชอบเนี่ยนะ”
“เธอน่ะสิตลก บริษัทเขาไม่มีเธอแล้วทำงานต่อไม่ได้เหรอ”
อี้หมิงจะเดินไป แต่ต้องหันมาฟังเหม่ยลี่อีก “แต่ฉันจะใช้การทำงานมารักษาอาการอกหัก และความเจ็บปวดของฉัน ดังนั้นฉันต้องลุกขึ้นสู้ใหม่”
“เธอไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องคิดอะไร ฉันจะลางานอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอเองดีมั้ย ไม่ต้องซึ้งน่า” อี้หมิงยิ้มกริ่ม
“ทำไมฉันต้องซึ้งด้วย นายเป็นหมอนึกอยากจะลาก็ลาเหรอ ฉันต้องไปทำงาน” เหม่ยลี่จะขึ้นบันไดแต่นึกขึ้นได้ “ไม่ใช่สิ เสื้อผ้าฉันหายไปไหนหมดเนี่ย”
“ไม่เห็นเหรอ ฉันเอาเสื้อผ้าของเธอไปซักหมดแล้ว” อี้หมิงบุ้ยใบ้ไปทางห้องน้ำ “ฉันตื่นตั้งแต่ตีสามมาซักผ้าให้เธอทำไมเสื้อผ้าของเธอสกปรกอย่างนี้”
เหม่ยลี่อึ้ง “ฉันจะใส่ชุดไหนไปทำงาน”
อี้หมิงยกจานแซนด์วิชในมือขึ้น “เธอมีสองทางเลือก ข้อแรกทำตามที่กำหนด ข้อสองใส่ชุดคิดตี้ชมพูน่ารักไปทำงาน แล้วก็ไปทำงานอย่างมีความสุข กลับบ้านอย่างปลอดภัย”
“ดีมาก”
เหม่ยลี่คว้าแซนด์วิชทั้งสองจานเดินหนีขึ้นบันไดไปทันที
“สองจานนั้นมีของฉันจานนึงนะ นี่ยัยอ้วน จะกินคนเดียวเลยเหรอ ของฉันจานนึง”
อี้หมิงโวยวายปีนราวบันไดตามหลังไปแต่ต้องหยุดกึก
เมื่อเหม่ยลี่ตะโกนห้ามเสียงดัง

“ห้ามขึ้นมา ห้ามขึ้นมาเด็ดขาด”

อีกฟากหนึ่ง นักข่าวจอมเผือกไปดักรอสัมภาษณ์เซี่ยวเลี่ยงที่หน้าบริษัทเทซีโร่แต่เช้า ยื่นไมค์ไปถามทันทีที่ซีอีโอหนุ่มก้าวลงจากรถหน้าตึก ถามเซ็งแซ่

“รบกวนคุณตอบคำถามด้วยค่ะ”
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่คะ”
บอดี้การ์ดช่วยกันให้เซี่ยวเลี่ยงกับฉีหยูเข้าไปด้านใน โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์
“ห้ามเข้าครับๆๆ”

เซียวเลี่ยงเดินเข้ามาในห้องทำงานตรงไปยังโต๊ะแล้วเอ่ยกำชับผู้ช่วยขึ้นว่า
“มีนักข่าวเยอะขนาดนี้ เพิ่มรปภ. อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น”
“ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ สื่อต้องการสัมภาษณ์คุณ แถมยังมีปาปารัซซี่อีก ที่ห้องทำงานของเลขาเพิ่งเข้าทำงานก็มีคนโทร.เข้ามาแล้ว”
“ดีมาก งั้นก็รอผลการดำเนินงาน”
เซียวเลี่ยงพยักหน้ารับรู้เปิดแฟ้มงานตรงหน้าดูงานทันที
มีเสียงเคาะประตูขออนุญาตดังขึ้นเขาร้องบอกโดยไม่ละสายตาจากงาน
“เข้ามา”
ฉีหยูขยับออกไปหน่อย หลีกทางให้ซือหยวนที่เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ
“คุณเซี่ยว ท่านรองหลินให้เอามาให้ค่ะ”
“อ้อ วางไว้”
ซือหยวนวางแฟ้มแล้วจะออกไปเลย เซี่ยวเลี่ยงเรียกไว้จึงหันกลับมา
“เดี๋ยวก่อน คนที่ส่งเอกสารไม่ใช่คุณ มี่โตะไปไหน”
“เธอลางานค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว” เซียวเลี่ยงพึมพำอย่างแปลกใจ “หยุดเหรอ”
สวนกับซือหยวนที่พ้นประตูออกไป เลขาของเซี่ยวเลี่ยงเคาะประตู หยุดยืนรายงานอยู่ตรงหน้าห้องว่า
“ท่านประธานต้องการพบคุณค่ะ”
ฉีหยูหันมามองหน้าเซี่ยวเลี่ยงเห็นสีหน้าผู้เป็นนายไม่สู้จะดีนัก

เซี่ยวเจิ้นตงยืนหน้านิ่งรออยู่แล้วบนดาดฟ้าตึกเทซีโร่ หลินจื่อเหลียงยืนอยู่ข้างๆ ถัดมาทางด้านหลัง
เซี่ยวเลี่ยงเดินออกมา หยุดยืนทำใจอยู่พักเดียวก็เดินเข้ามาหา
“ท่านเรียกผมเหรอครับ”
เจิ้นตงหันมาจ้องหน้าลูกชายคนโตเขม็ง โดยไม่มีใครคาดคิด ประมุขแห่งเทซีโร่ตบหน้าลูกชายอย่างแรงเป็นผลให้เซี่ยวเลี่ยงหน้าหันไป
จื่อเหลียงรีบเข้าไปห้ามจับตัวเจิ้นตงไว้ “พ่อ พ่ออย่าใจร้อน”
เจิ้นตงชี้หน้าด่าเซี่ยวเลี่ยงอย่างรุนแรง “แกรู้มั้ยแกทำอะไรลงไป คราวก่อนฉันเตือนทำเป็นหูทวนลม”
จังหวะนี้จื่อเหลียงลอบมองเซี่ยวเลี่ยง ยิ้มในสีหน้าคล้ายสะใจเอาการ
“แกกล้ายอมรับความสัมพันธ์ของแกกับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าสื่อ แล้วคนอื่นจะมองบริษัทเรายังไง แกไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย”
“ผมจำได้ ผมเคยรายงานกับคุณแล้ว เรื่องนี้ผมจัดการเอง” เซี่ยวเลี่ยงตอบน้ำเสียงเรียบ
“ฉันรับปากแกแล้วเหรอ แกต้องรู้สิทุกอย่างฉันเป็นคนให้แก ทุกวันที่แกตื่นขึ้นมา ขอให้จำเรื่องนี้เอาไว้” เจิ้นตงทวงบุญคุณอย่างเหลืออด
เซี่ยวเลี่ยงประชดส่ง “ท่านประธาน ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ข่าวของผมกับเกาเหวินถูกปล่อยออกไปแล้วโปรดเคารพชีวิตส่วนตัวของผมด้วย”
จื่อเหลียงทำเป็นห้ามปรามเหมือนหวังดี “พี่ พ่อกำลังโกรธอยู่ หยุดพูดได้แล้วน่า”
เซี่ยวเลี่ยงตอกกลับว่า “ที่นี่คือบริษัท อย่าลืมว่านายจะเรียกท่านประธานว่าพ่อไม่ได้”
เจิ้นตงโมโหขึ้นมาอีก “แกยังมีหน้ามาว่าจื่อเหลียงอีกเหรอ แกรู้มั้ยเขาต้องแบกรับความกดดันของหุ้น และช่วยพูดแทนแกเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืนเลย เพราะช่วยแกนั่นแหละ นักลงทุนสงสัยในความสามารถของแก ถ้าไม่ได้จื่อเหลียง วันนี้บริษัทคงพินาศไปแล้ว ผู้ถือหุ้นสองส่วนขายเงินลงทุนไปแล้ว”
“บริษัทมีเงินสำรองเพียงพอนอก จากนี้การขายหุ้นก็มีจำกัด ผมไม่กลัวการขายเงินทุนหรอกถึงความรักของเราจะส่งผลต่อบริษัท แต่ว่า...สิ่งที่เราได้รับคือผลประโยชน์ คนที่สงสัยในตัวผม ผมจะใช้ผลงานปิดปากเขา”
เจิ้นตงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ฉันยินดีล้มเหลวในชีวิต แต่ไม่ต้องการมีลูกชายที่มีชีวิตส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม”
เจิ้นตงผ่อนลมหายใจ แล้วเกิดเจ็บแปลบที่หน้าอก ยกมือขึ้นกุม จื่อเหลียงตกใจรีบเข้าประคอง
“พ่อ”
เจิ้นตงสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เลิกซะ ฉันต้องการให้แกเลิกกับเธอตอนนี้”
เซี่ยวเลี่ยงถอนใจ “เมื่อวานเพิ่งประกาศว่าคบกัน วันนี้ก็เลิกกันแล้ว นี่สิถึงจะเป็นข่าวฉาว ผมก้าวออกมาก้าวแรกก็รู้แล้วว่าต้องมีวันนี้ จะหันหลังกลับเพราะคำพูดไม่กี่คำ หยุดถามผมได้แล้ว”
“แกไม่ให้ฉันยุ่งใช่มั้ย ดี ตราบใดที่แกยังคบหากับผู้หญิงคนนั้น ฉันเซี่ยวเจิ้นตงจะไม่ยอมรับลูกชายอย่างแก”
เซี่ยวเจิ้นตงเดินหุนหันออกไปเลย
“พ่อ...พ่อ...” จื่อเหลียงร้องเรียกแต่ยังไม่ขยับ ปรายตามองเซี่ยวเลี่ยงแว่บหนึ่ง ก่อนจะเดินกระแทกไหล่ ซีอีโอหนุ่มวิ่งตามไป
“พ่อ”

เซี่ยวเลี่ยงพ่นลมหายใจออกทางปาก ยกมือปิดหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย

ตอนเย็นวันนั้นเสียงจากทีวีดังออกมาถึงหน้าบ้านอี้หมิง

ส่วนในบ้าน บนโต๊ะกลาง หน้าโซฟาตรงมุมนั่งเล่น เละเทะ กล่อง ถุงขนมขบเคี้ยว และผลไม้วางเกลื่อน สองคนยังอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่ตื่นนอนนั่งดูทีวีกินขนมกันทั้งวัน เหม่ยลี่ยึดถังป๊อปคอร์น โยนป๊อปคอร์นใส่ จนอี้หมิงต้องสวมฮู้ดคลุมหัวกันไว้
มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหม่ยลี่บุ้ยใบ้ให้อี้หมิงรับ อี้หมิงหยิบมายื่นให้
“เธอก็รับเองสิ เดี๋ยวหยิบให้”
เหม่ยลี่รับมาดูชื่อคนโทร.มาจึงกดรับสาย
ซือหยวนโทร.มาจากออฟฟิศ “ฮัลโหลมี่โตะ เธอลาป่วยไม่ใช่เหรอ ดีขึ้นรึยัง”
“ฮื่อ พักสองสามวันก็หายแล้วล่ะค่ะ” อี้หมิงคอยมองเหล่
“รีบกลับมาทำงานเถอะ แผนกงานยุ่งมาก ฉันไปส่งเอกสารแทนเธอ คุณเซี่ยวถามว่าเธอไปไหนฉันอธิบายไปแล้ว เธอไม่ต้องห่วงนะ”
เหม่ยลี่ฟังแล้วหัวเราะชอบอก ชอบใจ อี้หมิงทำเป็นยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม คอยเงี่ยหูฟังตลอด
“ขอบคุณมากนะคะพี่ซือหยวน งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ บ๊ายบาย”
เหม่ยลี่วางสายสีหน้าระรื่นหันมาแหย่ อี้หมิงอย่างเบิกบานใจ
“แฮ่ๆ น่ามหัศจรรย์มาก ไม่อยากจะเชื่อเลยเหลยอี้หมิง”
อี้หมิงโวยวายถูกจับตัวโยกไปโยกมาจนสำลักน้ำ
“มีอะไรก็พูดมา อย่าลงไม้ลงมือ เปื้อนหมดแล้ว
“รู้มั้ยว่าใครโทร.มาหาฉัน เฮ้อ ฉันจะบอกให้ วันนี้ฉันไม่ไปทำงานมันเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วนายรู้มั้ย วันนี้เซี่ยวเลี่ยงไม่เห็นฉันไปทำงาน เขา...เขาถามเพื่อนร่วมงานฉันว่าฉันหายไปไหน ไม่ได้ๆ พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแล้ว ฉันไม่นั่งดูทีวีเป็นเพื่อนนายแล้วนะ ดูซิเสื้อผ้าแห้งรึยัง”
เหม่ยลี่ลุกขึ้นจะออกไปแต่ถูกอี้หมิงยกขาขวางไว้
“อะไรนะจะไปไหน” อี้หมิงกวนยกทั้งขาขึ้นมาขวางทางไม่ให้ไป เหม่ยลี่ชี้หน้าขู่
“ไปดูเสื้อผ้า” เหม่ยลี่วิ่งออกไป
เหลยอี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์มองตามไป มีแผนชั่วกันไม่ให้ยัยอ้วนไปทำงานใกล้ชิดเซี่ยวเลี่ยงไว้แล้ว

วันถัดมา เหม่ยลี่เดินงัวเงียลงบันไดมาทักทาย อี้หมิงที่นั่งยิ้มกระหยิ่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์มุมแพนทรีข้างบันได
“อรุณสวัสดิ์”
เหม่ยลี่เดินเข้าห้องน้ำไป อี้หมิงยิ้มยกสองมืออุดหูอย่างรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
“อ๊าย...” สิ้นเสียงกรี๊ด เหม่ยลี่ก็เดินโวยวายออกมา
“อ๊าย ทำไมเอาเสื้อผ้าของฉันไปซักอีกแล้วล่ะ”
“จะได้สะอาดไงล่ะ” อี้หมิงบอก
เหม่ยลี่นั่งลงตรงเคาน์เตอร์ฝั่งตรงข้ามอี้หมิง วางคางบนสองแขนถอนใจเฮือก “เฮ้อ...”
อี้หมิงวางมาดเข้มเป็นเพื่อนผู้แสนดี “ฉันจะบอกให้นะความเจ็บปวด ของการอกหัก มันไม่ใช่หายได้ง่ายๆ เธอจะไม่เห็นตัวเองเป็นคนป่วยไม่ได้ ฉันพูดกับเธอในฐานะหมอ เธอป่วย เธอต้องพักผ่อนให้มากๆ”
“จริงเหรอ” เหม่ยลี่ถามเหมือนจะเคลิ้ม อี้หมิงพยักหน้าหงึกหงัก
“ฉันจะไปทำงานแค่นี้แหละ ไปอย่างงี้เลย”
เหม่ยลี่ลุกขึ้นจะเดินไป อี้หมิงไม่ยอมคว้าแขนไว้หมับ
“เฮ้ยๆ เอาตรงๆ เธอจะไปทำงานหรือไปหาเซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่ถอนหายใจ ฟาดแขนอี้หมิงออก ลงนั่งอย่างเก่า
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงแพ้เกาเหวิน” หมอหนุ่มวางมาดเข้ม
“เกี่ยวอะไรกับฉันแพ้เกาเหวินล่ะ”
“ต้องเกี่ยวอยู่แล้ว เกาเหวินได้เซี่ยวเลี่ยงมาเพราะว่าเขาเข้าใจผู้ชาย ผู้ชายน่ะมักจะชอบอะไรที่มันง่ายๆ ต้องปล่อยเขาบ้าง ปล่อยให้เขามองเห็นแต่แตะต้องไม่ได้ แตะต้องได้แต่ก็ไม่ได้กิน เธอจะต้องค่อยเป็นค่อยไป แบบนี้ถึงจะสามารถได้ใจเขามา”
ในสีหน้าจริงจัง เหลยอี้หมิงพูดเสียงเล็กเสียงน้อย พร้อมทำมือทำไม้ประกอบอย่างน่าเชื่อถือ
“งั้นฉันควรทำไง”
“เอาอย่างนี้ เธอ...ลางานก่อน วิธีนี้เรียกว่าฆาตกร” อี้หมิงบอก
เหม่ยลี่แย้ง “แต่ว่า เขาไม่ได้สนใจฉันเลยนะ”
“ไม่ลองจะรู้ได้ยังไง”

ที่เทซีโร่ เซี่ยวเลี่ยงเดินนำฉีหยูเข้ามาในออฟฟิศจะขึ้นบันไดไปห้องทำงาน ผ่านแผนกออกแบบ มองไปยังโต๊ะทำงานตัวหนึ่งแล้วต้องชะงักเมื่อโต๊ะยังว่างเปล่าเหมือนวันก่อน จึงเดินเข้าไปถาม
“โต๊ะนี้ว่างมาหลายวันแล้ว”
สาวๆ ในแผนกหันมาทางเสียง ซือหยวนรีบมารับหน้า
“คุณเซี่ยว เธอลางานแล้วนะคะ”
“ลางานเหรอ นี่โต๊ะของใคร”
“มี่โตะค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงหงุดหงิด โวยวายขึ้นมาทันควัน
“เขาเป็นอะไรของเขา ไม่มาทำงานสามวันแล้ว เห็นที่นี่เป็นอะไร”
ซือหยวนบอกหน้าจ๋อยๆ “เธอไม่สบายน่ะค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงควันออกหู “ไม่สบาย ไม่สบายก็ทำให้งานล่าช้าได้เหรอ กฎของพนักงานก็เขียนไว้ ต้องมีใบรับรองแพทย์ถึงจะลางานได้ มีใบรับรองแพทย์มั้ย ให้เขากลับมาทำงาน”
เซี่ยวเลี่ยงจะเดินไปแล้วนึกอีกอย่างได้ “เขามาแล้วให้มารายงานตัวกับผม เข้าใจมั้ย”

พอซีอีโอหนุ่มขึ้นบันได พ้นตัวไป สาวๆ ก็จับกลุ่มเม้าท์มอยทันที
ยิวยิวเปิดประเด็นขึ้นว่า “คุณเซี่ยวเป็นอะไรของเขา มี่โตะไม่สบายก็ต้องพักสิ”
สาวขาวสวยบ่น “ไม่สบายยังต้องทำงานอีก”
หนานหนานตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อก่อนไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้”
ยิวยิวเห็นด้วย “ใช่แล้ว”
ทุกคนหันมามองซือหยวนเป็นตาเดียว
“ฉันก็ไม่รู้”
ยิวยิวคาใจไม่หาย “เธอว่าเขาเป็นอะไรไป”

ที่ร้าน กาแฟบรรยากาศดี๊ดีกลางเซี่ยงไฮ้
ลูกค้าหญิงแต่งตัวดี สวมโค้ทสีน้ำตาลคลุม หยิบกระเป๋าแบรนด์เนมออกจากถุงมาชื่นชม พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับคนรักเสียงดังลั่นร้าน
“ที่รักคะ ฉันมีอะไรจะบอก เมื่อกี้ฉันไปได้กระเป๋ามือสองมาลดราคาแล้วด้วยนะ นี่ กระเป๋าแบบนี้ไม่ได้หาซื้อได้ง่ายๆ เลยนะที่รัก ฉันโชคดีมากเลยที่รักแค่นี้ก่อนนะคะ”
เซียนหนาน คนรักของซือหยวน ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านนี้ นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ แต่สะดุดตากับกระเป๋าแบรนด์เนมใบสวยในมือลูกค้า จึงมองเอาๆ จนลูกค้าไม่พอใจ หันมาเอาเรื่อง
“นายมองอะไร ถามว่ามองอะไร ระวังไว้เถอะ”
“เอ่อ ตามสบายครับ” เซียนหนานเดินออกไป
“โรคจิตเอ๊ย” หญิงชุดน้ำตาลบ่นบ้า ยกแก้วเครื่องดื่มจิบแล้วสำลัก “อุ๊ย”
“เอ๊ะ เป็นอะไรครับ” เซียนหนานตกใจ หยิบทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดให้
ลูกค้าลูกพรวด ร้องโวยวาย “นายทำอะไร แตะต้องตัวฉันทำไม”
“ผมไม่ได้แตะต้องตัวคุณ ผมช่วยคุณต่างหากล่ะ”
“เฮอะ เมื่อกี้นายลับๆ ล่อๆ แอบมองฉัน ฉันจะบอกเจ้าของร้านให้ไล่นายออก”
เซียนหนานฉุน แต่พยายามคุมสติ “ผมมองคุณตั้งแต่เมื่อไร กาแฟหกใส่คุณผมจะช่วย ทุกคนก็เห็นผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง”
สองคนทะเลาะกัน จนลูกค้าโต๊ะอื่นๆ เริ่มหันมามอง
“เฮอะ นายคิดว่าในร้านมีคนก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย นายก็เป็นแค่พนักงานเสิร์ฟกาแฟ คิดว่าเรื่องนี้มันจะจบง่ายๆ งั้นเหรอ เฮอะๆ คนอย่างนาย ไม่มีวันมีชีวิตที่ดีหรอก” ลูกค้าขาวีนลอยหน้าดูถูก
เซียนหนานโกรธ “คุณหมายความว่ายังไง ทำไมคุณถึงพูดจาแบบนี้เนี่ย”
“พูดจาแบบนี้เหรอ ฉันไม่ควรมาเสียเวลากับนายเลย เรียกเจ้าของร้านมา ไปเรียกเจ้าของร้านมาพบฉันด่วนเลย”
“ได้ เดี๋ยวเรียกให้”

เซียนหนานหายไปครู่หนึ่ง ก็กลับมาพร้อมผู้จัดการร้านสาวใหญ่ ซึ่งรีบขอโทษขอโพยลูกค้าขาวีนทันที
“ขอโทษค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ พนักงานของเราเสียมารยาท อย่าถือสาเลยนะคะ”
ผู้จัดการหันมาทางเซียนหนาน
“เซียนหนานรีบขอโทษลูกค้าสิ คราวหน้าก็อย่าทำอีก เอ่อ ขอโทษเขาสิ ยังอยากทำงานอยู่มั้ย”
เซียนหนานจำใจขอโทษ “ขอโทษครับ คราวหน้าจะระวัง”
ลูกค้าขาวีนมองเชิดจึ๊ปากใส่
ผู้จัดการเอาใจ “เฮ่อ เอ่อ เอาอย่างงี้ฉันพาคุณไปทำความสะอาดนะคะ คุณโอเคมั้ย”
“ไม่เป็นไรขอบคุณ เฮอะ ร้านห่วยๆ แบบนี้ฉันจะไม่มาเหยียบอีก ฮึ”
ลูกค้าขาวีนชี้หน้าเซียนหนานแล้วเดินสะบัดหน้าออกไป โมโหจนลืมกระเป๋า
“เฮ้อ...ทำไมเธอถึงไปมีเรื่องกับลูกค้าล่ะ ขอโทษดีๆ เรื่องก็จบแล้ว”
ถูกผู้จัดการตำหนิ เซียนหนานพยายามจะอธิบาย “เฮ่อ ผม...ผม...”
“พอแล้วไม่ต้องอธิบาย รีบเก็บกวาดโต๊ะซะ” ผู้จัดการตัดบท เดินหัวเสียออกไป
“เฮอะ โธ่เอ๊ย จริงๆ เล๊ย”
เซียนหนานเก็บแก้วเช็ดโต๊ะ สายตาไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าแบรนด์เนมใบสวยที่ลูกค้าลืมทิ้งไว้

เซียนหนานคว้ากระเป๋าจะรีบตามไปคืนให้ลูกค้า แต่แล้วหยุดกึก มองกระเป๋าในมือนิ่งอยู่อย่างนั้น

ด้านมี่เหม่ยลี่นั่งจมกองขนมอยู่ตรงโซฟา ปากคาบอมยิ้มเล่นเกมมือถือไป

อี้หมิงอยู่ในชุดวอร์มออกกำลังกาย วิ่งเหยาะแหยะมาหยุดชวน “ยัยอ้วน กินเยอะขนาดนั้นแน่นท้องรึเปล่า ฉันพาไปออกกำลังกายวิ่งเล่นเอามั้ย ฉันสอนวิชาป้องกันตัวได้นะ” หมอหนุ่มตั้งการ์ดทำท่าชกมวยโชว์ความฟิต
“ฉันไม่ออกจากบ้าน ต้องใช้วิชาป้องกันตัวด้วยเหรอ”
เหม่ยลี่ไม่สนใจ
อี้หมิงถามย้ำ “จะไปมั้ย
“บริษัทโทร.มา” เหม่ยลี่ดีใจลุกพรวด อี้หมิงกระโจนมาฉกมือถือไปยกหนีสุดแขน
“นี่ เอาคืนมา”
สองคนยื้อแย่งมือถือกันไปมา
“ไม่ รับปากฉันก่อน”
“ให้ฉันรับสายก่อน”
“ห้ามกลับไปง่ายๆ นะ เธอต้องรับปากฉันก่อน”
เหม่ยลี่ร้องโวยวายไม่ยอมหยุด กระโจนขึ้นไปยืนบนโซฟาจนสูงเท่าจะแย่งมือถือมา แต่ดันล้มมาบนตัวอี้หมิง เหม่ยลี่จะฉกมือถือมา แต่อี้หมิงยื่นหนีไปสุดแขน โดยที่มืออีกข้างโอบตัวยัยอ้วนเอาไว้
“นี่ๆๆ ไม่เป็นไรนะ หา รับก็ได้ เปิดลำโพง”
“เปิดก็เปิดสิ”
อี้หมิงยอมเปิดลำโพง “อ่ะ”
เหม่ยลี่ตะโกนรับสาย “ฮัลโหล พี่ซือหยวน”
ซือหยวนโทร.มาจากออฟฟิศ “มี่โตะ เธอทำให้คุณเซี่ยวไม่พอใจเหรอ”
เหม่ยลี่หน้าเสีย “ทำไมคะ”
“วันนี้ทำไมไม่มาทำงาน คุณเซี่ยวสังเกตแล้ว ยังถามถึงเธอต่อหน้าทุกคนด้วย”
เหม่ยลี่สลัดตัวออกคว้าโทรศพท์มา อี้หมิงไม่ขัดขวางแล้ว
“เขาถามอะไรบ้าง”
“เขาให้กลับมาทำงานด่วน แล้วไปพบเขาที่ห้องทำงาน”
“ฉันรู้แล้ว” เหม่ยลี่กดวางสายหันมาทางอี้หมิงหัวเราะร่า “คุณเซี่ยว ถามถึงฉันด้วยแหละว่าทำไมฉันไม่ไปทำงาน เย้ ฉันทำสำเร็จแล้วกีฟมีไฟท์หน่อยสิเร็วเข้า”
อี้หมิงตีมือไปแกนๆ เซ็งสุดขีดที่แผนผิดพลาดบ่นงึมงำ
“คนรวยอะไรกัน ไม่มีความอดทนเลย”

เหม่ยลี่ลงนั่งที่โซฟา อี้หมิงนั่งที่พนักพิงแขนเช่นเคย
“อยากกลับไปทำงานล่ะสิ”
“ต้องกลับไปสิ คุณเซี่ยวถามถึง ฉันจะไม่กลับไปได้ไง”
อี้หมิงสวนคำคัดค้านเสียงดังลั่น “ไม่ได้...ไปไม่ได้”
เหม่ยลี่งง “ทำไมล่ะ”
อี้หมิงพยายามคิดแผนใหม่ “เพราะว่าๆๆ ถ้าเธอกลับไปตอนนี้ เธอก็แพ้ จะกลับไปก็ได้ แต่กลับไปด้วยสาเหตุข้อเดียว”
เหม่ยลี่งงอีก “อะไรเหรอ”
อี้หมิง “ลาออก”
เหม่ยลี่ตกใจ “ลาออกเหรอ”
อี้หมิงแทรกตัวลงข้างๆ เหม่ยลี่ เสริมทันทีว่า “หลอกๆ ลาออกหลอกๆ วิธีนี้เรียกว่า ให้หลงกลกับดัก เธอต้องให้เซี่ยวเลี่ยงมาหาเธอถึงที่เธออยากชนะหรือแพ้ล่ะ”
“อยากชนะสิ”
“งั้นก็เชื่อฟังฉัน”

วันต่อมา มี่เหม่ยลี่เดินมาหยุดหน้าห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยง ในมือถือซองจดหมายลาออกมาด้วย ชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องอย่างลังเล สุดท้ายเดินห่างประตูออกมาตั้งหลัก
สักครู่หนึ่งเซี่ยวเลี่ยงก็เปิดประตูออกมา ในจังหวะที่เหม่ยลี่หันกลับไปใหม่ พอเจอหน้าเขาจังๆ สาวจอมจุ้นกลับหันหลังเดินหนี
“เดี๋ยวก่อน หลายวันนี้คุณเป็นอะไร”
เหม่ยลี่หันมาหา “ฉันไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ก็เลยลางานสองวัน”
“ไม่สบายก็ลางานงั้นเหรอ เห็นบริษัทเป็นอะไร เป็นตลาดเหรอ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะลางานด้วยเหตุผลส่วนตัว ครั้งหน้าห้ามเกิดขึ้นอีก”
“ขอโทษค่ะคุณเซี่ยว ฉันมายื่นใบลาออก นี่จดหมายลาออกของฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงรับมาเปิดออกดูอ่านปราดเดียว “เอากลับไปเขียนใหม่”
เหม่ยลี่งง “ใบลาออกต้องเขียนใหม่ด้วยเหรอ”
“คุณไม่ได้เขียนเหตุผลมา ผมไม่ยอมรับจดหมายลาออกแบบนี้”
“เหตุผลที่ฉันลาออกคือ…”
เซี่ยวเลี่ยงพูดสวนออกมาทันที “ผมอนุญาตให้ลาออกถ้าคุณไม่อยากทำงานนี้แล้วจริงๆ ส่วนเหตุผลอื่น ผมไม่ยอมรับได้ยินมั้ย กลับไปทำงาน”
“งั้นฉันจะเขียนใหม่ แล้วจะเอามาให้”
เหม่ยลี่หยิบมือถือจากมือเซี่ยวเลี่ยงมาแล้วเดินออกไป เซี่ยวเลี่ยงมองตามแล้วกลับเข้าห้องทำงาน

เหม่ยลี่กลับมาที่แผนก โทร.ต่อว่ากุนซือเหลยอี้หมิงซึ่งเข้าเวรอยู่ที่โรงพยาบาล
“ต้องโทษนายที่ออกความคิดแย่ๆ บอกให้ฉันทำให้เขาหลงกล ตอนนี้ฉันจะตายอยู่แล้วนะ เฮ้อ...เขาบอกว่าจดหมายที่เขียนเขาไม่พอใจ ครั้งนี้เขาต้องไล่ฉันออกแน่ๆ ทำยังไงดี”
“เฮ้อ...ง่ายนิดเดียว ก็ทำตามที่เขาบอก เขียนใหม่อีกรอบ เธอจะต้องเชื่อฉัน จะเอาชนะใจเขาได้มั้ย ขึ้นอยู่กับเธอแล้วห้ามถอยเด็ดขาด”
“แล้วถ้าหากว่า…”
อี้หมิงสวนทันควัน “ไม่มีถ้าหากว่า เธอต้องเชื่อฉัน ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก เอาล่ะ ทำงานก่อนแค่นี้นะ บ๊ายบาย”
อี้หมิงวางสายยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวเราะหึๆๆ ปรบมือเสียงดังสนั่น จนเพื่อนหมอที่เดินมานั่งโต๊ะทำงานข้างๆ ถามอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย เหล่าเหลยอารมณ์ดีจังนะ เป็นอะไร”
อี้หมิงปรบมือค้าง พอรู้ตัวรีบเอามือลง คิดคำโกหก “ก็ไม่มีอะไรหรอก คือว่าน้องหมาที่บ้านฉันกลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้น้องหมาที่บ้านฉันหนีไปกับหมาข้างนอกมา แต่ตอนนี้มันกลับมาบ้านแล้ว”
“หมาเหรอ เป็นเรื่องปกติ นี่ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติของหมา น้องหมาเท็ดดี้ของข้างบ้านหนีกับไปคนอื่นแล้ว
“โธ่เอ๊ย ที่สำคัญก็คือรำคาญหมาข้างนอกตัวนั้นจริงๆ เลย ชอบมาตามตอแยน้องหมาที่บ้านฉัน ทำให้ฉันต้องใช้วิธีขั้นเด็ดขาด ไม่งั้นไม่รู้ว่าจะตอแยไปถึงไหนเฮอะๆๆ”
เพื่อนหมอมองเหล่ “เหล่าเหลย หมาพวกนั้นทำให้นายโมโหขนาดนี้เชียว ว่างเกินไปรึเปล่า”
“ใช่ ฉันว่างเกินไป อือ” อี้หมิงเบิกบานสุดๆ
เพื่อนหมอส่ายหน้า หัวเราะขำ “เฮ้อ ว่างจริงๆ”

ในขณะที่เซี่ยวเลี่ยงเดินมาขึ้นรถในลานจอดบนตึก จะออกไปธุระข้างนอก เหม่ยลี่วิ่งตามออกมาเรียกไว้ ยื่นจดหมายให้
“คุณเซี่ยว แก้ใหม่แล้วค่ะ”
“คุณนี่ดื้อรั้นจริงๆ ส่งให้ฝ่ายบุคคล เรื่องนี้ผมไม่ยุ่ง”
เซี่ยวเลี่ยงมองจดหมายแต่ไม่ยอมรับ ขึ้นรถ ขับออกไปเลย
“คงไม่ต้องการฉันแล้วจริงๆ” เหม่ยลี่มองตาม ใจหายวับ นึกโมโหกุนซือจอมกะล่อน “โอ๊ย ไอ้บ้าเหลยอี้หมิง”

จู่ๆ เซี่ยวเลี่ยงวนรถกลับมาจอดเทียบตรงหน้า ลดกระจกถาม “ยืนเหม่ออะไร”
“ฉันเหรอ” เหม่ยลี่ชี้ตัวเอง ถามอย่างงงๆ แล้วชี้มือถามเองตอบเองว่าเซี่ยวเลี่ยงชวนขึ้นรถ
“ขอบคุณค่ะ”
“จดหมายลาออก”
เหม่ยลี่จะวิ่งอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง เซี่ยวเลี่ยงตะโกนขึ้นยื่นมือออกมา สาวจอมจุ้นชะงักกึก หน้าเสีย ยื่นจดหมายลาออกให้
เซี่ยวเลี่ยงฉีกจดหมายลาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด่าไป ฉีกกระดาษยื่นให้เหม่ยลี่ไป
“ใครบอกว่าอยากเป็นนักออกแบบ ใครบอกว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด ใครบอกว่าทำได้ไม่ดีจะไม่ไป แค่พูดให้น่าฟังเหรอ จดหมายนี้ผมไม่ให้ผ่าน ไม่อนุญาตให้คุณลางานด้วย”
ฉีกชิ้นสุดท้ายให้แล้ว เซี่ยวเลี่ยงชี้หน้าเหม่ยลี่สั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า
“พรุ่งนี้ผมต้องเห็นคุณ อยู่ในบริษัทแค่นี้แหละ”
เซี่ยวเลี่ยงออกรถไปอย่างแรง
เหม่ยลี่อึ้งๆ งงๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่งถึงได้สติ ร้อง “ว้าว” ออกมาอย่างคาดไม่ถึง
จากนั้นก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังด้วยความดีใจ

“ติดกับดักแล้วจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะมาทำงานแต่เช้าเลยค่ะ บ๊ายบาย”

แฮปปี้เวอร์อะไรเบอร์นี้ เหลยอี้หมิงร้องเพลงไปตั้งโต๊ะอาหารเย็นที่ทำเองกับมือไว้รอท่ายัยอ้วน ด้วยสีหน้าลั้นลาเบิกบานสุดชีวิต คอยมองไปทางประตูตลอดเวลา

พอได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามา หมอหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหลบในครัวแทบไม่ทัน ก่อนจะทำทีเป็นว่าเพิ่งเดินออกมาจากครัว
เมื่อเห็นเหม่ยลี่เดินหน้าเศร้าถอนใจเฮือกเข้ามา รีบเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งเอาอกเอาใจยกใหญ่ ส่วนตัวเองมานั่งฝั่งตรงข้าม
“เอ๋ กลับมาแล้ว มาๆ นั่งก่อน เชิญนั่งนั่งเลย เป็นไงบ้าง ส่งจดหมายลาออกยัง อ้า ยัยอ้วน อย่าเศร้าไปเลยมันก็แค่งาน จริงมั้ยหางานใหม่ก็ได้นี่ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปสมัครงานใหม่ที่ดีกว่านี้ เธอยังเป็นนักออกแบบได้ มา กินอะไรหน่อยสิ ฉันทำกับข้าวให้เธอเป็นพิเศษ เธอคงไม่รู้ว่านี่เป็นกับข้าว...ที่ฉันตั้งใจ...เอ่อ ทำให้เธอ...โดยเฉพาะ”
“ฉันยังไม่อยากกิน”
“เอ่อ...เธอไม่หิวเหรอ เดี๋ยวฉันกินเป็นเพื่อนนะ มา ลองกินนี่ดู อร่อยมากนะ” อี้หมิงคะยั้นคะยอ คีบอาหารให้เหม่ยลี่ แล้วคีบใส่ปากคุ้ยข้าวในถ้วยตาม เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดแอร่ม “เมื่อกี้ฉันชิมดูแล้วอร่อยมากจริงๆ อื้อ มา อื้ม...อร่อยเหาะไปเลย คนอารมณ์ดี กินอะไรก็อร่อย”
“นายอารมณ์ดีกินอะไรก็อร่อย พระเอกของฉัน ฉีกจดหมายลาออกแล้ว” เหม่ยลี่บอก
อี้หมิง ชะงัก งง “เพราะอะไร”
“เค้าไม่ยอมให้ฉันลาออกน่ะสิ เค้าอยากให้ฉันอยู่ต่อ”
แกล้งเก๊กซิมหลอกอี้หมิงอยู่นานสองนาน เหม่ยลี่ระเบิดหัวเราะออกมา ชมกุนซือเป็นการใหญ่
“นายเก่งมากเลยเหลยอี้หมิง สามารถเดาใจเซี่ยวเลี่ยงได้ สมกับเป็นเพลย์บอย ดังนั้นฉันจะจ้างนายเป็นที่ปรึกษา เพื่อพิชิตใจเซี่ยวเลี่ยงให้ได้
อี้หมิงอึ้ง ตะลึงตะไล อ้าปากค้างตั้งแต่คำชมคำแรกแล้ว สุดท้ายสำลักข้าวพรวดออกมา
เหม่ยลี่หัวเราะคิกคัก โดยไม่รู้ว่าอี้หมิงปวดใจจี๊ด

คืนนี้เซียนหนานนั่งรอซือหยวนอยู่ในอาหารตามสั่งมาสักพักแล้ว มีถุงกระดาษใส่กระเป๋าแบรนด์เนมที่ลูกค้าร้านกาแฟลืมไว้วางอยู่ข้างตัว เซียนหนานหยิบออกมาดู เป่าฝุ่นผงออก พอเห็นซือหยวนมาถึงรีบเก็บคืน
ซือหยวนเดินเข้ามามองแฟนหนุ่มพลางถามขณะนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “มีอะไร ลับๆ ล่อๆ”
“เอ่อ ไม่มีอะไร ผมเลิกงานดึกไม่ได้ทำกับข้าว เรากินข้าวที่นี่เลยดีมั้ย”
“ดูเหมือนเจ้านายจะชอบคุณตั้งใจทำงานล่ะ จริงสิ ช่วงนี้งานยุ่งมากฉันต้องทำโอที แต่บริษัทมีอาหารให้ ไม่ต้องออกมากินบ่อยๆ หรอก ประหยัดเงิน”
“จริงด้วย ใกล้จะถึงสิ้นเดือนแล้ว นี่ที่รัก ไม่ต้องประหยัดก็ได้ต่อไปผมจะรับผิดชอบเอง”
“หึๆ ชีวิตในเซี่ยงไฮ้คุณน่าจะรู้ เงินแค่นั้นจะพอเหรอ ฉันอยากให้คุณตั้งใจทำงานทะเยอทะยานหน่อย จุดประสงค์ของฉันไม่ใช่ให้คุณเลี้ยงดูฉัน ขอแค่คุณตั้งใจทำงาน เราต่อสู้ไปด้วยกัน ฉันก็มีความสุขแล้ว”
เซียนหนานยิ้มให้ “ที่รัก คุณดีจริงๆ”
“ปากหวาน มาค่ะ สั่งอาหารเถอะ” ซือหยวนหยิบเมนูบนโต๊ะเลือกอาหาร
“เอ่อ...ใกล้จะถึงวันเกิดคุณแล้ว ผมอยากเซอร์ไพรส์คุณล่วงหน้า” เซียนหนานหยิบถุงกระดาษสีดำยื่นให้คนรัก “อ่ะ ของที่คุณชอบ”
“ของที่ฉันชอบเหรอ”
เซียนหนานพยักหน้า “อื้อ”
ซือหยวนยิ้มชื่นรับมา พร้อมกับหยิบกระเป๋าถือสุดหรูขึ้นมาดูทันที
“ดูเหมือนจะเป็นของแท้”
“ใช่ของแท้ ผมเคยรับปากคุณ ว่าจะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้คุณ”
“แล้วคุณเอาเงินมาจากไหน กระเป๋ามันแพงนะ” ซือหยวนไม่สบายใจ
“ไม่แพงเท่าไรหรอกหลักพันเอง เขาจ่ายเงินเดือนล่วงหน้า”
ซือหยวนท้วงเพราะรู้ราคาดี “ยี่ห้อนี้ฉันรู้จักดี แต่ละใบไม่ต่ำกว่าหมื่น ไม่กี่พันไปซื้อที่ไหน”
เซียนหนานอึกอักคิดคำแก้ตัวให้วุ่น สุดท้ายตัดพ้อออกมา “คือว่า มันเป็นกระเป๋า...กระเป๋ามือสองน่ะ ลดราคาถูกมาก คุณไม่ชอบที่ผมซื้อมือสองให้ใช่มั้ย”
“ไม่หรอกค่ะ มือสองแล้วไง ฉันชอบมากเลย ฉันมีกระเป๋าแบรนด์เนมแล้ว”
ซือหยวนยิ้มดีใจกอดกระเป๋าแนบอกอย่างทะนุถนอม
“เอ่อ ที่รัก ขอแค่คุณมีความสุข ผมยอมทำทุกอย่าง ถ้าผมมีเงินแล้ว จะซื้อให้อีกนะ” เซียนหนานบอก
“ฉันไม่สนหรอก นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดเลย”
ซือหยวน สาวใหญ่ผู้ชื่นชมวัตถุ มากกว่าจิตใจ ยิ้มกว้างดีใจเหลือแสน จนไม่ทันมองเห็นพิรุธของคนรักที่หน้าเสียนิดๆ รีบยกขวดน้ำขึ้นดื่มกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจ

เช้าวันต่อมา เซี่ยวเลี่ยง เดินนำมาตามทางเดินในตึกเทซีโร่ ขณะผ่านแผนกออกแบบมองไปเห็นเหม่ยลี่นั่งทำงานอยู่แล้ว ซีอีโอหนุ่มชะลอความหยุดมอง ยิ้มหล่อออกมาอย่างสมใจ แล้วเดินขึ้นบันไดไป ฉีหยู เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาหา “หือ”
“ดูคุณอารมณ์ดีจัง”
พร้อมกับว่าฉีหยูมองลงมาทางแผนกออกแบบ ซีอีโอหนุ่มไม่ตอบเข้าห้องทำงานไป

เมื่อเปิดประตูเข้าห้องทำงานมาเซี่ยวเลี่ยงต้องชะงัก เมื่อเห็นเกาเหวินนั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่มุมรับแขกห้องแล้ว เขาเดินมาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณมาได้ยังไง”
เกาเหวินเงยหน้ามองแว่บเดียว แล้วหันไปดูหนังสือต่อ “เฮอะ ฉันเป็นแฟนเจ้าของบริษัท อยู่ที่นี่แปลกมากเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงลงนั่งด้วยตรงโซฟายาว “ถ้าจะพิสูจน์สถานะ คุณกลับไปตอนนี้ได้เลย”
เกาเหวินลุกมานั่งข้างๆ ยื่นบัตรเชิญในมือให้ดู “อ้า งานเลี้ยงในวงการ เพื่อนของฉัน เอ่อ เพื่อนๆของฉันไปทุกคน จะไปกับฉันมั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงงงๆ “ผมต้องไปด้วยเหรอ”
“เฮอะ คุณต้องแสดงบทบาทเพิ่ม เราเป็นคู่ที่ทุกคนยอมรับ งานสำคัญแบบนี้ก็ต้องไปสิ จริงมั้ย” ซุปตาร์เจ้าบทบาทว่า
เซี่ยวเลี่ยงรับบัตรเชิญมา ท่าทีหนักใจ “จะหาเวลาว่างแล้วกัน”
“หึ ดีมาก” เกาเหวินหัวเราะชอบใจ ยกแขนขึ้นโอบไหล่ แถมตบอกเชิงปลอบดูออกว่าเขาอึดอัด
เล่นเอาเซี่ยวเลี่ยงสะดุ้งโหยง ถอนใจเฮือก

ออกจากห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยงแล้ว เกาเหวินคุยโทรศัพท์มือถือเดินลงบันไดมาอย่างอารมณ์ดี
“เฮ้อ...ใช่ ฉันอารมณ์ดีมากเลย ไปกินข้าวกับฉันมั้ยให้โอกาสอีกครั้ง ไม่ว่างเหรอไปคนเดียวก็ได้ บ๊ายบาย”
ซุปตาร์สาวกดวางสายไป พอเงยหน้าขึ้นมาก็ชะงักไปนิดๆ เขม้นมองจนแน่ใจ แล้ววิ่งเข้าไปหา ร้องทักออกมาอย่างดีใจ
“นี่ มี่โตะ”
เสียงเรียกนั้นเรียกความสนใจจากหนุ่มๆ สาวๆ ในแผนก ให้หันมามองเป็นตาเดียว
เกาเหวินหัวเราะคิกคักดีใจ
เหม่ยลี่ลุกขึ้น “เกาเหวิน คุณจำฉันได้ด้วย”
“ฉันไม่ได้ทำเครื่องประดับหายบ่อยๆ นะ เรื่องเครื่องประดับที่หายไป…”
เหม่ยลี่รีบยกนิ้วชี้ปิดปากเชิงบอกในลดเสียงลง “ชู่ว…เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าพูดถึงอีกเลยค่ะ”
ซือหยวนนั่งโต๊ะติดกับเหม่ยลี่แต่หันหลังให้กัน หันมามองอย่างสนใจ
เกาเหวินยื่นหน้าเข้ามา เบาเสียงลง “เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจริงเหรอ”
“พูดมากจะไม่ดีกับตัวเอง ฉันถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เหม่ยลี่ยิ้มบอก
เกาเหวินหัวเราะคิกคัก “หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ด้วย กลางวันว่างมั้ย เดี๋ยวฉันเลี้ยง”
“ได้ค่ะ” เหม่ยลี่มองไปทางคนอื่นๆ ที่ทำงานกันอยู่ “อ้อ แต่ตอนนี้ต้องทำงานต่อ”
“ฉันเป็นแฟนของเซี่ยวเลี่ยง ก็ถือว่าเป็นเจ้านายเธอเรื่องลางานฉันจะช่วยพูดให้” พร้อมกับว่าซุปตาร์สาวหันไปโบกมือเรียกทุกคนในแผนก แต่ละคนมองมา “ทุกคน คือ...มี่โตะจะไปกินข้าวกับฉัน ไม่มีปัญหาใช่มั้ย ไม่มีปัญหา ดีมากไม่มีใครว่า ไปเถอะ”
“เฮ่อ แต่ว่า…”
เห็นเหม่ยลี่ยืนอึดอัดใจอยู่ เกาเหวินรีบเดินเข้าจูงเธอออกมาจากโต๊ะ โอบไหล่เดินไปด้วยกัน
“โธ่เอ๊ย ไปเถอะอย่าชักช้าสิ ไปๆ ฉันเป็นคนแบบนี้ชอบใครแล้วปิดไม่มิด เธอช่วยฉันปิดเรื่องสร้อยคอน่านับถือมาก ฉะนั้นฉันชอบคนอย่างเธอ”
เหม่ยลี่เขิน “เอ่อ จริงเหรอ”
“ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนแล้ว จะไม่ปล่อยให้เธอปฏิเสธแน่ไปเถอะ”
สองสาวเดินคุยกันออกไปอย่างสนิทสนมกัน
ซือหยวนคอยเงี่ยหูฟังสองคนคุยกันตลอดคล้ายเก็บข้อมูลไว้ใช้งาน

อีกฟากหนึ่ง ขณะพนักงานกำลังช่วยกันเช็ดถูทำความสะอาดเตรียมเปิดร้านกาแฟอยู่นั้น ลูกค้าหญิงขาวีนจอมเหวี่ยง สวมโค้ทสีน้ำตาลตัวเดิม เดินตรงเข้ามาหาผู้จัดการร้านที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ โวยวายเสียงดังลั่น หลังจากโทร.มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้คำตอบ
“เมื่อวานฉันออกจากร้านคุณ กระเป๋าฉันก็หาย...กระเป๋าฉันหายไปไหน”
“ฉันถามพนักงานทุกคนแล้ว กระเป๋าคุณไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ คุณมาหาเรื่อง มันทำให้เราเสียงานนะ” ผู้จัดการชักไม่พอใจ
ระหว่างนี้ เซียนหนานซึ่งเช็ดโต๊ะอยู่มุมหนึ่งในร้านเหลียวมามอง นิ่งฟังท่าทีมีพิรุธ แต่ไม่มีใครสังเกต
“ทำให้พวกคุณเสียงานแล้วได้กระเป๋าคืนมามั้ย ฉันว่า คนในนี้แหละที่ขโมยไป ในนั้นมีของของฉัน”
ผู้จัดการพยายามพูดดีๆ ด้วย “ฉันจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วจะบอกคุณอีกที หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“ดูกล้องวงจรปิด แล้วเมื่อไหร่จะดูล่ะ ถ้าไม่รีบฉันจะแจ้งตำรวจ”
“เฮ้อ...อย่าแจ้งตำรวจนะคะ เราเปิดร้านไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าคุณแจ้งตำรวจ ทุกคนเข้าใจผิดมันจะมีผลเสียต่อร้านของเรา”
เซียนหนานได้ยินว่าจะมีการแจ้งตำรวจก็หน้าเสียตกใจนิดๆ
“เอางี้ คุณให้เวลาเราหน่อย เอ่อ ถ้ากระเป๋าอยู่ในร้านเราจริง ถ้าคุณมาฉันจะให้บัตรกำนัล”
“งั้นก็ได้ ฉันจะให้เวลาคุณ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ต้องหากระเป๋าฉันให้เจอ”
ลูกค้าขาวีนสะบัดบ๊อบเดินหุนหันออกไปเลย ผู้จัดการได้แต่ขอบคุณตามหลังไป
“ขอบคุณค่ะ โชคดีค่ะ”
เซียนหน้าชะเง้อคอมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ทุกคน” ผู้จัดการเรียกขึ้น ทุกคนเดินถืออุปกรณ์ที่ทำงานอยู่เข้ามารวมตัวหน้าเคาน์เตอร์
“เมื่อกี้ได้ยินคำพูดของลูกค้าแล้วนะ ใครเอากระเป๋าเธอไป รีบเอามาคืนเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่มีใครเดือดร้อน ฉันจะไม่บังคับและจะให้เวลา คนที่เอาไปรีบเอามาคืนซะ ไม่อย่างงั้น ถ้าตรวจเจอในกล้องวงจรปิด มันจะลำบาก ทำงานต่อเถอะ”
ผู้จัดการเดินหงุดหงิดออกไป คนอื่นๆ แยกย้ายไปทำงานต่อ

มีเพียงเซียนหนานยืนอึ้งหน้าเสียกังวลหนักอยู่ตรงเคาน์เตอร์เพียงลำพัง

อี้หมิงซุกมือในเสื้อกาวน์นั่งขยับขาสูดปากไล่ความหนาวเหน็บรอการมาถึงของใครบางคนอยู่ตรงม้านั่งบนดาดฟ้าโรงพยาบาล เพราะเลยเวลานัดมากแล้ว

สักครู่หนึ่งเหม่ยลี่ถือถุงกระดาษวิ่งเข้ามานั่งด้วย วางถุงของบนขาอี้หมิงคุยฟุ้ง
“ดูนี่ ฉันห่อของอร่อยมาให้นาย” เหม่ยลี่หยิบการ์ดเชิญงานเลี้ยงที่เกาเหวินให้มาออกมาอวด “แถ่นแท๊น...ดาราพาไปเลี้ยง”
“ซื้อมาจากไหน”
“เกาเหวินซื้อให้ นอกจากเธอจะเลี้ยงของอร่อยฉันแล้ว เธอยังชวนฉันไปงานเลี้ยงในวงการบันเทิงด้วย”
“อ้อ ถึงว่าสิทำไมใจดีขนาดนี้ ส่งข้าวเที่ยงมาให้ฉัน”
อี้หมิงวางถุงลง ลุกขึ้นอย่างหัวเสีย พูดดักคอ “มีรายงานความรักอีกแล้วใช่มั้ย”
หมอหนุ่มยัดการ์ดเชิญลงไปชี้ที่ถุง “ฉันถามเธออันนี้กับอันนี้ มันคืออะไร”
“ของกินเล่น” เหม่ยลี่ตอบงงๆ
“ผิด” อี้หมิงเก๊กขรึมวางมาดเข้มเป็นกุนซือเลิฟบอกว่า “มันเป็นขนมระเบิด เป็นขนมที่ศัตรูให้เกาเหวินเป็นใคร เป็นแฟนของเซี่ยวเลี่ยง เอาของที่แฟนเขาซื้อให้กลับมา เธอโง่รึเปล่า สมองเธอจะกลวงมากเกินไปแล้ว”
เหม่ยลี่ทักท้วง ไม่อยากจะเชื่อ “แต่ว่าเกาเหวินเธอเป็นคนดีมาก เป็นกันเองแล้วยังน่ารักด้วยคุยกันไม่กี่ประโยคก็บอกว่าจะเป็นเพื่อนกับฉัน”
“จริงเหรอ ชื่นชมต่อไปสิ เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินก็จะหมั้นกันแล้ว” อี้หมิงโยนระเบิดใส่ใจเหม่ยลี่อีกลูก
“แต่ว่า เธอไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ นะ”
อี้หมิงเดินกลับมานั่งด้วย โยนถุงใส่มือเหม่ยลี่ “นี่ ฉันถามหน่อย ในถุงนี้เท่าไหร่”
เหม่ยลี่งง “ทำไมถามอย่างงั้น”
“ฉันเป็นครูเธอ ฉันถาม เธอก็ต้องตอบ เท่าไหร่” อี้หมิงเสียงเข้ม
“20 หยวน”
“ร้านอาหารโทรทัศน์หมุนเวียนเท่าไหร่ ตอบมา”
“นายไม่เคยพาฉันไปสักหน่อย”
อี้หมิงถอนหายใจเซ็ง ยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วไกด์คำตอบ
เหม่ยลี่โพล่งขึ้น “200”
อี้หมิงสวนออกมา “2,000 มากกว่านี้อีก”
เหม่ยลี่ตกใจพอๆ กับงง “ฮ้า ทำไมต้องถามเรื่องนี้”
“นี้เป็นความแตกต่างระหว่างเธอกับเขา เกาเหวินเป็นร้านหรูส่วนเธอเป็นร้านข้างทาง ปีนึง 365 วันไปกินสเต็กที่ร้านอาหารหรูทุกวัน กินหนึ่งปีจะอ้วกมั้ย แต่คนที่กินอาหารข้างทาง ไม่แน่ว่าอาจจะได้กินอาหารหลากหลาย ชีวิตดีจะตาย” กุนซืออี้หมิงสรุป
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่ม “จริงเหรอ ฉันดีขนาดนั้นเชียว”
“แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้น ห้ามแสดงความกลัวต่อหน้าเกาเหวิน ไม่ใช่ว่าใครราคาสูงกว่าก็ขายแพงกว่า แต่ดูว่าใครจะยิ้มได้ตลอด”
“งั้นฉันไปล่ะ” เหม่ยลี่วิ่งจู๊ดออกไปเลย
อี้หมิงลุกขึ้นโวยวายพลางหิ้วถุงของเดินบ่นบ้าตามไป
“เอ๊ะ นี่ ยัยคนลืมเพื่อนเธอนี่มันจริงๆ เลย เมื่อคืนฉันเข้ากะทั้งคืน เย็นนี้จะพักผ่อนสักหน่อยแต่ต้องไปซื้อของกับเธอ”

เซี่ยวเจิ้นตงนั่งอ่านหนังสือรอใครคนหนึ่งอยู่แล้วในมุมส่วนตัวของร้านกาแฟ บรรยากาศดีงามเงียบสงบแห่งนี้ ดูออกว่าทั้งร้านถูกปิดชั่วคราวเพื่อคู่สนทนาคนนี้
จนกระทั่งไม่นานนักก็เห็นเกาเหวินเดินเข้ามาหา ยิ้มทักทายอย่างนอบน้อม
“อ้าว คุณลุงเซี่ยว”
“อ้าว นั่งก่อนสิ”
“ไม่ได้ไปหาคุณลุงแถมยังให้คุณลุงมาหาถึงที่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ” ซุปตาร์สาวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“ไม่จำเป็นหรอก เสนอราคามาได้เลย”
เกาเหวินชะงัก สีหน้าฉงนฉงาย ทวนคำ “เสนอราคา”
“เรื่องของเธอกับเซี่ยวเลี่ยงฉันก็พอรู้มาบ้างแล้ว พวกเธอเพิ่งคบกันได้ไม่นาน ทำไมถึงพัฒนาความสัมพันธ์เร็วอย่างนี้ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่า เธอ ใช้วิธีไหนจับเซี่ยวเลี่ยงให้อยู่หมัด”
เกาเหวินหัวเราะคิก รู้ทันทีว่าชายสูงวัยนัดหล่อนมาพบทำไม “คุณลุงได้ดูข่าวบันเทิงบ้างมั้ยคะ”
“ข่าวบันเทิงเหรอ โทษที ฉันไม่เคยดู ฉันก็เลยไม่เข้าใจหนุ่มสาวในสมัยนี้ ฉันแค่อยากจะบอกเธอตระกูลเซี่ยวของเราไม่มีทางยอมรับ ผู้หญิงแบบนี้”
“อื้อ ถ้าคุณลุงดูข่าวบันเทิงบ้าง คุณลุงจะรู้ว่าคนรอบข้างฉัน มีคนอย่างตระกูลเซี่ยวไม่น้อยเลย ฉันไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอะไรจับเซี่ยวเลี่ยง ฉันกับเซี่ยวเลี่ยงเรารักกัน หวังว่าคุณลุงจะไม่เข้าใจผิด”
เจิ้นตงยิ้มเยาะ “อะไรเรียกว่าเข้าใจผิด ฉันมั่นใจว่าเธอยังไม่รู้จักเซี่ยวเลี่ยงตั้งแต่เล็กจนโตเซี่ยวเลี่ยงเป็นคนดื้อรั้น อีกอย่าง ไม่ชอบเข้าหาคนแปลกหน้า แต่ว่าเขา เพิ่งรู้จักเธอได้ไม่นาน เธอก็พูดว่าพวกเธอรักกันแล้ว เขารู้สึกดีกับเธอคำพูดแบบนี้ เธอเชื่อด้วยเหรอ”
เกาเหวินหัวเราะขำ “คุณลุงพูดขนาดนี้ก็เพื่อต้องการให้ฉันรับเงินแล้วไปจากเขา ละครน้ำเน่าแบบนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอในชีวิตจริง ยังมีคนเอามาเล่นอีก” ซุปตาร์สาวหัวเราะอยู่อย่างนั้น
จนเจิ้นตงพลอยหัวเราะไปด้วยแต่เพียงแว่บดีสีหน้าประมุขเทซีโร่ก็กลับมาเข้มเคร่งดังเดิมจ้องหน้าคู่สนทนาเขม็ง
“พูดได้ดี ในเมื่อเธอเจอกับมันแล้ว ก็ต้องกล้าเผชิญหน้าสิ เธอคิดว่าเซี่ยวเลี่ยงเขาจะยอม ทิ้งทุกอย่างที่ฉันให้ เพื่ออยู่กับเธองั้นเหรอ ฝันเกินไปมั้ย”
เกาเหวินเหมือนโดนปรามาส “คุณลุงเคยได้ยินเซี่ยวเลี่ยงพูดกับคุณมั้ย ฉันเป็นคนไม่เหมือนใคร คุณไม่ให้ฉันทำอะไร ฉันก็ยิ่งอยากลองดู”
เจิ้นตงพยักหน้า “อ้อ”
เกาเหวินยิ้มหวานไม่สะทกสะท้าน “ดราม่ามหาเศรษฐีแบบนี้ฉันเล่นมาเยอะแล้วค่ะ แต่ชีวิตจริงมันใช้ไม่ได้กับฉัน ดังนั้น หวังว่าคุณลุงจะไม่เสียเวลา หวังว่าคุณลุงจะยินดีกับเรา ได้มั้ยคะ”
เจิ้นตงหัวเราะหึๆ
“ถ้าคุณลุงไม่มีอะไรแล้ว คืนนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยงกับเซี่ยวเลี่ยง ขอตัวก่อนค่ะ ลาก่อน”
เกาเหวินลุกเดินออกไปเลย
เจิ้นตงมองตาม พลางหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

เจสันยืนกระวนกระวายรออยู่หน้าร้าน เห็นเกาเหวินเดินออกมารีบเข้าไปลากแขนออกมาถามอย่างร้อนใจ
“เบบี๋ทางนี้ๆ มา นี่ ถามหน่อยเป็นไงบ้าง หา เธอไม่เป็นไรนะ
เกาเหวินเพียงพยักหน้า “อื้อ”
“นี่ เธอพูดกับเขายังไง เขาเอาเงินซื้อเธอใช่มั้ย”
เกาเหวินพยักหน้าอีก “อื้อ”
“นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะบอกให้คนรวยน่ะชอบมีปัญหา แต่เธอพูดยังไงกับเขา”
“ปฏิเสธเขา” เกาเหวินบอกหน้าตาเฉย
เจสันตกใจ “ปฏิเสธ ปฏิเสธยังไง”
“ฉันบอกเขาว่า ฉันจะคบกับเซี่ยวเลี่ยง เขาจะทำอะไรได้”
เจสันร้อนใจใหญ่ ตำหนิเกาเหวิน “เฮ้ย เธอพูดอย่างนี้ไม่ได้ เขาเป็นท่านประธานนะ ถ้าไปมีเรื่องกับเขาเธอจะคุยเรื่องร่วมงานยังไง เธอควรอยู่ในที่ของเธอสิ”
“ก็เพราะเซี่ยวเลี่ยงฉันถึงได้ทำแบบนี้ ถ้าฉันไม่แสดงความแข็งแกร่ง เขาจะกดดันเรา เซี่ยวเลี่ยงก็ต้องปกป้องฉัน ถ้าฉันแสดงได้ไม่ดี เขาต้องหาทางเล่นงานฉัน เซี่ยวเลี่ยงจะได้ไม่ต้องลำบากใช่มั้ย กลับบ้านกันเถอะ”
เห็นซุปตาร์สาว กล้าเหวี่ยงใส่ระดับประมุขบริษัทอัญมณียักษ์ใหญ่โดยไม่แคร์เวิลด์ แล้วเจสันปวดตับอยากจะบ้าตาย
“นี่ นี่ๆ มัน”

มี่เหม่ยลี่ปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงด้วยชุดเดรสสั้นสีครีมขาว เหนือช่วงอกขึ้นไปเป็นลูกไม้บางเบาดูอ่อนหวาน ผมยาวสลวยถูกรวบเก็บด้านหลังง่ายๆ ดูไม่เป็นทางการมาก ยัยอ้วนของเหลยอี้หมิงเดินมาหยุดบ่นงึมงำอยู่ตรงโต๊ะเครื่องดื่ม
“เหลยอี้หมิงบอกว่าฉันดื่มเหล้าไม่ได้ ถ้าดื่มเหล้าจะเกิดเรื่องไม่ดี”
แขกในงานจับกลุ่มคุยกันตามมุมต่างๆ ในงานเลี้ยง จนมีเสียงฮือฮาดังขึ้น บอกต่อกันเป็นทอดๆ
“นี่ๆ เกาเหวินมาแล้ว...เกาเหวินมาแล้ว”
“เกาเหวิน”
เหม่ยลี่หันไปทางเสียง เห็นผู้คนแหวกทางให้ เซี่ยวเลี่ยงในสูทสีขาวดูหล่อลากไส้ทบทวี เดินควงแขนเกาเหวินในเดรสเกาะอกยาวกรุยกรายกรอมเท้าเข้ามา
เกาเหวินหยุดทักทาย “มี่โตะ หวัดดี”
เหม่ยลี่โบกมือทักตอบ “หวัดดี”
เกาเหวินมองเหม่ยลี่ด้วยแววตาชื่นชม “โห เธอใส่ชุดนี้แล้วสวยมากเลย”
“ขอบคุณ”
เกาเหวินบุ้ยใบ้บอกเซี่ยวเลี่ยง “อ้อ ฉันลืมบอกมี่โตะเป็นเพื่อนฉัน ช่วยดูแลเธอหน่อยนะ”
“ไหนบอกว่าจะพาผมไปรู้จักเพื่อน” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“จริงด้วย ฉันพาเขาไปรู้จักเพื่อนหน่อยเดี๋ยวมา ไปค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับ “อื้อ”
เหม่ยลี่มองตามเห็นสองคนควงแขนเข้าไปที่โต๊ะกลุ่มเพื่อนดาราของเกาเหวิน
“ฮาโหล” เกาเหวินทักทายเพื่อนๆ
“ฮาโหล ไม่เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นเยอะเลย” หญิงชุดชมพู หันมาทางเซี่ยวเลี่ยง “คนนี้แฟนเธอเหรอ”
เหม่ยลี่ยืนอยู่ในระยะที่ได้ยินชัดเจน หน้าเศร้าลงชัดแจ้ง
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มทัก “หวัดดีครับ...หวัดดีครับ”
เสียงสาวๆ ในโต๊ะยิ้มหัวชมเซี่ยวเลี่ยงกันไปมา “หล่อจังเลย”

เหม่ยลี่เดินหน้าเศร้ามาเรื่อยๆ หยุดตรงแก้วเหล้าที่วางเรียงรายล่อสายตาอยู่ หล่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบมาจิบดื่มดับกลุ้ม แล้วเกิดติดใจในรสชาติดื่มจนหมดแก้ว และตามมาอีก หลายแก้วติดๆ กัน จนต้องยืนกระแอมกระไออยู่กับที่
เซี่ยวเลี่ยงเดินมาหยุดข้างๆ “คุณดื่มไปแค่ไหนแล้ว”
เหม่ยลี่หันมาหาปฏิเสธ “เอ่อ คือ ฉันไม่ได้ดื่มเหล้าซะหน่อย”
เซี่ยวเลี่ยงชี้มือหลักฐานในมือ “แล้วนี่อะไร”
“มัน ไม่มีเหล้านี่คะ” เจ้าหล่อนว่า
“ไม่ใช่น้ำอัดลมนะ รสชาติหวานแต่ดีกรีแรงมาก”
เหม่ยลี่วางแก้วไว้ที่โต๊ะ เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้าเขม็ง
“ผมถามอะไรหน่อย คุณเป็นเพื่อนกับเกาเหวินได้ยังไง”
“ฉัน ฉันกับเขารู้จักกันตั้งนานแล้ว เรารู้จักกันที่กองถ่ายน่ะค่ะ”
“อย่าบอกนะว่าคุณจงใจเข้าหาเกาเหวิน เพราะผมน่ะ”
“ฉันกับเขารู้จักกันเพราะความบังเอิญจริงๆ ค่ะ เพราะว่า...”
เหม่ยลี่พยายามอธิบายแต่เซี่ยวเลี่ยงไม่ฟัง “ผมไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก แต่ผมเกลียดผู้หญิง ที่เข้าหาผมเพราะมีจุดประสงค์”
เซี่ยวเลี่ยงขยับเข้ามาใกล้พูดพอได้ยินกันสองคน
“ผมไม่สนว่าคุณ เข้าหาผมกับเกาเหวิน ด้วยเหตุผลอะไร อย่าให้มันเหิมเกริมนัก”
เหม่ยลี่หน้าซีด “ฉัน ฉันเปล่านะ”
“ระวังสีหน้าของคุณด้วย ปาปารัซซี่เต็มไปหมด”
“ขอโทษค่ะ ฉัน ฉันไม่ควรมาที่นี่”
“คุณเป็นแขกของเกาเหวิน จะมาหรือไม่มา ไม่เกี่ยวกับผม”
ทำร้ายจิตใจเหม่ยลี่เสร็จ เซี่ยวเลี่ยงก็เดินจากไป

เหม่ยลี่ตาแดง น้ำตาคลอหน่วย พยายามบังคับน้ำตาไม่ให้ร่วงรินออกมาประจานตัวเอง อะไรจะดับความปวดร้าวในใจได้ดีเท่าเมรัยตรงหน้า ยัยอ้วนของอี้หมิงหยิบเหล้ามาดื่มจนนับไม่ถ้วน
ไม่นานต่อมา เหม่ยลี่เมาปลิ้นสะพายกระเป๋าประคองตัวเดินเซออกมา เปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งเบาะหลังในรถคันหนึ่งที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม
“แท็กซี่ส่งฉันกลับบ้าน...ขอบคุณ”
เหม่ยลี่เมาพับหลับลงไปกับเบาะหลังอย่างหมดสภาพ คิดว่าตัวเองอยู่บนรถแท็กซี่

เกาเหวินเมาไม่ต่างกัน เดินหัวเราะร่าออกมา โดยมีเซี่ยวเลี่ยงกับฉีหยูประคองปีกมาคนละข้าง
“ฉันไม่ได้เมา ฉันจะบอกให้ ฉันยังดื่มได้อีกแก้ว ฉันไม่ได้เมา งานกำลังสนุกจะรีบกลับทำไม”
ฉีหยูตะโกนเรียกเจสันซึ่งขับรถตู้มาจอดเทียบพอดี “เจสัน...เจสัน”
เจสันรีบลงมารับตัวไป “อ้าว นี่ เบบี๋อะไรของเธอ”
“เธอดื่มหนักไปหน่อย” ฉีหยูบอก
เจสันส่ายหัวอย่างระอา “เฮ้ยๆ เอ่อ...หมดสภาพเลย”
เกาเหวินเมาปลิ้นหัวเราะร่า จ้องหน้าเจสันถามหาเหม่ยลี่ “เอ๊ะ มี่โตะล่ะ มี่โตะล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงบอกลา “เธอดื่มมากไป ขับรถระวังด้วย”
“ได้ครับ เรากลับก่อนนะ”
ฉีหยูไปช่วยเจสันยัดซุปตาร์สาวขึ้นรถตู้อย่างทุลักทุเล
เกาเหวินโวยวายร้องหาเหม่ยลี่ไม่เลิก “มี่โตะ...มี่โตะล่ะ”
“มีปาปารัซซี่นะ” เจสันบ่นบอก
เกาเหวินโบกมือให้เซี่ยวเลี่ยง “บ๊ายบาย”
“ค่อยๆ”
เกาเหวินหัวชนโน่นชนนี่ “โอ้ย หัวฉัน”
“รองเท้าๆ ”
เจสันยัดรองเท้าเข้าไป ปิดประตูรถดังปัง โบกมือให้สองหนุ่ม “ขอบคุณคุณเซี่ยว” แล้วขึ้นรถขับออกไปเลย
เซี่ยวเลี่ยงยืนส่ง รอจนเจสันขับรถออกไปแล้วฉีหยูหันมาทางเจ้านาย
“คุณเซี่ยว เดี๋ยวผมขับไปส่ง”
“ไม่ต้อง ฉันขับกลับเอง นายกลับไปเถอะ”
“ครับ”
ฉีหยูโค้งลา แล้วเดินออกไปเรียกรถหน้าโรงแรมกลับบ้าน

เซี่ยวเลี่ยงเดินมาขึ้นรถซึ่งฉีหยูนำมาจอดให้ คาดเข็มขัดสตาร์ตเครื่องออกรถไปเลย โดยไม่รู้ว่ามีผู้โดยสารไม่ได้รับเชิญนอนกองอยู่ที่เบาะตอนหลัง

ไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยวเลี่ยงจอดรถเรียบร้อยที่ลานจอดของคอนโด ขณะจะลงรถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีแขนยื่นมาจับไหล่หมับ พร้อมยื่นเงินค่ารถในมือมาให้
“อ่ะ เอาไป”
เซี่ยวเลี่ยงตกใจสุดขีด จนเห็นชัดๆ ว่าเป็นใครก็ยิ่งโมโห
“คุณจะทำอะไร อยู่บนรถผมได้ไง”
เหม่ยลี่เมาไม่ได้สติ ตาจะปิดอยู่รอมร่อยื่นมือป่ายปะให้ค่ารถ
“เสียงดังจังเลย ฉันเอาเงินให้คุณแล้วไม่ใช่เหรอ”
“รีบตื่นเร็ว ลงไป”

เซี่ยวเลี่ยงไล่ตะเพิดเหม่ยลี่ดังลั่น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล!

อ่านต่อตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น