กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 2
เมื่อเห็นว่าฝ่ายหญิงปลอดภัยแน่แล้ว เซี่ยวเลี่ยงจึงยอมปล่อยมือจากชายชุดดำ เขาไม่ได้กลับไปที่โต๊ะ แต่เดินไปทางประตูเข้าออกร้าน เหม่ยลี่เหลียวมองตามไปอย่างงงๆ ชายชุดดำแถมติดอ่างร้องโวยวาย ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ หันมามอง
“เอ๊ะ ผู้...ผู้ชายคนนี้นี่”
เหม่ยลี่โมโหหันมาเอาเรื่อง กดหัวเขาฟาดกับเคาน์เตอร์อย่างแรงอีกรอบ แล้ววิ่งตามเซี่ยวเลี่ยงไป ปล่อยให้ชายชุดดำ บ่นบ้าฮึดฮัดอยู่เพียงลำพัง
“ทำอะไรของเขานะ ปีใหม่ทั้งทีจริงจังไปได้”
เหม่ยลี่วิ่งตามมาจนทัน เรียกเขาไว้ก่อนจะออกจากประตูร้าน
“รอเดี๋ยวค่ะ” เซี่ยวเลี่ยงหยุดเดินหันมาหา “ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ชอบเห็นผู้ชายรังแกผู้หญิงอยู่แล้ว”
“ไม่ว่ายังไง ฉันต้องขอบคุณคุณเซี่ยวมากค่ะ” เหม่ยลี่หลุดปาก
เซี่ยวเลี่ยงชะงักไปนิด จ้องหน้าถามอย่างประหลาดใจ
“คุณเรียกผมว่าไงนะ คุณรู้จักผมเหรอ”
“ฉัน...” เหม่ยลี่ส่ายหน้า คิดหาคำแก้ตัว “ฉันเคยเห็นคุณในหนังสือพิมพ์น่ะ”
“คุณแต่งตัวแบบนี้มาสถานที่อย่างนี้ ระวังตัวหน่อย”
เซี่ยวเลี่ยงเตือนด้วยความหวังดี
เหม่ยลี่มองตามจนเขาเดินออกประตูร้านไป สะอึกอึ้งอยู่พักหนึ่งที่เผลอหลุดปากออกไป ก่อนจะกระแอมกระไอออกมา ยกมือลูบหน้าตัวเอง แล้วหัวเราะขำออกมาเบาๆ
ยิ้มให้ตัวเองอย่างมั่นใจแล้วว่า เซี่ยวเลี่ยง จำเธอไม่ได้จริง
ออกจากลิฟต์เดินพ้นหัวมุม จะตรงไปที่ประตูห้อง เหม่ยลี่ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนหนึ่งยืนเตร็ดเตร่ ชะโงกหน้ามองผ่านช่องกระจกตรงประตูเข้าไปในห้องเธอ พร้อมกับเคาะห้องเรียก
เหม่ยลี่เดินเข้ามาใกล้ๆ “ไม่ทราบว่าคุณคือ...”
เมื่อเห็นว่าคนที่หันมาคือ ทีน่า ดวงตาเหม่ยลี่เบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ ผอ.จอมเหวี่ยง จำเธอไม่ได้
“ฉันมาหามี่เหม่ยลี่ เอ่อ...เมื่อกี้ฉันเคาะประตูแล้วแต่เธอไม่อยู่ คุณเป็นเพื่อนเธอเหรอ”
เหม่ยลี่ก้มหน้าหลบตา รับสมอ้างไปทันที “ค่ะ”
“งั้นคุณช่วยบอกเธอหน่อยว่า ตอนนี้บริษัทกำลังประสบปัญหา โพรเจกต์งานโฆษณาเพชรของเธอจำเป็นต้องเปลี่ยน ฉันต้องการให้เธอกลับมา อ้อ คุณบอกเธอว่าบริษัทต้องการให้เธอกลับมา ส่วนเงื่อนไข แล้วแต่เธอจะเสนอ” ทีน่าว่า
เหม่ยลี่ล้วงหากุญแจห้องอยู่ ค่อยๆ หันมาหา “โฆษณาเพชรอะไร ของเทซีโร่เหรอ”
ทีน่าแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
“เอ่อ...” เหม่ยลี่รู้ตัวรีบหลบตา “ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินเธอพูดถึงน่ะ”
ทีน่าไม่ติดใจอะไร “ยังไงก็รบกวนคุณช่วยบอกเธอด้วยให้เธอรีบติดต่อฉันทันที ขอบคุณมาก”
“อื้ม” เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำ แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง
ทีน่าทำเป็นเดินออกไปยังลิฟต์ เหม่ยลี่ไขกุญแจแล้วรีบผลุบเข้าห้องไปโดยเร็ว กดล็อคประตู
สักครู่หนึ่งทีน่าก็เดินย้อนกลับมา เหม่ยลี่เห็นเงาจากประตูรีบหลบข้างผนัง
ทีน่ายืนฟังเสียงจากในห้องอยู่อีกไม่นาน แต่ทุกอย่างยังเงียบกริบเลยมั่นว่ามี่เหมยลี่คงไม่อยู่ในห้องพักแน่น จากนั้นจึงควักมือถือออกมาจากกระเป๋าถือ กดโทร.สั่งลูกน้อง
“เสี่ยวเฉิน มี่เหม่ยลี่ไม่อยู่บ้าน มีแต่เพื่อนของเธอ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป นายต้องมาบ้านเธอทุกวัน จนกว่าจะได้พบเหม่ยลี่”
เหม่ยลี่นิ่งฟังอยู่ในห้องด้วยสีหน้าเป็นกังวล ได้ยินทุกคำ ทีน่าปรายตามองประตูอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
ทางด้านเหลยอี้หมิง ยังคงงอนง้อถิงถิงไม่เลิก แต่ดูเหมือนหนนี้สาวเจ้าจะไม่ยอมให้อภัยง่ายๆ อี้หมิงเลยกะจะพามาง้อต่อที่บ้านของเขาสองต่อสองให้หายโกรธ
เวลานี้เปิดประตู พาถิงถิงเข้ามาในห้องโถง ออดอ้อนด้วยคำหวานอีกชุด
“ที่รัก ผมผิดไปแล้วผมผิดไปแล้วจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด คุณ...”
ถิงถิงสวนออกมาว่า “งั้นคุณสาบานสิ ว่าเธอเป็นแค่คนไข้ของคุณ”
“ผม...ผมสาบาน เธอมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดผมเลยต้องไปพูดคุยด้วยในฐานะสูตินรีแพทย์ ผมจะปฏิเสธเธอได้ยังไงล่ะ มันจะทำให้ตัวเองเสียชื่อเอาได้ จริงมั้ย”
เขาโกหกคนรักว่าเหม่ยลี่เป็นคนไข้แม่ลูกอ่อนไปโน่น
“งั้นก็ได้ ฉันจะเชื่อคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ถ้ามีครั้งต่อไป ฉันจะทำให้คุณเสียโฉมแน่”
พร้อมกับว่าถิงถิงใช้นิ้วมือแทนมีดทำท่าปาดหน้าเขา
“เสียโฉมเหรอ ผมชอบเลยล่ะ”
อี้หมิงหัวเราะชอบใจถอยหลังไปชิดราวกับบันไดทางขึ้นชั้นสอง เอาแขนฟาดไว้ราวบันได ยอมให้ถิงถิงจัดการแต่โดยดี
“มา ใบหน้าของผมเป็นของคุณอยากทำอะไรก็เชิญ”
“งั้น” ถิงถิงขยับตามเข้าไปใกล้ ยกมือซ้ายพาดไหล่ ส่วนมือขวาไล่ตามแขนอี้หมิงที่พาดอยู่กับราวบันไดลงมา “คุณอยากให้ฉันเริ่มทำจากตรงไหนล่ะ”
อี้หมิง หมุนตัวออกมาดันร่างถิงถิง เข้าไปชิดราวบันไดแทน มือซ้ายจับราวไว้ไม่ให้ถิงถิงไปไหนพ้น
“คุณอยากเริ่มจากตรงไหนก็เริ่มจากตรงนั้นเลย แล้วแต่คุณ”
ถิงถิงทำตาหวานเชื่อม ยั่วยวนหมุนตัวดันอี้หมิงไปติดราวบันไดอีกครั้ง คล้องสองแขนเข้ากับคอเขา
“งั้น คุณต้องเชื่อฟังฉันน้า”
“แน่นอน”
“งั้น...เริ่มจากตรงนี้แล้วกัน คนเก่ง ปิดตาสิคะ”
อี้หมิงหลับตาพริ้มรอการลงโทษ ถิงถิงอี้หน้าเข้าไปจะจูบลงโทษ ทว่ามีบางอย่างที่หางตาเธอแลเห็นที่หัวบันได เมื่อหันไปมองชัดๆ สาวเจ้าถึงกับตกตะลึง
อี้หมิงจึ๊ปาก เพราะเห็นถิงถิงเงียบไปเฉยๆ ลืมตาขึ้นจับหน้าเธอหันกลับมาหา “ต่อสิ”
หมอหนุ่มหลับตาพริ้มรอการลงโทษ ถิงถิงหันขึ้นมามองทางหัวบันไดด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“เหลยอี้หมิง มีคนกินบะหมี่อยู่บ้านคุณ”
อี้หมิงงง “หืม? ใครกินอะไรนะ”
ถิงถิงบอกย้ำว่า “บะหมี่”
อี้หมิงมองตามถิงถิงไป ถึงกับสะดุ้ง ดีดถิงถิงออกจากวงแขนเต็มแรง แหกปากร้องออกด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง เพราะภาพที่เขาเห็นบนหัวบันไดชั้นสองคือ มี่เหม่ยลี่ นางนั่งชันเข่าโซ้ยบะหมี่จากชามในมือ เส้นบะหมี่ยังคาปากนางอยู่ ซึ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“เหลยอี้หมิง คุณบอกว่าเธอเป็นคนไข้หลังคลอดไม่ใช่เหรอ คุณทำหน้าที่หมอถึงที่บ้านเลยเรอะ” ถิงถิงโกรธจัดหันมาชี้มือด่าว่าเชิงถามเหม่ยลี่ “เธอด้วย เธอเป็นใคร เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
อี้หมิงทำเป็นชี้ไม้ชี้มือผสมโรงถาม “ใช่ เธอเป็นใครมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
ถิงถิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนอี้หมิงก็ช็อกๆ อยู่ แต่เหม่ยลี่ยังนั่งโซ้ยบะหมี่เคี้ยวตุ้ยๆ โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ถิงถิงหันมาเอาเรื่องอี้หมิง “ฉันถามคุณว่าเธอเป็นใคร มาอยู่บ้านคุณได้ยังไง”
อี้หมิงหันไปถามเหม่ยลี่ว่า “เธอถามฉันว่า เธอเป็นใครมาอยู่บ้านฉันได้ไง ทำบ้าอะไรของเธอ”
เหม่ยลี่บอกหน้าตาเฉย “ฉันกำลังกินบะหมี่”
อี้หมิงหันมาบอกถิงถิง “เอ่อ...เธอกำลังกินบะหมี่”
ถิงถิงโกรธสุดขีด “คุณโกหกฉันอีกแล้ว คุณอยู่กับยัยอ้วนนั่นทั้งวันฉันยังยอมได้ เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางชอบเขา แต่เธอใส่เสื้อของคุณแล้วยังกินบะหมี่อยู่บ้านคุณเนี่ยนะ”
อี้หมิงเดินเข้าใกล้ๆ “ที่รักๆ คุณฟังผมอธิบายก่อนสิ ฟังผมก่อนนะ”
ถิงถิงสวน “คุณไม่ต้องอธิบาย พอแล้วฉันจะเลิกกับคุณ”
“ผมขอโทษๆ ผมไม่ได้ตั้งใจนะผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
ถิงถิงเงื้อแขนจะตบหน้า อี้หมิงยกแขนกัน เลยโดนอีกฝากกระแทกส้นรองเท้าส้นสูงใส่หน้าขาเต็มแรง
“โอ๊ย” อี้หมิงเจ็บ ตัวงอเป็นกุ้ง เจ็บจริงอะไรจริง
“หมออย่างคุณมันเป็นพวกหลอกลวง ไปอยู่กับผู้หญิงหลังคลอดเถอะ ฉันจะไปหาหมอศัลยกรรมกระดูก”
ถิงถิงสะบัดตัวหันกลับ เปิดประตูบ้านเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว อี้หมิงได้แต่เดินกะเผลกๆ ร้องตามไป แต่ไม่ได้ผล
“ไม่ใช่ ตอนนี้โรงพยาบาลยังปิดอยู่ ที่รัก โอ๊ย”
เหม่ยลี่ถือชามบะหมี่ลุกเดินลงบันไดมาดูอาการ
“เป็นไรรึเปล่าเหลยอี้หมิง”
อี้หมิงก้มหน้ากุมหน้าแข้ง ยังเจ็บไม่หาย “ฉันก็ต้องรีบไปหาหมอเหมือนกัน”
“รีบตามไปพูดให้เธอเข้าใจสิ” เหม่ยลี่เกิดจะมาหวังดี
“ถ้าฉันตามไปแล้วจะอธิบายยังไงเล่า”
อี้หมิงชะงัก นึกขึ้นได้ เดินกะเผลกๆ โวยวายใส่อดีตยัยอ้วนของเขาเป็นชุด
“ไม่ใช่แล้ว เธอมาบ้านฉันทำไมกัน ชาติที่แล้วฉันเป็นหนี้อะไรเธอ ทำไมเธอไม่อยู่ที่บาร์ มาหาฉันที่นี่ทำไม โอย...”
เหม่ยลี่บอกเสียงเศร้า “เกิดเรื่องแล้ว”
อี้หมิงพลอยใจหาย “เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ทีน่าไปหาฉันที่บ้าน”
“เขา” อี้หมิงงง “ไปหาเธอทำไม”
“เขามาตามฉันกลับไป เพราะงานโพรเจกต์ของเทซีโร่มีปัญหา”
“ฝันไปเถอะเรื่องนั้น เรายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย” อี้หมิงโวยวายเพราะยังโกรธที่ทีน่าทำกับเหม่ยลี่ไม่หาย เขาชะงักไปอีกนิด
“อย่าบอกนะว่าเขาจำเธอได้”
เหม่ยลี่ส่ายหน้า เดินไปพิงราวบันได โซ้ยบะหมี่กินต่อ
“ไม่ จำไม่ได้ เขาจำฉันไม่ได้แน่ แต่เท่าที่ฉันรู้จักเขาแล้ว เขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่”
อี้หมิงเดินคลำหน้าแห้งเข้าไปใกล้ๆ พลอยกังวลไปด้วย “งั้น เธอจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่รู้จะทำยังไงใช่มั้ย แต่ฉันคงไม่ทำอะไรหรอก จะปล่อยให้เขาตามหาฉันจนเจอนายว่าดีมั้ย”
“ดี ฉันเห็นด้วย”
เหม่ยลี่ยิ้มแฉ่ง “นายเห็นด้วยแล้วน้า”
“เห็นด้วยน่ะสิ”
“ดีมากเลย ทีน่าไม่รู้แน่นอนว่าบ้านนายอยู่ไหน ที่นี่จึงเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด ฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ขอบคุณนายมาก”
อี้หมิงตาเหลือก ร้องถามเสียงดังลั่น “อะไรนะ เธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอ”
“ใช่น่ะสิ”
“ยัยอ้วนเธอถูกแทงใจดำใช่มั้ย คนที่ถูกแทงใจดำน่ะ มีวิธีหนึ่งสามารถช่วยได้ยืนให้ดี หมุนตัว” อี้หมิงขยับเข้าไปหายกสองแขนจับไหล่สองข้างของเหม่ยลี่หมุนตัวเธอไปทางประตูบ้านชี้บอกเป็นเชิงไล่ “มองเห็นประตูตรงนั้นมั้ย เธอเดินออกไปจากประตูนั้น แล้วก็ทำใจให้สงบ นะ”
เหม่ยลี่สะบัดตัวออก เท้าดันไปเหยียบเท้าข้างที่เจ็บของอี้หมิงเข้าให้
“โอ๊ย! เธอเหยียบฉันอีกแล้ว”
“นี่ๆๆ ฉันรู้ว่านายเพิ่งเจ็บปวดเรื่องความรัก เธอก็อกหัก เวลาแบบนี้เรื่องกินช่วยได้ดีที่สุด”
พร้อมกับว่าเหม่ยลี่จับมือสองข้างของอี้หมิงขึ้นมาวางชามบะหมี่ลงไป
“บะหมี่ถ้วยนี้ฉันให้นาย ไม่ต้องเกรงใจ กินแล้วล้างถ้วยด้วยล่ะ คนเก่ง ฉันไปนอนก่อนนะ”
เหม่ยลี่เดินขึ้นบันไดไปเลย
อี้หมิงผู้ซึ่งมือข้างหนึ่งถือชามบะหมี่ ส่วนอีกข้างกุมขาข้างที่เจ็บ ได้แต่ร้องโวยวายตามหลังไป
“นี่ ยัยอ้วน! เธอทำแบบนี้ได้ยังไง! เธอกำลังทำให้ฉันเดือดร้อน โอ๊ย”
อี้หมิงถือชามบะหมี่เดินกะเผลกๆ พาตัวเองไปนั่งตั้งสติอย่างทุลักทุเล
กลางดึกคืนนั้น อี้หมิงไม่เพียงถูกยึดเตียงนอน ผ้าห่มของเขาก็ถูกยัยอ้วนดึงไปรวบห่มคนเดียวอีกด้วย อี้หมิงพลิกตัวนอนหนุนแขนหน้าของเขาอยู่ใกล้ๆ กับใบหน้าสวยของเหม่ยลี่โดยไม่รู้ตัว จนสักพักหนึ่งจึงรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ อี้หมิงลืมตาสะลึมสะลือคล้ายคนนอนละเมอ เห็นเหม่ยลี่มองตาแป๋วอยู่ เขาหลับตาลง แต่แล้วต้องสะดุ้งลืมตาโพลง ดีดตัวออกห่างด้วยความตกใจ
“เธอทำอะไร”
เหม่ยลี่ยันตัวลุกขึ้นตามยิ้มให้ “ฮิๆๆ ฉันมาอยู่ที่นี่วันแรก เลยยังไม่ค่อยคุ้นเคย ฉันก็เลยนอนไม่หลับน่ะ
อี้หมิงโมโห ร้องโวยวาย วันนี้เขาซวยมาทั้งวัน
“นี่ยัยอ้วน เธอมาอยู่บ้านฉันยังไม่พอใช่มั้ย ยังมานอนเตียงฉันอีกเหรอตอนนี้เธอนอนไม่หลับใช่มั้ย ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หายสักหน่อย เธอ...อาการกำเริบอีกแล้วนะ”
“แต่ว่าตอนนี้ฉันกลัวนี่น่า”
“อย่ามองฉันอย่างนี้สิ” อี้หมิงใจอ่อนจนได้เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนคู่นั้น “วันเดียวนะ”
“ขอบคุณนายมาก”
เหม่ยลี่ยิ้มร่าทิ้งตัวลงนอน ปล่อยให้อี้หมิงพล่ามอยู่คนเดียว
“ยัยอ้วน แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้ฉันเสียเปรียบนะ ฉันจะให้เธออยู่บ้านฉันฟรีๆ ไม่ได้ ต่อไปงานในบ้านทุกอย่างฉันจะยกให้เธอทำทั้งหมด อีกอย่าง ห้ามแตะต้องของส่วนตัวของฉัน และห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของฉัน อะไรคือของส่วนตัวเหรอ ตัวอย่างเช่นผ่าห่มของฉัน แล้วก็ตัวฉัน เธอห้ามแตะต้องเด็ดขาด”
อี้หมิงเอะใจที่เขาเป็นฝ่ายพูดอยู่คนเดียวนานสองนาน หันไปใช้นิ้วจิ้มหัวไหล่เรียกเหม่ยลี่
“นี่ ยัยอ้วน เฮ้ย ยัยอ้วน”
เหม่ยลี่หลับปุ๋ยไปแล้ว อี้หมิงขุ่นมัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองจ้องใบหน้างามยามหลับอีกครั้ง
หมอหนุ่มยิ้มพรายออกมา พร้อมๆ กับความรู้สึกบางอย่างที่ก่อมวลขึ้นในใจเขา
วันต่อมาอี้หมิงพาเหม่ยลี่มาที่สำนักเขตแต่เช้า เพื่อทำบัตรประชาชนใบใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “นางสาวมี่โตะ”
สองคนเดินออกมาหน้าสำนักงานเขต เหม่ยลี่ หยิบบัตรประชาชนออกมาดูอย่างพึงพอใจ
“ตอนนี้เธอสบายใจได้แล้ว ชื่อกับรูปถ่ายก็เปลี่ยนแล้ว ต่อไปจะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร”
เหม่ยลี่หันบัตรไปให้เขาดูใกล้ๆ
“เธอถ่ายรูปสวยมากเลยนะ”
อี้หมิงชี้ที่รูป อดชมไม่ได้ เหม่ยลี่ยิ้มขอบคุณ
เช้าวันเดียวกันนี้ เซี่ยวเลี่ยงในชุดออกกำลังกายรัดรูปอยู่บนลู่วิ่ง เขาออกกำลังกายอยู่ที่ห้องพักหรูหราบนคอนโดสูงเสียดฟ้า เบื้องหน้าซีอีโอหนุ่มเป็นทิวทัศน์มหานครเซี่ยงไฮ้ยามเช้าสุดสายตา โดยมีฉีหยูในชุดสูทถือแผนโฆษณาที่ทีน่าส่งมาให้ รายงานอยู่ข้างๆ
“คุณเซี่ยว เนื้อหาพวกนี้บริษัทโฆษณา L เป็นคนส่งมาทั้งหมดครับ”
เซี่ยวเลี่ยงวิ่งไปบ่นไป “เหมือนกองขยะเลย ห่างไกลจากปรัชญาของเรามาก สู้ตอนพรีเซนต์ครั้งแรกไม่ได้เลย”
“ผมจะให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงใหม่”
เซี่ยวเลี่ยงกดหน้าจอทีวีของเครื่องวิ่งออกกำลังกาย ที่เมื่อครู่หยุดค้างไว้ตอนคุยกับฉีหยู
ภาพในจอเป็นโฆษณาลิปสติก หญิงสาวใบหน้าสวยเฉี่ยว พูดด้วยสีหน้าเย้ายวนว่า
“เธอไม่มีอะไรจะพูดกับฉันจริงเหรอ”
“รีบมาค้นหาสีสันที่คุณชอบ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชาย”
ภาพต่อมาเป็นภาพหญิงสาวในโฆษณาเมื่อครู่ ในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินหรู หล่อนเดินเฉิดฉายบนพรมแดงจากงานเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้นในเซี่ยงไฮ้
โดยมีเสียงกลุ่มคนตะโกนเรียกชื่อ “เกาเหวิน...เกาเหวิน...เกาเหวิน” อย่างบ้าคลั่ง ดังไม่หยุดไม่หย่อน
มีเสียงพิธีกรชายรายงานข่าวประกอบภาพว่า “ตอนนี้นักร้องยอดนิยมเกาเหวินกำลังเดินออกมา การปรากฏตัวของเธอเป็นที่สนใจของทุกคน ตอนนี้เสียงกรี๊ดของแฟนคลับดังสนั่นเชียวล่ะครับ ได้เวลาที่ผมจะมาสัมภาษณ์คุณเกาเหวินแล้ว”
กลุ่มคนยังคงตะโกนชื่อ “เกาเหวินๆๆๆๆ” โดยไม่รู้เหนื่อย
เกาเหวินหยุดโพสท่าสวยๆ ตรงแบคดรอปงาน หันมาโบกมือให้กองทัพสื่อมวลชน และเหล่าแฟนคลับ
“ฉันรักทุกคนค่ะ”
บรรดาติ่งร้อยกรี๊ดแตก ฟินแล้วฟินอีก ชูป้ายบอกรัก รวมทั้งโปสเตอร์ สลอน
“ขอบคุณ” / “ขอบคุณค่ะๆๆๆ”
ฉีหยูฟังแล้วรำคาญ ยื่นมื่อมาจะปิดจอ
“ทำไมมีแต่ผู้หญิงคนนี้ ปิดเลยดีกว่า”
“ไม่ต้อง” เซี่ยวเลี่ยงห้าม เขายิ้มในสีหน้าได้ไอเดียบางอย่าง “ฉันคิดรูปแบบโฆษณาใหม่ได้แล้ว”
มือขวาหนุ่มมองซีอีโอสีหน้าฉงน “คุณหมายถึงบริษัทไหนครับ”
“ฉันหมายถึงเธอ” เซี่ยวเลี่ยงบุ้ยใบ้ไปยังจอทีวีบนเครื่องวิ่งฯ
“เธอเหรอ”
ฉีหยูยื่นหน้ามามองในจอภาพ
เห็นซุปตาร์คนดังโบกไม้โบกมือให้สื่อ กับบรรดาติ่งแล้วเดินเข้างานไป มีเสียงร้องเรียกชื่อดังกึกก้องตามไป
“เกาเหวินๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...”
ในจอเห็นเป็นภาพ กองทัพสื่อ และบรรดาติ่ง เคลื่อนขบวนตามเธอไปเป็นพรวน
“เธอดูเงื่อนไขนี่ก่อน”
เสียงของ “เจสัน” ผู้จัดการส่วนตัวของ “เกาเหวิน” ดังขึ้น
เกาเหวินนั่งแต่งหน้าอยู่ หล่อนกำลังวาดสีปากด้วยลิปสีชมพูสวยแซบ
“ฉันดูหมดแล้ว”
เจสันยืนยิ้มเอาใจ ถือแฟ้มโพรเจกต์โฆษณา เปิดให้ซุปตาร์สาวคนดังที่ขึ้นชื่อในเรื่อง วีน เหวี่ยง ระดับ ตัวแม่ ดูทีละหน้า ในห้องนั้น มีเซี่ยวเลี่ยงนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงโซฟา
“ไม่ใช่เธอดูนี่อีก”
“ฉันดูหมดแล้ว” เกาเหวินบอกเสียงเรียบ
เจสันเก็บแฟ้ม กระแอมเตือน
เซี่ยวเลี่ยงมองอยู่ เอ่ยแทรกขึ้นว่า “คุณเกา ดูสัญญาแล้วคุณต้องการเสนออะไรอีกมั้ย”
เกาเหวินเติมหน้าไปคุยไป โดยไม่ยอมมองหน้าคู่สนทนา “มีแน่นอน ฉันไม่ชอบให้โฆษณามาทำให้ฉันเสียเวลาในการถ่ายหนัง ดังนั้นรูปแบบการโฆษณาต้องขึ้นอยู่กับฉัน ถ้ามีปัญหาทำให้ภาพลักษณ์ของฉันเสียหายพวกคุณจะต้องรับผิดชอบ”
เจสันรับรู้ชื่อเสียงของ เซี่ยวเลี่ยง และ ซีเทโร อย่างดี รีบพูดเอาใจ
“เอ่อ ถึงปัญหาจะมากมาย ตราบใดที่เงื่อนไขเหมาะสมเราก็สามารถคุยกันได้ครับ”
“ผมก็ชอบทำงาน กับคนที่พูดคุยง่ายๆ หวังว่าเราคงได้ร่วมงานกัน” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“ขอให้งานราบรื่นครับ” เจสันเดินไปหาเซี่ยวเลี่ยง ยื่นมือไปจับ แสดงความยินดี
“เดี๋ยวก่อน” เกาเหวินทักท้วงขึ้น ลุกเดินไปปัดมือเจสันออก ลงนั่งข้างๆ เซี่ยวเลี่ยง
“อวยพรตอนนี้เร็วเกินไปหน่อยนะ คุณเซี่ยว แต่ถ้าฉันมีงานที่ดีกว่า ก็คงไม่สามารถเซ็นสัญญากับคุณได้”
เซี่ยวเลี่ยงหัวเราะเบาๆ เขาเตรียมรับมือซุปตาร์ขาเหวี่ยงไว้แล้ว
“ไม่เป็นไร คุณเกา ผมคิดว่าสัญญาฉบับนี้อาจทำให้คุณสนใจมากขึ้น”
ซีอีโอหนุ่มหยิบแฟ้มข้างตัวออก ยื่นให้ผู้จัดการของหล่อน เจสันรีบเปิดอ่านเงื่อนไข ก่อนจะอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“โอ๊ะ โอ้โห นี่มัน”
เกาเหวินหันมามองหน้าเซี่ยวเลี่ยง เขาอธิบายว่า
“สัญญาที่ว่างเปล่า เงื่อนไขทั้งหมดแล้วแต่คุณเกาจะเขียนลงไป ผมจะพยายามทำให้คุณพอใจ”
“คุณเซี่ยวคุณมีความจริงใจมากๆ” เจสันกอดแฟ้มสัญญาแนบอก หัวเราะร่า
“คืออย่างนี้ ผมไม่ชอบถูกใครปฏิเสธ และผมยิ่งไม่ชอบคนที่ปฏิเสธผมโดยไร้เหตุผลแบบคุณ” เกาเหวินกอดอกนิ่งฟังยิ้มในสีหน้า ท่าทีพึงพอใจเอาการ “ผมจะให้เวลาคุณคิดดู หวังคุณจะให้คำตอบผมโดยเร็วที่สุด”
พูดจบเซี่ยวเลี่ยงก็ลุกเดินออกไปทันที
“เอ่อ คุณเซี่ยวโชคดีครับ คุณเซี่ยวบ๊ายบาย”
เจสันดี๊ด๊าโบกมือส่ง ก่อนจะลงนั่งข้างเกาเหวินซึ่งนั่งกอดอกอยู่
สิ่งหนึ่งที่เหม่ยลี่นำติดตัวมาด้วย ขณะย้ายมายึดห้องนอนอี้หมิง ก็คือ เสื้อสูทของเซี่ยวเลี่ยง
ค่ำคืนนี้เธอไม่ยอมนอน นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องหยิบสูทออกมาลูบๆ คลำๆ ก่อนจะดอมดมอย่างหลงใหล หวนนึกถึงตอนเขาโชว์แมนถอดเสื้อสูทมาปิดตูดให้ต่อหน้าคนทั้งออฟฟิศที่หัวเราะเยาะเธอ
“วันนี้คุณทำได้ดีมาก งานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ คุณต้องไปให้ได้นะ”
รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดที่เขาจัดการชายชุดดำ ที่พยายามลวนลามเธอกลางผับ
“ขอบคุณที่ช่วยฉันค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ชอบเห็นผู้ชายรังแกผู้หญิงอยู่แล้ว”
เหม่ยลี่กอดเสื้อแนบอกสีหน้าครุ่นคิด คำพูดทีน่าดังก้องขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์ตอน ผอ.สาวไปดักรอถึงหน้าประตูห้อง ผุดซ้อนขึ้นมาติดๆ กัน
“งั้นคุณช่วยบอกเธอหน่อยว่าตอนนี้บริษัทกำลังประสบปัญหา โพรเจกต์งานโฆษณาเพชรของเธอจำเป็นต้องเปลี่ยนฉันต้องการให้เธอกลับมา”
คิดแล้ว เหม่ยลี่มองเสื้อในมือ นางเกิดเป็นกังวลและไม่สบายใจ รำพึงรำพันออกมา
“ถ้าเขาไม่ได้งานโพรเจกต์นี้ เขาจะลำบากรึเปล่านะ”
เหม่ยลี่วาดเสื้อสูทมาห่มคลุมไหล่ ยิ้มออกเหมือนคิดบางอย่างได้ กดเปิดโน้ตบุ๊กตรงหน้า คร่ำเคร่งพิมพ์ข้อมูลบางอย่างลงไป
แน่นอนว่า ย่อมเกี่ยวกับ เซี่ยวเลี่ยง และ เทซีโร
รุ่งเช้าวันต่อมา เหม่ยลี่พาตัวเองมาอยู่ที่โถงล็อบบี้สำนักงานเทซีโร พร้อมแฟ้มบางอย่างในมือ เธอเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ
“ฉันต้องการพบคุณเซี่ยวค่ะ”
“ตอนนี้คุณเซี่ยวไม่อยู่ ไม่ทราบคุณนัดไว้รึเปล่าคะ” พนักงานหญิงถาม
“เปล่าค่ะ”
“งั้นฉันจะโทร.ไปถามให้ค่ะไม่ทราบว่าคุณชื่อ...”
“เอ่อ ฉันชื่อ...มี่...” เหม่ยลี่อึกอัก สุดท้ายเปลี่ยนความคิด บอกไปว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่มีอะไรแล้ว ฉันนั่งรอเขาตรงนี้แล้วกัน ขอบคุณค่ะ”
“ได้ค่ะ”
เหม่ยลี่เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้รับรอง ไม่นานนัก เซี่ยวเลี่ยงก็เดินคุยเข้ามาพร้อมฉีหยู
“คุณเซี่ยว วันนี้คุณเกาเหวินโทร.มา นัดเจอคุณวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้จะบอกท่านรองประธานมั้ยครับ”
“เรื่องพวกนี้ไม่รบกวนรองประธานดีกว่า”
“ผมกลัวว่าทางคุณหลินจะ...”
เหม่ยลี่หันไปเห็น เธอรีบลุกยืน หันหลังยกมือปิดหน้าปิดหน้า
“เขาคงจำฉันไม่ได้หรอกนะ”
สองหนุ่มเดินคุยกันไปทางลิฟต์
“ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น”
เหม่ยลี่ตั้งสติสูดลมหายใจลึกๆ แล้วหันไปหา ร้องเรียกเซี่ยวเลี่ยงไว้ โดยไม่รู้ว่าเขากับผู้ช่วยขึ้นลิฟต์ไปแล้ว
“รอเดี๋ยวค่ะ คุณเซี่ยว”
คนที่เธอเจอ และมองจ้องอยู่อย่างงุนงงกลับเป็น รองประธาน หลินจื่อเหลียง คู่ปรับของเซี่ยวเลี่ยง
“เซี่ยวเหรอ คุณมาหาคุณเซี่ยวสินะ” จื่อเหลียงยิ้มหล่อให้
“ค่ะ”
“มีเรื่องอะไรบอกผมได้นะ บางทีผมอาจช่วยคุณได้”
“สวัสดีค่ะ รบกวนคุณช่วยฝากนี่ไปให้คุณเซี่ยวได้มั้ยคะ”
พร้อมกับว่า เหม่ยลี่ยื่นแฟ้มในมือให้
จื่อเหลียงถามย้ำ “คุณเซี่ยวเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ได้แน่นอน” จื่อเหลียงรับมา
“ขอบคุณคุณมากค่ะ ลาก่อน”
“ลาก่อน”
เหม่ยลี่เดินออกไป ชนเข้ากับประตูหมุนที่จะปิดอยู่
“โอ๊ะ”
สาวเคยอวบแสดงความเปิ่น เฉิ่ม ออกมาจนได้ ยิ้มแห้งๆ ให้รองประธานที่ยืนยิ้มหล่อส่งอยู่ แล้วรีบเดินออกไปทันทีที่ประตู
จื่อเหลียงหันตัวกลับ ยกแฟ้มในมือขึ้นมาดูชัดๆ พบข้อความบนปกเขียนไว้ว่า
“แผนโฆษณาของเทซิโร”
มันเป็นโพรเจกต์แผนโฆษณาที่เหม่ยลี่อดตาหลับไม่ยอมนอน นั่งทำอยู่ทั้งคืนนั่นเอง
ทันทีที่เซี่ยวเลี่ยงก้าวเท้าเข้ามาในห้องประชุม ทุกสายตาก็มองมายังเขาเป็นตาเดียว มีแววเยาะหยันในแววตาทุกคู่ ผู้บริหารอาวุโสหนึ่งในที่ประชุม ร้องทักขึ้น
“โอ้โห พระเอกข่าวอื้อฉาวของเรามาแล้ว”
พร้อมกับว่าหันรูปภาพของเกาเหวินในมือมาทางเขา กลุ่มผู้บริหารหัวเราะกันเกรียวกราว
เซี่ยวเลี่ยงยืนอยู่ที่หัวโต๊ะยังไม่ยอมนั่ง “ทุกคน เรียกประชุมกะทันหันไม่ทราบมีเรื่องอะไรรึเปล่า”
ผู้บริหารคนเดิมยกปกนิตยสารแนวปาปารัซซี กอซซิปบันเทิง หน้าปกเป็นรูปซุปตาร์เกาเหวิน และมีภาพของเซี่ยวเลี่ยงประกอบพร้อมข่าวื้อฉาวชวนเสียวไส้
“คุณเซี่ยว คุณช่วยอธิบายให้ทุกคนฟังหน่อยว่านี่คืออะไร”
เซี่ยวเลี่ยงไม่แม้แต่จะมองปกหนังสือนั้น “ผมคิดว่าผมไม่ควรอธิบายเรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน”
ผู้บริหารคนแรกออกปากตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า “ที่แท้ คุณมีข่าวฉาวกับดาราหญิง แต่กลับบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดที่นี่ แต่ว่า คุณกลับเอาธุรกิจกับความรักมารวมกัน แอบเซ็นสัญญา กับดาราหญิงลับหลังท่านประธาน ให้เธอเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาของเรา อย่างนี้เรียกว่าเรื่องส่วนตัวของคุณเหรอ นี่มันเกี่ยวข้องกับเกียรติของบริษัทเราชัดๆ เลย” ตอนท้ายผู้บริหารท่านนั้นยังหันไปบิวท์คนอื่นๆ ด้วย
มีผู้บริหารอีกหลายคนในที่ประชุมพยักพเยิดสนับสนุน “ใช่ๆๆ”
จื่อเหลียงเหลียวมองปฏิกิริยาในที่ประชุม จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ทุกท่านไม่ต้องกังวล ผมเชื่อว่าคุณเซี่ยวไม่มีทางเอาภาพลักษณ์ของบริษัทมาล้อเล่น เขาต้องจัดการอย่างถูกต้อง เพื่ออธิบายให้ทุกท่านทราบแน่นอน”
เซี่ยวเลี่ยงรู้เท่าทันปากหวังดีแต่ประสงค์ร้ายของอีกฝ่าย
“รองประธานหลิน ดูเหมือนคุณจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ หรือว่าคุณเป็นคนเปิดเผยออกไป”
จื่อเหลียงลุกพรวดขึ้น “ผมกำลังช่วยคุณ ทำไมถึงมาเล่นงานผมล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงหันไปมองบรรดาอาวุโสในที่ประชุมบอกว่า
“ผมไม่ต้องการให้ใครช่วย เพราะผมสามารถจัดการเองได้”
ผู้บริหารคนแรก เคาะโต๊ะอย่างม่พอใจ “แต่ตอนนี้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งแล้วนะ”
ผู้บริหารอีกคนสบช่องรีบไล่บี้ทันที “เรื่องนี้ดูเหมือนว่า เหมือนจะจัดการไม่ไหวแล้วล่ะ นี่พ่อหนุ่ม อย่าทำเป็นอวดฉลาดไปหน่อยเลย”
“ฉลาดหรือไม่ไม่สำคัญ แล้วคอยดูผลงานผมแล้วกัน”
เซี่ยวเลี่ยงตอกกลับแล้วเดินหุนหันออกไปเลยพร้อมกับมือขวา
ผู้บริหารที่เปิดประเด็นคุมแค้น “อวดดีไปเถอะ”
หลินจื่อเหลียงหยิบปกแมกกาซีนที่ผู้บริหารเลื่อนให้ขึ้นมาดู ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ซุปตาร์สาวเห็นข่าวแล้ว และเวลานี้กำลังโมโหสุดขีดอาละวาดเอากับผู้จัดการส่วนตัว และทำท่าจะลงไปอาละวาดต่อที่ เทซีโร แต่เจสัน ต้องคอยกันไม่ให้ไปไหนได้
“อย่าๆๆ เธออย่าเพิ่งออกไป อย่าเพิ่งโมโห คนกำลังมองอยู่นะ มาๆ ฉันจัดการเอง”
“ตอนนี้เธอจะจัดการเหรอ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ระวังล่ะ ถูกคนอื่นมองแล้วไง ฉันเกาเหวิน นอนวันนึง 3 ชั่วโมง 21 ชั่วโมงที่เหลือมีตอนบ้างที่ไม่ถูกจับตามอง ฉันทำงานให้เซี่ยวเลี่ยง แต่เขากลับเอาข่าวฉันไปให้ปาปารัซซีได้ หลบไป”
“ไม่นะ อย่าๆๆ นี่ เธอสงบสติอารมณ์ก่อนได้มั้ย ใช่ คนให้ข่าวปาปารัซซีเป็นคนของเขา แต่ต้องไม่ใช่เซี่ยวเลี่ยงแน่ เธออย่าอคติกับเขาได้มั้ย ไม่งั้นจะมีปัญหานะ”
“ในเมื่อเขาทำแล้ว ยังต้องกลัวปัญหาอะไรอีกล่ะ”
เจสันลนลานใหญ่ เพราะรู้ฤทธิ์เกาเหวินดี วิ่งไปดักในลิฟต์ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้าได้
“ไม่ใช่ ถ้าเธอมีเรื่องสัญญาของเราก็พังน่ะสิ เธอดูสัญญาสิมีภาพยนตร์แล้วก็...”
เจสันมัวแต่พล่ามเรื่องงาน หันมาอีกทีเกาเหวินก็เข้าลิฟต์อีกตัวลงไปแล้ว
“นี่ๆ ไม่นะ ไม่นะ”
เจสันกดเรียกลิฟต์ขึ้นแต่ไม่เป็นผล
เกาเหวินบุกเข้ามาในห้องทำงานของเซี่ยวเลี่ยง กวาดของบนโต๊ะออกแล้วกระแทกแฟ้มสัญญาโฆษณาลงอย่างแรง พร้อมกับประกาศกร้าว
“ฉันยกเลิกสัญญา”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ได้ตกใจ หรือโมโหสักนิด ถามเสียงเรียบว่า “เกิดอะไรขึ้น”
เกาเหวินยกแขนเท้าโต๊ะ ยื่นหน้ามาหาเขาใกล้ๆ “ฉันควรถามคุณมากกว่านะคุณเซี่ยว เวลาคุยงานกลับถูกปาปารัซซีถ่ายทุกครั้ง คุณคิดว่าเป็นแค่อุบัติเหตุเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มบอก “แบบนี้ไม่ดีเหรอ”
เกาเหวินแปลกใจ “เพราะอะไร”
“เพื่อผลประโยชน์ของเราไง”
“คุณไม่ได้ล้อเล่นฉันใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงผายมือให้ “นั่งสิ มาคุยกันหน่อย”
เกาเหวินลากเก้าอี้มานั่ง “มีอะไรต้องคุยกันอีก ฉันจะบอกให้ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือคนทรยศ ยกเลิกสัญญา”
เซี่ยวเลี่ยงเท้าคางย้อนถาม “ยกเลิกสัญญาแล้วสามารถปิดข่าว เรื่องเราเป็นคนรักกันได้เหรอ”
“ไม่เป็นไร ฉันสามารถสร้างเรื่องที่ใหญ่กว่าเพื่อกลบข่าวนี้ได้แน่”
“ผมคิดว่าคุณจะฉลาดกว่านี้ซะอีก”
“ฉันส่งสัญญาไปแล้ว บริษัทนายหน้าจะคุยกับคุณเอง” เกาเหวินยืนกรานความคิดดังเดิมลุกเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยวเลี่ยงเรียกไว้ เกาเหวินหยุดหันมา “ผมคิดว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากข่าวได้”
ซีอีโอหนุ่มลุกเดินมาประจันหน้าโน้มน้าวซุปตาร์สาวด้วยเหตุผล “นักแสดงหญิงอย่างคุณ พึ่งพาแค่ความสวย คุณคิดว่าจะอยู่ได้กี่ปีล่ะ” พร้อมกับว่าเขาจับร่างแบบบางลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ส่วนเขาเดินมานั่งริมโต๊ะทำงาน “ผมสามารถทำให้คุณเป็นดาราแถวหน้าได้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากข่าวอื้อฉาวครั้งนี้”
เกาเหวินมีท่าทีอ่อนลง “ทำไมฉันต้องเชื่อคนทรยศฉันด้วย”
“ก็เพราะทั้งผมและคุณ ถ้าไม่มีใครเชื่อความสามารถของผม ก็เหมือนกับที่ไม่มีใครเชื่อฝีมือการแสดงของคุณ นี่แสดงให้เห็นถึง โอกาสที่ดีของเราสองคนไม่ใช่เหรอ”
“งั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร”
เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้ามาใกล้ จนเกาหวินต้องเบี่ยงหน้าหลบ “คุณต้องร่วมมือกับผม ช่วยผมโฆษณาแบรนด์เทซีโร่ให้ดีที่สุด”
“ฉันคิดไม่ผิดเลย คุณอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่เอง”
“ผมก็มองไม่ผิดว่า คุณฉลาดกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ มาก”
เกาเหวินถอนใจ ประชดส่ง “เฮ่อ...งั้นจะให้ฉันประกาศความรักของเราเลยมั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงอธิบายแผนของเขา พร้อมกับทำไม้ทำมือประกอบ “ยังไม่ถึงเวลา คุณต้องทำให้บริษัทนายหน้าปฏิเสธ ทำให้เรามีข่าวอื้อฉาวมากขึ้นไปอีก เมื่อถึงจุดสูงสุดที่ประชาชนอยากรู้อยากเห็น...นั่นคือผลประโยชน์สูงสุด บึ้ม เมื่อถึงตอนนั้นเราก็ชนะแล้ว”
เกาเหวินทึ่งไอเดียเขายื่นมือมาให้จับ “ร่วมมืออย่างมีความสุข”
เซี่ยวเลี่ยงจับมือเธอตอบ “ร่วมมืออย่างมีความสุข”
สองคนยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันครู่หนึ่ง ก่อนที่เกาเหวินจะชักมืออกมา
อีกฟาก อี้หมิงทำตัวลับๆ ล่อๆ ค่อยๆ เปิดประตู โผล่หน้าเข้ามาในบ้านของเขา กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นเหม่ยลี่เขาจึงก้าวเข้ามา ปิดประตูลง วิ่งมาหยุดหันหลังเอาตัวแนบกับราวตรงตีนบันได จากนั้นก็มองขึ้นไปดูชั้นบนอีกรอบ ละสายตามามองทั่วชั้นล่างอีกหน หมอหนุ่มพ่นลมหายใจโล่งอก ก่อนจะเดินมาที่โถงรับแขก แต่ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงทักขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ”
“โอ๊ะ” อี้หมิงเหลียวขวับไปทางเสียงเห็นเหม่ยลี่เดินออกมาจากทางครัว สวมสูทของเซี่ยวเลี่ยงทับชุดอยู่กับบ้าน “ทำอะไรของเธอฉันตกใจหมดเลย วันนี้เธอทำอะไรบ้าง”
“ซักผ้าทำกับข้าว” เหม่ยลี่ตอบอย่างซังกะตาย เหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อี้หมิงเดินมาดู กับข้าวที่เธอเตรียมไว้ให้ทาน “เธอเป็นคนทำเหรอ นี่คืออะไร”
“ซุปที่นายชอบกินไง”
“ซุปอะไร”
เหม่ยลี่เคาะที่หม้อซุป “ซุปไข่มะเขือเทศ”
“ซุปไข่มะเขือเทศ” อี้หมิงเปิดฝาดูแล้วต้องตะลึง เมื่อเห็นมะเขือเทศสองลูก ถูกต้มรวมกับไข่ไก่ทั้งเปลือก ต้องถามย้ำ “นี่เหรอซุปไข่มะเขือเทศของเธอ น้ำซุปของเธอจะเอาไว้ฆ่าคนเหรอ” หมอหนุ่มปิดผาหม้อโครม
คราวนี้เหม่ยลี่ยื่นถ้วยข้าวมาให้ อี้หมิงยกขึ้นมาดู ข้าวในถ้วยไหม้จนดำปี๋
“นี่พี่สาว นี่มันข้าวย่างแล้วนะ
เหม่ยลี่ปิดฝาหม้อหุงข้าว หยิบหนังสือซุบซิบดารามาวางตรงเคาน์เตอร์
“เซี่ยวเลี่ยงมีแฟนแล้ว”
อี้หมิงหยิบมาดู เห็นภาพข่าวเซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินแล้วถึงบางอ้อ มองยัยอ้วนของเขาที่ยืนซึมตาแดงๆ ด้วยความสงสาร
“เอ่อ…เธอรู้แล้วเหรอ ฉันว่ายัยอ้วน เธออย่าหลอกตัวเองอีกเลย เธอจะแอบรักเขาไปถึงไหนแค่นี้ยังเจ็บปวดไม่พอเหรอ เธอไม่ใช่สเปกของเซี่ยวเลี่ยงหรอกนะ เธอเชื่อฉันเถอะ”
เหม่ยลี่ขึ้นเสียงใส่ “ฉันแอบรักเขาแล้วยังไงกันเล่า เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันหวั่นไหว ฉันเจ็บปวดแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”
อี้หมิงโมโห สวนกลับเสียงดังพอกัน “เธอกำลังทำผิดนะ แอบรักก็ต้องดูด้วยว่าเหมาะสมมั้ย ใช่ว่าเธอรักเขาข้างเดียวแล้วมีความสุขนี่ งั้นเอาอย่างนี้ ฉันจะช่วยเธอ ช่วยให้เธอลืมเขา” อี้หมิงเดินอ้อมไปหาในเคาน์เตอร์ถอดสูทออก “มา ถอดเสื้อผ้า”
เหม่ยลี่โวยวายขัดขืน “นายทำบ้าอะไร”
อี้หมิงถอดออกจนได้ ม้วนเสื้อกำไว้ในมือ ตั้งกฎเหล็กขึ้นมาใหม่
“ถอดออก ฟังให้ดี ในบ้านฉัน ห้ามมีของของผู้ชายอื่นเด็ดขาด”
อี้หมิงปรี่ไปที่ประตู เปิดแล้วโยนสูททิ้งไป
“คืนมานะ นายทำบ้าอะไรเนี่ย ทำไมต้องทิ้งของฉันทิ้งด้วยนั่นเป็นของสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ฉันนะ”
เหม่ยลี่ร่ำไห้ ร้องโวยวายจะวิ่งออกไปเก็บ แต่อี้หมิงไม่ให้ไปลากกลับเข้าบ้าน
“นี่เป็นบ้านฉัน ฉันอยากทิ้งอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
เหม่ยลี่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความน้อยใจ เสียใจ “ทำไมนายต้องทิ้งของของฉันด้วย นี่เป็นบ้านนายใช่มั้ย ได้เลย งั้นฉันไปเอง”
เหม่ยลี่ฟาดอี้หมิงไปทีแล้วเดินไปคว้าเสื้อคลุมตรงโซฟา วิ่งเตลิดเปิดประตูปิดเต็มแรง หนีออกจากบ้านไปเลย
อี้หมิงโมโห และโกรธเช่นกันบ่นบ้าด่าลมด่าแล้งอยู่คนเดียว
“อยากไปก็ไปเลย ใครจะไปตามหาคนโง่อย่างเธอเล่า”
อี้หมิงเดินมานั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ตรงครัว หยิบถ้วยข้าวไหม้มาดู วางลงโครมด้วยความหงุดหงิด
ดึกมากแล้ว เหม่ยลี่ยังคงนั่งเศร้าอกหักยับเยินอยู่ในร้านกาแฟละแวกบ้านอี้หมิง แต่ไม่ยอมเข้าบ้านเขา ภาพความคิดในหัววนเวียนอยู่แต่ความแสนดีของเซี่ยวเลี่ยง สลับกับภาพข่าวการคบหากันระหว่างซีอีโอหนุ่มกับซุปตาร์สาวเกาเหวิน คำพูดตอกย้ำของเหลยอี้หมิงดังกึกก้องในหัวหูของเธอ
“เธอไม่ใช่สเปกของเซี่ยวเลี่ยงหรอกนะ เธอเชื่อฉันเถอะ”
“ฉันแอบรักเขาแล้วยังไงกันเล่า เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันหวั่นไหวฉันเจ็บปวดแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”
“เธอกำลังทำผิดนะ แอบรักก็ต้องดูด้วยว่าเหมาะสมมั้ย ใช่ว่าเธอรักเขาข้างเดียวแล้วมีความสุขนี่”
พนักงานเสิร์ฟหญิงเดินเข้าขอเก็บโต๊ะ บอกด้วยท่าทีเกรงใจ
“คุณคะขอโทษค่ะเราจะปิดร้านแล้ว ฉันเก็บแก้วให้นะคะ”
เด็กเสิร์ฟ เดินหายไปทางหลังร้าน เหม่ยลี่เหลียวมองผ่านกระจกออกไปนอกร้านแล้วสะท้อน เห็นแต่ความอ้างว้าง ไร้ผู้คน ยินเสียงความคิดของเธอดังขึ้น
“ดึกขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่มีใครสักคน เหลือแค่ฉันคนเดียว ฉันควรไปไหนดีนะ ฉันพอจะไปที่ไหนได้บ้างนะ บางทีสำหรับฉันแล้ว ความรักของฉัน คงไม่มีทางสมหวังเหมือนคนอื่นหรอก”
สุดท้ายเหม่ยลี่หอบความช้ำเดินมาหยุดหน้าประตูบ้านอี้หมิง ยืนหันหลังพิงผนัง แต่ไม่กล้าเข้าไป
ทางด้านอี้หมิง บ่นพึมพำจนเสียงดังออกมาถึงหน้าบ้าน
“ยัยอ้วน ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมา หนีออกจากบ้านจริงๆ ด้วย คอยดูว่าฉันจะจัดการเธอยังไง”
หมอหนุ่มร้อนใจเป็นห่วงเพื่อนเปิดประตูออกมาเพื่อจะไปตามหา แต่ต้องสะดุ้ง ทั้งประหลาดใจแกมดีใจ เมื่อเห็นเหม่ยลี่ยืนหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้านนี่เอง เขาเดินเข้ามาหา
“คุณย่า เธอหนีออกจากบ้านไม่ใช่เหรอ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“นอกจากนายแล้ว ฉันไม่รู้จะไปหาใครน่ะสิ”
“งั้นก็เคาะประตูสิ เธอมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม อยากเป็นยามเหรอ เอาเถอะ ฉันพูดจารุนแรงไปหน่อยฉันทำให้เธอโกรธฉันผิดไปแล้ว ฉันยอมรับผิดก็ได้ เร็ว เข้าบ้านเถอะ”
“แต่ฉันขอร้องอะไรนายอย่างนึงได้มั้ย”
“เข้าไปก่อนค่อยคุย” อี้หมิงดึงแขนเหม่ยลี่พาเข้าบ้านไป
เหม่ยลี่เดินมานั่งที่โซฟารับแขก อี้หมิงหยิบแก้วน้ำร้อนตรงโต๊ะกลางยัดใส่มือให้
“น้ำยังร้อนอุ่นมือสิ อ้อ จริงสิ เมื่อกี้เธอจะขอร้องอะไรฉันล่ะ รอเดี๋ยวนะ”
อี้หมิงเดินหายไปหลังเคาน์เตอร์หยิบสูทแสนหวงมายื่นให้ “เอาไป”
เหม่ยลี่หันมามองแล้วต้องชะงัก “นายเก็บกลับมาให้ฉันแล้วเหรอ”
“คราวนี้พอใจแล้วใช่มั้ย”
“พอใจแล้ว”
อี้หมิงอดบ่นอีกไม่ได้ “ยัยอ้วนเธอคิดว่ามันคุ้มเหรอ”
เหม่ยลี่บ่นระบาย “ฉันไม่ได้ต้องการเสื้อตัวนี้ แต่ฉันอยากเก็บความฝันเอาไว้ต่างหาก เพราะผู้หญิงทุกคน ย่อมต้องการมีความฝันที่สวยงาม ฉันรู้ว่าฉันกับเซี่ยวเลี่ยงเหมือนอยู่กันคนละโลก ถึงฉันจะกลายเป็นคนสวย เขาก็ไม่มีทางมองฉัน”
อี้หมิงฟังแล้วหงุดหงิด ยกมือกุมหน้าฝาก “เอาล่ะไม่ต้องพูดแล้ว เธออย่าเศร้าให้ฉันเห็นสิ ถ้าเธอจะเศร้าเสียใจล่ะก็ออกไปข้างนอกเลย ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นอย่างนี้” หมอหนุ่มเดินมานั่งตรงพนักวางแผนข้างเหม่ยลี่ “ยัยอ้วน รักคนอื่นได้แต่ก็ต้องรักตัวเองด้วยสิ”
เห็นอีกฝ่ายหน้าเศร้าไม่พูดไม่จา อี้หมิงถอนใจได้แต่ดึ้งรั้งร่างยัยอ้วนของเขามากอดปลอบ เหมยลี่ยกสูทเซี่ยวเลี่ยงมาแนบอก เหลยอี้หมิงยิ่งสงสาร
อี้หมิงออกเวรกลับเข้าบ้านในตอนเช้าอีกวัน เขาต้องประหลาดใจเมื่อมองไปที่โต๊ะทานอาหาร เห็นเหม่ยลี่ แต่งตัวสวยเวอร์จัดเต็ม สวมหมวกสีน้ำเงินเข้มรับกับชุดกระโปรงสั้นสีน้ำทะเลแสนสวย นั่งเตรียมอาหารอยู่อย่างเบิกบาน ต่างกันลิบลับกับศพเดินได้เมื่อวันก่อน
“นี่ยัยอ้วน ไปกินข้าวแต่งตัวอย่างนี้ดูแปลกๆ นะ แต่งตัวอย่างกับดาราฮอลลีวูดแน่ะ”
เหม่ยลี่วางตะเกียบในมือ ยิ้มแป้น “กลับมาแล้วใช่มั้ย ฉันจะให้นายดูอะไร”
สาวเคยอวบหยิบรีโมตมากดเปิดทีวี อี้หมิงเท้าโต๊ะมองตามงงๆ
ในจอ เห็นนักข่าวหญิงรายงานข่าวเผือกเผ็ด รับอรุณ
“ตามข่าวล่าสุดเป็นเพียงความเข้าใจผิด เจสันผู้จัดการส่วนตัวของเกาเหวินได้ปฏิเสธความรักของเขาสองคน เกาเหวินยิ้มในขณะที่เข้าร่วมงานอีเว้นท์ และบอกว่าเธอกับคุณเซี่ยวเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น”
เหม่ยลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องจอกดรีโมตปิดทันทีที่รายงานข่าวนี้จบ
“เห็นรึยัง ข่าวนั่น เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”
นางปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะสะใจ อี้หมิงอดยื่นหน้าไปถามไม่ได้
“เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย หะ”
“เรื่องนี้สำหรับฉันแล้วนี่เป็นเรื่องน่ายินดีมาก ดังนั้นฉันจะเริ่มไล่ล่าเซี่ยวเลี่ยงอย่างเป็นทางการ เย้!”
เหม่ยลี่กำกำปั้นชูมือออกท่าออกทางพร้อมจะสู้เต็มที่ จนอี้หมิงตกใจ พูดสวนออกไปยกมือปราม
“ไม่ใช่ๆ เดี๋ยวก่อนๆๆ นี่มันเรื่องอะไรกันฉันรู้สึกงงกับอาการของเธอจริงๆ”
“ยังมีอีกเรื่อง วันนี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากบริษัทเขาให้ไปสมัครเป็นเลขาคุณเซี่ยว เซอร์ไพรส์มากเลยใช่มั้ยล่ะ”
นางลอยหน้าลอยตาเล่า ยิ้มตาเป็นประกายจนอี้หมิงหมั่นไส้
“บริษัทโทร.มาหาเธอโดยตรงเหรอ พวกสิบแปดมงกุฎรึเปล่า”
“จะเป็นสิบแปดมงกุฎได้ไงล่ะ เฮ่อ เพราะว่าฉันเป็นคนมีความสามารถต่างหาก” เหม่ยลี่ลุกเดินไปที่บันไดก้าวขึ้นไปขั้นสองขั้นแล้วหันมาเพ้ออีกชุดใหญ่ “แต่ถ้าจะถูกหลอกก็เป็นเพราะฉันยอมให้หลอก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคงมองเห็นความสามารถของฉัน แต่พวกเขาคงคิดว่าฉันใช้ความสวยหากินแน่ๆ แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไงฉันไม่สน เฮ่อ เพราะการได้ทำงานใกล้เซี่ยวเลี่ยงเป็นความฝันในชีวิตของฉันเลย ความฝันที่ดีที่สุดในชีวิตด้วยล่ะ”
อี้หมิงมองท่าสุดท้ายที่เหม่ยลี่ยกสองแขนชูขึ้นไปสุดแขนแล้วได้แต่ปลง
ในชุดสวยเมื่อครู่นี้ซึ่งได้สูตินรีแพทย์จอมกะล่อนการันตีว่าสวยสะบัดดีแล้ว มี่เหม่ยลี่ พาตัวเองมาเข้าคิวรอการสอบสัมภาษณ์อยู่ที่ออฟฟิศบริษัทเทซีโร
มีคนนั่งรอคิวอยู่ด้วยกันราว 6-7 คน ทั้งชายและหญิง
ไม่นานนัก มีหญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นสีชมพูแปร๋น วิ่งปิดหน้าร้องไห้ลงบันไดจากห้องสัมภาษณ์ลงมา
“ทำเกินไปแล้วนะ”
ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ตามจริตใครมัน
เหม่ยลี่มองตามพลางยกมือทาบอกให้กำลังใจตัวเอง “มี่โตะสู้ๆ”
เสียงพนักงานหญิงคนจัดคิวขานชื่อ “หมายเลข 68 มี่โตะ”
เหม่ยลี่สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันได
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ เป็นจังหวะเดียวกับเซี่ยวเลี่ยงซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นห้องสอบสัมภาษณ์เงยหน้ามองมาที่เธอ เขาชะงักนิดๆ ท่าทีเหมือนจำเธอได้ และออกอาการประหลาดใจ จนหลินจื่อเหลียงซึ่งร่วมสัมภาษณ์อยู่ด้วยพร้อมผู้บริหารอีก 4 คนต้องหันไปมอง
“เชิญนั่ง” อี้หมิงบอก เหม่ยลี่ในคราบมี่โตะลงนั่งที่เก้าอี้ ประจันหน้ากับเขา “แนะนำตัวเองด้วย”
“เอ่อ สวัสดีอาจารย์ทุกท่าน ฉันชื่อมี่โตะ ฉัน...หมายเลข 68 ฉันมาสมัครตำแหน่งเลขานุการค่ะ”
แม้จะพูดตะกุกตะกักแต่ก็ทำให้ชายชุดดำมองเหม่ยลี่อย่างพึงใจในบุคลิก หันไปกระซิบถามจื่อเหลียงที่นั่งติดกัน
“เธอคือคนที่คุณให้เราโทร.ไปแจ้งมาเหรอ ภาพลักษณ์ดูดีนี่”
จื่อเหลียงเพียงพยักหน้ารับ แล้วหันมาทาเหม่ยลี่ “เรียกอาจารย์สุภาพเกินไป เรียกท่านรองดีกว่า ไม่ต้องตื่นเต้นทำตัวตามสบาย”
“ขอบคุณค่ะ ท่านรอง”
ชายชุดสีเทาทางข้างซ้ายของเซี่ยวเลี่ยงเริ่มสัมภาษณ์ “แล้วคุณคิดว่าตัวเองมีข้อดีอะไรที่สามารถมาแข่งขันและเหมาะสมกับตำแหน่งนี้”
“ฉัน...” เหม่ยลี่ยังไม่หายประหม่า พูดตะกุกตะกักในเบื้องแรกอีกเล็กน้อย “แม้ว่าฉันจะเป็นพนักงานใหม่ ไม่เคยทำงานใหญ่ๆ และไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย แต่ว่า ข้อดีของฉันก็คือ ยินดีปรับทัศนคติ ให้เข้ากับทุกคนได้ง่าย เพราะบริษัทเทซีโร่ เป็นบริษัทที่ทำให้ฉันหลงรักมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ ฉันสนใจบริษัทนี้มาโดยตลอด และเคยพยายามมาสมัครงานแล้ว ฉันสนใจตลาดเครื่องประดับและมีความเข้าใจบ้าง ก่อนหน้านี้ ยังเคยทำงานที่บริษัทโฆษณามาแล้วด้วย ดังนั้นฉันเชื่อว่า ฉันมีคุณสมบัติที่ดีที่จะทำงานนี้ และฉันหวังว่า การดำเนินงานต่อในอนาคต จะสามารถได้เป็นส่วนหนึ่งของเทซีโร่ และสามารถช่วยให้เทซีโร่เจริญรุ่งเรืองได้ไม่น้อยเลยค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงซักเป็นคนต่อมา “คุณบอกว่าคุณเคยทำงานบริษัทโฆษณามาก่อน งั้น คุณเคยทำงานอยู่บริษัทไหน และมีชื่อเสียงอยู่ลำดับที่เท่าไหร่”
“เอ่อ...ไม่...ไม่มีชื่อเสียงค่ะ แต่สิ่งที่ฉันพูดคือความจริง ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำงานโพรเจกต์ให้บริษัทหนึ่ง และยังผ่านการคัดเลือกด้วยค่ะ เอ่อ...ฉัน…”
เห็นเหม่ยลี่อึกอัก แทบจะไปไม่เป็นจนจื่อเหลียงต้องยกมือให้หยุด หันมาทางเซี่ยวเลี่ยงออกโรงช่วย
“คุณเซี่ยว พนักงานใหม่ อย่าพูดถึงประสบการณ์การทำงานเลย ผมคิดว่าคุณสมบัติของเธอใช้ได้ มีความจริงใจ ควรจะพิจารณาดูหน่อยนะครับ”
เซี่ยวเลี่ยงกระแอม “งั้นผมขอถามเรื่องส่วนตัวคุณหน่อย ทำไมคุณต้องแต่งแบบนี้มาสัมภาษณ์ ถ้าคุณแต่งตัวอย่างนี้ไปพบลูกค้ากับผม ลูกค้าจะต้องพูดถึงคุณเป็นคนแรก แต่ไม่ได้คุยเกี่ยวกับงานของบริษัท” เซี่ยวเลี่ยงถอนใจแล้วตอกฝาโลงว่า “ขอโทษด้วยนะ ผมต้องการเลขานุการ ไม่ใช่ผู้หญิงที่แต่งตัวสวยมาทำงานไปวันๆ คุณกลับไปเถอะ”
เหม่ยลี่แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง นั่งงงอยู่ครู่หนึ่ง จึงใช้มือยันพนักเก้าอี้ขึ้นเหมือนคนหมดแรง เดินออกไปอย่างผิดหวังสุดจะประมาณ
จื่อเหลียงมองตามเหม่ยลี่ไป ก่อนจะหันมามองเซี่ยวเลี่ยงอย่างไม่พอใจ
ชายชุดดำร้องบอกออกไปนอกห้อง “คนต่อไปครับ”
ขวดเบียร์สีเขียวขนาดเล็กวางเกลื่อนอยู่ตามขั้นบันได สองคนฉลองการสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านของเหม่ยลี่มาสักพัก จนเวลานี้อยู่ในสภาพเมาแอ่น เสียงอ้อแอ้ทั้งคู่ เหม่ยลี่อาการหนักกว่ามาก ทั้งโกรธทั้งโมโหที่โดนซีอีโอหนุ่มปากร้ายด่าไม่ไว้หน้า
“เซี่ยวเลี่ยงบ้า เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน เขาก็แค่ประธานคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ดูเหมือนเซี่ยวเลี่ยงคนนี้ จะไม่ใช่คนเจ้าชู้เหมือนในตำนาน พอเถอะ เธอเมาแล้ว ขืนดื่มต่อเดี๋ยวก็หัวทิ่มหรอก”
เหม่ยลี่ศอกใส่ไม่ยอมเลิก “เฮ่อ นี่ เป็นเพราะนายคนเดียวเลย นายบอกฉันว่าประธานของบริษัทนี้เจ้าชู้ และมีความต้องการสูง ฉันจึงได้แต่งตัวแบบนั้นไปสัมภาษณ์งาน นายรู้มั้ยว่าเขาพูดถึงฉันว่ายังไง เขาบอกว่าฉันสวยแต่ภายนอกนายรู้มั้ยมันเหมือนเป็นการดูถูกฉัน เหลยอี้หมิงนายพูดมาสิว่าใช่หรือไม่ เฮ่อ เซี่ยวเลี่ยงมีดีตรงไหน ก็แค่หน้าตาหล่อนิดหน่อยเท่านั้น ฉันจะบอกนายนะเหลยอี้หมิง ถ้าเทียบนายกับเขาแล้วนายไม่ได้แพ้เขาเลย”
อี้หมิงหัวเราะ “ไม่เลวหนิ ตอนนี้เธอรู้จักชมฉันเหรอ”
เหม่ยลี่ขำหัวเราะคิกคัก
“แล้วยังยกฉันให้อยู่ระดับเดียวกับพระเอกของเธอด้วย พูดสิว่าฉันหล่อยังไง หืม” อี้หมิงยื่นหน้ามาถาม
“หล่อยังไงเหรอ”
“อื้ม”
“ดวงตาของนายสวยมาก เหมือนเมล็ดถั่วเลย” เหม่ยลี่หัวเราะขำเป็นการใหญ่ ยกนิ้วมาชี้ที่จมูกอี้หมิง “รูจมูกของนายก็ใหญ่มากด้วย” เหม่ยลี่หัวเราะเสียงดังอีกยก แล้วจับคางอี้หมิงมามองจ้องปาก “ไหนฉันดูปากของนายซิ”
“ปากฉันทำไม”
“ถ้านายไปถ่ายโฆษณาลิปสติกคงน่าเสียดายแย่เลย”
เหม่ยลี่หลับพริ้มทำปากจู๋ยื่นหน้ามาทางอี้หมิง เห็นอี้หมิงเป็นเซี่ยวเลี่ยงส่งยิ้มหล่อตาหยีมาให้
“มี่โตะ ในใจผมมีแต่คุณ”
“โปรดรับจูบของฉันด้วย” เหม่ยลี่ยื่นปากไปจูบปากอี้หมิงแล้วหัวเราะร่า “ในที่สุดก็ไม่ต้องแปรงฟันแล้ว”
ส่วนอี้หมิงอึ้งตะลึงตะไลไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยกมือลูบริมฝีปากตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
“ยัยอ้วนเธอทำอะไร เฮ้ย เธอทำอะไร”
เหม่ยลี่สะลึมสะลือตาจะปิดไม่ปิดแหล่ หันมาดุ “เป็นอะไรอย่าเสียงดังได้มั้ย ฉันเหนื่อยนะ”
“เธอจะดูปากของฉันมั้ย”
เหม่ยลี่ยิ้มๆ
“ดูเร็วสิ”
เหม่ยลี่เมาจนนั่งหลับพิงราวบันไดไปแล้ว อี้หมิงพ่นลมหายใจออกมา ทำหน้าไม่ถูก รู้สึกๆ หวิวๆ แปลกๆ ในหัวใจขึ้นมาอีกแล้ว
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นในตอนเช้า จนทำให้เหม่ยลี่ซึ่งนอนอยู่บนโซฟายาวสะดุ้งตื่น
“เสียงโทรศัพท์ กำลังฝันดีเลย”
อี้หมิงที่นั่งหลับอยู่กับพื้นห้องพลอยตื่นด้วย “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
เหม่ยลี่หาโทรศัพท์เป็นที่วุ่นวาย แล้วต้องชะงัก หันมามองหน้าอี้หมิงงงๆ
“ทำไมนายมานอนอยู่ตรงนี้เนี่ย”
“เธอยังมาพูดอีก เรื่องเมื่อคืนเธอลืมแล้วเหรอ” อี้หมิงยันตัวเองขึ้นนั่งโซฟาอีกตัว
“เมื่อคืนเหรอ เมื่อคืนทำไม”
“ไม่มีอะไร ฉันฝันร้ายน่ะ ฝันว่าถูกหมูตัวหนึ่งขโมยจูบ”
เหม่ยลี่ไม่เก็ต “ในบ้านมีหมูด้วยเหรอ”
อี้หมิงเซ็งโคตรลูกเดินหนีไป ไม่ทันระวังชนโคมไฟเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย”
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เสียงโทรศัพ์ดังขึ้นมาอีกเหม่ยลี่โวยวายหาไม่เจอ “นายเอาโทรศัพท์ฉันไปไว้ไหนเนี่ย”
อี้หมิงโวยกลับ “โทรศัพท์ตัวเอง”
สุดท้ายเหม่ยลี่นั่งทับอยู่ เธอรีบหยิบมารับ พูดสาย พยักหน้ารับหงึกหงักไปมา “ฮัลโหล ใช่ค่ะ หืม หะ” นางสาวมี่โตะดีดตัวลุกพรวดขึ้น สีหน้าดีใจราวกับถูกหวย “ค่ะๆๆ ไม่มีปัญหา ฉันจะไปรายงานตัวตามเวลา ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกัน”
เหม่ยลี่วางสายไปแล้วแหกปากร้องลั่นบ้าน “เหลยอี้หมิง”
“มีอะไรใครตายเหรอ”
เหม่ยลี่ร้องตะโกนขึ้นอีก “ฉันผ่านสัมภาษณ์”
อี้หมิงหันกลับมาหา “จริงเหรอดีมากเลย เย่”
สองคนหัวเราะให้กัน
อี้หมิงเดินมาหาพร้อมแก้วน้ำในมือที่ยังไมทันได้ดื่ม
“มา”
“ทำไม”
“ดื่มน้ำสิ” อี้หมิงยื่นแก้วน้ำให้
“ฉันไม่อยากดื่มน้ำ”
“ฉลองกันหน่อยสิ”
เหม่ยลี่ดีใจมากจับมืออี้หมิงข้างที่ถือแก้วเขย่าๆ จนน้ำกระฉอกหกเลอะไปหมด
“ในที่สุดฉันก็ทำได้แล้ว ในที่สุดฉันก็ทำได้แล้ว ฉันจะได้เจอเขาทุกวัน”
อี้หมิงกระแทกแก้วลงที่โต๊ะ โมโหหึงโดยไม่รู้ตัว “พอได้แล้ว ใช่แล้ว จำไว้นะ ต่อไปห้ามดื่มเหล้า โดยเฉพาะตอนที่ฉันไม่อยู่”
“เพราะอะไร”
“ไม่ต้องถามหรอกน่า ฉันบอกห้ามดื่มเธอก็ห้ามดื่ม” อี้หมิงเดินหนีไปเลย
“คิดจะขู่ใครยะ ยังไงต่อไปฉันก็จะเจอเซี่ยวเลี่ยงทุกวัน ไม่ดื่มแล้วก็ได้”
เหม่ยลี่ทิ้งตัวลงนั่ง ยิ้มน้อยยิ้มให้กับมือถือก่อนจะดึงมาจุ๊บหนึ่งที
วันแรกของการทำงานมี่เหม่ยลี่ในคราบ มี่โตะ แต่งตัวในชุดเรียบร้อยมาก เดินมาหยุดหน้าทางเขาตึก แหงนมองอาคารสูงเสียดฟ้า ที่ทำการ เทซีโร บริษัทอัญมณีในฝัน เหม่ยลี่สูดลมหายใจจนเต็มปอด กำมือชูขึ้นสุดแขน
“ความฝันของฉัน เย่ สู้ๆ”
แต่พอลืมตาขึ้นก็ต้องยิ้มแหะๆ ให้กับการ์ด สองคนยืนจ้องเธออยู่
“สวัสดีค่ะ”
ก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน ยังเจอการ์ดอีก 2 คนยืนมาดเข้มอยู่ เหม่ยลี่ยิ้มทักคนไปทั่ว
“สวัสดีค่ะๆ”
เหม่ยลี่มารายงานตัวที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ชายชุดดำเจ้าหน้าที่ของฝ่ายบุคคลแจ้งว่า
“ข้อมูลของคุณเตรียมพร้อมแล้ว คุณไปรายงานตัวที่ฝ่ายออกแบบได้”
เหม่ยลี่ท้วง “ฝ่ายออกแบบเหรอ แต่ฉันสมัครตำแหน่งเลขาของท่านประธานนะ”
“แต่แผนกของเราต้องการฝ่ายออกแบบ ถูกรองประธานหลินเลือกเข้ามา คุณเป็นนักออกแบบผู้ช่วยของหลินซือหยวนไปก่อนเถอะ อ่ะนี่”
เหม่ยลี่รับบัตรพนักงานนักออกแบบมา ทวนชื่อสองคน “รองประธานหลิน หลิวซือหยวน”
“อื้ม”
“ขอบคุณค่ะ”
“ครับ”
ชายชุดดำเดินจากไป
เหม่ยลี่หยิบบัตรพนักงานมาคล้องคอ ตาจ้องที่โลโก้สัญลักษณ์ TESiRO และอ่านชื่อ “มี่โตะ” และตำแหน่ง “นักออกแบบผู้ช่วย” ของตัวเองบนนั้นอย่างภาคภูมิใจ
ที่แผนก ออกแบบเครื่องประดับ สาวๆ ในแผนก บ้างนั่ง บ้างยืน เม้าท์มอยอยู่กับ หลิวซือหยวน สาวใหญ่ ผู้นั่งอยู่กลางวงสนทนา แต่ละนางมีแก้วกาแฟสีสวยอยู่ในมือ
สาวชุดชมพูยกนิ้วมือข้างซ้ายของซือหยวนมาพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่ซือหยวน นี่เป็นของหายากใช่มั้ย”
ซือหยวนยิ้มภูมิใจ “ใช่ แฟนฉันซื้อให้”
สาวชุดชมพูกรี๊ด “ว้าว ดีจัง”
สาวชุดดำที่นั่งตรงข้ามซือหยวนพยักพเยิด “นั่นสิ”
“อย่างน้อยคงจะหลายหมื่นใช่มั้ย” สาวชุดชมพูพูดเชิงถาม
สาวชมพูเข้มด้านหลังติดกับเคาน์เตอร์แพนทรีของแผนก “นี่พี่ซือหยวน ถ้าฉันมีแฟนที่รวยและสปอร์ตเหมือนแฟนพี่ล่ะก็ ตอนนี้ฉันคงกลับไปเป็นคุณนายแล้วล่ะ”
สาวชุดดำผสมโรงว่า “ใช่ ยังมาทำงานอีกทำไม”
“เขาบอกว่าจะเลี้ยงดูฉัน แต่ว่าฉันไม่ยอม ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นนี่นา เพราะเรื่องนี้ฉันเลยทะเลาะกับเขาบ่อยๆ” ซือหยวนว่า
สาวกระโปรงน้ำเงินยิ้มชื่นชม “อยู่บนกองเงินกองทอง แต่รู้จักรักษาไว้”
สาวชุดชมพูนึกได้ เม้าท์ถึงพนักงานคนใหม่ โดยไม่มีใครเห็นว่า เหม่ยลี่เดินเข้ามาในแพนทรีแล้ว นิ่งฟังแต่ละคนนินทาตัวเองในระยะเผาขนเงียบๆ
“จริงสิๆ ซือหยวน ผู้ช่วยใหม่ของบริษัทหน้าตาสวยมากเลยนะ แต่งตัวสุดหรูเลยล่ะ แต่ว่า เครื่องประดับที่ใส่มีแต่ของราคาถูก”
“หน้าตาสวยจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีประสบการณ์ไม่มีคุณสมบัติ และไม่มีภูมิหลังของครอบครัว มีสิทธิ์อะไรมาทำงานในแผนกของเรา” ซือหยวนตั้งแง่
สาวชุดชมพูเห็นด้วย “นั่นสิ”
“แต่ฉันได้ยินว่า รองประธานหลินเป็นคนส่งเธอมาเองนะ และยังบอกว่าต้องให้พี่ซือหยวนสอนด้วย” สาวชุดชมพูเข้มว่า
“คนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่มีประสบการณ์ส่งมาทำไมนะ” สาวชุดดำก็ดูจะไม่ชอบเหม่ยลี่เหมือนกัน
“สวยแต่ทำอะไรไม่เป็น จะมีประโยชน์อะไรล่ะ” สาวชุดชมพูดูแคลน
ซือหยวนตัดบท “เอาล่ะๆ หยุดพูดได้แล้ว เปลี่ยนคุยเรื่องสนุกๆ ได้มั้ยล่ะ เที่ยงนี้กินอะไรดี”
สาวชุดชมพูเสนอ “ชั้นล่างมีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ ไปกันเถอะ”
“ไปๆๆ” ทุกคนเห็นดีด้วย ลุกเดินตามกันไป
ซือหยวนหันมาเห็นเหม่ยลี่ รู้ว่าคงได้ยินที่พวกตนนินทาแน่ ปรายตามองแว่บเดียว แล้วเดินผ่านไปเลย โดยไม่มีการทักทายใดๆ
เหม่ยลี่ เสียเซลฟ์นิดๆ กับอุปสรรคครั้งใหม่ที่เธอต้องเจอ
หลินจื่อเหลียงเดินเข้ามาในแผนกออกแบบ เห็นเหม่ยลี่ นั่งหน้าเศร้าใจลอยอยู่ ก็แปลกใจ เดินเข้ามาหาเอ่ยทักทายแนะนำตัวขึ้น
“คุณคือมี่โตะใช่มั้ย ผมชื่อหลินจื่อเหลียง”
เหม่ยลี่สะดุ้งนิดๆ ลุกขึ้นยืน จื่อเหลียงยื่นมือมาจับทักทายอย่างมีมารยาท
“เอ่อ สวัสดีค่ะท่านรองหลิน ขอบคุณที่ช่วยให้ฉันได้ทำงานค่ะ”
จื่อเหลียงมองจ้อง “เวลางานทำไมมาหลบอยู่ตรงนี้ล่ะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีค่ะ สบายมากไม่ต้องห่วงค่ะ”
“อื้ม มา เอาเอกสารนี้ ไปส่งบนโต๊ะท่านประธานหน่อย”
เหม่ยลี่ตกใจ “ห้องทำงานท่านประธาน คุณเซี่ยวเหรอคะ”
“ใช่”
“ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยคะ”
จื่อเหลียงไม่ตอบแต่ย้อนถาม “ทำไม ไม่อยากไปเหรอ”
“เปล่าค่ะๆ ฉันยินดีมาก ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
พร้อมกับว่า เหม่ยลี่คว้าแฟ้มจากมือจื่อเหลียงแล้วหันมาโค้งให้เขากล่าว “ขอบคุณค่ะ” แล้ววิ่งออกไปเลย
เหม่ยลี่เคาะประตูห้องที่เปิดอยู่แล้วเป็นเชิงขออนุญาต
เซี่ยวเลี่ยงจดจ่อตรวจงานอยู่บนหน้าจอคอมพ์แอปเปิลร้องบอกไปโดยไม่หันไปมอง
“เข้ามา”
เหม่ยลี่เดินมาหยุดหน้าโต๊ะ “คุณเซี่ยวคะ นี่คือแผนงานใหม่ที่ฝ่ายออกแบบส่งมาให้คุณค่ะ”
วางแฟ้มงานลงไปแล้ว แต่เหม่ยลี่ไม่ยอมขยับไปไหน เอาแต่มองจ้องซีอีโอหนุ่มจนเขาหันมาหา
“คุณออกไปได้” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เซี่ยวเลี่ยงก็ต้องประหลาดใจ “เรื่องอะไรกัน ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่”
“เอ่อ ค่ะฉันเป็นพนักงานใหม่ของฝ่ายออกแบบ ฉันชื่อ...มี่...มี่...”
มี่เหม่ยลี่โค้งให้ ไม่ทันได้แนะนำตัวจบ เซี่ยวเลี่ยงก็ลุกพรวดขึ้นสวนออกมา
“ผมไม่สนว่าคุณชื่ออะไร ผมอยากถามว่าเข้าใกล้ผมมีเป้าหมายอะไร คุณวางแผนไว้แต่แรกแล้วใช่มั้ย”
เหม่ยลี่อึ้งคิดอยู่ในใจ “หรือว่าเขารู้ว่าฉันคือมี่เหม่ยลี่”
เซี่ยวเลี่ยงออกจากโต๊ะ ตรงเข้ามาหา เหม่ยลี่ตกใจ ถดตัวถอยหนี
“อย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วผมจะจำคุณไม่ได้ วันที่สัมภาษณ์ผมก็ดูออกแล้วว่าคุณเป็นใคร”
ซีอีโอหนุ่มอารมณ์ร้ายเดินไล่บี้ตามมา แต่ต้องหยุด เพราะอีกฝ่ายชนเก้าอี้รับรองแขกในห้อง
“คุณ...คุณเซี่ยวเข้าใจฉันผิดแล้วค่ะ”
“เข้าใจผิดเหรอ ถ้าเข้าใจผิดแล้วคุณมาสัมภาษณ์ได้ยังไง ผู้หญิงที่มาจากผับบาร์อย่างคุณกล้ามาถึงที่นี่เชียวเหรอ”
เหม่ยลี่ตกใจมากที่เขามองเธอแบบนั้น “อะไรนะ ผู้หญิงบาร์เหรอคะ”
“ทำไม หรือว่าไม่ใช่”
เหม่ยลี่หันหลังกลับมาตั้งสติ แล้วจึงหันกลับไปหา พยายามอธิบายแต่ดูจะไม่มีประโยชน์นัก
“แต่...แต่ว่าคุณเซี่ยว คุณ...คุณเข้าใจฉันผิดแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจเข้ามาที่นี่ ที่จริง ฉันเข้ามาบริษัทนี้เพราะความบังเอิญ ก่อนหน้านี้ ฉันก็เคยไปหางานที่อื่นแล้ว”
“งั้นเหรอ แล้วตอนสัมภาษณ์ผมก็ปฏิเสธคุณแล้ว ทำไมคุณถึงเข้ามาได้”
“ท่านรองหลินเรียกฉันเข้ามา เขาให้ฉันฝึกงานที่ฝ่ายการออกแบบ”
เซี่ยวเลี่ยงถอนใจเฮือกยิ้มหยัน “เฮ่อ...รองประธานหลินเหรอ”
“ค่ะ”
“คุณออกไปเดี่ยวนี้เลยนะ ผมไม่สนว่าคุณกับรองประธานหลินเกี่ยวข้องกันยังไง แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณควรอยู่ เทซีโร่ต้องการคนที่มีความสามารถอย่าคิดจะได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของคุณ ทางที่ดีคุณรีบลาออกซะเถอะ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
ไล่เหม่ยลี่ออกจากห้องไปแล้วเซี่ยวเลี่ยงเดินมานั่งหน้าบูดอยู่ที่โต๊ะทำงาน อารมณ์เสียถึงขีดสุด
ด้านอี้หมิงนั่งจ้องจอคอมบนโต๊ะทำงานในโรงพยาบาล อยู่สักพัก ก็ละคนออกมา บิดขี้เกียจ ดูเวลาแล้วนึกเป็นห่วงเหม่ยลี่ เพราะวันนี้ยังไม่ติดต่อมาเลย
“เฮ่อ จริงสิวันนี้ยัยอ้วนทำงานวันแรก ไม่รู้เป็นไงบ้าง”
ไม่ทันขาดคำดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบกดรับเพราะเป็นสายจากเหม่ยลี่
“ฮัลโหลยัยอ้วน ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่พอดี เป็นไงบ้างทำงานวันแรกรู้สึกโอเคมั้ย”
เหม่ยลี่โทร.จากแผนก ด้านหลังเห็นป้ายโลโก้ TESiRO ไฟสว่างไสว แต่เธอกลับรู้สึกแย่เอามากๆ
“ไม่รู้สึกอะไรเลย”
อี้หมิงจับน้ำเสียงได้ “เป็นอะไร มีใครรังแกเธอเหรอ”
เหม่ยลี่สะท้อนใจ ทั้งเรื่องพนักงานในแผนกสุมหัวนินทา รวมทั้งถูกเซี่ยวเลี่ยงต่อว่าอย่างรุนแรงมา
“ทุกคนดีกับฉันมากแต่ฉันกลับรู้สึกไม่ดี เหมือนแจกันดอกไม้นั่นแหละ”
เธอหมายถึงสวยแต่ภายนอก
“โธ่แจกันแล้วไง มีแต่สาวสวยที่คู่ควรกับคำสองนี้ วันนี้ทำงานวันแรก อาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ผ่านไปสักระยะก็ดีเอง ตรงไหนไม่เป็นก็เรียนรู้จากคนอื่นให้มากๆ”
“ฉันก็อยากเรียนรู้จากคนอื่น แต่ว่า...” เหม่ยลี่คิดกังวลที่ทะเลาะกับเซี่ยวเลี่ยง “เฮ่อ ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า นายกินข้าวรึยัง”
“เธอเพิ่งย้ายเข้ามาก็ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วเหรอ ฉันรอเธอกลับบ้านไปทำกับข้าวอยู่เนี่ย”
“วันนี้คงไม่ได้ล่ะ ฉันต้องทำโอที”
อี้หมิงเซ็ง โวยวายกลับไป “ทำโอทีเหรอ บริษัทของเธอนี่ไร้คุณธรรมจริงๆ ไปทำงานวันแรกก็ทำโอทีซะแล้วแบบนี้มันข่มเหงพนักงานใหม่ชัดๆ”
“ฉันอยากทำโอทีเองแหละ พอดีฉันค้นพบข้อมูลเครื่องประดับใหม่ๆ เลยอยากศึกษาให้ละเอียด”
“ขยันขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วฉันจะกินกับใครล่ะ” อีหมิงตัดพ้อ
“กับข้าวของนายจัดการง่ายนิดเดียว นายก็ไปหาผู้หญิงพวกนั้นของนายสิ นายงานยุ่งตลอดไม่มีเวลาไปหาพวกเธอไม่ใช่เหรอ”
อี้หมิงประชดในที “ดีมากเลยๆ ในที่สุดฉันก็อิสระ มีสาวสวยรอเข้าแถวไปกินข้าวกับฉันเยอะเลยล่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว เฮ่อ...จริงสิเหลยอี้หมิง บอกหน่อยสิตอนนั้นทำไมฉันต้องเข้าเทซีโร่ด้วย”
อี้หมิงบอกโดยไม่ต้องคิด “ก็เพื่อเซี่ยวเลี่ยงไง”
“ใช่ เพื่อตามจีบเซี่ยวเลี่ยง ดังนั้นฉันจะยอมแพ้ไม่ได้ จะหยุดครึ่งทางไม่ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ บ๊ายบาย”
เหม่ยลี่วางสายไปเลย อี้หมิงถอนใจเฮือก โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด
อ่านต่อตอนที่ 3