แม่นาก ตอนที่ 6
มากล้มลงนอนสลบ โจร1-2 ตรงไปคุ้ยหาของมีค่าที่ย่ามของมาก และค้นตามตัว หยิบห่อเงินที่ชายพก แลแกะผ้าทอออกไปด้วย
มากนอนหมดสติ เลือดไหลออกจากหน้าอก
แม่พวงจันทร์นั่งอยู่บนเรือน สั่งให้บ่าวไพร่ดูแลทำความสะอาด ขัดถูเครื่องถ้วยชาม
"เบามือหน่อย ของส่งมาจากเมืองจีน แตกเสียหายไปข้าจะเอาเรื่องเอ็ง"
พิมเดินเข้ามาสีหน้าครุ่นคิด
"แม่จ๋า... ฉันมีเรื่องจะปรึกษาแม่สักหน่อย"
พวงจันทร์ชะงัก หันมามองหน้าพิม แล้วหันไปมองบ่าว
พวงจันทร์ถามบ่าว
"มึงได้ยินเหมือนกูมั๊ยเนี่ย หรือว่าหูข้าฝาดไป"
พวงจันทร์ปรี่เข้าไปจับหน้าผากวัดไข้ พิมงง
"ไม่สบายหรือลูก หรือว่าเอ็งหกล้ม"
พิมถอนหายใจเฮือก
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า ฉัน " พิมอึกอัก ลังเล ว่าจะพูดดีมั๊ย "ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกแม่"
พวงจันทร์มองหน้าพิมแล้วทรุดลงนั่ง
" หรือว่า แอร๊ย... เอ็งท้อง"
"โอ๊ย แม่ ไปกันใหญ่แล้ว ท้องเทิ้งอะไรกันเล่า ฉันไม่ใช่ปลากัดนะแม่ แค่มองหน้ากันก็ท้องแล้ว"
"โธ่ถัง งั้นเอ็งก็อย่ามาทำลีลาสิ จะถามอะไรก็ว่าไป มาทำแม่จ๊ะแม่จ๋า ร้อยวันพันปี เอ็งไม่เคยพูด แม่ก็วิตกสิลูกเอ๊ย เอ้า มีอะไรว่าไป"
พิมลังเล หันไปมองบ่าว
"พวกเอ็งออกไปก่อน ไปสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับแม่"
พวงจันทร์มองหน้าพิมแปลกใจ พิมสีหน้าจริงจังมาก
เพลิงนอนคลุมโปงอยู่ แล้วจู่ๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา
"ถ้าพิมมันไว้ใจไม่ได้ล่ะ ไม่ได้ๆๆๆๆเด็ดขาด จะให้ใครรู้ไม่ได้"
เพลิงลุกพรวดพราดวิ่งออกไปจากห้องทันที
พิมนั่งมองบ่าวล่าถอยออกไป
"เรื่องอะไรของเอ็ง ทำเป็นมีลับลมคมนัยเหลือเกินนะ"
พิมขยับเข้าไปใกล้ ทำท่าจะกระซิบ
"พิม!"
พิมชะงักหันไปมอง เพลิงวิ่งพรวดพราดเข้ามา ลากแขนพิมออกห่างแม่
พวงจันทร์แปลกใจ
"อ้าวพ่อเพลิง มีอะไรหรือ แม่มีเรื่องจะคุยกับน้อง"
"แต่ฉันมีธุระกับพิมมัน สำคัญกว่า"
เพลิงไม่ฟังเสียง ลากพิมออกไป พวงจันทร์ตามงงๆ
"สองคนนี่มันทำอะไรกันนะ พิลึกคนจริงเชียว"
เพลิงลากพิมออกมามุมหนึ่ง พิมสะบัด
"จะทำอะไรของพี่ ฉันเจ็บนะ"
"เอ็งจะบอกแม่หรือ"
"ฉันเปล่านะ ไม่ได้จะบอก แค่จะปรึกษาว่า จะเอายังไงดี"
"ไหนเอ็งว่าจะไม่บอกแม่ไงล่ะ"
"พี่เพลิง ฉันคิดว่าจะไปไหว้ขอขมาแม่นากแทนพี่ แต่ฉันทำไม่เป็นหรอกนะเรื่องพวกนี้ เออ ให้ไปด่ากับแม่ค้าเก็บดอกเบี้ย ทวงเงินก็พอสู้ไหว แต่ให้ไปพูดกับผีเนี่ย ไม่เคย"
"โธ่เอ๊ย เอ็งมันไม่รู้คิด ถ้าแม่รู้ มิรู้กันทั้งหัวตะเข้ดอกหรือ"
"อ้าว แล้วจะให้ฉันทำยังไงได้เล่า"
"เอ็งก็ไปคนเดียวสิวะ เอาบ่าวไปด้วยสัก 2-3 คน"
พิมนิ่งคิด
"พี่แน่ใจได้ไง ว่าแม่นากจะไม่มาหักคอฉันเสียก่อน"
"แน่ใจสิ เพราะเอ็งไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรกับมันไม่ใช่หรือ"
"ไม่มีนะ"
"อ้าว แล้วจะกลัวอะไรเล่า เหมาะที่สุดแล้ว เอ็งไปคนเดียวนั่นแหละ นะ ทำเพื่อพี่สักครั้งเหอะ"
เพลิงขอร้อง พิมคิดหนัก
ป้าเงินนั่งจ้องหลวงตาฉันอาหาร จำปีกับลำจวนนั่งอยู่ห่างออกไป
"หลวงตาเจ้าคะ อิชั้นมีเรื่องอยากปรึกษา"
"เรื่องอะไร"
"ก็เรื่องที่ชาวบ้านเขาร่ำลือกันนั่นแหละค่ะ"
"โยมเงินเอ๊ย อาตมาเป็นพระ ไม่ฟังข่าวลือหรอก"
"แต่เขาพูดกันหนาหูเหลือเกิน เรื่อง เอ่อ นังนาก"
" โยมเงินเอ๊ย สีกานากก็ตายไปนานแล้ว ทำไมโยมถึงไม่ตัดใจเสียทีเล่า ตอนอยู่ โยมก็ทุกข์ ตอนนี้ตายไป โยมยังทุกข์อยู่อีกหรือ"
"อิฉันไม่รู้จะทำยังไงนี่เจ้าคะ นากมันเป็นเหมือนลูกหลานของฉัน ตายไป มันยังเป็นลูกหลานอยู่ดี มีคนว่าร้ายลูกหลาน คนเป็นพ่อเป็นแม่จะทนฟังไหวหรือเจ้าคะ"
"คนเขาลือกันให้แซ่ดว่า นากมันลุกมาฆ่าคน หลอกคนโน้นคนนี้จนหัวโกร๋น ตอนนี้ ละแวกบ้านของนากมัน คนย้ายหนีหมดแล้วนะเจ้าคะ เพราะอีฤทธิ์ปากชาวบ้านนี่แหละ"
"ความจริงมันก็เป็นความจริง ถึงจะลือกันยังไงก็เถอะ ถ้ามันไม่จริง ประเดี๋ยวมันก็ซา ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะ"
"โอ๊ย ฉันทำใจไม่ได้หรอก กว่าความจริงจะปรากฏ นังนากมันคงเป็นผีในตำนานไปแล้วมังคะ คราวนี้คงลือกันไปชั่วลูกชั่วหลาน ลิเกก็เอาไปเล่น โอ๊ย น่าอับอายขายขี้หน้า"
"อ้าว แล้วโยมจะทำยังไงได้ล่ะ"
ป้าเงินฮึดฮัด หลวงตายิ้ม
"เชื่อเถอะ ถ้ามันไม่จริง มันก็คงพูดกันได้ไม่นานหรอก โยมเงิน ปล่อยวางซะ"
ป้าเงินหงุดหงิด หลวงตายิ้มสงบ แล้วลงมือฉันอาหาร
จำปีกับลำจวนแอบมองหน้ากัน เซ็ง
มั่นกับมัคนายกนั่งคุยกันเรื่องแม่นาก มั่นท่าทางจริงจังมาก
"มันต้องมีสาเหตุสิวะ จู่ๆคนเขาจะร่ำลือกันได้ยังไง ไอ้มั่น"
"ปากคนก็พูดกันไป๊ฉันคิดว่า คนเขาร่ำลือกันเพราะว่าบ้านแม่นากน่ะมันดูรกร้างกลางคืน คนแจวเรือผ่านไปผ่านมามันก็ดูน่ากลัว"
"แสดงว่าคนจิตมันอ่อน พอเห็นอะไรไหวๆ ก็คิดก็ปรุงแต่งกันไปเรื่อยเปื่อย"
"ถ้าเราถาง ทำบ้านให้เรี่ยมเชี่ยม เหมือนมีคนอยู่มันก็จะไม่น่ากลัวหรอก คนเขาก็จะไม่ร่ำลือกันไปในทางร้าย"
"ถ้าเอ็งคิดว่าอะไรมันทำแล้วดีก็ทำไปเถอะ"
"อย่างนี้ก็ต้องหาตัวช่วย"
มั่นยิ้มอย่างมีแผน
ป้าเงิน จำปี ลำจวน เดินลงมาจากศาลา ป้าเงินบ่นพึมพำ จำปีร้องไห้กระซิก ลำจวนตามปลอบ
"หยุดร้องซะทีเหอะนังจำปี จะร้องทำไมนักหนา"
จำปียิ่งโฮใหญ่ ป้าเงินเบื่อ
"ป้าเงิน เราต้องหาทางทำอะไรซักอย่างนะ ไม่อย่างนั้น นากมันต้องเป็นผีมีตำหนิไปตลอดชาติ" ลำจวนบอก
"เอ็งจะให้ข้าทำยังไง ไปปิดปากคนทั้งบางพระโขนงงั้นหรือ"
"ฉันมีวิธีจ๊ะป้า"
ทุกคนชะงัก หันไปมอง เห็นมั่นยืนยิ้มอยู่
"อะไรของเอ็งไอ้มั่น"
มั่นยิ้มเดินมากระซิบทีหูป้าเงิน ป้าเงินนิ่งคิดตาม
"เอ็งแน่ใจหรือว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยได้"
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"
ป้าเงินมองหน้ามั่นคิดตาม จำปีหยุดร้องไห้ทันที มองหน้าลำจวนอย่างมีความหวัง
จำปี กับลำจวน ช่วยกันกวาดเช็ดถูเรือนมากจนสะอาดเอี่ยม ป้าเงินมองดูความเรียบร้อย
เดินไปหยิบจับข้าวของที่ทิ้งระเกะระกะให้เรียบร้อย
มั่นเดินถือพร้าปาดเหงื่อเดินเข้ามา
"โล่งเตียนแล้ว ดูโล่งตาเชียวหละ"
"ดีแล้ว ไม่น่ากลัวอย่างที่ใครๆเขาลือแล้ว" จำปีบอก
"นั่นสิ เออ แล้วลุงปลอดไปไหนซะล่ะ" ลำจวนถาม
"คงอยู่แถวนี้แหละ ตะกี้ฉันเห็นเดินไปแถวดงกล้วยตานีหลังบ้านโน่น"
ทุกคนหันไปมองหาลุงปลอด แต่ไม่เห็น
ลุงปลอดหรือมัคนายก เดินมองซ้ายมองขวาหาที่ปลดทุกข์ ลุงปลอดเดินไปแอบฉี่ที่ดงกล้วยตานี พอหันหลังกลับลุงปลอด สะดุ้งเฮือก เห็นนางตานียืนอยู่
"โอ๊ยข้าขอโทษที ไม่ทันเห็นแม่"
"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ลุงปลอด"
มัคนายกชะงัก
"รู้จักชื่อข้าด้วยหรือ บ้านช่องอยู่แถวไหนล่ะ ไม่คุ้นหน้าเลย แล้วแม่ชื่อเรียงเสียงไรล่ะ"
"ฉันชื่อ นี บ้านฉันอยู่หลังดงกล้วยโน่น เพิ่งมาอยู่ไม่นาน ลุงไม่รู้จักฉันหรอกจ๊ะ"
"งั้นหรือ"
นางตานีมองลุงปลอดแล้วยิ้ม ลุงปลอดเริ่มสนใจ
"ลุงปลอด ลุงปลอดอยู่ไหน" มั่นตะโกนหา
"โน่นแน่ะ พวกข้าเรียกแล้ว ไปก่อนละ ว่างๆไปทำบุญที่วัดสิ" มัคนายกบอก
"ฉันไปบ่อยๆ แต่ไม่ได้เข้าไปในวัด แต่ถ้าว่างๆ ลุงปลอดมาเที่ยวแถวนี้สิจ๊ะ"
มัคนายกยิ้ม ส่งหูส่งตาให้
"ได้สิ ไว้จะมาเที่ยวนะ"
"ลุงปลอด.... วู้....อยู่ไหน"
มัคนายกตะโกนตอบ
"อยู่ตรงนี้ ข้าขอตัวก่อนนะ ไว้ว่างๆจะมาเยี่ยม"
มัคนายกเดินไป นางตานียิ้มส่งตาหวานให้ แล้วเดินเข้าไปทางดงกล้วย
ลุงปลอดเดินไปแล้วหันกลับมามอง นางตานีหายตัวไปแล้ว
" เดินเร็วจริงๆ เฮ้อ ลูกใครนะ หน้าตาเอ๊าะเจ๊าะ น่าเอ็นดูจริงเชียว"
มัคนายกกระหืดกระหอบเดินเข้ามา มั่น หันมาเห็น
"ลุงปลอด หายไปไหนมา คิดว่าโดนฉุดไปซะแล้ว"
"ไอ้ปากเสีย ระดับข้าเนี่ยนะ จะโดนใครฉุด มีแต่ข้าจะฉุด"
"แหม ทำเก่งไป ระวังเหอะ แถวนี้เขาว่าผีดุนัก ไม่ใช่หรือ"
"ไหนเอ็งบอกว่าทำแบบนี้ ปลอดโปร่งโล่งสว่างแล้ว คนก็จะไม่ร่ำไม่ลือกันอีกว่ามีผี"
"ฉันก็ล้อเล่น เห็นลุงหายไปตั้งนาน กลับเหอะ นี่บ่ายคล้อยแล้ว"
ป้าเงินกับลำจวนเดินมาสมทบ มั่นมองหาจำปี
"แล้วจำปีล่ะ"
ลำจวนบอก
"โน่น มันกำลังจุดธูปไหว้นังนาก คงมีเรื่องคุยแยะน่ะ"
ทุกคนหันไปมองอีกทาง
จำปีกำลังนั่งยองๆ จุดธูปดอกเดียวไหว้นาก
"นากเอ๊ย พวกฉันมาทำความสะอาดเรือนให้แล้วนะ ดูเรียบร้อยเชียวละ คนจะได้ไม่ร่ำไม่ลือถึงเอ็งในทางเสียหาย ดูแลตัวเองด้วยนะ ข้าคิดถึงเอ็งจริงๆเลย"
จำปีปักธูปลงที่พื้นดิน แล้วปาดน้ำตา
ด้านหลังจำปี นากปรากฏร่างขึ้นยืน
"ขอบใจมากนะจ๊ะพี่จำปี ฉันไม่รู้จะตอบแทนพี่ยังไงดี"
จำปีชะงักทำท่าขนลุก
"ทำไมมันหนาวเยือกๆแบบนี้ นาก เอ็งอยู่แถวนี้หรือ"
"ฉันอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าพี่นี่แหละ พี่กลัวฉันหรือ"
จำปีมองซ้ายมองขวาหวาดกลัว
"ไม่นะ ข้าคิดถึงเอ็ง แต่ข้าก็กลัวผี"
นากชะงัก
"กลัวฉันทำไม เราเป็นเพื่อนกันนะ จำไม่ได้หรือ"
"คนกับผีอยู่กันคนละโลก เอ็งไปดี ไปที่ชอบที่ชอบเถิดนะนากเอ๊ย"
จำปีรีบเดินหนีไปทันที นากมองตามตาละห้อย
"โธ่จำปี ทำไม คนต้องรังเกียจข้าด้วย ข้าแค่ตายเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจของข้ายังอยู่ ข้ายังเป็นนากเหมือนเดิมนะ"
"โธ่นังนากเอ๊ย เอ็งจะคร่ำครวญอะไรนักหนา"
นากหันไปมอง เห็นนางตานีปรากฏร่างขึ้นที่ริมดงกล้วย
นางตานีปรากฏร่างออกมา นากหันมอง
"เรื่องของข้า แกมายุ่งอะไรด้วย"
"ข้าไม่ได้อยากยุ่งด้วยหรอก แต่ในฐานะผีรุ่นพี่ ขอเตือนไว้ เอ็งควรเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างผี อย่าไปใฝ่ฝันจะกลับไปเป็นคนเล๊ย"
"อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า"
"ข้าไม่ยุ่งกับเอ็งหรอก เพราะข้าเป็นผีเหมือนๆกับเอ็งนั่นแหละ แต่ข้าขอเตือนไว้ ถ้าเอ็งยังขืนวุ่นวายกับคนอีก เอ็งจะต้องทุกข์หนัก ไม่เชื่อก็คอยดู"
นางตานีหัวเราะแล้วเลือนร่างหายไป แม่นากมองตามคิดหนัก
"ไม่มีวัน ยังไง ข้าก็ต้องกลับไปอยู่กับพี่มากของข้าให้ได้"
ยอดไม้ ลมพัดแรงเหมือนมีพายุ
มั่น มัคนายก ป้าเงิน ลำจวน ยืนชะเง้อคอรอ จำปีอยู่
จำปีวิ่งเข้ามาท่าทางล่อกแล่ก
ป้าเงินถาม
"เป็นอะไรของเอ็ง ทำหน้าประหลาด เสร็จหรือยัง ฟ้องอะไรนากมันอีกล่ะ ห๊าจำปี"
"แค่จุดธูปบอกเฉยๆว่า มาทำความสะอาดบ้านให้แล้ว"
"แล้วมันตอบเอ็งบ้างหรือเปล่าล่ะ"
"ป้าเงินก็ ล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้หรือ ฉันยิ่งกลัวๆอยู่ด้วย"
"อ้าว ก็เห็นเอ็งมันช่างฟ้องเหลือเกินนี่นา เอะอะอะไรก็จุดธูปบอก เผื่อว่านากมันจะมาบอกอะไรเอ็งบ้าง"
"กลับเหอะ ฉันตากปลาไว้ ป่านนี้แห้งเป็นปลากรอบแล้วมั๊ง"
"เออ กลับสิ จะอยู่ทำไม" ป้าเงินแหงนมองฟ้า "เหมือนจะมีพายุ อะไรกัน ฟ้าก็โปร่งดีๆแท้ๆ"
ป้าเงินเดินนำหน้า จำปีกับลำจวนไป มั่นจะตาม แล้วชะงัก หันไปมอง เห็นมัคนายกชะเง้อคอมองหา
มั่นกระแอมถาม "มองใครอยู่"
"เปล๊า ไม่ได้มองซักหน่อย เอ็งมันคนขี้ระแวง"
มัคนายกรีบไป มั่นมองตามแปลกใจ
บนท้องฟ้าจากที่ครึ้มเหมือนมีพายุก็กลับโปร่งอีกครั้ง
ต่อมา ป้าเงินเดินขึ้นมาบนบ้าน แล้วนั่งพัก นึกถึงภาพของนากในวันเก่าๆ
นากกำลังตำน้ำพริกอย่างคล่องแคล่ว หยิบหอมกระเทียมที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในครก อย่างคล่องแคล่ว ลงมือโขลกต่อไป แล้วหยิบพริกจะใส่ลงครก นากชะงักมือ เปลี่ยนใจจากหยิบพริกเขียวทั้งหมด เปลี่ยนเป็นพริกแดงใส่ลงไปผสมด้วย แล้วลงมือโขลกต่อไป
นาก จำปี ลำจวนแต่งตัวสวยจะไปเที่ยวงานวัดกัน ทั้งสามแต่งตัวสวยหวีผมปะพรมน้ำอบเตรียมตัวกันอย่างดี
"เผลอแพล๊บๆพวกเอ็งโตเป็นสาวกันแล้วเหรอเนี่ย"
"โตเป็นสาวแล้วสวยรึเปล่าจ๊ะป้า" จำปีถาม
"สวยสิ"
ป้าเงินถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงภาพหลัง
"ข้าไม่รู้หรอกว่าเอ็งอยู่ที่ไหนนากเอ๊ย แต่ข้าขอให้เอ็งอยู่สุขสบาย อย่าได้ทุกข์ใจทุกข์กาย เพราะคนอีกเลย"
อ่านต่อหน้า 2
แม่นาก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ลำจวนกับจำปีอยู่ในครัว มองป้าเงินอยู่
"ถามจริงเหอะเอ็งเชื่อหรือว่า ทำแบบนี้แล้วคนจะไม่ลือเรื่องนากมัน" ลำจวนถาม
"ไม่เชื่อหรอก แต่ที่ป้าเงินไปที่เรือนนากน่ะ ก็เพราะป้าเงินเขาคิดถึงมันน่ะสิ"
"งั้นหรือ จริงสิ กลางคืน ฉันแอบเห็นป้าเงินนอนร้องไห้บ่อยๆ"
"ก็นั่นแหละ แล้วเอ็งจะถามหาความจริงทำไม อะไรที่ป้าแกทำแล้วสบายใจก็ปล่อยไปเถอะ"
"แล้วเอ็งล่ะจำปี คิดว่านากมันจะทำจริงอย่างที่คนว่ามั๊ย คิดว่านากมันจะเป็นผีใจร้ายแบบที่คนเขาล่ำรือกันหรือเปล่า"
จำปีนิ่งคิดไม่กล้าตอบ
กลางวันต่อเนื่องมา พิมนั่งอยู่หัวเรือ มีบ่าว1-2 พายเรือมาในคลอง
"คุณหนูขอรับ บ้านหลังไหนล่ะขอรับ"
เรือลำหนึ่งลอยอยู่กลางน้ำไกลๆ ชายคนหนึ่งกำลังวิดน้ำออกจากท้องเรือ
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนเรือโน่นก็ได้ คนแถวนี้คงรู้จักหรอก"
"ไปถามลำนั้นก็ได้"
บ่าว1 วาดหัวเรือเข้าไปทันที
มั่นกำลังวิดน้ำออกจากเรือ พายเรือสวนมาห่างๆ พอพิมเห็นเป็นมั่นพิมชะงัก รีบเอาผ้าสไบคลุมหัวทันที
พิมแอบบ่น
"ซวยละฉัน ถามใครก็ไม่ถาม โอ๊ยตาย ไม่ต้องถามพายเลยไปเลย ไปถามข้างหน้า"
"ขอรับ คุณหนู"
บ่าวงง รีบเหหัวเรือออกทันที พิมก้มหน้าซ่อนเต็มที่
มั่นเห็นเรือพิมระยะห่างๆ ทำท่าเหมือนจะพายเข้ามาใกล้ แล้วเหหัวเรือออก มั่นมองจ้อง
เห็นพิมนั่งเอาผ้าคลุมหัว ก้มหน้า
"มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะลุง"
พิม ถลึงตาใส่บ่าว บ่าวชะงัก
"ไม่มีอะไรหรอกพ่อหนุ่ม ฉันพายเรือหลบกอสวะน่ะ"
มั่นยิ้มให้ แล้วหันไป พิมหลบหน้าทันที
"น้ำมันลง พายลำบากหน่อยนะ"
บ่าวยิ้มให้มั่นแล้วพายห่างออกไป มั่นมองตามแล้วยิ้มไม่ติดใจอะไร
พอเรือลอยห่างออกมา พิมเอาผ้าคลุมหัวออก หันไปมองมั่นแล้วถอนหายใจ
"โอ๊ย เกือบไปแล้วไง"
"คุณหนูจะไปทางไหนครับ"
"พายไปเรื่อยๆแหละ เห็นเขาว่าอยู่คุ้งสุดท้ายโน่น เดี๋ยวคงเจอคนบอกทางได้แหละ"
บ่าวไม่กล้าถามพิม ได้แต่พายเรือต่อไป
พิมและบ่าวมาถึงเรือนแม่นาก
"หลังนี้แหละขอรับคุณหนู"
"แน่ใจนะ"
"แน่ใจขอรับ นี่หลังสุดท้ายแล้วครับ"
พิมมองบนเรือนไม่แน่ใจ
"งั้นเอ็งรอข้าที่นี่แหละ ข้าไปประเดี๋ยวเดียว"
พิมลุกขึ้นเดินขึ้นเรือไป
พิมมองรอบๆเรือนมาก ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย
"ก็ดูไม่เหมือนเรือนร้างนี่นา เหมือนมีคนอยู่"
พิมเอามือลูบกระดาน สะอาดสะอ้านดี
พิมเดินขึ้นไปบนนอกชานเอื้อมมือไปจะเปิด
ในเรือน แม่นากยืนมองจ้องอยู่ สีหน้าไม่พอใจ
หลังประตู แม่นากเลื่อนตัวมายืนมองประจันหน้ากับพิม มีแค่ประตูกั้นไว้
พิมที่นอกชาน ลังเล เอื้อมมือไปจับสร้อยพระที่ติดคออยู่ พิมเปิดพรวดเข้าไป
ในเรือนแม่นากว่างเปล่า
"ก็สะอาดดีนี่นา ใครว่าเป็นบ้านผีสิง"
พิมมองรอบแล้ว ตัดสินใจปิดประตูเหมือนเดิม
หลังประตู แม่นากยืนมองจ้องพิมเขม็ง
พิมเดินลงมาจากบนเรือน
บ่าวของพิมเดินถือตระกร้ามาส่งให้
"ขอบใจมาก เอ็งไปรอข้าที่เรือก่อน ข้าทำธุระประเดี๋ยวเดียว"
บ่าวพยักหน้ารับคำแล้วเดินไป
พิมรอจนบ่าวลับตา แล้วค่อยวางตระกร้า หยิบดอกไม้ธูปเทียนออกมา จุดธูป เทียน
แม่นากเลื่อนตัวเข้ามาหาพิม ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน โดยที่พิมไม่เห็นแม่นาก
"เอ็งมาทำอะไรที่นี่"
พิมยกธูปดอกเดียว
"ฉันมาขอขมาแม่แทนพี่ชายฉัน ฉันไม่รู้ว่าเขาทำผิดคิดร้ายอะไรแม่ แต่ตอนนี้เขาสำนึกผิดแล้ว ขอแม่นากโปรดให้อภัยด้วย พี่เพลิง เขาสำนึกแล้วจริงๆ"
"ไอ้เพลิงหรือ"
แม่นาก โกรธ ลมพัดแรง ผมแม่นากปลิว หน้าตาน่ากลัวมาก
ฟ้ามืดมิด ลมปั่นป่วน พัดแรง กระทั่ง ธูปเทียนดับ พิมตกใจ
"อะไรกันนี่ พายุมาได้อย่างไร"
บรรยากาศรอบๆ เหมือนมีลมพายุหมุนรอบๆตัวพิม
บ่าวของพิมมองฟ้าที่เหมือนมีพายุ บ่าวทั้งคู่มองหน้ากัน
"เอ็งรู้สึกว่ามันแปลกๆมั๊ยวะ"
"แปลกยังไง"
"จู่ๆมันก็หนาวเยือกๆยังไงชอบก๊ล"
"ปลายฝนต้นหนาวมันก็แบบนี้แหละ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย"
บ่าว1 มองรอบๆตัว แล้วทำหน้าสยองขวัญ
พิมยืนเผชิญหน้ากับแม่นาก จุดธูปเทียนอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ พิมมองรอบตัวอย่างหวาดๆ
"ฉันมาดีนะ อยากให้แม่เข้าใจด้วย"
พิมจุดธูปอีกครั้งมือสั่น แม่นาก เลื่อนตัวเข้าหาพิมอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปเกือบถึงคอของพิม
ทันใดนั้น มีมือลึกลับมากระชากธูปออกไปจากมือพิมทันที พิมหันไปมอง
มั่นยืนมองพิมอย่างรังเกียจ เอาธูปเทียนในมือพิมทิ้งลงพื้นแล้วกระทืบอย่างแรง
"ไอ้มั่น"
"แม่มาทำอะไรที่นี่"
"ฉัน ...ฉันมาธุระ"
"มาธุระหรือธุระอะไร แถวนี้"
" ฉันมาเก็บดอกเบี้ย แล้วก็ ล่องเรือมาเรื่อยๆ ว่าจะมาซื้อที่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า"
"มาซื้อที่ ซื้อไปทำอะไร ที่หัวตะเข้นั่นยังอวดอำนาจไม่พอหรือ ต้องมาซื้อที่ซื้อทางถึงพระโขนง"
"แล้วมันกงการอะไรของเอ็งด้วยเล่า"
มั่น หันไปมองธูปเทียน สงสัย
"ซื้อที่ แล้วทำไมต้องจุดธูปจุดเทียนด้วย"
พิมโกหก
"อ้าว ฉันเห็นเรือนหลังนี้แล้วถูกใจอยากได้ ก็เลย จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง ถ้ามันจะเป็นของฉันก็ขอให้เจ้าของเขาขายให้ อย่าได้มีอุปสรรค แล้วมันผิดตรงไหน"
พิมโกหกหน้าตาย มั่นเริ่มลังเล
"ไปเลย ที่นี่เขาไม่ขายหรอก มาทางไหนไปทางนั้น"
"เอ็งเป็นเจ้าของหรือ ถึงได้พูดแบบนี้ หน้าตาแบบเอ็งไม่น่าจะมีเรือนอยู่ น่าจะอาศัยนอนตามคบไม้ หรือไม่ก็นอนตามกอหญ้า"
มั่นจ้องหน้าพิมอย่างรำคาญสุดชีวิต หันไปคว้าพร้าของตัวเองที่วางทิ้งไว้ หัวบันไดเรือนมา
"ถ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะผ่าหัวแม่ออกมาดู ว่าข้างในมีอะไรอยู่ ถึงได้ปากร้ายเช่นนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าสัญญาว่าจะเย็บคืนให้สวยเหมือนเดิมเลย"
มั่นทำท่าเอาจริง พิมถอยกรูด
"ไอ้บ้า ไอ้คนพิเรนทร์ ฉันไปก็ได้ แต่อย่าโผล่ไปหัวตะเข้ก็แล้วกัน คอยดู"
พิมรีบคว้าตระกร้าเดินไปทันที ถึงหัวสะพาน พิมหันมาแล่บลิ้นใส่มั่น มั่นเงื้อมือทำท่าเหมือนจะฟัน พิมรีบวิ่ง
"เหลือเกินจริงๆ เบื่อนักไอ้พวกคนรวย จะถืออำนาจบาตรใหญ่ไปไหน"
มั่นหันไปมองบนเรือน แล้วส่ายหน้า
"เมื่อไหร่ไอ้มากมันจะกลับมานะ เฮ้อ นากเอ๊ย ข้าสงสารเอ็งจริงๆเลย ตายแล้วยังไม่สงบอีก" มั่นตะโกน "ไอ้มากโว๊ย กลับมาซะทีเถอะ"
แม่นากยืนมองมั่น สีหน้าเศร้า
ที่กระท่อมชาวบ้าน มากนอนสลบอยู่ ลุงกำลังทำแผลให้มาก ป้าหยิบกะละมังน้ำร้อนมาส่งให้ ลุงรับมา ซักผ้าเช็ดแผลให้ จู่ๆมากก็สะดุ้งเฮือก
"ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม"
มากมองรอบๆตัว แล้วรู้สึกเจ็บแผล
"ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้"
"ข้าเห็นเอ็งนอนเอ้งแม้งอยู่ในป่าหนามโน่น"
มากนิ่งคิด
เสียงกิ่งไม้หักดังเป๊าะ มากรู้สึกตัวหันขวับกลับมา เห็นปลายมีดดาบคมวับ พุ่งเข้ามาหา
"ฉันถูกปล้น"
มากลุกขึ้นค้นข้าวของในย่าม ไม่มีของอะไรเหลือเลย
"โธ่ หมดกัน"
"อย่าคิดมากเลย เอ็งยังเหลือชีวิต ปีที่ผ่านมานี่ ข้าวยากหมากแพง แถมยังเกิดสงคราม เอ็งไม่ใช่คนแรกหรอก"
มากนิ่งคิด
"ฉันต้องไปแล้ว"
"เอ็งจะไปไหน พักผ่อนให้หายดีก่อนสิ"
"ฉันต้องกลับไปหาเมียฉัน ที่พระโขนง"
"ไม่ต้องห่วง แค่นี้พายเรือแค่ครึ่งวันก็ถึง ประเดี๋ยวน้ำขึ้นข้าจะพายไปส่ง พักหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวกินข้าวกินปลาแล้วค่อยออกเดินทางเถอะนะ"
มากพยักหน้ารับ สีหน้ามีความหวัง
พวงจันทร์ขึ้นมาบนเรือน มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร
"ทำไมเรือนมันดูเงียบๆอย่างนี้ หายหัวกันไปไหนหมดW
บ่าวบอก
"คุณพิมไปข้างนอกเจ้าค่ะ เห็นว่าจะไปตามหนี้ ส่วนคุณเพลิง..."
บ่าวอึกอักไม่กล้าตอบ พวงหันไปมองคาดคั้น
"พ่อเพลิงทำอะไร เอ็งจะอ้ำอึ้งทำไมล่ะ"
"คุณเพลิง ยังไม่ออกจากห้องตั้งแต่วานเจ้าค่ะ"
"อ้าว แล้วข้าวปลาล่ะ กินหรือยัง ตายจริง ประเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแร้งไปหรอก"
"บ่าวยกไปให้แล้วเจ้าค่ะ คุณเพลิงกินอยู่ในห้องไม่ออกมาเลย"
พวงนิ่งคิด
"นั่นสิ เมื่อวานข้าก็เห็นพ่อเพลิงแค่แว๊บเดียว หรือว่าจะมีเรื่องอะไร"
พวงจันทร์เดินเปิดเข้าไปในห้องเพลิงแล้วชะงัก เห็นในห้องมีพระเต็มไปหมด สายสิญจน์ห้อยระโยงระยาง ส่วนเพลิงนอนห่มผ้าคลุมโปง
"ตายจริง นี่มันอะไรกัน พ่อเพลิง มันเกิดอะไรขึ้น"
เพลิงลุกพรวดขึ้นมามอง
"อ้าว แม่เองหรือ เข้ามาทำไม มีใครตามมาหรือเปล่า"
"ใคร ใครจะตามเข้ามา พ่อเพลิงทำอะไร เอาพระมาไว้ในห้องทำไมมากมาย"
เพลิงอึกอัก
"ไม่มีอะไรหรอก ฉันเอ่อ สนใจอยากจะศึกษาเรื่องพระเครื่องน่ะแม่"
"พระเครื่อง ไหนเอ็งไม่เชื่อเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ให้บวชให้เรียนก็อิดออด ตอนนี้ เกิดอะไรขึ้น"
"เอาน่า แม่อย่าถามให้มากความเลย ออกไปก่อนเถอะฉันจะนอน เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน"
เพลิงผลักพวงจันทร์รุนหลังออกจากห้องไป
เพลิงดันตัวพวงจันทร์ออกมาที่หน้าห้อง พวงจันทร์ไม่ยอมจะดันตัวเข้าห้องไป เพลิงกันไว้
"ประเดี๋ยวก่อนสิพ่อเพลิงคุยกันให้รู้เรื่องก่อน"
"ไม่เอาหรอก ฉันจะนอน แม่อย่ามากวนสิ"
พิมเดินขึ้นเรือนมา เพลิงชะงัก
"พิม!!! มานี่ก่อน"
พิมเดินปึงๆเข้ามา ทำท่าจะอ้าปากโวยวาย เพลิงไม่ฟังเสียงปิดปากพิม คว้าตัวลากเข้าห้องไป
พวงจันทร์งง รีบตามเข้าไปตบประตูอย่างแรง
"สองคนนี่ อะไรกัน ออกมาคุยก่อนสิ พ่อเพลิง แม่พิม"
พวงจันทร์แปลกใจ
เพลิงลากพิมเข้ามาในห้อง พิมสะบัด
"โอ๊ย ปิดปากปิดจมูก ประเดี๋ยวฉันก็ตายคามือพี่ไปอีกคนนึงหรอก"
"ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เป็นยังไงบ้าง ได้ความว่าไง"
"ไม่ได้อะไรเลย มีตัวซวยมาขวางซะก่อนน่ะสิ"
"ตัวซวย ใครกันวะตัวซวย สรุปแล้วเอ็งได้ทำพิธีหรือเปล่า"
"เฮ้อ ฉันจุดธูปไปรอบนึงแล้ว แต่ดันเกิดพายุซะก่อนธูปเทียนมันก็เลยดับ พอจะจุดรอบสอง ไอ้มั่นก็โผล่มาจากไหนไม่รู้"
"ไอ้มั่นมันเป็นใคร"
"พี่ไม่รู้จักหรอก ช่างเหอะ"
"แล้วทีนี้ข้าจะทำยังไงล่ะ ข้ามิต้องอยู่แต่ในห้องแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือ"
"อย่าเพิ่งวิตกเลย มันต้องมีวิธีแก้ไขสิน่า"
เพลิงโวยวาย
"โอ๊ย กูอยากจะบ้า"
เพลิงโวยวาย อารมณ์เสียขึ้นมาทันที พิมมองอย่างหนักใจ
"คุณเพลิง คุณพิมเจ้าขา นายแม่ให้มาตามเจ้าข้า"
เพลิงกับพิมชะงักมองหน้ากัน
เพลิง กับพิมเดินมา เพลิงหน้าบึ้ง กระแทกตัวลงนั่งหน้าพวงจันทร์
"จะตามทำไมก็ไม่รู้ คนจะหลับจะนอน"
พวงจันทร์ยิ้มเฉย
"พ่อเพลิงมีอะไรจะบอกแม่บ้างมั๊ย"
"ไม่มี โอ๊ยจะอยากรู้อะไรกันนักหนาเล่า คนง่วงจะตายแล้ว"
"งั้นแม่ถามหน่อย ไอ้สองตัวนี่มันเป็นอะไร"
เพลิงชะงัก หันไปมองตามมือพวงจันทร์ เห็นหมึกกับเก่งหัวโล้นเลี่ยนเดินมา
"พวกมึง!! เหากินหัวมันมั๊งแม่ ถึงได้โกนหัว"
"ไม่ใช่หรอก ไอ้สองตัวนี่มันจับไข้หัวโกร๋น แม่เพิ่งเจียดยาให้มันไปเดี๋ยวนี้"
เพลิงกับพิมมองหน้ากัน เพลิงจันทร์ตวาด
"บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ... บอกมา"
เพลิงสะดุ้งเฮือกหันไปมองหน้า พิม
พวงจันทร์จริงจัง หมึกกับเก่งหน้าจ๋อย
"แม่จ๋า ฉันว่า เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ แถวนี้ผู้คนมันพลุกพล่าน"
พวงจันทร์จ้องหน้าพิมนิ่ง
อ่านต่อหน้า 3
แม่นาก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ในมุมลับตา บริเวณสวน ในเรือนขุนเพชร พวงจันทร์สีหน้าเครียด เพลิงหน้าจ๋อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมด ให้แม่ฟัง
"เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละจ๊ะแม่จ๋า แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนะจ๊ะแม่ ฉันก็แค่ทักทายมัน แต่มันสะบัดสะบิ้งเอง"
"พี่เพลิง เบาหน่อยฉันคลื่นไส้ คนตายไปแล้วมาพูดแก้ตัวไม่ได้ก็จริงนะ แต่ผียังอยู่"
"อ๊ะนังนี่ อย่าขัดคอกูสิ"
"อย่าทะเลาะกัน พ่อเพลิงว่าต่อไปสิ"
"ทีนี้เรื่องไอ้หมอคง ฉันก็ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจนะแม่ ไอ้หมึกตะหาก มันบอกว่าควรจะทำพิธี ฉันก็ตามใจ ไม่อยากให้พวกมันเสียขวัญ แต่ไอ้หมอคงน่ะสิ ดันตายซะได้ ฉันก็เลย"
"มาหลบอยู่หลังพระไงแม่" พิมบอก
เพลิงทำท่าจะเขกหัวพิม พิมทำท่าสู้
"แม่จ๋า แม่ต้องช่วยฉันนะ คราวนี้ฉันพลาดไปแล้ว แต่ฉันก็สำนึกนะแม่"
"สำนึกจริงหรือ" พิมถาม
"พิม เอ็งหุบปากเดี๋ยวนี้ นี่ข้าพูดเป็นการเป็นงานนะ"
พิมชะงักมองหน้าแม่
"นี่แม่เข้าข้างพี่เพลิงหรือ"
"ใช่ ข้าไม่สนใจใครจะเป็นจะตาย แต่ถ้ามันมาวุ่นวายกับลูกของข้า ข้าก็ไม่ละเว้นมันเด็ดขาด"
พิมอึ้ง เพลิงได้ทีกอดเข่าพวงจันทร์ไว้ ประจบประแจง
พวงจันทร์เดินไปส่งเพลิงที่หน้าห้อง
"พ่อเพลิง ต่อจากนี้ อย่าออกจากห้องมาเป็นเด็ดขาด จนกว่าเรื่องจะสงบเข้าใจมั๊ย"
เพลิงกอดแม่ประจบ
"เข้าใจจ๊ะแม่ ฉันรู้เสมอว่า แม่ต้องช่วยฉันได้ จริงๆนะ รักแม่ที่สุดเลย"
พวงจันทร์ยิ้มพอใจ พิมแอบแหวะ
"ประจบกันเข้าไป เลียเล็บขบแม่ด้วยล่ะ"
พวงจันทร์หันไปถลึงตาใส่ พิมเมินหน้า เพลิงเข้าห้องไป
พวงจันทร์บอกกับบ่าว
"เอ็งคอยเฝ้าพ่อเพลิงไว้ จะเอาอะไรก็หาให้อย่าได้ขาด แต่อย่าให้ออกมาเพ่นพ่านนอกเรือนเข้าใจไหม"
"เข้าใจเจ้าค่ะ"
พวงจันทร์เดินออกไป พิมมองตามอย่างไม่เข้าใจแล้ววิ่งตามพวงจันทร์ไป
พวงจันทร์ เดินมาช้าๆสีหน้าครุ่นคิด พิมเดินตามมา แอบมอง
"แล้วแม่จะจัดการยังไงล่ะจ๊ะ จะบอกพ่อมั๊ย"
พวงจันทร์ชะงัก
"บอกพ่อเอ็งหรือ บอกทำไม"
" อ้าว ไม่บอกแล้วแม่จะทำยังไง"
"นังพิม เอ็งช่างอ่อนเดียงสา พ่อเอ็งจะไปวุ่นวายอะไรกับเรื่องผี ตอนนี้พ่อเอ็งเขามีงานใหญ่กว่านั้น เรื่องแค่นี้ แม่จัดการเองได้"
"แม่จะทำยังไง แม่ก็รู้ว่าพี่เพลิงผิด ไปหาเรื่องระรานเขาก่อน"
"ผิดแล้วยังไง เพลิงมันเป็นลูกข้า แล้วตอนนี้นังนากก็ตายไปแล้ว เรื่องแบบนี้ ก็ต้องให้หมอผีมาจัดการสิ"
"อะไรนะ หมอผีหรือ แม่จะเอาหมอผีไปปราบแม่นากอีกหรือ"
"ไม่จำเป็นหรอก นังนากมันอยู่พระโขนง ถ้ามันออกมาหลอกมาหลอนจริงๆ มันต้องหลอกคนที่โน่นก่อนสิ จะมาหลอกอะไรคนหัวตะเข้"
"โอ้โห ความคิดของแม่ล้ำลึกเหลือเกิน ฉันตามไม่ทันหรอก"
"จะไปเดือดร้อนเรื่องของคนบางอื่นเขาทำไม เราแค่ป้องกันไว้ อีกหน่อย คนพระโขนงมันทนไม่ได้ มันก็หาหมอผีมาปราบกันเอง แต่ตอนนี้ต้องแก้ไขเรื่องพ่อเพลิงก่อนก็แค่นั้น"
พวงจันทร์ยิ้มขำแล้วไป พิมงง
" ใช่สิ ฉันมันโง่เหมือนคนข้างเรือนม๊างง ทำไงดีเนี่ย คนพระโขนง คงเกลียดเรือนเราพิลึกเลย โอ๊ย ปวดหัวๆ"
มั่นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทุ้ย เค้ง โพล้ง คอยปลอบใจ
"แม่ลูกสาวขุนเพชรนั่นบอกว่าจะมาซื้อที่ อวดเบ่งเหลือเกิ๊น"
ทุ้ยบอก
"ถ้าเขามาซื้อที่จริง เขาก็มีสิทธิ์จะทำได้นะโว๊ย"
"แหม ข้าชักอิจฉาไอ้มากแล้วสิ พอเมียตามทำท่าจะเป็นเศรษฐี" โพล้งว่า
"นี่พวกพี่ คิดอะไรกันไปใหญ่แล้ว ไม่มีใครอยากจะขายที่หรอก"
"นั่นสิ พวกพี่ก็เพี้ยนไปใหญ่แล้ว แล้วเอ็งจะขายเท่าไหร่กันแน่"
มั่นมองหน้าเค้ง งง คิดว่าเค้งจะเข้าใจสิ่งที่มั่นพูดมาก
"พวกพี่เป็นอะไรกันไปหมด เรือนนั่นน่ะ มันเป็นตัวแทนความรักของนากกับพี่มากเข้าใจมั๊ย โธ่เว๊ย"
มั่นหัวเสียเดินไป ทุ้ย เค้ง โพล้งมองตาม
"กูไม่เข้าใจไอ้มั่นว่า มึงเข้าใจมันมั๊ยเนี่ย" โพล้งว่า
"ฉันไม่เข้าใจมันเหมือนกัน แต่ฉันเข้าใจพี่" ทุ้ยบอก
"โธ่ พวกพี่เนี่ย อ่อนหัดจริงเชียว ไม่เข้าใจหรือ รักแรกมันยากจะหักใจลงไอ้มั่นน่ะ มันยังไม่ลืมนังนากหรอก เชื่อฉันสิ ไม่งั้นมันจะเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ทำไมกัน"
ทุกคนทำสีหน้าคล้อยตาม
มั่นเดินบ่นงึมงำเข้าไปในวัด แล้วชะงัก เห็นมัคนายก แต่งตัวหล่อ หวีผมเผ้าดูแปลกตา
"ลุงปลอด เป็นอะไรไปเนี่ย"
"เป็นอะไร ข้าก็ปกติดีนี่หว่า แค่หล่อขึ้นนิดหน่อย"
"นี่หวีผมด้วยหรือ แหวะ เยิ้มเชียว เอาน้ำมันอะไรทาหัวเนี่ย"
"น้ำมันขี้โล้โว๊ย รักษาผมให้ดกดำเป็นเงางาม หล่อใช่มั๊ยล่ะ"
มั่นทำหน้าแหวะ
"นี่ลุงนึกยังไงเนี่ย ทำยังกะจะไปจีบสาว"
"เปล่า ข้าแค่จะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน"
"เพื่อนบ้านที่ไหน ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั๊ย"
"ไม่ต้อง เรื่องส่วนตัว แค่นี้ข้าจัดการได้"
มัคนายกรีบไป มั่นมองสงสัย
"เป็นอะไรของเขาเนี่ย"
ตอนเย็นโพล้เพล้ ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า มัคนายกเดินไปตามทาง ผิวปากอารมณ์ดี
"ต้องเริ่มจากทักทาย กันก่อน แหม มันขัดๆเขินๆยังไงก็ไม่รู้"
มัคนายกยิ้มเขิน เดินไปทางป่ากล้วยด้านหน้า
นางตานีปรากฏร่างขึ้นแล้วยิ้ม พอจะเดินไป แม่นากปรากฏร่างขึ้น ยืนมอง
"ไหนเจ้าเตือนข้า ไม่ให้ยุ่งกับคนไงล่ะ"
นางตานีหัวเราะ
"นากเอ๊ย เอ็งมันผีอ่อนหัด ข้าน่ะเป็นผีมีประสบการณ์ เอ็งไม่เคยรู้ชื่อเสียงของข้าหรือ นี่ไม่ใช่คนแรกของข้าหรอกนะ"
"หมายความว่ายังไง"
"เฮอะนังนี่ ข้าแค่คบกันเล่นๆไม่ผูกพัน ไม่เหมือนเอ็งหรอกนังนากเอ๊ย ถูกล่ามไว้ด้วยความรัก เชื่อข้าเถอะ รักแท้ไม่มีจริงหรอก นังนากเอ๊ย"
"ต้องมีสิ มันต้องมี ข้ารักพี่มากของข้า พี่มากก็รักข้าเช่นกัน"
" มันเรื่องของเอ็ง แล้วแต่เอ็งจะคิด แต่ จะบอกให้นะ นังนากเป็นคนต่างกันแค่รวยกับจน ยังรักกันยากเลย แต่เอ็งน่ะ มันคนกับผีนะ แล้วคิดว่าความรักมันจะยั่งยืนหรือ ฝันไปเถอะ"
แม่นากเครียด อารมณ์พุ่งปรี๊ด ลมฟ้าอากาศบริเวณนั้นเริ่มแปรปรวน
มัคนายกชะงัก เห็นสีท้องฟ้าแปรปรวน ลมพัดแรง
"อะไรกันวะ จู่ๆก็มีฝนซะแล้ว ... เฮ้อ กลับก็ได้ เดี๋ยวฝนตกผมจะเสียทรงไม่หล่อ"
มัคนายกลังเล แล้วตัดสินใจเดินกลับไป
นางตานีมองหงุดหงิด หันไปด่านาก
"นังผีบ้า เอ็งทำอะไรของเอ็ง"
"ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำอะไร"
นางตานีนิ่งคิด
"เอ็งตั้งใจจริงถึงเพียงนี้เชียวหรือนังนาก ความตั้งใจของเอ็งเปลี่ยนแปลงฟ้าดินได้หรือ"
"ฉันแค่อยากอยู่กับผัวฉัน อยากอยู่กับคนที่ฉันรัก ก็แค่นั้น"
นางตานีมองนากอย่างเห็นใจ
"ถ้าเอ็งยืนยันเช่นนั้น ข้าก็ขอให้เอ็งโชคดีก็แล้วกัน แต่รับรองว่า เรื่องของเอ็งกับไอ้มาก ไม่มีทางเป็นไปได้"
"แต่มันต้องเป็นไปได้สิ"
"นังผีหัวดื้อ กลับไปบ้านเอ็งซะ กลับไปรอผัวเอ็งที่โน่น ไปซะ"
นางตานีเลือนร่างหายไป นากนิ่งคิดสีหน้ามุ่งมั่นมาก
"ข้าไม่ไม่ยอมให้ใครมาพรากพี่มากไปจากข้ากับลูกได้เด็ดขาด ไม่มีทาง"
พระอาทิตย์ตก ลับขอบฟ้า สิ้นแสง...ท้องฟ้าในคืนเดือนมืด
บ้านเรือนริมคลองตอนกลางคืน สองฟากฝั่งคลองเริ่มจุดไฟตะเกียงกัน กลองตีบอกเวลาย่ำค่ำ ดัง ตุ๊งตุ๊งตุ๊ง
ที่หน้าต่างเรือนริมคลอง ชาวบ้านโผล่อกมามองซ้ายมองขวา ปิดหน้าต่าง ปิดประตูลงกลอนกันพรึบพรั่บ
อีกเรือนหนึ่ง ชาวบ้านรีบพากันเข้ามุ้ง ดับตะเกียง
ในอีกเรือนหนึ่ง พ่อแม่ลูก มองซ้ายมองขวา สีหน้าหวาดหวั่น ชักชวนกันสวดมนต์
ท่ามกลางความมืด ในเรือนแม่นาก จู่ๆก็สว่างวาบขึ้นมา
แม่นากนั่งสางผมอยู่ที่หน้ากระจก ที่กระจกมีรอยแตก แต่ไม่มีเงาสะท้อนของแม่นาก
ตะเกียงวางอยู่ ไม่มีไฟติดที่ไส้ตะเกียง แต่ในเรือนสลัวๆ พอมองเห็นแม่นาก
ที่เปล เสียงเด็กร้อง แม่นากวางหวีหันไปมอง ที่เปล เปลแกว่งเหมือนมีใครดึงเชือกให้แกว่ง
เสียงเพลงกล่อมเด็กดังขึ้น “โอละเห่เอย.......”
แม่นากนั่งมองที่เปลนิ่ง แล้วหันมองอย่างมีความหวัง ไปหน้าเรือนอย่างรวดเร็ว
แสงตะเกียงที่หัวเรือ ส่องแสงวับแวม มากนั่งอยู่ที่หัวเรือ ชะเง้อคอมองรอบๆ แปลกใจ
"ทำไมมันเงียบเชียบแบบนี้"
"แน่ใจนะว่าเอ็งมาถูกที่แล้ว ทำไมมันเงียบแบบนี้วะ" ลุงว่า
"ใช่สิลุง บ้านของฉันเอง ทำไมจะจำไม่ได้ โน่นไง สะพานท่าน้ำโน่น ถึงแล้วลุง นาก พี่มาแล้ว แม่นากของพี่ พี่กลับมาแล้ว"
มากตะโกนอย่างตื่นเต้น
แม่นากหันขวับไปมอง ยิ้ม
"พี่มาก พี่มากจ๋า"
นากลุกขึ้นยืนมอง เปลหยุดแกว่ง
ทุกอย่างรอบๆตัวนาก สว่างไสวขึ้นทันที
มาก มองเห็นบ้านสว่างไสวภายในบ้าน
"นาก พี่กลับมาแล้ว นากของพี่"
บริเวณหัวสะพาน นากยืนยิ้มมองอยู่
"พี่มาก"
เรือมาจอดที่หัวสะพานพอดี มากกระโดดขึ้นเรือไปทันที
ลุงมองตะลึงตกใจ
มากโดดขึ้นไปยืนบนหัวสะพาน แล้วเห็นนากยืนรออยู่ มากโผเข้ากอดเมียทันที
"นากสุดที่รักของพี่"
"พี่มาก พี่กลับมาแล้วจริงๆ"
มากผละออกจากนากจ้องหน้านากอย่างคิดถึงสุดหัวใจ
"พี่คิดถึงนากที่สุด ทุกลมหายใจ ทุกวันทุกคืน พี่กลัวจะไม่ได้กลับมาอีก พี่กลัวจริงๆ"
"ฉันก็คิดถึงพี่เหลือเกิน"
มากดึงนากมากอดอีกครั้งแล้วตัวงอ เจ็บแผล
"พี่บาดเจ็บหรือจ๊ะ ใครทำพี่"
นากหันไปจ้องมองคนเรือ ลุงชะงักตาค้าง เมื่อเห็น มากยืนกอดกับผีนาก
ลุงร้องโวยวายรีบคัดท้ายเรือ พายออกไปอย่างรวดเร็วทันที
มากตะโกนไล่หลัง
"อ้าวลุง รอประเดี๋ยวสิ ว้า... ไปซะแล้วยังไม่ได้ขอบใจเลย"
"ช่างเถอะจ๊ะ ขึ้นบ้านกันเถอะพี่มาก"
"ไปสิ พี่อยากเห็นหน้าไอ้แดงลูกเราเหมือนกัน ดูซิว่าจะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่"
มากเชยคางนากขึ้นมองลึกลงไปในตา นากหลบตาเขิน
"พูดอะไรก็ไม่รู้ พี่มากก้อ"
มากกอดนากอีกครั้งอย่างแสนรัก แล้วสองคนเดินประคองกันขึ้นเรือนไป
บนท้องฟ้า มีเมฆดำเคลื่อนมาบังดวงจันทร์
คืนเดียวกัน ที่เรือนขุนเพชร แม่พวง กับบ่าวชื่อ อีปุก ประคองขันน้ำมนต์มาในห้อง พิมตามมาด้วย เพลิงมองน้ำมนต์ในขันแล้วทำท่าสยองขวัญ
"อะไรล่ะแม่ บอกเลย ฉันกินไม่เข้าอีกแล้วนะ"
"น้ำมนต์ไงลูก แม่ขอร้องให้ท่านพระครูปลุกเสกเป็นพิเศษ มีข้อแม้แค่อย่างเดียว"
"อะไรหรือจ๊ะแม่ ลูกทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ"
พิมทำหน้าแหวะ เพลิงถลึงตาใส่
"หลวงพ่อท่านขอว่าให้ถือศีล 5 แค่ 3 เดือนเท่านั้น"
เพลิงโวยวาย
"ไม่ไหวมั้งแม่ นี่ฉันไม่ได้กินเหล้ามาตั้งหลายวันแล้วนะ โอ๊ย ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด แค่ ศีล 1 ศีล 2 ได้ป่ะ"
"เอาไงดี น่าจะได้อยู่นะ ถือข้อเดียวดีกว่าไม่ถือเลย"
"แต่ท่านพระครูท่านย้ำนักย้ำหนานะเจ้าคะ ศีล5 อย่าได้พร่อง" ปุกบอก
เพลิงโอดโอย
"แม่จ๊ะแม่จ๋า แม่ไม่สงสารหนูหรือจ๊ะแม่ ไอ้เพลิงครั่นเนื้อครั่นตัวแทบตายแล้ว"
แม่พวงทำท่าลังเลเป็นห่วงลูกชาย พิมมองหน้าแม่แล้วโวยวาย
"โธ่แม่ นี่มันเรื่องใหญ่นะ แม่จะอ่อนข้อให้พี่เพลิงร่ำไป ประเดี๋ยวก็เสียการใหญ่หรอก"
เพลิงกับแม่พวงหันมามองหน้าพิม โพล่งพร้อมกัน
"เอ็งไม่ต้องยุ่ง"
พิมชะงัก ถอยออกมามองอย่างน้อยใจ
"ฉันไม่ยุ่งก็ได้ ยกหางชูหัวกันเข้าไป ใช่สิ พี่เพลิงทำอะไรไม่เคยผิดเล๊ย"
เพลิงกับแม่พวงยังปรึกษากันมุ้งมิ้งๆ ไม่สนใจพิม พิมกระแทกเท้าเดินออกจากห้องไป ปุกมองเพลิงกับแม่พวงแล้วส่ายหน้า
ต่อมา ขุนเพชรเดินขึ้นเรือนมา พิมรีบเข้าไปรับ
"พ่อจ๋า เหนื่อยมั๊ย จ๊ะ"
"ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แล้วนี่แม่เอ็งไปไหนล่ะ"
พิมชะงัก มองหน้าขุนเพชร
"พ่อมีอะไรหรือจ๊ะ ขึ้นเรือนก็ถามถึงแม่เชียว คิดถึงเหรอ"
ขุนเพชรหัวเราะ
"นังลูกคนนี้ พ่อมีเรื่องจะสั่งแม่เอ็งหน่อย เรื่องเงินๆทองๆ แม่เอ็งเขาถนัดนัก"
พิมชะงัก อ้าปากจะถาม
"คุณพี่ กลับมาแล้วหรือ รับข้าวมาหรือยัง ฉันจะสั่งให้บ่าวมันตั้งสำรับ"
พิมหันไปเห็นแม่พวงเดินรี่เข้ามา พิมทำท่าจะอ้าปากพูด แม่พวงรีบปรี่เข้าหยิก แล้วกระซิบ
"หุบปากให้สนิทเชียว ถ้าเอ็งฟ้องพ่อ แม่จะเอาเรื่องเอ็ง คอยดู"
พิมชะงักค้าง เห็นแม่พวงตาเขียว พิมเมินหน้า
"ไม่ต้องหรอก ฉันกินมาแต่เรือนหลวงณรงค์แล้ว เข้าห้องเถอะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษา"
ขุนเพชรเดินเข้าห้องไป แม่พวงจะตามแล้วหันมามองหน้าพิม
"อย่าแม้แต่จะคิดเชียว"
พิมเงียบ แม่พวงชี้หน้าพิมแล้วไป
"โอ๊ย เรื่องแบบนี้ ฉลาดคิดฉลาดทำกันจริงเชียวนะ"
พิมนิ่งคิดแล้วมองตาม
"พ่อมีเรื่องอะไรสำคัญนักหนา ถึงต้องแอบคุยกะแม่ด้วยนะ"
พิมสงสัย
อ่านต่อหน้า 4
แม่นาก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภายในห้อง แม่พวงนั่งฟังขุนเพชรพูด สีหน้าครุ่นคิด
"ถ้าเรารวบรวมเงินซื้อที่ซื้อทางไว้ได้ เราจะรวยกันไม่รู้เรื่อง"
"อ้าว ทำไมหลวงณรงค์ท่านถึงไม่ออกหน้าเองล่ะพี่ จู่ๆ จะให้เราออกเงินก่อน มันจะถูกต้องหรือ"
"แม่พวงก็ ท่านหลวงณรงค์น่ะ ท่านเป็นข้าหลวงใหญ่ จะออกหน้ากว้านซื้อที่ดินเอง มันก็ไม่เหมาะ ท่านถึงต้องใช้เราไง"
"แล้วคุณพี่แน่ใจนะว่า หลวงท่านจะตัดถนนเข้ามาถึงบางพระโขนงจริง ฉันกลัวว่า"
"จะกลัวอะไรเล่าแม่พวง"
แม่พวงนิ่งคิดหนัก
"ฉันแค่....เกรงเราจะลงทุนเสียอัฐน่ะสิ ปล่อยให้กู้แบบนี้ก็ดีแล้ว คิดดูนะคุณพี่ขูดดอกเบี้ยแพงๆ กับไอ้คนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีอำนาจวาสนาน่ะ มันไม่ยากหรอก หนักนักก็ส่งนักเลงไปตีมัน ซ้อมมัน ยึดข้าวของมัน เราก็ได้คืนทั้งต้นทั้งดอก แต่ทำงานกับคนใหญ่คนโตแบบนี้ เราจะเสียเปรียบน่ะสิ"
"แม่พวงอย่าวิตกไปเลย ฉันไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆหรอก ฉันหมายตาคุณชมนาด ลูกสาวหลวงณรงค์ไว้ให้ไอ้เพลิงมันด้วย"
แม่พวงชะงัก สนใจ มองขุนเพชรขุนเพชรยิ้มร้าย
"คุณพี่หมายความว่า..."
"แม่พวงเอ๊ย โบราณว่า สิบพ่อค้าไม่เท่า พญาเลี้ยง แต่ถ้าเราได้ลูกพญามาเป็นสะใภ้ นี่มันยิ่งกว่า เรือขนทองล่มในบ่อหน้าบ้านเลยนะ แม่พวง..."
สองผัวเมียมองหน้ากัน แล้วหัวเราะให้กัน
พิมเดินเข้ามาในห้อง หน้าตาตกใจ ปิดประตูขัดดาลแล้วนิ่งคิด สีหน้ากังวล
"ตายจริง พ่อกับแม่คิดการใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ"
พิมกังวล
พิมไปที่บ้านของมาก แล้วเจอกับมั่น
"ฉันจะมาหาซื้อที่ตรงนี้ มีอะไรหรือเปล่า"
พิมวิตก ตบปากตัวเอง
"ว้า... ไม่น่าเล๊ย ไม่น่าเลย มีเรื่องตั้งมากตั้งมายไม่พูด ดันไปบอกว่าจะซื้อที่ โอ๊ย อยากตาย"
พิมนิ่งคิด แล้วชะงัก
"ทีนี้จะทำไงดีล่ะ ทำไงดี"
พิมร้อนใจ
นอกชานบ้าน ในเวลาต่อมา มากนุ่งผ้าขาวม้ามีโอ่งน้ำอยู่ด้านข้าง มากเอี้ยวตัวจะถูหลัง แต่เจ็บแผล
นากค่อยๆยื่นเข้ามา เอาผ้าชุบน้ำถูหลังให้ มากยิ้มอย่างมีความสุข
"พี่ดีใจจัง ที่ได้กลับมาบ้านแบบนี้ รู้มั๊ย ตอนพี่ไปรบ พี่คิดแต่ว่า พี่ต้องกลับมามาหานากกับลูกให้ได้"
"ตอนนี้พี่มากกลับมาแล้วนี่จ๊ะ ทุกอย่าง...ยังเหมือนเดิมเหมือนตอนที่พี่ไป"
แม่นากถูหลังให้มาก มองมากอย่างสุดรัก
"ตอนนั้น พี่บอกกับตัวเองว่า ถึงพี่ตายเป็นผี พี่ก็ต้องกลับมาหานากให้ได้"
นากชะงัก มากหันมาจับมือนากไว้มองตา
"แต่พี่ก็ไม่ตาย ถึงจะเจอเรื่องร้ายๆ มากมาย แต่พี่ก็ได้กลับมาหานากกับลูก"
"แล้วถ้า.... ฉันเกิดตายไปล่ะจ๊ะ ระหว่างที่พี่ไปรบ คนที่ตายกลับเป็นฉัน พี่จะยังกลับมาหาฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า"
มากขำ
"ทำไมพูดแบบนั้นเล่าทูนหัวของพี่"
"จริงนะจ๊ะพี่ ถ้าฉันตาย พี่จะยังรักฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า พี่จะกลัวฉันหรือเปล่า"
มากจ้องหน้ามาก แล้วยิ้ม
"ไม่ว่ายังไง พี่ก็ยังจะรักนาก รักนากตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนความตายไม่อาจจะแบ่งแยกเราสองได้หรอก นากเอ๊ย"
มากดึงนากมากอดไว้แนบอก นาก ยิ้มเศร้า
เงาเมฆเคลื่อนมาบังจันทร์อย่างรวดเร็ว
คืนเดียวกัน ที่นอกชานบ้านของมั่น มั่นกำลังลับมีดพร้าอย่างจริงจัง ลับไปบ่นไป
"เจอคราวหน้าจะเอามีดฟันให้หัวหลุด เกลียดนัก ผู้หญิงขี้เบ่ง ทำตัวเหมือนผู้ชายท้ายบ้าน"
มั่นหยิบมีดขึ้นมา เอามือลูบลองคม ทุ้ย เค้ง โพล้งกำลังช่วยกันเหลาไม้ทำด้ามจอบ มองมั่นตาค้าง
"ไอ้มั่น ข้าว่าเอ็งชักจะดุเกินไปแล้วนะ หมู่นี้กินหวานมากเกินไปหรือเปล่าห๊า"
"พี่โพล้งพูดอย่างงี้ หมายความว่าพี่มั่นเป็นหมาหรือ" เค้งว่า
ทุ้ยหันไปเขกหัวเค้งอย่างแรง
"มันไม่คิดเลย คิดเลย ไอ้เค้ง มึงหาเรื่องแล้ว"
มั่นฮึดฮัด
"ไม่ได้โกรธขนาดนั้นหรอก ข้าก็แค่ขู่ไปเท่านั้น อึดอัดใจ ไม่รู้ไอ้มากมันเป็นตายร้ายดียังไง ป่านนี้ไม่ส่งข่าวคราวเลย"
เสียงมัคนายกดังเรียก
"วู้ว... ไอ้มั่น อยู่มั๊ย"
ทุกคนหันไปมอง ที่หน้าบ้าน
"ลุงปลอดมาว่ะ มาทำไมดึกดื่นป่านนี้"
มั่นเดินลงจากเรือนมาพร้อมกับเพื่อน ชะงัก ทุกคนหันไปมองเห็น ลุงปลอดแต่งตัวเรียบร้อย
"โหๆๆๆๆ ลุงปลอดเปลี๋ยนไป๋"
ลุงปลอดยิ้มปลื้ม ทุ้ยนิ่งคิด
"แต่ข้ายังบอกไม่ได้ว่าดีขึ้นหรือเลวลง"
"ไอ้ปากปีจอ"
ทุกคนหัวเราะ
"ลุงมีธุระอะไร มาทำไมไม่ขึ้นไปบนบ้าน มัวแต่ตะโกนอยู่ได้ บ้านฉันไม่มีหมาซักหน่อย"
ลุงปลอดค้อน
"ข้าไม่ได้บอกให้เอ็งจับหมาของเอ็งหรอก แต่จะให้จับหมาในปากไอ้สองตัวต่างหาก"
ทุ้ย เค้งคอย่น มั่นกับโพล้งหัวเราะ
"ลุงมาดึกป่านนี้มีธุระอะไร" มั่นถาม
"ข้าได้ข่าวมาว่า ไอ้มากมันกลับมาบ้านพระโขนงแล้ว"
มั่นตื่นเต้น
"จริงหรือ ลุงรู้ได้ไง"
"ก็ทางกรมเขาส่งหนังสือมาว่าไอ้มากมันบาดเจ็บ เขาแทงบัญชีว่าปลดประจำการก่อนน่ะสิ"
โพล้งถาม
"แล้วตรงไหนที่บอกว่าไอ้มากมันกลับมาบ้าน ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย"
"โอ๊ย กูเหนื่อย ไอ้มากมันมีลูกมีเมียอยู่พระโขนง เอ็งคิดว่ามันจะไปอยู่หัวตะเข้งั้นหรือ ไอ้โง่..."
"จริงหรือ" มั่นดีใจ แล้วนิ่งคิดหนัก "ตายจริง ถ้าไอ้มากมาจริงๆ เราจะบอกเรื่องแม่นากอย่างไรเล่า"
ทุกคนมองหน้ากันคิดหนัก
"ไม่รู้ละ พรุ่งนี้ เราก็ไปคอยท่ามันอยู่ที่บ้านแล้วกัน คืนนี้ค่อยๆคิดไป" โพล้งบอก
ลุงปลอดกระมิดกระเมี้ยน
"ถ้าเอ็งจะไปบ้านไอ้มากเมื่อไหร่ชวนข้าด้วยนะ ข้าจะไปเยี่ยมญาติแถวนั้น"
ทุกคนมองหน้าลุงปลอดแปลกใจ
ลุงปลอดโกหก
"กูไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตรนะโว๊ย"
"ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย"
ลุงปลอดเขินๆ
มั่นหน้าเครียด
ในห้องนอน พิมนอนกระสับกระส่าย ลุกขึ้น
"โอ๊ย จะเอาไงดีเนี่ย"
ที่หน้าเตียง ปุกดีดตัวขึ้นทันที
"คุณพิมเป็นไรไปเจ้าคะ"
พิมชะงัก
"ร้อนจะแย่อยู่แล้ว"
"เอาน้ำอบลูบตัวหน่อยมั๊ยเจ้าคะ บ่าวจะไปจัดให้"
"ไม่ต้องหรอก นอนเถอะ"
พิมล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ปุกมองตามงงๆ
พิมนิ่งคิด
พิมยืนเผชิญหน้ากับมั่น
"ข้าจะมาเตือนว่า มีคนกำลังจะกว้านซื้อที่พระโขนง ข้าเตือนเพราะความหวังดีนะ"
มั่นหันมา คว้ามีดฟันใส่ พิมหวีดร้อง
พิมร้องกรี๊ด ปุกโดดโหยง
"คุณพิมเจ้าขา เป็นไรไปเจ้าคะ"
"มดมันกัด"
ปุกลนลานลุกขึ้นมาส่องดู พิมปัดมือรำคาญ
"ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอาที่นอนไปตาก"
"เจ้าค่ะ"
พิมล้มตัวลงนอนกระสับกระส่าย ปุกมองอย่างสังเกต
พิมหงุดหงิด
"ไม่ได้ ไม่ได้ แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว ไอ้มั่นมันยิ่งบ้าบออยู่ด้วย โอ๊ย แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย แล้วข้าไปห่วงเขาทำไมเนี่ย"
พิมนิ่งนึก แล้วถอนหายใจ
"พี่เพลิงนะพี่เพลิง มีเรื่องกับใครไม่มี ทำน้องลำบากรู้มั๊ย พ่อกับแม่ก็เหมือนกันที่ตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปซื้อไปหา จะต้องไปซื้อที่บางพระโขนงนั่นด้วย โอ๊ย ฉันอยากจะบีบคอคนให้ตายซะรู้แล้วรู้รอด"
พิมทำท่าบีบคอ
มั่นกำลังกินน้ำจากขัน แล้วสำลักกระอักกระไอ เท้งรีบวิ่งเข้ามาทุบหลับมั่นอย่างแรง
เค้งถาม"พี่มั่นเป็นไรไป ให้ข้าช่วยหายใจมั๊ย"
เค้งทำท่าจะจูบปากมั่น มั่นผลักกระเด็นไป
"เอ็งไม่ต้องยุ่ง"
เค้งบ่น
"อะไรของพี่ ฉันตั้งใจจะช่วยแท้ๆ เฮ้อ ทำดีได้ชั่วไปซะงั้น"
เค้งทำท่างอนๆ ทุ้ยกับโพล้งหัวเราะขำ หันไปเห็นมั่นทำหน้าประหลาดใจ
โพล้งถาม
"ไอ้มั่น เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง จู่ๆก็สำลัก คิดไรวะ"
"ต้องมีใครสาปแช่งฉันแน่เลย ฉันรู้สึกเหมือนโดนบีบคอ"
"ไอ้บ้า เอ็งดูลิเกเยอะไปแล้ว หรือว่าเอ็งกังวลเรื่องไอ้มาก"
มั่นชะงัก แล้วพยักหน้า
"บอกตรงๆนะ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะพูดกับไอ้มากยังไง ฉันรู้สึกผิดที่ปล่อยให้แม่นากตาย"
"เฮ้ย อีนากมันออกลูกตาย เอ็งไปออกลูกแทนมันได้หรือ ไอ้บ้า"
"ถึงงั้นก็เถอะ ไอ้มากไม่อยู่ฉันควรจะดูแลแม่นากได้ดีกว่านี้"
"ไอ้มั่น ฝนจะตก คนจะออกลูก ขี้จะแตก เอ็งห้ามไม่ได้หรอก" ทุ้ยบอก
เค้งกับโพล้งหันไปมองหน้าทุ้ย
"ฝนตก คนจะออกลูก กูว่าห้ามไม่ได้ แต่ไอ้เรื่องขี้จะแตกนี่กูไม่เคยได้ยินว่า" เค้งว่า
"อ๋อ ฉันเพิ่งคิดได้เลยพูดไป เห็นมันเข้ากันดีน่ะ"
โพล้งทำท่าเงื้อขา ทุ้ยรีบหลบทันที
"จะไปยากอะไร พรุ่งนี้เจอพี่มากก็บอกไปตามความจริง จบปิ๊ง แค่นั้นเอง"
"ก็คงต้องแบบนั้นแหละ คิดไปก็ป่วยการ"
มั่นดูกังวล
บนเรือน มากนอนอยู่บนเสื่อ หันมองแม่นากที่กำลังไกวเปล มากยิ้ม
"พี่มากยิ้มทำไมหรือจ๊ะ"
"พี่มีความสุขน่ะสิ รู้มั๊ย ตอนที่พี่ไปรบ พี่คิดถึงแต่นาก คิดแต่ว่าเมื่อไหรหนอ สงครามจะสงบ เมื่อไหร่หนอพี่จะได้กลับมากเห็นหน้าลูกกับเมีย"
"โธ่...พี่มาก"
มากสีหน้าจริงจัง
"พี่กลัวว่า จะไม่มีชีวิตกลับมาหานากน่ะสิ ในสนามรบ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ มีแต่อันตรายรอบตัว เฮ้อ ....แต่ในที่สุดพี่ก็รักษาชีวิตกลับมาได้"
มากหันไปมองแม่นาก นากนิ่งอึ้ง เมินหน้าหนีหันไปมองกระจก
ในกระจก ไม่มีเงาแม่นาก
"นาก.... ทำไมใจลอยเล่า"
นากชะงัก หันไปมองกระจก แล้วลุกขึ้นไปคว่ำกระจกเสีย มากแปลกใจ
"คว่ำกระจกทำไมล่ะ"
"กระจกมันแตก ฉันเกรงมันจะบาดพี่ล่ะสิ"
มากลุกขึ้นเดินมากอดนากไว้ในอก
มากนึกได้
"จริงสิ นากยังไม่ได้เล่าเลย ตอนที่พี่ไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำไมบ้านช่องแถวนี้มันถึงได้ดูเงียบเหงาแบบนี้"
นากชะงัก
"ตอนพี่ไป เกิดโรคประหลาด ผู้คนล้มตายกันเป็นเบือ คนแถวนี้ เขากลัว ก็เลยย้ายกันไป"
มากนิ่งคิด นากมองมากแล้วถอนหายใจ
"ฉันไม่ยอมไป จะอยู่รอพี่ที่นี่ พวกชาวบ้านก็พากันกล่าวหาว่า ฉัน...เป็นแม่มดหมอผี ที่ร้ายกว่านั้น บางคนก็ว่าฉันเป็นผี คอยหลอกหลอนผู้คน"
"กระนั้นหรือ ใครมันเป็นคนต้นเรื่อง บอกพี่มา พี่จะไปเอาเรื่องมัน"
มากฮึดฮัด นากรีบปลอบ
"ช่างเถอะจ๊ะ ปากชาวบ้าน เราไม่สนใจต่อความด้วย เขาก็คงไม่มายุ่งกับ เราอีก เอ่อ ...พี่มากจะรังเกียจฉันไหม ถ้า....ถ้าฉันเป็นผีจริงๆ อย่างที่คนเขาร่ำลือกัน"
มากขำ
"โธ่ พี่ไม่เชื่อคำคนอื่น เท่าคำของเมียพี่หรอก นากของพี่ จะเป็นผีได้อย่างไร"
มากมองนากอย่างแสนรัก นากมองจ้องตากัน แล้วซบหน้ากับอกมาก สีหน้าวิตก
ต่อมา มากกำลังไกวเปลให้ลูก มากเอามุ้ง ซึ่งเป็นผ้าบางๆคลุมเปลลูก กันยุง แม่
นากนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ชุนเสื้อผ้า มากเริ่มหาว
"นาก พี่ว่าเราเข้านอนกันดีกว่า ดึกโขแล้ว เสื้อไว้ชุนพรุ่งนี้ก็ได้"
"ฉัน..ตั้งใจจะให้เสร็จวันนี้เลย ไม่อยากให้ทิ้งค้างคา"
มากลังเล แอบหาว
"พี่มากจ๋า พี่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักประเดี๋ยวจะได้มั๊ยจ๊ะ"
"ได้สิ พี่อยู่เป็นเพื่อน"
มากเอาผ้าขาวม้ามาหนุนหัว นอนมองนากแล้วยิ้ม
"จริงสิ พี่ยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลย ไปไล่ทหารเจออะไรน่าสนุกบ้างไหมจ๊ะ"
มากนิ่งคิด
"จริงๆมันก็ไม่มีอะไร นอกจาก ขนข้าวขนของ ทำงานให้หลวง"
"งั้นหรือ แล้วทำไมพี่ไปนานเหลือเกิน"
มากนิ่งนึก
"จริงๆ มันก็มีเรื่องหลายเรื่อง แต่มันไม่น่าสนุกนะ นากอยากฟังจริงๆหรือ"
นากยิ้ม
"จริงสิ จ๊ะ ฉันอยากฟังทุกเรื่องที่พี่มากไปพบไปเจอมา"
มากยิ้มแล้วเริ่มเล่า
"ก็ได้ๆ วันแรกพี่ไปถึงเรือนท่านหลวงณรงค์..."
มากเล่าเรื่องให้นากฟัง นากฟังอย่างสนใจ ผ่านเวลาไป
ไส้ตะเกียงจากยาว เริ่มสั้นลง ไฟหรี่ลงจนเกือบดับ
เสียงไก่ขันใกล้รุ่งสาง มาก ค่อยๆตาปรือ หาว แล้วค่อยหลับไป
"พี่มากจ๋า ฉันขอโทษ แต่ฉันต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ฉันได้อยู่กับพี่ ขอเวลาให้ฉันได้ทำทุกอย่าง เพื่อพี่เหมือนครั้งก่อน ให้นานที่สุดนะจ๊ะพี่จ๋า"
นากลูบหน้ามากอย่างสุดรัก มากหลับไม่รู้เรื่อง
อ่านต่อตอนที่ 7