กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 10
หลินจื่อเหลียงยืนรออยู่ในห้อง เปิดฉากยุแยงทันทีที่ซือหยวนก้าวมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา
“เรื่องเมื่อกี้คุณเห็นแล้วใช่มั้ย เดือนก่อนเขายังเป็นผู้ช่วยของคุณ แต่ตอนนี้พลิกผันตัวเอง กลายเป็นคนดังที่สุดในบริษัทซะแล้ว แล้วคุณล่ะ จากนักออกแบบแถวหน้า กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดีหรอก ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จล่ะก็ ต้องคว้าใครคนหนึ่งเอาไว้ หรือไม่ก็ต้องเหยียบหัวของทุกคน สำหรับจะคว้าเอาไว้ หรือเหยียบให้จมดิน ผมคิดว่าคุณคงรู้ดีแก่ใจ”
ซือหยวนมีท่าทีคล้อยตาม แต่ไม่เข้าใจ “ความหมายของคุณคือ...”
จื่อเหลียงเดินออกจากโต๊ะมายืนพูดใกล้ๆ ข้างๆ หู ซือหยวน
“มี่โตะคือคนที่ผมเลือกเข้ามา แต่เธอเลือกคุณเซี่ยวเป็นที่พึ่งพาของเธอ คนที่เนรคุณอย่างนี้ มีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ เขาอยากเป็นนักออกแบบไม่ใช่เหรอ ผมว่าเขาสามารถไล่ตามคุณได้ ในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน”
ทางฝ่ายกูรูเลิฟเหลยอี้หมิงกำลังทำหน้าที่สไตลิสต์ให้เหม่ยลี่ สำหรับเดตแรกของเธอกับเซี่ยวเลี่ยงในค่ำคืนนี้อีกหนึ่งวาระ ในท่าทีหวังดีประสงค์ร้ายตามเคย
“โธ่เอ๊ย นางแบบคนนี้...” อี้หมิงจึ๊ปากไม่ถูกใจหลังเปิดดูลุคจากไอแพดในมือ “มันมากเกินไปหรือเปล่า”
เหม่ยลี่เปลี่ยนชุดเดินออกมาให้ดู ด้วยท่าทีขัดเขินไม่มั่นใจเอาเลย
“แต่งตัวแบบนี้โอเคจริงเหรอ”
“ใช่สิ ทำไมต้องกังวลด้วย ฉันวางคอสตูมให้เธอเองเลย เสื้อผ้าชุดนี้กับการแต่งหน้าของเธอเข้ากันดีเลยล่ะ” หมอเหลยยอดนักรักการันตี
แต่เหม่ยลี่ก็ยังไม่อิน แถมรู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล “แล้วทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ล่ะ”
อี้หมิงเกลี้ยกล่อมทำเสียงเล็กเสียงน้อยให้ดูน่าเชื่อถือ “แปลกตรงไหนกันล่ะ ยัยอ้วน เธอต้องเชื่อฉันนะ ถ้าเธอแต่งตัวแบบนี้ไปเดินห้าง รับรองใครเห็นต้องคิดว่านางฟ้าแน่ๆ”
“นายแน่ใจเหรอ”
“ฉันแน่ใจอยู่แล้ว”
“แต่งหน้าแบบนี้ก็เป็นนางฟ้าได้แล้วเหรอ”
อี้หมิงทำเป็นเล็งแล สุดท้ายยกมือขึ้นชี้ที่ดวงตายัยอ้วย “แต่ฉันคิดว่าสีทาตาข้างบนนี่เรียกว่าอายแชโดว์ใช่มั้ย ฉันรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปอย่างนึงนะ”
“ฉันจะไปแก้ไขเดี๋ยวนี้”
คล้อยหลังเหม่ยลี่ อี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมทำปากขมุบขมิบโดยไม่ได้ยินเสียง
“ขอให้แต่งออกมาเหมือนหมีแพนด้าทีเถอะ”
มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น เหม่ยลี่เดินกลับมาหยิบมือถือบนโต๊ะกลางไปกดดู “เซี่ยวเลี่ยงส่งข้อความมาให้ฉันแล้ว”
อี้หมิงตาโต ลุกมาเสนอหน้ารอฟังความ “หา ว่ายังไง”
พอกดเข้าไปดูกลับพบว่าเป็นข้อความจากเกาเหวิน
“เกาเหวินนี่นา...มี่โตะ เธออยู่ที่ไหน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เหม่ยลี่อ่านข้อความแล้วเป็นกังวลขึ้นมา “อย่าบอกนะว่า เป็นเพราะฉันจะไปเดตกับเซี่ยวเลี่ยง”
สองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
เกาเหวินนั่งรออยู่ชั้นบนในร้านที่นัดแล้ว ขณะที่เหม่ยลี่วิ่งกระหืดกระหอบในมือถือเสื้อคลุมขึ้นบันไดมา
“นี่ มี่โตะ ทางนี้”
แต่แล้วซุปตาร์สาวต้องอึ้ง อ้าปากหวอ ยกมือที่โบกเรียกค้าง เมื่อเห็นสไตล์การแต่งตัวที่ไปคนละทิศละทางของเหม่ยลี่ ตั้งแต่หัวที่มีโบว์ผูกผมสีตุ่นๆ ใบหน้าแต่งจนขาววอก แถมทาอายแชโดว์สีฟ้าเข้ม ตัดขาดกับริมฝีปากที่ถูกแต้มด้วยลิปสติกสีแดงแป๊ด ไหนจะกางเกงเลกกิ้งรัดรูปลายเสือดาวที่ไม่เข้ากันสักนิดกับเสื้อผ้า
เหม่ยลี่ลงนั่งโดยไม่ทันเห็นสีหน้าตื่นตะลึงนั้น ถามทันที “เฮ้อ หาฉันมีอะไรเหรอ”
เกาเหวินตัดสินใจถามออกไป “เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เหม่ยลี่งง “ทำไมเหรอ”
เกาเหวินมองจ้องถามด้วยความเกรงใจ “เธอแต่งหน้าแบบนี้ จะไปไหนเหรอ”
เหม่ยลี่อึกอัก “อืม...ฉัน...”
เกาเหวินเห็นอีกฝ่ายเหมือนไม่อยากตอบจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “อ้อ จริงสิ เมื่อคืนฉันติดต่อหาเธอทั้งคืนเลย ทำไมเธอไม่ตอบฉันล่ะ”
เหม่ยลี่อึกอักอีก “เมื่อคืน...เอ่อ เมื่อคืนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับฉันน่ะ”
“เรื่องอะไร ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”
เกาเหวินประหลาดใจ “เอ๊ะ ทำไมบังเอิญจังล่ะ”
เหม่ยลี่งง “บังเอิญอะไร”
“เมื่อวานเซี่ยวเลี่ยงก็เกิดอุบัติเหตุเหมือนกัน นัดกับฉันไว้ยังไปสายเลย”
เหม่ยลี่แทบไปไม่เป็น “จริง...จริงเหรอ แล้ว...พวกเธอไม่เป็นไรใช่มั้ย เอ่อ...ที่จริงแล้วเมื่อคืน...”
เกาเหวินเข้าเรื่อง “จริงสิ ฉันเรียกเธอออกมาเพราะมีเรื่องนิดหน่อย เธอช่วยฉันเช่าอพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งได้มั้ย อืม...ช่วงนี้นักข่าวสะกดรอยตามฉันตลอดฉันเลยไม่สะดวกไปจองด้วยตัวเอง”
เหม่ยลี่แปลกใจ “แล้วทำไมไม่อยู่บ้านเธอล่ะ”
เกาเหวินทำเป็นถอนใจเฮือก “เฮ้อ...ฉันจะออกเดต อยู่บ้านไม่สะดวกหรอก”
“แต่อพาร์ตเมนต์ต้องอยู่ยาวนะ” เหม่ยลี่บอก
เกาเหวินพยักหน้า “ได้”
เหม่ยลี่หัวเราะ “โอเค ขากลับฉันจะไปสอบถามให้”
“อย่าสอบถามอย่างเดียวสิ เธอต้องจองคืนนี้เลย” เกาเหวินว่า
เหม่ยลี่ประหลาดใจมาก “รีบขนาดนั้นเชียวเหรอ”
เกาเหวินพยักหน้ายิ้มๆ ขณะที่เหม่ยลี่ใคร่ครวญครุ่นคิด รู้สึกว่าเรื่องนี้กลิ่นตุๆ
ตกตอนค่ำ เซี่ยวเลี่ยงเดินทางมาถึงร้านอาหารหรูที่ให้ฉีหยูจองตามเวลานัด โดยมีผู้จัดการร้านเดินขึ้นมาส่ง โดยทางร้านจัดโต๊ะให้ที่ชั้นบน และทั้งร้านมีเพียงโต๊ะนี้โต๊ะเดียว
“คุณเซี่ยวครับ ผมจัดการตามคำสั่งของคุณเรียบร้อยแล้ว คืนนี้ไม่มีใครมารบกวนคุณแน่”
เซี่ยวเลี่ยงโบกมือเป็นเชิงบอกให้ผู้จัดการไปได้ ส่วนตัวเองลงนั่งที่โต๊ะ ดูเวลา ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่เหม่ยลี่ก็ยังไม่มา เซี่ยวเลี่ยงนึกเป็นห่วง หลังเหตุการณ์ที่เธอโดนพวกนักเลงฉุดคาที่จอดรถบริษัทคราวก่อน พอสอบถามเธอกลับไม่ยอมพูดอะไร
“คุณไม่พูดแล้วจะให้ผมช่วยคุณยังไงล่ะ ถ้าคนพวกนั้นมาหาคุณอีกถึงตอนนั้นจะทำยังไง”
เหม่ยลี่ยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ จนเข้าต้องผงะ “คุณเป็นห่วงฉันอยู่เหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงตำหนิเหม่ยลี่ที่หนีกลับทั้งที่เขาบอกให้รอห้ามไปไหน
“ผมไม่ชอบให้ใครผิดสัญญา คุณรับปากผมไว้ ก็ต้องทำให้ได้สิ”
เหม่ยลี่กลับยิ้มแฉ่งย้อนถามว่า “คุณอยากให้ฉันรอคุณเหรอคะ”
มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ ทนรออีกพักใหญ่ แต่กลับยังไม่มีวี่แววของสาวจอมจุ้นที่เป็นฝ่ายนัด
แม่เสือสาวมี่เหม่ยลี่วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นบันไดมา มองไปที่โต๊ะอาหารแต่เซี่ยวเลี่ยงไม่อยู่ที่นั่นแล้ว จึงหันมาถามบริกรหญิงที่เดินออกมารับรองพอดี
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่มีโต๊ะที่คุณเซี่ยวจองไว้มั้ยคะ”
“คุณหมายถึงคุณเซี่ยวเลี่ยงใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะคุณเซี่ยวเลี่ยง”
“คืนนี้คุณเซี่ยวเลี่ยงเหมาร้านรออยู่ที่นี่ทั้งคืนแล้ว”
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนคะ”
“เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี้เองค่ะ”
เหม่ยลี่ใจหาย หน้าเสียไปเลย “ออกไปแล้วเหรอ เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
บริกรหญิงโค้งให้แล้วเดินลงบันไดไปเลย เหม่ยลี่หน้าเศร้าลง หันตัวจะกลับ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเซี่ยวเลี่ยงเดินขึ้นบันไดมาหยุดตรงหน้า ถามเสียงเรียบ
“ทำไมคุณมาสาย”
“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะรออยู่ที่นี่” เหม่ยลี่ไม่กล้าสู้หน้า
เซี่ยวเลี่ยงตำหนิเสียงขุ่น “ทั้งที่คุณเป็นคนชวนผมทานข้าวเอง ทำไมต้องมาสาย ทำไมต้องผิดนัดด้วย ไม่อยากมาก็ไม่ต้องนัดสิ”
เหม่ยลี่ออกอาการประหม่าบอกเหตุผล “เพราะว่าฉันอยากเจอคุณ เพราะฉันอยากเจอคุณมากก็เลยไปแต่งหน้าอย่างนี้ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนี้ ฉันอยากให้คุณเห็นฉันที่แตกต่างไปจากทุกๆ วันในบริษัท และฉันขอบคุณคุณมาก ที่วันนี้คุณมาทานข้าวกับฉัน และก่อนหน้านี้ที่คุณช่วยฉัน ฉันรอคอยวันนี้มานานมาก นานกว่าที่คุณรอฉันอยู่ที่นี่อย่างมากๆๆๆๆๆ เลยล่ะค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงสำรวจการแต่งตัวที่ทำให้เหม่ยลี่มาสาย ไล่สายตาตั้งแต่หัวลงไปที่เท้า มองจากเท้าขึ้นมาบนหัวอีกรอบ อย่างอึ้งๆ แต่ไม่พูดอะไรออกมา
ทางด้านเหลยอี้หมิงเดินบ่นบ้าเข้ามาหยุดหน้าลิฟต์ในอพาร์ตเมนต์ที่เหม่ยลี่มาดูและจองห้องให้เกาเหวิน ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ให้ฉันสะกดรอยตามเกาเหวินแต่เธอกลับไม่มา”
อี้หมิงกดโทร.รายงานเหม่ยลี่ “ฮัลโหล...ยัยอ้วนฉันถึงแล้ว”
เหม่ยลี่นั่งจ้ออยู่ที่โต๊ะ ซึ่งเซี่ยวเลี่ยงจับตามองอยู่ “ฮัลโหลพี่หมิงหมิง โทร.หาฉันมีธุระเหรอ”
“พี่หมิงหมิงเหรอ” อี้หมิงทวนชื่อตัวเองขำๆ แล้วเล่นตามน้ำดัดเสียงเป็นชะนี “ยัยอ้วน ตอนนี้พี่มาถึงแล้ว พี่อยู่สถานที่ที่เธอบอกแล้ว จะให้ทำยังไงต่อล่ะ”
“อ้อ อย่างงั้นเหรอ งั้นไม่เป็นไร พี่จัดการเองไปก่อนเถอะ ฉันกินข้าวอยู่กับเพื่อน งั้นแค่นี้ก่อนนะบ๊ายบาย”
เหม่ยลี่เห็นสายตาตำหนิของเซี่ยวเลี่ยงจึงรีบตัดสายชะนีหมิงหมิงทิ้งไปเลย
“เดี๋ยว...ยัยอ้วนฉันยังพูดไม่จบ ฉัน...ยัย...”
เหลยอี้หมิงคุมแค้น บ่นบ้าอยู่คนเดียว ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ขึ้นไปดูเกาเหวินต่ออย่างหงุดหงิด
“ยัยอ้วน...ยัยอ้วน วางสายฉันใช่มั้ย แล้วฉันจะทำไงดี”
เหม่ยลี่กระแอมกระไอ สายตายังจับจ้องที่มือถือบนโต๊ะ จนเซี่ยวเลี่ยงถามขึ้น
“คืนนี้คุณยังมีโปรแกรมอื่นอีกมั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “คุณแต่งตัวอะไรของคุณมาเนี่ย”
“ไม่สวยเหรอคะ” เหม่ยลี่ย้อนถาม แล้วลุกยืนพราวดี้พรีเซนต์ เสื้อผ้า หน้า ผม เลกกิ้งลายเสือ ลุคที่อาจารย์เหลยดูแลให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเอามากๆ “ฉันตั้งใจมากเลยนะ สวยมั้ย ฮิๆๆ สวยมากเลยน้า ฮิๆๆๆ”
“สวยแบบมุมสามร้อยหกสิบองศา ตายเรียบ”
เหม่ยลี่หน้าเจื่อนไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด่าออกมาเบาๆ ขณะลงนั่ง “ไอ้บ้าเหลยอี้หมิง”
เซี่ยวเลี่ยงหั่นสเต็กทาน เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดแอร่ม เหม่ยลี่มองเพลิน เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้ามาเห็นจึงเอ่ยถาม
“คุณยังมีอะไรอยากพูดอีก”
“ฉันถามอะไรคุณอย่างนึงได้มั้ย”
“ว่ามาสิ”
เหม่ยลี่กระแอมกระไอก่อนจะกระมิดกระเมี้ยนถาม “คุณกับเกาเหวิน...”
แต่ยังไม่ทันถามจบเซี่ยวเลี่ยงก็ขึงตาใส่ ขัดขึ้นว่า
“ตอนนี้ผมกินข้าวกับคุณอยู่ ชื่อคนอื่นผมไม่อยากได้ยิน”
สาวจอมจุ้นเลยต้องสงบปาก ลงมือกินอาหารไป
ฟากอี้หมิงก้าวออกจากลิฟต์ในชั้นที่เกาเหวินเช่าห้องไว้ ในสภาพพรางตัวเต็มยศ ใช้ผ้าพันคอผืนหนาใหญ่ ปิดตั้งแต่คอหอยมาถึงครึ่งจมูก สวมแว่นตาดำสนิท จนชนโครมเข้ากับชั้นวางของหน้าห้องพักห้องหนึ่ง
กระโดดเต้นเขย่งขาร้องโอดโอยสูดปากไล่ความเจ็บปวดไปมา
“โอ๊ย ซี๊ด...”
แล้วยังต้องรีบฉากหลบเข้ากับผนังห้องดังกล่าว เมื่อเห็นเกาเหวินโผล่ออกมาจากห้องหัวมุมตรงสุดทางเดินพอดี พร้อมกับหานปิง
“เอาบัตรประชาชนมาหรือยัง”
“วางใจได้ที่รัก”
“อย่าลืมเด็ดขาดนะคะ”
“ไปกันเถอะ” หานปิงปิดประตูห้อง หันมาประคองเกาเหวินพาเดินมาทางลิฟต์
“ไม่อย่างนั้นเราสองคน”
“คืนนี้เรา...”
หานปิงยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่พูดยังไม่ทันจบเพราะเกาเหวินขัดขึ้นเมื่อหันมาเจออี้หมิงที่ก้มๆ เงยๆ ใส่แว่นตาอยู่หน้าห้องติดกัน และเธอจำเขาได้
“โอ๊ะ เหลยอี้หมิง คุณมาอยู่นี่ได้ไง”
“เอ่อ ผม...” อี้หมิงถอดแว่นหันมามองงงๆ คิดคำโกหกไม่ทัน หัวเราะแหะๆ แล้วรีบหันไปเคาะประตูเรียกคนในห้องพัก พร้อมกับหันมาทางเกาเหวินเชิงบอกว่าเขามาตามง้อแฟน
“ที่รักจ๋า รีบเปิดประตูสิ คุณฟังผมอธิบายก่อนสิที่รัก”
หานปิงฮึดฮัดจำอี้หมิงได้ “เอ๊ะ เขาคือคนที่ชกผมตอนอยู่บ้านคุณไม่ใช่เหรอ”
“ใช่เขาเอง” เกาเหวินรีบอธิบาย กลัวจะมีเรื่องกัน “ไม่ใช่ๆ เพราะต่อมาเขายังช่วยมาดูอาการคุณด้วย คุณต้องขอบคุณเขาจึงจะถูก”
“ไม่ต้องครับ ผมเป็นหมอสมควรอยู่แล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปเถอะ”
อี้หมิงยิ้มให้ พร้อมกับยื่นมือออกไปจับ แต่หานปิงเชิดใส่ จนเกาเหวินต้องจับแขนแฟนหนุ่มมาจับมือกับหมอเหลยจนได้
“ฮิฮิๆๆ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว งั้นไปกินข้าวด้วยกันนะ”
“เอ่อ...แต่ตอนนี้ผมไม่อยากกินข้าวหรอก เพราะว่าผมยังมีเพื่อนอยู่ คือว่า... ฮิๆๆ พวกคุณเข้าใจนะ”
หมอหนุ่มยืนเก๊กหล่อมาง้อแฟน โดยไม่ทันเห็นว่า ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาโหด หนวดเครารุงรังเจ้าของห้อง สวมชุดคลุมสีขาวโผล่หน้าออกมาถาม ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“มีอะไร”
อี้หมิงสะดุ้งโหยง เกาเหวินหัวเราะคิกคัก คิดว่าอี้หมิงเป็นคู่ขากับชายหน้าหนวด
“งั้นแล้วแต่คุณเลยนะ เราไม่รบกวนแล้ว เราไปกันเถอะค่ะ”
หานปิงพลอยโล่งใจไปด้วย “ไปๆๆ”
“เดี๋ยวก่อนๆ ที่รัก มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันนะ คุณเข้าไปรอผมในห้องก่อน” อี้หมิงรีบจับหนุ่มหน้าหนวดยัดเข้าไปในห้อง ปิดประตูลงดันไม่ให้อีกฝ่ายออกมาได้ ก่อนจะหันมาหัวเราะแหะๆ พยักพเยิดให้สองคนนำไปก่อน
“เมื่อกี้ว่าไงนะกินข้าวใช่มั้ย ไปสิๆๆ”
“ไปกันเถอะ” หานปิงประคองคนรักเดินไป
เกาเหวินตามไปแบบงงๆ “เอ่อ...ไป...เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ”
สองคนถึงลิฟต์แล้ว อี้หมิงจึงปล่อยมือจากลูกบิดประตู รีบสวมแว่นดำ กระโจนตามสองคนไปที่ลิฟต์ทันที
ชายหน้าหนวดชุดขาวเปิดประตูออกมาด่าตามหลังอี้หมิงไป
“นายเป็นบ้าหรือไง”
อี้หมิงส่งข้อความไลน์ไปรายงานอัพเดตสถานการณ์เหม่ยลี่ว่า
“ใช้ความสำเร็จแอบเข้าไปในใจของศัตรูแล้ว จะให้ทำไงต่อ”
เหม่ยลี่หยิบมือถือมากดอ่าน หัวเราะออกมาอย่างพอใจ พิมพ์ข้อความบอกแผนขึ้นต่อไป
เซี่ยวเลี่ยงมองจ้อง ชักสีหน้าไม่พอใจ “คุณคุยกับใครอยู่”
“พี่หมิงหมิงไงคะ” เซี่ยวเลี่ยงฉกมือถือมาวางข้างตรงหน้าเขา เหม่ยลี่ขอแต่เขาไม่ยอมคืนให้
“นี่ ฉันยังส่งไม่เสร็จเลยนะ”
“ผมไม่ชอบให้ติดต่อกับคนอื่น เวลาอยู่กับผม” เหม่ยลี่นั่งจ้องมือถือกะจะหาโอกาสฉกคืน เซี่ยวเลี่ยงรู้ทัน “อย่าแม้แต่จะคิดจำเอาไว้”
สาวจอมจุ้นต้องพยักหน้ารับหงึกหงัก พร้อมกับยกมือทำนิ้วเป็นรูปตัวโอสองข้าง
จู่ๆ ซีอีโอหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “มีวีแชทมั้ย”
เหม่ยลี่ดี๊ด๊ารีบบอกคิดว่าเขาจะขอแอดเฟรนด์ “มีค่ะ คุณจะแลกไอดีกับฉันเหรอ เขย่าหรือไอดีคุณจะเอาอันไหน”
เซี่ยวเลี่ยงบอกหน้าเฉย “ของไร้สาระอย่างนี้ ลบทิ้งซะ”
เหม่ยลี่ทำเนียนก้มหน้าลง แล้วไถมือมาตามโต๊ะช้าๆ กะหยิบไอโฟนคืน พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นมีดตัดสเต็กจ่ออยู่ที่นิ้วก็ร้องลั่น ชักมือกลับแทบไม่ทัน
“นี่”
เซี่ยวเลี่ยงส่งสายตาพิฆาตมาให้ พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่า อย่าหวัง! สาวเซี่ยงไฮ้จอมจุ้นเลยต้องก้มหน้าก้มตาตัดสเต็กทาน ชนไวน์กับซีอีโอไปอย่างยอมจำนน
เกาเหวินสั่งปิดร้านอาหาร ร้านทั้งร้านมีเพียงโต๊ะเธอโต๊ะเดียว คุณหมอยอดนักสืบลงนั่งร่วมโต๊ะ โดยเลือกนั่งฝั่งตรงข้าม มองผ่านแว่นดำจับตาดูคู่รักรีเทิร์นตลอดเวลา จนเห็นสองคนมองหน้ากันเหมือนกำลังสงสัย เหลยอี้หมิงจึงปลดผ้าพันพอที่ปิดอยู่ครึ่งจมูกออก ถามแก้เก้อ
“พวกคุณไม่ร้อนเหรอ”
เกาเหวินชี้ที่คอเชิงบอก “คุณ...ผ้าพันคอ”
อี้หมิงเพิ่งรู้ตัว แต่ยังแถไปเรื่อย
“อ้อ ฮิๆๆ เครื่องทำความร้อนแรงเกินไป เฮ้อ คือว่าผม...ความเคยชินน่ะ เพราะเสื้อผ้าข้างนอกมีเชื้อโรคมีแบคทีเรีย ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน ป้อง...ป้องกัน ฮิๆ ป้องกันไว้ก่อน วางไว้ไกลๆ หน่อย ฮิๆๆ”
หมอเหลยถอดผ้าพันคอกับโค้ทตัวนอกออก แล้วโยนไปพาดกับเก้าอี้ตัวที่ห่างออกไป ถอดแว่นดำออกเป็นชิ้นสุดท้าย
“คุณเห็นมั้ย ดูเชื้อโรคสิ บินแล้ว”
หานปิงมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนเกาเหวินหัวเราะขำกลิ้ง เมื่อเห็นอี้หมิงยกมือทำท่าปัดเชื้อโรคเป็นการใหญ่ จนมือไปโดนของบนโต๊ะตกหล่น
“ไม่มีอะไร กินเลยๆ”
“หมอเหลยคนนี้น่าสนใจจริงๆ” เกาเหวินหันไปบอกคนรัก
“คุณนั่นแหละน่าสนใจ” อี้หมิงว่า
เกาเหวินเล่าถึงอี้หมิงต่ออย่างอารมณ์ดีว่า “เมื่อก่อนเขามาเป็นคนขับรถให้ฉันโดยบังเอิญ ต่อมาฉันเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นหมอสูตินรีเวช”
“งั้นเหรอ หมอสูตินรีเวชเหรอ นี่ งั้นคุณก็ติดต่อกับผู้หญิงทุกวันใช่มั้ย น่าจะรู้วิธีทำให้ผู้หญิงมีความสุขสิ”
อี้หมิงรู้ตัวว่าอีกฝ่ายแดกดัน จึงย้อนถามกลับว่า “ผมขอถามหน่อยเถอะคุณทำงานอาชีพอะไร”
หานปิงอึกอัก “ผม...”
เกาเหวินแตะไหล่คนรักแล้วรีบตอบแทน “เขาเป็นช่างภาพ ถ่ายภาพผลงานที่มีชื่อเสียงมากมาย”
“ช่างภาพอย่างงั้นเหรอ งั้นคุณก็ต้องติดต่อกับนางแบบสาวบ่อยๆ สิ แล้วในเรื่องของผู้หญิงคุณน่าจะเป็นมืออาชีพมากกว่าผม ในข้อนี้เราสองคนน่าจะสูสีกันจะว่าไปแล้วถือว่าเรา...มาสายเดียวกันเลยล่ะ” อี้หมิงยิ้มหน้าเป็นให้หานปิง สองหนุ่มจ้องหน้ากันชนิดไม่มีใครหลบตา
เกาเหวินเห็นบรรยากาศมาคุเลยพยายามไกล่เกลี่ย
“คุณสองคนเป็นอะไรกัน เพิ่งรู้จักกัน ก็ข่มกันแล้วเหรอ”
“คือว่าผม...ผมออกไปรับโทรศัพท์เดี๋ยวนะ” อี้หมิงออกตัวแล้วลุกเดินออกไปแต่ไม่วายหันมาตบไหล่หานปิงเบาๆ “คุณช่างภาพ ค่อยๆ กินนะ”
หานปิงปัดเสื้อตรงไหล่ที่อี้หมิงจับอย่างไม่พอใจ เกาเหวินตำหนิแฟนหนุ่ม
“เอ๊ะ คุณเป็นอะไรเนี่ย เพราะเรื่องคราวก่อนคุณก็เป็นอย่างนี้เลยเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าเขาทำเพื่อปกป้องฉัน”
หานปิงขึ้นเสียงใส่แสดงอาการหึงหวงขึ้นมาทันที “เขาปกป้องคุณเหรอ เขามีสิทธิ์อะไรมาปกป้องคุณ เขาเป็นใครเหรอ”
เกาเหวินประชดออกไป “ยังไม่ได้กินข้าวเลย คุณก็หึงหวงอีกแล้วเหรอ”
“ยังไงผมก็ไม่ชอบเห็นคุณอยู่กับเขา เมื่อกี้ที่โรงแรมก็เหมือนกัน พอคุณเห็นเขาคุณก็มีความสุขมาก ยังลากเขามากินข้าวด้วยกันอีก ผมจำได้ว่า เมื่อก่อนคุณไม่ชอบกินข้าวกับคนแปลกหน้า ไม่ใช่เหรอ”
“อะไรคือคนแปลกหน้าล่ะ ฉันไม่...” เกาเหวินขึ้นเสียง ทำท่าจะเหวี่ยงใส่ แต่นึกได้ หยุดสงบสติอารมณ์ แล้วหันมาเกาะแขนคนรัก พูดออดอ้อนเอาอกเอาใจ “คนอื่นไม่สำคัญหรอก คุณเท่านั้นที่เป็นแฟนของฉัน อย่าโกรธได้มั้ย ไม่โกรธนะคะที่รัก”
หานปิงยกแขนอีกข้างมากุมมือเกาเหวินตอบ ตบเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้
“โอเค ผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมานะ”
ทันทีที่หานปิงพ้นห้องไป เกาเหวินก็กลอกตามองบน พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
อี้หมิงเดินเข้ามาในห้องน้ำประเมินสถานการณ์ในใจ “สถานการณ์ด้านเกาเหวินดูไม่ค่อยปกติ” พลางกดมือถือหาเหม่ยลี่ แต่กลับต้องหงุดหงิด เมื่อสายถูกโอนเข้าสู่โหมดฝากข้อความ
“กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณ”
“ยัยอ้วนบ้า ไปทำอะไรกับเซี่ยวเลี่ยงอีกแล้ว”
ขณะกำลังจะเดินออกไปก็ต้องชะงัก ฉากหลบกลับเข้าบริเวณโถฉี่ แอบฟังหานปิงเดินคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเข้ามาในห้องน้ำด้วยน้ำเสียงซีเรียส
“เมื่อกี้นายถ่ายไว้แล้วใช่มั้ย รูปชัดมั้ยล่ะ โอเค ดีมากเลย ไม่ๆๆๆ นายอย่ามาอย่างเด็ดขาด ฉันกลัวคนอื่นจะเห็น” หานปิงเดินมาหยุดคุยที่หน้ากระจก “ฉันจะไปหานายเอง ไปเดี๋ยวนี้เลย นะ อืม”
ช่างภาพหนุ่มส่องกระจก จัดแต่งทรงผมพอเป็นพิธี ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ตัวเองแล้วเดินออกไป
อี้หมิงได้ยินทุกอย่าง เขารออีกสักพักจึงเดินตามออกไปด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง เป็นห่วงเกาเหวินเอามากๆ
อี้หมิงเดินกลับเข้ามาในร้าน เห็นเกาเหวินทานอาหารอยู่คนเดียว เขาเหลียวหลังไปดูทางประตูจนแน่ใจว่าหานปิงยังไม่มาแน่ จึงเอ่ยเรียกขึ้น
“นี่”
เกาเหวินเงยหน้ามามอง “หืม”
อี้หมิงถามพร้อมกับลงนั่ง “คุณกับช่างภาพคนนั้น”
เกาเหวินยื่นหน้ามากระซิบบอก “ฉันคืนดีกับเขาแล้ว คนอื่นไม่มีใครรู้เรื่องนี้ มีแค่คุณที่รู้”
อี้หมิงพลอยกระซิบตาม “แล้วเซี่ยวเลี่ยงล่ะ
เกาเหวินเหลียวไปทางประตู ก่อนจะป้องปากกระซิบบอก “เรื่องของเซี่ยวเลี่ยงวันหลังฉันจะอธิบายให้ฟังแล้วกัน”
อี้หมิงเลียบๆ เคียงๆ ถามขึ้น “แล้วพวกคุณออกมาอย่างนี้ ไม่กลัวจะถูกคนอื่นถ่ายรูปเหรอ”
“ถ้าถูกถ่ายรูป...”
เกาเหวินตอบไม่ทันจบ ก็ถูกขัดขึ้นจากหานปิงที่เดินกระแอมกระไอเข้ามานั่งสมทบ
“พวกคุณคุยอะไรกันอยู่ ถูกคนอื่นถ่ายอะไรกัน หมาย...หมายความว่าไง”
“ไม่มีอะไร ทำไมคุณไปนานล่ะคะ” เกาเหวินถาม
หานปิงมีคำโกหกไว้ให้แล้ว “อ้อ ผมกลัวจะมีปาปารัซซี่ เลยออกไปดูลาดเลาหน่อย”
เกาเหวินยิ้มบอกให้สองหนุ่มสบายใจได้ “ไม่มีหรอกฉันให้คนจัดการแล้ว เราไม่มีทางโดนถ่ายรูปหรอก”
อี้หมิงจ้องหน้าหานปิง พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “อ้อ งั้นก็ดี ผมกลัวว่า จะถูกคนที่ไร้จิตสำนึกหลอกใช้ สร้างข่าวลือขึ้นเพื่อจะทำร้ายคุณ”
หานปิงยิ้มมุมปากจ้องหน้าตอบโต้และแดกดันอี้หมิงกลับ “ก็ถูกนะ ไม่มีใครรู้จิตใจคนอื่นหรอก โดยเฉพาะพวกที่ต้องการจะใกล้ชิดกับคุณ จริงมั้ย”
เกาเหวินรับรู้ความบาดหมางระหว่างสองหนุ่ม “เดี๋ยวนะ พวกคุณอีกคนคือเพื่อนของฉัน อีกคนคือแฟนของฉัน ถ้าแม้แต่พวกคุณฉันยังไว้ใจไม่ได้ ฉันคงไม่ต้องเชื่อใครแล้วล่ะ”
สองหนุ่มจ้องหน้า มองเขม่นในกันและกัน
“เอางี้ เดี๋ยวตอนกลับผมจะไปส่งคุณเอง จะได้ประหยัดเวลา” อี้หมิงหยั่งเชิง
“คุณหมอเหลยยุ่งมากไปแล้ว” หานปิงออกตัวกีดกันเต็มที่ จับมือเกาเหวินโชว์ความเป็นเจ้าของอีกด้วย “เราสองคน ไม่รบกวนคุณดีกว่า”
เกาเหวินแกะมือหานปิงออก ตัดบทไม่อยากให้สองคนผิดใจกัน
“ฉันไม่รบกวนคุณสองคนแล้วล่ะ ฉันโทร.เรียกผู้ช่วยมารับดีกว่า”
ซุปตาร์สาวหันไปตัดสเต็กทาน โดยไม่เห็นสองหนุ่มที่ยักคิ้วท้าทาย ส่งสายตาฟาดฟันกันอยู่อย่างรู้ทันกัน และไม่ชอบขี้หน้ากันและกันอย่างชัดแจ้ง
เดตอีกฟากจบลงด้วยการที่เซี่ยวเลี่ยงขับรถไปส่งเหม่ยลี่ที่บ้าน ในรถที่แล่นเลี้ยวมาตามถนน จังหวะหนึ่งซีอีโอหนุ่มหันมาเห็นสาวจอมจุ้นนั่งซึมเศร้ามาตลอดทาง
“คุณเป็นอะไร”
เหม่ยลี่รวบรวมความกล้าบอกออกมาเสียงเบาหวิวว่า “ฉัน...ฉันขอถามคุณอย่างนึงได้มั้ยคะ”
เซี่ยวเลี่ยงบอกเสียงเข้ม “ไม่ได้”
แต่เหม่ยลี่ก็ยังถาม “คุณรักเกาเหวินจริงๆ เหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงหันมามองแว่บหนึ่ง ก่อนจะเบนรถเข้าจอดข้างทางแล้วจึงหันมาถาม
“ทำไมถึงถามแบบนี้”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ เกาเหวินเป็นเพื่อนของฉัน ตอนนี้ฉันออกมากินข้าวกับคุณลับหลังเธอแบบนี้ ฉันรู้สึกไม่สบายใจน่ะค่ะ” เหม่ยลี่ถามเสียงเศร้า
เซี่ยวเลี่ยงถึงกับอึ้งไป “ในเมื่อคุณคิดแบบนี้ ทำไมยังถามผมอีกล่ะ คุณแค่อวยพรให้เราไม่ดีกว่าเหรอ”
“ที่จริง ก่อนฉันจะเป็นเพื่อนกับเกาเหวิน ฉันก็ชอบคุณอยู่ก่อนแล้ว” เหม่ยลี่สะท้อนใจ น้ำตารื้นขึ้นมาแล้ว “มีคนบอกฉันว่า การรักใครคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอาย ฉันจึงอยากพูดว่า ฉันรักคุณ” เซี่ยวเลี่ยงหันมามองหน้า นิ่งฟังสาวจอมจุ้น “แต่ฉันไม่เคยหวังเลยว่าจะต้องได้คบกับคุณ ถ้าคุณคบเกาเหวินแล้วมีความสุขจริงๆ ฉันจะอวยพรให้พวกคุณอย่างจริงใจค่ะ”
โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้ามาหาจนใกล้ จับโน้มคอมี่เหม่ยลี่ลงมาแล้วประทับริมฝีปากเขาจูบกับริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม
สาวจอมจุ้นเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึงในเบื้องแรก ก่อนจะหลับตาพริ้มรับรสจูบจากซีอีโอหนุ่มนิ่งนาน แทบลืมหายใจไปเลย
เหลยอี้หมิงกลับถึงบ้าน รอแล้วรอเล่ายัยอ้วนก็ยังไม่โผล่หน้ากลับมาสักที ตัวช่วยเดียวในสถานการณ์นี้คือการระเบิดอารมณ์ใส่ตุ๊กตาหมี ที่วางแหมะอยู่บนบันไดขึ้นห้องเหม่ยลี่
“เธอพูดเซ่ ทำไมเพิ่งกลับมา เธอกับเซี่ยวเลี่ยงไปทำอะไรกัน” ชี้หน้าไม่สะใจ หมอเหลยบีบจมูกตุ๊กตาหมียกมาคาดคั้นใกล้ๆ หน้า “เธอพูดมาสิ อย่าคิดว่าเธอไม่พูดแล้วจะรอดตัวนะ”
หมอหนุ่มนึกบางอย่างได้ ถึงกับถอนใจเฮือกๆ “ถ้าเกาเหวินคืนดีกับแฟนเก่าของเธอจริง ยัยอ้วนกับเซี่ยวเลี่ยง” ยิ่งคิดก็ยิ่งขึ้น เขย่าๆ ตุ๊กตาถามอย่างแรงก่อนจะวางแหมะลงที่บันไดอย่างเดิมชี้หน้าถาม “พูดมาเซ่ เธอกับเซี่ยวเลี่ยงไปทำอะไรกัน เธอไม่พูดใช่มั้ย ฉันตีแล้วนะ”
แต่พอเหลียวไปเห็นเหม่ยลี่เปิดประตูเข้ามา อี้หมิงต้องรีบกระโดดไปนั่งทับตุ๊กตาหมีแทบไม่ทัน ถามออกไปว่า
“ทำไมถึงปิดโทรศัพท์ล่ะ”
แม่เสือดาวสาวเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่าทางเหมือนคนใจลอย ก่อนจะคลี่ยิ้มเปิดปากบอกเสียงเล็กเสียงน้อยออกมาว่า
“ดูเหมือนฉันจะอินเลิฟน่ะ”
อี้หมิงเหลียวขวับมามองอย่างตื่นตะลึง คาดไม่ถึง “หา อิน...อินเลิฟเหรอ เป็นไปไม่ได้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวละลายไปหมดเลย ความรู้สึกฉันยืนอยู่บนก้อนเมฆ จากนั้นหัวใจของฉันก็...กระตุกๆ หน้าร้อนผ่าวมากเลยล่ะ” ยัยอ้วนจอมจุ้นยกมือมาแตะตรงบริเวณหัวใจ แล้วยกขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเองอย่างขวยเขิน
“ฉันว่าเธอเป็นไข้มากกว่านะ ฝันกลางวันหรือไง ฉันดูสิ”
พร้อมกับว่าอี้หมิงยกมืออังหน้าฝากดูไข้ เหม่ยลี่ปัดออก จึ๊ปากอย่างขัดใจ
“รีบรายงานสถานการณ์มาสิว่าเป็นไงบ้าง”
“อะไรๆ” อี้หมิงตามไม่ทัน จนนึกขึ้นได้ เล่นลิ้นยักท่าตามประสา “อ้อใช่ ฉันนึกออกแล้ว อะไรนะ คือว่า ฉันมีข่าวดีกับข่าวร้ายเธออยากฟังอันไหนก่อนล่ะ”
เหม่ยลี่รำคาญฟาดไปที “โธ่เอ๊ย เลิกเล่นได้แล้วรีบพูดมา”
“เอ่อ...เกาเหวินกำลังจะคืนดีกับแฟนเก่าของเธอ”
เหม่ยลี่ยื่นหน้ามาถามย้ำ “นายพูดจริงเหรอ ก็หมายความว่าเธอไม่รักเซี่ยวเลี่ยง พวกเขาเลิกกันแล้วเหรอ”
อี้หมิงประเมินเรื่องราว “ไม่หรอก แต่ฉันคิดว่า มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น”
เหม่ยลี่นิ่งนึก “เฮ้อ...มิน่าล่ะ วันนี้ตอนฉันพูดถึงเกาเหวินเขาบอกว่าอย่าพูดถึงผู้หญิงคนอื่น ฉันรู้สึกว่าระหว่างเขากับเกาเหวิน ดูไม่เหมือนแฟนกันเลย”
“ฉันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน แต่แฟนเก่าของเกาเหวินนี่สิ ฉันรู้สึกว่าเขามีปัญหา เขาคงไม่ทำร้ายเกาเหวินหรอกนะ ฉันไม่แน่ใจเลย” เหลยอี้หมิงสังหรณ์ใจโดยประหลาด
“แต่ฉันแน่ใจว่า เซี่ยวเลี่ยงต้องไม่ชอบเกาเหวินแน่ๆ ไม่งั้นเขาจะจูบฉันได้ยังไงล่ะ” เหม่ยลี่เพ้อถึงรสจูบ ยิ้มตาเยิ้มขยับปากทำเสียบจุ๊บรัวๆ
“คงต้องบอกเกาเหวินแล้วล่ะ เพราะเธอไม่ควรคบกับผู้ชายคนนั้น” อี้หมิงไม่ทันคิดเพราะมัวแต่เป็นห่วงเกาเหวิน พอนึกได้ถึงกับลุกพรวดถามเสียงดัง “อะไรนะ เมื่อกี้เธอบอกว่าจูบกับใครนะ”
เหม่ยลี่เองก็เพิ่งคิดตามที่อี้หมิงพึมพำ ฮึดฮัดถามอย่างขัดใจ “เอ๊ะแล้วทำไมนายต้องเกลี้ยกล่อมเกาเหวินด้วย แล้วฉันกับเซี่ยวเลี่ยงจะทำยังไง”
อี้หมิงลงนั่งจ้องหน้าถาม “เธอชอบเซี่ยวเลี่ยงจริงๆ เหรอ เธอจะคบกับเขาจริงๆ เหรอ”
“ไม่สำเร็จ ฉันไม่มีทางตัดใจ นายต้องช่วยฉันด้วยนะ”
อี้หมิงเสียงอ่อยๆ “ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจะทำไงได้”
“ฉันนึกแล้วว่านายน่ารักที่สุด” เหม่ยลี่แฮปปี้หัวเราะร่า อี้หมิงลืมตัวลุกขึ้น ก่อนจะรีบนั่งทับตุ๊กตาหมีอย่างเก่า แต่ไม่ทันเพราะยัยอ้วนเห็นเข้า
“ยืนอีกทีสิ”
อี้หมิงทำงง “หะ มีอะไร”
“นายทำอะไรหมีน้อยของฉัน” เหม่ยลี่แหกปากใส่หูจนอี้หมิงวิ่งหนีแทบไม่ทัน
“เสี่ยวเลี่ยงเลี่ยง มาจูบกัน”
จากนั้นนางสาวมี่โตะก็คว้าตุ๊กตาหมีมาจูบปากกันอย่างเริงร่า อินเลิฟฝุดๆ
จื่อเหลียงกำลังยืนพรีเซนต์แผนงานที่เขาแย่งมาจากเซี่ยวเลี่ยว ประกอบภาพบนจอโพรเจกเตอร์ ต่อหน้าที่ประชุม อย่างแข็งขัน
“นี่คือไอเดียการออกแบบสินค้าใหม่ของเรา การออกแบบสินค้าใหม่ในครั้งนี้ คือจิตนาการและความจริง แต่แนวความคิดในคอลเล็กชั่นสำหรับรุ่นต่อไป ยังต้องแสวงหานวัตกรรมใหม่ในการออกแบบ รูปภาพนี้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตำแหน่งยี่ห้อของเรา เหมาะสำหรับเป็นคอลเล็กชั่นรุ่นต่อไป ผมหวังว่าแบรนด์เทซีโร่ของเราจะสามารถสืบทอดต่อไป และสามารถใช้งานในทุกรุ่น ท่านประธาน คุณเซี่ยว นี่คือแผนการเตรียมงานของผมในครั้งนี้ครับ”
ท่าทีขึงขังน้ำเสียงจริงจังของรองหลิน เรียกร้องความสนใจจากเซี่ยวเลี่ยงไม่ได้เลย เขานั่งเท้าแขนสีหน้าเหม่อลอยตั้งแต่ต้นจบการพรีเซนต์
เจิ้นตงซึ่งวันนี้นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานพยักหน้ารับรู้ พลางหันมาทางเสี่ยวเลี่ยง
“โอเค ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณเซี่ยว”
จื่อเหลียงเดินกลับมานั่งที่ ต้องแปลกใจเช่นเดียวกับสายตาทุกคู่ที่มองมา เห็นเซี่ยวเลี่ยงไม่หืออือ นั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เจิ้นตงมองมาอีกครั้ง จนฉีหยูต้องเข้ามาเรียกใกล้ๆ
“คุณเซี่ยวครับ”
“หะ เอ่อ” เซี่ยวเลี่ยงกระแอมกระไอขยับเนกไท เรียกสติ “ในเมื่อเป็นโพรเจกต์ที่รองประธานหลินรับผิดชอบ ก็ควรให้เขาดูแลทั้งหมด ผมไม่มีความเห็น”
“แม้ฉันจะมอบโพรเจกต์นี้ให้กับรองประธานหลิน แต่ยังไงแกก็เป็นประธานของบริษัท โพรเจกต์ใหญ่ๆ อย่างนี้ แกจะไม่มีความเห็นอะไรเลยได้ยังไง” เจิ้นตงบอก
จื่อเหลียงปรายตามาทางเซี่ยวเลี่ยง พูดถ่อมตน สบช่องสร้างภาพแสนดีไปในตัว
“ท่านประธาน คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงแล้วคุณเซี่ยวกำชับผมมาตลอดให้เร่งทำโพรเจกต์นี้ บางทีเขาอาจคิดว่าผมมีความสามารถไม่พอ ดังนั้นจึงต้องการรับมันไว้เอง”
เซี่ยวเลี่ยงมองตอบแว่บเดียวอย่างรู้เท่าทัน “รองประธานเข้าใจผิดแล้ว ผมพอใจการทำงานของคุณมาก และหวังว่ารองประธานหลินจะรับผิดชอบการออกแบบครั้งนี้ให้ดี เพราะผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงมุ่งเน้นการทำงาน เพื่อต้องการขยายขนาดของบริษัทในอีกครึ่งปีหลัง”
“ขยายขนาดของบริษัท ต้องดูความเห็นของคณะกรรมการก่อน แกจะตัดสินใจโดยพละการได้ยังไงล่ะ” เจิ้นตงทักท้วงด้วยเหตุผล จื่อเหลียงสะดุดหู เอะใจที่เซี่ยวเลี่ยงพูดเรื่องแผนขยายบริษัท โดยไม่พูดถึงแผนงานที่ตนพรีเซนต์ไป
“ในเมื่อผมเสนอ ก็ต้องมั่นใจว่าโน้มน้าวทุกคนได้แน่นอน” พร้อมกับว่า เซี่ยวเลี่ยงลุกยืนมองไปยังทุกคนในที่ประชุม “ผมขอใช้โอกาสนี้ ประกาศข่าวดีให้ทุกคนทราบ สามเดือนก่อน ผมเคยสัญญาว่ายอดขายของเทซีโร่ต้องเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ผมทำสำเร็จแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งเทซีโร่มา การเจริญเติบโตของยอดขาย ได้ฟื้นฟูเพิ่มขึ้นถึง 21 เปอร์เซ็นต์แล้ว”
หญิงชุดดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “21 เปอร์เซ็นต์เหรอ เป็นไปได้ยังไง”
หญิงอีกคนที่นั่งติดกันยิ่งทึ่งสุดๆ “ใช่ มันอัศจรรย์จริงๆ”
เจิ้นตงระบายยิ้มบางๆ ลงไปในสีหน้า เป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่มีต่อลูกชายคนโต ขณะที่จื่อเหลียงตาเป็นประกายรู้ตัวแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
เซี่ยวเลี่ยงหันมาทางประมุขเทซีโร่ ปิดจ็อบโขมยซีน “ท่านประธาน ผมเอาเงินทุนสนับสนุนที่ได้มาจากเกาหลี และได้รับความยินยอมของคณะกรรมการส่วนใหญ่ เหลือเพียงรอให้คุณตกลงถึงจะดำเนินแผนงานได้”
“ได้” เจิ้นตงรับปากเสียงดัง แล้วลุกยืนขึ้น แจ้งต่อที่ประชุม “ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการ ผมขอเป็นตัวแทนบริษัท สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าจากนี้ไป แกจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”
เจิ้นตงปรบมือนำพร้อมกับเดินมาตบหลังเซี่ยวเลี่ยงเบาๆ ที่ประชุมทุกคนลุกยืนปรบมือเกรียวกราว ยิ้มชื่นชมซีอีโอคนเก่งกันถ้วนหน้า
มีเพียงจื่อเหลียงคนเดียวที่ปรบมืออย่างซังกะตาย ซ่อนความแค้นลงไปในสีหน้าเรียบเฉีย
เจิ้นตงเดินนำออกมาจากห้องประชุมตรงมาทางลิฟต์ มีจื่อเหลืองเดินมาส่ง มังกรชราเอ่ยชื่นชมเซี่ยวเลี่ยงไม่หยุด
“คิดไม่ถึงเลยว่า เซี่ยวเลี่ยงจะทำลายสถิติยอดขายของบริษัทได้ จื่อเหลียง ด้านนี้แกต้องเรียนรู้จากเขาให้มากๆ”
“ครับ”
“แน่นอนว่า ความมุ่งมั่นของแกย่อมอยู่ในสายตาของพ่อ เซี่ยวเลี่ยงแย่งซีนในการประชุมโพรเจกต์ใหม่ของแก แกคงรู้สึกไม่พอใจสินะ”
จื่อเหลียงสร้างภาพแสนดีต่อทันที “พ่อพูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ เขาสร้างยอดขายได้ดีขนาดนี้ แค่ผมยินดีกับเขายังน้อยไปด้วยซ้ำ”
เซี่ยวเจิ้นตงพยักหน้ายิ้มดีใจ “ได้ยินแกพูดอย่างนี้ พ่อก็สบายใจแล้วล่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต แกฉลาดและเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ต่อไป ไม่ว่าอะไรต้องให้ความร่วมมือเขามากๆ ล่ะ”
“พ่อวางใจได้ครับ เขาเป็นพี่ชายผม ผมต้องพยายามเดินตามเขาอยู่แล้ว”
“อื้ม งั้นก็ดี อ้อ จริงสิ พ่อคิดว่าคืนนี้ จะจัดงานฉลองชัยชนะให้เขา เรื่องรายละเอียด ฝากแกจัดการด้วยนะ อย่าลืมว่า ต้องถามความเห็นของเซี่ยวเลี่ยงก่อน”
“ครับ”
เจิ้นตงเดินยิ้มเข้าลิฟต์ที่จื่อเหลียงกดเรียกให้พาตัวเองลงไปยังชั้นล่าง โดยไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาวาวโรจน์ของลูกชายคนเล็ก ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในตัวพี่ชายต่างมารดา สุดจะประมาณ
ฉีหยูเอ่ยขึ้นทันทีที่ผู้เป็นเจ้านายลงนั่งที่โซฟายาวตรงมุมรับแขกในห้องทำงาน น้ำเสียงเป็นกังวลแทน
“คุณเซี่ยวครับ คุณประกาศข่าวดีในการประชุมโพรเจกต์ใหม่ของท่านรองหลิน เขาคงไม่พอใจมากแน่”
“หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่งสิ” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“คุณเซี่ยว วันนี้คุณไม่เหมือนปกติเลยนะครับ อย่างกับกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน” เซี่ยวเลี่ยงปรายตามามองคล้ายไม่พอใจ ผู้ช่วยร่างเล็กรีบแก้ “แต่ว่า ทุกคนก็เห็นความพยายามของคุณแล้ว ดูเหมือนครั้งนี้ท่านประธานใหญ่จะพอใจมาก”
“แน่นอนสิ ไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่พอใจต่อหน้าท่านประธานหรอก ออกไปได้”
“ครับ”
ฉีหยูโค้งแล้วออกไปสวนกับเหม่ยลี่ที่เดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา
“คุณเซี่ยวคะ”
เซี่ยวเลี่ยงหันไปถามเสียงขุ่น “คุณเข้ามาได้ไง”
“เลขาบอกว่าไปกินข้าวนี่คะ” เหม่ยลี่เดินมายื่นข้าวกล่องให้อย่างถือวิสาสะ “นี่คือของอร่อยที่ฉันเอามาให้คุณค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงไม่รับ พยักหน้าให้ออกไป “ออกไป ลืมมันเถอะ”
เหม่ยลี่หน้าเสีย งุนงง?
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้นเดินมาใกล้ จ้องหน้าเหม่ยลี่ที่ต้องเป็นฝ่ายเลี่ยงหลบ
“ผมหวังว่าคุณจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน คุณมีคำถามมั้ย ผมรู้ว่าคุณอยากถามอะไร ผมจะตอบคุณตอนนี้เลย การปรากฏตัวของคุณก่อความวุ่นวายกับชีวิตผมมาก ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณจะทำลายแผนการทั้งหมดของผม”
เหม่ยลี่งุนงงอยู่อย่างนั้น “คุณเซี่ยว เมื่อวานยังดีอยู่เลย ทำไมวันนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะคะ”
“อ้อ จริงเหรอ คุณยังรู้เหรอว่าผมคือประธานเซี่ยว คุณกลับไปเป็นพนักงานธรรมดา ที่อยู่ในขอบเขตเถอะ แต่ไม่ใช่อยู่ข้างๆ ผม ออกไปได้” เซี่ยวเลี่ยงเดินกลับไปนั่ง
รอจนเหม่ยลี่เดินคอตกพกหัวใจแตกสลายออกไปแล้ว เซี่ยวเลี่ยงจึงตะโกนเรียก
“ฉีหยู”
“ครับคุณเซี่ยว” ฉีหยูรีบเปิดประตูเข้ามาโดยไว
“ช่วยไปแจ้งให้ฉันหน่อย”
“ว่าไงครับ”
“ไปแจ้งแผนกออกแบบให้เปลี่ยนผู้ช่วยคนอื่นมาแทนเธอ”
ฉีหยูตกใจประหลาดใจเอามากๆ จนต้องย้อนถาม “หะ เปลี่ยนมี่โตะเหรอครับ”
เซี่ยวเลี่ยงชี้หน้าคาดโทษ “ต่อไปอย่าพูดถึงเขาให้ฉันได้ยินอีก”
ฉีหยูยังทำหน้าทะเล้นถามเรื่องเดตเมื่อคืน “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณอีกแล้วใช่มั้ยครับ”
เซี่ยวเลี่ยงไม่พอใจ “นายจะถามมากทำไมเนี่ย”
“ขอโทษครับ”
“ออกไปได้”
ขณะที่เหม่ยลี่เดินคอตกกลับมานั่งโต๊ะ จ้องมองกล่องข้าวในมืออย่างงุนงงสงสัย ซือหยวนคุยสายกับฉีหยูจบพอดี
“ฉันรู้แล้ว โอเคค่ะ” ซือหยวนลุกเดินมาหา
“มี่โตะ ฉันมีข่าวร้ายจะบอกเธอ คุณเซี่ยวบอกว่า ต่อไปเอกสารของแผนกเรา ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นจัดการ” เหม่ยลี่หันมามองหน้านักออกแบบเพชรรุ่นพี่อย่างคาดไม่ถึง คนอื่นๆ หันมามองทั้งแผนกเพราะซือหยวนจงใจพูดเสียงดังให้ทุกคนรับรู้ “เธอไม่ต้องไปห้องทำงานของท่านประธานแล้ว เอาเอกสารที่จะไปส่งให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นเถอะ”
ซือหยวนเดินกลับไปนั่งโต๊ะพร้อมความสะใจ ทิ้งให้มี่เหม่ยลี่แหงนหน้าขึ้นไปมองป้ายห้องทำงานเซี่ยวเลี่ยงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
ตกตอนเย็นหลังเลิกงาน จื่อเหลียงนัดซือหยวนมาพบที่ร้านกาแฟกลางเซี่ยงไฮ้
“ช่วงนี้มี่โตะมีอะไรหรือเปล่า”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นค่ะ ฉันอยากรายงานคุณพอดี แต่ตอนนี้ต้องขอพูดนอกเรื่องหน่อย ช่วงนี้คุณสบายดีมั้ยคะ”
จื่อเหลียงไม่เข้าใจ “คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“ในที่ประชุมครั้งก่อน คุณรายงานการทำงาน แต่กลับถูกเซี่ยวเลี่ยงแย่งซีน คุณคงไม่สบายใจใช่มั้ยคะ”
จื่อเหลียงหงุดหงิดใส่ “ผมเรียกคุณมาเพื่อให้มาสงสารผมหรือไง”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนี้ ฉันแค่...มีความรู้สึกเดียวกัน เพราะไม่ว่าฉันพยายามยังไง คนที่ถูกให้ความสนใจมักจะเป็นคนอื่น ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันหวังว่าจะมีสักคนปลอบโยน แม้เพียงครึ่งคำก็ยังดีค่ะ”
“ผมไม่ใช่คุณหนิ ผมไม่หดหู่เพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอก”
“ขอโทษค่ะท่านรองหลิน ฉันคิดมากไปเอง”
“ช่างเถอะ เข้าเรื่องได้แล้ว ระหว่างประธานเซี่ยวกับมี่โตะมีปัญหาใช่มั้ย”
ซือหยวนแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไงคะ ช่วงนี้คุณเซี่ยวทำตัวแปลกกับเธอมาก ไม่เพียงแค่เย็นชาใส่เท่านั้น แม้แต่งานส่งเอกสารก็ยังไม่ให้เธอทำ ระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”
“วันนี้ผมดูไม่ผิดเลยจริงๆ ดูเหมือนพวกเขาจะทนไม่ไหวแล้ว งานฉลองชัยชนะครั้งนี้ ผมจะสอบสวนมี่โตะอย่างละเอียด”
ซือหยวนอดถามไม่ได้ “ท่านรองหลิน คุณสนใจเขาอย่างนี้ มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ”
“แน่นอน แม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของประธานเซี่ยวกับมี่โตะจะดีมาก แต่ว่าคนเย็นชาอย่างประธานเซี่ยว สามารถทิ้งมี่โตะได้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลานั้น ไพ่ใบนี้จะเป็นของใครก็ยังพูดยาก”
“ความหมายของคุณคือ จะพยายาม ดึงมี่โตะเข้ามาเหรอคะ”
“ไม่เพียงแค่มี่โตะ ผมสนใจทั้งหมดที่เป็นของประธานเซี่ยว ผมต้องการแย่งพวกมันมา หรือทำลายมันให้สิ้นซาก ปฏิกิริยาของประธานเซี่ยว คงน่าดูมากแน่ๆ”
หลินจื่อเหลี่ยงยิ้มร้ายกาจออกมา ประกาศตัวอย่างชัดแจ้ง ทำเอาซือหยวนถึงกับอึ้ง นิ่งงันไปเลย
วันต่อมา เกาเหวินนั่งให้ช่างผมจัดแต่งทรงผมอยู่หน้าโต๊ะกระจกประจำตัว ภายในโถงบ้านของเธอ จู่ๆ เจสันก็เดินตูดบิดเข้ามาพร้อมการ์ดบางอย่างในมือ ร้องสั่งให้หยุด
“หยุดๆๆ ไป ไปเอาชุดที่ฮิตและสวยที่สุดมาให้ฉัน เราต้องการเปลี่ยนคอสตูมใหม่” ช่างผมเดินออกไป
เกาเหวินเติมหน้าไปคุยไป “มีอะไรอีก เกิดอะไรขึ้น”
“เธอยังไม่รู้อีกเหรอ บริษัทของเซี่ยวเลี่ยงบอกว่าสถิติยอดขายจิวเอลลีเพิ่มขึ้น ในฐานะที่เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเขาความดีก็ต้องตกที่เธอสิ นี่ ตอนนี้คนทั้งวงการต่างพูดว่าพวกเธอเป็นคู่มหัศจรรย์แล้วนะ”
“งั้นเธอก็ไปเลือกของขวัญให้เขาแทนฉันสิ ฉันไม่ว่างไปหรอก” เกาเหวินไม่สนใจเลย
”พูดบ้าๆอะไรของเธอ หะ เรื่องใหญ่อย่างนี้เธอควรไปร่วมงานด้วยตัวเองนะ เอาไป” เจสันยื่นการ์ดเชิญในมือให้ “งานฉลองของเทซีโร่คืนนี้ พวกเขาเชิญเธอออกงานในฐานะนายหญิงนะ นี่ ฉันจะบอกให้ เธอต้องแต่งตัวให้สวยที่สุดถึงจะไปได้”
เกาเหวินรับมาอ่านแล้วพับเก็บวางลงบนโต๊ะ “แต่วันนี้ฉันไปไม่ได้แล้ว ฉันมีธุระต้องทำ”
“เดี๋ยว มีธุระอะไรล่ะ มีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่าเซี่ยวเลี่ยง” ซุปตาร์สาวเติมสีปากเข้ากับเฟอร์บนลำคอ “ฉันจะบอกให้นะ งานเลี้ยงในคืนนี้ใหญ่มาก มีคนดังมากมายไปร่วมงานทั้งนั้น”
หญิงชุดดำทีมงานของเจสันเดินถือกล่องของขวัญเล็กๆ เข้ามาหา
“พี่เจสัน มีแฟนคลับส่งของขวัญมาให้ค่ะ”
เจสันมองดุ “เธอไม่เห็นหรือไงว่าฉันคุยกับนายหญิงเซี่ยวอยู่”
“ครั้งนี้ไม่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าเขาส่งมาให้พี่”
เจสันหู่ผึ่งรับกล่องมา “ของขวัญฉันเหรอ เฮ้อ ได้ๆๆ ฉันฝากขอบคุณแฟนคลับด้วยนะ ไปได้ๆๆ นี่ ที่รัก เธอดูสิว่าตอนนี้เธอดังขนาดไหน ยังมีของขวัญมาอีกด้วย”
เจสันเปิดฝากล่องออกดูแล้วต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าข้างในเป็นรูปแอบถ่ายของเกาเหวินกับหานปิงซึ่งจูงแขนออกมาจากห้องพักรีบปิดกล่องโดยเร็ว
“ของขวัญอะไร ให้ฉันดูหน่อยสิ” เกาเหวินยื่นมือมาขอดู
“เอ่อ ไม่มีอะไร” เจสันไม่ให้ดู รีบเบี่ยงประเด็นทันที “โอ๊ะ ดูเสื้อของเธอสิ พวกเขาเอาให้เธอใส่ได้ยังไง ฉันจะไปเลือกให้นะ ฉันจะไปเลือกตัวใหม่ให้” จากนั้นก็รีบเดินหนีไปอย่างร้อนใจ ทิ้งเกาเหวินไว้คนเดียว
“เสื้อของฉันทำไม บ่นอยู่ได้ทั้งวันเป็นอะไรของเธอ ก็สวยดีหนิ”
ขณะที่เกาเหวินกำลังเลือกชุดใหม่ที่เจสันให้คนเข็นมาให้เลือกทั้งราว หยิบได้เดรสสั้นสีฟ้าน้ำทะเล ลายลูกไม้สุดโปรดติดมือมา อี้หมิงก็เดินผิวปากเข้ามาในบ้าน ชี้บอก
“ตัวนั้นก็ไม่เลวนะ”
เกาเหวินประหลาดใจเห็นหน้าอี้หมิงทีไรอารมณ์ดีฝุดๆ
“คุณมาได้ไงเนี่ย เมื่อวานเราเพิ่งเจอกันไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าคุณกลายเป็นแฟนคลับของฉันไปแล้ว”
“โธ่ คุณไม่ต้องพูดแล้วน่า ผมแค่ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาดูว่าคุณทำอะไรอยู่”
เกาเหวินเลือกชุดใหม่ “โอเค ในเมื่อคุณว่างขนาดนี้ ก็มาช่วยเป็นคนขับรถไปส่งฉันที่เทซีโร่หน่อยสิ”
“เอ๊ะ ไปที่นั่นทำไม” อี้หมิงแปลกใจ ไม่เห็นยัยอ้วนพูดถึง
“พวกเขาจัดงานฉลอง เลยเชิญฉันไปเป็นแจกันดอกไม้” เกาเหวินประชดตัวเองว่าเป็นพวกไม่มีประโยชน์
“ทำไมพูดว่าเชิญไปเป็นแจกันดอกไม้ล่ะ เซี่ยวเลี่ยงเป็นแฟนตัวจริงของคุณนะ ทำไมพูดว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ” อี้หมิงเดินมาหยุดยืนอีกฝั่งของราวเสื้อยื่นหน้ามาถามเบาๆ “นี่ๆๆ ผมถามหน่อย เรื่องของคุณกับเซี่ยวเลี่ยง หานปิงรู้มั้ย”
“เขารู้ ฉันอธิบายกับเขาแล้ว”
“เรื่องนี้ก็ยอมรับได้เหรอ มีความเป็นไปได้สองอย่าง ข้อแรก เขารักคุณอย่างแท้จริง ข้อสอง เป็นไปได้ว่า เขาไม่รักคุณ”
“คุณถามมากทำไมเนี่ย วันหลังฉันค่อยอธิบายให้ฟัง ไปกันเถอะ” เกาเหวินไม่ใส่ใจจะออกไปขึ้นรถ
อี้หมิงไม่ยอมให้ไปดึงร่างแบบบางกลับมา ถามย้ำ “เกาเหวิน คุณจะคืนดีกับหานปิงจริงๆ เหรอ”
“เป็นความจริงแน่นอน นี่คือการตัดสินใจของฉันเอง อีกอย่างฉันก็คบกับเขามานาน ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอก ไปเถอะ”
“ไปไหน”
“คุณคิดว่าฉันใส่ชุดนี้ดูดีมั้ย”
เหลยอี้หมิงถอนหายใจ ก่อนจะรีบตามออกไป
งานเลี้ยงฉลองยอดขายและแสดงความยินดีกับเซี่ยวเลี่ยงจัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูกลางเซี่ยงไฮ้
เหม่ยลี่มาร่วมงานด้วย ยืนรวมกลุ่มอยู่กับพนักงานที่โต๊ะหน้าเวทีมองเซี่ยวเลี่ยงที่ยืนเคียงข้างเกาเหวิน พูดคุยยิ้มหัวกับแขกผู้ใหญ่อยู่หน้าเวที
จู่ๆ จื่อเหลียงก็เดินเข้าหามองตามสายตาของเธอไป เอ่ยขึ้นว่า “เป็นยังไง เหมาะสมกันดีนี่”
เหม่ยลี่หันมาทัก “ท่านรองหลิน”
“ทำไมไม่ไปทักทายเกาเหวินเพื่อนรักของคุณล่ะ”
“ตอนนี้เธอกำลังยุ่ง ฉันไม่อยากไปรบกวนเธอค่ะ” เหม่ยลี่ว่า
จื่อเหลียงพยักหน้าพูดยิ้มๆ “คุณพูดมีเหตุผล นายหญิงในอนาคตของบริษัท คุณขึ้นไปจะพูดอะไรกับเขาล่ะ”
ระหว่างนี้เซี่ยวเจิ้นตงเดินเข้ามาในงาน พนักงานทั้งผู้หญิง และผู้ชาย แหวกทางให้ เอ่ยทักทายมาตลอดทาง ช่างภาพนักข่าวเก็บภาพในจังหวะนี้แสงแฟลชสว่างพรึ่บ
“ท่านประธานเซี่ยวๆๆ”
จื่อเหลียงละตัวจากเหม่ยลี่ไปรับเจิ้นตงพาเดินไปยังหน้าเวที
เซี่ยวเลี่ยงแนะนำเกาเหวินกับบิดาอย่างเป็นทางการ
“พ่อครับ นี่คือเกาเหวิน”
“สวัสดีค่ะคุณลุงเซี่ยว” เกาเหวินยิ้มทัก
“สวัสดี” เจิ้นตงทักตอบยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้ ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขวางสุดโต่งอย่างแต่ก่อน เซี่ยวเลี่ยงและเกาเหวินยิ้มให้กัน
ประมุขเทซีโร่หันไปทักทายแขก คุณหลิว กรรมการอาวุโส
“คุณหลิว ขอบคุณมากสำหรับการดูแลบริษัทเราหลายปีมานี้”
“ไม่หรอกครับๆ ทั้งสองท่านเก่งขนาดนี้ คุณเซี่ยวช่างโชคดีจริงๆ ครับ” คุณหลิวเอ่ยชมทั้งเซี่ยวเลี่ยงและจื่อเหลียง
“คุณหลิวชมเกินไปแล้ว ลูกคนโตมีวันนี้ได้ ก็เกิดจากความช่วยเหลือของพวกคุณ แน่นอน ยังมีอีกลูกน้องอย่างรองประธานหลินด้วย เป็นวาสนาของเราจริงๆ”
เจิ้นตงยิ้มปลื้ม ไม่ลืมที่จะเอ่ยชมจื่อเหลียงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาหาเซี่ยวเลี่ยง
“เซี่ยวเลี่ยง คนมากันครบแล้ว ก็เริ่มได้เลยสิ”
“ครับ” เซี่ยวเลี่ยง เดินขึ้นไปบนเวที หยุดยืนที่โพเดี้ยม กล่าวเปิดงาน
“เอ่อ โอเค สวัสดีท่านผู้มีเกียติทุกท่าน ก่อนจะเริ่มงานฉลอง ผมเป็นตัวแทนของเทซีโร่จิวเอลรี มาขอบคุณทุกท่านอย่างเป็นทางการ ที่ผมมีผลงานอย่างวันนี้ได้ ต้องขอบคุณความมุ่งมั่นของพนักงานทุกคนในบริษัท ขอบคุณพวกคุณทุกคน”
พร้อมกับว่า เซี่ยวเลี่ยงเดินออกจากโพเดี้ยมมาโค้งให้ทุกคนอย่างสง่าผ่าเผย
เรียกเสียงปรบมือดังอื้ออึง จากบรรดาพนักงานที่พากันเดินออมารวมตัวกันที่หน้าเวที
มี่เหม่ยลี่ยืนอยู่ที่เดิมเวลานี้อยู่หลังสุดของทุกคนร่วมปรบมือยินดีไปด้วย เจิ้นตงปรบมือยิ้มไม่ยอมหุบ เซี่ยวเลี่ยงกลับเข้าไปในโพเดี้ยม สำแดงวิสัยทัศน์ต่อ
“สามเดือนก่อน ตอนที่ผมสัญญากับทุกคนว่าจะเพิ่มยอดขาย 20 เปอร์เซ็นต์ ก็รู้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง เพราะผมเคยฟังนิทานเรื่องหนึ่ง สาเหตุที่สิงโตสามารถล่อเหยื่อในฝูงกวางได้ ไม่ใช่เพราะความเร็ว และไม่ใช่เพราะว่าสิงโตดุร้าย แต่เป็นเพราะสิงโตจับจ้องเป้าหมายเดียวตลอดเวลา และไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเหตุผลอื่นอย่างเด็ดขาด ขอบคุณนิทานเรื่องนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม แน่นอนว่า ผมยังต้องขอบคุณคนพิเศษคนหนึ่ง เธอเป็นคนบอกผมว่า ต้องพยายามลองลงมือทำ กล้าเผชิญกับเรื่องที่ตัวเองไม่ต้องการ เธอเป็นคนสอนให้ผมรู้ว่า แม้ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด จะถูกทุกคนปฏิเสธ ก็อย่ายอมแพ้ง่ายๆ เธอมอบรอยยิ้มมากมายให้ผม และทิ้งน้ำตามากมายไว้ให้ผมเช่นกัน เราผ่านพ้นทุกอย่างในสามเดือนนี้มาด้วยกัน และเป็นเธอ ที่เปลี่ยนแปลงปมด้อยในชีวิตผม”
เหม่ยลี่ยิ้มออกมา รู้ดีว่าเขาหมายถึงเธอ มีอีกคนที่ร่วมรับรู้ความลับนี้นั่นคือ จื่อเหลียง ที่เหลียวมองไปยังหลังห้องแล้วยิ้มร้ายออกมา
“ตอนนี้ เธอคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมก็ว่าได้ ขอบคุณที่เธอมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ผม”
เซี่ยวเลี่ยงเดินออกมาหน้าเวที ใกล้จุดที่เกาเหวินยืนอยู่ ส่งยิ้มมาให้ พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณออกมา
“ขอบคุณมาก เกาเหวิน”
เหม่ยลี่อึ้งไป หน้าเศร้าลงเมื่อได้ยินชื่อที่เขาเอ่ยออกมาไม่ใช่เธอ จื่อเหลียงหันไปเห็นอีกครั้ง
หมู่มวลปรบมือเกรียวกราว ให้เซี่ยวเลี่ยงที่สวมกอดเกาเหวินบนเวที แสงแฟลชสว่างพรึ่บไม่หยุดหย่อน
หลินจื่อเหลียงปรบมือไป ยิ้มร้ายออกมาอย่างสาสมใจที่ล่วงรู้ความลับในใจของพี่ชายต่างมารดา
การเต้นรำคือการเฉลิมฉลองในลำดับต่อมา วงดนตรีเครื่องสาย ซึ่งมีไวโอลินเป็นพระเอกดังแว่วหวานขึ้นในงาน เซี่ยวเลี่ยงและเกาเหวิน เต้นเปิดฟลอร์อย่างสวยสมชวนมอง มีคนร่วมเต้นรำอีกหลายคู่
จื่อเหลียงเดินเข้ามาหาเหม่ยลี่อีกครั้ง ชวนออกไปเต้นรำ “มี่โตะ ไปเต้นรำด้วยกันนะ”
เหม่ยลี่ถือแก้วน้ำส้มในมือมั่น ปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรค่ะท่านรอง”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาเห็นพอดี มองดูจื่อเหลียงที่ลากแขนเหม่ยลี่พาออกมาเต้นรำกับเขาจนได้
“ให้เกียรติผมหน่อยสิ”
ไม่เท่านั้นจื่อเหลียงยังจงใจพาเหม่ยลี่มาเต้นรำใกล้ๆ คู่ของเซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินอีกด้วย ซีอีโอหนุ่มมองนิ่ง
“คุณรู้มั้ย สายตาของคนๆ หนึ่ง สามารถทรยศความลับที่อยู่ในใจของเขา ถ้าต้องการรู้ความลับของเขา แค่เรามองตาเขาก็รู้แล้ว” จื่อเหลี่ยงเอ่ยขึ้นมาลอยๆ บอกเป็นนัย พร้อมกับปรายตามองไปยังเซี่ยวเลี่ยง เหม่ยลี่มองตามสายตาไป เห็นเซี่ยวเลี่ยงมองจ้องอยู่
จื่อเหลียงเล่มเกมต่อ ดึงรั้งร่างเหม่ยลี่เข้ามาใกล้ๆ กระซิบบอกที่ข้างหู
“อย่าขยับ ผมกำลังหาของสิ่งหนึ่งอยู่”
เซี่ยวเลี่ยงมัวแต่มองจื่อเหลียงกับเหม่ยลี่ จนเผลอเหยียบเท้าเกาเหวินเข้าให้
“โอ๊ย“
“เหยียบถูกคุณเหรอ ขอโทษที ขอโทษๆ”
สองคนเลิกเต้น เดินออกจากฟลอร์ไป
จื่อเหลียงมองตามไป ยิ้มสมใจออกมาอีกคำรบ บอกกับเหม่ยลี่ที่มองตามสองคนไปว่า
“ผมมองหาจุดอ่อนเขาอยู่ตลอด ในที่สุดวันนี้ก็หาเจอ”
เหม่ยลี่ตกใจ ผละตัวออกอย่างแรง
“ขอโทษค่ะท่านรองหลิน ฉันเหนื่อยแล้ว”
ปล่อยให้เหม่ยลี่เดินจากไป โดยไม่รั้ง จื่อเหลียงขยับโบว์เนกไทยิ้มย่องอย่างเบิกบานใจ ก่อนจะเดินออกไป
เซี่ยวเลี่ยงยืนใช้ความคิดอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำชาย แปลกใจนิดๆ ที่เห็นจื่อเหลียงเดินเข้ามาหยุดข้างๆ ทำเป็นจับแต่งทรงผมไปพูดเหมือนแสดงความยินดี แต่จริงๆ แดกดัน
“ยินดีด้วยๆ วันนี้คงมีความสุขมากสินะ พ่อก็มีความสุขกับพี่มากหนิ”
“นี่คือสถานที่สาธารณะ กรุณาอย่าเรียกเขาว่าพ่อ” เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ลดเสียงเบาลงในคำพูดตอนท้าย “ทุกอย่างที่เป็นของฉัน นายอย่าหวังว่าจะเอาไปได้”
จื่อเหลียงยั่วโทสะเป็นการหยั่งเชิง และเปิดไพ่ในมือให้ดู
“แล้วมี่โตะล่ะ เธอไม่ใช่ของพี่ใช่มั้ย ผมเอาไปได้ใช่มั้ย”
“แล้วแต่นาย เธอกับฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่อย่าสร้างปัญหาในบริษัท” เซี่ยวเลี่ยงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ
จื่อเหลียงรู้ทัน หันมามองจ้องหน้า แหย่รังแตนต่อ
“พี่คงไม่สนใจเธอจริงๆ ด้วย งั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พี่ก็ไม่สนใจใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ตอบ ถอนใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินหนีออกไป จื่อเหลียงมองตามอย่างสะใจ
ที่พึ่งของมี่เหม่ยลี่ยังเป็นหมอเหลยเจ้าเก่า เธอกำลังโทร.ตามฝากข้อความให้เขามารับกลับดดยเร็ว
“เหลยอี้หมิง ฉันอยากกลับบ้านแล้ว นายมารับฉันตอนนี้ได้มั้ย ฉันจะรอนายอยู่ที่นี่ อื้ม”
เหม่ยลี่วางสายไป จื่อเหลียงเดินมาทางด้านหลังเรียกใกล้ๆ หู
“มี่โตะ” สาวจอมจุ้นตกใจ หันมาหา และถูกเขาลากแขนไปเลย “มากับผม”
เซี่ยวเลี่ยงมองอยู่เห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากเหม่ยลี่ที่มองมา กำลังจะรีบตามไป แต่ถูกช่างภาพใกล้ๆ เรียกไว้ ขอถ่ายรูปสามคน เกาเหวิน เซี่ยวเลี่ยง และเจิ้นตง
เซี่ยวเลี่ยงร้อนใจ ยืนให้ถ่ายรูปโดยไม่มีสมาธิ
“เอ่อ...คุณเซี่ยวๆ มองกล้องครับ เรามาถ่ายรูปหมู่กันก่อนนะครับ เอาล่ะ มองกล้องนะครับ คุณเซี่ยวยิ้มหน่อยครับ ยิ้มๆๆๆ โอเค โอเคครับ”
จื่อเหลียงลากเหม่ยลี่ออกมาหน้าห้องจัดเลี้ยง เหม่ยลี่สลัดจนหลุดถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คุณจะทำอะไรคุณเซี่ยว”
“ถ้าคุณไม่ต้องการให้เขาเป็นอะไรล่ะก็ ยอมมากับผมซะดีๆ”
หลินจื่อเหลียงเดินยิ้มนำออกไปอย่างเป็นต่อ เหม่ยลี่เหลียวไปมองทางห้องจัดเลี้ยงอย่างลังเลและคิดหนัก
จบตอนที่ 10