xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก – Diamond Lover ตอนที่ 6

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 6

ในขณะที่เซี่ยวเลี่ยงนั่งฮึดฮัดขัดใจ เร่งให้สาวขี้เมาลงรถไปไวๆ เหม่ยลี่กลับหัวเราะร่า โบกมือบ๊ายบายให้ ทำท่าจะเปิดประตูลงรถไป

“ลงไปสิ เร็วๆ เข้า ลงไป” เซี่ยวเลี่ยงเร่ง
เหม่ยลี่หันหน้ามาหลับพับคางเกยอยู่กับขอบประตูใบหน้าแปะอยู่กับกระจกรถหมดสภาพ
เซี่ยวเลี่ยงถอนหายใจเฮือก เปิดประตูลงรถไปอย่างสุดจะเซ็ง ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเอายังไงดีกับยัยขี้เมา ก่อนจะกดรีโมตรถ เปิดประตู ร่างไร้สติเหม่ยลี่ที่อิงประตูอยู่ร่วงลงมา
“อ๊าย”
เซี่ยวเลี่ยงรับเอาไว้ลากลงมา “ลงมาเลย”

สุดท้ายเซี่ยวเลี่ยงต้องพยุงร่างไร้สติของเหม่ยลี่ขึ้นมายังห้องพักของเขา สาวเคยอ้วนหัวเราะคิกคักชวนดื่ม ชวนชมแก้วไม่เลิกทั้งที่ตาปิดอยู่
“ชนแก้ว...มาดื่มอีกแก้ว...ชนแก้ว”
เซี่ยวเลี่ยงประคองมาวางลงที่โซฟา แต่ดันเสียหลักล้มทับร่างเหม่ยลี่ ซีอีโอหนุ่มเหม็นเหล้าหึ่งยิ่งหัวเสีย
“ฮึ่ย”
เซี่ยวเลี่ยงปล่อยเหม่ยลี่นอนแผ่หลาอยู่ที่โซฟายาว ข้างๆ แพนทรี ถอดสูทเดินไปเข้าห้องน้ำ

ไม่นานต่อมาเหม่ยลี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขยี้ตา มองไปรอบๆ ห้องอย่างงวยงง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเดินโผเผเข้าไปในห้องนอนด้านใน ชะงักนิดๆ ดูแปลกตาเหมือนไม่ใช่ห้องนอนตัวเอง
เหม่ยลี่เดินโซเซมาโผล่ในห้องน้ำ เห็นใครบางคนยืนยุกยิกๆ อยู่ในนั้น ส่งเสียงอ้อแอ้ๆ เซี่ยวเลี่ยงอาบน้ำเสร็จ สวมชุดคลุมสีขาว ยืนเช็ดหน้าเช็ดผมอยู่หน้ากระจก หันมามอง
“เซี่ยวเลี่ยง” เหม่ยลี่หัวเราะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ทำไมถึงเป็นคุณล่ะ หือ เซี่ยวเลี่ยงตัวเป็นๆ หรือเปล่าเนี่ย” ซีอีโอหนุ่มยืนนิ่ง ดูมันอีกซักตั้งว่าหล่อนจะไปถึงไหน
เหม่ยลี่ยกนิ้วมาชี้บ้างจิ้มบ้างตามหน้าตาหัวเราะไม่หยุด “เอ๊ะนี่ตาของเซี่ยวเลี่ยง นี่จมูกของเซี่ยวเลี่ยง นี่แก้มของเซี่ยวเลี่ยง เอ๋ แล้วก็ตัวของเซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่สวมกอดเป็นการพิสูจน์ เซี่ยวเลี่ยงถอนใจเฮือก จับตัวดันออก “เฮ้อ...พอได้หรือยัง หา”
เหม่ยลี่ติดใจกลิ่น สูดดมหาที่มายกใหญ่ หยิบเครื่องสำอางกลิ่นนั้นขึ้นมา “ฮื่อ หอมจังเลย กลิ่นอะไร ว้าว เป็นผู้ชายใช้ของแบบนี้ด้วยเหรอ หึๆ ใช้เยอะอีกต่างหาก”
“ผู้ชายก็ต้องดูแลตัวเอง ออกมา” เซี่ยวเลี่ยงหยิบวางคืน แล้วเดินนำออกไป
“เอ๊ะ ไม่มีมารยาท ฉันยังพูดไม่จบเลยคุณเดินหนีแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย”
เหม่ยลี่โวยวายตามหลังมา ผลักเซี่ยวเลี่ยงหน้าคะมำล้มไปนอนบนเตียง ก่อนที่ตัวเองจะสะดุดขาเซี่ยวเลี่ยงล้มทับลงบนตัวเขา เหมือนกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง
เซี่ยวเลี่ยงร้องโวยวายสลัดออก “เฮ้ยๆ นี่ คุณทำอะไร หา นี่เตียงผม ลงไป”
เหม่ยลี่เถียงทั้งที่ยังหลับตาและทับอยู่บนหลังเขา “ลงไปอะไร คุณยังไม่ได้ชมฉันเลยเมื่อกี้ฉันชมคุณอยู่ตั้งนานแน่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงโมโหสลัดยังไงก็ไม่ออก “คนบ้าน่ะสิที่ชมตัวเองทุกวัน นี่คุณหยุดบ้าได้แล้ว ลงไป”
เหม่ยลี่พูดเหมือนคนนอนละเมอ “ฉันจะบอกให้นะ คุณรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงได้สวยแบบนี้ ที่จริงเมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่ว่า การเปลี่ยนแปลงของฉันเป็นเพราะคุณทั้งนั้น หึๆๆ เรื่องทุกอย่างของฉัน...ฉันอยากจะบอกคุณตั้งแต่ต้นจนจบ”
เหม่ยลี่เงียบเสียงไปเฉยๆ
“คุณพูดอะไร นี่ หลับแล้วจริงๆ เหรอ อย่าแกล้งหลับสิลุกขึ้น”
เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจเขย่าปลุกแต่ก็ยังเงียบอยู่ มองจากหางตาเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิท เขาจึงพลิกตัวขึ้นเบาๆ เป็นผลให้ร่างเหม่ยลี่หายหลังลงไปนอนต่อ
ซีอีโอหนุ่มมองใบหน้างามข้างๆ ยื่นมือไปเกลี่ยผมที่ระหน้าผากให้อย่างเบามือ นึกถึงหลายๆ เหตุการณ์ตลอดจนคำพูดของเหม่ยลี่ ตั้งแต่ตอนเธอเอาตัวรับบันไดขาตั้งแทนเขาจนถูกบันไดฟาดหัวแตก
“ถ้าหากฉันมัวแต่เอาเวลาไปคิดว่า ฉันต้องได้อะไร ฉันก็ไม่มีเวลาไปช่วยคุณหรอก คุณเซี่ยว ในโลกนี้มีหลายอย่าง ที่ไม่สามารถ ใช้ผลประโยชน์ไปแลกเปลี่ยนกับมันได้”
อีกเรื่องที่เขากวนใจเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือคำพูดตอนที่สาวขี้เมาจอมจุ้นสารภาพรัก และบอกลาเขาในคราวเดียวกัน ตอนเต้นรำด้วยกันหลายวันก่อน
“เราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน แต่ฉันก็พยายามทุกครั้ง พยายามจะเข้าใกล้คุณ ให้คุณมาสนใจฉัน แต่คุณไม่ต้องห่วง ตอนนี้ฉันล้มเลิกมันแล้ว ฉันจะไม่มารบกวนคุณอีก ขอให้คุณมีความสุข”
เซี่ยวเลี่ยงลุกจากเตียงเดินออกไป ทิ้งเหม่ยลี่ให้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว

อีกฟากหนึ่ง เหลยอี้หมิงรออยู่ที่บ้าน ไม่เป็นอันหลับอันนอน ท่าทางกระวนกระวายใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้วรอมร่อ เพราะติดต่อเหม่ยลี่ไม่ได้ โทร.หาทีไรเป็นฝากข้อความตลอดๆ
“สวัสดีค่ะฉันมี่โตะ ตอนนี้ยังไม่สะดวกรับสายโปรดฝากข้อความไว้”
อี้หมิงโยนมือถือทิ้งบนโต๊ะ ดูนาฬิกาแล้วยิ่งหงุดหงิด “ยัยอ้วนบ้า นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
ที่ระบายอารมณ์ของหมอหนุ่มสูตินรีแพทย์ยอดนักรักยามนี้คือ ตุ๊กตาหมีสวมกระโปรงยีนส์ของเหม่ยลี่ ที่วางแหมะอยู่กับเก้าอี้ตรงหน้าเขา
“อย่ามาจ้องหน้าฉันแบบนี้นะ มีอะไร ฉันถามแกอยู่ ทำไมยัยอ้วนบ้ายังไม่กลับมาอีก ทำหน้าอะไรของแก หัวเราะเยาะฉันเหรอ เฮ้อ... ใช่สิ ฉันมันน่าตลก ฉันยังต้องทำอะไรเพื่อยัยอ้วนบ้าอีก ฉันเป็นพ่อสื่อให้เธอทั้งๆ ที่ฉันไม่ต้องการให้เธอคบกับเซี่ยวเลี่ยงเลย ไม่สิ ฉันออกความคิดบ้าๆ ให้เธอยื่นใบลาออก ฉันสิคนที่รักจริง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นแมวตาบอดชนหนูตายแบบนี้ เขาทำสำเร็จแล้วจริงๆ ฉันเป็นคนมีหลักการพรุ่งนี้ฉันจะบอกเขาว่าฉันไม่เป็นครูแล้ว ฉันจะไม่ทำงานนี้อีกต่อไปแล้ว แกยังเยาะเย้ยฉันอยู่เหรอ ฉันบ้าหรือไงเนี่ยทะเลาะกับหมีอยู่ได้ยัยอ้วนบ้าเธอฟังไว้ให้ดี ถ้าคืนนี้เธอยังไม่กลับมาอีกล่ะก็ พรุ่งนี้ฉันจะให้เธอต้องชดใช้ด้วยเลือด แฮ่”

อี้หมิงแยกเขี้ยวยิงฟันส่งเสียงคำรามออกมาตอนท้าย น่าขัน มากกว่าจะน่ากลัว

รุ่งเช้า อี้หมิงหลับคาโซฟารอเหม่ยลี่ทั้งคืน ขาไถลตกโซฟาสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“ยัยอ้วนกลับมาแล้วเหรอ เธอกิน...” พอลุกยืนตั้งสติมองไปรอบๆ จึงพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านเพียงลำพัง
หมอหนุ่มดูนาฬิกาแล้วยิ่งไม่สบายใจหนัก ถอนใจเฮือกใหญ่ หยิบมือถือมาลองกดโทร.หา ยัยอ้วนตัวแสบ

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ ปลุกให้เหม่ยลี่ในชุดเดรสชุดเดิมซึ่งนอนอุตุหลับสบายอยู่บนเตียงในห้องนอนหรูเรียบของเซี่ยวเลี่ยง ตื่นแต่ไม่ยอมลืมตาหรือลุกมารับสาย กลับส่งเสียงโวยวายเสียงโทรศัพท์ที่ดังกวนการนอนของเจ้าหล่อน
“โอ๊ย...เสียงดังจังเลย ขอนอนต่ออีกหน่อยเหอะ”
เหม่ยลี่คว้าผ้าห่มมาคลุมโปงนอนต่อ แต่เสียงมือถือดังจิกไม่หยุดหย่อน สาวจอมจุ้นดีดตัวขึ้น มองไปรอบๆ อย่างแปลกที่ สายตาไปสะดุดกึกกับรูปหล่อลากไส้ของเซี่ยวเลี่ยงในกรอบรูปตรงโต๊ะมุมห้อง เพ่งมองจนแน่ใจว่าดูไม่ผิดแน่ ถึงกับตาเหลือก ตกใจมาก
“หา เซี่ยวเลี่ยง หา ฉันอยู่บ้านเขาได้ไงเนี่ย”
เหม่ยลี่มองไปรอบๆ ห้อง พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ จนเริ่มจิตตกรีบยกมือสำรวจหน้าตา และสารรูปตัวเอง
“แย่แล้ว เขาต้องเห็นหน้าตาขี้เหร่ของฉันแน่ๆ”
เหม่ยลี่ทิ้งตัวลงนอนต่อ โดยไม่ยอมรับสาย
เหลยอี้หมิงโมโหมากที่ยัยอ้วนไม่รับสาย กดโทร.หาอีกครั้ง
คราวนี้เหม่ยลี่เริ่มได้สติคืนมา ดีดตัวขึ้นนิ่งนึกทบทวน คว้ากระเป๋าสะพายตรงโต๊ะหัวเตียงมาเปิด ไม่ทันใจเทกระเป๋าให้มือถือร่วงออกมา คว้ามาดู รีบกดรับเมื่อเห็นเป็นเหลยอี้หมิง กรอกเสียงโวยวายตามไปทันที
“โอ๊ย...ฮัลโหล...เหลยอี้หมิงนายอยู่ไหน เกิดเรื่องขึ้นกับฉันแล้ว”
อี้หมิงโมโหสุดขีดจนควันออกหูและแทบจะกระอักเป็นเลือดอยู่แล้ว ตะโกนด่ายับ
“ยัยอ้วนบ้า เธออยู่ไหน”

รถอี้หมิงแล่นทะยานมาตามถนนเร็วราวกับจะบิน ไม่นานต่อมาก็เลี้ยวเข้ามาจอดรอในลานหน้าคอนโดหรูของเซี่ยวเลี่ยง หมอหนุ่มนั่งคุมแค้นคำรามฮึ่มฮ่ำรอในรถด้วยใบหน้าถมึงทึง
สักครู่หนึ่ง เหม่ยลี่สะพายกระเป๋า มือกำโทรศัพท์แน่น ทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบๆ ซ่อนๆ ย่องมาหลบที่ข้างรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ก้มหัวไม่ให้ใครเห็น พอจะเปิดประตูขึ้นรถปรากฏว่าล็อคอยู่ ต้องทุบประตูเรียกให้เปิด
อี้หมิงตีหน้ายักษ์ตะคอกถามทันที “ฮึ่ม...ไปทำอะไรมา”
เหม่ยลี่เอนตัวลงกับเบาะรถยกนิ้วชู่ว์ไม่ให้เสียงดัง
“ไปทำอะไรมา” อี้หมิงไม่ฟังตะโกนถามด้วยความโมโห
เหม่ยลี่ต้องยกมืออุดปากไว้ “เบาๆ หน่อย อย่าให้เพื่อนร่วมงานของฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่”
อี้หมิงฮึดฮัด “เป็นขโมยหรือไง”
เหม่ยลี่ยังคงเอนหลบอยู่ท่าเดิมยิ้มแหะๆ คว้าถุงใส่เสื้อผ้าและของใช้ที่หมอหนุ่มเอามาให้
“เอาของพวกนี้มาให้ฉันเหรอ”
อี้หมิงยังอยู่ในอินเนอร์โมโห “ฉันถามเธออยู่นะตอบเรื่องเมื่อคืนมา ไปที่ไหนกับใครไปทำอะไร เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างละเอียด”
เหม่ยลี่เล่าเรื่องราวหน้าจ๋อยๆ “ฉันก็อยากจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดนะ แต่ฉันจำไม่ได้เลยจำได้แค่ว่าฉันเมา จากนั้นฉันก็...เดินออกจากโรงแรมมาขึ้นรถคันหนึ่ง และให้เงินโชเฟอร์ร้อยเหรียญ”
อี้หมิงรู้ทันที “ดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ”
“เมื่อเช้าตอนฉันตื่นขึ้นมา” เหม่ยลี่หัวเราะร่าท่าทีขวยเขินเมื่อนึกขึ้นมา “ฉันกลับพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงของเซี่ยวเลี่ยง”
อี้หมิงตาโตเป็นไข่ห่าน หันมาตะโกนถามย้ำ “บนเตียงเหรอ”
เหม่ยลี่ยกนิ้วอุดหูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลับตาทำท่าฟินแล้วฟินอีกเล่าต่อ “นายรู้ใช่มั้ย ฉันเข้าใกล้ความฝันอีกก้าวแล้ว ต้องขอโทษจริงๆ คิดไม่ถึงเลยแค่โอกาสเพียงคืนเดียว ก็มีความคืบหน้า ได้เร็วขนาดนี้”
“แค่คืนเดียว พวกเธอคืบหน้าขนาดนี้เลยเหรอ” อี้หมิงมองตาค้าง ก่อนจะยกมือปิดหน้าไม่อยากคิด
“เฮ้อ...แต่ว่า หลังจากฉันตื่นขึ้นมา ฉันก้มลงดูแล้ว เสื้อผ้ายังอยู่ครบ เครื่องสำอาง ก็ยังเหมือนเดิม เซี่ยวเลี่ยงก็ไม่อยู่บ้าน ฉันก็เลยใจหายวาบขึ้นมาทันที”
อี้หมิงหูผึ่งใจ ชื้นขึ้นมาหน่อย พ่นลมออกปากอย่างโล่งใจ “ดีแล้วๆ”
“แต่ฉันไปอยู่บ้านเซี่ยวเลี่ยงได้ยังไง ฉันไม่รู้เลยนะว่าบ้านเขาอยู่นี่” เหม่ยลี่ยังคาใจไม่หาย
อี้หมิงโวยวายขึ้นมาอีก พาลพาโลโมโหเซี่ยวเลี่ยงไปด้วย “ไร้สาระจริงๆ ไอ้หมอนั่นมอมเหล้าเธอแล้วพากลับบ้าน เธอแต่งตัวแบบนี้ คิดว่าเขาไม่ทำอะไรหรือไง ต้องติดจีพีเอสในโทรศัพท์เธอแล้ว ถ้าคืนไหนเธอไม่กลับบ้านหรือเกิดอะไรขึ้น ฉันจะได้ไปช่วยเธอทันไง”
เหม่ยลี่หัวเราะคิกคักที่เห็นท่าทางจริงจังน้ำเสียงซีเรียสของอี้หมิง
“จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดอย่างเมื่อคืนนี้อีก”
“ถ้าเกิดความผิดพลาดอย่างเมื่อคืนนี้อีก ก็ดีสิ” เหม่ยลี่หัวเราะคิกคัก
อี้หมิงตวาดลั่น “พูดอะไร สงวนตัวหน่อย บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้สงวนตัว เอามือถือมา”
“ทำไมต้องดุด้วยเนี่ย เอาให้ก็ได้” เหม่ยลี่งอน ฟาดโทรศัพท์มือถือใส่มืออี้หมิง “มันน่าโมโหตรงไหนกันน่ะ”
ขณะที่อี้หมิงกำลังติดตั้งจีพีเอส เหม่ยลี่ก็ยื่นหน้ามาถามอีก “ฉันถามอะไรหน่อยสิ นายว่า...ทำไมเขาต้องพาฉันไปบ้านเขาด้วย หรือเขาต้องการจะพิสูจน์ว่า...เขารักฉันแล้ว”
อี้หมิงหงุดหงิดผลักหัวกลับไปที่เบาะ “ตื่นได้แล้ว ฝันกลางวันอยู่ได้ ตื่นได้แล้ว”
จู่ๆ เหม่ยลี่ก็ตะโกนขึ้น “โอ๊ย ลงจากรถเร็วเข้า”
อี้หมิงตะโกนถาม “ทำไม”
เหม่ยลี่ตะโกนบอก “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
อี้หมิงมองไปนอกรถแกล้งอำ “เพื่อนร่วมงานเธอกำลังดูเธออยู่เสียงดังอีกสิ หือ”
เหม่ยลี่ลู่ตัวลงกับเบาะรถทันที ปิดปากตัวเองหมับ “เร็วๆ รีบลงไปเลยนะลงไปเลย”
“ไปไหนเล่านี่มันรถฉันนะ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป ให้อยู่ด้วยมั้ย”
เหม่ยลี่หยิบเสื้อผ้ามาปิดหน้าตะโกนด่า “ไอ้บ้ากาม”
“บ้ากามเหรอ” อี้หมิงหัวเราะชอบอกชอบใจ เปิดประตูลงรถไป

ทางด้านเซี่ยวเลี่ยงนั่งสัปหงกจะหลับมิหลับแหล่อยู่ที่โซฟาในห้องทำงาน ฟังฉีหยูรายงานยอดขายประจำวัน
“คุณเซี่ยวครับ ยอดขายสองสามวันนี้ออกมาแล้ว ครับซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ประสบความสำเร็จกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ความมุ่งมั่นยี่สิบเปอร์เซ็นที่คุณตั้งเป้าเอาไว้ คงไม่ใช่เรื่องยากแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงหลับตาพยักหน้าหงึกหงัก “อื้อ”
ฉีหยูแปลกใจ “คุณเซี่ยวครับ คุณไม่พอใจ กับผลลัพธ์เหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงปรือตามองมือขวา “เปล่า เมื่อคืนนอนไม่พอรายงานต่อไป”
“อ้อ ในด้านอื่นๆ อื้อ ในด้านอื่นๆ ทุกอย่างปกติดี” ฉีหยูกางแฟ้มดูรายงานแต่เห็นไม่มีอะไรพิเศษ จึงถามอีกเรื่อง “จริงสิคุณเซี่ยวผมมีอีกเรื่องจะถามการออกแบบนิทรรศการที่จัดขึ้นในเกาหลีปีนี้ คุณจะไปมั้ยครับ”
เซี่ยวเลี่ยงบอกทั้งที่ยังหลับตา “ไปแน่นอน”
“แต่ถ้าท่านประธานรู้ล่ะก็” ฉีหยูกังวลพยายามทักท้วงให้ทบทวน เซี่ยวเลี่ยงลืมตามอง “ได้เลยครับ”
ฉีหยูโค้งให้แล้วเดินออกไปเซี่ยวเลี่ยงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน” ฉีหยูเบรกเอี๊ยดหันมาหา “ไปบอกเกาเหวินว่าต้องไปเกาหลีกับฉัน”
“ครับ”
เซี่ยวเลี่ยงโบกมือให้ไป “ไปได้แล้ว”
ทันทีที่ประตูปิดลง ซีอีโอหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาในห้องกะจะงีบสักพัก

แต่แล้วก็ดันมีนางมารมาผจญจนได้
นางมารเหม่ยลี่นั่นเองอยู่ในชุดใหม่เรียบร้อย หอบแฟ้มถือแก้วกาแฟยื่นหน้าลงมาเรียกใกล้ๆหน้า
“คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงลืมตามามองแล้วต้องตกใจสุดขีด ดีดตัวขึ้น ถามเสียงดังลั่น “ทำอะไร”
เหม่ยลี่ผงะถอย “นี่ วันนี้คุณตื่นเช้าจังทำไมไม่ปลุกฉันล่ะคะ ถ้าฉันตื่นเร็วกว่านี้จะได้ทำอาหารเช้าให้คุณด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงสุดทนไหวลุกพรวดขึ้น “อาหารเช้า อาหารเช้า นี่คุณยังจะมาแกล้งโง่กับผมอีกเหรอ”
“คุณพาฉันไปบ้านคุณและให้ฉันนอนบนเตียงไม่ใช่เหรอ”
“ผมเนี่ยนะ พาคุณกลับบ้าน พูดได้ดีจริงๆ เฮอะ” เซี่ยวเลี่ยงอยากจะบ้าตาย ถอดสูท รั้งเนกไทออก หันมาชี้หน้าด่าว่า
“คุณนั่นแหละ ที่ตามผมไปที่บ้านเมาเหล้าไล่ก็ไม่ไป สุดท้ายยังตามผมไปที่เตียงอีก ผมโตขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไม่สงวนตัวแบบคุณเลย”
เหม่ยลี่อับอายขายขี้หน้ามาก ยกแฟ้มขึ้นปิดหน้าตั้งแต่ฟังคำแรกแล้ว ก่อนจะมองสำรวจเรือนร่างบึกบึนที่อาละวาดอยู่ตรงหน้า ถามตรงๆ ว่า
“เมื่อคืน ฉันไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับคุณใช่มั้ย”
“เกินเลย เกินเลยจริงๆ ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิด ออกไป”
เซี่ยวเลี่ยงหันหลังหนี แต่สาวจอมจุ้นขี้เมายังยืนนิ่ง จนต้องตะเพิดอีก
“ออกไปสิ”
เหม่ยลี่เดินคอตกออกไป แต่นึกขึ้นได้หยุดที่หน้าประตูเดินกลับมาหา เซี่ยวเลี่ยงหยิบกองหนังสือบนโต๊ะกลางยกขึ้นเตรียมฟาดใส่ ถ้ายังเข้าใกล้เขาอีก
เหม่ยลี่กรี๊ด “อ๊าย” รีบวางแฟ้มงานแผนกออกแบบ พร้อมกาแฟที่ซื้อมาฝาก ลง ยกนิ้วว่าโอเคให้เดินออกไปทันที
เซี่ยวเลี่ยงมองตามจนเห็นยัยจอมจุ้นพ้นห้องไปแล้วจึงวางหนังสือลง หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาทำท่าจะดื่ม แต่เหม็นขี้หน้าคนซื้อมาฝาก เลยวางลงตามเดิม

พ่นลมหายใจ เดินกลับไปทำงาน

กลับถึงบ้านค่ำวันนั้น เหม่ยลี่นั่งเอาหัวโขกกับหัวไหล่อี้หมิงอยู่ที่โซฟามุมรับแขก ร้องไห้ฟูมฟาย ตีโพยตีพายด้วยความอับอายขายขี้หน้าต่อสิ่งที่ทำไว้กับเซี่ยวเลี่ยง

“เหลยอี้หมิง ฉันไม่มีหน้าจะอยู่อีกแล้ว ให้ฉันไปตายเถอะนะขอร้องล่ะ”
“เฮ้ยๆๆๆ นี่ ให้ไหล่ฉันพักหน่อยได้มั้ย ถ้าเธอชนไหล่ของฉันจนเสียหมดล่ะจะทำไงเธอจะเลี้ยงฉันเหรอ”
“ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะเอาพลังที่ไหนไปเลี้ยงนายล่ะ ฮือๆๆ”
“หยุด พอได้แล้ว”
อี้หมิงจับดันหัวไว้ เหม่ยลี่เซ็งชีวิตขายขี้หน้าไม่หาย
“โธ่เอ๊ย”
“ถ้าพูดตามตรง การกระทำของเธอก็ไม่เลวนะ ต่อไปฉันจะได้ไม่ต้องกังวล” อี้หมิงยิ้มกระหยิ่ม
“เอาจริงๆ เลยนะ มันไม่ง่ายเลย ที่ฉันจะได้เป็นเทพธิดาสำหรับเซี่ยวเลี่ยง มันจะถูกทำลายแค่เพียงชั่ววูบแบบนี้ไม่ได้นะ” เจ้าหล่อนว่าไปโน่น
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่อย่างน้อยน่าจะถูกทำลายไปแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็พยายามใหม่ เขาอาจจะคิดว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา”
เหม่ยลี่เม้งฟาดโครมเข้าที่ท่อนขา “โอ๊ย”
“พยายามใหม่ยังไง เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินจะไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว คราวนี้ แม้แต่หน้าของเซี่ยวเลี่ยงฉันก็จะไม่ได้เจออีกนานเลย”
อี้หมิงจึ๊ปากอย่างขัดใจ “เธออย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ย เธออารมณ์ไม่ดีเธอควรออกไปสูดอากาศ จริงมั้ยบางที ออกไปเที่ยวแป๊บนึงพอกลับมาแล้วอาจจะลืมเซี่ยวเลี่ยงก็ได้นะ ฉันว่าดีออก”
“พวกเขาไปซือมี่ต๋ากัน แต่เราไม่มีเงินไปหรอก” เหม่ยลี่หน้าเศร้า
อี้หมิงงง “ซือ...ซือมี่ต๋า อ้อ หมายถึงโคเรีย เกาหลีเหรอ เราไม่มีเงินก็เที่ยวที่ๆ ไม่ต้องใช้เงินสิ จริงมั้ย ประเทศจีนของเรามีแม่น้ำภูเขาไปไหนก็ได้ ฉันจะพาเธอไปที่ๆ นึง”
“ที่ไหน”
“ชานเมืองเซี่ยงไฮ้ โจว จวง”
“ได้เลย ไป...ก็...ไป” เหม่ยลี่ขยับหนีไปนอนเท้าแขนดูละครโทรทัศน์ไป
อี้หมิงเหล่มอง “นี่ เธอไม่พอใจเหรอเนี่ย”
“ไม่พอใจอะไร ฉันดูหนังดราม่าอยู่” เหม่ยลี่ชี้ไปที่จอทีวี
อี้หมิงหันไปดูแล้วบ่นงึมงำ “เนี่ยนะดราม่า ดราม่าที่ไหน นี่มันหนังตลกชัดๆ”
เหม่ยลี่แถ “อารมณ์คนไม่เหมือนกัน สิ่งที่ชอบก็ไม่เหมือนกัน”
อี้หมิงหมั่นไส้หยิบรองเท้าใส่ในบ้านมาสวมเท้าให้ พูดล้อ “เทพธิดา”
เหม่ยลี่หงุดหงิด “โธ่เอ๊ย ฉันคือเทพธิดา อย่ามารบกวนฉัน ยังไงเซี่ยวเลี่ยงก็ต้องไปเกาหลี”
“เธอนี่นะ” อี้หมิงส่ายหัวหยิบรองเท้ามาทำเป็นโทรศัพท์มือถือเดินคุยสายออกไป
“ฮัลโหล ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ
เหม่ยลี่มองตาม หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ในความบ้าของหมอหนุ่ม

ซือหยวนเพิ่งกลับจากทำงาน สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมใบที่คนรักให้เดินเข้ามาหน้าอพาร์ตเม้นต์ เซียนหนานลงรออยู่ รีบร้อนออกไปหา
“ที่รัก”
ซือหยวนแลกใจ “ลงมาทำไม”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ผมมารับคุณไง ผมหากระเป๋าที่ห้องไม่เจอ คิดไม่ถึงว่ามันจะอยู่กับคุณ”
“ไปเถอะ ขึ้นบ้านกัน” ซือหยวนยิ้มไม่คิดอะไรเดินนำไป
เซียนหนานดังแขนข้างที่สะพายกระเป๋าไว้ “เอ่อๆๆ ที่รัก”
ซือหยวนมองคนรักงงๆ
เซียนหนานชี้ที่กระเป๋า “คือว่า ผมว่ามันธรรมดามากเลยมือสองด้วย คุณทิ้งมันไปเถอะ เดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่”
ซือหยวนตกใจเหลียวซ้ายแลขวากลัวคนมาได้ยิน “หา เราไม่บอกใครจะรู้ว่าเป็นมือสองล่ะ ฉันสะพายมันแล้วเหมือนของใหม่เลย ฉันชอบ”
พร้อมกับว่าซือหยวนยกกระเป๋ามามองอย่างเป็นปลื้มชื่นชม เซียนหนานพยายามมคิดหาคำพูดจะเอากระเป๋าไปคืนลูกค้าขาวีน
“คือ คืออย่างงี้นะ ผมบอก เพื่อนร่วมงานที่ร้านกาแฟว่า วันเกิดคุณผมจะซื้อแบรนด์เนมให้ พวกเขาไม่เชื่อ หาว่าผมโม้ ผมจะให้พวกเขาดู แค่วันเดียว แล้วผมจะคืนให้”
“ฉันว่าแล้ว ทำไมคุณหากระเป๋าของฉันทั้งวัน เพื่อเอาไปอวดคนอื่นงั้นเหรอ ทำไมคุณโง่อย่างงี้พวกเขารู้จักแบรนด์เนมด้วยเหรอ แย่งไปแย่งมาถ้าขาดจะทำยังไง ฉันเสียดายนะ”
ซือหยวนยกกระเป๋าออกจากมาแขนขึ้นมามองอย่างหวงแหน
เซียนหนานสบโอกาสคว้าหมับ แย่งไปถือไว้กับตัว “นี่ ยืมแค่วันเดียวธุระด่วนจริงๆ”
ซือหยวนไม่ยอมแย่งกลับมา ดุแฟนหนุ่ม “คุณอย่าดึงแรงนักสิ ระวังหน่อยได้มั้ย”
“ผมมีธุระด่วนจริงๆ” เซียนหนานฉกคืนมาเผลอหลุดปากไป
ซือหยวนโกรธดึงกระเป๋าคืนไป ขึ้นเสียงใส่ “คุณมีธุระด่วนอะไร”
เซียนหนานหงุดหงิด “เฮ้ย เดี๋ยวผมค่อยบอกนะ สรุปคือเอากระเป๋านี่ให้ผมเดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่”
ซือหยวนโมโห “จูเซียนหนาน วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่ คุณฝึกงานตั้งแต่เรียนมหา’ลัยจนถึงตอนนี้ คุณเคยซื้อของขวัญให้ฉันซักครั้งมั้ย คุณเห็นฉันเป็นแฟนหรือเปล่าเนี่ย”
เซียนหนานมองซ้ายแลขวากลัวคนมาเห็น รีบตัดบท “กลับบ้านค่อยคุยกัน”
“พูดตรงนี้ให้รู้เรื่องไปเลย”
“เอากระเป๋ามาให้ผม เอามา” เซียนหนานดึงกระเป๋าคืน
ซือหยวนแย่งคืนคว้าสายสะพายดึงสุดแรง “เอาคืนมานะ”
เซียนหนานตกใจหน้าเสียเมื่อเห็นสายกระเป๋าขาด พลั้งปากโวยวาย
“ดูสิ ทำขาดแล้วผมจะคืนเขายังไง”
ซือหยวนหูผึ่ง เงยหน้าขึ้นมามอง “อะไรนะ คืน...คืนให้ใคร คุณซื้อให้ฉันไม่ใช่เหรอ คุณเอากระเป๋ามาจากไหน ไปยืมมาเหรอ”
เซียนหนานเบาเสียงลง “ไม่ใช่”
ซือหยวนคาดคั้น “พูดมา”
เซียนหนานโพล่งขึ้น “ผมเก็บมันได้ เก็บได้ที่ร้านกาแฟ ลูกค้ากลับมาแล้วบอกว่า พรุ่งนี้ถ้าไม่คืนจะแจ้งความ”
ซือหยวนอึ้ง ตะลึงตะไลตั้งแต่ได้ฟังคำแรกแล้ว จ้องหน้าคนรักเขม็ง “นี่คุณขโมยกระเป๋าใบนี้มาใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย เรียกว่าขโมยได้ยังไง ผมเก็บมา ผมอยากมีของขวัญให้คุณ”
“มันแตกต่างกับขโมยตรงไหน คุณเอากระเป๋าของคนอื่นมาให้ฉัน มันหมายความว่าอะไรรู้มั้ย”
“ผมทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบก็แค่นั้น ใช่ผมผิด ผมผิดไปแล้วโอเคมั้ย”
“ฉันเอากระเป๋าใบนี้อวดคนอื่นไปทั่วเลยคุณรู้มั้ย ฉันบอกคนอื่นว่านี่คือของขวัญที่ดีที่สุดของฉัน ฉันมันน่าสมเพชจริงๆ ของขวัญที่แฟนฉันให้ฉัน เป็นของที่เขาไปขโมยมา”
เซียนหนานหน้าเสีย “ผมขอโทษผมผิดไปแล้ว”
“ตั้งแต่คบกับคุณมา ฉันไม่เคยรู้สึกรังเกียจคุณเลยซักครั้ง คุณไม่มีความมุ่งมั่นฉันยังพอยอมรับได้ขอเพียงแค่คุณจริงใจกับฉัน ฉันคิดว่ามีแค่คุณคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเชื่อคุณไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการให้คุณกลายเป็นคนแบบนี้”
เซียนหนานครวญครางจับตัวปลอบ “ที่รัก”
“อย่ามาแตะต้องฉัน” ซือหยวนสะบัดออกสุดแรงแล้วเดินหนีขึ้นห้องไป

เซียนหนานได้แต่มองตามตาละห้อย ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าแบรนด์เนมที่วางอยู่กับพื้นอย่างไร้ค่า

วันต่อมาเซียนหนานยืนก้มหน้าเป็นทุกข์เรื่องที่ทะเลาะกับซือหยวนอยู่ในร้าน ลูกค้าหญิงขาวีนสามโค้ทสีน้ำตาลตัวเดิม เดินกร่างเข้ามาในร้าน

“เจ้านายพวกคุณบอกว่าเจอกระเป๋าฉันแล้ว เขาอยู่ไหน”
เซียนหนานยิ้มทัก หันไปหยิบกระเป๋าในเคาน์เตอร์มาให้ “คุณมาแล้วเหรอ นี่กระเป๋าคุณ ร้านของเราเก็บไว้ให้ นี่ครับ”
“นายอีกแล้วเหรอ” ลูกค้ายิ้มหยัน
เซียนหนานโค้งขอโทษ “ขอโทษด้วยครับ”
ลูกค้าขาวีนหัวเราะเยาะ “พูดน่าฟังดีนี่ คิดจะขโมยกระเป๋าของฉัน พอได้ยินว่าฉันจะแจ้งความก็เลยกลัวล่ะสิ ครั้งก่อนฉันเห็นนายก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลักเล็กขโมยน้อยแบบนี้”
ด่าเสร็จลูกค้าจอมเหวี่ยงหยิบกระเป๋าออกมาดูแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นสายสะพายกระเป๋าขาด
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น มันขาดได้ยังไง”
เซียนหนานทำเป็นไม่รู้เรื่องพยายามจะช่วยดู “เอ่อ เหรอครับ ผมดูหน่อย”
“นายทำแบบนี้ได้ยังไง ขโมยกระเป๋าของฉันแล้วไม่ยอมรับยังจะทำขาดอีก นายพูดซิทำยังไง”
เซียนหนานสุดทนโวยกลับ “คุณลืมกระเป๋าใบนี้ไว้ ผมก็เลยเก็บไว้ให้ ผมคืนให้แล้วจะเรียกว่าขโมยได้ไง มันขาดได้ยังไงผมก็ไม่รู้”
สองคนทะเลาะกัน จนลูกค้าในร้านเริ่มหันมามอง
“อยู่ต่อหน้าคนมากมาย ยังจะกล้าแถอีก นี่ของแบรนด์เนมอิมพอร์ตเชียวนะยะ นายทำขาดก็ต้องชดใช้ให้ฉันสิ”
ผู้จัดการร้านได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงออกมาดู “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะหวัดดีค่ะ ได้คืนแล้วเหรอ”
จอมวีนหันมาฟ้องผู้จัดการ “อื้อ ได้คืนแล้วค่ะ ดูสิกระเป๋าฉันขาดหมดแล้ว คุณต้องให้เขาชดใช้ให้ฉัน ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
เซียนหนานตกใจรีบช่วยผู้จัดการดึงมือรั้งไว้ “เอ๊ะๆ”
ผู้จัดการพยายามประนีประนอม “เอ่อ...อย่านะคะ เอ่อ เอาอย่างงี้ดีมั้ย เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ร้านของฉันเราจะจัดการให้”
เซียนหนานเห็นด้วย “ใช่ครับ”
“เซียนหนาน ขอโทษลูกค้าเร็ว”
เซียนหนานโค้งหัว “ขอโทษครับๆ”
ผู้จัดการบอกอีกว่า “เอาเงินคืนเขา”
“หา” เซียนหนานตกใจ “เอ่อ ตอนนี้ผมไม่มีเงิน”
“เฮอะๆๆ อ๋อ ว่าแล้วทำไมไม่ยอมรับซักที ที่แท้ก็เพื่อเงิน นี่” ลูกค้าหัวเราะหยัน แล้วหันไปโพนทะนาเรียกลูกค้าโต๊ะอื่นๆ “มาดูเร็ว ที่นี่นอกจากจะมีขโมยแล้วยังมีคนไร้ยางอายด้วย”
สองคนช่วยห้ามแต่ดูจะไม่เป็นผล ผู้จัดการสุดทน “พอแล้วเลิกโวยวายเถอะ ธุรกิจเราจะเสียหาย”
“ธุรกิจเสียหายเหรอ ถ้าคุณไม่อธิบายกับฉัน ฉันจะให้ทุกคนที่นี่มาตัดสิน” ลูกค้าไม่ยอมอยู่ดี โวยลั่นร้านให้โต๊ะอื่นเห็น
ซือหยวนเดินเข้ามาถึงกับชะงัก หยุดยืนดูเหตุการณ์ที่หน้าประตู ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“เซียนหนาน พูดอะไรหน่อยสิ เดี๋ยวลูกค้าก็หายหมดหรอก” ผู้จัดการเครียดจัด
เซียนหนานโพล่งออกไปว่า “ใช่ ผมทำกระเป๋าคุณขาด”
หญิงชุดน้ำตาลหัวเราะเยาะ
“แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริงๆ ให้เวลาผมหน่อยได้มั้ย” เซียนหนานขอร้องดีๆ
“ทำไมฉันต้องให้เวลานาย ทำของเสียหายก็ต้องชดใช้ด้วยเงิน นายไม่เพียงต้องชดใช้เงินฉันจะให้เขา ไล่นายออกด้วย”
“ผมไปยืมมาชดใช้ให้คุณก็ได้ อย่าไล่ผมออกเลย หางานไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ถ้าคนที่บ้านรู้ผมจะอธิบายยังไง”
“นั่นมันเรื่องของนายฉันไม่สน”
ซือหยวนสุดทนฟังไหว เดินพรวดเข้ามาที่หน้าเคาน์เตอร์เอ่ยขึ้นขณะเดินเบียดเซียนหนานไปประจันหน้าลูกค้าขาวีน
“เท่าไหร่ ฉันจ่ายให้”
“เธอเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยเนี่ย”
“ฉันเป็นแฟนเขา คุณต้องการเงินไม่ใช่เหรอ ฉันจะชดใช้ให้คุณเอง อีกอย่าง มีสิทธิ์อะไรไล่เขาออก คุณเป็นเจ้าของร้านนี้เหรอ ถึงจะเป็นเจ้าของ ก็ต้องเคารพกฎหมายแรงงาน” ซือหยวนบอกอย่างคนรู้กฎหมาย
ระหว่างนี้ หลินจื่อเหลียง เดินมาหน้าร้านตั้งใจมาหากาแฟดื่ม หยุดยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ที่ข้างประตู

เซียนหนานกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่รีบห้าม “ที่รัก หยุดพูดเถอะพอได้แล้ว”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็แค่กระเป๋าใบเดียว ของชุ่ยๆ แบบนี้ เราไม่พิศวาสหรอก บอกมาต้องจ่ายเท่าไหร่”
ลูกค้าชุดน้ำตาลปรี๊ดยิ้มเยาะ “เฮอะ เธอไม่รู้จักแบรนด์เนมสินะ กระเป๋าใบนี้แพงมาก อย่ามาพูดว่าไม่มีปัญญาคืนล่ะ”
จื่อเหลียงนิ่งฟัง พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
“นี่เป็นสินค้าตกรุ่นเมื่อปีที่แล้ว” ข้อมูลของซือหยวนเป๊ะเวอร์ ลูกค้าจอมเหวี่ยงหันมามองอึ้งๆ เถียงไม่ออก
“คิดจะหลอกพวกเราเหรอ ตลาดช็อปปิ้งในประเทศอย่างมากก็หลักสี่ลดลงแล้วด้วย ประเมินร้อยละห้าเป็นของใหม่ของมือสอง”
พร้อมกับว่า ซือหยวนควักเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์ทั้งปึกยื่นให้ตรงหน้า
“เธอ...” ลูกค้าอึ้งเถียงไม่ออก
“แค่นี้พอ”
ซือหยวนฟาดเงินลงบนเคาน์เตอร์ข้างผู้หญิงคนนั้นดังเปรี้ยง แล้วลากแขนเซียนหนานที่อึกอักเอ้ออ้าเดินตามแรงฉุดออกไป
หญิงชุดน้ำตาลโกรธจัด เถียงไม่ออกได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดตามมา “เธอ...”
มีเสียงผู้จัดการขอโทษอยากให้เรื่องจบๆ ไป “ขอโทษค่ะ คุณอย่าโกรธเลย”

ซือหยวนลากเซียนหนานออกประตูไป โดยไม่ทันมองว่าหลินจื่อเหลียงหลบอยู่ตรงประตู และเหลียวมองตามเธอไปสีหน้าเรียบเฉย
ซือหยวนสลัดคนรักออก เดินหนีไปยืนสงบสติอารมณ์ และสลัดความอับอายทิ้ง
เซียนหนานเดินตามมายืนข้างๆ
“ซือหยวน ขอโทษนะ ที่ทำให้คุณอับอาย”
ซือหยวนหันมามองหน้า “รู้จักอับอายด้วยเหรอ แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ ฉันไม่เคยอับอายขนาดนี้เลย ทั้งหมดเป็นเพราะคุณคนเดียว”
“ผมรู้ ถ้าผมไม่ทำเรื่องอับอาย ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานคุณ คุณก็คงยอมรับผม ใช่ ผมรู้คุณหมายความว่าไง คุณรังเกียจผม ที่ผมพึ่งคุณ ซือหยวน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเก่งเหมือนคุณนี่” เซียนหนานระบดระบาย
ซือหยวนอึ้ง แล้วยิ่งโกรธ “คุณหมายความว่ายังไง เป็นเพราะฉันเอาแต่ใจ ฉันอวดเก่ง เห็นฉันเป็นแบบนี้เหรอ”
เซียนหนานอัดอั้นเหลือแสน ระเบิดอารมณ์ใส่ “สิ่งเหล่านั้นคุณเพิ่มเข้าไปเอง อย่างกระเป๋าแบรนด์เนมถ้าคุณไม่ชอบผมก็ไม่ทำ ถ้าความต้องการของคุณน้อยกว่านี้ เราคงไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้หรอก”
ซือหยวนโกรธจัด “นี่คุณโทษฉันเหรอ ใช่ ฉันไม่ควรแสวงหาสิ่งที่ไม่ใช่ของฉัน ไม่ควรสร้างความกดดันให้คุณ ไม่ควรขออะไรจากคุณ นับจากนี้ไป คิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ฉันไม่ขอให้คุณทำอะไรอีกแล้ว”
ซือหยวนเดินหุนหันออกไปเลย
“เอ่อ...ซือหยวน”
เซียนหนานร้องเรียกไว้แต่ไม่เป็นผล ยืนมองตามคนรักไปสีหน้าเครียด

เกาเหวินเงยหน้าขึ้นบอกออกไปว่า “ฉันไม่ไป”
เซี่ยวเลี่ยงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรวจดูเอกสาร อธิบายเหตุผล โดยไม่เงยหน้ามอง
“เราเพิ่งประกาศข่าวเป็นแฟนกัน ถ้าไปเที่ยว เกาหลีด้วยกัน จะเพิ่มความฮือฮา”
เกาเหวินสวนคำไปว่า “ฉันเพิ่งถ่ายหนังเสร็จ อยากพักผ่อน”
เซี่ยวเลี่ยงก้มหน้าตรวจงานไป “เมื่อไปถึง ก็เป็นอิสระไม่มีคนก้าวก่าย”
“ฉันเพิ่งเล่นหนังเสร็จ ไม่อยากเล่นละครกับคุณอีก”
เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้าขึ้นมามอง ลุกเดินไปหาเกาเหวินที่นั่งอยู่บนโซฟายาวตรงมุมรับแขกในห้อง ยืนพูดโน้มน้าว
“นิทรรศการอัญมณีนานาชาติ จะเพิ่มระดับทางสังคมของคุณ มีโอกาสติดต่อกับนักลงทุนต่างประเทศด้วย”
เกาเหวินจึ๊ปากอย่างขัดใจ “แต่ฉันให้ทีมงานทั้งหมดลางานแล้ว ผู้ช่วยยังไม่มีเลย”
“ผมหาผู้ช่วยให้คุณได้”
“คุณเนี่ยนะ เฮอะ ลูกน้องคุณแต่ละคนคล้ายกันหมด แต่งชุดสูทเหมือนกันไม่ก็ใส่แว่นดำ คิดว่าฉันจะทนได้เหรอ”
เซี่ยวเลียงลงนั่งที่โซฟาเดี่ยว “คุณเลือกใครก็ได้ เลือกมาหนึ่งคน”
เกาเหวินนิ่งนึกก่อนจะบอกขึ้นว่า “มีคนหนึ่งที่ฉันพอใจ”
เซี่ยวเลี่ยงมองจ้อง “ใคร”

เกาเหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวเราะทีละหึๆๆๆ ไม่ยอมตอบ เซี่ยวเลี่ยงกลืนน้ำลายลงคอ สังหรณ์ใจโดยประหลาด

ที่แผนกออกแบบ คนอื่นๆ นั่งทำงานกันอยู่ เหม่ยลี่นั่งเท้าแขนมองจ้องจอคอมบนโต๊ะทำงาน รูปสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกสำหรับคู่รักของเกาหลีขยายขึ้นจนเต็มจอ สาวจอมจุ้นบ่นพึมพำงึมงำอยู่คนเดียวอย่างขัดใจ

“ชายหญิงสองคน ไปเที่ยวเกาหลีด้วยกัน”
เหม่ยลี่หลับตาลง ถอนใจเฮือกๆ
“มี่โตะ” เสียงฉีหยูเรียกดังขึ้น แต่เหม่ยลี่ยังไม่ได้ยิน สาวๆ ในแผนกหันมามอง
ฉีหยูเดินมาหา เคาะโต๊ะเรียก “มี่โตะ”
เหม่ยลี่สะดุ้ง “หา ผู้ช่วยฉีมีอะไรคะ”
“คุณเซี่ยวออกคำสั่งให้คุณไปเกาหลีกับเขา”
สาวๆ ในแผนกหันมามอง เหม่ยลี่ที่ยื่นหน้าไปจ้องฉีหยู ถามอย่างไม่เชื่อหู
“อะไรนะ”
“เขาให้คุณเดินทางไปเกาหลีกับเขา”
“คุณ คุณเซี่ยวให้ฉันเดินทางไปเกาหลีกับเขา อย่างงั้นเหรอคะ”
“บอกรองประธานหลินแล้ว อ้อ มอบหมายงานให้เรียบร้อย” ฉีหยูยิ้มให้แล้วเดินออกไปเลย
เหม่ยลี่หยิบตุ๊กตาคิตตี้มาฟาดหน้าฝากตัวเองสองสามทีนึกว่าฝันอยู่ “ตื่นสิตื่นๆๆ ฝันไปหรือเปล่าเนี่ย”
สองสาวที่นั่งโต๊ะติดกับเหม่ยลี่สุมหัวซุบซิบเม้าท์มอยทันที
“ทำไมคุณเซี่ยวต้องพาเขาไปด้วย”
“เขามีความสัมพันธ์อะไรกันไต่เร็วเหลือเกินนะ”
เหม่ยลี่ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “เรื่องจริงเหรอเนี่ย”
ยิวยิวเดินมาหา “มี่โตะ รองประธานหลินเรียก”
“ค่ะ” เหม่ยลี่ยิ้มกับคิตตี้ในมือ “เย้”
สองสาวมองหมั่นไส้

จื่อเหลียงส่งเสียงอนุญาตออกมา “เข้ามา”
เหม่ยลี่เปิดประตูเดินมายืนตรงหน้าโต๊ะทำงานท่านรอง “เรียกฉันเหรอคะ”
“นั่งสิ เรื่องที่คุณเซี่ยวพาคุณไปต่างประเทศ บอกคุณหรือยัง”
“อื้อ บอกแล้วค่ะ” เหม่ยลี่ลงนั่ง
จื่อเหลียงหยั่งเชิง “เอ๊ะ มีผู้สมัครตั้งเยอะ ทำไมต้องเลือกให้คุณไป”
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ”
“อ้อ ได้ไปก็ดีเหมือนกัน จะได้ฝึกเอาไว้ มี่โตะ ช่วยคุณเซี่ยวทำงานดีๆ ล่ะ”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำ “อื้อ ไม่ต้องห่วง วางใจได้ค่ะ”
“คุณช่วยผมกำกับดูแลโปรแกรมของคุณเซี่ยวหน่อย มีเรื่องสำคัญอะไร ต้องรายงานผม”
เหม่ยลี่แปลกใจ “ทำไมคะ”
จื่อเหลียงลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาอธิบายใกล้ “เขาเข้าร่วมการออกแบบนิทรรศการ เกี่ยวข้องกับการทำงานแผนกเรา ผมต้องรู้ความเคลื่อนไหวของเขา จริงสิ นี่คือเรื่องระหว่างลูกน้องกับเจ้านาย ไม่จำเป็นต้องให้คุณเซี่ยวรู้ เข้าใจที่ผมพูดมั้ย หา”
หลินจื่อเหลียงจับไหล่เธออย่างมักคุ้น เหม่ยลี่อึดอัดแต่ไม่กล้าพูดอะไร “แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้งคะ”
จื่อเหลียงยิ้ม “อย่าลืมสิ คุณมีความสำคัญกับงานนี้มาก ถ้างานนี้เสร็จสิ้นอย่างราบรื่น ผมไม่เอาเปรียบคุณแน่”
“แต่ว่าฉัน…”
จื่อเหลียงตัดบทหน้าเคร่ง “เอาล่ะ คุณออกไปก่อน”
“ค่ะ”
จื่อเหลียงเหลียวมองตาม ก่อนจะหันกลับมาอยู่ดับความคิดตัวเองแววตาเจ้าเล่ห์พิกล

เหลยอี้หมิงออกเวรตอนเย็นวันนั้น เขาแวะช็อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างโรงพยาบาล ซื้อข้าวของเตรียมไปเที่ยวโจวจวง สองต่อสองกับยัยอ้วน หอบเข้าบ้านมาพะรุงพะรังวางลงบนโต๊ะทานอาหารสีหน้าเบิกบาน
“อ้า ยัยอ้วน มาดูเร็ว ฉันซื้ออะไรมา มีมันฝรั่งทอดที่เธอชอบด้วยนะ มี ขนมช็อกโกแลต”
อี้หมิงเจอบางอย่าง หยิบเดินมาวางลงที่โต๊ะกลาง “เอ๊ะ มีนี่ แต๊นๆๆๆ ดูสิ แปรงรุ่นใหม่ล่าสุดต้องดูแลตัวเองบ้าง เอ้า เธอกล่องฉันกล่อง”
เหม่ยลี่พับเก็บเสื้อหนาวตัวสุดท้ายลงกระเป๋าเสร็จพอดีลุกขึ้นหันมายืนตรงหน้า “เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงหันมา “หือ”
“ฉันไปโจวจวงไม่ได้แล้ว”
อี้หมิงแค่งง “ทำไมล่ะ ตกลงกันแล้วนี่”
เหม่ยลี่เกลี่ยผมทัดหูบอกอย่างเขินอาย “เพราะว่า เซี่ยวเลี่ยงเขาบอกว่าจะพาฉันไปเกาหลีกับเขาน่ะสิ”
อี้หมิงพึมพำชื่อมารคอหอย “เซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่สวนตัดบทออกไป “เพราะฉะนั้น ฉันจะไปเที่ยวเกาหลีกับเขา”
อี้หมิงเหมือนปลาช่อนนาถูกค้อนทุบหัว พยายามเขี่ยไฟ “เดี๋ยวๆ เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวิน ไปฮันนีมูน เธอตามไปด้วยแบบนี้จะดีเหรอ”
ยัยอ้วนแก้ต่างแทนทันที “พวกเขาไม่ได้ไปฮันนีมูน เซี่ยวเลี่ยงไปเกาหลีเขาไปเพื่องานก็เลยพาเกาเหวินไปด้วย เกาเหวินก็เลยจะพาฉันไปด้วยให้ฉันไปเป็นผู้ช่วยเขา รู้สึกมั้ยว่าฉันเข้าใกล้ความฝันอีกก้าวแล้ว”
อี้หมิงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จับเหม่ยลี่ลงนั่งขยี้ต่อ “มา นั่งลง ฟังนะ ยัยอ้วน เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินไปเที่ยวใช่มั้ย เธอไปคืออะไร เป็นกขค. เหรอ ถ้าเขาสองคนใกล้ชิดกัน เธอก็ต้องเจ็บปวด อย่าทำให้ตัวเองเจ็บปวดเลยนะ”
“ไม่ตาม พวกเขาก็ใกล้ชิดกันอยู่ดี งั้นตามดีกว่า” เหม่ยลี่หนีไปโน่น
อี้หมิงยกดินฟ้าอากาศมาช่วย “เอ่อ...เกาหลีใกล้ขั้วโลกเหนือ หนาวกว่าเซี่ยงไฮ้ ถ้าเกิดเธอไปอยู่ที่นั่นแล้ว เธอคงทนหนาวไม่ได้หรอก”
เหม่ยลี่นึกตาม “จริงด้วย เหลยอี้หมิงนายรอบคอบดีจัง เอางี้ เอ่อ ฉันจะไปหาเสื้อผ้าหนาๆ ตัวสวยๆ เอาแค่ไม่กี่ตัว จริงสิ ยาแก้หวัดที่ยืมไป เอาคืนมา”
อี้หมิงเซ็งสุดขีด งัดไม้ตายมาใช้ “เดี๋ยวๆ ยัยอ้วน ทีแรกฉันกะจะเซอร์ไพรส์ แต่ตอนนี้ดันมากลายเป็นแบบนี้ไปแล้วฉันคงต้องใช้ไม้แข็งแล้วล่ะจะบอกให้ หมูตุ๋นของโจวจวงอร่อยมากนะ
เหม่ยลี่ไม่สน “นายลืมแล้วเหรอ ตอนนี้ฉันลดหุ่นอยู่ฉันกินหมูตุ๋นไม่ได้อีกแล้ว นายก็เหมือนกัน ดูพุงซิเนี่ยนายก็กินไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นนายจะเป็นเหมือนฉันเมื่อก่อน”
“ในที่สุดฉันก็ดูออก คนลืมเพื่อน” อี้หมิงโกรธจริงงอนจัง ลุกหนีไปเลย
เหม่ยลี่ไม่ง้อ ตะโกนตามไปโดยไม่แยแส “นายลืมเพื่อนมายี่สิบปี ฉันจะลืมเพื่อนแค่ครั้งนี้ไม่ได้หรือไง”

เซี่ยวเลี่ยงนั่งดริงค์บรั่นดีคิดอะไรเพลินๆ อยู่ในห้องพักคอนโด มีเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น
“มาแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงเปิดประตูออก ต้องแปลกใจที่เห็นเป็นบิดายืนอยู่ ต่างคนต่างอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
เจิ้นตงเดินแทรกเข้ามาในห้องพร้อมเอ่ยกับถามขึ้น “ได้ยินว่าแกจะไปเกาหลี”
“พ่อรู้แล้วเหรอ”
เจิ้นตงถอนใจ หยิบเหยือกเหล้ามาเทลงแก้ว “แกปิดบังเรื่องนี้กับฉัน ต้องการเอางาน มาบังหน้า ไปเยี่ยมแม่แกใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงปฏิเสธ “ผมไม่ได้คิดจะไปเจอแม่”
“ไม่ไปเจอเขา แล้วทำไมต้องกลับไปทุกปีล่ะ” เจิ้นตงไม่เชื่อ ลงนั่งจ้องหน้าลูกชายนิ่ง “แกรู้มั้ย แม่ของแก ขอหย่ากับฉันก่อน และเขา...ก็ทิ้งแก กลับไปเกาหลีคนเดียว”
เซี่ยวเลี่ยงลงนั่งมองตอบบิดาอย่างขัดใจ “ผมไม่ลืมหรอก ไม่มีวันลืม เหตุผลที่แม่ไปจากพ่อ”
เจิ้นตงยกเหล้าขึ้นดื่มบ่นระบายออกไป “เซี่ยวเลี่ยง ทำไมแกต้องเชื่อแต่แม่แก ทำไมไม่เชื่อฉัน ฉันเป็นพ่อแกนะ ตอนนั้นแกยังเด็กมากแกไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม่แกเข้าใจพ่อผิดอคติพ่อ ในตอนนั้น ฉันทำงานเลิกเที่ยงคืนทุกวัน ก็เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว ฉันจะมีอารมณ์ที่ไหนไปหาผู้หญิงอื่นล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงหัวเราะเยาะ “เข้าใจผิดเหรอ แม่จากไปไม่นาน พ่อก็แต่งงานกับเขาทันที ยังกล้าพูดว่าเขาไม่ใช่มือที่สามอีกเหรอ แม้ว่าพ่อจะเลิกกับแม่ก็ต้องเจ็บปวดอย่างน้อยเกือบปีคนที่ไปจากพ่อ คือภรรยาพ่อนะ”
“การหย่าร้างแม่ของแกเป็นคนเสนอเอง จะไม่มีวันกลับมาอีกแม่แกก็พูดเอง ฉันพาน้าหลินเข้าบ้านแกเคยรู้บ้างมั้ย ว่าฉันทำไปทั้งหมดเพราะอะไร ก็เพราะจะดูแลแกให้ดีไง หลายปีมานี้แกไม่เคยเข้าใจ ความหวังดีของฉันเลย นิสัยของแกเหมือนแม่แกไม่มีผิด ดื้อรั้นใจแคบเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง”
เซี่ยวเลี่ยงทอดถอนใจ “ใช่ ผมดื้อรั้นใจแคบ แต่พ่อ พ่อเป็นคนดี พ่อบังคับให้ผมชอบน้าหลิน ใช้คำพูดความหวังดีเป็นข้ออ้างเผด็จการของพ่อ”
เจิ้นตงขึ้นเสียง “แต่ฉันเป็นพ่อแกนะ ฉันมีสิทธิ์จะทำแบบนี้”
“แต่พ่อไม่มีสิทธิ์ ห้ามไม่ให้ผมไปเจอแม่ผู้ให้กำเนิดผม”
เจิ้นตงเหนื่อยใจ “เซี่ยวเลี่ยง แกพูดสิ หลายปีมานี้เรื่องโง่ๆ ที่แกทำ ยังน้อยไปเหรอ เพื่อเยี่ยฉีคนนั้นของแก แกทำเรื่องโง่ๆไปตั้งเท่าไหร่ แกลืมไปแล้วหรือไง”
เซี่ยวเลี่ยงประชด “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”
เจิ้นตงลุกขึ้น “แกทำให้ฉันผิดหวังมาก ไม่ว่ายังไง ฉันไม่อนุญาตให้แกไปเจอแม่ แกเป็นแฟนกับดาราคนนั้น ก็ทำให้ฉันผิดหวังมากแล้ว แกอย่าทำเรื่องที่ ทำให้ฉันเจ็บปวดไปมากกว่านี้เลย”
“ผมจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ผมไม่มีทางยกเลิกเด็ดขาด”
“ถ้าฉันขอใช้ฐานะเจ้าของบริษัทออกคำสั่ง ไม่ให้แกเดินทางไปเกาหลีล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงลุกยืนประจันหน้าบิดา “งั้นผมขอใช้ฐานะประธานบริษัท เรื่องที่แม้แต่พ่อผมยังห้ามไม่ได้ เจ้าของบริษัทยิ่งห้ามไม่ได้”
“งั้นแกอย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
เซี่ยวเจิ้นตงลุกเดินออกไปอย่างหัวเสีย ปิดประตูดังปัง

เซี่ยวเลี่ยงลงนั่งอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามาดื่มดับความกลัดกลุ้มในอุรา

ทั้งสี่คนเดินทางถึงเกาหลีแล้ว เซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวิน หลับคาเบาะตั้งแต่ขึ้นรถตู้ ฉีหยูนั่งหน้ากับคนขับซึ่งทางเกาหลีเตรียมไว้ให้ ส่วนเหม่ยลี่นั่งตอนหลังรถ ส่งเสียง วี้ดว้าย ปรบไม้ปรบมืออยู่คนเดียวเมื่อมองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่รถแล่นผ่าน

“ว้าว เกาหลีสวยจังเลยฉันมาถึงเกาหลีแล้ว สวยจังเลย”
เกาเหวินถามทั้งที่ตายังปิดอยู่ “มันสวยตรงไหนดูมีความสุขจัง”
เหม่ยลี่ยื่นหน้ามาหา “สวยสิคะ เอ๊ะ บางทีอาจจะเจอดาราชายซักคนก็ได้” ว่าแล้วก็ยกมือแนบแก้มเพ้อ “ว้าว โอปป้า พี่ใหญ่”
เซี่ยวเลี่ยงรำคาญมากหันมาดุ “ผู้ช่วยมี่ เก็บอาการหน่อย”
“ดาราก็คนธรรมดาที่ถูกปรุงแต่งด้วยเลนส์กล้อง ถ้าเพ้อฝันขนาดนี้ทำไมไม่หาซักคนล่ะ” เกาเหวินถาม
เหม่ยลี่ไม่ทันได้ตอบ เซี่ยวเลี่ยงขัดขึ้น “ฉีหยู อีกนานมั้ยกว่าจะถึงโรงแรม”
“อีกครึ่งชั่วโมงครับ ทางนี้ทำเรื่องการเข้าพักให้แล้วครับ” ฉีหยูบอก
“คงไม่มีปาปารัซซี่ตามมานะ” เกาเหวินปรารภ
“วางใจได้ครับ คุณเซี่ยวรู้ว่าคุณไม่ชอบให้ใครรบกวน จัดการเรียบร้อยแล้ว โปรแกรมทั้งหมดของคุณเป็นความลับครับ”
เหม่ยลี่อึ้ง นิ่งงันไป เหมือนคิดบางอย่างในใจ

รถตู้แล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมหรู ทุกคนเช็กอินเข้าห้องพัก เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย
ชายชุดสูทหัวหน้าทีมงานฝั่งเกาหลี พร้อมผู้ช่วยชาย ทีมงานหญิงอีกสองคนมาคอยต้อนรับอยู่แล้วในห้องอาหารของโรงแรม ขณะเซี่ยวเลี่ยงเดินนำเข้ามา ตามด้วยเกาเหวิน และ เหม่ยลี่ รั้งท้าย
“คุณเซี่ยว ยินดีต้อนรับครับ” ชายชุดสูทยื่นมือมาจับทักทาย
“ขอบคุณครับ นี่เกาเหวินแฟนผม” เซี่ยวเลี่ยงทักตอบด้วยภาษาเกาหลี
“ตาถึงสวยมากเลยครับ เชิญทางนี้ครับ”
ชายชุดสูทผายมือเชิญไปทางโต๊ะอาหาร ที่จัดเตรียมไว้
เซี่ยวเลี่ยงขยับเก้าอี้ให้ เกาเหวินลงนั่งเอ่ย “ขอบคุณ” เบาๆ พร้อมกับกวักมือเรียกเหม่ยลี่ที่ยืนเด๋อเป็นส่วนเกินอยู่
“มี่โตะนั่งสิ เร็ว”
“คุณเซี่ยว อาหารเที่ยงที่เตรียมไว้ ถูกใจมั้ยครับ” ชายชุดสูทว่า
“ครับ มันเยี่ยมมากเลยครับ” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“งั้นลองชิมรสชาติดูนะครับ”
เหม่ยลี่หันไปเห็นภาพความใกล้ชิดของเกาเหวินกับเซี่ยวเลี่ยงแล้ว รู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน ได้แต่ปลอบตัวเองในใจ
“ใช่ ฉันควรจะมีความสุข”
เกาเหวินยิ้มพลางเอ่ยชม “พูดเกาหลีเก่งจัง คนไม่รู้คงคิดว่าคุณเป็นคนเกาหลี”
เซี่ยวเลี่ยงหัวเราะ “จริงเหรอ แม่ผมเป็นคนเกาหลี”
“จริงเหรอ ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”
“อย่าลืมข้อตกลง อย่าสงสัยเรื่องส่วนตัวของผม เดี๋ยวแนะนำนักลงทุนให้รู้จัก”
พนักงานเสิร์ฟเดินมาจะเทน้ำส้มให้ เหยือกน้ำส้มชนเข้ากับแก้วบรั่นดีที่เกาเหวินยกขึ้นจะดื่มพอดี บรั่นดีหกรดชุดเกาเหวินเลอะเทอะ
“อ๊าย”
เหม่ยลี่รีบมาดูแลให้ “ไม่เป็นไรนะคะ”
“ทำงานยังไงเรียกผู้จัดการมาเร็ว” ชายใส่สูทโวยลั่น
เซี่ยวเลี่ยงขัดขึ้น “ระวัง อย่าให้โดนถ่ายรูป”
“ขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษจริงๆ”
“ขอโทษนะครับ”
ชายชุดสูทหัวหน้าและทีมงานขอโทษพัลวัน
“ไม่เป็นไรครับ” เซี่ยวเลี่ยงยิ้มให้

เกาเหวินขอตัวลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เหม่ยลี่รีบตามไป เมื่อเข้ามาในห้องน้ำหญิงเกาเหวินปิดน้ำราดรอยคราบบรั่นดี ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก เหม่ยลี่ตามเข้ามาช่วย
“ฉันช่วยค่ะ”
เกาเหวินอารมณ์เสียเช็ดแล้วยังเป็นคราบอยู่ “ช่างเถอะๆ ฉันไม่ชอบงานสังสรรค์อยู่แล้ว ส่งฉันกลับเถอะ เดี๋ยวโดนถ่ายรูป”
“วันนี้คุณเซี่ยวจะพาคุณมาเจอลูกค้าคนสำคัญนะ” เหม่ยลี่บอก แล้วนิ่งคิด “เอางี้ งั้นเรามาเปลี่ยนชุดกัน”
เกาเหวินอึ้งมองสีหน้าฉงน “แล้วเธอจะใส่อะไร”
“วันนี้ฉันมาเป็นผู้ช่วยของคุณไม่เป็นไร ใส่ชุดฉันเถอะ นะ” เหม่ยลี่นึกได้ “อ้อ จริงสิคุณรักความสะอาด เดี๋ยวฉันไปซื้อชุดใหม่ให้”
เกาเหวินยิ้มให้ “เอ่อ ไม่ต้อง ฉันดีใจเกินไป เพราะฉันไม่เคยมีเพื่อน ไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้ากับใคร เธอนี่ดีจัง”
เหม่ยลี่ยิ้มตอบหัวเราะเบาๆ สองสาวยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร

ผ่านไปสักครู่หนึ่งเซี่ยวเลี่ยงยกแก้วบรั่นดีชนกับชายชุดสูท
“ชนแก้ว”
“ชนแก้ว”
เกาเหวินในชุดที่เปลี่ยนกับเหม่ยลี่เดินกลับมานั่ง เจอสายตาเซี่ยวเลี่ยงมองจ้องก็แปลกใจ
“มีอะไร
“เปล่าหรอก ทานข้าว”
เหม่ยลี่ในชุดเลอะบรั่นดีของเกาเหวินเดินออกมาหยุดที่ประตูทางเข้า มองเซี่ยวเลี่ยงกับเกาเหวินสบตาชนแก้วกันอย่างหวานซึ้ง
“ดื่ม” / “ดื่ม”
“ดื่ม” ชายชุดสูทยกแก้วชนกับคู่รักหวาน
เหม่ยลี่บอกเตือนตัวเองอยู่ในใจ “ไม่เป็นไร เพราะฉันควรจะชินแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาเห็นพอดี แปลกใจที่จู่ๆ เหม่ยลี่ก็เดินหนีไปไหนไม่รู้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นกันเองมากขึ้น เกาเหวินหัดพูดเกาหลีแล้วหันไปถามชายชุดสูทและทีมงานเกาหลี
“อ้อ สวัสดีค่ะ ไม่รู้ว่าพูดถูกหรือเปล่า เขาสอนฉันน่ะค่ะ”
ฝ่ายเกาหลีชมว่า “เก่งมาก เยี่ยมมาก” ไม่ขาดปาก

ที่เซี่ยงไฮ้ เสี่ยวเอ๋อพยาบาลเวรแผนกสูตินรีเวชหน้าตาจิ้มลิ้ม เดินมาเห็นเหลยอี้หมิงนั่งหน้าเบื่อโลกอยู่ที่โต๊ะทำงานก็แปลกใจ
“เลิกงานแล้ว ยังไม่กลับเหรอคะ”
“กลับไปทำไม จริงสิ” อี้หมิงหยิบตั๋วสองใบที่ตั้งใจจะไปเที่ยวกับยัยอ้วนส่งให้ “เอ้านี่ ผมให้”
เสี่ยวเอ๋ออ่านดู “โจวจวง”
“ใช่แล้ว ที่ๆ ใหญ่ที่สุดสิบอันดับของประเทศ สองวันนี้ว่าง ไปเที่ยวดูสิ”
“จริงเหรอคะ” เสี่ยวเอ๋อยิ้มระรื่นเดินอ้อมมาหาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ คุณหมอเหลย เมื่อไหร่เราจะ...”
อี้หมิงดับฝันพยาบาลคนสวย พร้อมกับปลอบใจตัวเอง “จริงสิ อย่าลืมพาแฟนไปด้วยล่ะ อย่าไปคนเดียวแล้วทิ้งเขาเอาไว้ เขาอยู่ตรงนี้คนเดียวเหงามาก น่าสงสารจริงๆ”
“แต่ว่า ตอนนี้ฉันโสดแล้ว”
อี้หมิงร้อง “หา” แต่ไม่ทันได้สานสัมพันธ์ใดๆ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้น คนโทร.เข้าคือ “ยัยอ้วน” อี้หมิงรีบคว้ามากดรับ
“ฮัลโหล ทำไม มีอะไร หรือว่าคิดถึงฉัน”
เหม่ยลี่เดินหงอยมาตามทางเดินในโรงแรม ถอนหายใจเฮือกๆ
“ฉันรู้สึกคิดถึงนายแล้ว”
อี้หมิงเนื้อเต้น “จริงเหรอ”
“เฮ้ย ฉันฟังคนที่นี่ไม่รู้เรื่องเลย พวกเขาคุยอะไรกันฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้จักซักคน ถ้านายอยู่คงจะดีไม่น้อยเลย”
อี้หมิงฟิน ถามกลับเสียงนุ่ม “ยัยอ้วน เธอพูดว่า เธอคิดถึงฉันเหรอ”
“ใช่ เหลยอี้หมิง”
“เดี๋ยวฉันโทร.หานะ” อี้หมิงวางสาย ลุกพรวดถอดเสื้อกาวน์ออก
พยาบาลเสี่ยวเอ๋อตกใจลุกตาม “เอ่อ คุณหมอเหลยจะทำอะไรคะ”
“เลิกงานแล้วก็ต้องกลับบ้าน จริงสิ อีกสองวันเป็นวันหยุดพอดีผมจะไปต่างประเทศ” อี้หมิงโยนเสื้อกาวน์ให้เสี่ยวเอ๋อแล้ววิ่งออกไปโดยเร็ว “เก็บให้ที”
เสี่ยวเอ๋อร้องถามไป “เอ่อ แล้ว แล้วโจวจวง”
“คุณไปก่อนเลย”
เสี่ยวเอ๋อหอบเสื้อกาวน์หมอเหลยมองตั๋วเที่ยวโจวจวงเซ็งๆ
พริบตานั้น เหลยอี้หมิงอยู่ในชุดและกระเป๋าเดินทางพร้อมบิน ยืนหล่อรอรถอยู่ริมถนนหน้าโรงพยาบาล รถแท็กซี่จอดรับพอดี
“โชเฟอร์ เปิดท้ายรถที”
หมอหนุ่มเก็บกระเป๋าเสร็จ ขึ้นนั่งที่เบาะหลังสั่งออกรถทันที
“โชเฟอร์ สนามบิน โก”
เหลยอี้หมิงขยิบตาให้แท็กซี่ หายซึมเศร้าไปโดยปริยาย

ในขณะที่เหม่ยลี่ยืนซึมเศร้าเหงา โดดเดี่ยว และอ้างว้างอยู่เพียงลำพังตรงทางเดินที่เดิมหลังวางสายจากอี้หมิง สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้จึงหันไปทางเสียง แล้วต้องแปลกใจที่เห็นเป็นเซี่ยวเลี่ยง
“คุณอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไม”
“เอ่อ เมื่อกี้ฉันเห็นกระโปงของเธอเปียก เธอต้องไปเข้าร่วมงานสังสรรค์กับคุณอีก ฉันเลยเปลี่ยนกับเธอ”
“อื้อ” เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับรู้แล้วหยิบสูทสีน้ำเงินที่ถือติดมือมา สวมทับขยับห่มคลุมไหล่ให้ เหม่ยลี่อึ้งไป
ระหว่างนี้มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เซี่ยวเลี่ยงหยิบจากกระเป๋ากางเกงมารับสาย นิ่งฟังเสียงปลายสาย แล้วมีสีหน้าคล้ายตกใจนิดๆ หลับตาลง พร้อมกับทอดถอนใจ
“เดี๋ยวผมไป”
เซี่ยวเลี่ยงวางสาย แล้วหันกลับมาหาเหม่ยลี่
“คุณกลับก่อนเถอะ ผมมีธุระ”
เขาเดินออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม
“เอ๊ะ แต่เกาเหวินยังอยู่ข้างใน ทำไมรีบร้อนขนาดนี้นะ”
เหม่ยลี่แปลกใจมาก กระชับเสื้อสูทจะเดินออกไป แต่ผิดสังเกตบางอย่างจากเสื้อสูท เหม่ยลี่หยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นกระเป๋าตังค์ พร้อมบัตรเครดิตของเซี่ยวเลี่ยง

สาวจอมจุ้นครุ่นคิด และยิ่งคาใจ ว่าอะไรทำให้ซีอีโอหนุ่มรีบร้อนออกไปขนาดทิ้งแฟนซุปตาร์ และลืมกระเป๋าตังค์ไว้อีกด้วย

 
อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น