กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 1
เช้าวันนี้ "เซี่ยวเลี่ยง" ซีอีโอหนุ่มหล่อแห่ง เทซีโร บริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีชื่อดังระดับโลก ตื่นแต่เช้าเช่นทุกวัน เขากำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องอันใหญ่โตโอ่อ่า
อาภรณ์เนี้ยบหรูพร้อมเครื่องประดับแบรนด์ดังประดามี ถูกสวมใส่ลงบนเรือนกายสูงโปร่งสุดเพอร์เฟกต์ของเขา กระดุมเม็ดสุดท้ายของเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอ้านถูกกลัดเซี่ยวเลี่ยงฉีดพรมน้ำหอม รูดเนกไทสีแดงสลับขาวลายขวางเข้ากับคอปกเชิ้ต ก่อนจะคว้าสูทสีดำมาสวมทับมาดอย่างเท่ แล้วก้าวออกจากห้องพักไป
ไม่นานต่อมาเซี่ยวเลี่ยงพาตัวเองก้าวขึ้นไปนั่งในรถสปอร์ตสีแดงเพลิงบ่งบอกบุคลิกของเขา เปิดประทุนรับลมยามเช้า
อีกฟากหนึ่ง เสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นลั่นห้องพัก ซึ่งทุกสิ่งอย่างในนี้เต็มไปด้วยสีหวานแหวว บ่งบอกบุคลิกผู้เป็นเจ้าของห้องนี้
“มี่เหม่ยลี่ ตื่นได้แล้ว”
"เหม่ยลี่" ในชุดนอนสีหวานแหววดีดน้ำหนักร่วมสามร้อยโลของหล่อนขึ้นจากที่นอน พร้อมๆ กับเสียงความคิดดังก้องในหัวหู ขณะเริ่มต้นชีวิตวันใหม่อย่างรีบเร่ง
“หากคุณมองหาเทพนิยายเพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตกับฉัน ให้นึกถึงเรื่องราวของลูกเป็ดขี้เหร่ ความแตกต่างคือ หลังจากที่ลูกเป็ดขี้เหร่เติบโตจะกลายเป็นหงส์ แต่เมื่อฉันเติบโตขึ้น กลับเปลี่ยนจากลูกเป็ดขี้เหร่กลายเป็นเป็ดอ้วน ฮิๆๆ ผอมแล้ว”
สาวอวบระยะสุดท้ายเดินตุ๊ต๊ะมาชั่งน้ำหนักกับตาชั่ง ตรงหน้ากระจกแบบเต็มตัว
ตาชั่งไม่ไว้หน้า เข็มหยุดที่ตัวเลข 278.4 กิโลกรัม เหม่ยลี่ ไม่พอใจ วางแก้วน้ำ และแปลงสีฟันในมือลงที่ชั้นข้างตัว แล้วชั่งใหม่ คราวนี้น้ำหนักหายไป ชี้ที่เลข 276.2 สาวอวบยิ้มกริ่ม
เหม่ยลี่แต่งตัวเสร็จเดินไปที่โต๊ะทำงาน ไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดกึก เหลียวขวับมามองรูปโปสเตอร์เต็มตัวขนาดใหญ่ของ "เกาเหวิน" นางเอกชื่อดังของวงการบันเทิงจีน ตรงผนังห้องด้านหนึ่ง เหม่ยลี่สแกนตรงใบหน้าสวยเฉี่ยว ราวกับยึดเป็นต้นแบบใบหน้าในฝัน และทำท่าสะบัดสะบิ้งเท้าสะเอวโพสท่าเลียนแบบ รูปซุปตาร์สวยเหวี่ยงคนดัง จนพุงปลิ้นกระเพื่อมออกมานอกร่มผ้า
“แต่ฉันก็...ภูมิใจในตัวเองมากเลยล่ะ”
เธอจูบลมจูบแล้งในห้องฟอดหนึ่งแล้วคว้ากระเป๋าสะพายกับเสื้อกันหนาวเดินออกห้องไป ปิดล็อคประตูลง
ในความรีบเร่งของทุกชีวิตในเมืองใหญ่ เหม่ยลี่ลงรถที่หน้าบริษัทคลาร์ค บริษัทเอเยนซีโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เธอทำงานอยู่ สาวอวบเดินตามทางเดิน มาหยุดมองป้ายคัทเอ้าท์โฆษณาขนาดใหญ่ของบริษัทเทซีโร ซึ่งใบหน้า เซี่ยวเลี่ยง ในป้ายนั้นราวกับมองมาที่เธอ เหม่ยลี่เงยมองตอบยิ้มให้กับภาพซีอีโอรูปงาม ลูกค้าคนสำคัญของบริษัท และ เธอตกหลุมรักเทพบุตรชายในฝันของสาวๆ ทั้งประเทศ อย่างจังเบอร์!
“ว้าว...หล่อจังเลย”
รอยยิ้มกว้างค่อยหุบลง เมื่อเสียงความคิดของเหม่ยลี่ดังตอกย้ำก้องกังวานขึ้นในหัวหู
“มี่เหม่ยลี่ เขาไม่ได้เป็นเจ้าชายของเธอหรอก เขาเป็นเจ้าหนี้ของเธอต่างหาก ถ้าวันนี้การวางแผนโฆษณาของบริษัทเทซีโร่ไม่ผ่าน ฉันอดได้โบนัสของเดือนนี้แน่ๆ” พร้อมกับความคิดนั้น เหม่ยลี่หยิบยกแฟ้มงานสีชมพูในมือขึ้นภาวนากับพระเจ้า โค้งคำนับไหว้ปลกๆ “โอ้พระเจ้าๆ ขอให้โพรเจกต์งานของฉันผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ”
ด้านเซี่ยวเลี่ยงคุยสายกับ "ฉีหยู" ผู้ช่วยของเขาที่โทร.มาแจ้งคิวงานวันนี้ เสียงฉีหยูดังลอดออกมาว่า
“จริงสิคุณเซี่ยว การประชุมของบริษัท L เลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้ครับ”
เซี่ยวเลี่ยงกลับตอบไปว่า “แจ้งฝ่ายโฆษณา L ให้เลื่อนเป็นวันนี้ 10 โมงเช้า”
เซี่ยวเลี่ยงกดวางสาย คาดเข็มขัดนิรภัย สตาร์ตเครื่อง ก่อนที่รถสปอร์ตสีเพลิง จะพุ่งทะยานออกไปตามท้องถนน แรงและเร็วราวกับจะบิน
ขณะที่ เหม่ยลี่กำลังไหว้รูปคัทเอ้าท์เซี่ยวเลี่ยงภาวนาอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น สาวอวบหยิบมือถือจากกระเป๋าเสื้อกันหนาว แล้วต้องตาเหลือกตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่า ผอ.ทีน่า หัวหน้าจอมเหวี่ยงของเธอโทร.มาตาม
“หะ! ผอ.” เหม่ยลี่รีบรับสาย “ฮัลโหล”
แต่ไม่ทันได้พูดอะไร ทีน่าก็แหวด่าสวนออกมาจนเหม่ยลี่ต้องยื่นโทรศัพท์มือถือออกไปจนสุดแขน
“มี่เหม่ยลี่ นี่มันกี่โมงแล้ว โพรเจกต์งานของเทซีโร่อยู่ไหน…รีบมาเดี๋ยวนี้เลย...เร็วเข้า!”
ทีน่าคุยสายอยู่ตรงล็อบบี้ทำงาน เสียงอาละวาดดังลั่น
“ค่ะ...ขอโทษค่ะๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
เหม่ยลี่วิ่งตุ๊ต๊ะไป ไวเท่าที่น้ำหนักจะอำนวย
เมื่อเดินเข้ามาในโถงล็อบบี้ ก็เห็น "ทีน่า" ยืนคุยบางอย่างกับพนักงานคนหนึ่งอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์ต้อนรับในออฟฟิศ ทีน่าหันมาเห็นพอดี เดินหน้าเหวี่ยงเข้ามาหา
“มี่เหม่ยลี่ เธอนอนทำงานอยู่รึไง ทุกคนรอโพรเจกต์งานของเธออยู่นะ”
“ขอโทษค่ะผอ.ทีน่า คุณดูก่อนค่ะอย่าเพิ่งโกรธ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
ทีน่ารับแฟ้มงานจากเหม่ยลี่มาเปิดดู ขณะเดินนำไปตามทางเดิน เผยให้เห็นบรรดาพนักงานกำลังทำงานกันอย่างคร่ำเคร่ง
“รูปแบบโพรเจกต์คืออะไร” ทีน่าถาม
“ฉันต้องการเปรียบเทียบว่า ‘ผู้หญิงก็เหมือนเพชร’ เพราะผู้หญิงทุกคนเปรียบเสมือนเพชรดิบ แต่หลังจากผ่านการขัดจะสดใสและสะดุดตาเหมือนรังไหมกลายเป็นผีเสื้อ คุณดูนี่ค่ะ นี่คือ...” เหม่ยลี่อธิบายอย่างคล่องปาก และจะชี้ให้ดูในแฟ้ม แต่ทีน่า ปัดมือเธอออก
“อื้ม ฉันรู้แล้ว”
“ผอ. ทีน่าคะ งั้นเรื่องที่คุณสัญญากับฉัน...”
ทีน่าหยุดเดินปิดแฟ้มอย่างหงุดหงิด หันมาสวนตัดบทอย่างรำคาญ
“เอาล่ะ ถ้าโพรเจกต์นี้ผ่านฉันจะเซ็นชื่อให้”
“งั้นพรุ่งนี้ฉันประชุมด้วยได้มั้ยคะ”
ทีน่าเหยียดยิ้มมองสารรูปตุ๊ต๊ะอวบอ้วนอย่างดูแคลน
“เฮอะ เธอเหรอ ไม่ได้
เหม่ยลี่พยายามทักท้วงและอ้อนวอน “แต่ว่า…ฉันทำโพรเจกต์นี้มาตั้งนาน ยังไม่เคยไปร่วมงานกับคุณสักครั้งเลย อีกอย่างงานโพรเจกต์นี้ ฉันต้องอดหลับอดนอนหลายคืนกว่าจะทำเสร็จ ฉันสัญญา ฉันจะไม่พูดอะไร จะยืนเงียบๆ ข้างคุณค่ะ”
เหม่ยลี่ยกมือขึ้นเป็นเชิงสาบาน ทีน่าไม่ใส่ใจคำพูดเธอเลยสักนิดพยักหน้าบุ้ยใบ้ให้ไสหัวไปทำงาน
“ไปทำงานของเธอเถอะ”
“ค่ะ”
พอหันกลับไปร่างมหึมาของเหม่ยลี่ก็กระแทกเข้ากับร่างแบบบางของหญิงชุดดำอย่างแรง แฟ้มในมืออีกฝ่ายกระเด็นลอยหลุดจากมือตกลงพื้น
“โอ๊ย”
“ขอโทษค่ะ”
เหม่ยลี่พยายามจะช่วยแต่อีกฝ่ายก้มลงเก็บแฟ้ม แล้วรีบมารายงานทีน่า
“บริษัทคลาร์คเลื่อนการประชุมมาเป็นวันนี้ 10 โมงเช้า คุณเซี่ยวกำลังมาที่นี่แล้ว”
“เรียกทีมงานให้พร้อมประชุมโดยด่วนเลย”
หญิงชุดดำรับเอาคำแล้วเดินเร็วรี่ออกไป ทีน่าหันมาเฉ่งเหม่ยลี่อีกรอบ
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม ไปเตรียมกาแฟสิ”
“ค่ะ”
เหม่ยลี่เดินเงอะงะออกไปงงๆ ทีน่าเรียกไว้ “เดี๋ยว ทางนี้”
“เอ่อ...ค่ะ”
เหม่ยลี่เดินแกมวิ่งไปตามทาง ทีน่าส่ายหัวเอือมๆ และเดินออกไปอีกทาง
ไม่นานนัก เซี่ยวเลี่ยงพร้อมฉีหยูซึ่งมาถึงไล่ๆ กัน ก็ก็เดินเข้ามาในล็อบบี้ออฟฟิศ ทีน่ากับผู้ช่วยหญิงชุดดำยืนต้อนรับอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะคุณเซี่ยว เชิญค่ะ”
ทีน่าผายมือเชื้อเชิญเดินฉีกยิ้มนำไปทางห้องประชุม
ทุกก้าวย่างที่ซีอีโอหล่อลากเดินไป อ่อร่าความหล่อฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งออฟฟิศ พนักงานสาวแท้กระทั่งสาวเทียม เสียจริตทั้งแถบทิ้งงานในมือกันไปถ้วนหน้า บ้างตะลึงตะไล ชะนีหลายนางขอเดินตามหลังไปชะเง้อดูตัวป็นๆ ใกล้ๆ
เหม่ยลี่ก้มหน้าก้มตาจัดบางอย่างอยู่ตรงโต๊ะ โดยไม่เห็นว่าทั้งสี่คนเดินเข้ามาในห้องแล้ว เซี่ยวเลี่ยงเดินมาลงที่นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ เหม่ยลี่ สาวอวบหันมาเห็นถึงกับตะลึง มองจ้องเอาๆ จนทีน่าต้องขยับเข้ามาหยิกแขนเรียกสติ
“โอ๊ะ”
เสียงร้องของเหม่ยลี่ เรียกให้เซี่ยวเลี่ยงเงยหน้ามามอง ทีน่าปั้นหน้ายิ้มหวานบุ้ยใบ้บอก
“เอ่อ รีบไปยกน้ำมาสิ ออกไป”
เหม่ยลี่ยิ้มหวานให้มองเซี่ยวเลี่ยงไม่วางตา ขณะถดตัวถอยหลังออกไปชนกระจกห้องประชุม แล้วจึงออกประตูห้องไป ซีอีโอหนุ่มมองตามอย่างมีมารยาท
สาวอวบเดินอ้อยสร้อยไม่ยอมขยับหนีไปไหนสักที ยืนฟินมองแผ่นหลังของเซี่ยวเลี่ยงผ่านกระจกห้องประชุมอยู่อย่างนั้น
ภายในห้องประชุม ฉีหยู ยืนข้างๆ ถัดมาทางซ้ายของเจ้านาย ส่วนทีน่าพร้อมสาวชุดดำผู้ช่วยลงนั่งฝั่งตรงข้ามเซี่ยวเลี่ยง เริ่มพรีเซนต์โดยปรับจากงานที่เหม่ยลี่นำเสนอ จนกลายเป็นโพรเจกต์จากไอเดียของหล่อนเอง
“คุณเซี่ยว ต้องลำบากคุณแล้ว งั้นเรามาเริ่มเลยนะคะ รูปแบบความคิดครั้งนี้คือการเปลี่ยนแปลง ฉันต้องการเปรียบเทียบว่า ‘ผู้หญิงก็แข็งแกร่งเหมือนเพชร’ เพราะผู้หญิงจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งมาก ก็เหมือนเพชรที่ต้องผ่านการขัดเกลาและกระบวนการต่างๆก่อนถึงจะส่องแสงระยิบระยับ ดังนั้นผู้หญิงต้องไม่หยุดดูแลตัวเอง และทำให้ตัวเองสดใสอยู่เสมอ ดังนั้นเทซีโร่ จะให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบกับคุณค่ะ เพราะธรรมชาติของผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบความสวยงามอยู่แล้ว อย่างเช่นดาว หรือว่าดอกไม้ ก็เหมือนแหวนที่สวมอยู่ในมือของพวกเธอค่ะ”
ระหว่างนี้เซี่ยวเลี่ยงฟังไป พร้อมกับพลิกแฟ้มตรงหน้าดูไปเรื่อยๆ ขัดขึ้นว่า
“เอาล่ะพอได้แล้ว” ทีน่าชะงัก เช่นเดียวกับเหม่ยลี่ที่แอบฟังอยู่ข้างนอกหุบยิ้มลงทันที
“เราไม่มีทางให้โพรเจกต์นี้ผ่าน ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว โพรเจกต์นี้ไม่ผ่านตามความต้องการของบริษัทเรา”
ทีน่าหน้าเสีย “คือว่า...ฉัน…”
เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้าทีน่า “ผอ.ทีน่า หัวข้อผู้หญิงเปรียบเสมือนเพชร รูปแบบของโพรเจกต์นี้ไม่มีอะไรใหม่ๆ การพรีเซนต์ของคุณก็ไม่น่าสนใจ บริษัทอื่นๆ ก็มีข้อเสนอรูปแบบที่คล้ายกัน งั้นช่วยบอกผมหน่อย งานของพวกคุณมีอะไรแตกต่าง ไม่มีความน่าสนใจแล้วยังกล้าเอามาพรีเซนต์กับผม เคยทำวิจัยการตลาดมาแล้วเหรอ จะสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคยังไง พวกคุณคิดได้แค่นี้เองเหรอ” พร้อมกับว่าเขาเอาปากกาในมือเคาะแฟ้มงานตรงอย่างอย่างไม่ให้ราคาใดๆ
ทีน่าตกใจมาก กระอึกกระอักอยู่อย่างนั้น พยายามจะอธิบาย
“คุณเซี่ยว คือว่า...”
“งานโพรเจกต์นี้ไม่ผ่าน คุณโน้มน้าวผมไม่ได้”
เซี่ยวเลี่ยงไม่สน ปฏิเสธที่จะรับฟัง เขาลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมทันที
ทีน่าตกใจถึงขีดสุด ลุกขึ้นพร้อมผู้ช่วย ร้องเรียกไว้
“เอ่อ คุณเซี่ยว เอ่อ...คุณเซี่ยว คุณเซี่ยวคะ”
ขณะเซี่ยวเลี่ยงเดินพ้นประตูห้องออกมา
เหม่ยลี่ตัดสินใจเดินมากางแขนขวางทางเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงมองเหม่ยลี่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เช่นเดียวกับทีน่ากับผู้ช่วย และ ฉีหยู
“คือ…ฉันอยากถามว่า บริษัทของคุณมีโรงงานแปรรูปเพชรเป็นของตัวเองมั้ยคะ เพราะส่วนใหญ่อุตสาหกรรมประเภทนี้ อีกทั้งตัวแทนจำหน่ายเพชรและอัญมณีไม่มีโรงงานแปรรูปเพชร ถ้าบริษัทของคุณ เป็นโรงงานแปรรูปเพชรที่ใหญ่ที่สุดในจีนอยู่แล้ว” เซี่ยวเลี่ยงอึ้ง มองอย่างทึ่งๆ เหม่ยลี่อธิบายต่อว่า “คุณสามารถขัดหินธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเพชรที่เปล่งประกายและมีค่าที่สุดได้ ดังนั้นสิ่งนี้สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคได้ค่ะ”
เหม่ยลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้เซี่ยวเลี่ยง ทีน่าโมโห ดุเสียงเข้ม
“เธอพูดเหลวไหลอะไร คุณเซี่ยว ขอโทษค่ะเธอเป็น...”
แต่เซี่ยวเลี่ยงดันสนใจ พยักหน้าให้สาวอวบอธิบายต่อ “ไม่เป็นไร เชิญพูดต่อ”
“เพราะฉะนั้น เหตุผลที่เราใช้แนวความคิดนี้ เพราะว่า ต้องการให้เพชรและอัญมณีกับผู้หญิงเติบโตไปด้วยกัน” เซี่ยวเลี่ยงกอดอกฟัง ยิ้มรับกับไอเดียที่เขาเห็นด้วย ท่าทีของเขาดูออกว่าสนใจมากขึ้นไปอีก “และทำให้แขกทุกท่าน รู้สึกถึงความจริงใจของพวกคุณได้ แต่เมื่อก่อน เรามักจะคิดแค่ว่า ผู้หญิงที่สวยกับเพชรเป็นของคู่กันเท่านั้น แต่ความจริงแล้วโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่สมบรูณ์แบบแน่นอน เพราะผู้หญิงที่ไม่สวย พวกเขาก็มีความฝันและหวังว่าตัวเองจะดูดีขึ้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็หวังว่าจะสามารถมีเพชรเป็นของตัวเองเหมือนผู้หญิงทุกคนค่ะ”
ฟังจบถึงตรงนี้ เซี่ยวเลี่ยงถึงกับถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณก็มีส่วนร่วมกับงานโพรเจกต์นี้เหรอครับ”
ทีน่ารีบแทรกขึ้นทันที “เอ่อ คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เธอแค่มาช่วยงานฉันเท่านั้น” จากนั้นก็หันมาดุเหม่ยลี่ “ทำไมเธอถึงมาเปิดเผยงานของฉันล่ะ ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก”
เหม่ยลี่ชี้ที่ตัวเอง งุนงงสงสัย “ฉันเหรอ ไปเตรียมอะไรเหรอคะ”
ทีน่าพยักพเยิดกับผู้ช่วยเป็นเชิงบอก ผู้ช่วยสาวชุดดำลากเหม่ยลี่ออกไปในอาการงุนงงอยู่อย่างนั้น
“เอ๊ะ”
เซี่ยวเลี่ยงมองตามไป ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด เขาลงนั่งเก้าอี้ในอีกมุมในออฟฟิศ ฉีหยู ยืนประกบข้างๆ เช่นเคยทีน่าพรีเซนต์โพรเจ็กต์เมื่อครู่ต่อ โดยในตอนนี้ มีรังไหมสีขาวขนาดมหึมา ตั้งอยู่ด้วยหลังผอ.จอมเหวี่ยง
“ไตรมาสถัดไปจะมีการเปลี่ยนรูปแบบโฆษณา โดยใช้หัวข้อกระบวนการทำลายรังผึ้งและผีเสื้อ เพื่ออธิบายว่ากว่าจะได้เพชรที่สมบูรณ์แบบมาไม่ใช่เรื่องง่าย มา” ทีน่าปรบมือให้สัญญาณสองแปะ “เชิญทำลายรังไหมได้”
เหม่ยลี่หลับอยู่ในรังไหมนั้น ส่งเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหวออกมา
ทีนี่กระแทกส้นรองเท้าใส่รังไหมด้านหลังเต็มแรง
“หะ โอ๊ย” เหม่ยลี่สะดุ้งตื่น โผล่หัวออกมาจากส่วนบนของรังไหมนั้นยิ้มให้ทุกคน โดยไม่ใส่ใจถือสาสายตาหลายคู่ที่มองมา และหัวเราะขบขันเธออยู่
“ฮี่ๆ” พร้อมกับทำท่าเป็นผีเสื้อตัวน้อยอย่างน่ารักน่าชัง ประกอบการพรีเซนต์ของทีน่า
“แมลงในรังไหมก็เปรียบเสมือนดั่งผู้หญิงอ้วน ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองหากต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ต้องผ่านกระบวนการที่ยากลำบากเหมือนผีเสื้อ หน้าจอการโฆษณาในอนาคต เมื่อมีแมลงบินออกมา ก็จะมีแสงประกายเพชรปรากฏขึ้นพร้อมกัน เราต้องการสื่อว่า ความหมายของการทำเหมืองเพชร คือกระบวนการที่ยากลำบาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของบริษัทคลาร์คค่ะ”
ทีน่าจบการพรีเซนต์อย่างภาคภูมิใจ
บรรดาพนักงานเริ่มซุบซิบเม้าท์มอยกัน ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทีนี่
หญิงชุดชมพูกระซิบกับเพื่อนว่า “ครั้งนี้ทีน่าทำเกินไปแล้วนะ ถึงมี่เหม่ยลี่จะไม่สวยมาก แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาพูดหรอก”
ระหว่างนี้ เหม่ยลี่ทำมือเป็นรูปหัวใจ ยิ้มสดใสให้ทุกคนอย่างมีความสุข
หญิงชุดดำผู้ช่วยทีน่าเห็นด้วย “อีกอย่าง มี่เหม่ยลี่ก็เป็นคนดีมากด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงโยนแฟ้มในมือลงตรงโต๊ะข้างตัว พร้อมกับบอกว่า
“ผมคิดว่าโพรเจกต์นี้โอเค งั้นตกลงตามนี้ รายละเอียดการทำสัญญา ติดต่อกับผู้ช่วยฉีนะ”
ทีน่ายิ้มแก้มแทบแตกนำปรบมือด้วยความดีใจ “ดีเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
กลุ่มพนักงานปรบมือเกรียวกราวอย่างดีใจ รวมทั้งแม่ผีเสื้อยักษ์ในรังไหมด้วย นางปรบมือจนรังไหมขยับเขยื้อนน่าหวาดเสียว
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าเรียกเหม่ยลี่ “เชิญออกมาได้
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำ “อื้มค่ะ ฮิๆ”
ว่าแล้วก็ใช้ส้นเท้ากระแทกผารังไหมส่วนหลังหลุดกระเด็น ค่อยๆ ยื่นขาออกมาอย่างทุลักทะเล แต่เพราะรูปร่างเธอใหญ่กว่ารูที่มุด จนทำให้ตะเข็บกางเกงตรงก้นปริแตก เห็นกางเกงในสีส้มแป๊ด พวกพนักงานหัวเราะขำคิกคัก เห็นเธอเป็นตัวตลกเช่นเคย
เซี่ยวเลี่ยงไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้นัก แต่ไม่พูดอะไร
ทีน่าหงุดหงิดที่สาวอวบทำให้ขายหน้าเดินมาช่วยดึงออกแล้วบอกว่า
“ออกไป”
เหม่ยลี่ดึงชายเสื้อปิดก้นกันโป๊ ก้มหน้าเดินออกไปด้วยความอับอาย
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้น พร้อมกับเรียกเธอไว้ “รอเดี๋ยวครับ”
โดยไม่มีใครคาดคิด เซี่ยวเลี่ยงปลดกระดุมถอดสูทแพงยับออกมา สวมคล้องที่ด้านหลังเหม่ยลี่ เลื่อนลงมาที่เอวใช้แขนเสื้อสองข้างมัดปมปิดให้กันโป๊ สาวๆ มองด้วยสายตาอิจฉา
เหม่ยลี่อึ้ง โค้งขอบคุณเขาไปมา ด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นก็วิ่งหอบเอาความอับอายจากไปโดยเร็ว
ทีน่าหันมาขอโทษขอโพยซีอีโอหนุ่มแห่งเทซีโร
“ขอโทษด้วยค่ะ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“คุณหมายถึงตัวเองหรือเขาล่ะ” เซี่ยวเลี่ยงตำหนิอย่างไม่พอใจ ทีน่าหน้าเจื่อนจ๋อย “ความคิดโพรเจกต์นี้ใช้ได้ แต่เทคนิคการแสดงยังดูแย่มาก และขาดมนุษยธรรมด้วย เพราะไม่ว่าใคร ก็ไม่มีสิทธิ์หัวเราะเยาะคนอื่น เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา” เซี่ยวเลี่ยงเรียกผู้ช่วยโดยไม่หันไปมอง “ฉีหยู”
จากนั้นก็เดินนำออกไปอย่างไม่ใจ
ทีน่าถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด “เฮ้อ”
พนักงานก้มหน้างุด ยกแฟ้มงานในมือมาบังหน้าทั้งแถบ
เซี่ยวเลี่ยงเดินออกมา เจอเหม่ยลี่ยืนหลบมุมคอตกอับอายขายขี้หน้าอยู่ เขาชะงักบอกผู้ช่วยว่า
“นายไปรอที่รถ” เซี่ยวเลี่ยงเดินอ้อมมายืนตรงหน้าเหม่ยลี่ยิ้มชม
“วันนี้คุณทำได้ดีมาก” ใบหน้าหล่อใส มีรอยยิ้มพิมพ์ใจเจืออยู่เต็ม ยื่นเข้ามาใกล้ๆ “งานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ คุณต้องไปให้ได้นะ”
เหม่ยลี่ค่อยเงยหน้าหันมามอง อย่างคาดไม่ถึง และทำตัวไม่ถูก
“ขอบ...ขอบ...ขอบคุณค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มให้แล้วเดินจากไป
เหม่ยลี่อึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วนึกได้
“เอ๊ะ เสื้อของคุณค่ะ” เซี่ยวเลี่ยงเดินไปไกลแล้ว เหม่ยลี่ยืนเพ้อพึมพำ อยู่หลังเสานั่นเอง
“หะ พระเอกเซี่ยวเลี่ยง ชวนฉันไปงานด้วยเหรอเนี่ย ฮิๆๆ”
สาวอวบยกสองมือปิดหน้าด้วยความเขิน แเผลอตัวเอาหัวโขกเข้ากับเสาตรงหน้า
“โอ๊ย”
จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จนมีเสียงดัง แคว้ก ขึ้นมา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากางเกงตรงตูดของเหม่ยลี่ปริแตกออกมาอีกหน แต่ไม่ทำให้นางเลิกฟิน!
คืนเดียวกันนี้ ในผับแห่งหนึ่ง แก้วเหล้าเพียวๆ ร่วมๆ 50 ใบ วางเรียงเป็นแถวบนโต๊ะสูง ตรงหน้าชายหนุ่มผมสั้นในชุดกางเกงยีนส์รัดรูป สวมเสื้อแจกเก็ตหนังสีดำ ผู้ที่นั่งขัดสมาธิประหนึ่งเป็นกรรมการอยู่
ผู้ท้าชิงสองข้างของเขาเป็นหญิงสาวในอาภรณ์สุดเซ็กซี่ฝั่งละคน
ทั้งสองนาง คว้าแก้วเหล้าฝั่งของตนดกเข้าลำคอ แข่งกันดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย ชนิดไม่มีใครยอมกัน
มีเสียงกลุ่มคนส่งเสียงร้องเชียร์อื้ออึง “วู้ว...”
หญิงชุดเดรสสั้นสีขาว วางแก้วเหล้าใบสุดท้ายลงอย่างผู้ชนะ แล้วหันมาทางหนุ่มชุดหนังมาดเท่
เขา คือ “เหลยอี้หมิง” หากไม่บอกยากจะรู้ว่าเขาเป็น นายแพทย์ ประจำโรงพยาบาลชื่อดัง
“ตาฉันถามบ้างนะ คุณหมอเหลย ได้ยินว่าคุณเป็นสูตินรีแพทย์จริงรึเปล่าคะ”
อี้หมิงหันไปถามกองเชียร์ “พวกคุณว่าไง ผมเป็นรึเปล่า”
กลุ่มคนร้องตะโกน “เป็นๆๆ” เซ็งแซ่
หมอหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนนี้ เขาเป็นเพื่อนซี้ในชีวิตคนเดียวของ มี่เหม่ยลี่
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น อี้หมิงควักมาดูกดรับทันที เพราะ “ยัยอ้วย” ของเขาโทร. สาวชุดขาวค้อนควักไม่พอใจ ยื่นหน้ามาฟัง
“อื้ม...ฮัลโหลยัยอ้วน ฉันกำลังยุ่งอยู่ กางเกงเป้าแตกเหรอ พระเอกชวนเธอไปกินข้าวด้วย งั้นก็ไปสิมาบอกฉันทำไม”
หญิงชุดขาวได้ยินก็พูดแทรกขึ้นว่า “แฟนคุณอ้วนเหรอคะ”
“แฟนเธอน่ะสิอ้วน” อี้หมิงด่านาง แล้วหันมาคุยสายต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นี่ เธอชอบผู้ชายแล้ว ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ รอเดี๋ยวนะฉันจะรีบไปหา”
ไม่นานต่อมาอี้หมิงก็พาตัวเองมานั่งเล่นเกมมือถืออยู่ในห้องเหม่ยลี่ ฟังเรื่องราวข่าวเผ็ดอันน่าตื่นเต้นจบแล้ว ขณะที่เจ้าของห้องลุกไปหยิบเบียร์จากตู้เย็นเดินกลับมานั่งด้วย คุยฟุ้งเรื่องมหัศจรรย์แห่งรักของเธอ กับพ่อเทพบุตรเซี่ยวเลี่ยงต่อ
“ไม่ใช่นะเหลยอี้หมิง ถ้านายฟังเรื่องของฉันกับเซี่ยวเลี่ยงจะรู้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์”
พร้อมกับว่า เหม่ยลี่ ใช้ฟันเปิดฝาขวดเบียร์! แล้วยกดื่มจากขวด
อี้หมิงเล่นเกมมือไปคุยไป “มหัศจรรย์เหรอ เขาเป็นถึงประธานบริษัทเครื่องประดับ แล้วก็...เธอรู้จักเขาครั้งแรก เฮ่อ...ก็ขวางทางเขาซะแล้ว พอเจอครั้งที่สองก็กางเกงเป้าขาดเนี่ยนะ”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเป้ากางเกงจะขาดตอนนั้นล่ะ”
อี้หมิงมองเหล่จ้องจับผิดท่าทีเพื่อนสาว “ฉันว่านะ เธอตกหลุมรักเขารึเปล่า หะ ยัยอ้วน” เหม่ยลี่ยิ้มเขิน “เรารู้จักกันตั้งแต่ 7 ขวบ รู้จักกันมานาน ไม่มีความรักก็มีมิตรภาพ ไม่มีมิตรภาพก็มีความรัก ไม่มีความรัก ก็ไม่มีทางลืมกัน เธอกำลังคิดอะไร มีเหรอฉันจะไม่รู้”
เหม่ยลี่ขวยเขิน หลับตาพริ้ม คว้าหมอนข้างรูปดินสอการ์ตูนมากอด เริ่มเพ้อต่อตาเป็นประกายสุกใส
“นายนี่จริงๆ เลยฉันบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ฉันแค่รู้สึกว่า เฮ่อ...เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายอ่อนโยนกับฉันขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่มีคนไม่มองรูปลักษณ์ภายนอกแต่ตัดสินที่เนื้องานของฉัน ฉันคิดว่าเขาเป็นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า แม้เขาจะห่างไกลจากฉัน แต่ทุกครั้งที่ฉันเห็นเขาเรืองแสง ว้าว... ฉันก็รู้สึกอบอุ่นได้ยังไงล่ะ”
อี้หมิงมองหมั่นไส้แว่บหนึ่ง แล้วหันไปเล่มเกมมือถือต่อ วินิจฉันโรคโดยไม่หันมามอง
“อ๋อ...ตอนนี้ฉันวิจัยได้ว่า เธอเป็นโรคความคิดถึงต้องได้รับการรักษา”
เหม่ยลี่หน้าเศร้าลงไป “จริงเหรอร้ายแรงรึเปล่า”
อี้หมิงเด้งตัวจากเก้าอี้มาตอบ ท่าทีขึงขังจริงจังเวอร์ๆ
“เชื่อฉันสิ เธอตกหลุมรักเขาแล้วล่ะ”
เหม่ยลี่เขินปนขำ “ฮิๆๆ บ้าน่า ฮิๆๆ”
อี้หมิงเตือนสติด้วยความหวังดี “ยัยอ้วน ฉันไม่ได้ว่าเธอนะ แม้ว่าเธอจะเป็นคนนิสัยดี ตั้งใจทำงาน มีทักษะการทำงานที่ดีมากๆ แต่สำหรับประธานบริษัทใหญ่ๆ แบบเขาแล้ว ฉันว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“นี่ ช้าก่อน พูดตามตรงฉันก็ไม่เคยคิดอะไรกับเซี่ยวเลี่ยง แต่ความจริงแล้วก็มีบ้าง เมื่อเทียบกับภาพที่ฉันจินตนาการแล้ว ฉันยังคง...” เหม่ยลี่ทำตาเคลิ้มฝัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อี้หมิงยกขวดเบียร์มาบังหน้าตัวเองอย่างสยองขวัญ แต่แล้วสาวอวบก็ก้มลงไปที่โต๊ะกลาง หยิบอาหารจานโปรดขึ้นมา มันคือ ขาหมูทอด
“ฮิๆๆ ชอบขาหมูที่สุดเหมือนเดิม เฮ่อ”
อี้หมิงพ่นลมออกจากปากเซ็งๆ ถอนใจเฮือกให้ยัยอ้วนของเขา
รุ่งเช้า เซี่ยวเลี่ยงมีประชุมเรื่องแผนโฆษณาชิ้นใหม่ที่บริษัทเทซีโรแต่เช้า เขานั่งอยู่หัวโต๊ะในห้องประชุม แล้ว ข้างขวาของเขาเป็น จื่อเหลียง รองประธานวัยคราวเดียวกัน ส่วน ฉีหยู ยืนดูแลอยู่ด้านหลัง โดยระหว่างนี้มิสเตอร์หลี่พนักงานอาวุโสวัยคราวพ่อ กำลังพูดเป็นเชิงตำหนิเขา
“คงเป็นเพราะว่าคุณเซี่ยวอายุยังน้อย เลยยังไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ ของบริษัทเรา คุณเซี่ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงเปลี่ยนผู้รับผิดชอบการวางแผนโฆษณาจากบริษัทซินยุ่ยมาเป็นบริษัท L แม้ว่านี่คือการตัดสินใจตามความเห็นของคุณ แต่คุณก็ควรแจ้งให้ทุกคนทราบล่วงหน้าสิ”
เซี่ยวเลี่ยงละสายตา เงยหน้าจากแฟ้มงานมามองนิ่งๆ ตอกกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ผอ.หลี่ แล้วที่ผ่านมา คุณรับเงินของบริษัทซินยุ่ย เคยแจ้งผมมั้ยล่ะ”
ชายสูงวัยอึ้ง ตะลึง และโกรธ โดนฉีกหน้ากลางที่ประชุม “คุณ...คุณหมายความว่ายังไง ต้องมีคนกล่าวหาผมแน่นอน แบบนี้มันใส่ร้ายกันชัดๆ”
พนักงานฝ่ายขายอาวุโสอีกคน โกรธแทน ชี้หน้าเซี่ยวเลี่ยง
“คุณเพิ่งเป็นประธานไม่กี่วัน ก็เผด็จการซะแล้ว ยังเห็นพวกเราอยู่ในสายตามั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงลุกพรวด ฟาดแฟ้มงานลงอย่างแรง ท้าวเอวแล้วหันมาทางฝ่ายขายคนนั้น และมิสเตอร์หลี่
“อย่างนั้นเหรอ งั้นวันนี้ผมจะปกครองแบบเผด็จการ ไล่พนักงานฝ่ายขาย และผอ.ออกสองตำแหน่ง ทั้งคู่จะถูกปลดเกษียณก่อนเวลา คำสั่งนี้มีผลทันที ถือเป็นการขอบคุณของผมที่มีต่อผู้อาวุโส”
ที่ประชุมอึ้งกันไปทั้งแถบ โดยเฉพาะ จื่อเหลียง
มิสเตอร์หลี่โวยวายดังลั่น “ทำเกินไปแล้วนะ พวกคุณดูสินี่มัน”
งานเลี้ยงที่เซี่ยวเลี่ยงชวนเหม่ยลี่ จัดขึ้นในตอนค่ำวันนั้นที่โรงแรม ฮิลตัน เซี่ยงไฮ้ หงเฉียว
เหม่ยลี่ในชุดเดรสยาวสีชมพูหวาน หิ้วถุงกระดาษสีดำเดินเข้าในโรงแรม ตรงเข้าไปหาทีน่าที่เดินมาจากอีกทางพร้อมกับพนักงานยกบริษัท
“พี่ทีน่า”
ทีน่าชะงักกึก มองตาขวาง “มี่เหม่ยลี่ เธอมาได้ยังไง”
“เอ่อ ฉันมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของคุณเซี่ยวค่ะ”
ทีน่าบอกอย่างสะใจว่า “อาหารค่ำเหรอ ตอนนี้งานเลิกแล้วนะ”
เหม่ยลี่งง “เลิกแล้วเหรอ งานเลี้ยงเริ่มสองทุ่มไม่ใช่เหรอคะ”
ทีน่าตอกกลับอีกว่า “เริ่มเหรอ งานเลี้ยงเลิกตั้งแต่สองทุ่มแล้ว”
จากนั้นก็เดินหนีไปเลน ทิ้งเหม่ยลี่ให้มองตามไปอย่างน้อยใจ
คนอื่นๆ เดินจากไปโดยไม่แยแส สาวชุดดำผู้ช่วยทีน่า เดินมาหา
“เหม่ยลี่ เธอไม่เป็นไรนะ เมื่อวานตอนเธอออกไปแล้วคุณเซี่ยวตำหนิทีน่าด้วย เขาคงอยากแก้แค้นเธอ อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ สู้ๆ ฉันไปก่อนนะ”
สาวชุดดำยกมือทำท่าไฟติ้งปลอบขวัญ แล้วเดินตามออกไป
เหม่ยลี่โบกมือลา แล้วพึมพำกับตัวเอง “คุณเซี่ยวปกป้องฉันด้วยเหรอเนี่ย ฮิ เฮ้ย”
ขณะกำลังเคลิ้มอยู่นั้น ก็มีมือข้างหนึ่งยกมาพาดลงกับไหล่ขวาของเธอเต็มแรง
เหม่ยลี่ตกใจสุดขีดยกมือทาบอก กรี๊ดลั่น “แอร๊ย”
พอหันมามองจึงพบว่าเป็นเซี่ยวเลี่ยงในสภาพเมาแอ่น ยืนแทบไม่อยู่ ส่วนคางเกยอยู่กับไหล่ซ้ายของเธออย่างหมดสภาพ ส่งเสียงอ้อแอ้ๆ ชวนทุกคนดื่มต่อ
“ทุกคนดื่มเถอะ”
“คุณเซี่ยวคะ ฉันเอาเสื้อมาคืนคุณค่ะ”
เหม่ยลี่ยกถุงชุดสูทที่เตรียมมาคืนเขาส่งให้ พร้อมยกแขนเขาออกจากไหล่หันมาหา แต่เซี่ยวเลี่ยงประคองตัวไม่อยู่ สาวอวบตกใจ หมุนตัวลงนั่งคุกเขาใช้มือดันร่างเขาไม่ให้ล้มลง
พนักงานหญิงของโรงแรมยืนอยู่ตรงล็อบบี้หันมาเห็น จึงรีบเดินเข้ามาถาม
“คุณคะ มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
“อื้ม” เหม่ยลี่พยักหน้าให้ ใช้หัวเองดันหัวเซี่ยวเลี่ยงไว้พลางถาม “ที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาวใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ฉัน ฉันต้องการเตียง” สาวอวบบอก
พนักงานหญิงงง คิดไปอีกอย่าง “เตียงเหรอ คุณต้องการเตียงเหรอคะ”
“ค่ะ”
“เตียงเหรอ” พนักงานถามย้ำคำเดิม
เซี่ยวเลี่ยงเมาปลิ้นแลบลิ้นแผล็บๆ เหม่ยลี่เงยหน้าขึ้นมอง ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะอยู่ใกล้เขาขนาดหายใจรดกันขนาดนี้
สุดท้ายพนักงานหญิงเปิดห้องพักให้ เหม่ยลี่ประคองเซี่ยวเลี่ยงในสภาพเมาไม่ได้สติเข้ามาในห้อง โยนถุงเสื้อไว้ที่โซฟา ตรงไปยังเตียงนอน ปล่อยร่างซีอีโอหนุ่มลง แต่กลับเสียหลักลมทับไปบนร่างเขา
เหม่ยลี่ตกใจเบี่ยงตัวออกจากร่างเขา “โธ่เอ๊ย”
เซี่ยวเลี่ยงคล้ายอึดอัดยกมือขึ้นมาพยายามถอดเนกไทออก แต่กลับเป็นยิ่งรัดแน่น
“โอ๊ะ รัดคอผมแล้ว”
“คุณอึดอัดเหรอ งั้นฉันช่วยคุณค่ะ”
เหม่ยลี่ปลดเนกไทให้
เซี่ยวเลี่ยงลืมตาขึ้นมาในอาการสะลึมสะลือ หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ “เยี่ยฉี” คนรักของเขาเคยถอดเนกไทในลักษณะเดียวกันนี้ให้ เห็นเหม่ยลี่เป็นเยี่ยฉี
“เยี่ยฉี”
เซี่ยวเลี่ยงลืมตามอง แล้วเบี่ยงตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายทับร่างเหม่ยลี่ มองจ้องหน้าเธอในระยะใกล้แค่คืบ มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าสาวอวบไว้ แล้วหลับตาพริ้ม พร้อมกับยื่นหน้าขยับริมฝีปากเป็นกระจับลงมาใกล้ๆ คล้ายจะจูบ เหม่ยลี่ รอรับการจูบนั้นด้วยใจลุ้นระทึก แต่แล้วเซี่ยวเลี่ยงกับคอพับลงไปกับไหล่ของเธอแทน!
ทว่าเท่านี้เหม่ยลี่ก็ฟินแล้ว เธอยกมืออีกข้างโอบร่างของเขาไว้ในวงแขน ยิ้มพริ้มเพรา หลับตาลงช้าๆ
รุ่งเช้า แสงสว่างสาดเข้ามาในห้องพักห้องนั้น เซี่ยวเลี่ยงในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวหลับอยู่ โดยมีแขนข้างขวาของเหม่ยลี่ในชุดเดิม พาดคอเขาอยู่
เซี่ยวเลี่ยงรู้สึกตัวแต่ยังไม่ยอมลืมตา ใช้มือสองข้างยกท่อนแขนออกจากคอเขา แต่ไม่เป็นผล ชายหนุ่มกระแอมกระไอเหมือนคนหายใจไม่ออก ค่อยๆ ลืมตาหันมามองเจ้าของแขนมหึมา แล้วแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ดีดตัวขึ้นมาจากที่นอน ลงจากเตียงโดยเร็ว กระชับชุดคลุมด้วยท่าทีตกใจ ส่งเสียงโหวกเหวก ร้องโวยวาย
“เธอลุกขึ้นนะ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
เหม่ยลี่ยันตัวลุกขึ้นในอาการง่วงงุ่น ขยี้ตามอง พลางถาม “ตื่นแล้วเหรอคะ คุณเซี่ยว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เซี่ยวเลี่ยงหันหลังแล้วรีบเปิดร่มผ้าสำรวจตัวเอง สำรวจ ‘เซี่ยวน้อย’ แล้วยิ่งต้องตกใจ เมื่อพบว่ามีเพียงเสื้อคลุมห่อหุ้มร่างกายเขาไว้
“หะ เสื้อ...เสื้อผ้าของฉันล่ะ
“คุณลืมเรื่องเมื่อคืนเหรอ เมื่อคืนนี้ คุณเมามาก ฉันเลยพาคุณมาที่นี่ไงล่ะ” เหม่ยลี่อธิบายพร้อมกับตบที่นอน “หลังจากนั้นเราก็นอนหลับถึงกลางดึก ทันใดนั้นคุณก็อ้วก อ้วกเลอะเสื้อผ้าของคุณฉันเลยเปลี่ยนชุดให้คุณไงล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงตาเหลือก “เธอถอดเสื้อให้ฉันเรอะ เธอทำอะไรฉันอีก”
เหม่ยลี่เขินที่จะพูด “นี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะจูบคุณนะ”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าเซี่ยวเลี่ยงจังๆ เขาโกรธจัดชี้ที่ริมฝีปากตัวเอง
“อะไรนะ! เธอ! จูบฉันเรอะ!”
เหม่ยลี่เคลิ้มพยักหน้ารับ “อื้ม” ก่อนจะได้สติรีบสั่นหน้า “ไม่ๆๆ”
เซี่ยวเลี่ยงโกรธถึงขีดสุด ชี้นิ้วไปทางประตูไล่ตะเพิด
“เธอออกไปเลยนะ ออกไป”
เหม่ยลี่ตาแดงแล้ว เสียใจเหลือเกิน ยันร่างขึ้นจากเตียงเดินตุ๊ต๊ะไปหยิบเสื้อผ้าจากถุงตรงโซฟา
“จริงด้วยคุณเซี่ยว ฉันเอาเสื้อมาคืนคุณ ขอบคุณที่ให้ฉันยืมนะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงหนีขึ้นไปบนเตียงอย่างผวากลัว ใช้ปลายนิ้วรับมาอย่างรังเกียจ แล้วโยนทิ้งไปบนพื้นห้อง
เหมยลี่งง “ทำไมต้องโยนทิ้งด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงชี้นิ้วไล่ส่ง “เธอมันฉวยโอกาสน่าขยะแขยง รีบออกไปเลย” เขาเดินเหยียบสูทชุดนั้นเข้าห้องน้ำไป หยุดตรงประตูด่าซ้ำ “ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก”
เหม่ยลี่ตาแดง พยายามไม่ร้องไห้ ก้มลงหยิบชุดที่เซี่ยวเลี่ยงเหยียบขึ้นมาถือไว้ รำพันกับตัวเอง
“ทำไมต้องโยนทิ้งด้วย”
เหม่ยลี่เข้าออฟฟิศในชุดเดิมนั้นและหิ้วถุงใส่สูทเซี่ยวเลี่ยงมาด้วย แต่กว่าจะถึงออฟฟิศก็สายโด่ง รีบไปพบทีน่าที่ห้องทำงาน โดนผอ.จอมเหวี่ยงตำหนิเรื่องที่มาทำงานสาย
“มาสายอีกแล้วใช่มั้ย”
เหม่ยลี่ใจลอย เสียใจเรื่องเซี่ยวเลี่ยงไม่หายหลุดปากไปว่า “ใช่ค่ะคุณเซี่ยว”
ทีน่างง “เธอว่าไงนะ”
เหม่ยลี่ได้สติ “เอ่อ...เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก”
ทีน่าสวนออกมา “อะไรของเธอเนี่ย ช่างเถอะ ฉันเรียกเธอมาเพราะจะบอกว่า โครงการของเทซีโร่เธอไม่ต้องเข้าร่วมแล้ว รับผิดชอบอย่างอื่นแล้วกัน”
เหม่ยลี่ตกใจ “โพรเจกต์ผ่านแล้วไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันเข้าร่วมด้วยล่ะ”
ทีน่ากลับอ้างว่า “นี่เป็นคำสั่งของผู้บริหาร
เหม่ยลี่งงพยายามจะแย้ง “ฉัน...”
ทีน่าไม่ฟัง “ส่วนงานวางแผนของเธอ ก็เป็นงานส่วนหนึ่งของแผนกเรา ฉันจะเซ็นสัญญาในนามของแผนกแล้วกัน”
เหม่ยลี่โกรธ “คุณ...คุณ...ทำไมคุณต้องขโมยแผนงานของฉันด้วย งานของฉันแต่กลับไม่ยอมให้ฉันเซ็นชื่อ คุณจะขโมยผลงานของฉันใช่มั้ย”
ทีน่าโกรธเหลียวซ้ายแลขวา กลัวคนอื่นจะมาได้ยิน
“เธอพูดเรื่องอะไร ไม่อยากทำใช่มั้ย งั้นก็ลาออกไป”
“คุณไม่มีสิทธิ์ขโมยผลงานของฉันนะ”
ทีน่าตวาด “ฉันบอกให้ออกไป”
เหม่ยลี่ไม่ยอม “ฉันไม่ไป ฉันต้องการคำอธิบาย”
ทีน่าทุบโต๊ะปัง ลุกจากเก้าอี้ยกสองแขนเท้าโต๊ะ จ้องหน้าสาวอวบอย่างเอาเรื่อง
“ได้ ฉันจะอธิบายให้เธอฟัง มี่เหม่ยลี่ ฉันขอประกาศว่าเธอไม่ใช่พนักงานของบริษัทแล้ว รีบเก็บของออกไปทันที บริษัทไม่ต้องการเธอ”
เหม่ยลี่ตะลึงตะไล คาดไม่ถึง วันนี้เธอโดนไล่ออกถึงสองครั้งสองวาระ
ถูกซีอีโอหล่อหลากไส้ผู้ชายที่เธอแอบปลื้มไล่ออกจากชีวิตเขา และยังถูกหัวหน้าขี้โกงยึดงานไปและไล่ออกจากงานที่เธอรักอีก
ในค่ำคืนอันแสนปวดร้าวนั้น มี่เหม่ยลี่สะพายกระเป๋าหิ้วลังอุปกรณ์สำนักงานและถุงเสื้อสูท เดินตุ๊ต๊ะมาตามทางสายเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ในสภาพใบหน้าหมองเศร้า
อีกฟาก เหลยอี้หมิง อยู่ที่ห้องพักในโรงพยาบาล กำลังง่วนอยู่กับอาหารมื้อเย็นง่ายๆ เป็นขนมปังทาแยมรสโปรด และคอยก้มฟังเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ รอสายจากยัยอ้วนเพื่อนรัก ทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย อี้หมิงรีบหยิบมือถือมาวางบนหัวไหล่แนบกับหูคุยสายไปทาขนมปังไป
เสียงอี้หมิงโวยวาย ดังลอดออกมาจากมือถือเหม่ยลี่
“นี่ ยัยอ้วน เมื่อคืนเธอปิดเครื่องไปไหนมา”
เหม่ยลี่ร้องไห้ไปพูดไป “ฮือๆๆ เหลยอี้หมิง เมื่อคืนนี้ ฉันไปนอนกับเซี่ยวเลี่ยงมาน่ะสิ
อี้หมิงงงมากกว่าตกใจ “เรื่องมันยังไงกัน นี่ควรจะเป็นข่าวดีแล้วเธอร้องไห้ทำไม คนที่ร้องไห้ควรเป็นเซี่ยวเลี่ยงมากกว่า”
เหม่ยลี่ร้องไห้ไม่หยุด “เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก เราแค่นอนด้วยกันเฉยๆ เท่านั้น”
“โอเคๆ ฉันแค่ล้อเล่นน่า ไม่ร้องๆ” อี้หมิงปลอบ
“แต่วันนี้เขาบอกว่าเขาเกลียดฉัน และขยะแขยงฉัน เขาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าฉันตลอดไป ฉันกลายเป็นคนที่เขาเกลียดไปแล้วล่ะ” เหม่ยลี่ครวญคร่ำรำพัน
“ไม่เป็นไรนะ เธอปล่อยเซี่ยวไปเถอะ ไม่ใช่...เธอปล่อยเซี่ยวเลี่ยงไปเถอะ อย่าไปยึดติดกับเซี่ยวเลี่ยง ยังมีเซี่ยวเลี่ยงอีกเป็นพันคน...ไม่ใช่ยังมีผู้ชายอีกมากมายที่ดีกว่าเซี่ยวเลี่ยงรอเธออยู่ เธออย่าเสียใจเลยนะ”
“เหลยอี้หมิง วันนี้ฉันรู้สึกเสียใจมากๆ เลยล่ะ ดังนั้นฉันจึงต้องกินของอร่อยเยอะๆ เงินเดือนนายออกรึยัง”
อี้หมิงเซ็งเลย “ฉันนึกแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องกินเธอต้องมีแรงขึ้นแน่”
เหม่ยลี่ยิ้มได้ “ฮิๆ แน่นอนสิ อย่างน้อยในโลกนี้ฉันก็ยังมีเธอ และมีของอร่อยไงล่ะ”
“เธอคิดถูกแล้ว ตอนนี้ฉันเข้ากะกลางคืน เลิกงานแล้วฉันจะซื้อขาหมูไปให้ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้...ฉันอยู่บนถนนทางแยกอีเหอกับถนนฉางอันใกล้บริษัท”
“งั้นดี เลิกงานแล้วฉันจะไปหาที่บ้าน”
“อื้ม ฉันจะรอนาย”
อี้หมิงจึ๊ปากเซ็งๆ แล้ววางสายไป
ในรถยนต์คันหรูที่ขับแล่นมาตามทาง ไม่ห่างจากบริษัทนัก ฉีหยูทำหน้าที่คนขับ เขาเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่งว่า
“คุณเซี่ยว ของแบรนด์เนมต่างประเทศเรามีส่วนร่วมในการส่งเสริม,เช้านี้ผมได้รับรายงานว่า หกเดือนนี้ยอดขายของบริษัทเราลดลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์”
“ผมต้องเร่งเอาใจกรรมการช่วงครึ่งปีแรกก่อน เดี๋ยวไปกินข้าว ผมจะทำให้พวกเขาอยู่ฝ่ายผม ใกล้จะไม่ทันแล้ว” เซี่ยวเลี่ยงยกนาฬากาข้อมือมาดูเวลา “ดูสิว่าสามารถไปทางอื่นได้มั้ย”
ฉีหยูตรวจดูเส้นทางจากจออัจฉริยะ แล้วหักรถเลี้ยวซ้ายไปตามที่เครื่องประมวลผลบอก
ด้านเหม่ยลี่เดินมาตามทางริมถนนฉางอัน คุยสายกับอี้หมิงผ่านบลูทูธมาเรื่อยๆ ขณะกำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลายเธอเกิดเสียหลักสะดุดเข้ากับขอบฟุตบาธ หน้าคะมำ ลังของในมือหล่นกระจายเกลื่อนพื้นถนน
“โอ๊ย”
สาวตุ้ยนุ้ยแบกน้ำหนักร่วม 200 กิโล ลงนั่งยองๆ เก็บของไปอย่างทุลักทุเล
ระหว่างนี้รถที่ฉีหยูขับแล่นมาเรื่อยๆ ตามทางสายเดียวกันนี้เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียวเขาจึงขับผ่านไปโดยเหลียวมองมาเหม่ยลี่แว่บหนึ่ง
เหม่ยลี่เก็บของเสร็จ ลุกพรวดขึ้นยืน จู่ๆ มีรถตู้แล่นมาจากอีกทางด้วยความเร็วสูง แม้ชายคนขับรถจะพยายามเบรกแต่ก็ไม่ทันแล้ว รถพุ่งชนร่างเหม่ยลี่จังๆ จนหน้าเธอคะมำฟาดเข้ากับกระจกหน้ารถอย่างรุนแรง กระจกแตกละเอียดกระจายใส่หน้าเธอ แรงกระแทกทำให้ร่างของเหมยลี่กระเด็นไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นถนนท่ามกลางเศษกระจกและเอกสารเกลื่อนกระจาย
ร่างมหึมาในเดรสยาวสีชมพูนอนแน่นิ่ง ไม่รู้เป็นหรือตาย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมือลง
เวลานั้น ทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดรักษาและช่วยชีวิตคนไข้บนเตียงอย่างเร่งด่วน อี้หมิงเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ชุดนี้ เขาถามหมอเวรผู้ช่วยอย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
หมอผู้ช่วยบอกว่า “อุบัติเหตุรถยนต์ ร่างกายเธอถูกเศษกระจกบาด คุณหมอเหลย ต้องพึ่งคุณแล้ว”
อี้หมิงตั้งอกตั้งใจกับการผ่าตัดเคสนี้มากเป็นพิเศษ
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลง ก่อนที่อี้หมิงและหมอผู้ช่วยจะเปิดประตูออกมาล้างไม้ล้างมือ
“เหนื่อยจริงๆ” อี้หมิงว่าพลางเปิดก๊อกล้างคราบเลือด
พยาบาลเดินถือแฟ้มออกมาจากห้องข้างๆ “คุณหมอเหลย เคสผ่าตัดเป็นยังไงบ้างคะ”
หมอผู้ช่วยบอกแทนว่า “แม่ปลอดภัย เด็กในท้องก็ปลอดภัยแล้ว หมอเหลย ผมไปรายงานอาการผู้ป่วยก่อนนะ”
พยาบาลเดินมาหาอี้หมิงยิ้มชม “คุณเก่งจังค่ะ อุบัติเหตุหญิงตั้งท้อง คุณทั้งผ่าตัดและทำคลอดลูกไปด้วย ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของโรงพยาบาลเราจริงๆ”
อี้หมิงหันไปมอง เห็นทีมแพทย์เดินผ่านเข้าออกจากห้องผ่าตัดฝั่งตรงกันข้าม ด้วยท่าทางรีบร้อน จึงอดถามไม่ได้
“ห้องผ่าตัดตรงข้ามเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนเยอะอย่างนี้”
“อ้อ เคสอุบัติเหตุรถยนต์เหมือนกัน ได้ยินว่า เป็นผู้หญิงอ้วนหนัก 200 กว่ากิโล ส่งมาจากถนนฉางอันค่ะ”
“200 กิโลเชียวเหรอ หนักขนาดนั้นเชียว” อี้หมิงทวนคำ ขณะเดินไปแล้วหยุดกึกหันมาทาง “ส่งมาจากถนนฉางอันเหรอ”
“ใช่ค่ะ ผู้หญิงอ้วนหนัก 200 กว่ากิโล ส่งมาจากถนนฉางอันค่ะ”
อี้หมิงอึ้ง เหลียวขวับไปทางห้องผ่าตัดห้องนั้นทันทีด้วยสีหน้าอันตื่นตระหนก ก่อนที่จะกระโจนมามองผ่านกระจกเข้าไป
หมอเจ้าสำราญแทบหมดแรงเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนรักที่ทีมแพทย์กำลังช่วยชีวิตอย่างเต็มกำลัง
ด้านในห้องผ่าตัด หมอหญิงแจ้งอาการคนไข้ “หัวใจเต้นช้าลง อุณหภูมิของร่างกายลดลงต่ำ คุณหมอหลิวหัวใจของผู้ป่วยเต้นช้าลงเรื่อยๆ”
หมอหลิวหัวหน้าทีมแพทย์ที่ทำการผ่าตัดสั่งการ “เตรียมทำ CPR เครื่องช็อตไฟฟ้า”
“ค่ะ”
อี้หมิงมองไม่วางตา นึกภาวนาในใจ “ยัยอ้วน ใช่เธอจริงๆ ด้วย เธอต้องฟื้นขึ้นมานะได้ยินมั้ย เธอห้ามตายนะ เธอต้องรีบฟื้นขึ้นมา”
ได้ยินเสียงหมอหลิวสั่งการดังขึ้นอีกว่า “หัวใจเต้นปกติแล้ว เตรียมถ่ายเลือดได้”
คำพูดนั้นทำให้อี้หมิงโล่งใจ
วันต่อมา มีตำรวจ 2 คนมาขอพบฉีหยูแต่เช้าที่ออฟฟิศ สองฝ่ายเอ่ยทักทายกันและกัน
“สวัสดีครับ”
ฉีหยูทักตอบท่าทีงง “สวัสดีครับๆ”
ตำรวจคนแรกถามว่า “นั่งสิ คุณคือคุณฉีหยูใช่มั้ยครับ”
ฉีหยูงง “เอ่อ ใช่ครับ คุณสองคนมีเรื่องอะไรมารึเปล่า”
ตำรวจอีกคนอธิบาย “สวัสดีครับ เราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังตรวจสอบอุบัติเหตุจราจร เราตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดเห็นคุณขับรถเลขทะเบียนรถ 3625 ตอนนั้นกำลังเกิดอุบัติเหตุอยู่พอดี”
ฉีหยูรับฟังด้วยท่าทีงงๆ “อุบัติเหตุจราจรเหรอ”
ผู้ช่วยหนุ่มรีบรายงานเจ้านาย ไม่นานต่อมา ฉีหยูได้พาเซี่ยวเลี่ยงมาที่โรงพยาบาล สองหนุ่มหยุดยืนมองเข้าไปในห้องพักฟื้นของเหม่ยลี่
“คุณเซี่ยว คุณอย่ารู้สึกผิดเลย มันไม่ใช่ความผิดของเรา รถบรรทุกคันนั้นทำผิดกฎจราจรเองนะ”
“ถึงเราไม่ได้เป็นคนผิด แต่ก็ต้องจ่ายค่ารักษาทั้งหมดด้วย”
“ครับ”
“อย่าให้เธอรู้ว่าใครเป็นคนจ่ายค่ารักษา ห้ามระบุชื่อ”
ระหว่างที่สองหนุ่มคุยกันอยู่ เปลือกตาของเหม่ยลี่เริ่มขยับเหมือนรับรู้ และได้ยินการสนทนาที่ฉีหยูรับเอาคำตอนท้ายว่า
“ผมทราบแล้วครับ”
เหม่ยลี่ค่อยๆ ลืมตา เหลียวมองผ่านกระจก เห็นร่างเซี่ยวเลี่ยงเดินจากไปช้าๆ ราวกับเป็นภาพฝัน
ถัดจากนั้น อี้หมิงในชุดปลอดเชื้อเดินเข้ามาในห้องตรงมาหยุดข้างเตียง มองเหม่ยลี่ด้วยสีหน้าเศร้า
“ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกยังไงบ้าง”
เหม่ยลี่พูดคล้ายละเมอ “เหมือนฝันถึงเซี่ยวเลี่ยงเลยละ”
อี้หมิงเซ็งเลย “ฝันอีกแล้วนะ ยัยเด็กโง่ เธอบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ยังคิดถึงไอ้หมอนั่นอีกทำไม”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“เอ่อ ยัยอ้วน เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าของเธอกระแทกโดนกระจก ตอนนี้...เสียโฉมไปแล้ว แต่ร่างกายของเธอปลอดภัยแล้ว เธอวางใจได้ ฉันได้ติดต่อกับหมอผู้เชี่ยวชาญ เขาจะทำการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าให้เธอ”
เหม่ยลี่ตกใจและไม่ยอม “ฉันไม่เอานะเหลยอี้หมิง ฉันไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การศัลยกรรม”
อี้หมิงปลุกปลอบขวัญเหม่ยลี่ยกใหญ่ “ยัยอ้วนเธอฟังฉันก่อน ถ้าเธอไม่ทำการผ่าตัดศัลยกรรม เธอจะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ฉะนั้นเธอต้องอดทน แม้แต่ความตายเธอก็ผ่านมาแล้วต้องกลัวอะไรอีกล่ะ” อี้หมิงค่อยๆ โน้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ “เธอไม่ต้องกังวลนะ หลังจากการผ่าตัดศัลยกรรมแล้ว เธอต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
“เธอรู้มั้ยเหลยอี้หมิง ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ ดูเหมือนฉันจะนึกถึงเรื่องในอดีต”
เหม่ยลี่หวนนึกถึงฉากชีวิตสมัยเป็นเด็ก เรียนชั้นประถม เวลานั้นครูพาเด็กชายอี้หมิงเดินเข้ามาแนะนำกับเพื่อนๆ และเขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วเดินมานั่งโต๊ะติดกัน ก่อนจะควักอมยิ้มสีรุ้งอันเบ้อเริ่มมาให้ เหม่ยลี่รับมาหัวเราะร่าอย่างถูกอกถูกใจ
“ตอนที่ฉันยังเรียนชั้นประถม ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับฉันเลย มีแต่นาย ที่เห็นฉันเป็นเพื่อนรัก แต่หลังจากขึ้นมัธยมต้น นายก็ย้ายไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ ฉันก็เลยต้องอยู่ตัวคนเดียว หลังจากนั้น ฉันก็ไปที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อไปเรียนออกแบบ แต่พอพวกเขาเห็นว่าฉันอ้วน พวกเขาก็พูดว่า อ้วนอย่างนี้จะเป็นดีไซเนอร์เหรอ แต่ฉันก็ไม่เคยยอมแพ้ ฉันคิดว่า ฉันยัง...พยายามไม่พอถึงได้เป็นแบบนี้ ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้อง...พยายามให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่าของคนอื่น ฉันเลยต้องทำให้ตัวเองมีความสุขทุกวัน ด้วยการกิน แค่รูปลักษณ์ภายนอกของฉัน มัน...สำคัญมากเลยเหรอ มันสำคัญถึงขนาดกำหนดชีวิตของคนคนหนึ่งได้เชียวเหรอ”
เล่าถึงตรงนี้เหม่ยลี่น้ำตาไหลรินออกมา อี้หมิงทั้งสงสารและเห็นใจ ให้คำมั่นยัยอ้วนของเขาว่า
“ยัยอ้วน ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไง ฉันไม่สนว่าเกิดอะไรกับเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีของเธอตลอดไป ฉะนั้น ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ไม่ต้องห่วงนะ มีฉันอยู่ทั้งคน”
พร้อมกับว่าอี้หมิงก้มลงไปโอบกอด ทำท่าเหมือนกระซิบบางอย่างข้างๆ หู ยัยอ้วนของเขา เหม่ยลี่ซาบซึ้งจนน้ำร่วง
มี่เหม่ยลี่ ตัดสินใจทำศัลยกรรมตามคำแนะนำของอี้หมิง เวลานี้เธอค่อยๆ ลืมตามองคุณหมอหลิว และทีมแพทย์ ที่พูดให้กำลังใจ
“การผ่าตัดกำลังจะเริ่มแล้ว ขอให้คุณเตรียมใจให้พร้อม คุณไม่ต้องห่วง ทุกอย่าง ต้องราบรื่นอย่างแน่นอน นะ”
เหม่ยลี่หลับตาลง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเซี่ยวเลี่ยงก็ลอยวนเข้ามาในห้วงคิด รวมไปถึงความใกล้ชิดในคืนที่เขาเมาปลิ้น จนเธอต้องพาไปส่งที่ห้องในคืนนั้น แต่เมื่อแวะไปหาในตอนเช้าเธอกลับถูกเขาไล่ตะเพิดออกไปจากห้องแถมเหยียบชุดเธอนำไปคืนโดยไม่แยแส ภาพสุดท้ายก่อนจะเธอจะสบไปเป็นภาพที่เซี่ยวเลี่ยงมาดูอาการเธอมองผ่านกระจกเข้ามา แล้วจะเดินจากไป
เหม่ยลี่ปิดตาลง พร้อมแล้วสำหรับการผ่าตัดศัยกรรมครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ
4 เดือน ต่อมา
รูปร่างภายนอกของเหม่ยลี่ผอมลงไปถนัดตา เธออยู่ในสภาพถูกผ้าพันแผลปิดรอบศีษะเว้นไว้เพียงช่วงดวงตา ที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นความตื่นเต้นชัดแจ้งผ่านแววตาคู่นั้น เวลานี้เธอนั่งอยู่ต่อหน้าหมอหลิวซึ่งยืนยิ้มมองมา
อี้หมิงซึ่งยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างหลังเหม่ยลี่ถามขึ้นว่า
“คุณหมอ เป็นยังไงบ้าง”
หมอหลิวก้มลงแตะใบหน้าใต้ผ้าพันแผลเบาๆ อย่างพึงพอใจ แล้วถอนตัวออกพลางอธิบายผลการรักษาตลอด 4 เดือนมานี้
“อ้อ เธอพักฟื้นได้รวดเร็วมาก หลายเดือนก่อนได้มีการฟื้นฟูสมรรถภาพและควบคุมอาหารร่างกายก็เลยผอมลง ผ้าพันแผลบนใบหน้า สามารถเอาออกได้แล้ว”
อี้หมิงหัวเราะชอบใจ ตีที่หลังเหม่ยลี่เบาๆ พูดกระเซ้าอย่างอารมณ์ดี
“ได้ยินรึยัง ในที่สุดความทรมานของฉันก็สิ้นสุดลง ฉันจะได้ไปออกเดทกับสาวๆ บ้าง”
หมอหลิวยิ้ม พลางบอกเหม่ยลี่อีกว่า “ถ้าไม่ได้เขาคอยร่วมมือกับคุณเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ คุณอาจจะฟื้นฟูร่างกายไม่ได้เร็วขนาดนี้ งั้นตอนนี้ ผมจะเอาผ้าพันแผลออกให้คุณนะ”
พร้อมกับว่าหมอหลิวยื่นมือมาหมายจะเปิดผ้าให้ แต่เหม่ยลี่ยกมือขึ้นกันหน้าไว้ไม่ยอม
“เอ๊ะ”
หมอหลิวงง “หืม”
“เดี๋ยวค่ะ”
อี้หมิงเองก็ไม่เข้าใจ มองฉงน “หะ เป็นอะไร”
เหม่ยลี่รีบพูดสวนออกมาว่า “เหลยอี้หมิง นายช่วยเอาออกให้หน่อยฉันกลัว”
เหม่ยลี่ยกมือขึ้นเป็นเชิงเรียก อี้หมิงจับมือข้างนั้น พร้อมกับขยับมายืนข้างหน้าเธอ
“ฉัน...ฉันทำได้เหรอ” อี้หมิงชี้ที่ตัวเองถาม
หมอหลิวยิ้มให้ บอกว่า “ได้สิครับ”
อี้หมิงถอนใจเฮือก จ้องตาเหม่ยลี่บ่นงึมงำ “เหมือนลุ้นล็อตเตอรี่เลย ตื่นเต้นจังเลย ฉันแก้แล้วนะ”
หมอหนุ่มตื่นเต้นเอามากๆ ค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกช้าๆ เขาหลับตาลงเมื่อหางผ้าพันแผลพ้นจากหน้าเหม่ยลี่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองในจังหวะที่เหม่ยลี่ลืมตาขึ้นมามองเช่นกัน อี้หมิงมองสำรวจใบหน้าอันงดงามตรงหน้า เขาต้องตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง รำพึงรำพันในใจ
“แปลกมากๆ นี่มันเป็นใบหน้าในความฝันของฉันเลยนี่”
อี้หมิงใช้นิ้วจิ้วใบหน้างาม เบาๆ
เหม่ยลี่ลุ้นสุดขีด อดถามไม่ได้ “โอเคมั้ย”
“โอเคมาก”
เหม่ยลี่โล่งอกยิ้มกว้าง พร้อมกับหัวเราะออกมา สองคนหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข
หมอหลิวรีบห้ามพลางอธิบาย “นี่ๆ เธอเพิ่งฟื้นยังหัวเราะมากไม่ได้ ระวังคางนะ จำไว้ ต่อไป ต้องระมัดระวังใบหน้าให้มากๆ”
“งั้นตอนนี้ คางของฉันจะตกลงมามั้ยคะ”
“อ้อ ไม่ต้องห่วงไม่หรอก เพราะการผ่าตัดของคุณประสบความสำเร็จ”
“ดีครับ ขอบคุณครับคุณหมอ ขอบคุณ”
อี้หมิงยื่นมือออกไป หมอหลิวจับตอบพร้อมกับยิ้มให้
“ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณค่ะหมอ”
ทันทีที่หมอหลิวลับตัวไปอี้หมิงก็ชี้หน้าต่อว่าเหม่ยลี่ทันที
“ห้ามยิ้มนะ หมอบอกแล้วต้องเชื่อฟังสิ อยากเห็นหน้าของเธอตอนนี้มั้ย”
“ไม่กล้าดู”
“ฉันอยู่ทั้งคน เธอกลัวอะไร ฉันไปดูเป็นเพื่อนเธอนะ ดีมั้ย” อี้หมิงพยุงพาเหม่ยลี่ซึ่งหลับตามายืนตรงกระจกบานสูงเต็มตัวตรงมุมห้อง พร้อมกับดีดนิ้วบอกว่า
“ลืมตาได้ เป็นไงบ้าง”
เหม่ยลี่ลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าของเธอตื่นตะลึง น้ำตารื้นขึ้นมา ไม่อยากเชื่อ
“เอ่อ นี่ฉันเหรอเนี่ย”
“ใช่เธอแน่นอน ตอนนี้เธอกลายเป็นคนใหม่แล้วนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มออกมาเต็มหน้า
“มา ยัยอ้วน ยินดีด้วยที่เธอทำลายรังไหมกลายเป็นผีเสื้อได้แล้ว เริ่มต้นชีวิตใหม่นะ”
พร้อมกับว่าอี้หมิงหยิบสร้อยคอเส้นเล็กๆ มีจี้เป็นรูปผีเสื้อคล้องอยู่ออกมา
เหม่ยลี่ถูกใจมากร้อง “ว้าว”
“จะใส่ตอนนี้เลยมั้ย”
เหม่ยลี่พยักหน้า “อื้ม”
“ได้”
สองคนยืนมองตัวเองในกระจกเงา เหม่ยลี่หยิบจี้รูปผีเสื้อพลางยิ้มกว้างขอบคุณ หมอเพื่อนรัก
“ขอบคุณมากเหลยอี้หมิง ขอบคุณที่นาย อยู่เคียงข้างฉันมาตลอด”
อี้หมิงจึ๊ปากพึมพำ “เธอสวยมาก”
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่ม “ฮิ สวยจริงๆ ด้วย”
“ฉันหมายถึงสร้อยคอน่ะ” อี้หมิงว่า
เหม่ยลี่หัวเราะขำ อี้หมิงเอ็ด
“เอ๊ะ ห้ามหัวเราะ”
เหม่ยลี่ยิ้มกับตัวเอง ลูบจี้ผีเสื้อสีทองเบาๆ
เวลานี้เธอได้ออกจากรังไหมกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยตามที่นึกฝัน จนวาดเป็นแผนงานในโพรเจกต์โฆษณาของเทซิโร
อุปสรรคขวางกั้นความสามารถของเธอ ถูกทลายลงไปแล้ว
อีกฟาก ที่ห้องประชุม เทซีโร บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึม เซี่ยวเลี่ยง นั่งประจำที่หัวโต๊ะ รองประธาน จื่อเหลียงนั่งทางขวามือ เหมือนเดิม เช่นเดียวกับ ฉีหยู ยืนอยู่ด้นหลังติดผนัง หญิงชุดสีส้มซึ่งนางน่าจะเป็นฝ่ายบัญชีของบริษัท นั่งข้างซ้ายเซี่ยวเลี่ยง พูดนำการประชุมอยู่
“นี่คือรายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของบริษัทเรานะคะ ครึ่งปีมานี้ยอดขายของบริษัทลดลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวมาก”
จื่อเหลียงมองไปทางเซี่ยวเลี่ยง ปรารภขึ้น “คุณเซี่ยว ตั้งแต่บริษัทก่อตั้งมา” แล้วจึงหันไปเอ่ยกับที่ประชุมเชิงตอกย้ำว่า “ยอดขายไม่เคยลดลงขนาดนี้เลย ถ้ายังไม่มีการปรับเปลี่ยน เกรงว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นได้”
“ผมในฐานะประธาน ยอดขายลดลงผมต้องมีส่วนรับผิดชอบ แต่ข้อมูลไม่ได้อธิบายปัญหาทั้งหมด การปรับเปลี่ยนจะต้องมีกระบวนการที่ดี ผมคิดว่าที่ยอดขายลดลง คงแค่ชั่วคราวเท่านั้น” เซี่ยวเลี่ยงบอกอย่างมั่นใจ
“คุณเซี่ยวพูดถูก เราต้องพึ่งกระบวนการที่ดี แต่เราได้ปลดบุคลากรอาวุโสออก 4 คน แม้จะมีการรับพนักงานใหม่เข้ามา แต่เพราะพนักงานใหม่ยังขาดประสบการณ์ จึงย่อมส่งผลกระทบต่อยอดขาย”
เซี่ยวเลี่ยงหลับตาลงนิ่งฟัง ทำไมเขาจะไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย ก่อนจะทุบโต๊ะปัง! ลุกขึ้นปรายตามองมาทางจื่อเหลียงอย่างไม่พอใจ
“ผมบอกแล้วว่าต้องอาศัยกระบวนการที่ดี ดังนั้นจึงต้องใช้เวลา สามเดือน” เขายกสามนิ้วขึ้นเหมือนการันตี “ให้เวลาผมแค่สามเดือน ผมจะเพิ่มประสิทธิภาพยอดขายเป็น 20 เปอร์เซ็นต์” เซี่ยวเลี่ยงบอก
จื่อเหลียงไม่เชื่อลุกขึ้นทักท้วง “สามเดือนเพิ่ม 20 เปอร์เซ็นต์งั้นเหรอ คุณเซี่ยว อย่าทำให้ตัวเองลำบากเลย”
“ถ้าไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ล่ะก็ ผมจะขอลาออก” เซี่ยวเลี่ยงประกาศกร้าวแล้วเดินออกจากที่ประชุมไปเลย ฉีหยู ตาม
ออกจากห้องประชุมสองหนุ่มเดินคุยกันมาตามทาง
“ฉีหยู ให้แผนกออกแบบของฤดูกาลใหม่ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ เราจำเป็นต้องส่งเสริมโปรโมชั่นทางการตลาด แจ้งเตือนบริษัทโฆษณา L ให้พวกเขาประชาสัมพันธ์โดยด่วน”
ฉีหยูน้อมรับเอาคำสั่ง “ครับ ผมจะรีบจัดการทันที”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับรู้ “อืม”
ฉีหยูนึกบางอย่างได้
“อ้อ คุณเซี่ยว”
“หืม”
ฉีหยูเปิดกระเป๋าถือในมือ หยิบกล่องสักหลาดสีน้ำเงินออกมายื่นให้ เซี่ยวเลี่ยงรับไป ฟังผู้ช่วยอธิบาย
“ผลิตภัณฑ์แหวนผู้ชาย ได้รับการออกมาตามคำสั่งของคุณแล้ว เพราะคุณได้แรงบันดาลในในการออกแบบจากอัศวินแห่งยุโรปพวกเขาจึงเรียกมันว่าอัศวินครับ”
เซี่ยวเลี่ยงเปิดกล่องหยิบแหวนตัวอย่างออกมาดู พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“อื้ม แหวนอัศวินเหรอ ดีมาก ตอนนี้สามารถนำเข้าสู่ตลาดได้เลย หวังว่ามันจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เราได้ ไปเถอะ”
เซี่ยวเลี่ยงตบแขนผู้ช่วยของตน แล้วเดินออกไป
“ครับ คุณทำงานต่อเถอะ”
ฉีหยูแยกไปอีกทาง
อีกฟาก ทีน่ากำลังระเบิดลง อาละวาดกับลูกน้องในบริษัทเสียงดังลั่น ซึ่งแต่ละคนก้มหน้างุดไม่มีใครกล้าหืออือ
“พวกเธอมันทำงานไม่ได้แม้แต่คนเดียว นอกจากมี่เหม่ยลี่แล้ว ไม่มีใครทำตามความต้องการของเทซีโร่ได้แล้วเรอะ ถ้าโพรเจกต์นี้ยังถูกเทซีโร่ปฏิเสธ เตรียมไสหัวออกไปให้หมด”
ทีน่าชี้หน้าคาดโทษทุกคน แล้วเดินอารมณ์เสียกลับห้องไป
ตกตอนค่ำคืนนั้น อี้หมิงในชุดหนังสุดเท่ห์พาเหมยลี่ออกมาฉลอง เขาเลือกร้านเหล้าหรู บรรยากาศชวนเมามาก
เหม่ยลี่ในชุดกระโปรงสั้นสีแดงทับเลกกิ้งสีดำเข้ารูป มีแจ็กเก็ตขนสัตว์เทียมสีดำสวมทับอีกชั้นเพิ่มความอ่อนหวาน แต่เธอยังนอยด์บ่นบ้าตั้งแต่ออกจากบ้านมาจนก้าวเข้ามาในผับแห่งนี้ ทั้งเสียเซลฟ์ และดูไม่มั่นใจในชุดที่เพื่อนเลิฟเลือกมาให้ใส่เลยสักนิด
“กระโปรงสั้นเกินไปหน่อยน่ะ”
อี้หมิงมองแล้วกลับว่า “หืม สั้นเหรอ ไม่สั้นหรอก”
“แล้วแต่งหน้าเป็นไงบ้าง หนาเกินไปมั้ย”
อี้หมิงดันเหม่ยลี่ไปติดผนังทางเดิน ยกมือเชยคางสำรวจใกล้ๆ “ไม่เลวๆ คนสวยแต่งหน้ากันอย่างนี้แหละ โอเค ไปได้แล้ว” อี้หมิงดีดนิ้วเปาะปลอบใจ
เขารุนหลังดันเหม่ยลี่เข้าไปด้านในมานั่งเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์บาร์
“มา มานั่งตรงนี้ ไอ้น้อง บาคาร์ดีกับน้ำส้มแก้วหนึ่ง”
อี้หมิงหันหลังสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานบาร์เหล้าอย่างคุ้นเคยกัน พนักงานชายยิ้มรับเอาออเดอร์
“รอสักครู่ครับ
มีนักเที่ยวหนุ่มโบกมือให้เหม่ยลี่ อี้หมิงเห็นไม่พอใจ หมุนตัวตามยกร้องเท้าให้ เหม่ยลี่ดึงเขาไว้เอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เหลยอี้หมิง เมื่อกี้มีผู้ชายมองฉันด้วยล่ะ”
อี้หมิงหงุดหงิด เปิดคอร์สอบรมนักเที่ยวหน้าใหม่ทันที
“ยัยอ้วน ฉันว่าเธอระวังหน่อยดีมั้ย ตอนนี้เธอเป็นคนสวยแล้วไม่ได้ขี้เหร่เหมือนเดิม ไม่ใช่มีผู้ชายมองหน่อยเธอก็ชอบเขาแล้ว” อี้หมิงอบรมซีเรียส เหม่ยลี่ยิ้มขำ หมอหนุ่มดุพลางชี้ที่กระโปรงซึ่งเหม่ยลี่นั่งอ้าขาอยู่ “หุบขาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ได้ยินรึไง อย่าเปิดอ้าอีกล่ะ” เหม่ยลี่รีบไขว้ขวาปิด
พนักงาน ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ อี้หมิงหันมาคว้าบาคาดี เหม่ยลี่หยิบแก้วน้ำส้มไปถือ
“มา ยัยอ้วน แสดงความยินดีที่เธอรอดชีวิตและที่เธอกลายเป็นคนสวยเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเธอซะ”
เหม่ยลี่ยิ้มแป้น “ขอบใจนะ”
“ชนแก้ว” สองคนชนเครื่องดื่มในมือ กูรูเลิฟเหลยอี้หมิงดกดื่มแล้ววางบาคาร์ดีลง สอนต่ออีกว่า “ยัยอ้วนจำไว้นะ ในสถานที่แบบนี้ ไม่มีทางที่เธอจะพบรักแท้ เจอจะแต่คนไม่ได้เรื่อง”
“รวมทั้งนายด้วยงั้นเหรอ” เหม่ยลี่ถามพาซื่อโดยไม่คิดอะไร
“เอ่อ...ฉัน...ฉันๆ ไม่ใช่ฉันแน่นอน ผู้ชายพวกนั้นจะเทียบกับฉันได้ไงล่ะ จริงมั้ย ดังนั้นเธอ...”
จู่ๆ เหม่ยลี่หัวเราะคิกขึ้นมา
“อย่าเพิ่งไม่เชื่อสิ มองตาฉันก่อน มาๆๆ มาๆ มองเห็นอะไร”
อี้หมิงโน้มหน้ามามองใกล้ๆ เหม่ยลี่มองตอบ ทำท่าซึ้ง
“ฉัน...”
อี้หมิงสวนขึ้นว่า “ผิด ความจริงใจต่างหาก”
“ผิด ขี้ตาต่างหากล่ะ” เหม่ยลี่แย้ง
มีเสียงใครคนหนึ่งแหลมเข้ามาในความซึ้งนั้น
“ผิด ความหลายใจต่างหาก”
อี้หมิงหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน สีหน้าเจื่อนจ๋อย เมื่อพบว่าเป็น ถิงถิง แฟนสาวของเขานั่นเอง
“ฮ่าๆๆ บังเอิญจริงถิงถิง คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
เหม่ยลี่มองสาวชุดแดงที่กำลังเอาเรื่อง จนหมอหนุ่มไปไม่เป็น
“ไหนบอกว่าคืนนี้เข้ากะกลางคืน เหลยอี้หมิง คุณมันไม่ได้เรื่อง เลวมาก”
ถิงถิงยื่นหน้าไปด่าอี้หมิงใกล้ แล้วสะบัดตัวเดินหนีไปทันที หมอหนุ่มรีบตามออกไป สวนกับหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาพอดิบพอดี
บังเอิญอะไรเบอร์นี้ เป็น เซี่ยวเลี่ยง นั่นเองซึ่งมาตามนัดลูกค้าที่ฉีหยูนัดไว้ให้ในอโคจรสถานเดียวกันนี้ เขาเดินคุยสายตำหนิผู้ช่วยเข้ามาในร้านอย่างหงุดหงิด
“ฉีหยู ลูกค้าเลือกคุยงานในสถานที่แบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง ต่อไปถ้าเป็นแบบนี้อีกฉันยกเลิกแน่”
ซีอีโอแห่งเทซีโร เดินมาลงนั่งตรงโต๊ะติดเคาน์เตอร์ที่เหม่ยลี่นั่งแกร่วรออี้หมิงอยู่ พนักงานชายเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีครับ จะรับอะไรดีครับ”
เซี่ยวเลี่ยงโบกมือปฏิเสธ พนักงานเดินออกไป ระหว่างนี้อดีตสาวอวบสามร้อยโล ดูดน้ำส้มจากแก้วในมือมองบรรยากาศรอบๆ ตัว แล้วต้องชะงักวางแก้วลง เมื่อเห็นเซี่ยวเลี่ยงนั่งตัวเป็นๆ อยู่ข้างๆ และเขาหันมามองเธอพอดี
เหม่ยลี่ยกมือบังหน้า แปลกใจเมื่อพบว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะจำเธอได้เลย หันไปมองเซี่ยวเลี่ยงผ่านนิ้วมือที่กางออก อย่างโล่งอก บอกตัวเองในใจว่า
“เขาคงจำฉันไม่ได้สินะ ใช่ๆ ฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฮิ ไม่เป็นไร เขาจำฉันไม่ได้แน่นอน”
เซี่ยวเลี่ยงรู้ตัวว่ามีคนแอบมอง พอเขาหันมาเหม่ยลี่ก็รีบหลบยกมือบังหน้าอย่างเก่า แต่พอเขาหันกลับเธอก็มองจ้องต่อ
ขณะที่เหม่ยลี่ลอบมองเซี่ยวเลี่ยงอยู่นั้น ก็มีนักเที่ยวชายชุดดำเดินผ่านมาตรงเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นเธอนั่งคนเดียวจึงเดินเข้ามาหลี
“คนสวย คุณ...คุณมาคนเดียวเหรอ ฮิๆๆ”
เหม่ยลี่กำลังฝันหวาน ถึงกับสะดุ้ง ยิ้มเป็นมิตรให้กับชายชุดดำแถมติดอ่าง ยกมือชี้ตัวเองเป็นเชิงถามพอมองไปรอบๆ ไม่เห็นใครอื่นนอกจากตัวเอง
“ฉันมาคนเดียวค่ะ”
ระหว่างนี้เซี่ยวเลี่ยงเหลียวมามองสองคน รับรู้ว่าอีกไม่นานจะมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ๆ
“ผม...ก็มาคนเดียวเหมือนกัน” ชายชุดดำหัวเราะ “ถ้างั้น ผมขอ...เลี้ยงเหล้าคุณได้มั้ย เอ่อ...แก้วนี้” เหม่ยลี่ยกแก้วน้ำส้มให้ดู แ่ต่เขาหยิบแก้วน้ำส้มของเธอออก เอาเหล้าบาคาร์ดีของเขามาวางแทนที่ “ไม่อร่อยหรอก นะ ดื่ม...ดื่มขวดนี้ ขวดนี้ อร่อยกว่า”
“ฉันไม่ดื่มเหล้าขอบคุณค่ะ”
ชายชุดดำไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธ สวนออกไปว่า “ไม่เป็นไร ผมสอนคุณเอง”
เหม่ยลี่พูดดีๆ ด้วย “ฉันไม่ดื่มจริงๆ”
ชายชุดดำคะยั้นคะยอแกมบังคับ “ดื่ม...ดื่มง่ายมาก ดีกรีก็น้อย ไม่แรงมาก”
เหม่ยลี่เห็นท่าไม่ดีจึงลุกขึ้น จะเดินหนี “ฉันไปก่อนละ”
ชายติดอ่างไม่ยอมให้ไป คว้าแขนเธอไว้ “เดี๋ยวๆ จะไปไหน ยังไม่ดึก...เลย มาๆ ดื่มหน่อย”
“ฉัน...ฉันกลับก่อนดีกว่า” เหม่ยลี่คิดหาคำพูด จนกลายเป็นติดอ่างไปเลย
ชายชุดดำชักโกรธคิดว่าถูกล้อเลียน พูดเองเออเองเบ็ดเสร็จ เวลาเดียวกันนี้ เซี่ยวเลี่ยงลอบมองมาทางเคาน์เตอร์ หยิบมือถือมาดูเวลานัดอย่างเบื่อหน่าย
“คุณ หมายความว่า...ยังไง ผมไม่ชอบให้ใครมาพูด...เลียนแบบผมนะ...มา นั่งๆๆ ลง” ชายคนดังกล่าวกระชากแขนให้เหม่ยลี่ลงนั่งอย่างเก่า
“ผมจะเลี้ยงเหล้าคุณเอง เอาอย่างนี้ผมให้คุณ...สองตัวเลือก ข้อแรก ผมจะดูคุณดื่มขวดนี้ให้หมด ข้อสอง ผมจะเป็นคนยกให้คุณดื่มขวดนี้จนหมด
เหม่ยลี่ยกนิ้วชี้ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ข้อ...”
“ข้อ..ข้อหนึ่งเหรอ”
ชายชุดดำคิดว่าเธอเลือกข้อหนึ่ง พยายามยื่นขวดเหล้าให้ดื่ม แต่เหม่ยลี่บอกว่า
“ไม่เลือกสักข้อ”
“แต่วันนี้ผมต้องทำให้คุณดื่มให้ได้” ชายชุดดำโกรธและเริ่มคุกคามหนัก เหม่ยลี่ต้องยกมือปัดป้องไปมา
ปากบอกย้ำคำเดิม “ฉันไม่ดื่มเหล้าจริงๆ”
ชายชุดดำไม่ยอม “มา ไว้หน้าผมหน่อยสิ”
เหม่ยลี่สวน “ฉันไม่ดื่มเหล้าจริงๆ”
เซี่ยวเลี่ยงทนดูไม่ไหว เขาลุกเดินเข้าจับแขนข้างที่ชายชุดดำจับบังคับเหม่ยลี่ออก กดหัวชายคนดังกล่าวลงกับเคาน์เตอร์บาร์อย่างแรง อีกมือดึงขวดเหล้ามากระแทกลงตรงหน้า ถามอย่างไม่พอใจ
“แกทำอะไร”
เซี่ยวเลี่ยงกดหน้าขี้เมาไว้อย่างนั้น แล้วหันขวับมามองหน้าเหม่ยลี่
สองคนสบตากันจังๆ
อ่านต่อตอนที่ 2