xs
xsm
sm
md
lg

ระบำไฟ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ระบำไฟ ตอนที่ 6

ช่อดอกไม้ที่ลอยคว้างอยู่บนอากาศเลือนหายไป กลายเป็นภาพของดอกซากุระ ที่ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ ไหวระริกอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า

เช้าวันนี้ พัดชายืนกอดอกอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอน ทอดสายตามองดอกไม้ริมถนนหน้าร้าน สีหน้าหม่นมัว ไร้อารมณ์ ผิดกับผู้คนด้านนอก ที่กำลังออกอาการตื่นเต้นกับฤดูใบไม้ผลิที่เดินทางมาถึงพร้อมความสดชื่น และชักชวนกันไปปิกนิก
“ไปปิกนิกชมซากุระกันมั้ย”
“ไปสิๆ”
พัดชาพยายามจะยิ้มรับฤดูกาลใหม่ แต่ยิ้มไม่ออกเพราะมีเสียงข้อความเข้ามา หยิบโทรศัพท์มากดเปิดดู หน้าบูดบึ้งไปเลย
“ไอ้เดฟ...หึ ให้ไปเฝ้าร้าน”
พัดชาลบข้อความนั้นทิ้ง ลงนั่งตรงมุมห้องกดเข้าไปยัง อินสตาแกรม ของนักแปลคนโปรดทันที
ไอจีของตรีประดับลงรูปถ่ายจากงานแต่งงาน สวยงามจนพัดชาต้องขยายมองอย่างตะลึงตะไล
พัดชากดคลิกที่รูปหนึ่งมองจ้องเป็นภาพ ตรีประดับกับพยสอยู่ในอิริยาบถสุดสวีท พัดชากดไลค์ ด้วยแววตาชื่นชม
“เมื่อไหร่ฉันจะมีช่วงเวลาแบบนี้บ้างนะ”
พัดชาไล่ดูในไอจีเรื่อยมา ตามแฮชแท็ก #triiyosthewedding จนมาเจอคนหนึ่งที่โพสต์เยอะสุดชื่อ อรณา “อรณา” พัดชาทวนชื่อ เหมือนเคยรู้จักกัน

บ้านหลังงามของพยสตกแต่งเสร็จแล้วตั้งแต่ก่อนและหลังงานแต่ง ออกมา สวย เรียบ โก้ โอ่อ่า และโมเดิร์น ดูดีมีรสนิยม สมกับที่พยส วางใจให้ภรรยานักแปลคนสวยดูแลเอง
รูปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ฝีมือเทศราช ถูกนำมาใส่กรอบสวย หลายภาพ รวมทั้งรูปคู่หวานรักของพยสกับตรีประดับในหลายสถานที่ ตั้งวาง ประดับอยู่ในมุมเด่นของทุกห้องหับภายในบ้าน
เวลานี้ อรณาเดินชมบ้านอยู่
“พี่ตรีเขารสนิยมหรูจริงๆ นะ บ้านโล่งๆ แต่งซะยังกับแค็ตตาล็อก ว่ามั้ยพี่บุพ พี่บุพ...พี่บุพ”
อรณาเรียกแต่ไม่มีการตอบรับจึงหันไป เห็นบุพชาเอาแต่สนใจของขวัญแต่งงานที่ยังไม่ได้แกะอีกหลายกล่อง
“แต่งงานตั้งหลายวันแล้ว ของขวัญยังแกะไม่หมด คงไม่เอาแล้วมั้ง”
พร้อมกับว่าบุพชาเลือกหยิบกล่องที่เตะตา ลงมือแกะ
เสียงร้องห้ามด้วยความไม่พอใจดังขึ้น “ของอาตรี”
ก่อนที่ชิงฉัตรจะก้าวยาวๆ มาคว้ามือบุพชาออกไปพ้นกล่องนั้น บุพชามองหลานชายตาขวาง
“มาอยู่บ้านเค้าได้ไม่ทันไร ออกโรงปกป้องแล้วเหรอ แกเป็นหลานพยสนะนายฉัตร”
“อายสให้ผมอยู่ด้วย แต่ก็เลี้ยงแบบหลานเหลือขอ” ชิงฉัตรทั้งชมทั้งประชด
“ก็แกมันสันดาน...ไม่มีใครเอา”
ชิงฉัตรลอยหน้ากวน จัดแจงของที่บุพชาจะฉกเก็บคืนเข้ากล่องของขวัญที่เดิม
“คำว่าแก่ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ อายุล้วนๆ สมงสมอง เมตตากรุณา ไม่มี” เด็กหนุ่มนักเรียนช่างแดกดัน
“นายฉัตร ฉันจะตบปากแก ไม่เอาเลือดปากแกออกวันนี้ฉันไม่กลับ”
บุพชาจะลงมือ อรณาเข้ามาขวาง
“พี่บุพ พอค่ะ” น้องเล็กของบ้านหันมาทางหลานคราวเดียวกัน “นายฉัตร แกก็อย่ากวนมาก ไปอยู่ตรงโน้นเลย”
“ฟังมันพูดนะ ไอ้เด็กนี่ ไม่มีใครสั่งใครสอน เกเรเกตุง อีกหน่อยคงเป็นโจร”
“เฮอะ นี่แหละน๊า ผู้ใหญ่กะโหลก...” ชิงฉัตรเว้นคำว่า กะลา ให้อาสาวแก่เติมเอง
อรณาปราม “นายฉัตร พอ อย่าหาเรื่อง”
“อาบุพไม่เคยพูดดีกับผมเลย ผมไม่เคยขอเงินอาให้เดือดร้อน ทำไมอาต้องแช่งต้องด่าผมด้วย ขนาดอายสยังไม่เคยว่าผมแบบนี้ ยิ่งเป็นอาตรี ผมเพิ่งอยู่กับเค้าได้ไม่เท่าไหร่ แต่เค้าดีกับผมมากกว่าญาติตัวเองซะอีก มีแต่คำพูดสร้างสรรค์” เด็กหนุ่มชื่นชมอาสะใภ้เอามากๆ
“แกจะหาว่าฉันพูดไม่สร้างสรรค์ บ่อนทำลาย”
ชิงฉัตรปรบมือให้ ทำนองว่าเก่งมาก ในที่สุดบุพชาก็เข้าใจอะไรบ้าง บุพชาเดือดปุดๆ
“กว่าจะเก็ต”
“ไอ้ฉัตร”
บุพชาพุ่งเข้าจะตบหน้าให้หายแค้น ชิงฉัตรใช้ทักษะนักกีฬาและเชิงนักเลง หลบได้อย่างเท่ บุพชาเสียศูนย์ เซแซดๆ หน้าแทบคะมำ อรณาต้องรีบมาช่วยประคอง
“พอแล้ว พี่บุพ พอ กลับกันเถอะ” อรณาหันมาทางชิงฉัตร “นายฉัตร ฝากบอกพี่ยสด้วยว่าอากับอาบุพมาหา มือถือก็ปิด ติดต่อไม่ได้เลย อามีธุระสำคัญ”
ชิงฉัตรหัวเราะหึๆ รู้ทัน “ธุระสำคัญ ขอเงินอีกแล้วใช่ไหมครับ คนเพิ่งแต่งงาน ให้เค้ามีเวลาสวีท อย่ามีเรื่องรบกวนดีกว่ามั้ย ปล่อยเค้าฮันนีมูนไปเหอะ”

อรณากับบุพชาเสียเส้น แววว่าจะไม่ได้เงินมองเห็นรางๆ ชิงฉัตรมองสองอาคู่หู อย่างระอาใจ

แผ่นหลังเนียนสวยของตรีประดับซึ่งเวลานี้ลอยคออยู่ที่ขอบสระว่ายน้ำของวิลล่าริมทะเล พยสว่ายช้าๆ เข้าไปหาโอบจากข้างหลัง

“ตกใจหมดเลย”
“โกรธรึเปล่าครับ เราวางแผนฮันนีมูนเป็นเดือน ว่าจะไปยุโรป สุดท้ายผมพามาทะเลแค่นี้เอง”
“ได้อยู่ด้วยกัน จะเป็นที่ไหนก็ฮันนีมูนค่ะ”
พยสขโมยจุ๊บแก้มไปหนึ่งฟอด ตรีประดับขวยเขิน ใบหน้าใกล้กันแค่คืบ ตาสบตา พยสกำลังจ้องจะจุ๊บอีกที
โทรศัพท์มือถือตรงโต๊ะใกล้ขอบสระ ดังขัดจังหวะขึ้น ตรีประดับพะวักพะวงในโทรศัพท์สายนี้
“ผมบอกแล้วไง ให้ปิดโทรศัพท์ ผมยังปิดของผมเลย”
“ตรีเป็นห่วงตาฉัตรนี่คะ ปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว จะหาข้าวทานยังไง”
“นายฉัตรอายุ 17 แล้ว มันเลือกเรียนช่าง ถ้ายังหากินเองไม่เป็น ก็ไม่รู้จะรอดเป็นผู้ใหญ่ยังไง”
“หลานก็เป็นเด็กวันยังค่ำค่ะ นะคะ เผื่อพี่บุพ น้องณามีอะไรให้เราช่วยเหลือไงคะเสียงนี้ นายฉัตรโทร.มาค่ะ คงมีอะไร ตรีรับสายนี้สายเดียว แล้วตรีจะปิดเครื่อง
เสียงโทรศัพท์ยังดังเรียกร้องความสนใจอยู่อย่างนั้น ตรีประดับจุ๊บแก้มพยสเอาใจ ก่อนว่ายน้ำกลับมารับสาย

ชิงฉัตรคุยโทรศัพท์กับตรีประดับหน้าตาเบิกบานอยู่ที่บ้านพยส
“ได้ยินเสียงอาตรีมีความสุข ผมก็ดีใจครับ...อ๋อ โทร.มาไม่มีอะไรครับ แค่จะถามว่าอาตรีกับอายสจะกลับวันไหน พอดีผมนัดติวหนังสือกับเพื่อนครับ”
ชิงฉัตรปรายตาไปทางด้านหลัง พบว่าที่ริมสระน้ำ ก๊วนเพื่อนเด็กช่างของชิงฉัตรกำลังติววิชารักโอบกอดคู่ขาใครมันนัวเนียหญิงอยู่ริมสระว่ายน้ำ บางคนเล่นกีตาร์ ดูดบุหรี่ กิน ดื่มเต็มคราบ กระป๋องเบียร์เกลื่อนพื้น
“ครับอา สวีทเต็มที่เลยนะฮะ ไม่ต้องห่วงที่บ้าน ผมไม่กวนละ จะไปอ่านหนังสือครับ”
ชิงฉัตรวางสายแล้วหันมาทางเพื่อนๆ
“เฮ้ย เต็มที่”
ชิงฉัตรหันมาช้อนอุ้มสาวทรงอึ๋มในชุดนุ่งน้อยพากันทิ้งตัวลงน้ำอย่างสบายใจ ชะนีวัยใสโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำใส่จริตวี้ดว้าย ชิงฉัตรเข้ามานัวเนียกอดปล้ำกันในน้ำ

ตรีประดับวางสายแล้ว ยังไม่ทันจะปิดเครื่อง พยสยื่นแขนโอบมาจากด้านหลังปิดเครื่องให้เอง
“หมดเวลาของคนอื่นแล้ว ต่อไปนี้เป็นเวลาของเรา”
พยสคลอเคลียนัวเนีย ตรีประดับตอบรับความรักจากเขาโดยยินดี
คู่รักที่เพิ่งผ่านงานแต่งงานมาราว 1 เดือน ยังคงดื่มด่ำตกอยู่ในห้วงแห่งความรักหวานที่คอยป้อนให้กันอย่างไม่รู้เบื่อ

ด้านอรณานั่งไล่ดูไอจี อยู่ในห้อง ซึ่งพบว่ามีสินค้าพวกเครื่องสำอาง ของฮิตอินเทรนด์ ที่สาวๆ ต้องซื้อจากญี่ปุ่น วางอยู่จำนวนไม่มากนัก โทรศัพท์อีกเครื่องมีเสียงไลน์เข้าตลอดเวลา
“โอ๊ย อีลูกค้า กุไม่มีของส่ง จะหาที่ไหนมาให้มึงคะ โอนเงินแล้วก็ช่างสิ อีโง่”
อรณาสบถ บ่นบ้า แต่พิมพ์ตอบไปหวานจ๋อย
“ใจเย็นๆ นะคะเตง ของสั่งแล้ว ทางโน้นกำลังชิปค่ะ ได้สิ้นเดือนแน่นอน แม่ค้าเร่งให้แน่นอนจ้า”
อรณาพิมพ์เสร็จ กลับมาเช็คสต๊อกของที่เหลือ
“ส่งรอบนี้ไม่พอแน่ เงินพรีออเดอร์ก็ใช้หมดแล้ว พี่ยสก็ไม่อยู่ จะหาเงินไหนหมุนซื้อของวะ อีคนไปซื้อก็เชิดเงินหนีอีก โอ๊ย”
อรณากุมขมับ สักพักคิดได้
คลิกเข้าไปที่หน้าเฟซบุ๊กขายของของตัวเอง
“เปิดพรีออเดอร์รอบใหม่ สินค้า made in Japan ช็อปได้ แม้ไม่ต้องไปญี่ปุ่น”
“เอาพรีรอบนี้มาหมุนก่อนแล้วกัน”
อรณาคลิกเลื่อนดูโพสต์ต่อไป
จู่ๆ มีเสียงเตือนข้อความเมสเซนเจอร์ส่งเข้ามาหา อรณาเปิดอ่าน แต่ต้องนิ่วหน้าฉงน
“ใครวะ พัดชา...” อรณาคิดไปคิดมาจนคิดออก “อ๋อ...พัดชา”

เวลาเดียวกันนี้ ที่ญี่ปุ่นเป็นตอนกลางคืน พัดชาแอบหลบมาแชทคุยกับอรณาอยู่ทางหลังร้าน คอยชะโงกมองไปทางหน้าร้านตลอด
“พัดล้างชามอยู่นะคะโอก้าซัง”
พัดชากดแชทคุยกับอรณาอยู่ สองสาวคุยตอบโต้กันไปมา
“เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตอนมัธยม ก่อนฉันมาอยู่ญี่ปุ่น จำได้แล้วใช่ไหม”
“ดีใจจัง ได้เจอเธออีก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอได้เจอพี่ชายฉันกับคุณตรีประดับที่ญี่ปุ่นด้วย โลกกลมจัง”
อรณายิ้มกริ่ม มองของพรีออเดอร์ที่มีอยู่ไม่มา และมือถืออีกเครื่องที่มีไลน์ลูกค้าที่ไลน์มาทวงสินค้ายิกๆ
“อยู่ญี่ปุ่นเหรอ”
อรณาตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับ
“สนใจทำธุรกิจด้วยกันไหม”
พัดชานิ่งคิด ท่าทีลังเล
“ไงสองคนนั้นเค้าก็เป็นพ่อแม่บุญธรรม ถ้าเค้าดีกับเธอก็โอเค แต่ถ้าไม่ ทำไมไม่ลองหาทางเองล่ะ”

เสียงยูอิตะโกนเรียกให้ไปเสิร์ฟดังขึ้น พัดชาเก็บโทรศัพท์รีบกลับไปในร้าน

ค่ำคืนนี้พัดชาทำงานไปเรื่อยๆ พยายามเลี่ยงห่างจากเดฟซึ่งดูอารมณ์ดีจนผิดสังเกต

ฉากชีวิตซ้ำๆ ดำเนินไป นาฬิกาบนผนังร้านหมุนจากสองทุ่มเป็น 3-4-5 ทุ่ม อย่างรวดเร็ว พัดชาทำงานหนักตลอดเวลา เดินเสิร์ฟอาหารเครื่องดื่ม เก็บโต๊ะ ล้างจานชาม อยู่คนเดียว กระทั่งลูกค้าในร้านไม่เหลือสักโต๊ะแล้ว เด็กสาวจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยล้า เพิ่งได้หายใจเต็มๆ
ยูอิจิ้มเครื่องคิดเลขบวกรวมบิลต่างๆ อยู่ในเคาน์เตอร์ เสียงจิ้มดังผิดสังเกต แถมมีเสียงฮึดฮัดไม่ได้ดั่งใจ
พัดชาสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น เดินมาเมียงๆ มองๆ ด้วยความเป็นห่วง
“โอก้าซัง ไหวหรือเปล่าคะ”
ยูอิกลับแหวใส่ “เธอด่าฉันเหรอ เธอคิดว่าฉันทำไม่ได้หรือยังไง”
พัดชาเงียบไม่ตอบโต้ เดินเลี่ยงไปหยุดมองห่างออกไป และเห็นว่ายูอิบวกบิลแค่ใบเดียว แต่จิ้มแล้วจิ้มอีก จนยูอิมือสั่น ปัดบิลทิ้งอย่างหงุดหงิด พัดชาเดินไปเก็บให้
“เดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้ค่ะโอก้าซัง”
โอก้าซังมองนิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ท่าทีนิ่งประหลาดนี้ทำให้พัดชาเดินห่างออกมา

แม้ไม่อยากจะเสวนากับเดฟ แต่อาการประหลาดของยูอิทำให้พัดชาจำใจ
“ฉันว่าโอก้าซังไม่สบาย พาไปหาหมอเถอะ”
“หาทำไม ป่วยก็ดี ฉันจะได้อยู่กับเธอ สองคน”
พัดชาไม่คิดว่าเดฟจะร้ายกาจขนาดนี้ เดินเลี่ยงไปกดน้ำร้อนชงชา นำมาวางข้างๆ ยูอิ แต่เห็นว่ามือแม่บุญธรรมยังสั่นไม่หาย จึงกุมมือยูอิส่งถ้วยชาใส่มือให้
“โอก้าซัง พักสักนิดนะคะ เดี๋ยวฉันทำเอง”
พัดชารวมบิล เก็บเครื่องคิดเลข ยูอิถือถ้วยชานิ่งอยู่สักพัก ทำท่าจะดื่ม แต่แล้วกลับสาดใส่ตัวพัดชา
“โอก้าซัง”
พัดชาตะลึง ปวดแสบปวดร้อนตามเนื้อตัวที่โดนสาด ส่วนยูอินั่งงงๆ อยู่สักพัก หันมามองจ้องพัดชาเหมือนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร หรือเมื่อสักครู่ทำอะไรลงไป
“เธอว่าอะไรนะ อ้าว ทำถ้วยชาตกเหรอ”
พัดชาสับสนหนัก มั่นใจว่ายูอิป่วย แต่ไม่รู้ว่าแม่บุญธรรมเริ่มมีอาการไบโพล่าร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งสามารถแสดงออกได้ทั้งภาวะซึมเศร้าหรืออารมณ์คลุ้มคลั่ง โดยทั่วไปผู้ป่วยมักมีภาวะซึมเศร้าบ่อยกว่าคลุ้มคลั่ง

พัดชาเก็บร้านเสร็จ กลับขึ้นห้อง ทายาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก ที่แขน ที่มือ
สักครู่มีมีเสียงข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ พัดชากดอ่านเป็นข้อความจากอรณาส่งมาโน้มน้าว
“คิดให้ดีนะ ถ้าพ่อแม่บุญธรรมไม่ดีกับเธอ ช่วงนี้ก็ต้องกอบโกยนะ มีตั้งหลายวิธีที่จะได้ เอาให้พอแล้วค่อยชิ่ง ฉันไม่โกงเธอหรอก เธอก็รู้จักพี่ยสกับพี่ตรีนี่ ฉันให้สองคนนี้เป็นประกันเลย”
ระหว่างพัดชานิ่งคิด มีเสียงเหมือนคนเดินมาที่หน้าห้อง
พัดชาหวาดระแวงกลัวว่าเป็นเดฟจะเข้าหาอีก รีบไปยืนที่ประตูดึงไว้มั่น
มีเสียงยูอิโวยวายดังขึ้น “จะไปไหน”
ตามมาด้วยเสียงเดฟ “เปล่า อ้อ เธอกินยาหรือยัง”
สองผัวเมียทะเลาะกันดังลั่น
“ฉันไม่อยากกิน ยาอะไรไม่รู้ กินแล้วง่วง แกจะไปไหน เดินไปทางนั้น ห้องพัดชา”
“ฉันจะไปกินน้ำข้างล่าง”
“แกจะไปไหน แกจะทิ้งฉันเหรอ แกจะทิ้งฉัน”
ยูอิโวยวาย มีเสียงโครมคราม เสียงเดฟร้อง เสียงยูอิอาละวาด
พัดชางง แอบแง้มประตูมองที่หน้าห้องสองผัวเมีย เห็นยูอิทุบตีเดฟ อีกฝ่ายสวนกลับยูอิร้องระงม
“ไม่ๆๆ อย่าทำๆ” เดฟไม่สนใจหนีลงบันไดไป ยูอิล้มตึงลงไปกองกับพื้น
พัดชามองภาพตรงหน้าเนื้อตัวสั่น ปิดประตูลง นั่งซุกตัวอยู่ในเงามืดของห้อง หวาดกลัวถึงขีดสุด
“โอก้าซัง พัดขอโทษ แต่พัดไม่กล้าช่วย พัดขอโทษ”
เสียงร้องอ้อนวอน “ไม่ๆๆ อย่าทำๆ” ของยูอิ ทำให้พัดชาหวนนึกถึงอดีตอันเลวร้ายของตัวเอง
เดฟข่มเหงรังแกพัดชาต่อสู้ เตะต่อยถีบถองสุดกำลัง แต่สุดท้ายโดนเดฟต่อยเข้าท้องน้อยตัวงอเป็นกุ้ง
พัดชาน้ำตาพรั่งพรู ยกสองมืออุดหู หนีจากอดีตที่ยังคงตามหลอกหลอน
“ไม่...ไม่...”

พัดชาเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เหลียวมองไปทางประตูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกห้อง ทุกอย่างเงียบสนิท เด็กสาวค่อยๆ เลื่อนประตูห้องออกดู พอเห็นว่าหน้าห้องนอนยูอิและเดฟว่างเปล่า ก็โล่งอก ใจชื้นขึ้นเลื่อนปิดประตูเบาๆ หันไปหยิบขวดน้ำมาดื่มแก้กระหาย แต่น้ำดันหมด จึงเปิดประตูออกอีกครั้งเพื่อลงไปเอาน้ำข้างล่าง
ทันทีที่ประตูเลื่อนออก มืออันใหญ่โตหยาบกร้านก็ตะปบหมับจับตรึงไว้ พัดชาตกใจ เงยหน้ามอง เห็นเป็นเดฟยืนขวางอยู่หน้าประตู ในสภาพใบหน้าแดงก่ำ เมาและหื่นได้ที่
“ไม่” พัดชาจะปิดประตูแต่เดฟจับตรึงไว้
“ไม่อะไร ฉันอยากได้อะไรต้องได้”
“ไม่...อุ้บ”
พัดชาจะกรีดร้อง เดฟยกมืออีกข้างปิดปาก ดันร่างพัดชากลับเข้าห้องแล้วตามเข้ามา ปิดประตูโครม
พัดชาต่อสู้ขัดขืนสุดแรงเกิด เดฟปิดปากไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างรวบสองแขนของพัดชาที่พยายามตบตีให้สงบลง แต่ไม่ได้ผลพัดชากัดมือเดฟจมเขี้ยว พลางถ่มถุยน้ำลายใส่อย่างรังเกียจ
“แกกัดฉัน”
เดฟบันดาลโทสะ ตวัดมือข้างที่โดนกัดฟาดใส่หน้าพัดชาจนหน้าสะบัด พัดชาสู้ตาย
“ออกไปจากห้องฉัน”
“ไม่ ฉันบอกแล้ว ฉันอยากได้อะไรต้องได้ ฉันเลี้ยงเธอมานาน ถึงเวลาเธอตอบแทนบุญคุณฉันสักที”
ร่างใหญ่โตของเดฟพุ่งเข้ารวบตัวพัดชาไว้ ซุกใบหน้าลงไซร้ตามซอกคอ พัดชาดิ้นหนีด้วยความขยะแขยง เดฟสูดดมกลิ่นสาวอย่างชื่นใจ หลงหัวปักหัวปำ พร่ำบอกเสียงสั่น
“เธออยากได้อะไร บอกฉันสิ ฉันให้ได้ทุกอย่าง เงิน ร้าน ฉันจะทำให้เธอ แค่เธอยอมฉัน”
พัดชาชะงัก หยุดดิ้น เสียงอรณาดังก้องในหัว “ถ้าพ่อแม่บุญธรรมไม่ดีกับเธอ ช่วงนี้ก็ต้องกอบโกย มีตั้งหลายวิธีที่จะได้”
“ครั้งก่อนฉันก็คืนพาสปอร์ตให้แล้ว เห็นไหมว่าฉันดีกับเธอแค่ไหน เธอไม่อยากเจ็บตัวใช่ไหม” เดฟโอ้โลม
พัดชาใจสั่น สัมผัสหยาบกระด้างของเดฟกระตุ้นอารมณ์บางอย่าง นัยน์ตาวาววับของเด็กสาว เห็นวี่แววของความอยากได้ใคร่มีก่อตัวขึ้นบางๆ บอกออกไปว่า
“ฉันอยากทำธุรกิจเล็กๆ กับเพื่อน”
พัดชามองจ้องรอฟัง เดฟไม่ตอบซุกไซ้ลงกับซอกคอไล้เรื่อยลงไปอย่างหลงใหล ราวกับยอมศิโรราบทุกอย่าง พัดชากดหัวเดฟต่ำลงไปๆ

ใบหน้าสวยเศร้าของเด็กสาว ดำดิ่งลงสู่ห้วงกฤษณาอันเวิ้งว้าง ยากจะเข้าใจความรู้สึก

กลับจากทริปฮันนีมูนสองคนใช้ชีวิตคู่แสนหวานด้วยความรัก ตรีประดับลงครัวทำกับข้าวให้สามีทานทุกเช้า ส่วนมื้อเย็น พยสจะรีบกลับมาคอยช่วยหยิบจับเป็นลูกมือให้
 
บางเมนูทนายหนุ่มขอโชว์ พอเห็นเป็นเมนูไข่เจียว ตรีประดับหัวเราะคิกคัก มองลุ้น พยสโชว์ฝีมือเจียวไข่หน้าตาดีจัด เมื่อเสร็จทั้งคู่นั่งรับประทานด้วยกัน ผลัดกันตักป้อนกันและกัน พยสพยักหน้าชมตรีประดับว่าทำกับข้าวอร่อย ตรีประดับบอกไข่เจียวเลิศรส สองคนใส่ใจกันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มื้อค่ำอีกวันหนึ่ง ตรีประดับและพยสนั่งตรงข้ามกัน กินข้าวคุยกันไปเบาๆ พยสตักกับข้าวให้ตรีประดับ เริ่มมีเสียงแมสเซจหรือเสียงโทรศัพท์เข้า ตรีประดับไม่รับ พยสรับแล้ววาง ทานข้าวด้วยกันต่อ
สองคนนั่งตรงข้ามกันทานมื้อค่ำไป ตรีประดับทานไปเงียบๆ พยสมีสายโทรศัพท์เข้า เขาคุยงานไปเรื่อยๆ โดยมีตรีประดับคอยดูแลเทน้ำให้
อีกหลายๆ เช้า พยสชงกาแฟเองมานั่งดื่มอยู่คนเดียว เห็นตรีประดับเพิ่งตื่นหนีบหนังสือติดมือมานั่งด้วย พยสลุกมาจุ๊บแก้มภรรยาเร็วๆ แล้วรีบไป ปล่อยให้ตรีประดับนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสืออยู่คนเดียว
บ่อยครั้งที่ตรีประดับและพยส นั่งทานอาหารอยู่ด้วยกันเงียบๆ ต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์ไป
บางวันตรีประดับนั่งทานข้าวอยู่คนเดียว สักพักพยสจึงเดินหิ้วสูทเข้าบ้านมา ท่าทางเหนื่อยหนัก นั่งลงตรงข้าม ตรีประดับทานอิ่มพอดี ลุกเดินไปดูแลหาข้าวที่เตรียมไว้มาวางให้ แล้วขอตัวไปทำงานแปลนิยายต่อ ปล่อยให้พยสทานไปคุยงานไป
หลายวันตลอดเดือนนี้ โต๊ะอาหารที่ยังคงมีแจกันดอกไม้สีสวยวางประดับอยู่ กลับว่างเปล่า ไม่มีคู่สามีภรรยานั่งเคียงรับประทานอาหารด้วยกันแล้ว ทั้งมื้อเช้าและมื้อค่ำ ต่างคนต่างยุ่งกับภารกิจในชีวิตตัวเอง

ที่ญีปุ่น จากฤดูใบไม้ร่วง ล่วงเข้าสู้ฤดูใบไม้ผลิอีกครา กิ่งก้านของซากุระที่ยืนต้นตระหง่าน ตามยอดตาเริ่มมีตุ่มพร้อมผลิดอก ไม่นานดอกซากุระก็บานสะพรั่ง
บอกให้รู้ว่า วันเวลาผ่านไป อีก 1 ปี แล้ว

พัดชายืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง สูดลมหายใจรับเอาฤดูใบไม้ผลิอยู่พักหนึ่ง เมื่อหันหน้ากลับมา พบว่าสีหน้าเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและดูเยือกเย็นขึ้นจากปีก่อนๆ มาก พัดชากวาดสายตามองรอบๆ ห้อง เห็นภาพชีวิต ผุดซ้อนขึ้นมา ฉากแล้วฉากเล่า
เดฟกล้าเข้าหาพัดชาแม้กระทั่งในตอนกลางวัน พัดชาเหมือนจะหวาดหวั่นในตอนแรก แต่แล้วก็เอนตัวลงนอนตามที่เดฟใช้แรงบังคับ
ตกกลางคืนขณะที่พัดชานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ มีผ้าห่มคลุมครึ่งตัว โดยไม่สนใจเดฟที่กำลังสวมชุดยูกาตะอย่างรีบเร่งแล้วค่อยๆ ย่องออกไป เปิด ปิดประตู อย่างเบามือ
บางคืน พัดชา กึ่งนั่งกึ่งนอน ปล่อยผมยาวสลวยเคลียไหล่ปิดบังเนินอกสล้าง เรียกเดฟด้วยสายตาเย้ายวนและเชิญชวน

พัดชาดึงตัวเองกลับออกมา สีหน้าหม่นหมองลง ไม่อยากนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป มองเงาตัวเองในกระจก แต่ทนดูไม่ได้คว่ำกระจกลง ขยับมาที่โต๊ะเล็กๆ ตรงมุมห้อง
 
บนโต๊ะ มีใบปริญญาบัตร พาสปอร์ต ซองเงินปึกใหญ่มากและโทรศัพท์รุ่นล่าสุดวางอยู่ พัดชาคลี่ใบปริญญาบัตรออกดู
“มันคุ้มค่ากับการแลกไม่ใช่เหรอพัดชา”
พัดชาเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าใบย่อม หยิบโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์ส่งข้อความ
“อรณา ของงวดสุดท้ายที่ฉันรับออเดอร์ให้ ส่งขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเธอคงต้องติดต่อกับทางขนส่งเอง”
พัดชาส่งไปแค่ข้อความแรก ยังไม่ทันพิมพ์อธิบายว่าทำไม นึกเวทนาชีวิตตัวเอง กวาดตามองรอบห้อง
เดฟเข้ามาในห้อง สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดแจ้งว่าต้องการอะไร พัดชาเยื้อนยิ้มเชิงถาม
“เดี๋ยวนี้”
“เร็วเข้า เดี๋ยวอีผีมันรู้ตัว”
พัดชานวยนาดเข้ามาใกล้ เพียงกรีดนิ้วมือไล่ตามแขนเดฟก็สะท้าน จำนนต่อพัดชา
“น่าสงสารโอก้าซัง”
ฝรั่งสูงวัยจอมหื่นเงอะงะ ถอดยูกาตะโยนทิ้งไป มือไม้สั่น
“ที่มีผัวอย่างแก และมีลูกเลี้ยงอย่างฉัน”
เดฟเอะใจ พัดชาทำปูไต่ไล้นิ้วมืออยู่ แต่แววตาไม่ได้ยั่วยวนดังเดิม หญิงสาวขยับมายืนอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรมใจหยาบแล้ว และตอนนั้นมือที่โอบเดฟไว้หลวมๆ กลายเป็นรัดรอบคอ
“เรามันเลวทั้งคู่ ที่ผ่านมาฉันทนสะอิดสะเอียนกับแกขนาดไหน แกรู้ไหม”
เดฟดิ้นรบแทบหายใจไม่ออก “อ๊าก พัดชา...เธอเป็นบ้าไปแล้ว”
พัดชาใช้สองแขนรัดคอพ่อบุญธรรมแน่นขึ้น เดฟก็แกะออกได้ในที่สุด แต่ดูเงอะงะ ไม่แข็งแรงเหมือนเคย
พัดชาผลักร่างเดฟลง ฝรั่งชรากอดขาลูกบุญธรรมไว้อ้อนวอนขอร้อง
“พัดชา อย่าทำฉัน ได้โปรดเมตตาฉัน ให้ฉันได้...ได้...”
เดฟซุกหน้าลง พัดชาสะบัดขาผลักตัวเดฟออกไป
“ฉันทนตกนรกมาเป็นปี ตอนนี้ฉันจะไม่ทนแล้ว ฉันพร้อมจะไปจากที่นี่แล้ว”
เดฟไม่ยอม “ไม่...ไม่...”
“ปล่อยฉัน”
เดฟไม่ยอมปล่อย พัดชาผลักสุดแรงเกิด เดฟหงายหลังล้มตึง พัดชาจะคว้ากระเป๋า เดฟรวบรวมแรง กระโจนเข้ารวบตัวไว้จะกดพัดชาลงพื้น

ตรงโต๊ะในมุมมืดที่แสงสว่างยามเข้ายังลอดเข้ามาไม่ถึง ยูอินั่งนิ่งอยู่ในนั้น ฟังเสียงโครมครามต่อสู้และด่าทอกันของเดฟและพัดชาจากชั้นบนซึ่งดังไปทั่วร้าน
“พัดชา เธอบ้าไปแล้ว เธอเป็นบ้าเหมือนยูอิ เธอเป็นบ้าเหมือนยูอิ”
“แกมันผัวสารเลว ทรยศเมียตัวเอง ฉันมันก็ลูกเลี้ยงเลวๆ อกตัญญูโอก้าซัง เรามันคนบ้าทั้งคู่”

ยูอิยังนั่งนิ่ง ตาแข็งทื่อแทบไม่กะพริบ

เดฟเริ่มอ่อนแรงลง โดนพัดชาตบจนหน้าสะบัด ถลาไปล้มตรงมุมหนึ่งของห้อง

“ทำไมตัณหาของแกมันไม่เคยพอ ตักตวงเอาแม้กระทั่งคนที่แกรับอุปการะเป็นลูก”
เดฟคลานเข่ามาหาพัดชา ท่าทีน่าสมเพชเวทนา
“เธอไม่ใช่ลูกฉัน ฉันสอนให้เธอรู้รสราคะ ยอมรับไหมล่ะว่าในที่สุดเธอก็ต้องการ ในที่สุดเธอก็ติด เธอช่ำชองเกมแล้วเธอก็ปั่นหัวฉัน เอาไปทุกอย่าง เธอก็ตักตวงจากฉันเหมือนกัน บิตช์!”
โดนจี้ใจดำจังๆ พัดชาถอยหลังมือควานเปะปะไปเจออะไรบางอย่าง กำมั่นแล้วเหวี่ยงฟาดเข้าไปเต็มแรงน้ำตาหยดเผาะ
เมื่อลืมตา พบว่าเดฟนอนหงายหลังร้องโอดโอยครวญครางอยู่มุมหนึ่ง ถูกโคมไฟตั้งพื้นฟาดใส่เต็มๆ หน้า แตกยับ
พัดชาตั้งสติได้ รีบคว้ากระเป๋าแล้วออกจากห้องไปโดยเร็ว

เมื่อวิ่งลงมาด้านล่าง เจอยูอินั่งอยู่มุมหนึ่งมองนิ่งมายังพัดชา
“โอก้าซัง”
พัดชาเห็นใบหน้าซีดเซียวของยูอิ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ เดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“โอก้าซังทานยาหรือยังคะ”
พัดชาหยิบขวดยารักษาอาการไบโพล่ามาวางให้
ยูอิยื่นมือสั่นๆ ออกมา พัดชานึกว่าจะรับขวดยา แต่ยูอิกลับคว้าแขนพัดชาหมับ
“อย่าไปนะพัดชา”
“โอก้าซัง ฉัน”
พัดชาเต็มตื้น นึกว่ายูอิเมตตาตน
“ดีกับเดฟนะพัดชา”
พัดชาตะลึง ยูอิกำข้อมือพัดชาแน่นเข้า
“อย่าไปนะ ถ้าเธอดีกับเดฟ เขาจะได้ไม่ทำร้ายฉัน ฉันไม่อยากเจ็บ”
พัดชาพยายามปลอบ “โอก้าซัง ทานยานะคะ โอก้าซังต้องหาย ต้องมีสติ อย่ายอมมันนะคะ”
“ฉันกลัวเธอจะทิ้งฉัน เดฟจะทิ้งฉัน ฉันไม่เหลือใครเลย พัดชาอย่าไปนะ ฉันกลัว มีคนจะทำร้ายฉัน พัดชาอย่าไป”
ยูอิหวาดหวั่นถึงขีดสุด อาการดิ่งไปอีกขั้ว ปรี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อพัดชาแกะมือออก
“โอก้าซังปล่อยฉัน ฉันทนเป็นเครื่องบำเรอให้ไอ้แก่ตัณหากลับไม่ได้แล้ว”
“เนรคุณ”
“โอก้าซัง”
“เดฟ ฉันจับมันได้แล้ว” ยูอิร้องตะโกนขึ้นไปยังชั้นบน
พัดชาตาลุกวาวด้วยความหวาดหวั่น มีเสียงตึงตังดังจากชั้นบนกระชั้นลงมา
พัดชาแกะมือยูอิอออก แต่ยูอิรัดแน่นมาก
หันไปเห็นเดฟเดินโซเซลงบันไดมา พัดชากรีดร้อง แกะมือออก
“ไม่...ไม่...”
เดฟกำลังโถมตัวเข้ามา พัดชาหลับหูหลับตาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของยูอิสุดแรงเกิด ร่างยูอิหงายเงิบไปโดนเดฟ สองผัวเมียล้มทับกันไม่เป็นท่า ฟาดโต๊ะเก้าอี้แถวนั้นบาดเจ็บทั้งคู่ ยูอิได้เลือด อาการสงบลงทันควัน
พัดชารู้สึกผิดจับใจ ถลาไปดูแผลให้ ยูอิสบตาพัดชาด้วยแววตาว่างเปล่า
“โอก้าซัง...ฉัน...ฉันขอโทษ”
เดฟผลักยูอิออกไปทางหนึ่ง แล้วจะพุ่งรวบตัวพัดชา
“พัดชา ฉันจะทรมานเธอให้สาสม”
“ไม่”
ถึงจะห่วงยูอิ แต่พัดชาไม่อาจทนตกอยู่ในนรกขุมเดียวกับเดฟอีกต่อไปได้ รีบคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากร้านทันที
พัดชาเลิกผ้าหน้าร้านขึ้นชะงักกึก เหลียวมองกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย เห็นยูอิมองมาเหมือนจะยิ้มทั้งน้ำมาให้แว่บหนึ่ง

พัดชาวิ่งออกจากร้านไปกอดกระเป๋าแนบอก
“โอก้าซัง พัดขอโทษ พัดขอโทษ”
เสียงยูอิดังไล่หลังมา “พัดจัง...อย่าไป พัดจัง...”
พัดชาชะงัก พะวักพะวง นึกสงสารยูอิ
“พัดชา”
พัดชาได้ยินเสียงเดฟคำราม ทำให้ตัดสินใจได้ทันทีวิ่งหนีโดยเร็ว
“โอก้าซัง ฉันขอโทษ”
พัดชาทิ้งความทุกข์ทนไว้เบื้องหลัง วิ่งซอกซอนไปตามตรอกซอกซอยโดยไม่คิดชีวิต

พัดชาวิ่งกระหืดกระหอบหนีมา ไม่มีน้ำตาสักหยดแล้ว ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะหนีไปจากนรกขุมนี้ แต่รีบร้อนจนสะดุดขาตัวเองล้มลง มือที่เผลอยันพื้นได้แผลถลอก เลือดซิบๆ
“ไปซะพัดชา ไปสร้างอนาคตของตัวเอง ไปจากที่นี่ ไปหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่า”
พัดชาเจ็บตัวและเหนื่อยหล้าอ่อนแรงเกินจะลุกขึ้นไหว น้ำตาร่วงริน มองไปยังข้างหน้าแล้วกัดฟันประคองตัวลุกขึ้น ก่อนจะวิ่งต่อไปโดยไม่เหลียวหลัง

พัดชาลงรถแท็กซี่ มือเปื้อนเลือดจากแผลถลอกตอนล้ม หยิบตั๋วเครื่องบินออกมาดู ปลายทางคือกรุงเทพฯ
เด็กสาวมองมือที่เปื้อนเลือดนั้น เช็ดถูมือกับชายเสื้อคลุมจนสะอาด ยกแขนปาดเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง เชิดหน้า พาตัวเองเดินเข้าไปในสนามบินนาริตะ ก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมุ่งมั่นมาดหมาย

ชีวิตราตรีของกรุงเทพฯ ค่ำคืนนี้ เริ่มขึ้นทันทีหลังสิ้นแสงสุดท้ายของวัน วูบไหวอยู่ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับตามท้องถนน หญิงสาวหากินออกทำงานกลางย่านโลกีย์ในตำนานแห่งนี้
เทศราชนั่งซดน้ำชาอยู่มุมหนึ่งของเยาวราช คอยสังเกตการณ์ราวกับว่ากำลังเลือกแพนด้า กระเป๋าเป้วางข้างกาย ในนั้นมีกล้องคู่ใจ พร้อมทำงาน มีสายจากพยางค์โทร.เข้ามา
“ว่าไงอา...ทำไรอยู่น่ะเหรอ...มาดูแพนด้า”
แพนด้าหลินปิงที่เทศราชเหล่มองเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามเขา ส่งสายตาเย้ายวนเชิญชวน
“สกู๊ปพิเศษไม่ลืมหรอกน่า ขอจัดการธุระแป๊บนึง แค่นี้นะอา”
เทศราชวางสาย หันมาสบตาหลินปิง
“เท่าไหร่”
แพนด้าสาวยกมือห้านิ้ว บอกราคา ห้าร้อย เทศราชพยักหน้า
 
สองคนเดินขึ้นบันไดไปขึ้นสวรรค์ข้างบนของร้านน้ำชาแห่งนี้

ไม่นานนักได้ยินเสียงหลินปิงร้องครวญคราง ซี้ด อ้า ๆ เป็นพักๆ ราวกับสุขเสียวล้นปรี่ ทั้งที่ หลินปิงนั่งแคะเล็บอยู่ปลายเตียง ไม่ได้โดนปู้ยี่ปู้ยำอะไร

เทศราชถือกล้องปิดโหมดใช้แฟลชยืนอยู่ที่ประตูห้องซึ่งแง้มเปิดอยู่ มองซ้ายแลขวา หาจังหวะถ่ายภาพบรรยากาศภายในโรงแรม แต่ดันมีผู้คนเดินผ่านไปมา เทศราชจึงรีบหลบเข้าห้อง
หลินปิงร้องโวยวายเสียงหลงทำนองว่าทำอย่างนี้ไม่ได้
“ร้องก็ร้องให้เข้ากับบรรยากาศหน่อย เงินก็จ่ายแล้ว”
หลินปิงโน้มตัวเทศราชเข้ามาหากะกินทั้งตัว เทศราชเหวอ
“เฮ้ย ไม่เอา ไม่ขึ้น จะทำอย่างอื่น ตกลงกันแล้วนี่”
เทศราชแกะมือหลินปิงออกจากตัว ยอมจ่ายให้อีก 200 บาท หลินปิงเลิกงอแง
เทศราชผละไปทางหน้าต่าง ส่องกล้องลงไปถ่ายภาพด้านล่างทั้งหมด

เทศราชเดินออกมาในตรอกข้างโรงแรม สาวที่ขึ้นห้องกับเทศราชกระซิบบอกแปะที่คุมพื้นที่อยู่
“เฮ้ย ลื้อ...”
เทศราชหันไป เห็นนักเลง 4 คน สะบัดมีดเล็กออกมา ได้จังหวะ วิ่งสุดพลัง

พวกนักเลงวิ่งไล่กวดเทศราชมาติดๆ เทศราชวิ่งหนีมาตามถนนเห็นจวนตัว เลี้ยวเข้าซอยหนึ่งนักเลงวิ่งตามไม่ลดละ ชี้บอกกัน
“เฮ้ย มันอยู่นั่นๆ”
เทศราชแอบที่มุมตึก มีเสียงนักเลงวิ่งมาใกล้ เทศราชเหวี่ยงเข่งขยะแถวนั้นใส่หน้า นักเลงคนแรกล้มพังพาบกองกับพื้น เทศราชได้ทีกระทืบจนหนำใจ อีกคนที่ตามมาเข้าจัดการเทศราชข้างหลัง เขาหลบทันเฉียดฉิว ไม่โดนแทง แต่นักเลงพุ่งมีดเข้าใส่อีก ถากแขนเทศราชได้เลือดซิบๆ
“เอาถึงเลือดเลยเหรอ ได้”
เทศราชเปิดการ์ด นักเลงสะบัดมีด เทศราชเตะหงาย นักเลงคว้าของแถวนั้นได้ฟาด เทศราชได้เลือดอีกหน คิ้วแตก เลยจัดการนักเลงคนนี้จนหมอบ
นักเลงสองคนที่เหลือวิ่งตามมาถึง เทศราชเลิกกระทืบหันมาตั้งรับ
คนหนึ่งชี้หน้า “มึงถ่ายรูปทำไม มึงเป็นใคร”
อีกคนชี้สั่ง “เอากล้องมันมา อยู่ในกระเป๋า”
“ฝันไปเหอะมึง”
เทศราชเตะนักเลงสองคนหน้าหงาย แล้วโกยแน่บอีกครั้ง คราวนี้วิ่งมาทะลุตรอกเท็กซัสสุกี้ เลี้ยวออกไปทาง ถ.เจริญกรุง เจอมอเตอร์ไซค์รับจ้างพอดี
“ด่วนเลยน้อง”
เทศราชซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไป นักเลงสองคนที่วิ่งตามมา ตามเขาไม่ทันได้แต่ฮึดฮัดอย่างแค้นใจ

ภาพนิ่งแหล่งท่องราตรีใจกลางกรุงเทพฯ และชีวิตราคาถูกทั้งหลาย ถูกฉายอยู่บนจอโพรเจกเตอร์ในห้องประชุมเล็กในสำนักพิมพ์ตอนเช้าของวันต่อมา ภาพหยุดแช่ที่ภาพหนึ่งไว้ พยางค์เอ่ยขึ้นในที่ประชุม
“คุ้มกันไหม เอาชีวิตเข้าเสี่ยง”
ในห้องมีบอกอโต๊ะข่าว 3 คน ร่วมประชุมด้วย พร้อมกับ เทศราช ลูบแผลที่ปิดพลาสเตอร์เรียบร้อยแล้ว หัวเราะหึๆ ไม่ยี่หระ
“ถ้ามันจะสร้างความตื่นตัวให้สังคม ก็โอเคนะ”
เทศราชกดเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ เล่าให้คนในห้องฟัง ภาพปกปิดใบหน้าของหญิงสาวหากินที่นั่งรอลูกค้า แต่เห็นบรรยากาศการซื้อขายโลกีย์ชัดเจน
“ลายแทงแพนด้า ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้วมั้ย ตำรวจก็เคยกวาดล้างไปแล้วหลายที”
“แต่มันไม่หมดไง มันสะท้อนว่าบ้านเรา ไม่มีการป้องกัน แถมปราบปรามไม่เข้มงวดหรือเปล่า”
บก.โต๊ะข่าวคนหนึ่งทักท้วงขึ้น “ถึงประเด็นมันจะไม่ใหม่ แต่มันเล่าผูกเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้นะบอกอ ผลกระทบการท่องเที่ยว หรือพวกทัวร์ต่างชาติที่มาลงแล้วมาซื้อบริการกันเอง”
“ถ้างั้น ผมคงต้องไปเที่ยวแพนด้าอีกล่ะสิ เก็บภาพให้ครบประเด็น” เทศราชว่า
พยางค์เสียงแข็ง “ไม่ได้”
เทศราชโวยลั่น “เฮ้ย อา”
“ตอนนี้ฉันเป็นบอกอ ไม่ใช่อา สกู๊ปนี้ไม่ต้องทำ หาอย่างอื่นทำ จะผลกระทบการท่องเที่ยว ไปทำสกู๊ปดำน้ำ ตกหมึก งมหอย อะไรก็ได้ ไม่เอาเรื่องที่ต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้”
“ไม่”
เทศราชงัดข้อกับพยางค์ไม่ลดละ บอกอคนอื่นแทบจะหายตัวไปจากตรงนั้น

เทศราชหิ้วกระเป๋าออกมา กำลังจะเดินออกจากสำนักพิมพ์ไปที่รถ พยางค์ตามมาทันที่ทางเดินเรียกไว้
“ไอ้เทศ”
“ผมทำอะไร ทุ่มเต็มที่ กัดไม่ปล่อย ไม่เคยยอมแพ้”
เทศราชเดินห่างออกมาเรื่อยๆ พยางค์ยัวะ โพล่งขึ้น
“ทุ่มเต็มที่ไม่เคยเลิก เหมือนรักหนูตรีไม่เคยลืมใช่ไหม”
โดนจี้ใจดำจังๆ เทศราชะงักหยุดกึก พยางค์เดินมาถึง
“แกเป็นบ้าอะไร ไอ้เทศ ตั้งแต่หนูตรีแต่งงาน แทนที่แกจะใช้ชีวิตปกติ ดันห้าวมะพร้าวแตก ทำงานเสี่ยงมากขึ้นๆ”
เทศราชปฏิเสธ “ไม่เกี่ยวกันมั้ย เค้าก็อยู่ส่วนเค้า ผมก็ทำงานของผม”
“แกเปลี่ยนไป จะเอาชีวิตสังเวยเพราะอกหักเรอะ แต่ก่อนไม่เป็นโล้เป็นพาย พอตอนนี้ก็ทำงานดีชิบหาย แต่มันดีเกินไป ทุ่มเกินไป ช้าลงบ้างไอ้เทศ มีสติให้มาก”
“ไอ้สกู๊ปนี่มันจะแรงนะอา ผมรับรองยอดขาย”
“ยอดขายไปปั๊มเอาจากหนังสืออื่นก็ได้ ชีวิตคนทำงานกับฉันต้องปลอดภัย แกเป็นหลาน ฉันยิ่งต้องเข้มกับแก”
เทศราชเซ็ง เสียดายงาน
“เอาน่ะ ขอดูทางลมผู้ใหญ่แถวนั้นหน่อย แล้วจะหาทางให้ อ้อ พรุ่งนี้หนูตรีจะเข้ามาตรวจพรูฟงาน ถ้าแกอยากเจอเขา”
“ไม่ละ ผมไม่ติดต่อเขามาเป็นปีแล้ว”

พร้อมคำปฏิเสธเทศราชเดินเท่ออกจากออฟฟิศไป พยางค์มองตามสีหน้าหมั่นไส้ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่อง

เมื่อมองจากภายนอกเข้าไปในห้องทำงานในบ้านพยส เห็นตรีประดับกำลังทำงานอยู่ ด้านหลังโต๊ะทำงานเป็นชั้นหนังสือที่มีทั้งผลงานแปลของเธอ และหนังสือที่นักแปลสาวปลื้มโปรดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ
 
บางจังหวะเธอลุกออกจากโต๊ะ เดินไปมาเพื่อคิดทบทวนงาน
“ทำงานดึกเหมือนเคยนะ” เสียงเทศราชดังก้องขึ้นในใจ
ตรีประดับเหลียวขวับเหมือนหันมาทางเสียงนั้น
เทศราชยืนพิงรถอยู่มุมหนึ่งริมรั้วบ้าน
ตรีประดับหันไปทางอื่นไม่ได้มองมาทางเทศราช
“ตรีกินข้าวหรือยัง”
เทศราชหัวเราะขำ ถามเอง ลูบท้องหิวเอง พาตัวเองมาเฝ้าดูแล้วคิดถึงตรีประดับอยู่ฝ่ายเดียว
“เฮ้อ นี่หรือเปล่าวะ ไม่ได้เห็นหน้าเห็นหลังคาก็ยังดี”
เทศราชหมุนตัวกลับขึ้นรถ ในจังหวะที่มีแท็กซี่คันหนึ่งสวนมาพอดี
ชิงฉัตรนั่งอยู่ในแท็กซี่คันนั้น เขม้นมองมาเมื่อเห็นคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้าน ท่าทางแปลกๆ
ชิงฉัตรลงจากแท็กซี่ ยืนดูลาดเลาหน้าบ้าน มองรถเทศราชที่ขับออกไป

ตรีประดับจัดของว่างให้ชิงฉัตร พลางฟังเด็กหนุ่มเล่าอย่างสนใจ
“เขาคงมาหาใครแถวนี้มั้งจ๊ะ”
“ผมว่ามันแปลกๆ นะฮะ มาจอดรถอยู่ใกล้ๆบ้านเรา ยืนอยู่เฉยๆ สักพักก็ไป เสียดาย เห็นหน้ามันไม่ถนัด ไม่งั้นเจออีกจะได้สอยมันสักตั้ง”
ตรีประดับปราม “นายฉัตร ก่อนจะหาเรื่องใคร เราต้องเคลียร์เรื่องของเราก่อน หมู่นี้กลับดึกจัง”
“ผมไปติวบ้านเพื่อนมาครับ”
ชิงฉัตรมีพิรุธเต็มที่ ทั้งเสื้อช็อปเด็กช่างที่ยับย่น กลิ่นเหงื่อคลุ้ง
“จ้ะ อาเชื่อ”
“จริงเหรอครับ” ชิงฉัตรไม่อยากเชื่อ
“อ้าว ทำไมล่ะ ฉัตรโกหกอาหรือ”
“ปละ..เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากเชื่อว่าอาจะเชื่อผมง่ายๆ”
“อาเชื่อที่ฉัตรบอก เพราะฉัตรเคยสัญญากับอาแล้ว ว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอีก อาเชื่อว่าฉัตรจะรักษาสัญญา”
ชิงฉัตรฟังแล้วรู้สึกดีเหลือเกิน ไม่เคยมีใครให้เกียรติเขาแบบนี้ ถึงแม้เขาจะมีพิรุธมากมาย ตรีประดับก็ไม่ได้โวยวายสร้างความกดดันให้
“อ้อ ทีหลังเวลาไปติวกับเพื่อน จองสนามแต่เนิ่นๆ นะจ๊ะ จะเล่นจริงจังก็หาเสื้อบอลใส่ซะ ถ้าไม่มีอาจะพาไปซื้อ”
ชิงฉัตรอ้าปากค้าง นึกถึงความจริงที่ทำให้เขากลับมืดค่ำ
ชิงฉัตรใส่เสื้อกล้ามสีขาว เล่นบอลอยู่กับเพื่อนที่สนามฟุตบอลในร่มอย่างเอาจริงเอาจัง มีพุ่งเข้าชาร์จบอลชนกันแล้วล้มลง ชิงฉัตรลุกขึ้นก่อน แล้วดึงมืออีกฝ่ายลุกขึ้นอย่างมีน้ำใจนักกีฬา
จากนั้นก็หันไปเล่นอย่างหนักหน่วงจนจบเกม ชิงฉัตรปรบมือกับเพื่อน
ชิงฉัตรออกจากสนาม เดินผ่านผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ยืนมองสนามอยู่ โดยไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าของสนาม ซึ่งมองจ้องอย่างคุ้นหน้าเด็กหนุ่ม

ตรีประดับเชยคางให้ชิงฉัตรให้ปิดปากลง จากที่อ้าปากตาค้างอยู่
“เจ้าของสนามเป็นญาติห่างๆ ของอา”
“โอ๊ย โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน” เด็กหนุ่มนักเรียนช่างกลโวยวาย
ตรีประดับยิ้มขำรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยม ชิงฉัตรมองอาสะใภ้อย่างปลาบปลื้มบูชา ชื่มชมตรีประดับมากขึ้นทุกวัน
“อย่าเรียกว่าอยู่ยากเลย อยู่ให้เป็นดีกว่า เราน่ะ ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ก็ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องปกปิด อายอมให้ฉัตรไปเล่นกีฬาแล้วกลับมาดึกๆ ยังดีเสียกว่าปล่อยให้ฉัตรไปทำอะไรไม่ดีที่ไหนก็ไม่รู้”
“อาตรีครับ ผมขอโทษ”
ชิงฉัตรออดอ้อนเอียงหน้าเอียงหัวซบไหล่ตรีประดับประจบ ในท่าทีนั้นตรีประดับไม่ได้คิดอะไร ส่วนแววตาชิงฉัตรซ่อนความชื่นชมลึกล้ำ
“ไปอาบน้ำนอนซะ อาจะไปทำงานต่อแล้วจ้ะ”
“แล้วอายสล่ะครับ”
“ยังไม่กลับจ้ะ ไม่เห็นว่าไงนะวันนี้”
ตรีประดับกลับเข้าห้องทำงานไป ชิงฉัตรได้แต่มองตาม ก่อนจะปิดไฟห้องอาหาร แล้วออกไปทางโถงกลาง เด็กหนุ่มหยุดยืนมองรูปถ่ายตรีประดับและพยสในกรอบ ที่ตั้งอยู่ตรงตู้มุมห้อง

ตรีประดับนั่งลง นึกเป็นห่วงพยสขึ้นมา หยิบโทรศัพท์พิมพ์ข้อความ
“ยสอยู่ไหนคะ คืนนี้กลับดึกหรือเปล่า”
ตรีประดับนิ่งคิด แล้วหัวเราะกับตัวเอง กดลบที่พิมพ์ไป
“นี่มันพฤติกรรมเมียขี้ระแวงนี่ บ้าแล้วเรา ไม่ใช่ละ”
ตรีประดับสลัดความคิด วางโทรศัพท์บนโต๊ะ ลงมือทำงานต่อ มีไลน์จากพยสส่งเข้ามา
“ผมมีมีตติ้งลูกค้า คงกลับดึกนะครับ ตรีก็อย่าทำงานดึก รีบนอนนะครับ”
ตรีประดับพิมพ์ตอบไปว่า “ถ้าไม่ไหวให้คนรถมาส่งนะคะ อย่าขับเอง ตรีเป็นห่วง”
ตรีประดับวางโทรศัพท์ลงยิ้มชื่นใจ
“น่ารักจัง ยสดีเสมอต้นเสมอปลาย ใครจะโชคดีเท่าตรีประดับอีกเนี่ย”
ตรีประดับลงมือทำงานต่อไป

พยสสังสรรค์อยู่กับลูกค้าในคลับหรู ลูกค้าเรียกหญิงสาวทรวดทรงเซ็กซี่มาดูแลถึงเนื้อถึงตัว
“อย่าเลยครับ ผมไม่ใช่แนวนี้” พยสออกตัว
“เกรงใจภรรยาเหรอ เมียไม่มาแปลว่าเมียไม่มี น่าคุณพยส นิดหน่อยๆ”
หญิงสาวนางหนึ่งมานั่งประกบพยสข้างๆ พยสหัวเราะขำไปอยากขัดใจลูกค้า ดื่มไปคุยกันไป สาวทรงอึ๋มคอยเอาอกเอาใจไม่พร่อง พยสพูดจายิ้มแย้มกับลูกค้าในท่าทีสุภาพ

โลกกลมอะไรเบอร์นี้ อรณาโอบเอวมากับชายหนุ่มคนหนึ่งจากอีกทาง ท่าทางเมากันได้ที่แล้วทั้งคู่
“ไปต่อกันนะ”
“ขอคิดดูก่อน”
อรณาดีดดิ้นเล่นตัวเพื่อสร้างมูลค่าให้ค่าตัวสูงขึ้น ระหว่างชม้ายชายตาให้คู่ขาคืนเดียวอยู่นั้น สายตาก็มองไปเห็นพยสนั่งนัวเนียสาวทรงอึ๋มอยู่มุมหนึ่งโดยบังเอิญ อรณารีบหันกลับ
“เฮ้อ พี่ยส โดนหญิงดักอยู่นี่ เมียจะรู้ไหม”
“ว่าไงครับน้อง”
“ห้องใครดีคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มโอบเอวอรณาเดินออกไป อรณาอดเหลียวไปมองพี่ชายไม่ได้ เป็นห่วงพี่สะใภ้คนโปรดขึ้นมาครามครัน
ชายหนุ่มขับรถสปอร์ตคันหรูมาจอดรับหน้าอโคจรสถาน อรณาสลัดความเป็นห่วงตรีประดับทิ้ง เรื่องของเธอในตอนนี้สวรรค์สวาททอดบันไดมาเกยตรงหน้าแล้ว

ประตูห้องเปิดออก พัดชาในสภาพใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง แต่งตัวง่ายๆ แต่สวยชวนตะลึง ต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอรณาโอบคอชายหนุ่มอยู่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“เอ้อ...”
อรณาผละออกจากหนุ่มคู่ขาชั่วคราว ชายหนุ่มมองพัดชาอย่างตะลึง
“พี่รอตรงนี้แป๊บนะคะ”
อรณาดึงพัดชาเข้าห้อง พัดชางงนิดๆ เหลียวไปมองด้านหลังเห็นนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มกว่า
“ฉันเคยบอกเธอแล้วไง ถ้ามาอยู่กับฉัน ฉันอาจมีขอเวลานอกนิดนึง” อรณาว่า
“แล้วจะให้ฉันไปไหน”
“เมืองไทย ร้านเปิด 24 ชั่วโมง เยอะแยะแก นะ นึกว่าช่วยฉันขึ้นสวรรค์”
“บ้าจริงๆ” พัดชาคว้ากระเป๋าอย่างรีบเร่ง
อรณาเปิดประตูรุนหลังให้พัดชารีบออกไป ชายหนุ่มคู่ขาเดินสวนเข้ามาจ้องพัดชาตาเป็นมัน พลางพูดกับอรณา
“แซนด์วิชได้ไหม”
พัดชาหน้าชา ตัวแข็งทื่อใบหน้าแดงซ่าน อรณาขำ คิดว่าอีกฝ่ายกระดากอายด้วยความใสซื่อ
“ไปเถอะแก”
พัดชารีบเดินออกไป อรณาหัวเราะคิกคักกับหนุ่มคู่ขา
“ไม่ได้เลยคนนี้ นางยังจิ้น”

ประตูห้องปิดลง พัดชาอดเหลียวไปมองไม่ได้ ถอนหายใจ คิดหนักว่าจะเอายังไงกับชีวิตคืนแรกในเมืองไทย

พัดชารอแท็กซี่อยู่นานยังไม่มีผ่านมาสักคัน จึงเดินออกไปเรียกที่หน้าปากซอย

เดินผ่านวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มมั่วสุมหายใจทิ้งอยู่ เด็กหนุ่มวัยคะนองสะดุดตากับความสะสวย ตรงเข้ามาแทะโลม ก้อร่อก้อติก
“ดึกๆ มาเดินคนเดียว อยากได้อะไรหรือเปล่า”
พัดชาเงียบ ไม่ตอบโต้ ภาวนาให้มีแท็กซี่ผ่านมาเร็วที่สุด รถราในซอยวิ่งขวักไขว่ แต่ไม่มีใครสนใจใคร ชายวัยรุ่นเริ่มเข้ามารุมล้อมอีก 2 คน พัดชาโดนล้อมหน้าล้อมหลัง
“ฉันขอนะ อย่ายุ่งกับฉัน”
ชายคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาแตะแขน พัดชาสะบัดสุดแรง นึกถึงสัมผัสจากมืออันหยาบกร้านของเดฟที่ลูบไล้แขนและสัมผัสร่างกาย
พัดชาชักสีหน้าอย่างรังเกียจ พยายามจะออกจากวงล้อมไปให้ได้
“อย่ายุ่งกับฉัน”
จังหวะนั้นมีไฟจากหน้ารถยนต์สาดมาใส่เต็มๆ เด็กหนุ่มวัยหื่น 3 คนยกมือขึ้นบังสายตา พัดชาได้จังหวะผลักชายคนหนึ่งออกเปิดทาง แล้ววิ่งหนีออกมาหน้าปากซอย
พวกมันวิ่งตาม พัดชารีบวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งโดยไม่คิดชีวิต รถบีบแตรไล่ดังลั่น ชายทั้งสามคนเห็นท่าไม่ดีจึงพากันรามือ
พัดชารีบโบกเรียกแท็กซี่ที่ผ่านมา ขึ้นรถไปโดยเร็ว

นั่งมาได้สักระยะ พัดชายังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่หาย จนแท็กซี่ต้องถามทางขึ้น
“ไปไหนครับ”
“คะ”
“น้องจะให้ไปส่งไหนครับ บ้านมั้ย บ้านอยู่ไหน”
คำว่า บ้าน กระตุกใจพัดชาอย่างรุนแรง เธอไม่มีบ้าน ไม่มีจุดหมายที่จะไป จู่ๆ น้ำตาก็ร่วงพรู
แท็กซี่งงหนักมาก

ไม่นานต่อมา แท็กซี่จอดส่งริมถนนย่านคนกลางคืน พัดชาจ่ายตังค์ก้าวลงจากรถ ยืนงงอยู่ริมฟุตบาทพักหนึ่ง มองซ้ายแลขวาไม่รู้หน ตัดสินใจออกเดินไปเรื่อยๆ เหมือนคนหลงทาง ในที่สุดก็เจอร้านกาแฟ 24 ชั่วโมงที่เปิดไฟสว่างไสว พัดชาเดินออกจากเงาสลัวริมถนน เข้าร้านกาแฟนั้นไป

มองจากภายนอกเข้าไปในร้าน แลเห็นพัดชานั่งอยู่ที่โต๊ะริมกระจก แก้วกาแฟถูกดื่มจนพร่องไปกว่าครึ่ง
เด็กสาวนั่งเหงาๆ มองผู้คนที่เดินสวนผ่านไปมาจนเบื่อ นั่งเล่นโทรศัพท์จนแบตใกล้จะหมด หน้าจอเตือนว่า แบตเตอรี่ เหลือ 20 % ให้รีบชาร์จซะ
พัดชาควานหาในกระเป๋า “แบตสำรองก็ไม่ได้เอามา”
พัดชาไล่ดู อินสตาแกรม ตรีประดับ ไปเรื่อยๆ กำลังจะปิดหน้าจอ บังเอิญเจอภาพหนึ่ง ในไอจีของตรีประดับ โพสต์รูปหนังสือ “ระบำแห่งความรัก” พิมพ์ครั้งที่ 2 มีแคปชั่นกำกับว่า
“ดีใจที่หนังสือแปลเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ หลายคนตามหาความฝัน...ยังไม่ลืมความฝันของตัวเองกันใช่ไหมคะ”
พัดชามือไม้สั่น นึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบกับตรีประดับ หลังจากเคยแต่ชื่นชม และติดตามอ่านผลงานมาก่อน จนได้พบกันครั้งแรก ตอนหาใบโคลเวอร์สี่กลีบริมทาง
“โคลเวอร์สี่กลีบ ทำให้เราได้เจอกัน”
“วันนี้พัดโชคดีแล้ว ได้พบโคลเวอร์เหมือนในหนังสือแปลที่อ่าน ที่สำคัญได้พบนักแปลที่พัดเป็นแฟนคลับด้วย”
สองสาวต่างคนต่างเป็นปลื้มในกันและกัน
“ถ้าภาษาหนังสือของตรีจะใช้คำว่าอะไรนะ เป็นความบังเอิญที่สวยงาม” เทศราชว่า
ตรีประดับพูดออกมาพร้อมๆ เทศราช “เป็นความบังเอิญที่สวยงาม”
พัดชานั่งมองไอจีนิ่ง
“ชีวิตนี้มันจะมีความบังเอิญสักกี่ครั้งกันเชียว”
พัดชากดเข้ากล่องข้อความเพื่อจะส่งหาตรีประดับ ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็พิมพ์ส่งไป
“สวัสดีค่ะคุณตรี”
พักเดียวเท่านั้นสีหน้าพัดชาก็ออกอาการตื่นเต้น เมื่อมีข้อความตอบกลับมาว่า
“น้องพัดชา พี่คิดถึงอยู่เสมอเลย น้องสบายดีนะคะ”
พัดชาดีใจมาก มีคนระลึกถึงในยามยาก ชีวิตเริ่มมีความหมายขึ้นมาในเวลาแบบนี้
“สบายดีค่ะ เห็นที่คุณตรีโพสต์รูป พัดเสียดายจัง ไม่มีเวลาฝึกแปลเลยค่ะ ขอบคุณคุณตรีที่ช่วยเตือน ว่าพัดยังมีความฝัน”

อีกฟากหนึ่ง ตรีประดับนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สีหน้าตื่นเต้นดีใจได้คุยกับคนที่ไม่ได้คุยมานาน
“ไม่ใช่พี่หรอกค่ะ น้องพัดต่างหาก ที่ยังเก็บความฝันของตัวเองไว้”
ตรีประดับมองหนังสือแปลเล่มแรก เล่มพิมพ์ครั้งที่ 2 และผลงานเรื่องอื่นล่าสุด ยิ่งนึกถึงพัดชา
“พี่มีหนังสือเก็บไว้ให้พัด”
พัดชาตื่นเต้นกับทุกข้อความ
“ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสหรือได้พบกัน ก็จะให้”
พัดชาเต็มตื้นยิ้มปลื้มบอกตัวเอง “คุณตรียังไม่ลืมเรา”
“น้องพัดกลับมาเมืองไทยบ้างหรือเปล่าคะ หรือว่าตอนนี้ยังอยู่ญี่ปุ่นกับพ่อแม่บุญธรรม”
พัดชานิ่งไปนิด ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
“ตอนนี้พัด...”
พัดชายังพิมพ์ไม่เสร็จ ก็มีข้อความทางตรีประดับส่งมา
“พี่กับพยสอยากพบน้องพัดอีกนะคะ”
พัดชาตะลึง นึกถึงพยส ฉับพลันทันใด หน้าจอก็ดับวูบคามือ พัดชาเสียดาย อยากจะคุยอีก ที่สำคัญข้อความของตรีประดับได้จุดชนวนบางอย่างขึ้นมาในใจ
พัดชามองจอที่ดับสนิทไปแล้ว แต่ข้อความสุดท้ายกลับยังสว่างวาบอยู่อย่างนั้น
“พี่กับพยสอยากพบน้องพัดอีกนะคะ”
อักษรทุกตัวเลือนสลายไป เหลือเพียงคำว่า “พ ย ส” ที่แจ่มกระจ่างในห้วงคิดของเธอ

พัดชากุมโทรศัพท์ในมือด้วยสีหน้าแน่วนิ่ง

อ่านต่อ ตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น