บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 19 อวสาน
มาลาในชุดสวยงามสมวัยรีบร้อนลงบันไดมาสีหน้าท่าทางตื่นตกใจ หิ้วกระเป๋าถือกำลังจะออกไปดูชยพลที่โรงพยาบาล มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกสาย
มาลาหยิบโทรศัพท์จากระเป๋าถือดูหน้าจอ เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่ก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะ...ค่ะ ดิฉันมาลาพูดสาย...ตำรวจเหรอคะ อ๋อ เรื่องชยพลใช่ไหมคะ ทราบแล้วค่ะ เนี่ยกำลังจะไปโรงพยาบาล...” มาลาชะงัก “อะไรนะ ไม่ใช่เหรอคะ งั้นมีเรื่องอะไรคะ...” คราวนี้มาลาตกใจสุดขีด “อะไรนะคะ ชลกรถูกรถชน”
มาลาวูบไปชั่วขณะหนึ่ง แทบจะยืนไม่อยู่ จนต้องนั่งลงที่เก้าอี้ ถามละล่ำละลักว่า
“เมื่อไหร่คะ ที่ไหน”
มาลาฟังไป น้ำตาเริ่มไหลออกมาเป็นสาย
ปกป้องเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ปานวาดนั่งอยู่กับปานดาว คอยโอบไหล่ปลอบน้อง ปัฐวีนั่งอยู่ด้วย
ห่างออกมา บานชื่นนั่งอยู่กับเช้า
“เป็นไงก็ไม่รู้ น่าจะออกมาบอกกันบ้าง”
“ก็คงกำลังง่วนช่วยชีวิตกันอยู่ล่ะครับ”
“ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเจ้าปองพล” เช้าปรารภ
ปกป้องงง “เกี่ยวอะไรด้วยพ่อ”
“ก็เจ้าปองพลมันต้องจมน้ำตาย ก็เพราะพยายามช่วยชีวิตลูกบ้านนั้นไง ตอนนี้ลูกบ้านนั้นก็ต้องมาเป็นบ้าง เพราะช่วยลูกแก”
บานชื่นตีที่ขาผัวดังเผียะ “ปากเหรอนั่นน่ะ พูดอะไรคิดบ้างซี หลานจะรู้สึกยังไง”
เช้ารู้ตัวมองไปที่ปานดาว แล้วพยักหน้ารับจ๋อยๆ
“ลืมไป สองคนมันเป็นผัวเมียกันแล้วนี่หว่า”
บานชื่นตีซ้ำอีก
“เอ๊ะครูนี่ ตีอยู่ได้”
บานชื่นถลึงตาใส่เช้า
ปานดาวมองปู่กับย่า แล้วก้มหน้าไม่สบายใจ ทุกคนต่างก็รู้สึกเห็นใจปานดาว แต่ไม่มีใครกล้ามองปานดาวมาก กลัวจะยิ่งอาย
สักครู่ต่อมาประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกมา พยาบาลเป็นคนเปิดประตู
“คุณชยพลปลอดภัยแล้วนะคะ หมอให้ขึ้นห้องพักได้เลย”
ทุกคนลุกขึ้นไปออที่ประตูห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่เข็นเตียงออกมา ร่างชยพลนอนนิ่งอยู่บนนั้น มีขวดน้ำเกลือห้อยติดอยู่ที่เสา เจ้าหน้าที่เข็นเตียงชยพลออกไป ทุกคนเดินตามไป เหลือเพียงปัฐวี ปานวาด
จนมีเสียงเอะอะดังเข้ามาจากข้างนอก ปานวาดหันไปมอง
เห็นเตียงพยาบาลถูกเข็นเข้ามาอีกทาง บนเตียงมีร่างชลกรนอนหมดสติอยู่ คราบเลือดเกรอะกรังบอกให้รู้ว่าอาการสาหัส
ปานวาดจำได้ทันทีว่าเป็นชลกร ผละจากทุกคนวิ่งไปเกาะที่ข้างเตียง ถามเสียงสั่น
“กร กรเป็นอะไร”
“ถูกรถชนมาครับ”
พยาบาลเปิดประตูห้องฉุกเฉินให้ เจ้าหน้าที่รีบเข็นเตียงของชลกรเข้าไปทันที ปานวาดได้แต่ยืนตะลึงตะไลตกใจสุดขีดอยู่หน้าห้อง ปัฐวีก็ตกใจเช่นกันมองหน้าน้องสาวนิ่ง
มาลา มาลัย ดุจเดือนและก้องภพเดินเข้ามาภายในล็อบบีโรงพยาบาล มาลายังมีอาการมึนเซๆ อยู่ ดุจเดือนต้องคอยประคอง
ปานวาดยืนคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชลกร ปานวาดก็หันมาเห็นกลุ่มของมาลา รีบผละจากเจ้าหน้าที่แล้วเดินไปหาทั้งสาม ยกมือไหว้ทุกคน
“สวัสดีค่ะ คุณแม่ คุณลุง คุณน้า”
ผู้ใหญ่รับไหว้ ดุจเดือนพยักหน้าทักทายปานวาด
“เป็นไงบ้างลูก ทั้งสองคน” มาลาถาม
“แม่รู้เรื่องกรแล้วใช่ไหมคะ”
มาลาพยักหน้า “ตำรวจโทร.ไปบอก ไม่น่าเลย”
ปานวาดเสียใจจะร้องไห้ “เป็นความผิดของปอเอง ปอโทร.ไปบอกกรเรื่องพล กรเขาคงรีบร้อนออกมา”
มาลาจับแขนปานวาดปลอบ “อย่าโทษตัวเองซีลูก ยังไงก็ต้องมีคนบอกเขา”
“แล้วตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง” มาลัยถาม
“พลปลอดภัยแล้วค่ะ หมอให้ขึ้นไปฟักฟื้นที่ห้องแล้ว แต่กรยังน่าห่วง ตอนนี้ย้ายไปเข้าห้องผ่าตัดแล้ว”
“โธ่ลูกแม่ ทำไมเคราะห์ร้ายอย่างนี้”
“งั้นเราไปที่ห้องผ่าตัดกันก่อนดีไหม” ก้องภพว่า
ทุกคนเห็นด้วย พากันเดินตามกันไป มีปานวาดนำ
ปกป้องและปัฐวีนั่งอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด จนเห็นปานวาดเดินนำมาลา มาลัย ดุจเดือนและก้องภพเข้ามา ปกป้องลุกขึ้นยืน ปัฐวีมองตามไปลุกขึ้นยืนด้วยไหว้ทักผู้ใหญ่ทุกคน จนสายตามาหยุดมองดุจเดือน สองคนมองกันแว่บเดียว แล้วต่างก็หลบตากันไป ก้องภพเห็นใจสองคน
“พอดีเจอกันข้างล่างน่ะค่ะ ปอเลยพาขึ้นมา”
ปกป้องทักทุกคน “สวัสดีครับ พลปลอดภัยแล้วนะครับ ป่านกับพ่อแม่ผมไปดูแลอยู่”
มาลาเข้ามาถามปกป้องใกล้ๆ “แล้วกรเป็นยังไงบ้างคะ”
ปกป้องมองปานวาด อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเล่าไปบ้างแล้ว
“หมอก็กำลังดูแลอย่างเต็มที่”
“ปอบอกว่ากรอาการหนัก”
ปกป้องนิ่งไป “อย่าเพิ่งกังวลใจให้มากเลย หมอเขาก็ยังไม่ได้บอกอะไร พี่ว่าเราต้องมีความหวังเข้าไว้”
มาลาแทบหมดแรง นั่งลงที่เก้าอี้ ท่าทางไม่สบายใจมากๆ
“เชื่อพี่ซี กรจะต้องไม่เป็นอะไร ดูซี อย่างชยพลที่เราเป็นห่วง ตอนนี้ก็ปลอดภัยดีแล้ว”
มาลาหันมามองปกป้อง พยักหน้าขอบคุณสำหรับคำให้กำลังใจ
ชยพลนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นวีไอพีของโรงพยาบาล ร่างกายยังต้องให้น้ำเกลืออยู่ ปานดาวกุมมือมองหน้าชยพลด้วยสายตาเป็นห่วง บานชื่นนั่งอยู่กับเช้าที่โซฟาในห้องรับรองญาติ
“มานั่งก่อนเถอะลูก ยืนเป็นชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวถ้าเขาตื่นเราก็เห็นอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะย่า”
“ก็หลานมันเป็นห่วงของมัน นี่ แต่ปู่ถามจริงๆ เหอะ ปู่ยังไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อหลานรักเขาขนาดนี้ แล้วจะไปแต่งกับนายภาคีนั่นทำไม”
บานชื่นใช้ส่ายหัว ศอกกระทุ้งเข้าเอวตาเช้า
“อุ๊ย คนอะไรวะ ศอกแหลมตั้งแต่สาวยันแก่”
“แก่เหรอ เอาอีกทีไหม” บานชื่นกระทุ้งอีกศอก
“โอ๊ย พอแล้ว นี่ฉันทำอะไรผิดเหรอ”
“ก็พูดอะไรไม่รู้จักคิดน่ะซี หลานเขายิ่งไม่สบายใจอยู่”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ก็ได้ ไม่พูดแล้ว แต่ทีหลังแค่ใช้นิ้วสะกิดก็พอนะ ห้ามใช้ศอก”
ปานดาวอดขำปู่กับย่าไม่ได้ แต่พอหันกลับไปมองชยพลที่ยังไม่ได้สติ ก็เป็นห่วงขึ้นมาอีก
อีกฟาก ทุกคนยังคงนั่งทุกข์ใจอยู่หน้าห้องผ่าตัด ไม่นานนัก บัวผัน เทศและมาลีเดินเข้ามา พอมาลาเห็นบัวผันก็ลุกขึ้นปรี่เข้าไปหากอดบัวผันร้องไห้
“แม่ กรแย่แล้วแม่”
บัวผันพยายามปลอบ “อะไรลูก แย่ยังไง”
“กรอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นชั่วโมงแล้วแม่”
“มันต้องใช้เวลานะลูก อย่าเพิ่งคิดมากซี”
บัวผันพามาลามาที่กลุ่ม เทศก็ตามมาด้วย
ทุกคนลุกขึ้นมาไหว้บัวผันกับเทศ
บัวผันรับไหว้ทุกคน แต่พอเห็นปกป้องก็ชะงัก ยกมือรับไหว้แกนๆ เทศก็เหมือนกัน ก้องภพหันไปบอกดุจเดือน
“ดุจ ลูกพาคุณตาคุณยายกับป้ามาลาไปเยี่ยมชยพลก่อนซีลูก”
ดุจเดือนหันมาถามมาลา “ป้าไปไหมคะ”
“ป้าอยากรอดูอาการกรที่นี่”
“อยู่ที่นี่มาลาก็มีแต่จะเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไปเยี่ยมอีกคนก่อนเถอะ พี่ก็จะไปด้วย”
เห็นมาลานิ่งคิด ปกป้องบอกอีกว่า
“ไปเถอะ ถ้ามีข่าวอะไร ปัฐรีบไปบอกก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
มาลาพยักหน้ายอมไป
ดุจเดือนมองปัฐวีแว่บหนึ่ง ก่อนจะพามาลา มาลี บัวผันและเทศออกไป ปกป้องเดินตามไปด้วย พอดุจเดือนพ้นหน้าไปแล้ว ปัฐวีจึงมองตามหลังดุจเดือนไป
มาลัยเห็นอาการของปัฐวีและดุจเดือน ก็อดรู้สึกสงสารสองคนไม่ได้ ก้องภพเองก็รู้สึกอย่างนั้น
ประตูห้องพักฟื้นชยพลเปิดออก ปกป้องเดินนำเข้ามาก่อน ตามมาด้วยดุจเดือน มาลา มาลี บัวผันและเทศ
ปกป้องถามปานดาวว่า “เป็นยังไงบ้างลูก”
ปานดาวหันมาเห็นยกมือไหว้พวกผู้ใหญ่
“ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ”
มาลา มาลี และดุจเดือนไหว้สวัสดีบานชื่นกับเช้า บานชื่นกับเช้าก็รับไหว้ บานชื่นเผลอมองดุจเดือนไม่ละสายตามาลาเดินตรงไปที่เตียงชยพล ปานดาวถอยออกมา มาลาเข้ามาดูชยพล
บัวผันกับเทศก็เดินมาดูชยพลด้วย สองคนมองเหล่ๆ คู่ปรับ จนบานชื่นกับเช้ารู้สึกอึดอัด เลยลุกขึ้น
“จะออกไปรอข้างนอกนะ”
บานชื่นพาเช้าออกไปข้างนอกดึงปกป้องออกไปด้วย ดุจเดือนมองตามไป ปกป้องพยักหน้าเรียกให้ดุจเดือนตามออกไปด้วยกัน
ปกป้องออกมาจากห้องกับบานชื่นและเช้า ดุจเดือนตามออกมา
“พ่อกับแม่ครับ นี่ดุจเดือน ลูกสาวผมอีกคน”
เช้าชะงัก แม้จะรู้อยู่แล้วจากบานชื่น แต่ก็อดอึ้งๆ ไม่ได้ ดุจเดือนไหว้บานชื่นกับเช้าอีกครั้ง ทั้งสองรับไหว้
“เมื่อกี้ก็ไหว้กันทีนึงแล้ว ไหว้พระนะหลานนะ ถ้าหนูมีอะไรที่คิดว่าปู่กับย่าจะช่วยได้ก็ขอให้บอกนะ ยังไงหนูก็เป็นหลานแท้ๆ ของย่าคนนึง”
“หลานแท้ๆ ของปู่เหมือนกันนะ” เช้ายิ้มให้ดุจเดือนไม่ยอมน้อยหน้าบานชื่น
ดุจเดือนไหว้ขอบคุณอีกครั้ง “ขอบพระคุณค่ะ”
“ผมขอคุยกับลูกหน่อยนะครับ”
ปกป้องพยักหน้าให้ดุจเดือนตามเขาไป
บัวผันบ่นเสียงดังลั่น
“เป็นเพราะบ้านนั้นแท้ๆ ถึงทำให้หลานฉันต้องเจ็บหนักขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรนักหนา”
ปานดาวซึ่งอยู่ในห้องด้วย รู้สึกไม่ดี และรู้สึกผิดไปด้วย มาลีเห็นอาการของปานดาว
“แม่ไม่ต้องไปโทษบ้านนั้นหรอก แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเวรกรรมก็อาจจะจริง ตอนนั้นพี่ปองพลเขาเคยช่วยมาลีไว้จนตัวเองต้องจมน้ำตาย วันนี้หลานพลก็เอาตัวเข้าแลก ช่วยชีวิตหนูปานดาวไว้”
ปานดาวอึ้งๆ มองที่ชยพล เขาช่วยชีวิตเธอไว้จริงๆ
“ใครไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ก็ต้องเริ่มเชื่อแล้วล่ะ กรรมมาได้แบบแปลกๆ เราไม่ทันได้รู้ตัว แต่ยังโชคดีนะ ที่ไม่ถึงกับต้องตายเหมือนพี่ปองพล”
“ยังไม่รู้หรอกว่าจะโชคดีจริงหรือเปล่า อย่าลืมซี เจ้ากรยังอยู่ในห้องผ่าตัดโน่น จะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เทศว่า
“พูดแบบนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมาตาเทศ”
บัวผันก็พยักพเยิดให้ดูมาลาที่นั่งเศร้าอยู่
“มาลี พี่ว่าพาพ่อกับแม่ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า ออกจากบ้านมายังไม่ได้กินอะไรกันเลยใช่ไหมล่ะ”
“ดีเหมือนกัน”
ปกป้องกับดุจเดือนเดินคุยกันมาในสวนหย่อมของโรงพยาบาล
“ตั้งแต่วันนั้น เราก็ยังไม่ได้คุยกันเลย พ่อ เอ่อ เป็นห่วงมากเลย ที่บ้านมีปัญหาอะไรกันไหม”
“วันแรกแย่มากๆ เลยค่ะ พ่อ..พ่อก้องภพเก็บกระเป๋าออกจากบ้านไปเลย ทั้งหนูทั้งแม่ทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าพ่อไปไหน พวกเราจะอยู่ยังไง พวกเราเป็นห่วงพ่อน่ะค่ะ”
ปกป้องถอนใจ รู้สึกผิดมากๆ
“แต่พอค่ำๆ พ่อก็ลากกระเป๋ากลับมาบ้าน พ่อบอกว่า พ่ออยู่โดยไม่มีคนที่พ่อรักไม่ได้” ดุจเดือนยิ้มทั้งน้ำตา
ปกป้องโล่งใจ “ดีแล้วล่ะที่ลงเอยอย่างนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของหนู พ่อคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง”
ดุจเดือนเช็ดน้ำตา บังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้อีก
“แค่เรื่องที่เกิดขึ้นกับปัฐแล้วก็หนู พ่อก็รู้สึกแย่มากๆแล้ว พ่อต้องขอโทษหนูด้วยนะ จริงๆแล้ว เรื่องหนูเป็นลูกของพ่อ พ่อเองก็เพิ่งรู้ แม่หนูเขาไม่เคยบอกพ่อเลย พ่อรู้สึกผิดมากๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อให้หนูเลย ถ้ามีอะไรที่พ่อพอจะช่วยได้ พ่อก็ยินดี”
ดุจเดือนมองปกป้อง น้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน ขณะยกมือไหว้ “หนูขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้ครอบครัวของหนูมีความสุขดีแล้วค่ะ คงไม่มีอะไรต้องรบกวนคุณ...อา”
ปกป้องอึ้งๆ
“หนูขออนุญาตคิดว่าพ่อก้องภพ คือพ่อจริงๆ ของหนูนะคะ”
ปกป้องนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าพร้อมยิ้มให้ลูกสาว “ได้เลย พี่ก้องสมควรเป็นพ่อจริงๆ ของหนูอยู่แล้ว”
ดุจเดือนยิ้มตอบ ทั้งปกป้องและดุจเดือนยิ้มให้กันด้วยความดีใจ
มาลีเดินนำบัวผันกับเทศเข้ามาในศูนย์อาหาร บานชื่นกับเช้านั่งกินอาหารกันอยู่ใกล้กับทางเข้าพอดี บานชื่นเห็นบัวผันกับเทศ รีบโบกมือเรียก
“บัวผัน ตาเทศ มานั่งด้วยกันนี่มา”
เช้าหันตามไปกระซิบถามเมียเบาๆ
“เรียกมาทำไม”
บานชื่นไม่สนใจเช้า เรียกมาลี “มาลี มานั่งนี่มาลูก”
มาลีเห็นครูบานชื่นเรียก ก็เดินนำบัวผันกับเทศไปที่โต๊ะ สองคนตามลูกไป ไม่ทันเห็นบานชื่นกับเช้า จนทั้งสามมาถึงโต๊ะ จึงชะงัก
“นั่งด้วยกันนี่มา” บานชื่นบอก
บัวผันอึกอัก “ไม่เป็นไร นั่งนั่นดีกว่า”
“นั่งนี่แหละ จะได้คุยกันเรื่องลูกเรื่องหลาน”
“ดีเหมือนกันแม่ ตรงนี้แหละใกล้ดี พ่อกับแม่นั่งเถอะ มาลีจะไปดูกับข้าวมาให้”
มาลีเดินไปดูอาหาร
บัวผันกับเทศเลยจำใจต้องนั่งร่วมโต๊ะกับบานชื่น
“ฉันยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษแม่บัวผันกับตาเทศเลย” บานชื่นเอ่ยขึ้นก่อน
ทั้งบัวผันและเทศชะงัก เช้าเองก็อึ้งๆ ว่าเมียจะขอโทษเรื่องอะไร
“ครูจะมาขอโทษฉันเรื่องอะไร” บัวผันถาม สีหน้าดูผ่อนคลายลง
“เรื่องแรก ก็ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ วันนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะหลานสาวฉัน หลานชายทั้งสองคนของบัวผันกับตาเทศก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้”
บัวผันอึ้งไปนิด “จริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของครูซักหน่อย”
“ถ้าสืบสาวราวเรื่องกันไปจริงๆ มันเป็นความผิดของฉัน ลูกปองพลของฉันตาย ฉันก็โทษว่าเป็นเพราะมาลี มะม่วงต้นนั้นมันเป็นของบัวผันแท้ๆ แต่ตาเช้าก็ขี้โกงเก็บลูกไปขายหมด ทำให้บัวผันโกรธ ถึงกลับจะฟันต้นไม้ที่อุตส่าห์ปลูกอุตส่าห์ดูแลมาเป็นสิบปี ในอดีตฉันกับตาเช้าก็ปลูกฝังความเกลียดชังพวกบ้านแม่บัวผัน ก็เลยทำให้สองบ้านต้องมีปัญหากัน แล้วมันก็บานปลายมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ทุกอย่างมันเกิดจากความเคียดแค้นเกลียดชังของพวกฉันแท้ๆ” บานชื่นนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง “บัวผันกับตาเทศ ยกโทษให้พวกฉันได้ไหม”
บัวผันอึ้งไปอีกรอบ “ไม่นึกว่าจะได้ยินคำๆ นี้จากครู”
“ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะตายวันตายพรุ่ง เราก็ไม่รู้ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับอดีต เราก็ไม่ต้องก้าวไปข้างหน้ากันพอดี”
“ถ้าจะพูดไป เราสองบ้านตอนนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นกันแล้ว ดุจเดือน ลูกของมาลัย จริงๆ แล้วก็เป็นหลานของฉันสองคน พวกเรามันเป็นดองกันไปแล้ว” เช้าเสริม
“ถ้ามัวแต่โกรธกันอยู่ ยังมองหน้ากันไม่ติดเหมือนที่ผ่านมา หลานมันจะหัวเราะเอาได้ ปู่ย่าตายายนี่เป็นยังไง แก่จะตายแล้วยังจะโกรธกันไม่เลิก ว่าไงล่ะบัวผัน ตาเทศ ตกลงจะยกโทษให้พวกเราได้ไหม”
บัวผันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกเต็มตื้น จนน้ำตาคลอหน่วย “คนอย่างครู อุตส่าห์มาขอโทษชาวไร่ชาวสวนอย่างฉัน ฉันจะไม่ยกโทษให้ได้ยังไง” บัวผันยกมือไหว้บัวผันกับเช้า “ฉันเองก็ต้องขอโทษครูกับตาเช้าด้วยที่เคยล่วงเกิน”
บานชื่นยื่นมือมากุมมือบัวผันไว้
“ไม่ต้องขนาดนี้หรอก” พลางลดมือของบัวผันลง “ฉันดีใจนะที่พวกเราสองบ้านได้เข้าใจกัน กลับมาเป็นเพื่อนที่รักกันเหมือนเดิม”
บัวผันปาดน้ำตาป้อยๆ ยิ้มรับ
“เออ โกรธกันมายี่สิบสามสิบปี พอจะดีกันก็ง่ายๆ ยังงี้ล่ะนะ” เทศเหน็บอย่างอารมณ์ดี
“เออซี หรือไม่ยอม”
เช้าหัวเราะ “เฮ้ย เทศ เมียแกศอกแหลมเหมือนครูหรือเปล่า ระวังจุกนะมึง”
“ศอกไม่แหลมหรอก แต่หมัดหนักเป็นบ้า”
บัวผันชกเข้าที่ต้นแขนผัวเบาๆ ตาเทศยกมือไหว้ปลกๆ ทำท่ากลัวเมีย
“ยอมจ้ะยอม แม่บัวผันว่าไง ฉันก็ว่าตามกัน”
สองครอบครัวปู่ย่าตายายหัวเราะให้กัน
พอมาลีกลับมาที่โต๊ะพร้อมจานข้าวราด 2 จาน เบื้องแรกงงๆ ว่าเกิดอะไร แต่แล้วก็เข้าใจ ยิ้มกว้าง วางจานข้าวให้พ่อแม่ นั่งลงร่วมวง
ทุกคนพูดคุยกันยิ้มหัวให้กันอย่างสุขใจ ความบาดหมาง เคืองแค้น แรงอาฆาต ในกันและกันหายไปจนสิ้น
ใกล้ๆ กับหน้าร้านกาแฟในโรงพยาบาล ปกป้องกับดุจเดือนเดินกลับมาจากคุยกัน เจอก้องภพและมาลัยกำลังจะมาหากาแฟดื่ม
“อยู่นี่เอง พ่อกับแม่จะมาหากาแฟดื่มหน่อย”
ปกป้องบอกดุจเดือนว่า “งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ พ่อ..เอ่อ...อาจะไปดูชลกร”
ดุจเดือนไหว้ลาพ่อผู้ให้กำเนิด ปกป้องเดินออกไป
ก้องภพมองตามปกป้องไป แล้วหันมามองดุจเดือน
“ไปคุยอะไรกันมาเหรอ”
“ก็คุยเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นล่ะค่ะ แล้วดุจก็...ขออนุญาตให้พ่อก้องภพเป็นพ่อคนเดียวของดุจ”
ก้องภพอึ้งไปนิด แล้วดึงดุจเดือนเข้ามากอดครู่หนึ่ง แล้วถอนตัวออกมา
“แต่ยังไงลูกก็ต้องถือว่าพ่อปกป้องเป็นพ่อของลูกด้วย เพราะลูกคือสายเลือดของเขา”
ดุจเดือนมองก้องภพอย่างซาบซึ้งใจ “เพราะพ่อเป็นพ่อที่ดีแบบนี้ ดุจถึงรักพ่อมากที่สุด”
ก้องภพเต็มตื้นดึงดุจเดือนเข้ามากอดอีกครั้ง คราวนี้ดึงมาลัยมากอดด้วยอีกคน
“พ่อก็ดีใจที่เราเป็นครอบครัวที่รักกันมากที่สุด”
สามกอดกันกลม มาลัยซึ้งใจกอดก้องภพแน่นน้ำตาคลอ
ปกป้อง ปัฐวี และปานวาดนั่งรออยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ทุกคนยังอยู่ในอาการวิตก สักครู่หนึ่ง พยาบาลอยู่ในชุดผู้ช่วยผ่าตัด ออกมาจากห้องผ่าตัด
“มีญาติคุณชลกรไหมคะ”
ปกป้องลุกขึ้น “ครับ”
“คนไข้เสียเลือดมาก กลัวเลือดทางโรงพยาบาลจะไม่พอ ให้ญาติช่วยบริจาคเลือดด้วย มากันหลายคนไหมคะ”
“ครับ ก็หลายคนอยู่” ปกป้องบอก
“ให้ตามญาติไปบริจาคเลือดที่ห้องเลือดเลยนะคะ เดี๋ยวจะโทรไปประสานให้ ไปถึงก็บอกว่าบริจาคเลือดให้คุณชลกร”
ปกป้องพยักหน้ารับ ปานวาดรู้สึกกังวล
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 19 อวสาน (ต่อ)
ชยพลนอนหลับอยู่บนเตียง สักครู่หนึ่งเขาขยับเปลือกตาและค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ภาพตรงหน้าชยพลเห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางของใครคนหนึ่งยืนอยู่ จนภาพค่อยๆ ชัดขึ้นๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นปานดาว
“ป่าน” ชยพลทักเสียงเนือยๆ
ปานดาวยืนอยู่ข้างเตียงยิ้มดีใจ “รู้สึกตัวแล้ว”
“ผม...อยู่ที่ไหน”
“คุณอยู่ที่โรงพยาบาล”
มาลาอยู่ตรงโซฟา รีบลุกมาที่เตียงกุมมือลูกชายไว้ ปานดาวขยับถอยออกมา
“พล เป็นไงบ้างลูก”
“แม่ เจ็บที่ท้อง” ชยพลพยายามเอามือมาแตะที่ท้องด้านขวา
“ก็ต้องเจ็บซี กระสุนทะลุท้องลูกน่ะ”
ชยพลใจหาย “ทะลุไปเลยเหรอครับ”
“หมอบอกลูกยังโชคดี ที่กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ”
“นี่โชคดีเหรอครับ”
“ก็ยังดีกว่าชล”
ชยพลแปลกใจ “ทำไมครับ พี่ชลเป็นอะไร”
มาลานึกได้ว่าไม่ควรจะบอกข่าวร้ายกับลูกในยามนี้ มาลามองปานดาวแว่บหนึ่ง แต่ปานดาวก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
“พี่เขารู้ข่าวของพล เขาก็เลยรีบออกมาจากออฟฟิศ แต่เพราะรีบไปหน่อย เลยเกิดอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุอะไรครับ รุนแรงไหม”
“ตอนนี้หมอกำลังดูแลเขาอยู่”
ชยพลมองปานดาวอยากจะรู้มากกว่านี้ แต่ปานดาวก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ปัฐวีเปิดประตูห้องเข้ามาในจังหวะนี้ท่าทีรีบร้อน บอกมาลาว่า
“ขอโทษนะครับคุณอา ชลอาการหนัก เขาเสียเลือดมาก ทางโรงพยาบาลต้องการให้ญาติช่วยบริจาคเลือดน่ะครับ พ่อเลยให้ผมมาตามคุณอา”
“ได้ ไปเลย”
ชยพลพยายามจะยันตัวลุกขึ้น “ให้ผมบริจาคด้วย”
แต่พอขยับจะลุกก็เกิดอาการเจ็บแปลบที่ท้องขึ้นมา “โอ๊ย”
“อย่าเลยค่ะ คุณก็เสียเลือดมากเหมือนกัน ให้เลือดไม่ได้หรอก”
“ใช่ อาฝากหนูป่านดูแลพลด้วยนะ”
“ได้ค่ะ”
มาลารีบออกไปกับปัฐวี
ที่เก้าอี้นั่งรอหน้าห้องบริจาคเลือด ปกป้องกับปานวาดนั่งรออยู่แล้ว พอเห็นปัฐวีเดินนำมาลา มาลัย ก้องภพ และดุจเดือนเข้ามา ปกป้องจึงรีบลุกไปตามพยาบาลที่อยู่ในห้อง พยาบาลออกมา
“ญาติคุณชลกรนะคะ”
ทุกคนรับคำ “ค่ะ” / “ครับ” พร้อมเพรียง
“ทราบแล้วนะคะคุณชลกรเสียเลือดมาก ทางญาติๆ เลยต้องช่วยกันบริจาคเลือด”
“ดิฉันเป็นแม่ค่ะ” มาลาแตะบ่ามาลัย “นี่น้าของชลกร”
“สองคนเหรอคะ” พยาบาลมองคนอื่นๆ
“ดิฉันเป็นน้องค่ะ จะบริจาคให้ด้วย”
มาลาหันมามองปานวาดอย่างซาบซึ้งใจ สวมกอดขอบคุณ
“ขอบใจมากนะหนูปอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เดี๋ยวจะตามพ่อเขามาอีกคนค่ะ” มาลาบอกพยาบาลแล้วหันมาทางก้องภพ “รบกวนพี่ก้องโทร.ตามพี่พันลือมาให้เลือดหน่อยนะคะ”
“ได้ครับ”
ก้องภพหยิบโทรศัพท์ออกมาเดินเลี่ยงไปคุยมุมหนึ่ง
“คุณชลกรเลือดกรุ๊ป O ทั้งสามท่านเลือดกรุ๊ปเดียวกันไหมคะ”
“ค่ะ” มาลาบอก
มาลัยบอกว่า “กรุ๊ป O ค่ะ”
พยาบาลหันมามองหน้าปานวาดซึ่งอึ้งๆ อยู่ เพราะตนเลือดคนละกรุ๊ป
“ฉันกรุ๊ป AB ค่ะ แต่ช่วยตรวจอีกทีได้ไหมคะ อาจมีอะไรผิดพลาด”
“ได้ค่ะ เชิญทั้ง 3 ท่านทางนี้เลยค่ะ”
พยาบาลเดินนำมาลา มาลัยและปานวาด เข้าไปในห้องบริจาคเลือด
ปกป้องมองตามไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด ปัฐวีเห็นพ่อท่าทางแปลกๆ
“มีอะไรครับพ่อ”
“ก็ปอน่ะซี ทำไมเลือดกรุ๊ป AB เหมือนพ่อ”
“แล้วแม่กรุ๊ปอะไรครับ อาจได้จากแม่ก็ได้”
ปกป้องยังไม่แน่ใจ
“พ่อไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าลุงพันลือเลือดกรุ๊ปอะไร”
ปานดาวป้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ให้ชยพล
“หมอบอกวันนี้ต้องงดน้ำงดอาหารก่อน แต่ถ้ากระหายน้ำมาก อนุญาตให้อมน้ำแข็งได้ ชยพลอมน้ำแข็งที่ปานดาวป้อนไว้ในปาก แล้วพยักหน้าขอเพิ่มอีก ปานดาวป้อนน้ำแข็งให้อีก 2-3 ก้อน”
ชยพลอมน้ำแข็งไว้ครู่หนึ่ง
“พอแล้วครับ ดีขึ้นเยอะเลย”
ปานดาวเอาถ้วยไปเก็บเข้าตู้เย็น แล้วเดินกลับมาที่เตียง
“ขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์ลำบากมาดูแลผม”
ปานดาวอึ้งไป “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ ที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
ชยพลนิ่งไป
“ทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น คุณเสี่ยงชีวิตแบบนั้นทำไม”
“เพราะถ้าผมไม่ทำ เขาก็อาจจะยิงคุณ” ชยพลมองปานดาว “ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”
ปานดาวมองตอบ ตื้นตันจนน้ำตาไหลออกมา ชยพลยื่นมือไปกุมมือปานดาวที่วางอยู่ตรงราวกันตก สองคนมองสบกันกันนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ฉันดีใจนะ ที่คุณปลอดภัย”
“ผมก็ดีใจ ที่มีคุณอยู่ตรงนี้”
ปานดาวเอามืออีกข้างมากุมมือชยพลไว้ สองคนยิ้มให้กัน จู่ๆ ชยพลก็ถอนใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
“ผมเป็นห่วงพี่ชล ที่พี่ปัฐบอกเขาเสียเลือดมาก แสดงว่าต้องอาการไม่ดีแน่ๆ”
“ตอนนี้พี่คุณอยู่ในมือหมอแล้ว คุณอย่ากังวลไปเลย คุณเองก็ยังไม่หายดี ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ดีกว่า”
ชยพลหายใจลึกๆ พยักหน้ารับ พร้อมกับบีบมือปานดาวแน่น
ส่วนในห้องบริจาคเลือด มาลา มาลัย และปานวาด นอนอยู่คนละเตียง มาลาแทงเข็มแล้ว พยาบาลกำลังแทงเข็มให้มาลัย
“คุณพยาบาลพอจะรู้ไหมคะ ว่าอาการของชลกรเป็นยังไงบ้าง” มาลาห่วงลูกเหลือเกิน
“หมอไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ แต่หมอก็พยายามเต็มที่อยู่แล้ว ทำใจให้สบายเถอะค่ะ”
มาลัยปลอบ “พี่มาลา หลานชลเป็นคนดี ยังไงก็ต้องปลอดภัย เชื่อมาลัยซี”
“ก็ช่วยกันภาวนาให้พระคุ้มครองชลให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยละกัน”
เสร็จจากมาลัย พยาบาลหันไปจัดการแทงเข็มให้ปานวาด
“หนูปอด้วยนะ ช่วยกันภาวนาให้ชลด้วย” มาลาบอก
“ค่ะ ปอภาวนาอยู่”
พยาบาลบอกเบาๆ ขณะแทงเข็มเข้าที่แขน
“เจ็บนิดนะคะ”
ปานวาดนอนนิ่ง กำมือเบาๆ เพื่อให้เลือดเดิน
ขณะเลือดเริ่มหยดรินลงในขวด น้ำตาของปานวาดก็รินไหลออกมาด้วย
ปกป้อง ปัฐวี ก้องภพ และดุจเดือน กินอาหารกันอยู่ที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาล
ดาวรายเดินเข้ามามองเข้าหาจนเห็นปกป้อง ก็รีบบึ่งเข้าไปหาที่โต๊ะทันที ดุจเดือนเห็นดาวราย ยกมือไหว้ แต่ดาวรายไม่ได้สนใจ ต่อว่าปกป้องทันที
“พี่ทำอะไรของพี่ อยู่ดีๆ ก็ทิ้งแขกออกมา”
“ทำอะไรเหรอ ก็พาชยพลที่ถูกว่าที่ลูกเขยของเธอยิงมาโรงพยาบาลนี่ยังไง”
ดาวรายอึ้งไป คนในศูนย์อาหารเริ่มมองมา
“นายภาคีน่ะมันบ้าหรือเปล่า พกปืนมาขอผู้หญิงเนี่ย”
ปกป้องลุกขึ้น เข้าไปดึงแขนดาวราย พาออกไปจากศูนย์อาหาร
สามคนที่เหลือ ต่างหน้าเจื่อนไป
ปกป้องพาดาวรายพ้นออกมาจากศูนย์อาหารแล้ว เดินมาได้อีกหน่อย ดาวรายก็สะบัดแขนจนหลุด
“ปล่อยได้แล้ว”
“รู้ไหม ถ้าไม่มีเรื่องนายภาคีนั่น ชยพลก็จะไม่ถูกยิง แล้วชลกรก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี่เพราะว่าที่ลูกเขยแสนดีของเธอนั่นแหละ”
ดาวรายหมั่นไส้ “แหม รู้สึกพี่จะเป็นห่วงลูกนังมาลาเหลือเกินนะ หรือยังมีใจให้มันอยู่”
ปกป้องเสียงดังใส่ “นี่พูดอะไร แก่ขนาดนี้แล้วจะมาหึงบ้าหึงบอกันอีกเหรอ พี่ขอบอกไว้เลยนะ ต่อจากนี้พี่จะไม่ยอมเธออีกแล้ว ทั้งพี่ทั้งเธอน่ะ ต่างก็สร้างปัญหาให้คนอื่นมามากแค่ไหน ควรจะพอได้แล้ว ต่อจากนี้ถ้ายังโวยวายแบบนี้อีก พี่จะไปจากบ้าน ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว”
ดาวรายชะงักกึก นิ่งงันไป ไม่เคยเห็นปกป้องโมโหมากขนาดนี้ อัดอั้นปนน้อยใจจนน้ำตาไหลออกมา
ปกป้องพยายามระงับสติอารมณ์ “อ้อ แล้วเธอน่ะ เลือดกรุ๊ปอะไร”
ดาวรายงงคำถาม แต่ก็ตอบ “กรุ๊ป B ถามทำไมเหรอ”
“พี่กำลังสงสัยเรื่องปานวาด เขาเลือดกรุ๊ป AB เหมือนพี่ แต่ต้องรอถามพันลืออีกที ถึงจะสรุปอะไรได้”
ดาวรายงงเต๊ก “สรุปอะไร”
ปกป้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่ยอมตอบดาวราย
บัวผัน เทศและมาลีเดินมาที่หน้าห้องผ่าตัดด้วยกัน ไม่เห็นมีใครอยู่เลยก็แปลกใจ
บัวผันมองหา “อ้าว ไปไหนกันหมดแล้ว”
“นั่นซี ปล่อยให้หลานกูอยู่คนเดียวได้ยังไงวะ”
“เบาๆ ก็ได้พ่อ”
มาลา มาลัย และปานวาดกลับจากให้เลือดพอดี
“บ่นอะไรพ่อ” มาลัยถาม
“ไปไหนกันมา”
“ไปให้เลือดมาน่ะพ่อ ชลเขาเสียเลือดมาก โรงพยาบาลเลยขอให้ญาติๆ ช่วยกันบริจาค”
“แล้วทำไมไม่ไปตามพ่อกับแม่”
“พ่อกับแม่ให้เลือดไม่ได้หรอก โรคเยอะทั้งคู่ แม่ก็เบาหวาน พ่อก็ความดัน” มาลาบอก
“แถมแก่อีกต่างหาก” มาลัยเสริม
“อ้าวเหรอ ให้ไม่ได้เหรอ” บัวผันงงๆ
มาลีถามขึ้นว่า “ฉันให้ได้ไหม”
“มาลีก็ป่วยอยู่ ไม่ได้หรอก ไม่เป็นไรหรอก ได้หนูปอมาให้เพิ่มอีกคนแล้ว”
“เออ จริงด้วย” บัวผันมองมาทางปานวาด “หนูก็เป็นน้องเจ้าชลมันนี่นะ ขอบใจนะลูกนะ”
ปานวาดยิ้มรับ แล้วมองไปทางห้องผ่าตัด ยังนึกไม่สบายใจอยู่
ฟากชยพลนอนมองเพดานห้องอยู่บนเตียง ก่อนจะเหลือบมองไปทางปานดาวที่นั่งอยู่ตรงโซฟา
“ป่านครับ”
ปานดาวลุกเดินมาหา “อยากได้อะไรคะ น้ำแข็งอีกไหม”
“อยากเช็ดหน้าน่ะครับ รู้สึกมันเหนียวเหนอะหนะ”
“งั้นเดี๋ยวนะ”
ปานดาวผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ ได้ยินเสียงเปิดน้ำ แล้วสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับขันใส่น้ำและมีผ้าขนหนูผืนเล็กแช่อยู่ในนั้น
ปานดาววางขันลงที่ตู้หัวเตียง บิดผ้าขนหนูพอหมาด
“ป่านเช็ดหน้าให้นะ”
ปานดาวเช็ดหน้าผากชยพลเบาๆ ชยพลมองจ้องดวงหน้าปานดาวอยู่อย่างนั้น
“ดีขึ้นไหม”
ชยพลยิ้มอ่อนๆ “ดีมากเลย”
ปานดาวชะงัก “เช็ดแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ”
“ได้นอนมองป่านอยู่แบบนี้ มีความสุขมากเลยรู้ไหม”
ปานดาวยิ้มเขิน เช็ดหน้าให้ชยพลต่อ
“มือนุ้มนุ่ม” ชยพลยื่นมือมาจับมือปานดาวไว้ “แล้วก็หอมด้วย”
“ชักจะมากไปแล้วนะคะ นี่ถ้าปล่อยให้พยาบาลดูแล คงจะทำให้เขาวุ่นวายกันทั้งโรงพยาบาล”
“งั้นเพื่อความปลอดภัย ก็อย่าปล่อยผมไว้กับพยาบาลซี ป่านต้องอยู่ดูแลผม 24 ชั่วโมงเลย”
“ยังไงก็ทิ้งไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้ว”
“จริงนะ”
“แต่ควรจะปล่อยมือได้แล้วนะ ใครเข้ามาเห็นมันจะไม่ดี”
ชยพลยิ้ม ยอมปล่อยมือจากปานดาว
“เอ่อ ป่าน ผมรบกวนคุณไปถามข่าวพี่ชลให้ผมหน่อยซี”
“นั่นไง บอกแล้วให้ทำใจให้สบาย”
“ก็ผมเป็นห่วงพี่”
“ป่านก็ห่วง แต่ไม่อยากทิ้งคุณไว้คนเดียว ถ้ามีอะไรเขาคงให้ใครมาบอกแล้วล่ะ”
“ใจผมอยากจะไปดูเองด้วยซ้ำ”
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแผลก็ไม่หาย เอางี้ อยากให้ป่านบริการอะไรอีกก็บอกมาเลย จะทำให้ทุกอย่าง”
“จริงเหรอ” ชยพลยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเช็ดทั้งตัวให้ได้ไหม”
ปานดาวทุบลงไปที่ต้นขาชยพลข้างที่ไม่กระเทือนแผลผ่าตัด
“โอ๊ย เดี๋ยวโดนแผล”
“ถ้าทะลึ่ง คราวหน้าจะทุบกลางรูกระสุนเลย”
“ดุจัง”
เห็นสีหน้าชยพลเครียดลงไปถนัดตา เพราะเป็นห่วงพี่ชาย ปานดาวรู้ทันทีว่าเขาแกล้งล้อเล่นเพื่อให้เธอผ่อนคลาย จึงเอื้อมมือไปจับมือชยพลมากุมไว้ให้กำลังใจ
กลุ่มของปกป้องเดินออกมาจากศูนย์อาหาร ก้องภพหันไปเห็นพันลือเดินรีบร้อนมาตามทางพอดี
“นั่นพันลือมาแล้ว”
ก้องภพโบกมือเรียก พันลือเดินมาสมทบ พอเห็นปกป้องกับดาวรายก็หลบตา ปัฐวีกับดุจเดือนไหว้ พันลือรับไหว้พลางถามก้องภพ
“ลูกผมเป็นไงบ้าง”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้คุณต้องรีบไปให้เลือดก่อน”
ก้องภพเดินนำพันลือไป คนอื่นๆ ตามกันไปเป็น ปกป้องเดินรั้งท้ายมองดาวราย แล้วมองไปยังพันลือ ด้วยสีหน้าสงสัยบางอย่างอยู่
ทุกคนมาถึงหน้าห้องผ่าตัด ก้องภพร้องบอก
“พันลือมาแล้ว”
มาลาหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมพูดกับพันลือ
“มาลัย พาพี่เขาไปบริจาคเลือดก่อน” ก้องภพบอกพันลือว่า “อยากรู้อะไรก็ถามมาลัยนะ”
มาลัยเดินออกไปกับพันลือ
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ บานชื่นกับเช้าเดินเข้ามาจากอีกทาง ถามนำเข้ามาก่อนตัวจะถึง
“เป็นยังไงบ้าง มีข่าวหรือยัง”
“ยังเงียบอยู่เลย” เทศบอก
“เฮ้อ เงียบๆ นานๆ แบบนี้ใจไม่ค่อยดีเลยว่ะ”
ครูบานชื่นกระทุ้งศอกใส่สีข้างผัวที่พูดไม่คิด
ตาเช้าสะดุ้ง “โอ๊ะ อีกแล้ว”
“หัดพูดอะไรที่มันเป็นมงคลบ้าง”
“จ้ะครู” เช้ากระเซ้าเมีย
เทศเห็นแล้วขำ “เออ ศอกแหลมจริงๆ”
“เอ่อ ผมว่ามารอกันอยู่แบบนี้จะเสียเวลากันเปล่าๆ พ่อกับแม่กลับไปก่อนก็ได้นะครับ” ปกป้องเอ่ยขึ้น
“จริงๆ พวกผู้ใหญ่กลับไปก่อนก็ดีนะ” มาลาบอกกับบัวผันและเทศว่า “พ่อกับแม่น่ะกลับไปรอที่บ้านมาลาก็ได้ มาลีก็ด้วย”
มาลัยเห็นด้วย หันมาทางก้องภพ “พี่ก้องช่วยพาพ่อกับแม่ไปหน่อยได้ไหม มาลัยกับลูกดุจจะอยู่เป็นเพื่อนพี่มาลา”
“ได้” ก้องภพหันไปทางบานชื่น กับเช้า “ผมจะพาไปพร้อมกันเลยนะครับ”
ทุกคนต่างไหว้ลาบานชื่น เช้า บัวผัน และเทศ จากนั้นก้องภพก็พาผู้ใหญ่ทั้งสี่คนรวมทั้งมาลีออกไป
ปกป้องมองมาลา แล้วหันมามองปานวาดกับดาวราย เขายังคงมีความสงสัยบางอย่างอยู่
เวลาผ่านไป ทุกคนยกเว้นพันลือ นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด แต่ละคนเปลี่ยนที่นั่งที่ยืนกันไปตามจริตใครมัน มาลา และปานวาด เปลี่ยนอิริยาบถเยอะสุด
พันลือเดินกลับมาจากการให้เลือดมาสมทบทุกคน ตรงข้อพับแขนมีพลาสเตอร์แปะสำลีไว้
“เรียบร้อยแล้ว เอ่อ ได้ยินพยาบาลบอกว่าเลือดใครมีปัญหาก็ไม่รู้”
ทุกคนแปลกใจ มองพันลือเป็นตาเดียวกัน แต่พันลือก็บอกได้แค่นั้น
พยาบาลจากห้องบริจาคเลือดเดินเข้ามาหา
“ขอโทษนะคะ จะมาแจ้งให้ทราบ เลือดของคุณปานวาดเป็นเลือดกรุ๊ป AB จริงๆ ด้วยค่ะ ให้กับคุณชลกรไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรนะคะ ทางโรงพยาบาลจะเก็บไว้ใช้กับคนไข้รายอื่นที่จำเป็นต่อไป ต้องขอบคุณมากนะคะแล้วพยาบาลห้องเลือดก็เดินออกไป”
ปานวาดยังไม่เข้าใจ
“ทำไมปอถึงให้เลือดชลไม่ได้”
ปกป้องเดินเข้ามาหาพันลือ “พันลือ นายเลือดกรุ๊ปอะไร”
“กรุ๊ป O ทำไมเหรอ”
ปกป้องยิ้มออก “งั้นก็ใช่แล้ว”
ทุกคนไม่เข้าใจมองฉงน ปกป้องอธิบายว่า
“พันลือเลือดกรุ๊ป O ดาวรายกรุ๊ป B” ปกป้องหันมาทางปานวาด “ถ้าปอเป็นลูกของแม่กับลุงพันลือ ปอจะต้องมีเลือดกรุ๊ป O หรือ B เท่านั้น แต่ปอมีเลือดกรุ๊ป AB ซึ่งเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกับพ่อ” ปานวาดเริ่มอึ้ง “ปอ ลูกเป็นลูกพ่อกับแม่ ลูกกับชลไม่ใช่พี่น้องกัน”
ปานวาดทั้งตกใจและดีใจ พูดไม่ออก
“จริงเหรอคะ”
ปกป้องยื่นมือทั้งสองข้างออกมา ปานวาดโผเข้าไปกอดปกป้อง น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
“ขอบคุณค่ะพ่อ ขอบคุณค่ะ”
พ่อลูกกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปานวาดจึงถอนตัวออกมา มาลาเข้ามาหาปานวาดยิ้มให้
“ดีใจด้วยนะ”
ปานวาดไหว้ขอบคุณมาลา “ขอบคุณค่ะ”
“ตอนนี้เราก็มาช่วยกันภาวนาให้ชลปลอดภัยนะ”
ปานวาดยิ้มทั้งน้ำตาพยักหน้ารับเอาคำ
ปัฐวีเหลือบมองดุจเดือน สองคนสบตากันแว่บหนึ่ง ทั้งสองไม่โชคดีเหมือนปานวาดกับชลกร
พันลือเดินเข้ามาหาปกป้อง กับ ดาวราย
“ขอโทษนะป้อง เพราะเธอคนเดียว ทำเอาเข้าใจผิดกันไปหมด”
ดาวรายไม่กล้าสบตาใคร “ก็มันนับวันผิดได้นี่นา มันตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว”
ดาวรายเหลือบมองปกป้อง อีกฝ่ายส่ายหน้าระอาเมีย
พันลือถอยออกมายืนข้างๆ เมีย พยายามมองหน้า แต่มาลาเมินหนีไปมองทางอื่นตลอด
ปานวาดเดินมานั่ง มองไปทางห้องผ่านตัด พนมมือสวดมนต์ ปัฐวีกับดุจเดือนมองปานวาดแล้วหันมาสบตากัน ต่างคนต่างมองกันนิ่ง
เวลาล่วงเข้าสู่ตอนกลางคืน ทุกคนยังคงนั่งรอข่าวอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ปัฐวีกับปานวาดเดินกลับเข้ามาพร้อมกับถุงใส่อาหารกล่อง แจกให้ทุกคน
ปัฐวีนำอาหารกล่องมาให้ดุจเดือน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา สองคนสบตากันนิ่งไปครู่หนึ่ง ดุจเดือนรับอาหารกล่องมาโดยไม่ได้พูดอะไร ปัฐวีเดินกลับไปหาที่นั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มกินอาหารกัน ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก หมอเจ้าของไข้หัวหน้าทีมผ่าตัดเดินออกมา คนที่นั่งอยู่ทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กันโดยอัตโนมัติ
หมอพูดเสียงเรียบๆ เหมือนผลการผ่าตัดจะออกมาไม่ค่อยดี
“หมอก็พยายามอย่างที่สุดแล้วนะครับ”
ทำเอามาลาใจหาย ปานวาดเข้ามากุมมือมาลาไว้
“อาการคนไข้ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยแล้ว”
ทุกคนโล่งอก
“แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ญาติๆ ต้องเผื่อใจไว้ด้วย ตอนนี้จะย้ายคนไข้ไปที่ห้องไอซียูก่อน คนไข้ยังไม่รู้สึกตัวนะครับ อาจจะอีกวันสองวัน ถ้าอาการดีขึ้น”
มาลากอดปานวาดไว้ อย่างน้อยก็พอมีความหวังขึ้นบ้างแล้ว
มองผ่านกระจกเข้าไปในห้องไอซียู เห็นเตียงของชลกร มีเครื่องมือทางการแพทย์ระโยงรยางค์อยู่รอบๆ และถุงเลือดห้อยติดกับร่างชลกรที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มาลากับพันลือยืนอยู่ข้างเตียง ทั้งสองใส่เสื้อคลุมป้องกันเชื้อสำหรับเยี่ยมคนไข้ไอซียู
จากกระจกห้องไอซียูมาที่หน้าห้อง เห็นปกป้อง มาลัย ดาวราย ปัฐวี ดุจเดือน และปานวาดรออยู่หน้าห้อง ปานวาดมองผ่านกระจกเข้าไป เหมือนอยากจะส่งพลังภาวนาไปให้ชลกร น้ำตาไหลออกมา
พันลือกับมาลากลับออกมาจากห้องไอซียู ถอดเสื้อคลุมออกแล้ว มาลาหันมาบอกกับปานวาดว่า
“จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว แม่ขอให้หนูปอได้เยี่ยมเป็นคนสุดท้าย”
“ขอบคุณค่ะ”
ปานวาดรีบเข้าไปในห้องไอซียู
ปานวาดอยู่ในชุดปลอดเชื้อ เดินเข้ามาช้าๆ จนถึงเตียง ยืนมองร่างไร้สติของคนรัก น้ำตาไหลออกมา ใบหน้าเนื้อตัวของชลกรมีรอยฟกช้ำมากพอควรโดยเฉพาะหน้า ท่อออกซิเจนถูกสอดไว้ที่จมูกช่วยหายใจ ปานวาดยื่นมือไปกุมมือชลกรไว้
“ชล นี่ปอนะ ชลได้ยินไหม ตื่นมาคุยกับปอซี” ปานวาดพยายามกลั้นไม่ให้สะอื้น “ชลต้องเข็มแข็งนะ ชลต้องไม่เป็นอะไร จะจากปอไปแบบนี้ไม่ได้”
ปานวาดถอนสะอื้น น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย
“ชล ปอมีข่าวดี เรารักกันได้แล้วชล เราไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้ว”
ชลกรยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ปานวาดยิ่งร้องไห้มากขึ้น น้ำตาของปานวาดหยดลงบนมือของชลกร
จู่ๆ มือของชลกรข้างที่วางคว่ำอยู่ ก็ค่อยๆ พลิกหงายขึ้นมาบีบมือปานวาดไว้
ปานวาดรู้ตัวหันมองมา ชลกรเรียกเสียงเบาหวิว
“ปอ”
ปานวาดดีใจถึงขีดสุด กุมมือชลกรไว้แน่น ยิ้มทั้งน้ำตา
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 19 อวสาน (ต่อ)
ตลอดหลายวันมานี้ ปานดาวมาคอยเฝ้าชยพลซึ่งนอนพักฟื้นร่างกาย โดยแพทย์ไม่ได้ให้น้ำเกลือใดๆ แล้ว วันนี้ก็เช่นกันปานดาวมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า นั่งอ่านข้อความในมือถืออยู่ ขณะที่ชยพลเพิ่งตื่น นอนอยู่บนเตียงมองมาที่ปานดาวพลางเรียก
“ป่าน คุณป่าน”
ปานดาวหันมาหา
“คะ”
“อยากเข้าห้องน้ำ”
ปานดาวลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำ กลับออกมาพร้อมกับกระบอกฉี่
“เบาใช่ไหมคะ เอานี่ค่ะ”
“ผมหมายถึงจะเข้าห้องน้ำจริงๆ”
ชยพลขยับลุกขึ้นนั่ง
“ไหวเหรอคะ”
“ไหว ถ้าคุณช่วยประคองหน่อย”
ชยพลยิ้มให้ปานดาว พร้อมกับขยับตัวทำท่าจะลงจากเตียง ปานดาวชะงัก ไม่วางใจ คิดว่าชยพลมีแผนอะไรแน่ๆ
“หมอบอกให้ผมพยายามลุกเดินบ้างไง มา ช่วยหน่อย”
“หมอให้เดิน คุณก็ต้องเดินเองซี”
“ก็เผื่อผมจะล้ม”
“ไหนเมื่อกี้ว่าไหว”
“ก็ไหว แหมคุณ ผมนอนมาเกือบอาทิตย์ มันก็อาจจะพลาดได้”
“งั้นก็แสดงว่ายังไม่ไหว ถ้ายังไม่ไหว ก็ฉี่ใส่กระบอกนี่” ปานวาดหยิบกระบอกฉี่ส่งให้
ชยพลออดอ้อน “ใจคอคุณจะไม่ช่วยผมจริงๆ เหรอ”
“เอาเป็นว่า ฉันรู้ทันคุณก็แล้วกัน”
ชยพลทำตาเว้าวอน ปานดาวเชิด
ระหว่างนี้แวนด้าเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมตะกร้าเยี่ยมไข้ แวนด้าชะงัก เมื่อเห็นปานดาวกำลังยื่นกระบอกฉี่ให้ชยพล ซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง
ปานดาวเห็นแวนด้าก็หึงโดยไม่รู้ตัว ลดกระบอกฉี่ลง
“เกิดอะไรขึ้นคะพอล” แวนด้าถามงงๆ
“ผมจะเข้าห้องน้ำน่ะ แต่คุณป่านเขาไม่ยอมช่วยประคองผมไป”
แวนด้าหันขวับมามองปานดาว เป็นเชิงด่าคนอะไรไม่มีน้ำใจ ปานดาวฉุนกึกมองชยพล
“โชคดีที่แวนด้ามาพอดี มาค่ะ แวนด้าช่วยเอง”
แวนด้าเข้าไปจะช่วยประคอง แต่ชยพลเห็นปานดาวหน้าบึ้ง ก็รีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก หมอบอกให้ผมพยายามเดินด้วยตัวเอง”
ปานดาวเบะปาก รู้ว่าชยพลพยายามพูดเอาใจตัวเอง แต่ยังงอนไม่เลิก
“เชิญตามสบายนะคะ จะช่วยกันยังไงก็ได้”
ปานดาวเดินงอนออกจากห้องไปเลย ชยพลจะเรียกแต่ไม่ทันแล้ว
ปานดาวเดินหงุดหงิดออกมาหน้าห้องพักฟื้นชยพล มาหยุดยืนบ่นบ้ากับตัวเอง
“ช่วยประคองผมหน่อย คนเจ้าเล่ห์ นึกว่าไม่รู้หรือไงว่ากำลังคิดอะไร เอาเลย ใครอยากให้บริการอะไรก็เชิญเลย”
ปานดาวหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกขึ้นได้
“แล้วทำไมเราต้องให้โอกาสยัยนั่น ยัยแวนด้ากำลังอยากทำแบบนี้อยู่แล้ว” ปานดาวนิ่งคิด แล้ว ตัดสินใจ “ไม่มีทาง”
ปานดาวกลับเข้ามาในห้อง ชยพลลุกขึ้นแล้ว และแวนด้าขยับเข้าไปประคองแขน แต่ก็ยังไม่ทันเริ่มออกเดินไปเข้าห้องน้ำ
“โอเค ฉันอาจจะใจร้ายกับคุณมากไปหน่อย” ชยพลมองปานดาว นึกว่าพูดกับเขา แต่ปานดาวกลับหันไปทางแวนด้า “คุณแวนด้า”
แวนด้างงๆ “ใจร้ายยังไง”
“ก็ที่จะปล่อยให้คุณประคองคุณชยพลไปเข้าห้องน้ำไง คุณคงยังไม่รู้ว่า หมอไม่แนะนำให้ทำ เพราะถ้าคุณประคองผิดท่า อาจกระทบกระเทือนกระดูกสันหลังของคุณชยพล และทำให้เขาต้องกลายเป็นคนพิการ เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตทีเดียว”
แวนด้าอึ้งไปหันมาถามชยพล “จริงเหรอคะพอล”
ชยพลชะงักนิดๆ มองหน้าปานดาวงงอยู่ครู่หนึ่ง ปานดาวมองตอบ อยากรู้ว่าชยพลจะว่ายังไง
ชยพลคิดปราดเดียวแล้วเออออตามปานดาว “ครับ อย่างที่คุณป่านพูดเลย”
ปานดาวใส่ใหญ่ “แล้วถ้าคุณชยพลเกิดพิการ คุณแวนด้าก็คงต้องรับผิดชอบดูแลคุณชยพล จนตายจากกันไปข้างนึง”
แวนด้าอึ้งอีก และนึกกลัว ปล่อยแขนชยพลทันที “แหม มีเรื่องแบบนี้ก็ไม่บอกกัน แวนด้าไม่ได้กลัวจะต้องดูแลพอลไปตลอดชีวิตหรอกนะคะ แต่ไม่อยากให้พอลต้องกลายเป็นคนพิการ”
“จริงๆ ช่วงนี้หมอแนะนำว่าไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวคุณชยพลด้วยซ้ำไปนะคะ พลาดพลั้งไป อาจทำให้พิการได้เหมือนกัน”
“ใช่ครับ ถูกตัวไม่ได้เลย เหมือนบวชอยู่เลย” ชยพลเสริมอีก
แวนด้าเริ่มขยับถอยห่างจากชยพล
“อุ๊ย ผมมึนหัวยังไงไม่รู้ เหมือนจะล้ม”
ชยพลนึกสนุกแกล้งเอนตัวมาทางแวนด้า ทำเอาแวนด้าตกใจรีบถอยออกมา
“งั้นวันนี้แวนด้ากลับก่อนดีกว่านะคะ รอให้พอลดีขึ้นก่อนแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่ ไปก่อนนะคะ”
แวนด้ารีบเผ่นออกไปจากห้องทันที
ชยพลขำ “คิดได้ไงเนี่ย มุกนี้”
“ไม่ใช่มุกนะคะ หมอบอกฉันไว้”
ชยพลชะงัก เขาไม่เชื่อ “ไม่จริงหรอก ผมถูกยิงที่ท้อง จะไปเกี่ยวกับกระดูกสันหลังได้ไง”
“เส้นมันคงไปดึงกันมั้ง”
ปานดาวก็เดินไปที่หัวเตียง กดปุ่มเรียกพยาบาล
“คุณจะทำอะไร”
ปานดาวไม่ตอบ รออยู่ครู่หนึ่ง พยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา
“ขอโทษที่รบกวนนะคะ คือจะบอกว่าดิฉันจะกลับบ้านวันนี้แล้ว คุณพยาบาล…”
ชยพลใจเสีย “เดี๋ยว ว่าไงนะ คุณจะกลับบ้าน”
“ค่ะ” ปานดาวหันมาหาพยาบาล “จากนี้คุณพยาบาลคงต้องมาช่วยดูแลคนไข้แทนแล้ว”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” พยาบาลยิ้มบอก
“ถ้าคุณป่านไม่อยู่ ผมก็ไม่อยู่ ผมจะกลับวันนี้เหมือนกัน”
“ยังกลับไม่ได้หรอกค่ะ หมอยังไม่ได้สั่ง” พยาบาลว่า
“โอเคนะคะ ดิฉันจะไปแล้ว”
ปานดาวหันไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมๆ ของเธอ พร้อมกับกระเป๋าถือ
“ป่าน คุณจะไปจริงๆ เหรอ”
ปานดาวไม่ตอบ เดินออกจากห้องไป
“เรื่องแวนด้านี่ผมไม่รู้จริงๆ นะ โอเคๆ ผมขอโทษ อย่าไปเลยนะ”
ปานดาวหยุดหันมามองหน้าชยพลอีกแว่บหนึ่ง แล้วเดินออกประตูไป พยาบาลหันมามองคนไข้งงๆ ขณะที่ชยพลอ่อนใจ
ฝ่ายปานวาดเข็นเก้าอี้รถเข็นพาชลกรเข้ามาในสวนหย่อมของโรงพยาบาล แขนข้างหนึ่งของเขาคล้องอยู่กับคอ
“ปอ หยุดก่อน”
ปานวาดหยุดเข็น
“ผมอยากเดินเอง”
“เดินได้แล้วเหรอ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้”
ปานวาดล็อกเบรกเก้าอี้รถเข็นไว้ ชลกรค่อยๆ ขยับตัวลง เบื้องแรกเขายังต้องจับเก้าอี้ไว้ จนยืนเองได้ แม้จะซวนเซอยู่นิดๆ ปานวาดคอยระวังเข้าไปช่วยประคองไว้
ชลกรเริ่มออกเดินช้าๆ ปานวาดประคองไปด้วย สักครู่ชลกรก็พยักหน้าให้ปานวาดปล่อยมือ เขาค่อยๆเดินไปอีกสองสามเก้า ก็หยุด
“ผมว่าผมพอเดินได้แล้วล่ะ แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน”
ปานวาดเข็นรถมารับ
“ค่อยๆ ทำเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน มา นั่งพักก่อน”
ชลกรนั่งลง
“ผมอยากกลับเป็นปกติเร็วๆ จะได้ไม่ต้องลำบากปอ”
“ห้ามคิดอย่างนั้นเด็ดขาด”
ชลกรมองปานวาดอย่างซึ้งใจ “ผมดีใจนะ ที่ปอบอกข่าวดีผมวันนั้น เพราะถ้าเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ ผมคงไม่มีกำลังใจที่จะฟื้นลืมตาขึ้นมา”
“แต่สำหรับปอ ถึงเราจะเป็นพี่น้องกัน ปอก็พร้อมจะเป็นน้องสาว และดูแลพี่ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต”
ชลกรยิ่งซึ้งใจ เอื้อมไปจับมือของปานวาดมากุมไว้ สองคนยิ้มให้กัน
วันต่อมา ชยพลในชุดคนไข้เดินบ่นเข้ามาในห้องพักฟื้นชลกร
“คราวนี้เขาโกรธผมจริงๆด้วยอ่ะพี่”
ชลกรนั่งอยู่บนเตียง มีผ้าคล้องแขนกับคออยู่อย่างเดิม ส่วนปานวาดนั่งอยู่ที่โซฟา
“ผมคิดว่าวันนี้เขาจะมา แต่ก็ไม่มา ผมโทรไปเขาก็ไม่ยอมรับสาย ไลน์ไปก็ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ผมจะทำยังไงดีพี่”
“แล้วนายไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ”
“ผมไม่ได้ทำ คืองี้ แวนด้าเขามาเยี่ยมผม”
“ไหนว่าเลิกกันแล้ว”
“ผมบอกเลิกเขาไปแล้ว แล้วที่เขามานี่ ผมก็ไม่ได้บอกเขา พอเจอกัน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ดีๆป่านเขาก็โกรธผม”
“ผู้หญิงเราจะมีเซนส์พิเศษ แค่มองตาก็รู้แล้วว่าในใจคิดอะไร” ปานวาดบอก
“แต่ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แวนด้าก็ไม่ได้อยู่นาน แป๊บเดียวก็กลับ พี่ปอช่วยผมด้วยนะครับ ช่วยเคลียร์กับป่านหน่อย”
“เรื่องนี้พี่ไม่ขอยุ่ง พลต้องพิสูจน์ตัวเอง พี่ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
ชยพลมองหน้าพี่ชายขอให้ช่วย แต่ชลกรกลับยักไหล่ เขาเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้
มาลากับพันลือเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นชยพล แต่ต้องแปลกใจที่ลูกชายไม่ได้อยู่ที่เตียง
“ไปไหนของเขา”
พันลือเข้าไปดูในห้องน้ำ แต่ก็ไม่เห็น
“ไม่อยู่”
“สงสัยไปตรวจอะไรมั้ง”
ชยพลเปิดประตูกลับเข้ามาพอดี
“อ้าว พ่อ กับ แม่ มานานยังครับ สวัสดีครับ”
“เพิ่งมาจ้ะ ว่าแต่เราน่ะไปไหนมาล่ะ”
“ไปเยี่ยมพี่ชลมาครับ”
พันลือมองเป็นห่วง “หายดีแล้วเหรอ เดินไปโน่นมานี่”
“เกือบปกติแล้วล่ะครับ เออ แล้วพ่อกับแม่ล่ะ คืนดีกันแล้วเหรอ”
พันลืออึ้ง หันไปมองมาลา
“ยัง”
พันลือยักไหล่ จำต้องยอมรับ
“แล้วป่านไปไหนล่ะ”
“เขาไม่มาแล้วครับ” มาลาทำท่าจะถามว่ามีปัญหาอะไร แต่ชยพลพูดขึ้นก่อนว่า “ผมอยากกลับแล้วล่ะแม่”
“เมื่อกี้แม่ถามพยาบาล เขาบอกหมอให้ออกพรุ่งนี้แล้วนี่”
ชยพลนิ่งไปนิดหน่อย “งั้นแม่ช่วยโทร.หาป่าน ให้เขามาเฝ้าผมคืนนี้ แล้วรับผมออกพรุ่งนี้ได้ไหมครับ”
“ไม่ต้องไปกวนเขาหรอก พรุ่งนี้พ่อมารับเอง”
“ผมอยากให้ป่านมารับอ่ะครับ”
“เขาอาจติดธุระก็ได้ พ่อมารับแหละดีแล้ว”
“ไม่ติดหรอกครับ”
“รู้ได้ยังไง”
“เอาล่ะๆ แม่จะโทร.คุยกับเขาให้ ถ้าเขามาได้ก็ไม่มีปัญหา”
ชยพลยิ้มแต้ “ขอบคุณมากครับแม่ ให้มาโรงพยาบาลวันนี้เลยนะครับ”
“จ้ะ”
ปานดาวลงมาจากชั้นบน สะพายกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย ดาวรายเห็นรีบออกมาขวาง
“จะไปไหน”
“ไปเฝ้าไข้พลค่ะ แม่เขาโทร.มาขอให้ไปช่วย”
“เฝ้าไข้อะไร ก็มีพยาบาลอยู่แล้ว”
“พลเขาจู้จี้น่ะแม่ ต้องป่านถึงจะเอาอยู่ อีกอย่าง พรุ่งนี้จะรับเขากลับด้วย”
“อะไรกัน พ่อแม่เขาไม่มีปัญญาพาลูกกลับบ้านเหรอ”
ปกป้องเข้ามาได้ยินแม่ลูกเถียงกัน
“มีปัญหาอะไรกัน”
“ก็ลูกสาวพี่น่ะซี ไปนอนเฝ้าลูกมาลาตั้งแต่วันแรก เพิ่งกลับมาเมื่อวาน นี่ก็จะไปอีกแล้ว”
“แล้วมีปัญหาอะไร ลูกก็ทำถูกแล้วนี่ คนรักกันเขาก็ต้องทำหน้าที่ของคนรักซี” ปกป้องหันไปบอกปานดาว “ไปเถอะลูก ป่านนี้เขารอแย่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
ปานดาวรีบออกจากบ้านโดยไว
ดาวรายหงุดหงิด “เอ๊ะพี่ ไปส่งเสริมลูกให้ทำแบบนี้ได้ยังไง แล้วถ้าภาคีเขารู้เข้าล่ะ เขาต้องไม่พอใจมากๆ เลย”
“ไม่พอใจเหรอ นายภาคีของเธอตอนนี้มันหนีไปอยู่ประเทศไหนแล้ว แล้วทำไมเธอต้องไปแคร์ไอ้คนที่เกือบจะฆ่าลูกของเธอด้วย พอซักทีเถอะ รู้จักยอมรับการตัดสินใจของลูกบ้าง ลูกจะรักใครก็ต้องให้เขาเลือกเอง”
ปัฐวีเดินเข้ามาในบ้านพอดี พอเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลยหยุดที่ประตู ดาวรายหงุดหงิดเดินเข้าไปในครัว ปกป้องเดินขึ้นชั้นบน ปัฐวีตามดาวรายไป
ดาวรายยืนหงุดหงิดอยู่ในครัว ปัฐวีเข้ามาหา
“แม่ครับ”
ดาวรายหันมา
“ผมตัดสินใจแล้วนะครับ ผมจะไปเรียนต่อโทที่ออสเตรเลีย”
ดาวรายเข้ามาหา “ไปจริงๆเหรอลูก”
“มันดีที่สุดแล้วครับ แต่ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้องแม่”
“อะไรล่ะลูก”
“แม่จะต้องไม่ทำอะไรกับลูกสาวอีกคนของพ่อ...ดุจเดือนน่ะครับ”
ดาวรายอึ้ง
“คดีเก่าตำรวจยังตามจับตัวมันไม่ได้ แต่ถ้าจับได้เมื่อไหร่ แม่จะต้องเดือดร้อน”
ดาวรายไม่รู้จะพูดยังไง รู้สึกกลัวไม่น้อย
“แม่ยังมีโอกาสแก้ตัว ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก”
ดาวรายมองหน้าลูกชายน้ำตาคลอหน่วยแล้ว
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ทำให้ผมเจ็บกับมันมาก แต่ผมก็ต้องพยายามยอมรับมันให้ได้ ผมอยากให้มีปฏิหารย์แบบที่เกิดขึ้นกับปอ ที่สุดท้ายปอกับชลก็ไม่ใช่พี่น้องกัน แต่สำหรับผมไม่โชคดีแบบนั้น
ดาวรายมองสงสารปัฐวี “แม่อยากให้ลูกรู้ ความทุกข์ของลูก ก็เป็นของแม่ด้วย แม่ขอโทษที่ทำร้ายดุจเดือน แม่แค่คิดโง่ๆ ว่ามันจะทำให้เขากับลูกเลิกยุ่งเกี่ยวกัน แต่มันกลับยิ่งทำให้ลูกเจ็บมากขึ้น แม่สัญญาจ้ะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก”
“ขอบคุณครับแม่”
ดาวรายเข้าไปกอดลูกชายตัวโย่ง น้ำตาไหลพราก
“แม่อาจไม่ใช่แม่ที่ดี แต่แม่ก็อยากให้ลูกรู้ว่า แม่รักลูกมากนะปัฐ แม่จะอยู่ตรงนี้รอลูกเรียนจบกลับมานะลูกนะ”
ปัฐวีโอบกอดแม่ร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
ชยพลเดินกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่น หันไปดูนาฬิกาที่ผนังบ่นบ้ากับตัวเอง
“ไหนแม่บอกว่าโทร.บอกแล้ว ป่านนี้ทำไมยังไม่มา หรือจะแกล้งหลอกให้ดีใจอีก จะเอายังไงกับผมนะป่าน”
มีเสียงเคาะประตู ชยพลเหลียวขวับไปมองคิดว่าเป็นปานดาว รีบกระโจนขึ้นเตียง พอประตูเปิดเข้ามา ชยพลยิ้มเก้อ ชะงักกึก คนที่เข้ามาในห้องคือแวนด้า
“สวัสดีค่ะพอล เป็นไงคะ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม พยาบาลบอกพรุ่งนี้พอลจะกลับแล้ว”
“คุณมาทำไม”
“ทำไมพูดยังงั้นล่ะคะ แวนด้าอุตส่าห์มาหาและเช็คแล้วด้วย ว่าวันนี้ นังเด็กล้างจานนั่นไม่อยู่”
ชยพลไม่พอใจ “อย่าพูดถึงป่านอย่างนั้น”
“พอลคะ พอลไม่คิดถึงคืนวันเก่าๆ ของเราบ้างเหรอคะ”
แวนด้าเดินเข้ามาที่ข้างเตียง แล้วจับมือชยพลไว้
“คืนวันที่เรามีความสุขด้วยกันน่ะ”
ชยพลเหนื่อยใจ “แวนด้า เรื่องของเรามันจบไปแล้ว คุณเข้าใจบ้างซิ”
แวนด้ากลับยิ่งบีบมือชยพลแน่นขึ้น “แวนด้าไม่มีค่าสำหรับพอลเลยเหรอคะ”
“เราเป็นได้แค่เพื่อนกัน ก็เท่านั้น”
ปานดาวเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเลยในห้องพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วต้องชะงัก เห็นแวนด้าจับมือชยพลอยู่ ทั้งสามนิ่งงันกันไปชั่วขณะหนึ่ง ชยพลสยองกลัวปานดาวจะอาละวาด
แต่ผิดคาด ปานดาวนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เอากระเป๋าเสื้อผ้าวางลงบนโซฟา
ชยพลรีบดึงมือออกจากมือแวนด้า แล้วพูดแรงๆ ให้ปานดาวได้ยินด้วย
“แวนด้า ผมขอร้องนะ เลิกมายุ่งกับผมได้แล้ว ผมกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคุณป่าน อย่ามาทำให้ผมต้องลำบากใจอีกเลย”
แวนด้าอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้สึกเสียหน้ามาก หันมามองปานดาว ก่อนสะบัดหน้ากลับไปพูดกับชยพล
“จริงๆ ที่แวนด้ามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาบอกลาพอลต่างหากละคะ จำเดวิดได้ไหมคะ”
ชยพลพยักหน้ารับ “เจ้าเนิร์ดนั่นน่ะเหรอ”
“ค่ะ เขาขอให้แวนด้ากลับไปแต่งงานกับเขาที่อเมริกา”
“จริงเหรอ”
“ตอนนี้ เดวิดเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตอยู่ที่นั่น แวนด้าก็เลยตัดสินใจว่า ไม่ควรจะจมปลักอยู่กับพอลอีก แวนด้าจะกลับไปหาเดวิด ที่ทั้งรักทั้งหลงแวนด้ามากมาย” แวนด้าปรายตามองปานดาว “ลาก่อนนะคะพอล หวังว่าชาตินี้ เราคงไม่ต้องเจอกันอีก”
จากนั้นแวนด้าก็สะบัดหน้าพรึด เดินชนไหล่เบียดปานดาวออกจากห้องไปเลย
ชยพลโล่งอก แต่พอหันมามองปานดาว เขาก็ต้องอึ้งอีก เพราะปานดาวหน้านิ่งมาก ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ให้รู้
ด้านดุจเดือนมาเยี่ยมชลกร และกำลังเตรียมผลไม้ให้ เห็นชลกรอาการดีขึ้นเป็นลำดับก็สบายใจ ในห้องมีปานวาดอยู่ด้วย
“อีกไม่กี่วันคงได้กลับบ้าน”
“แล้วพลล่ะ กลับวันไหน”
“พรุ่งนี้แล้วมั้ง ป่านมาเฝ้าเขาวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็จะรับกลับบ้าน”
“สองพี่น้องนี่โชคดีจังเลยเนอะ มีสาวมาดูแลตลอด”
ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ดุจเดือนจัดผลไม้เสร็จ เงยหน้าขึ้น เห็นชลกรและปานวาดต่างมองมาที่เธอ ก็อึ้งไป
“เสร็จแล้ว กินเลยไหม”
ดุจเดือนยกจานผลไม้มาวางที่โต๊ะอาหารคนไข้ แล้วเลื่อนโต๊ะมาที่เตียงชลกร
“ขอบคุณนะครับ”
ดุจเดือนยิ้มรับ หันไปมองปานวาดนิ่งๆ แล้วตัดสินใจถาม “ปัฐเป็นไงบ้าง”
“อ๋อ ช่วงนี้เขาก็ยุ่งหน่อย ทั้งปอทั้งป่านมาเฝ้าคนไข้ เลยต้องทำงานคนเดียว”
ดุจเดือนพยักหน้ารับรู้
“ทำไมไม่โทร.ไปคุยกับเขาล่ะ”
“อย่าเลย”
ดุจเดือนเดินเอาถุงเศษผลไม้ไปทิ้งถังขยะ ทั้งชลกรแลปานวาดต่างมองดุจเดือนด้วยความสงสาร
ด้านปานดาวจัดเสื้อผ้าในกระเป๋าไปแขวนเก็บในตู้เสื้อผ้า ชยพลยืนอยู่ใกล้ๆ
“ตอนนี้สบายใจได้แล้วนะ ไม่มีศัตรูหัวใจอีกแล้ว”
“ใครว่าฉันไม่สบายใจ เรื่องแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“ผมชอบจังเลย ผู้หญิงที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย”
ปานดาวหันไปมองชยพล “จะได้เจ้าชู้ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม”
“ไม่ช่าย แหม ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ” ปานดาวมองหน้าเขาแว่บเดียวก่อนจะหันไปเอาเสื้อผ้าใส่ตู้ พูดโดยไม่มองหน้าชยพล
“ถึงจะเป็น ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามคุณ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
“ทำไมจะไม่ได้เป็น”
ปานดาวหันมามองชยพลตาขุ่นเขียว ไม่ชอบคำพูดของเขา
“ผมหมายความว่า อีกไม่นานเราก็ได้เป็น ผมกำลังจะให้พ่อกับแม่ไปขอป่าน”
“เร็วไปหน่อยไหม ตอนนี้เราแค่อยู่ในขั้นศึกษาดูใจกันอยู่ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า เราคู่ควรกันหรือเปล่า”
“แสดงว่าในขั้นนี้ ผมจะต้องทำให้ป่านมีข้อมูลพอที่จะตัดสินใจงั้นซิ”
“ก็ทำนองนั้น”
“เช่น ต้องทำตัวเป็นคนดี”
“ใช่” ปานดาวหันหลังกลับไปหยิบของใส่ตู้ต่อ
“เวลาอยู่ด้วย ต้องทำให้คุณยิ้มได้” ปานดาวพยักหน้า “เวลาคุณเป็นทุกข์ ก็ต้องพร้อมเป็นกำลังใจให้คุณ” ปานดาวพยักหน้าอีก “เวลาเหงาๆ ก็ต้องทำให้คุณอบอุ่น”
ชยพลขยับเข้าไปทางด้านหลังสอดมือเข้าโอบกอดช้าๆ ปานดาวนิ่งไม่ไหวติง
“เวลาเครียด ก็มีจูบเบาๆ ที่ช่วยให้ผ่อนคลาย”
ชยพลจูบเบาๆ ที่ซอกคอ ไล่เรื่อยมาที่ด้านหลัง ก่อนจะจับตัวปานดาวให้หันมาหา เชยแก้มนวลมาจูบอย่างละมุนละไม ปานดาวเคลิ้มไปด้วย ทั้งคู่มองสบตากัน ชยพลก้มหน้าลงจูบปากอิ่ม
จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พยาบาลเปิดเข้ามาเลยพูดโดยยังไม่ได้มอง
“ยาก่อนอาหารค่ะ”
ชยพลกับปานดาวสะดุ้ง ถอนตัวออกจากกัน พยาบาลรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เอายาไปวางไว้ให้ที่โต๊ะ แล้วกลับออกไป สองคนมองกัน อดขำและอายกับสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่ไม่ได้
หลายวันต่อมา ชยพลเดินนำเข้ามาในบ้าน หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าและเครื่องใช้พี่ชายมา ชลกรตามเข้ามา ยังคล้องแขนกับคออยู่
“พ่อครับ แม่ครับ กลับมาแล้วครับ”
พันลือลงบันไดมา ส่วนมาลาออกมาจากห้องครัว
ชยพลเอากระเป๋าและถุงของไปวางไว้ มาลาเข้ามากอดรับขวัญลูกชาย
“ในที่สุดก็กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันซักที แบบนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษ ต้องฉลองกันหน่อย”
พันลือยิ้มแย้มแจ่มใส มองไปที่มาลา แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่งไม่ยิ้มด้วย
ชยพลกับชลกรเห็นอาการของพ่อกับแม่ ก็ดูออกว่าแม่ยังโกรธพ่ออยู่
มาลา พันลือ ชยพล และชลกรนั่งกินอาหารกันไปเงียบๆ จนมีจังหวะหนึ่ง ทั้งมาลาและพันลือยื่นมือเข้าไปจะตักกับข้าวพร้อมกัน มือพันลือกับมาลา หยิบช้อนกลางด้วยกัน มือมาลาวางอยู่บนมือพันลือ
มาลาชะงัก รีบดึงมือกลับมา พันลือมองหน้า แล้วตักกับข้าวใส่จานมาลาก่อนยิ้มเอาใจ
“นี่จ้ะมาลา”
“ขอบคุณ” มาลาตอบหน้านิ่งไม่ยิ้มตอบ
พันลือตักกับข้าวกินหน้าจ๋อย ชยพลกับชลกรมองหน้ากัน อยากให้พ่อกับแม่คืนดีกัน ชยพลเอ่ยขึ้นว่า
“แม่ครับ ปรึกษาแม่หน่อย” มาลาหันมาฟัง “ผมอยากให้แม่ไปสู่ขอป่านให้ผมน่ะครับ”
“ถามป่านเขาหรือยัง ถ้าเขาโอเค พ่อจัดการให้ จะเอาใครเป็นผู้ใหญ่ดี ผู้ว่าฯ เลยไหม” พันลือว่า
“ได้เหรอพ่อ”
“ได้ พ่อออกรอบกับท่านบ่อย” พันลือหันมาทางชลกร “แล้วชลล่ะ ให้ขอปอด้วยเลยไหม”
ชลกรมองหน้าแม่คล้ายถามว่าคิดยังไง มาลาก็พยักหน้า
“โอเค ขอพร้อมกันสองคนเลย” พันลือบอก
“แม่แน่ใจเหรอครับว่าอยากให้พวกผมแต่งงานกันหมด” ชยพลถาม
“งั้นแต่งตามลำดับอาวุโสละกัน ฉันแต่งก่อน อีกซักสามสี่ปีนายค่อยแต่ง”
ชยพลตกใจร้องโวยวาย “สามสี่ปี! ไม่มีทาง แต่งพร้อมกันน่ะดีแล้ว”
บรรยากาศดูสนุกสนาน พี่น้องแย่งกันแต่งก่อน
“ผมแต่งกับป่านแล้ว ว่าจะย้ายไปอยู่คอนโดที่ผมซื้อไว้ พี่ก็พาปอมาอยู่กับแม่ที่นี่ละกัน”
“จะไปอยู่กัน 2 ต่อ 2 ไม่สนใจคนอื่นว่างั้นเถอะ”
“ถามฝ่ายหญิงก่อนมั้ย คนไทยเขาแต่งเข้าบ้านผู้หญิงนะ ชลต้องไปอยู่บ้านปอหรือเปล่า”
“แล้วแม่จะอยู่ยังไง” ชลกรถาม
“ไม่ยากหรอก พอชลกับพลแต่งออกไปหมดแล้ว แม่ก็หมดภาระ บางที แม่อาจจะย้ายไปอยู่กับตายาย ไปดูแลน้ามาลีด้วย”
คำพูดของมาลาทำเอาทั้งห้องเงียบเหมือนเป่าสาก จากที่หัวเราะสนุกสนานกลายเป็นอึมครึม เครียดกันไปทั้งแถบ ลูกทั้งสองหันไปมองพ่อ
พันลืออึ้งเงียบงันไปเลย
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 19 จบบริบูรณ์
มาลาเดินออกมารับลมหน้าบ้าน ชยพลเดินตามออกมา
“แม่ยังไม่คิดจะให้อภัยพ่ออีกเหรอครับ พี่ปอก็ไม่ใช่ลูกของพ่อแล้ว”
“มีสองเหตุผลที่แม่ให้อภัยพ่อลูกไม่ได้ ข้อแรก เขาไปยุ่งกับดาวราย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเราแต่งงานกันแล้ว และข้อสอง เขาไม่ยอมบอกเรื่องปอกับแม่ ตั้งแต่แรกที่รู้เรื่อง คนเรา ถ้าโกหกกันแบบนี้ จะไว้ใจกันต่อไปได้ยังไง
“พ่อคงกลัวแม่จะโกรธ รับเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วมันก็เป็นจริงๆ ผมเองก็ทำผิดต่อป่าน แต่ผมโชคดีที่เชื่อคำที่แม่บอก ให้ใช้ความรักเอาชนะทุกสิ่ง เรื่องที่ผมทำผิดต่อป่าน มันแก้ไขไม่ได้ ก็เหมือนกับเรื่องที่พ่อทำกับแม่ของป่าน มันไม่มีทางจะแก้ไขอะไรได้ ป่านเขายกโทษให้ผม เพราะสิ่งที่ย่าบานชื่นบอก ย่าบอกว่า ถ้าเรายังยึดติดอยู่กับอดีต เราก็ไม่มีวันก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ปล่อยเรื่องราวที่ไม่ดีทิ้งไปเถอะครับ”
มาลานิ่งไป มองหน้าลูกชายคิดถึงสิ่งที่ชยพลพูด
ชยพลกลับเข้ามาในบ้านแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นพ่อเดินเอาผ้าห่มกับหมอนมาวางที่โซฟาห้องรับแขก เหมือนทุกคืนตั้งแต่กลับมา พันลือหันมาเห็นลูกชาย
“ดึกแล้ว เตรียมตัวนอน”
“ทำไมพ่อยังทนนอนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ นี่ตั้งแต่คืนแรกที่พ่อกลับเข้าบ้านเลยไม่ใช่เหรอ พ่อไปนอนห้องพี่ชลหรือห้องผมก็ได้”
พันลือส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก พ่ออยากจะลงโทษตัวเองที่ทำผิดต่อแม่เขา หวังว่าแม่เขาจะให้อภัยพ่อ”
“พ่อก็ต้องทำตัวให้น่ารักๆ ซี จะได้กลับไปนอนที่นอนนุ่มๆ” ชยพลเข้ามากระซิบ “พ่อ ลูกผู้ชายน่ะ ถ้าทำผิดแล้วรู้จักง้อผู้หญิง เขาต้องใจอ่อนอยู่แล้ว ผมว่า แม่น่ะรักพ่อไม่น้อยกว่าที่พ่อรักแม่หรอก ไม่งั้นจะโกรธพ่อทำไมที่ไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น จริงไหมพ่อ”
พันลืออึ้งๆ ชยพลยิ้มให้พ่อ แล้วเดินขึ้นห้องไป
มาลานั่งอยู่ที่โต๊ะสนาม แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สักครู่หนึ่งพันลือจึงเดินออกมาจากในบ้าน หยุดมองมาลา ทำใจได้แล้วเดินเข้าไปหาช้าๆ พันลือเดินมาหยุดไม่ห่างจากมาลาซึ่งนั่งหันหลังให้
“พลเขาถามพี่ว่า ทำไมถึงยังนอนที่โซฟา ไม่ขึ้นไปนอนห้องเขา หรือห้องชล พี่บอกว่า พี่ยังรู้สึกผิดอยู่ พี่จะทำแบบนี้จนกว่ามาลาจะยกโทษให้พี่”
มาลายังนิ่งอยู่
“มาลา พี่อยากขอโทษมาลาอีกครั้ง เรื่องดาวรายน่ะ มันเกิดขึ้นเพราะพี่โมโหมาก ที่ดาวรายเที่ยวพูดจาให้ร้ายมาลาไปทั่วตลาด เขาหยามเกียรติมาลา”
“แล้วทำไมพอรู้เรื่องปอแล้ว พี่ไม่บอกมาลา”
“พี่กลัวจะเป็นแบบนี้ไง พี่กลัวมาลาโกรธ แล้วจะไม่ให้อภัยพี่ กลัวว่าจะต้องสูญเสียมาลาไป พี่รักมาลาที่สุด ให้พี่ตายซะยังดีกว่าถ้าไม่มีมาลา”
มาลาลุกขึ้นยืน โดยยังหันหลังให้พันลืออยู่ “ความเกลียดสร้างปัญหาวุ่นวาย ไม่นึกว่าความรักก็จะสร้างปัญหาได้เหมือนกัน”
“มาลาจะยกโทษให้พี่ไม่ได้หรือ พี่อยากให้ครอบครัวกลับมามีความสุขเหมือนเดิม”
“มาลาก็กำลังชั่งใจอยู่ วันแต่งงานลูกชาย มาลาก็อยากให้คนอื่นเห็นพ่อกับแม่เจ้าบ่าวรักกัน ช่วยกันปูที่นอนให้ลูกชายเหมือนกัน”
พันลืองงๆ “หมายความว่าไง มาลายกโทษให้พี่แล้วใช่ไหม”
มาลาหันมาพูดเสียงดุ “ทำไมทีอย่างนี้ถึงไม่ฉลาด”
พันลือดีใจเข้ากอดเมีย หอมแก้มซ้ายทีขวาที ถูกมาลาตีแขนก็ไม่สน
“ทำอะไร อายฟ้าอายดินบ้าง”
หลายวันผ่านไป ปกป้องพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้าน สีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานมาก
“ได้เลย ก็แล้วแต่ทางโน้นเลย บอกล่วงหน้าซักสองอาทิตย์ก็พอ...ผมถือฤกษ์สะดวกนะ เรื่องดีๆทำวันไหนก็ดีทั้งนั้น”
ระหว่างนั้น ดาวรายเข้ามาจากหลังบ้านพอดี หยุดฟังที่ปกป้องพูดโทรศัพท์
“โอเค จะถามเด็กๆให้แน่ใจอีกที จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดอีก” ปกป้องหัวเราะร่า “แล้วจะรอนะ สวัสดีครับ”
ปกป้องกดวางสาย ยิ้มไม่หุบ จนหันมาเห็นดาวรายยืนจ้องอยู่ แต่ก็ยังไม่หุบยิ้ม
“คุยกับใครเหรอคะ มีร่งมีฤกษ์ด้วย”
“พันลือน่ะ เขาโทร.มาปรึกษาเรื่องสู่ขอลูกสาว”
ดาวรายสะดุ้ง “อะไรนะ สู่ขอ? ทำไมดาวไม่รู้เรื่องเลย”
“ทีเรื่องนายภาคีพี่ก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน”
เจอย้อนเข้าให้ ดาวรายอึ้งไป ถามเสียงเบาลง “เขาจะมาขอใคร”
“ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ ดีเหมือนกัน จัดงานครั้งเดียวให้จบๆไปเลย”
“สองคนเลยเหรอ แล้วพี่จะเรียกสินสอดเขาเท่าไหร่ บอกเขาหรือยัง”
ปกป้องหันมามองทำหน้าดุใส่ ดาวรายเลยยิ้มเจื่อนๆ
ชลกรตรวจแก้งานในโน้ตบุ๊กอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน รูปส่วนใหญ่เป็นไฟล์ภาพสถานที่ท่องเที่ยว และมีปานวาดเป็นนางแบบเช่นเคย ชยพลเปิดประตูเข้ามา
“พี่ทำงานเหรอ”
“อืม หยุดไปหลายวัน ต้องรีบเคลียร์งานให้สำนักพิมพ์หน่อย”
ชยพลลากเอาเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ พี่ชาย ดูภาพในจอ
“งานพี่นี่เพลินดีจัง ได้นั่งมองรูปแฟนไปด้วย”
“ใช่ มีความสุขมาก”
“เออพี่ พ่อบอกว่าโทร.ไปคุยกับบ้านโน้นแล้วนะ อาป้องเขาโอเค”
“จริงเหรอ แล้วพ่อจะไปสู่ขอให้เมื่อไหร่”
“เห็นบอกแม่อยากไปดูฤกษ์กับหลวงพ่อก่อน น่าจะอีก 2-3 อาทิตย์”
“นานจัง เบื่อตาย”
“ผู้ใหญ่เขาไม่ใจร้อนเหมือนเรา”
“ระหว่างรอนี่ จะทำอะไรดี” ชลกรนิ่งคิด “เออ เราน่าจะไปพักผ่อนให้สบายใจดีไหม”
“เยี่ยมเลยพี่ ไปที่บ้านพักริมทะเลที่เราเคยไปก็ดี”
“เราไปกันสองคนเหรอ” ชลกรแกล้งทำหน้าใสซื่อ
“ได้ไงพี่ แหม รู้ๆ กันอยู่”
ชลกรขำท่าทางเจ้าเล่ห์ของน้องชาย
“จะไปเที่ยวทะเลเหรอ”
ปกป้องย้อนถามเอากับปานวาดและปานดาว สามคนคุยกันอยู่ในบ้าน
“ไปกับสองหนุ่มใช่ไหม”
ปานวาดกับปานดาวหันมามองกัน อายที่จะตอบ
“ไม่ต้องปิดบังพ่อหรอก จนขนาดนี้แล้ว”
“แต่พอสบายใจได้ค่ะ เราสองคนไม่มีเลยเถิดแน่นอน”
“พ่อรู้ว่าไว้ใจลูกสาวพ่อได้ เออ แล้วคำถามที่พ่อฝากไว้ล่ะ ได้คำตอบหรือยัง พ่อจะได้บอกลุงพันลือเขา”
“บอกไปเลยค่ะว่าโอเค สเตชั่น” ปานวาดยิ้มร่า
ปานดาวมองค้อนพี่สาว “พี่ปอ ไม่ค่อยจะออกนอกหน้าเลยนะ”
“หรือป่านไม่โอ” ปานวาดแกล้งฟ้องปกป้อง “พ่อคะ ป่านยังไม่โอเคนะคะ”
ปานดาวตีพี่สาวเบาๆ “อะไรล่ะพี่ปอ”
สามคนหัวเราะกัน
“เอาเป็นว่าโอทั้งคู่ แต่พ่อจะบอกลุงเขาไปว่าสองคนไม่ขัดข้องละกัน ฟังดูดีหน่อย”
สองสาวเห็นด้วย
“เออ แล้วเรื่องไปทะเลน่ะ ไม่ชวนพี่ปัฐเขาไปด้วยล่ะ เขาก็เครียดมากนะ จะได้พักผ่อนให้สบายใจขึ้น”
“ก็ว่าจะชวนอยู่ค่ะ” ปานดาวบอก
ปานวาดบอกว่า “แต่ไม่แน่ใจว่า ถ้าชวนพี่ดุจเดือนไปด้วย พี่เขาจะดีขึ้นหรือแย่ลง”
“น่าจะดีนะ แต่อย่าเพิ่งบอกให้พี่ปัฐเขารู้ก่อนล่ะ เดี๋ยวเขาจะไม่อยากไป”
สองปานพยักหน้ารับ เข้าใจที่พ่อบอก
ขณะที่ปัฐวีกำลังหาข้อมูลสถานที่เรียนในออสเตรเลียจากโน้ตบุ๊ก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นปานดาวเปิดเข้ามา
“ทำไรอยู่พี่”
ปานดาวเข้ามาดูที่จอคอม เห็นแล้วอึ้งไป
“หาที่เรียนต่อ”
ปานดาวก้มลงไปดูใกล้จอมากขึ้น “ออสเตรเลียเหรอ”
“อืม ค่าใช้จ่ายถูกหน่อย พี่กะว่าจะเรียนไปทำงานไป ไม่รบกวนเงินพ่อแม่”
ปานดาวอึ้งๆ ไป รู้สึกใจหาย “พี่จะไปจริงๆ เหรอ”
ปัฐวีนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วถอนใจเฮือก “ถ้าพี่ยังอยู่ที่นี่ พี่รู้ว่าไม่มีวันทำใจได้ ยังไงพี่คงต้องฝากโฮมสเตย์ให้ปอกับป่านดูแลด้วยนะ”
ปานดาวพูดไม่ออกนั่งลงข้างๆ มองพี่ชายแล้วสงสารเอามากๆ ปัฐวีหันมามองน้องแล้วยิ้มให้
“ทำหน้าแบบนั้นทำไม พี่ยังไม่ได้ตายจากกัน ไปซักปีสองปี แล้วก็กลับ ให้มันลืมๆอะไรไปบ้าง อีกอย่างเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันทันสมัยจะตาย เราคุยกันทางไลน์ได้ตลอดอยู่แล้ว”
ปานดาวพยักหน้ารับ “ทำใจได้เมื่อไหร่ พี่รีบกลับมาเลยนะ”
ปัฐวีพยักหน้าให้น้อง
“จริงๆ เข้ามานี่ ป่านอยากชวนพี่ไปพักผ่อนกับพวกเรา”
“ปอกับป่านน่ะเหรอ จะไปไหนล่ะ”
“ไปทะเล ยิ่งถ้าพี่จะไปเรียนต่อแบบนี้ ยิ่งต้องไปกับเราใหญ่”
“ไปเมื่อไหร่”
“อีกสองวัน พี่ไปด้วยกันนะ”
“ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างคงดี โอเค”
ชยพลพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้าน
“ใช่ครับ รับรองดีแน่พี่ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไงครับ”
ดุจเดือนพูดโทรศัพท์กับชยพลอยู่ในบ้าน
“มีใครไปบ้างล่ะ”
“ก็มีผมกับพี่ชล แล้วก็สาวๆ บ้านโน่น”
“ปอกับป่านน่ะเหรอ”
“ครับพี่ เครียดมามากแล้ว ให้ทะเลช่วยล้างใจเราหน่อย”
“ก็ดีนะ ไปกันเยอะๆ สนุกดี”
“สนุกแน่ครับ โอเคครับ วันมะรืน เดี๋ยวผมไปรับพี่ที่บ้านนะครับ...ครับ แล้วเจอกันครับ”
ชยพลกดวางสาย หันมามองหน้าพี่ชาย ยิ้มร่า ร้อง “เยส! ภารกิจสำเร็จ”
ชลกรยิ้มชูนิ้วโป้งให้
สองวันต่อมา
รถชยพลแล่นเข้ามาตามทางในบริเวณบ้านพัก ชยพลเป็นคนขับ ชลกรนั่งเบาะข้างๆ ส่วนดุจเดือนนั่งอยู่เบาะหลัง
รถของปานดาวจอดอยู่ก่อนแล้ว ชยพลขับรถไปจอดใกล้บ้านพัก สามคนลงจากรถเดินไปหยิบกระเป๋าที่กระโปงท้าย
ปานดาว ปานวาด ออกจากในบ้านมาทักทาย ดุจเดือนเห็นยิ้มทักก่อน
“ปอ กับ ป่าน มาถึงนานแล้วเหรอจ๊ะ”
“สักพักค่ะพี่ดุจ” ปานดาวทักตอบ
ดุจเดือนหิ้วกระเป๋าใบเล็กๆ ของตัวเอง จะเดินขึ้นบนบ้าน ชยพลเรียกไว้
“พี่ดุจ เดี๋ยวครับ ผมเอากระเป๋าไปเก็บให้”
“ไม่เป็นไรพล ห้องพักพี่อยู่ไหนล่ะ”
ขณะที่ดุจเดือนกำลังจะเดินขึ้นบ้านพัก ปัฐวีประตูห้องเดินออกมาพูดโดยไม่ทันเห็นดุจเดือน
“ห้องนี้เรียบร้อย”
ดุจเดือนชะงักกึกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปัฐวีเองก็นิ่งงันไป สองคนยืนอึ้งมองกัน ชยพลหิ้วกระเป๋าขึ้นมา
“ฝั่งซ้ายห้องผู้หญิงนะครับ ฝั่งขวาห้องผู้ชาย”
ปานดาว ปานวาด และชลกรตามขึ้นมา ทุกคนมองปัฐวีกับดุจเดือน สุดท้ายชยพลเอ่ยขึ้นว่า
“เอ้า พี่ชายกับพี่สาว อย่ามัวแต่จ้องกันอย่างนั้นซีครับ มีอะไรก็เคลียร์กันไปเลย”
ดุจเดือนวางกระเป๋าไว้ที่พื้น แล้วเดินออกไปทางหนึ่ง ปัฐวีก็มองชยพลอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วเดินออกไปอีกทาง ทุกคนอึ้งๆงงๆ
ปานดาวตรงมาลากแขนชยพลเข้าไปในห้องผู้หญิงทันที
ชยพลยิ้มกริ่ม “เดี๋ยวป่าน ใจเย็นๆ คิดถึงผมมากขนาดนี้เลยเหรอ”
ปานดาวผลักชยพลออก
“คิดถึงอะไรล่ะ คุณสติดีอยู่หรือเปล่า พูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ยังไง”
“ที่ว่าให้เคลียร์กันเลยน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ก็เห็นเขาเอาแต่จ้องกันอย่างนั้น ก็เลยพูดขำๆ เขาจะได้ไม่เครียด”
“พูดขำๆ งั้นเหรอ รู้ไหม พี่ทั้ง 2 คนเขาเจ็บแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น คุณนี่แย่มากๆ เห็นชีวิตคนเป็นเรื่องขำๆ ได้ไง”
“ไม่เอาน่า จริงจังไปได้”
“แล้วคุณไม่เคยจริงจังกับอะไรเลยงั้นซิ พี่ปัฐเป็นพี่ฉัน เขาทุกข์ฉันก็ทุกข์ด้วย ที่คุณทำน่ะ ฉันรับไม่ได้ ไม่ได้ขำด้วยเลย”
ปานดาวเดินปึงปังออกไปจากห้องทันที ชยพลอึ้งที่ปานดาวโกรธมากขนาดนั้น
ชยพลออกจากห้อง เจอชลกรกับปานวาดยืนรออยู่หน้าห้องพอดี ชยพลหงุดหงิดหันมาหาปานวาด
“น้องสาวพี่มีปัญหาอะไรมากมายครับ”
“เฮ้ย เบาๆ”
“ไอ้เรารึอุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอ กลับโดนด่ากลับมาซะงั้น”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ” ปานวาดงงอยู่
“ผมแค่พูดขำๆกับพี่ปัฐพี่ดุจ ให้เลิกเอาแต่จ้องกันแล้วเคลียร์ปัญหาซะ แค่นี้มันผิดมากเหรอ เขาถึงต้องมาโวยวายใส่ผม บอกว่าผมไม่เคยจริงจังกับความทุกข์ของคนอื่น”
“ป่านเขาเป็นห่วงพี่ปัฐน่ะ”
“แต่พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ เซ็งจริงๆ หมดอารมณ์เลย บอกเขาด้วยนะครับ ผมก็โมโหเป็นเหมือนกัน”
ชยพลเดินหนีเข้าไปในห้องพักผู้ชาย ชลกรกับปานวาดอึ้งไปทั้งคู่หันมามองกัน
“ให้มันได้ยังงี้” ชลกรเซ็ง
“เราต้องมาเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้พี่น้องคืนดีกันอีกแล้ว”
“คราวนี้สองคู่เลย”
“เอาไงดี วางแผนหน่อย”
ปานดาวยืนหน้าบูด ท่าทีหงุดหงิดเอาเรื่องอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกจนมีเสียงเดินเข้ามาใกล้ ปานดาวพูดโดยไม่หันไปมอง
“เร็วไปนะ ยังไม่หายโกรธ”
“พี่เองป่าน”
ปานดาวชะงัก หันมา “อ้าว พี่ปอ นึกว่า...”
“เรื่องนั้นไว้ก่อนเหอะ พี่ห่วงพี่ปัฐกับพี่ดุจ”
“นั่นซี ป่านก็ห่วง นายนั่นชอบพูดอะไรไม่คิด”
“พี่อยากให้ป่านช่วยอะไรหน่อย พี่ปัฐเขารักป่านมากนะ แล้วป่านก็มีวาทศิลป์ในการพูดด้วย เขาน่าจะฟังป่าน”
“จะให้ป่านทำอะไร”
ฝ่ายชยพลหันขวับมาหาอีกสองคน
“ทำไมต้องเป็นผม”
ปานวาด ชลกร และชยพลอยู่ในห้องพักผู้ชาย
“เพราะนายพูดเก่ง พูดให้เคลิ้มได้ และที่สำคัญ ถ้านายทำให้ปัฐกับดุจเข้าใจกันได้ จะได้แต้ม ทำให้น้องป่านหายโกรธ และพอใจในตัวนาย”
“เหตุผลแรกมันคือข้อเท็จจริง แต่ผมชอบเหตุผลที่สองนะ ว่ามาเลย อยากให้ผมพูดอะไร”
ปัฐวีนั่งนิ่งอยู่ริมหาดได้พักหนึ่ง ปานดาวเดินเข้ามาหา
“พี่อยากอยู่คนเดียว”
ปานดาวไม่พูดอะไร ยืนอยู่เงียบๆ
“พวกเธอสมคบกันหลอกพี่”
“พี่พูดถูกแล้วล่ะ เราหลอกพี่ แต่ไม่ได้คิดจะทำร้ายความรู้สึกของพี่”
“เหรอ แล้วทำไมมันเจ็บ”
ปานดาวนั่งลงกับพื้นทรายข้างๆ ปัฐวี “ป่านขอโทษนะ ที่พี่ต้องเจอกับพี่ดุจโดยไม่ทันตั้งตัว จริงๆตามแผน เราจะบอกพี่ก่อน แต่พี่ดันออกมาเจอซะเอง”
“จะบอกก่อนหรือไม่บอก มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
“ป่านเห็นใจพี่นะ ที่พี่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าทำได้ ป่านอยากย้อนเวลาไปตั้งแต่ก่อนที่พ่อกับน้ามาลัยจะได้เสียกัน จนท้องพี่ดุจ แล้วก็หยุดทุกอย่างไว้ แต่ป่านทำยังงั้นไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครทำได้ด้วย ป่านไม่ฉลาดเท่าพี่ ไม่กล้าจะแนะนำพี่หรอก แต่ป่านมีคติประจำใจอย่างหนึ่ง ปัญหาอะไรก็ตาม ที่เราแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับมัน”
ปัฐวีนิ่งงันไป แล้วหันมามองน้อง ปานดาวอึ้งไปเลยเมื่อเห็นปัฐวีมีน้ำตาคลออยู่ ปานดาวคล้องแขนพี่ชายซบหน้ากับไหล่ของเขา
“พี่ปัฐเป็นพี่ชายที่เข้มแข็งที่สุด พี่ต้องผ่านเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว”
ปัฐวีทอดสายตามองไปที่ทะเล
ดุจเดือนยืนพิงต้นมะพร้าวอยู่ริมหาด มองเหม่อไปในทะเล ชยพลเดินเข้ามาหา
“ผมนี่ปากไม่ดีเลย ถ้าพี่จะโกรธผม ผมก็ขอยอมรับผิด”
“ถ้าพี่จะโกรธ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พลพูดหรอก”
ชยพลรู้ “แต่เพราะพวกผมพาพี่มาเจอกับพี่ปัฐ”
“พี่นึกว่ามาทะเล จะได้มาพักผ่อน ปล่อยใจให้ว่าง แต่พวกเธอกลับพาพี่มาเจอเรื่องที่หนักที่สุด”
“ผมเห็นด้วยกับพี่นะ พวกผมนี่มันแสบจริงๆ ใจร้ายมากๆ แต่อยากให้พี่รู้ว่า พวกเราทำเพื่อพี่ทั้งสองคน”
“ขอบคุณในความหวังดี แต่พวกเธอทำไม่สำเร็จ”
“มันขึ้นอยู่กับพี่ด้วย เวลาคนเรามีปัญหา เรามีทางเลือกสองอย่าง หนึ่งคือหนีมันไปให้ไกล หรือสอง เผชิญหน้ากับมัน ถ้าเราหนีปัญหา เราอาจจะลืมมันไปได้ซักระยะนึง แต่ปัญหาก็ไม่ได้ถูกแก้ มันจะยังคงอยู่ตรงนั้น แล้วคอยตามหลอกหลอนเราทุกครั้งที่เผลอไปคิดถึงมัน แต่ถ้าเราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา บางที เราจะพบว่า ปัญหาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แล้วบางปัญหาถ้าเข้าใจแล้ว ก็มีวิธีแก้ได้ง่ายนิดเดียว ที่สำคัญก็คือ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว เราก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะมันอีก”
ดุจเดือนคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมามองชยพล
“รู้อะไรไหมพล พลเหมาะที่จะเป็นผู้บริหารโรงงานของพ่อพลจริงๆ พลเป็นผู้ใหญ่มากๆ”
ชยพลชะงักนิดๆ “หมายถึงดูหน้าแก่เหรอครับ”
“ไม่ช่าย”
สองคนหัวเราะกันเบาๆ
ปัฐวีอยู่กับปานดาวฝั่งหนึ่ง ดุจเดือนกับชยพลก็อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ชลกรกับปานวาดยืนดูอยู่หน้าบ้านพักตรงกลางระหว่างคนสองคู่ จนเห็นปัฐวีแยกจากปานดาวเดินมาตามริมหาด ดุจเดือนก็เดินแยกจากชยพลมาเหมือนกัน ชยพลชะเง้อมองไปทางปัฐวี เห็นปานดาวยืนอยู่
ปานวาดกับชลกร มองสลับกันไปมาระหว่างปัฐวีกับดุจเดือน ซึ่งกำลังเดินมาหากัน
“น้องสาวปอทำสำเร็จ”
“น้องชายชลก็ทำสำเร็จเหมือนกัน”
สองคนยิ้มให้กัน
ปัฐวีกับดุจเดือนเดินมาเจอกันตรงชายหาดหน้าบ้านพัก สองคนยืนมองกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมขอโทษนะ ที่ผมไม่ได้บอกความจริงกับดุจ ตอนที่ผมรู้เรื่อง ผมคิดว่า ถ้าบอกเลิกไปเฉยๆ อาจทำให้ดุจเป็นทุกข์น้อยกว่า”
“มันยิ่งทรมาน ยิ่งรู้สึกแย่”
“ผมรู้ ผมคิดผิด”
“แต่ตอนนี้ พอรู้ความจริงแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราควรจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ยังไงดี”
“ความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เราสองคนเป็นพี่น้องกัน ถ้าเรายังจะรักกัน ก็คงต้องรักกันแบบพี่น้อง คิดถึงกันแบบพี่น้อง เป็นห่วงกันแบบพี่น้อง”
ดุจเดือนถอนสะอื้น น้ำตาเริ่มรินไหล “เป็นแบบนั้น อาจจะดีก็ได้”
ปัฐวีเองก็น้ำตาไหลออกมา สองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“ผมว่ามันอาจจะดีสำหรับเรา ถ้าผมจะไปเรียนต่อต่างประเทศซักพักนึง”
ดุจเดือนตกใจ “อะไรนะ”
“ถ้าเราไม่ต้องเจอกัน เวลาจะช่วยรักษาแผลของเรา และบางที...ดุจอาจได้พบผู้ชายดีๆ ที่เหมาะสมกับดุจ”
“อย่างน้อยคนๆ นั้น จะต้องดีไม่น้อยกว่าพี่ชายคนนี้ของดุจ”
สองคนยืนมองตากันน้ำตาคลออยู่สักพัก ปัฐวีเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า
“รู้อะไรไหม จริงๆ แล้วผมอ่อนกว่าดุจ 2 เดือนนะ ดุจควรจะเป็นพี่สาวของผมมากกว่านะ”
ทั้งคู่หัวเราะให้กันทั้งน้ำตา
“พี่สาวคนนี้ ขอกอดน้องชายตัวโตที่สุดในโลกคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม”
สองคนกอดกันแน่น ร้องไห้ไปด้วยกัน แต่เป็นการร้องไห้ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ปานดาวยืนอยู่ริมหาดมองปัฐวีกับดุจเดือนที่กอดกันอยู่ไกลๆ อดน้ำตาไหลออกมาด้วยไม่ได้ แล้วอยู่ดีๆ ชยพลก็โผล่มายืนข้างๆ ถือบางอย่างซ่อนไว้ข้างหลัง
“ป่านครับ ผมขอโทษนะที่ทำให้ป่านโกรธ ผมมันปากไม่ดีจริงๆ”
ปานดาวมองชยพลนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ชยพลเอาดอกหญ้ากำใหญ่ในมือออกมา
“ดอกหญ้านี่ แทนคำขอโทษของผม แต่ถ้าป่านไม่รับคำขอโทษของผม จะทิ้งถังขยะไปซะก็ได้”
ปานดาวรับดอกหญ้ามา
“ดอกหญ้าอย่างนี้เนี่ยนะ”
ปานดาวหันหลัง ยกมือขึ้นทำท่าเหมือนจะโยนทิ้ง ชยพลหน้าเหวอแต่แล้วปานดาวก็หันกลับมา
“ป่านยกโทษให้ก็แล้วกัน”
ชยพลดีใจ “จริงนะ”
“แล้วนี่” ปานดาวมองดอกหญ้าในมือ “แทนคำขอบคุณ”
ปานดาวดึงรั้งชยพลเข้ามาแล้วจูบเองซะเลย พอชยพลตั้งตัวได้ก็กอดปานดาวไว้จูบตอบอย่างดูดดื่ม
ปานวาดกับชลกรยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าบ้านพัก มองไปยังคู่ของปานดาวกับชยพลที่ยืนจูบกันอยู่ แล้วมองไปที่ดุจเดือนกับปัฐวีที่กอดกัน
“ในที่สุดเราก็แก้ปัญหาได้ทั้งสองคู่”
“ทั้งสองคู่คงสบายใจกันแล้วนะ”
“แล้วคู่เราจะจบแบบไหนดี กอดกัน หรือจุ๊บกัน” ชลกรยื่นหน้าทำปากจู๋เข้าไปจุ๊บ
ปานวาดตีแขนชลกร “จะบ้าเหรอ”
“ทำไมอ่ะ ต้องบ้าก่อนเหรอ ถึงจะจุ๊บแฟนได้ เอา บ้าก็บ้า” ชลกรยื่นปากจู๋เข้าไปอีก
“ไม่เอา” ปานวาดถอยหนี “ตอนนี้ปออยากเล่นน้ำมากกว่า”
สองคนพยักหน้าให้กัน จากนั้นชลกรกับปานวาดก็วิ่งแยกกันไป โยชลกรวิ่งไปหาคู่ชยพลกับปานดาว ส่วนปานวาดวิ่งไปหาคู่ปัฐวีกับดุจเดือน ลากทั้งสองคู่มาเจอกันที่ทะเล
ทั้งสามคู่หกคนพากันลงเล่นน้ำทะเล ทั้งวักน้ำใส่กัน จับกดหัว อย่างสนุกสนาน เชื่อว่ามันจะกลายเป็นภาพจำในใจของเขาและเธอไปนานแสนนาน สุดท้ายชยพลโชว์แมนอุ้มปานดาวจนตัวลอยหมุนไปรอบๆ อย่างเบิกบานใน
3 เดือนต่อมา อาหาร 2 จาน มีไข่ดาวรูปหัวใจ ไส้กรอกกับเบคอน ตกแต่งด้วยผักสีสวยงามตาน่าทาน ชยพลยืนยิ้มมองผลงานตัวเองอยู่ ก่อนจะหันมาทางปานดาวซึ่งสั่งงานอยู่กับพนักงานอีกมุมของครัว
ชยพลเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหารสองจานนั้น พอพนักงานเห็นก็แยกออกไป ชยพลวางจานอาหารลงบนโต๊ะ
“อาหารเช้าของคุณผู้หญิงครับ”
“น่ากินจังเลย” ปานดาวมองดูอาหารในจาน แล้วยิ้มกว้างขยับจะลงนั่ง แต่ถูกชยพลดึงแขนยั้งไว้
“เดี๋ยวซีครับ แล้วจะไม่ให้รางวัลคนทำหน่อยเหรอ”
ชยพลทำแก้มป่องเอียงรอให้ปานดาวจุ๊บ
“ได้ไง อายพนักงาน”
ชยพลยกจานหนี ทำงอนใส่ “งั้นก็ไม่ให้กิน”
ปานดาวมองหน้าเขา ชยพลทำแก้มป่องให้อีก ปานดาวหยิกแก้มชยพล
“ขอบคุณนะคะ”
ชยพลร้อง “โอ๊ย” วางจานอาหารลง “แบบนี้ถือว่าผ่านขั้นศึกษาดูใจเรียบร้อยหรือยังครับ”
“เพิ่งจะ 3 เดือนเอง รอไปก่อนนะ ยังไม่รีบสรุป”
ปานดาวยิ้มขำๆ แล้วนั่งลงหน้าจานสวย ชยพลนั่งลงด้วยหยิบสร้อยรูปดาวที่เขาเคยให้มาสวมที่คอให้ปานดาว สองคนยิ้มให้กัน
จากนั้นชยพลหั่นไส้กรอกจิ้มป้อนให้ ปานดาวมองหน้าก่อนจะกิน ทั้งคู่ตักอาหารป้อนกันและกันอย่างน่ารัก
6 เดือนต่อมา
ปานดาวยืนทอดสายตามองไปในท้องทะเล ชยพลเดินมายืนข้างๆ ปานดาวหันมามอง เห็นชยพลล้วงหยิบกล่องสักหลาดออกมามาจากกระเป๋ากางเกง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า เปิดกล่องออกเผยให้เห็นแหวนเพชรวงงามอยู่ในนั้น
“แต่งงานกับผมนะครับป่าน”
ปานดาวยิ้มชื่น มองชยพลพยักหน้ารับเอาคำขอนั้น
ชยพลหยิบแหวนออกมาสวมเข้านิ้วนางมือซ้ายของปานดาว เสร็จแล้วลุกขึ้น จับมือของปานดาวไว้ทั้งสองข้าง
“ตั้งแต่พบกันครั้งแรก หัวใจผมก็เต้นแรงทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ ป่าน ป่านคือเสียงหัวใจเต้นของผม ถ้าไม่มีป่าน หัวใจผมคงหยุดเต้นไปด้วย ผมอยากให้เราได้อยู่เคียงคู่กันแบบนี้ เป็นเสียงหัวใจเต้นของกันและกันตลอดไป”
ชยพลและปานดาวสวมกอดกันอยู่ริมทะเล เชื่อว่าเวลานี้เพลงรักหวานซึ้งคงดังคลอขึ้นในใจของสองหนุ่มสาวเป็นแน่
จบบริบูรณ์