กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 7
หลังวางสายจากอี้หมิง มี่เหม่ยลี่ยืนซึมเศร้า เหงา โดดเดี่ยว และอ้างว้าง อยู่เพียงลำพังตรงทางเดินที่เดิม สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้จึงหันไปทางเสียง แล้วต้องแปลกใจที่เห็นเป็นเซี่ยวเลี่ยง
“คุณอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไม”
“เอ่อ เมื่อกี้ฉันเห็นกระโปงของเธอเปียก เธอต้องไปเข้าร่วมงานสังสรรค์กับคุณอีก ฉันเลยเปลี่ยนกับเธอ”
“อื้อ” เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับรู้แล้วหยิบสูทสีน้ำเงินที่ถือติดมือมา สวมทับขยับห่มคลุมไหล่ให้ เหม่ยลี่อึ้งไป
ระหว่างนี้มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เซี่ยวเลี่ยงหยิบจากกระเป๋ากางเกงมารับสาย นิ่งฟังเสียงปลายสาย แล้วมีสีหน้าคล้ายตกใจนิดๆ หลับตาลง พร้อมกับทอดถอนใจ
“เดี๋ยวผมไป”
เซี่ยวเลี่ยงวางสาย แล้วหันกลับมาหาเหม่ยลี่
“คุณกลับก่อนเถอะ ผมมีธุระ”
เขาเดินออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม
“เอ๊ะ แต่เกาเหวินยังอยู่ข้างใน ทำไมรีบร้อนขนาดนี้นะ”
เหม่ยลี่แปลกใจมาก กระชับเสื้อสูทจะเดินออกไป แต่ผิดสังเกตกับบางอย่างจากเสื้อสูทที่เสียดสีกับท่อนแขน เหม่ยลี่หยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นกระเป๋าตังค์ พร้อมบัตรเครดิตเพียบๆ ของเซี่ยวเลี่ยง
สาวจอมจุ้นครุ่นคิด และยิ่งคาใจ ว่าอะไรทำให้ซีอีโอหนุ่มรีบร้อนออกไปขนาดทิ้งแฟนซุปตาร์ และลืมกระเป๋าตังค์ไว้อีกด้วย
เซี่ยวเลี่ยงขับรถมาจอดอยู่หน้าร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่งในตอนเย็น เขาก้าวลงรถหยุดยืนหันไปมองจ้องหญิงวัยราว 50 ปี กำลังเช็ด ถู ทำความสะอาดร้านโซนเอ้าท์ดอร์ด้านนอกร้าน แววตาของเขาอ่อนลง รำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
เมื่อ 20 ปี ก่อน เด็กชายเซี่ยวเลี่ยงวัยราว 10 ขวบ แอบอยู่หลังประตูห้อง ในบ้านหลังเก่าสภาพซอมซ่อ มองดูพ่อกับแม่ทะเลาะกัน โดยผู้เป็นแม่กำลังอาละวาดพ่ออย่างหนัก
“คุณอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ คุณกับผู้หญิงพวกนั้นมันคืออะไรกันแน่ ตอบฉันมา”
เจิ้นตงสวนกลับอย่างรำคาญ “ผมบอกแล้วไง ผมกับผู้หญิงพวกนั้นไม่มีอะไรกัน คุณอย่าระแวงมากได้มั้ย”
“คุณมันร้อนตัว ห๊า ใช่มั้ยล่ะ คุณกลัวลูกว่าคุณเป็นคนเลว กลัวลูกว่าคุณเป็นพ่อที่แย่ใช่มั้ย”
เจิ้นตงโมโห ผลักร่างเมียที่อาละวาดตบตีไม่เลิกออกไปเต็มแรง “คุณทำอะไรของคุณเนี่ย”
แม่เซี่ยวเลี่ยงกระเด็นไปชนตู้เสื้อผ้าอย่างแรง เธอหันขวับมามองเจิ้นตงอย่างโกรธแค้น กล่าวคำอาฆาตไว้
“ก็ได้เซี่ยวเจิ้นตง แล้วคุณจะเสียใจ” จากนั้นผู้เป็นแม่ก็เดินหนีออกจากบ้านไป
เซี่ยวเลี่ยงวิ่งออกจากที่ซ่อนจะวิ่งตามไป ถูกเจิ้นตงรวบร่างไว้ เลยได้แต่ร้องเรียกแม่ไว้ไม่ให้ไป
“แม่ครับ แม่ครับ แม่อย่าไปนะครับแม่”
เจิ้นตงรวบร่างลูกชายไว้ส่งเสียงดุปราม “เซี่ยวเลี่ยงปล่อยแม่ไปเถอะ”
ผู้เป็นแม่หยุดหันมามองลูกชายแว่บหนึ่ง ก่อนจะตัดใจเปิดประตูออกไป
เซี่ยวเลี่ยงมองภาพแม่ทิ้งไปต่อหน้าต่อตา ร้องไห้อย่างหนักน้ำหูน้ำตาปนน้ำลาย พยายามดิ้นหนีจากพ่อตามแม่ไป
“แม่ครับ แม่อย่าไป แม่ครับ อย่าไปนะครับแม่ แม่ครับ”
เจิ้นตงรวบร่างลูกชายไว้แน่นพร้อมกับส่งเสียงดุอยู่อย่างนั้น
“เซี่ยวเลี่ยง...เซี่ยวเลี่ยง”
เซี่ยวเลี่ยงดึงตัวเองกลับออกมา มองตามหญิงสูงวัยแม่ของเขาเดินหายเข้าไปด้านในร้าน โดยไม่รู้ว่า เหม่ยลี่ซึ่งนั่งรถตามมาหยุดยืนมองเขาอยู่เงียบๆ ที่ด้านหลัง
อีกฟากหนึ่ง ทันทีที่รับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อย เหลยอี้หมิงก็รีบกดโทร.หา ยัยอ้วนเพื่อนที่รัก ทันที
เหม่ยลี่ยืนมองเซี่ยวเลี่ยงอยู่ รีบก้มลงรับสายกลัวเขาจะเห็น
“ฮัลโหล”
อี้หมิงยิ้มหน้าบาน “ฮัลโหล ยัยอ้วน เดาซิ ฉันอยู่ไหน”
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ เดี๋ยวโทรไป แค่นี้นะ บ๊ายบาย”
“ฮัลโหล นี่ๆ เกิดอะไรขึ้น”
ถูกยัยอ้วนตัดสายทิ้ง โดยไม่ทันได้เซอร์ไพรส์ อี้หมิงเซ็งพอๆ กับหงุดหงิด
ส่วนเหม่ยลี่พอหันกลับไปมองที่ถนนหน้าร้านก็ต้องประหลาดใจ เพราะไม่เจอทั้งรถทั้งตัวเซี่ยวเลี่ยง มองหาจนทั่วก็เห็น สาวจีนจากเมืองเซี่ยงจึงข้ามถนนไปยังร้านอาหารตรงหน้า
แม่เซี่ยวเลี่ยงเข้าทักทายเหม่ยลี่ที่เดินเลยเคาน์เตอร์เข้ามาในร้าน เป็นภาษาเกาหลีคิดว่าเป็นลูกค้า
“สวัสดีค่ะ สั่งอะไรดีคะ”
“สวัสดีค่ะ เอ่อ ฉันเป็นคนจีน พูดเกาหลีไม่ได้ค่ะ”
แม่เซี่ยวเลี่ยงสะดุดหู มีสีหน้าตื่นเต้น “คนจีนเหรอ”
เหม่ยลี่ยิ้มดีใจ “ใช่ค่ะคนจีน พูดจีนได้เหรอคะ”
แม่เซี่ยวเลี่ยงหัวเราะ “ใช่ค่ะ เมื่อก่อนฉันเคยอยู่ประเทศจีน”
“อ๋อ”
“คุณจะ สั่งอะไรดีคะ”
“อ๋อ ฉันไม่ได้มากินอาหารค่ะ ฉัน...ฉันมาถามว่า คุณเห็นผู้ชายคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ตัวสูงๆ หน้าตาดี ได้เข้ามาที่นี่มั้ยคะ”
“อ๋อ แล้ว...เขาชื่ออะไรเหรอคะ”
“เขาชื่อเซี่ยวเลี่ยง ไม่ทราบว่าเขาจองโต๊ะที่นี่ไว้หรือเปล่า เมื่อกี้ฉันเห็นเขาอยู่หน้าร้าน เผลอแป๊บเดียวก็หายไปเลย นึกว่าเขาเข้ามาซะอีก”
“เซี่ยวเลี่ยงมาเกาหลีเหรอ” แม่เซี่ยวเลี่ยงอึ้ง ตั้งแต่ได้ยินชื่อลูกชายแล้ว วี่แววดีใจฉายเต็มใบหน้า เหลียวหาเป็นการใหญ่ “อยู่ไหน เขาอยู่ที่ไหน”
เหม่ยลี่ประหลาดใจ “รู้จักเขาด้วยเหรอคะ เอ่อ...คุณคือ…”
“เฮ้อ...ฉันคือ...ฉันคือแม่ของเขา”
สาวจีนจอมจุ้นตกใจ คาดไม่ถึง
เหลยอี้หมิงเข็นกระเป๋าพาตัวเองพุ่งเข้ามาหยุดหน้าเคาน์เตอร์ในล็อบบี้โรงแรมที่เหม่ยลี่เข้าพัก ยิ้มเรี่ยราดแจ้งเจ้าหน้าที่ชายในเคาน์เตอร์ว่า
“หวัดดีครับ เอ่อ ผมมาหามี่โตะเพื่อนผมครับ”
“มี่โตะ” เจ้าหน้าที่ทวนชื่อ
“ใช่ครับ”
“ซักครู่ครับ” เจ้าหน้าที่กดสายภายในขึ้นไปยังห้องพัก อี้หมิงลุ้นมองเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ไม่มีคนรับสายเลยครับ” เจ้าหน้าที่วางสายลง เดินมาบอก
“อ้อ...ขอบคุณครับ”
“ยินดีครับ”
อี้หมิงบ่นงึมงำ หันไปมองตามทางเดิน “ยัยอ้วนบ้าไปไหนแล้วนะ”
หมอหนุ่มควักมือถือมากดโทร.หา ปรากฏว่าสายถูกตัดทิ้ง
“ตัดสายฉันเหรอ”
ขณะที่อี้หมิงยืนฮึดฮัดหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่นั้น สายตาก็มองไปเห็นเกาเหวินเดินเข้ามาในล็อบบี้พอดี เขารีบโบกมือทัก พร้อมกับลากกระเป๋าไปหา
“อ้าว เกาเหวิน”
เกาเหวินหันมางงๆ ในเบื้องแรก “ห๊า เฮ้ย บังเอิญจัง”
“ใช่ คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อี้หมิงหัวเราะ แกล้งถาม
“คุณมาที่นี่ทำไม” เกาเหวินงงจริงอะไรจริง
“เอ่อ ผมๆ มาที่นี่ มารอเพื่อนน่ะครับ”
เกาเหวินยิ้มกว้างดีใจ “อ๋อ มารอที่นี่เหรอ นี่ คราวก่อนฉันยังไม่ได้ขอบคุณเลย ฉันเลี้ยงข้าว ไป”
อี้หมิงปฏิเสธ “เฮ้ย ไม่ต้องหรอกถ้าเพื่อนผมมาไม่เจอผม จะทำยังไงล่ะ”
เกาเหวินเหนี่ยวคอเขาลากไปเลย “ไปเถอะๆ”
“นี่ๆๆๆๆๆ” อี้หมิงตาเหลือกถอยหลังเดินไปตามแรงลากซุปตาร์สาว
สองคนมานั่งดื่มกินที่ร้านปิ้งย่างเล็กๆ ริมทางเดิน ไม่ไกลจากโรงแรมนัก
เกาเหวินรับจานอาหารมาจากแม่ค้าที่ยื่นให้ “อ้อ แต๊งกิ้ว”
“แต๊งกิ้วอะไรมาเกาหลีก็ต้องพูดเกาหลีสิ เด่ะขอบคุณซือมิต๋า อื้อๆๆๆ”
เกาเหวินหัวเราะขำ
“ผมรู้ทันนะ คุณไม่ได้เลี้ยงข้าวผม แต่ให้มาช็อปปิ้งเป็นเพื่อนใช่มั้ย”
อี้หมิงวางมือถือไว้บนเคาน์เตอร์ คุยไปก้มหน้าจะกดโทร.หายัยอ้วน
“ฉันมีแฟนคลับเท่าไหร่รู้มั้ย” เกาเหวินทานไป คุยไป จนอาหารร้อนๆ ลวกลิ้นเข้าให้ “โอ๊ย”
“ห๊า เท่าไหร่” อี้หมิงหันมาสนใจแว่บเดียว ก็หันกลับไปยุกยิกๆ กับมือถือต่อ
“แปดล้านคนแน่ะ แฟนคลับแปดล้านคนรอทานอาหารเย็นกับฉัน น่าทึ่งมั้ย”
เกาเหวินหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นอี้หมิงเบิกตาโตตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น
“นี่ๆๆ แปดล้านคนเลยเหรอ กองทัพผีดิบรึไง ซื้อมาใช่มั้ย คือว่า ผมทึ่งสองครั้งแล้ว คราวหน้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนะ”
เหลยอี้หมิงเอาแต่ดูโทรศัพท์มือถือตลอด เผื่อยัยอ้วนจะโทร.กลับมาหา จนเกาเหวินสังเกตเห็น
“ดูโทรศัพท์ตลอดเลย มีธุระด่วนหรือเปล่า หา ฉันรบกวนคุณรอเพื่อนหรือเปล่า”
“อือ เปล่านี่” อี้หมิงปฏิเสธ แถมคุยโว “ผมไม่ได้มาเพื่อเขา ตอนนี้ผมยุ่งมากกำลังช็อปปิ้งเป็นเพื่อนดาราสาวอยู่ เอ่อ ถ้าอยากเจอผม ก็ต้องรอคิว”
เกาเหวินยิ้มขำๆ หยิบแก้วเหล้าโซจูยกขึ้น “ค่ะ มา ชนแก้วกันฉลอง ไม่สิ ไม่ใช่ฉลอง แต่เป็นความน่าทึ่ง ไม่ต้องรอคิว ก็ได้เจอกับคุณ”
อี้หมิงหยิบแก้วตัวเองขึ้นมา “งั้นผมคงต้องฉลองให้ตัวเองที่สามารถ ผ่านด่านกองทับผีดิบแปดล้านคนได้ ไม่สิ”
“ผีดิบ” เกาเหวินหัวเราะคิกกับคำเปรียบเปรยของเขา
“นี่ เรียกว่าแฟนคลับต่างหากล่ะ อีกอย่างผมต้องพูดให้ดีๆ ผมผ่านด่านแฟนคลับตั้งแปดล้านคน มาอยู่ตรงหน้าคุณ กินข้าวกับดาราใหญ่ น่าทึ่งมาก ชนแก้ว”
สองคนชนแก้วกันแล้วยกดกดื่มจนหมดแก้วตามธรรมเนียมชาวเกาหลี
อี้หมิงถึงกับกับเกาเหวินพากันร้องอื้อ...อ้า กับความแรงของโซจูแก้วเล็กๆ
“เหล้านี้แรงมาก หน้าผมแดงขึ้นมาทันทีเลย” อี้หมิงบอก
“เดี๋ยวฉันรินให้” เกาเหวินหยิบโซจูตรงหน้ามาเทให้
“เห็นหรือเปล่า” อี้หมิงยกแก้วขึ้นมองพลางว่า “แรงกว่าเหล้าจีนอีกนะเนี่ย”
“จริงเหรอ” เกาเหวินหัวเราะขำ
“จริงสิ เหล้าเกาหลีแข็งแกร่งมาก”
อี้หมิงดกดื่มการันตีความแรงของโซจูอีกแก้ว
ค่ำคืนนั้น อี้หมิงต้องประคองเกาเหวินขึ้นมาส่งบนห้อง ซุปตาร์สาวเมารั่วหัวเราะร่า ส่งเสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี
“มีความสุขทุกสถานการณ์จริงๆ”
“เอาล่ะ รีบนอนเถอะ ผมไปก่อนนะ”
ประคองมาส่งจนถึงข้างเตียง อี้หมิงจะหันกลับ
“นอนเถอะ ไปล่ะ”
เกาเหวินหมุนตัวหัวเราะร่า ยื่นมือป่ายปะไปทั่วจนเหนี่ยวเอาคออี้หมิงหงายหลังลงบนเตียง
“โอ๊ะ โอ๊ย” ร่างเกาเหวินทับอยู่บนตัวอี้หมิงผมของเธอเหวี่ยงมาปิดเต็มหน้าเขา
ซุปตาร์สาวหัวเราะรั่ว ส่วนอี้หมิงถ่มถุยผมออกจากปากพัลวัน
“เอ่อ ถุยๆ โธ่เอ๊ย”
อี้หมิงจะลุกหนีแต่เกาเหวินกดกลับลงไป ละเมอร้องเพลง “หมีน้อยน่ารักที่สุด”
“นี่ เกา…”
“อย่าขยับ” เกาเหวินดีดตัวขึ้น ร่างยังทับตัวอี้หมิงอยู่อย่างนั้น
“อื้อ จูบสิ อื้อ...”
ซุปตาร์สาวทำปากจู๋ ยื่นลงมาจะจูบอยู่รอมร่อ อี้หมิงตกใจ ร้องเรียกเป็นการใหญ่ “นี่ๆ เกาเหวิน เกาเหวิน”
เกาเหวินเบี่ยงหน้าหนี หัวเราะคิกคัก “คุณนี่ตลกจังเลย”
“คุณรีบลุกขึ้นเถอะ” อี้หมิงเป่าปากโล่งอก บอกให้ลุก “จะลุกมั้ย”
อีกฝ่ายนอนเฉย อี้หมิงจึงกำมือเอานิ้วชี้จี้เอว เกาเหวินสะดุ้งกลิ้งตัวหนีไปหัวเราะไม่หยุด
“ปลุกฉันทำไม”
อี้หมิงยันตัวลุกขึ้นมองเกาเหวินที่หลับไปแล้ว พร้อมกับถอนใจเฮือกๆ
“ผู้หญิงสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด”
หมอหนุ่มจะถอดรองเท้าและพาซุปตาร์คนดังขึ้นนอนดีๆ แต่เกิดเปลี่ยนใจ เพียงดึงผ้านวมมาห่มให้แล้วเดินออกไป
เหม่ยลี่ปิดประตูห้องถอยหลังออกมายืนเป่าปากฟู่ บ่นบ้าอยู่หน้าห้องพักเซี่ยวเลี่ยงคนเดียว
“ทำไมต้องดื่มหนักขนาดนี้ด้วยเนี่ย ไม่รู้เหรอว่าฉันแบกคุณกลับมาต้องใช้แรงมหาศาล ฉันเหนื่อยมากเลยนะ”
เหม่ยลี่จับเดรสสั้นลูกไม้สีม่วงอ่อนที่เปลี่ยนกับเกาเหวินขึ้นมาดมแล้วบ่นอีก “เสื้อผ้าฉันติดกลิ่นเหล้ามาด้วยเลย”
บ่นๆ ไปแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้มาก่อน เหม่ยลี่ยิ้มเขิน เพ้อต่อ
“จริงสิ เมื่อก่อนฉันเคยแบกคุณเซี่ยว กลับห้องเหมือนกันนี่ ถ้าอย่างนั้น ก็มีวาสนาต่อกันน่ะสิ”
จังหวะเดียวกันนี้ อี้หมิงปิดประตูห้องเกาเหวินพลางสวมสูทถอยหลังมาชนโครมเข้ากับเหม่ยลี่ที่ยืนหันหลังบ๊ายบายให้ประตูห้องอยู่
“คุณเซี่ยว บ๊ายบาย ราตรีสวัสดิ์”
“โอ๊ย” อี้หมิงตกใจยังไม่เห็นว่าเป็นใคร รีบก้มหัวขอโทษ “ขอโทษครับ
สองคนดีดตัวออกจากกัน โดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างตกใจ คาดไม่ถึง ส่งเสียงถามกันไปมาเบาๆ กลัวใครจะมาได้ยิน
“เธอออกมาจากห้องนี้เหรอ”
เหม่ยลี่ชี้ที่ห้องเกาเหวิน “นายออกมาจากห้องนี้เหรอ”
อี้หมิงชี้ห้องตรงข้าม “นี่ห้องของเซี่ยวเลี่ยงใช่มั้ย”
“นี่ห้องของเกาเหวินใช่มั้ย”
“เธอออกมาจากห้องนี้ได้ยังไง”
“แล้วนายล่ะตอบมา”
“ห้องเธออยู่ไหน” เหม่ยลี่ชี้บอก อี้หมิงโมโหลากเหม่ยลี่ไปเลย “ไป”
เหม่ยลี่เดินหงุดหงิดนำเข้ามาในห้องเตะร้องเท้าที่ใส่มาทั้งวันทิ้งอย่างขัดใจ
อี้หมิงตามมาถามคาดคั้น เตะร้องเท้าระบายความโมโห
“พูดมา ดึกดื่น ไปอยู่ห้องเขาทำไม”
“ฉันสิต้องถามนายดึกดื่นแบบนี้ไปทำอะไรในห้องเกาเหวิน”
เหม่ยลี่หันมาแว้ดใส่ จากนั้นสองคนก็ทะเลาะกันเสียงดังลั่นห้อง
“ฉันเป็นผู้ชายไม่เหมือนเธอ วันแรกก็ไปนอนในห้องของเซี่ยวเลี่ยง จะพัฒนาเร็วเกินไปแล้วมันอันตรายรู้มั้ย”
“เขาเมา ฉันพาไปส่งที่ห้อง แล้วฉันก็ออกมา อันตรายตรงไหน” เหม่ยลี่ย้อนแย้ง
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ผู้หญิงห้ามดื่มเหล้ากับเพศตรงข้าม ตอนผู้ชายยังไม่ดื่มเป็นหมาป่าพอดื่มแล้วยิ่งกว่าหมาป่าอีก”
“ถ้าอย่างงั้น นายดื่มแล้วก็แสดงว่านายเป็นยิ่งกว่าหมาป่าอ่ะสิ หา ฉันรู้แล้ว” เหม่ยลี่สวนออกไป แล้วเห็นอี้หมิงอึ้งๆ มีพิรุธ จึงกระชากคอเสื้อถามคาดคั้น “นายทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าหมาป่ากับเกาเหวินใช่มั้ย”
“ฉันไม่ใช่หมาป่านะ ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์” อี้หมิงว่า เหม่ยลี่ยอมปล่อยมือลง
“บอกมา มาเกาหลีทำไม ไม่มาหาฉัน แต่ไปหาเกาเหวินเนี่ยนะ”
“ฉันมาหาเธอนั่นแหละ ฉันเดินทางเหนื่อยมากเลยรู้มั้ย หา ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอฉันจะบอกพ่อแม่เธอยังไง ฉันมาถึงแล้วแต่หาเธอไม่เจอ พอดีเจอกับเกาเหวิน เขาให้ฉันไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อน ไม่ใช่แค่ดื่มเหล้า ยังให้นอนด้วย เธอว่า...”
เหม่ยลี่หูผึ่ง ถามสวนออกไปทันที “นอนด้วยกันอย่างงั้นเหรอ”
อี้หมิงรีบแก้ตัวพัลวัน “ไม่ใช่ หมายถึง นอนเป็นเพื่อน ก็แค่นอนเป็นเพื่อน ไม่มีอะไรหรอก เฮ้อ...ผู้หญิงดื่มเหล้าแล้วน่ากลัวกว่าผู้ชายอีก เธอคงไม่ทำอย่างนั้นกับเซี่ยวเลียงใช่มั้ย ฉันขอเตือนเธอนะ”
ถูกคุณหมอนักรักชี้หน้า เหม่ยลี่ชี้หน้ากลับ “ฉันสิต้องเตือนนาย ถ้านายกล้าทำมิดีมิร้ายกับเกาเหวินล่ะ ก็ฉันจะจับนายหักคอเลย”
“พอๆ พอได้แล้ว ตอนนี้ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันไม่มีทางแตะต้องผู้หญิงที่ฉันไม่ชอบหรอก”
อี้หมิงยกมือเป็นเชิงบอกให้เลิกทะเลาะ พูดเบาเสียงลง เดินหนีมานั่งที่โซฟาเดี่ยว เหม่ยลี่ไม่เชื่อที่เขาบอกตามมานั่งพนักโซฟา
“จริงเหรอ ทำไมนายไม่เคยบอกฉันเลยล่ะ”
อี้หมิงอธิบายท่าทีมีพิรุธ แต่เหม่ยลี่ไม่ได้เอะใจ “อะไรเล่า เธอไม่รู้จักหรอก ไม่ต้องห่วง ฉันกับเกาเหวินไม่มีอะไรกัน เขาขืนใจฉันรู้มั้ย หมายถึง เราคุยกัน เขาๆๆ ต้องการระบาย ไม่มีอะไร”
“ไม่ได้ ฉันต้องไปหาเขา ฉันต้องบอกความสัมพันธ์ของเราไม่ให้เขานับเป็นเพื่อนสุ่มสี่สุ่มห้า”
เหม่ยลี่ไม่สบายใจจะพุ่งออกไป อี้หมิงรีบลุกมาดึงแขนไว้ จับให้เธอลงนั่งสงบสติอารมณ์แทนที่เขา
“นั่งลงก่อน นั่งลง เธอห้ามไปเด็ดขาด”
“ทำไม ทำไมฉันจะบอกเขาไม่ได้ ฉันไม่อยากปิดบังพวกเขาสองคนอีกต่อไปแล้ว” เหม่ยลี่ฮึดฮัดจะออกไปให้ได้
อี้หมิงร่ายยาว “ฉันๆๆ จะบอกเธออย่างนี้นะ ถ้าเกาเหวินรู้ว่าเราสมรู้ร่วมคิด เขาจะคิดยังไง หือ เขาจะคิดว่าเราสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์จะคิดว่าเราลำบากหรือเปล่า ด้วยนิสัยของเขา จะต้องโวยวายจนคนอื่นรู้แน่ จริงมั้ย แล้วเมื่อโวยวาย ปาปารัซซี่ก็ต้องรู้ ปาปารัซซี่รู้ต้องมีข่าวใหญ่แน่ ดาราเกาเหวินกับประธานเซี่ยวเลี่ยง มาฮันนีมูนที่เกาหลี แยกห้องไม่พักห้องเดียวกัน แต่ว่า กลับไปอยู่ห้องเดียวกับชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ชายหญิงอีกคู่ก็พักอยู่ในห้องเดียวกัน ผู้หญิงคนนี้ เธอก็เป็นลูกน้องของเซี่ยวเลี่ยงด้วย ผู้ชายคนนี้ก็มีข่าวเป็นแฟนกับเกาเหวิน”
เหม่ยลี่อึ้ง คิดตาม อี้หมิงอธิบายต่อ “ดูสิ มันวุ่นวายมากฉันก็ปวดหัวเหมือนกัน จริงมั้ย ที่สำคัญคืออะไร บริษัทของพวกเธอ จะมีแต่ข่าวอื้อฉาว จากนั้นบริษัทจะขาดความเชื่อมั่น ราคาหุ้นจะตก เซี่ยวเลี่ยงจะต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว แต่ว่า สาเหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ...เธอ”
ไม่พูดเปล่า ตอนท้ายอี้หมิงยังชี้นิ้วมาที่ตัวเธอเป็นการสำทับ
เหม่ยลี่สะดุ้งนิดๆ และไม่เห็นด้วยที่อี้หมิงวกมาโทษตัวเอง “อะไรกัน มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ ทำไมซับซ้อนขนาดนี้ก็แค่ทำศัลยกรรมเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นก็ไปอยู่ที่บ้านเธอ”
“ใช่ เดิมทีในโลกนี้มันง่ายดายมากๆ แต่เมื่อเข้าไปสู่การมองด้วยสายตาที่ไม่ดี กับความคิดเห็นของประชาชน มันจะซับซ้อนมากฉันเลยคิดว่า เรื่องนี้ เราต้องปกปิดเอาไว้” อี้หมิงเบียดตัวลงไปนั่งโซฟาเดี่ยวตัวเดียวกัน “เขยิบไปหน่อยสิ”
เหม่ยลี่โวยวาย “ฉันเป็นยัยอ้วน ทำไมต้องนั่งเบียดด้วยเนี่ย”
“เธอไม่อ้วนแล้ว”
เหม่ยลี่นึกได้ “จริงสิ นายมาทำอะไรที่เกาหลี แถมยังไม่โทร.บอกฉันก่อนด้วย”
“คือฉันหาเธอหาไม่เจอ แต่อย่างน้อยก็ยังเจอดาราใหญ่เกาเหวิน” พูดไปพูดมาอี้หมิงเริ่มของขึ้น โมโห “พูดถึงโทรศัพท์ฉันยังไม่ได้บ่นเธอเลย เธอเป็นอะไร โทร.หาหลายสิบสายทำไมเธอไม่รับตัดสายทิ้งตลอด ฉันรอเกือบทั้งวันเลยนะ”
“ตอนเย็นฉันอยู่ร้านปิ้งย่าง” เหม่ยลี่เถียง พอจะแถแล้วเริ่มนึกออก “เอ่อ...พูดถึงร้านปิ้งย่าง ฉันนึกถึงเรื่องหนึ่ง อยู่เป็นเพื่อนไม่ได้นะ” เหม่ยลี่ยิ้มเขินแล้วหัวเราะออกมา “เหลยอี้หมิงในเมื่อนายมาแล้ว พรุ่งนี้ก็อยู่เกาหลีเที่ยวกินช็อปให้เต็มที่ไปเลยนะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้ เที่ยวคนเดียวให้สนุกนะ โอเค๊”
“เธอจะทิ้งฉันไม่ได้นะ พรุ่งนี้ฉันจะรอเธอ เสร็จธุระแล้วเธอก็มาหาฉันฉันจะพาไปเที่ยว ไม่ว่ายังไงคราวนี้” อี้หมิงเกาะแขนเหม่ยลี่ไว้ เอาหน้าแนบกับแขนเธอพูดออดอ้อน แล้ววาดขามากดทับขาอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ไปไหน “ฉันจะ...ไม่ปล่อยเธอแน่”
“นี่นาย ทำไมถึงได้หน้าด้านแบบนี้นะไปเลย ไปให้พ้นเลยนะ”
เหม่ยลี่โมโห ผลักไสยังไงอี้หมิงก็ไม่ยอมปล่อย แถมส่งสายตาออดอ้อนมาให้
รุ่งเช้า ในรถที่เซี่ยวเลี่ยงขับแล่นมาตามถนนสายหนึ่งของกรุงโซล เขาหันมาถามสาวจีนจอมจุ้น
“มีเรื่องจะบอกผมไม่ใช่เหรอ พูดสิ”
“ฉันหิวแล้ว กินไปคุยไปนะ ฉันรู้จักอยู่ร้านนึง”
เซี่ยวเลี่ยงจอดรถริมถนนหน้าร้าน “ถึงแล้ว ที่นี่แหละ”
เหม่ยลี่จะลง เซี่ยวเลี่ยงถามย้ำ “ร้านนี้เหรอ”
“ใช่ ร้านนี้แหละ”
“รู้จักร้านนี้ได้ไง”
“อ๋อ ฉันค้นหาจากเว็บไซต์ร้านอาหารเกาหลีชื่อดัง” เหม่ยลี่ว่า
เซี่ยวเลี่ยงไม่เชื่อ “คุณไม่รู้ทาง ไม่รู้ภาษาเกาหลีด้วย หาร้านนี้เจอได้ยังไง”
เหม่ยลี่ติดหล่มคำพูดตัวเอง “เอ่อ...ฉัน...”
เซี่ยวเลี่ยงรู้ทัน “อย่าอวดฉลาดต่อหน้าผม”
เหม่ยลี่ตัดสินใจสารภาพ “คือ...ฉันเห็นกระเป๋าตังค์คุณที่ลืมไว้ในเสื้อสูท ฉันคิดจะเอาไปคืนคุณ แต่เห็นคุณยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้าน ฉันรู้สึกแปลกใจก็เลย ฉันขอโทษ”
“คุณรู้อะไรบ้าง”
“ฉันเจอแม่คุณแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงขึ้นทันที หันหน้าหนี หลับตาลงเหมือนทำใจ ก่อนจะบอกเสียงเรียบว่า “ลงไป”
“แต่เขาคิดถึงคุณมากเลยนะ พอเขารู้ว่าคุณมาเขาก็ร้องไห้ เขาขอร้องให้ฉันพาคุณมาให้ได้”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาต่อว่าอย่างกราดเกรี้ยว “นี่มันเรื่องของผมคุณไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”
สาวเซี่ยงไฮ้จอมจุ้นยังไม่ละความพยายาม “แต่เขาน่าสงสารจริงๆ นะ เขาอยากเจอคุณตลอดเลย อีกอย่างคุณเซี่ยว คุณก็คงจะคิดถึงเขา ในเมื่อคุณแอบมาเยี่ยมเขา ก็แสดงว่าในใจของคุณก็ยังมีเขาอยู่เสมอ ฉันไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ แต่คุณต้องกล้าเผชิญหน้าสิ มีเรื่องอะไรพูดออกมาก่อน ค่อยว่ากัน”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องในครอบครัวผม ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีก็พอ ผมให้คุณมาทำงานในบริษัทเพราะคุณมีประโยชน์ เป็นแค่เครื่องมือที่ผมใช้ทำงาน เข้าใจมั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงโมโหสุดขีดที่อีกฝ่ายไม่ยอมลง เขาเปิดประตูลงรถไปอย่างฉุนเฉียว เหวี่ยงประตูปิดอย่างแรงแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูอีกฝั่งดึงร่างเหม่ยลี่ลงรถ
“ลงมา”
มี่เหม่ยลี่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ริมฟุตบาทหน้าร้านแม่เซี่ยวเลี่ยง มองตามรถเซี่ยวเลี่ยงที่ขับหนีไป ตาแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ในไม่ช้านี้
สาวจอมจุ้นทั้งเสียใจ น้อยใจ และเริ่มใจเสีย ไม่คิดว่าความหวังดีจะทำให้เขาโกรธมากขนาดนี้
ทางด้านอี้หมิงเพิ่งแหกขี้ตื่น ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็มานั่งจ้องจอคอมพ์โน้ตบุ๊กที่วางแหมะอยู่บนตัก ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว กะจะไปตะลุยท่องแดนกิมจิกับยัยอ้วนของเขาให้ชุ่มปอด
“โซลทาวเวอร์ เมียงดง ทงแดมุน เยอะแบบนี้จะไปไหนดี ไปที่เดียวก็พอ แล้วมั้งแฮะๆๆ ตามนี้แหละ แล้วก็...”
มีสายโทรศัพท์มือถือเข้า อี้หมิงหยิบมารับ
“อ้อ ฉันดูสถานที่ท่องเที่ยวของเราอยู่” หมอหนุ่มชะงักตกใจเมื่อได้ฟัง “อะไรนะ”
เขาโยนโน้ตบุ๊กทิ้งคว้าสูทบนโซฟาวิ่งออกไปอย่างร้อนใจ
ไม่นานต่อมา รถแท็กซี่ก็พาเหลยอี้หมิงมาส่งยังที่หมาย เขาลงรถเหลียวมองหา จนเห็นยัยอ้วนของเขายืนหลบมุมหันหลังพิงกำแพงร้านอาหารแม่เซี่ยวเลี่ยงอยู่ หมอหนุ่มปรี่เข้าไปหา เหม่ยลี่หันมาช้าๆ
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พาฉันกลับบ้านได้มั้ย”
อี้หมิงไม่พูดอะไรจับหัวเหม่ยลี่มาอิงซบลงกับไหล่ของตน ลูบผมปลอบเบาๆ ก้มมองใบหน้าแสนเศร้าด้วยความสงสาร
ทางด้านเซี่ยวเลี่ยงขับรถหนีความจริงอันขื่นขมมาตามทาง สุดท้ายต้องหยุดรถกลางทาง เหลียวมามองที่นั่งข้างๆ ด้วยสีหน้าอันสับสน สุดท้ายเขาตัดสินใจกลับรถมุ่งหน้าไปทางร้านอาหารของมารดา
ไม่นานนักซีอีโอหนุ่มก็ลงจากรถมาหยุดยืนทำใจนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้าวขึ้นบันได เดินเข้าไปในร้าน เพื่อเผชิญความจริงที่เขาเดินหนีมาตลอด
ขณะที่เซี่ยวเลี่ยงยืนมองสำรวจร้านอยู่นั้น แม่ของเขาก็เดินถือถาดอาหารแก้วเครื่องดื่มออกมาจากครัว ผ่านหน้าลูกชายที่ยืนอยู่ อะไรบางอย่างทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักกึก หันมามองร่างสูงบึกบึน ดวงตาตื่นตะลึงคู่นั้นมีแววรื้นปรากฏขึ้น ไม่ต่างจากเซี่ยวเลี่ยงที่จดสายตามองจ้องตั้งแต่แม่หันกลับมามองเขาแล้ว
สองแม่ลูกยืนมองกันและกันอยู่อย่างนั้นนิ่งนานโดยไม่พูดไม่จา ราวกับจะชดเชยเวลากว่า 20 ปีที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน
หลังจากนั้น เซี่ยวเลี่ยงนั่งนิ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ส่วนผู้เป็นแม่ยืนมองลูกชายอยู่ และเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“เมื่อวาน ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ลูกกลับมาเยี่ยมแม่ที่นี่”
“ไม่ใช่แค่เมื่อวาน ปีก่อน ปีก่อนๆ หลังจากตามหาคุณเจอ ผมมาทุกครั้ง” เซี่ยวเลี่ยงว่า
ผู้เป็นแม่น้ำตาร่วงด้วยความรู้สึกผิด “แม่ขอโทษ แม่ไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าลูกจะมาเยี่ยมแม่”
เซี่ยวเลี่ยงระเบิดอารมณ์ตัดพ้อ น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน
“รู้แล้วทำอะไรได้ ตั้งแต่คุณทิ้งผมไป เราก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
เซี่ยวเลี่ยงพยายามระงับความโกรธ ความน้อยใจ หันมามอง เห็นผู้เป็นแม่ร้องไห้
“ไม่ ไม่นะ ในทุกๆ วัน หลังจากที่แม่ไปจากประเทศจีน รู้มั้ย แม่คิดถึงลูกตลอดเลย แม่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต้องทำยังไงลูกถึงจะยอมยกโทษให้แม่คนนี้”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว...รู้มั้ยยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาผมเติบโตยังไง ธุรกิจพ่อไปได้สวย แต่เขาไม่เคยเข้าใจผมเลย เขารู้แค่สั่งผม รู้แค่สอนผม ทั้งที่เป็นบ้านของเราสามคน กลับมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ ต้องนับลูกชายของเขาเป็นน้องชาย”
“แม่ขอโทษ”
“ผม...ต้องทนกับรอยยิ้มที่เสแสร้งของเขา ต้องทนกับความหวังดีประสงค์ร้ายของเขา”
ผู้เป็นแม่ร้องไห้อย่างหนัก ด้วยความรู้สึกผิดพร่ำรำพัน “แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษ” อยู่ไม่ขาดปาก
“ผมก็รู้สึกผิดแต่ว่า บางสิ่งบางอย่าง ทิ้งแล้วทิ้งเลย ตั้งแต่คุณทิ้งผมไป คุณก็ได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงยกมือปาดเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นเดินออกไปเลย ผู้เป็นแม่ร้องเรียกไว้
“เซี่ยวเลี่ยง” เขาหยุดแต่ยังไม่ยอมหันมาหา น้ำตารินไหลออกมาเป็นสาย
“แม้ว่าลูกจะไม่ยอมรับแม่ก็ไม่เป็นไร แต่ลูกเรียกแม่ว่าแม่ ซักคำได้มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงหลับตาลง ถอนสะอื้นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา หันกลับไปมองหน้าผู้หญิงที่เขาโหยมามาตลอดชีวิต
“แม่”
ผู้เป็นแม่โผเข้ากอดลูกชายเต็มรักเต็มคิดถึง “เซี่ยวเลี่ยง ลูกแม่”
สองแม่ลูกกอดกันกลมลูบหลังกันเบาๆ ถ่ายเทความรักและความคิดถึงให้กันและกัน
ทางฝ่ายอี้หมิงลากกระเป๋าทั้งของตัวเองและของเหม่ยลี่ออกมายืนรอรถที่หน้าโรงแรม
“หนาวมั้ย”
อี้หมิงเห็นเหม่ยลี่เหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลาก็รู้ทันพูดดักคอ “ไม่ต้องมองแล้ว ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เหม่ยลี่รีบกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อเซี่ยวเลี่ยงโทร.มา
“ฮัลโหล”
อี้หมิงชะเง้อคอมอง รีบถามทันทีที่เหม่ยลี่กดวางสาย “ทำไม เซี่ยวเลี่ยงพูดอะไร”
“เขาบอกว่าจะเจอฉัน เหลยอี้หมิงนายเป็นดาวนำโชคของฉัน” เหม่ยลี่หัวเราะเริงร่า กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ต่างกันลิบลับกับศพเดินได้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็วิ่งจู๊ดไปขึ้นรถแท็กซี่
และคงไม่ได้ยินเสียงเศร้าๆ เต็มไปด้วยความห่วงใยของเหลยอี้หมิงที่ลอยตามหลังไป
“ระวังด้วยล่ะ”
อี้หมิงมองตามรถแท็กซี่คันนั้นไป
ใบหน้าที่เคยเห็นแต่ความทะลึ่งทะเล้น ติงต๊องของเขา หมองเศร้าลงเห็นชัดถนัดตา
เซี่ยวเลี่ยวขับรถเข้ามาจอดในลานกว้างบริเวณสวนสาธารณะแหล่งพักผ่อนใต้สะพานข้ามแม่น้ำฮันอันเลื่องชื่อ และเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงโซล เกาหลีใต้
เหม่ยลี่ปรบมือรัวๆ มองอย่างตื่นตากับสะพานชื่อดังตลอดจนบรรยากาศรอบบริเวณ
“อู้ว ว้าว ที่นี่สวยจังเลยค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงหันมายิ้มให้ “ชอบที่นี่เหรอ”
“โซลสวยมากเลย ขอบคุณที่พาฉันมาเที่ยวนะคะ ขอบคุณค่า”
เซี่ยวเลี่ยงกลับบอกว่า “ขอบคุณมากนะ”
เหม่ยลี่มองฉงน “หือ”
“เมื่อก่อน ตอนแม่ผมไปจากผม ผมคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ว่าที่จริงบางสิ่งบางอย่าง...ค่อนข้างไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ บางทีผมคงไม่อยากเจอเขา แม้ว่าผมกับแม่จะยังไม่คืนดีกัน แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันอีกแล้ว ต้องขอบคุณคุณมากนะ”
“ฉันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คุณพูดหรอกค่ะ ฉันเองก็มีอดีตที่ไม่กล้าเผชิญหน้า คุณเซี่ยวคะ...ความจริงเมื่อก่อนฉัน...”
เหม่ยลี่พยายามจะบอกเขาเรื่องเธอเคยอ้วน แต่เซี่ยวเลี่ยงขัดขึ้นก่อนว่า “ลงไปเดินเล่นกันมั้ย”
เหม่ยลี่คาดไม่ถึง “หา”
“คุณไม่เคยมาเกาหลีใช่มั้ย อยากไปเดินเที่ยวหรือเปล่า”
“อยากสิคะอยาก ไปอยู่แล้ว”
“โอเค ผมนำทาง”
เหม่ยลี่ลงรถมาก็วิ่งลงเนินไปข้างล่างติดริมแม่น้ำฮัน มีแผงขายของที่ระลึกอยู่หลายร้าน
“ว้าว สวยจังเลย”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำ คอยร้องบอก “ระวังนะ”
เหม่ยลี่ตื่นตาตื่นใจไปหมดหยุดดูทุกแผง จนมาถึงแผงขายตุ๊กตาจำลองรูปซุปตาร์คนดังของเกาหลี
“ว้าว น่ารักจัง” สาวจอมจุ้นเลียนแบบท่าตุ๊กตา เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำ
“เอ๊ะ ดูนี่สิคะ” เหม่ยลี่หันมาเห็นตุ๊กตาอีกตัว เธอหยิบขึ้นมาถือ ยื่นให้ซีอีโอหนุ่มดูไปมา
“หา เหมือนคุณไม่มีผิดเลย ดูสิ ดูสิ ดูนี่สิ”
ตุ๊กตาตัวนั้นคือ ตุ๊กตา เรน ซุปตาร์เกาหลีนั่นเอง
เซี่ยวเลี่ยงกลัวของเขาพัง จึงหยิบมาวางคืน แล้วจูงแขนเหม่ยลี่ไปดูอีกมุมในสวน
“ว้าว นี่ก็น่ารักนะเนี่ย ถ่ายรูปให้หน่อย”
เหม่ยลี่ดี๊ด๊าให้เซี่ยวเลี่ยงถ่ายรูปกับตุ๊กตาหิมะให้ แล้วจับเขาถ่ายกับตุ๊กตาหิมะด้วย
“มาฉันถ่ายให้”
ถ่ายเสร็จเซี่ยวเลี่ยงเดินนำไปอีกมุมของสวนพลางบอก “ไปเถอะ”
“ไปไหนต่อ” เหม่ยลี่เดินตามไปอย่างเบิกบาน
สองคนเดินเที่ยวเล่นในสวนริมแม่น้ำฮันสักพัก เซี่ยวเลี่ยงก็ขับรถพาเหม่ยลี่ตระเวนไปตามย่านท่องเที่ยวสำคัญของกรุงโซล
สาวจอมจุ้นตื่นตาเช่นเคย เหลียวมองแต่ละสถานที่ชนิดแหงนคอตั้งบ่า และคอยชี้ถามไปตลอดทาง ซึ่งเซี่ยวเลี่ยงอธิบายให้ฟังอย่างไม่มีบ่น พอรถติดไฟแดงก็ควักโทรศัพท์มาเซลฟี่ตัวเองทำท่าน่ารักๆ ถ่ายเองขำเองเซี่ยวเลี่ยงหันไปมองแล้วยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
สองคนท่องกรุงโซลแฮปปี้ลั้นลาสุดๆ ในขณะที่เหลยอี้หมิงนอนพังพาบเหมือนคนเบื่อโลกอยู่กับโซฟายาวในล็อบบี้โรงแรม ข้างๆ เป็นกองกระเป๋าเดินทางทั้งของเขาและของยัยอ้วน
ระหว่างนี้เกาเหวินเดินคุยโทรศัพท์กับฉีหยูมาในล็อบบี้ สีหน้าเหวี่ยงสุดฤทธิ์ โมโหที่เซี่ยวเลี่ยงที่ผิดเวลานัด
“มีเรื่องสำคัญอะไร ถึงปล่อยให้ฉันรอตั้งครึ่งชั่วโมง ไปบอกเซี่ยวเลี่ยง ยกเลิกโปรแกรม ส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ฉัน เดี๋ยวนี้ ทันที”
เกาเหวินกระแทกเสียงใส่ฉีหยู ขณะเดินผ่านหน้าอี้หมิงไป โดยเขาไม่ได้สนใจมอง
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีกระเป๋าถือแบรนด์เนมลอยหวือมาใส่ หมอหนุ่มสะดุ้งรีบกระโดด กระโจน รับเอาไว้ได้ ก่อนจะเห็นเจ้าของผลงานเดินถอยหลังคุยสายกลับมา กำชับเป็นคำสุดท้ายว่า
“มีเวลา 58 นาที”
เกาเหวินวางสายไป จ้องหน้าเซี่ยวเลี่ยงที่กำลังอึ้งๆ อยู่ แล้วร้องกรี๊ดออกมา
“อ๊าย...”
ซุปตาร์สาวหัวเราะร่า อารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน ฟาดแขนอี้หมิงอย่างดีอกดีใจ “บังเอิญอีกแล้ว”
อี้หมิงพึมพำ “บังเอิญ”
“บังเอิญจริงๆ ฉันเจอคุณทุกครั้งที่อยากกินข้าว” เกาเหวินคว้ากระเป๋าถือคืนมาหัวเราะ
“ไม่มั้ง อีกแล้วเหรอ” อี้หมิงนึกสยอง
“ไป”
เกาเหวินยักคิ้ว พยักพเยิดให้อี้หมิงไปทานข้าวด้วยกันอีก
สองคนนั่งอยู่ในร้านอาหารไม่ห่างจากโรงแรมนัก ขณะรออาหารที่สั่ง เกาเหวินเลือกเครื่องดื่มสีสวยบนโต๊ะมาขวดหนึ่ง เปิดฝาออก
“อันนี้ สีนำโชคฉันคือสีแดง คนเราจะมีพรมลิขิตด้วยกันสามครั้ง ดื่มให้กับพรมลิขิตของเรา”
อี้หมิงถอนใจเฮือก เลือกขวดสีขาวรับที่เปิดจากเกาเหวินมาเปิด
“เจอคุณทุกครั้ง ในเวลาที่ไม่ควรปรากฏตัว ต้องดื่มให้ตัวเองหน่อยมา”
สองคนชนชวดกัน “ดื่ม”
อี้หมิงถามขึ้นว่า “อื้อ เมื่อกี้แฟนของคุณ”
เกาเหวินคีบอาหารกิน เหมือนไม่ใส่ใจแล้ว “อย่าพูดถึงเขา เขาไม่เคารพข้อตกลง คุณล่ะ เจอแฟนที่ทอดทิ้งคุณหรือยัง”
อี้หมิงถอนใจอีกเฮือก “เฮ้อ...ช่างมันเถอะ ผมว่า คุยเรื่องอื่นดีกว่า”
“ก็ได้ คุณไม่ค่อยพูดเรื่องตัวเองเลย คุณทำงานอะไร”
“ผมเหรอ เป็นหมอ”
เกาเหวินอึ้ง ไม่อยากเชื่อ “สมัยนี้ หมอเป็นแบบนี้เหรอ”
“ผมทำไม อย่ามาดูถูกผมนะผมเป็นหมอมือฉมังเลยนะ”
เกาเหวินหัวเราะ “อย่าบอกนะว่าคุณเป็นหมอศัลยกรรมน่ะ”
“นรีเวช” เกาเหวินอมยิ้มขำ “ทำไมเหรอ คุณดูถูกแผนกเราเหรอ ภาระของลูกหลานอยู่ที่แผนกเราหมดนะผมเป็นเพื่อนแท้ของผู้หญิงเลยนะเนี่ย”
“ใช่ๆๆ คุณเป็นเพื่อนแท้ ฉันเป็นศัตรู มา ดื่มให้เรา และความสัมพันธ์ของผู้หญิง”
เอะอะเป็นดื่ม อี้หมิงนึกได้ ยื่นแขนมาจับขวดรั้งไว้ “นี่ ๆ ผมไม่อยาก ถูกคุณทับอีกครั้ง”
“ทำไมคุณเท่แบบนี้เนี่ย” เกาเหวินวางขวดลง ทึ่งสุดๆ “คนอื่นหาวิธีเข้าใกล้ฉัน ฉันเมาเหล้า คุณลากฉันกลับโรงแรม ยังรักษาระยะห่างอีก ร่างกายมีปัญหา หรือมีปัญหาทางจิตกันแน่”
หมอหนุ่มสะดุ้ง ไม่รู้ด่าหรือชมกันแน่ “คุณหมายความว่าไง ผมไม่แตะต้องคุณ ไม่ดีตรงไหน”
“นี่คุณคุณพูดตรงมากเลยนะเนี่ย”
“ยังไงก็เถอะ เราสองคน ถือว่าเป็นเพื่อนที่เคยมีเรื่องเปิดเผยต่อกัน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ได้ ไม่แตะต้องฉันก็ได้ เราสองคนมาชนแก้วกัน เพื่อคุณสุภาพบุรุษ”
อี้หมิงพยักหน้าชนด้วย “อื้อ ชนแก้วกัน”
จากนั้นสองคนก็พากันไปเดินเที่ยวในสวนสาธารณะใกล้ๆ ผลัดกันถ่ายรูปให้กันด้วยท่าโพสแผลงๆ ชนิดที่คนถ่ายกลั้นยิ้ม กลั้นหัวเราะไม่อยู่
ในแสงสวยยามเย็น สองหนุ่มสาวจากเซี่ยงไฮ้ ปั่นจักรยานไล่ตามกันมาตามทางอย่างเบินบานใจ จอดรถไว้ตรงลานกว้าง แล้ววิ่งเข้าไปถ่ายรูปเซลฟี่ตรงสะพานข้ามทะเลสาบในสวนแห่งนั้น ฉากด้านหลังเป็นภูเขาจำลองสวยแปลกตา ทั้งคู่ยกแขนมาชนกันเป็นรูปหัวใจ
เกาเหวินกับอี้หมิงคุยกันถูกคอไปหมดสองคนยิ้มหัวให้กันตัวโยกตัวโยน ท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้ พระอาทิตย์ค่อยๆ อำลาท้องฟ้าตกดินไป
ด้านเซี่ยวเลี่ยงขับรถมาจอดหน้าโรงแรมในตอนค่ำ
“ขอบคุณนะคะฉันมีความสุขมากเลย” เหม่ยลี่ยิ้มหน้าบาน ถอดเข็มขัดเตรียมตัวลง
เซี่ยวเลี่ยงหยิบกล่องสีใสข้างในมีรูปตุ๊กตาเรน ยื่นมาทางเหม่ยลี่ เรียกเสียงนุ่ม “มี่โตะ”
เหม่ยลี่หันมา มองจ้องตุ๊กตาซุปตาร์อย่างคาดไม่ถึง “คุณซื้อกลับมาได้ยังไง”
“คุณบอกว่าเหมือนผมไม่ใช่เหรอ”
เหม่ยลี่รับมากอดไว้ หันไปมองหน้าเซี่ยวเลี่ยงที มองตุ๊กตา หัวเราะขำกลิ้ง
เซี่ยวเลี่ยงอดยิ้มตามไม่ได้
“ฉันกลับมาแล้วอี้หมิง”
เหม่ยลี่แหกปากร้องทักอี้หมิง ที่นั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว วางกระเป๋าลงบนโซฟา แล้ววางตุ๊กตาเรนลงบนโต๊ะกลางอย่างทะนุถนอม
อี้หมิงนั่งหน้าตูบปอกส้มอยู่ เอ่ยถามขึ้น “ยังไม่ยอมจบกับคนแซ่เซี่ยวอีกเหรอ เขาทำให้เธอเสียใจนะ ทำไมยังกลับไปอีก”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับถอดหมวกไหมพรมออก ตามด้วยเสื้อกันหนาว “มันเป็นความเข้าใจผิดกันทั้งนั้น วันนี้เขาพาฉันไปเที่ยวทั้งวัน ดูสิเขาซื้อของสิ่งนี้ให้ฉันด้วยเหมือนล่ะสิ”
พร้อมกับว่ายัยอ้วนจอมจุ้นก้มหน้าลงมองตุ๊กตาเรนใกล้ๆ อย่างเป็นปลื้ม และหันไปให้อี้หมิงดู หมอหนุ่มหมั่นไส้ปาผลไม้ในมือใส่
“ทำอะไรเนี่ย” เหม่ยลี่โมโห กอดไว้อย่างหวงแหน
“เหมือนมากเลย เห็นแล้วเหม็นขี้หน้า” อี้หมิงพูดจากใจแถมยังขว้างใส่ไม่หยุด
“นี่ เตือนไว้ก่อนนะ” เหม่ยลี่ยกหลบ เอามากอดไว้ชี้หน้าคาดโทษ จากนั้นก็หันไปจ๊ะจ๋ากับตุ๊กตาเรน-เซี่ยวเลี่ยง “วันนี้ฉันยังทำอีกเรื่องหนึ่ง ฉันช่วยเซี่ยวเลี่ยงด้วยแหละ แต่ไม่บอกหรอก ฉันไม่มีทางบอกนายแน่”
“ไม่บอกก็ช่าง ไม่เห็นอยากรู้เลย” อี้หมิงหันหนีแกะส้มกินมั่งปาเล่นมั่งต่อ
เหม่ยลี่ไม่ได้สังเกตสักนิดว่ายามนี้อี้หมิงเศร้าแค่ไหน ยังคงทำเสียงเล็กเสียงน้อย หายใจเข้า-ออก เป็นเซี่ยวเลี่ยงต่อ
“เซี่ยวเลี่ยงพาฉันไปเจอเพื่อนของเขาด้วย เหลยอี้หมิง นี่อาจารย์ จู่ๆ เซี่ยวเลี่ยงก็ทำดีกับฉันมากถึงขนาดนี้ นอกจากเพื่อเป็นการขอบคุณฉันแล้ว เขาจะมีความหมายอย่างอื่นรึเปล่า แบบพิศวาสฉันน่ะ”
อี้หมิงเป่าเม็ดส้มในปากลงบนโต๊ะกลาง เซ็งโคตรๆ
เหม่ยลี่หัวเราะคิกคัก มโนต่อ แต่จู่ๆ ก็หยุดไปเฉยๆ “นายว่าเขาจะแบบว่า...”
อี้หมิงสุดทนหันมาด่า “นี่ สมองกระทบกระเทือนหรือไง” แต่พอเห็นเหม่ยลี่ทำหน้าเศร้าๆ ก็ใจอ่อนอีก “อ้ะ ฟังก็ได้ เธอพูดต่อสิ ฉันฟังอยู่”
“เหลยอี้หมิงฉันรู้สึกว่าตัวเองเลวมากเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเซี่ยวเลี่ยงเป็นแฟนกับเกาเหวิน แต่ฉันก็ยังแอบชอบเขามาโดยตลอดฉันตัดใจไม่ได้ ฉันทำผิดต่อเกาเหวินมากไปหรือเปล่า”
“ตอนที่เธอชอบเซี่ยวเลี่ยงยังไม่มีเกาเหวิน อีกอย่างเรื่องแบบนี้ มันเกินจะควบคุมได้ เรื่องมันพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องก้าวต่อไป มันต้องมีทางออกแน่”
อี้หมิงพูดเหมือนปลอบเหม่ยลี่และตัวเองในคราวเดียวกัน
“แต่ว่า เกาเหวินดีกับฉันมากเลยนะ และฉันก็ชอบเธอมากด้วย ฉันมักรู้สึกว่าทำแบบนี้มันผิดต่อเธอ”
เหม่ยลี่กังวลหนัก ยกมือขึ้นปิดหน้า “เฮ้อ...อยู่ๆ ก็อยากกลับไปเป็นยัยอ้วนคนเดิมอย่างเมื่อก่อน”
“นี่น่ะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเธอพูดว่า อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“แต่ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ฉันต้องเผชิญหน้ากับอดีตอย่างกล้าหาญ” เหม่ยลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “กลัวแต่ว่าเมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะเอาเรื่องที่นายเป็นตัวพ่อเรื่องเจ้าชู้ออกมาเปิดเผยให้ชาวโลกได้รู้กันให้ทั่วเลย”
“ยัยอ้วนพูดอะไรเนี่ย” อี้หมิงปาเปลือกส้มใส่ แล้วตามด้วยการพ่นเม็ดส้มในปากใส่อีก
เหม่ยลี่ฉุน “นายทำอะไรเนี่ย เหลยอี้หมิง”
“พูดอีกทีซิ”
“คิดว่าฉันผอมแล้วจะตีนายไม่ได้เหรอ” เหม่ยลี่ยกตุ๊กตาเซี่ยวเลี่ยงขึ้นมาบอก “เซี่ยวเลี่ยงรอแป๊บนะ ฉันจัดการเขาก่อน”
“ต่อหน้าเทพบุตรจะใช้กำลังไม่ได้นะ ใช้อารมณ์แบบนี้ไม่ได้นะ”
เหม่ยลี่วางตุ๊กตาลง แล้วหันไปดันร่างอี้หมิงลงกับโซฟา ประเคนหมัดศอก และข้าวของใกล้มือฟาดใส่ไม่เลี้ยง
“นี่ๆ อ๊าย เมื่อกี้นายพ่นอะไรใส่ฉัน กล้าทำกับฉันแบบนี้เหรอเหลยอี้หมิง”
เช้าวันต่อมา เซี่ยวเลี่ยงเดินนำ เกาเหวิน และเหม่ยลี่มายังรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม มีฉีหยูเปิดประตูรถรอท่าอยู่แล้ว
“มี่โตะ” เกาเหวินเรียกให้เหม่ยลี่ขึ้นรถไปก่อน แล้วจึงขึ้นตามไป เซี่ยวเลี่ยงขึ้นเป็นคนสุดท้าย ฉีหยูปิดประตูเรียบร้อยจึงวิ่งขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
ในรถที่แล่นมาตามถนนมุ่งหน้าไปยังสนามบิน เซี่ยวเลี่ยงหันไปยิ้มให้เหม่ยลี่ ที่ทำหน้ารู้สึกผิดบาปอยู่ด้านหลัง
นั่งอึดอัดมาได้ไม่นานเกาเหวินก็หันมาทางเซี่ยวเลี่ยง “เรื่องเมื่อวานคุณควรอธิบายนะ”
เซี่ยวเลี่ยงย้อนแย้งว่า “ให้อธิบายยังไง คุณก็มีเรื่องต้องทำนี่”
เกาเหวินหันไปทางฉีหยู “นายบอกเขาเหรอ”
ฉีหยูแกล้งไอ เจ็บคอกระทันหัน
เกาเหวินด่าโดยไม่ได้ยินเสียง “ทรยศ”
เซี่ยวเลี่ยงเตือน “แม้ว่าจะอยู่เกาหลี คุณออกไปกับผู้ชายจะถูกเข้าใจผิดได้นะ”
“แล้วไงล่ะ ยังไงเราก็เป็น...” เกาเหวินนึกได้ว่าไม่ควรพูด “ไม่ใช่อย่างนั้น”
“เจ๊ากันแล้วนะ” เซี่ยวเลี่ยงว่า
เหม่ยลี่นั่งฟังเงียบๆ ในสีหน้ารู้สึกผิดเช่นเดิม
บรรดาติ่งเกาเหวินมารอรับที่หน้าประตูทางออกอาคารผู้โดยสารขาเข้า ในสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง แน่นขนัด ส่งเสียงบอกรัก ชูป้ายไฟ และโปสเตอร์ ตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดแปดหลอดเซ็งแซ่
“เกาเหวิน เรารักคุณ ๆ ๆ”
เซี่ยวเลี่ยงพลางกระซิบบอก ขณะเดินโอบประคองเกาเหวินออกมาทางกองทัพสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว
“รู้ใช่มั้ยว่าต้องพูดยังไง”
เหม่ยลี่หยุดยืนรอที่หน้าประตูสีหน้าเศร้า มองภาพคู่รักหวานยิ้มหัวให้สัมภาษณ์สื่อ
นักข่าวหญิงด้านหน้ายิงคำถามตรงประเด็น “เกาเหวิน ทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง มีแพลนจะหมั้นกันมั้ยคะ”
เกาเหวินทำเป็นหัวเราะเอียงอาย “ตรงประเด็นมากเลยค่ะ เอ่อ ตอนนี้ยังไม่มีแพลนหรอกค่ะและครั้งนี้ที่ไปเกาหลีก็เพราะเรื่องงานอย่างเดียวเลยค่ะ ยังไม่มีการวางแผนอนาคต แต่ก็จะพิจารณาดูค่ะ”
ซุปตาร์สาวเจ้าบทบาท หัวเราะซักถามหยอกเย้ากับสื่ออย่างเป็นกันเอง
“เอ่อ พวกคุณ...มานานหรือยัง รอที่นี่ตลอดเลยเหรอคะ เอ่อ หวังว่าทุกคนจะโฟกัสไปที่ผลงานของฉันเป็นอันดับแรกนะคะ และหวังว่าจะสนับสนุนบริษัทของคุณเซี่ยวกันต่อไปค่ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เหม่ยลี่สะท้อนใจยืนคอตกเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น จนมีมืออี้หมิงที่ลากกระเป๋าตามมาตอนไหนไม่รู้ ยื่นมาโบกตรงหน้าเรียกสติ พร้อมกับยื่นสองแขนมาจับไหล่ประคอง
“นี่ ถ้ารู้สึกเจ็บปวด ก็ไม่ต้องดู ถ้าเสียใจก็ไม่ต้องฟัง คิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้น แล้วมันจะผ่านไป ดีมั้ย”
“นี่เป็นกลยุทธ์ใหม่ที่นายวิจัยขึ้นเหรอ ให้ฉันเรียนรู้เป็นนกกระจอก”
อี้หมิงลดมือลง “นี่คือบทเรียน ที่ฉันควรสอนเธอ”
“ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิดนะ”
“งั้นก็ดี ไปกันเถอะ กลับบ้าน ไป”
อี้หมิงโอบไหล่ประคองหัวเหม่ยลี่ปลอบ พากันลากกระเป๋าเดินออกไปคนละทางกับที่คู่รักคนดังให้สัมภาษณ์อยู่
เซี่ยวเลี่ยงหันมาเห็นพอดี มองตามสองคนอย่างแปลกใจ จนเกาเหวินสังเกตเห็น
“มีอะไร”
เซี่ยวเลี่ยงรีบหันกลับมาหา “เอ่อ เปล่าหรอก ไปกันเถอะ”
เกาเหวินหันไปยิ้มโบกมือให้ติ่ง “บ๊ายบาย”
ทุกติ่ง “บ๊ายบาย” ตอบ
“บ๊ายบายๆ”
เกาเหวินหันมาฉีกยิ้มโบกมือให้สื่อ แล้วเดินควงเซี่ยวเลี่ยงออกไป
วันรุ่งขึ้น ฉีหยูเปิดประตูห้องประชุมให้เซี่ยวเลี่ยงก้าวเข้ามาในนั้น ใบหน้าของเขาขรึมเคร่ง ขณะกวาดสายตามองไปยังที่ประชุม ทุกคนเว้นแต่เพียงจื่อเหลียง หันมามองซีอีโอหนุ่มอย่างยำเกรง บรรยากาศมาคุนิดๆ
เซี่ยวเลี่ยงรับแฟ้มมาจากฉีหยู เดินพูดเข้าไปในที่ประชุม “โพรเจกต์ใหม่ในฤดูกาลหน้า” และไปหยุดยืนพร้อมกับจับไหล่น้องชายต่างมารดาเบาๆ ตั้งคำถาม
“ไม่รายงานผม ก็อนุมัติแล้วงั้นเหรอ”
จื่อเหลียงยืนขึ้นประจันหน้าเซี่ยวเลี่ยงบอกอย่างไม่ยี่หระ
“เวลาเร่งรีบ คุณอยู่ต่างประเทศ ผมก็เลยเป็นคนลงนาม”
เซี่ยวเลี่ยงยกแฟ้มนั้นมาใกล้หน้าจื่อเหลียง
“เอกสารสำคัญ ต้องให้ประธานอนุมัติ คุณเป็นประธานเหรอ”
สองหนุ่มจ้องหน้า สู้สายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายจื่อเหลียงหัวเราะออกมา
“พูดเรื่องตลกอะไร ในฐานะรองประธาน ก็ควรแบ่งเบาภาระ”
“เป็นคนดีมาก” เซี่ยวเลี่ยงไม่ตลกด้วย ขยับไปยืนหัวโต๊ะ “แต่โปรแกรมนี้มันไม่ผ่าน เอาไปทำลาย”
เขาฟาดแฟ้มลงข้างๆ จื่อเหลียง ก่อนจะนั่งลง
“คุณเซี่ยว แบบนี้ไม่ดีมั้ง คณะกรรมการต่างก็เห็นชอบ ผมกำลังออกแบบโพรเจกต์ใหม่ ยิงธนูแล้วย้อนกลับไม่ได้” จื่อเหลียงบอกอย่างท้าทาย
เซี่ยวเลี่ยงทุบโต๊ะปัง “ผมเป็นคนยิงธนู ต้องมีความเห็นชอบจากผมก่อน”
“คุณเซี่ยวพูดถูก ท่านสั่งให้ผมทำโพรเจกต์นี้ อ้อ อยู่เกาหลีคงยุ่ง ไม่มีคนรายงาน ท่านให้ผมรับผิดชอบโพรเจกต์ในครั้งนี้”
หลินจื่อเหลียงทั้งเย้ยทั้งหยัน เดินไปตบแฟ้มที่อีกฝ่ายสั่งทำลายเมื่อครู่อย่างผู้ชนะ
“คุณเซี่ยว เอกสารนี้มีประสิทธิภาพแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้งคาดไม่ถึง จ้องหน้ารองหลินนิ่งนาน
ยิวยิวเดินยิ้มเข้ามาหา เอ่ยทักขึ้นทันทีที่เห็นเหม่ยลี่ก้าวเข้ามาในแผนกออกแบบ
“นี่ มี่โตะ ไปเกาหลีกลับมาแล้วเหรอ”
หนานหนานแขวะ “เดินทางกับคุณเซี่ยว คงมีความสุขมากสินะ”
ซือหยวนหันมายิ้มทักถาม “มี่โตะ เดินทางราบรื่นดีมั้ย”
“ราบรื่นดีพี่ซือหยวน” เหม่ยลี่หยิบกล่องของฝากออกจากถุงที่ถือมา วางให้ซือหยวน “นี่คือของฝากจากเกาหลี ถึงจะไม่ใช่ของราคาแพง แต่ก็เป็นน้ำใจจากฉัน”
“ขอบใจนะ” ซือหยวนเบาเสียงลงขณะถาม “คุณเซี่ยวเห็นคุณค่าเธอ มีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มี เราเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น”
“ความสัมพันธ์เจ้านายกับลูกน้องมันซับซ้อน พนักงานอย่างเรา อย่าเข้าไปยุ่งด้วยเลย” ซือหยวนเตือนด้วยความหวังดี
เหม่ยลี่พยักหน้ารับรู้ “อื้อ ฉันรู้ค่ะ”
“ท่านรองหลินให้ความสนใจกับเธอ ระวังตัวด้วย” ซือหยวนเบาเสียงลงกว่าเดิมอีก
เหม่ยลี่พยักหน้ารับเอาคำเตือน
จื่อเหลียงเดินปึงปังผ่านมาพอดี ปรายตามองซือหยวนแว่บหนึ่ง
“มี่โตะ มาที่ห้องผมหน่อย”
สองสาวมองหน้ากันส่วนจื่อเหลียงเดินปึงปังไปที่ห้องทำงาน
หลินจื่อเหลียงเดินมาหยุดยืนด้านหลังเหม่ยลี่ เอ่ยถามขึ้น “เรื่องที่ให้คุณไปทำล่ะ”
“เรื่องอะไรคะ ฉันไปติดต่องานค่ะ”
จื่อเหลียงฉุน “นี่คุณแกล้งโง่หรือไง”
เหม่ยลี่นึกได้ “อ้อ คุณหมายถึงให้ฉันรายงานการเคลื่อนไหวของคุณเซี่ยว ขอโทษค่ะ ฉันลืมรายงานคุณ”
“ลืมเหรอ” จื่อเหลียงไม่พอใจเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงาน “ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณพูดมาได้”
เหม่ยลี่ย้อนถาม “ทำไมต้องอยากรู้เรื่องนี้คะ”
จื่อเหลียงโกรธ “นั่นมันเรื่องของผม พูดมา”
“ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ค่ะ”
จื่อเหลียง “คุณกล้าขัดคำสั่งเจ้านายงั้นเหรอ”
“คุณเซี่ยวก็เป็นเจ้านายฉันค่ะ”
คำตอบของเหม่ยลี่สร้างความไม่พอใจให้รองหลินมาก เขาเท้าแขนกับโต๊ะ ยื่นหน้ามาใกล้อีกฝ่าย
“ผมสงสัยมาตลอดว่า เมื่อก่อนคุณทำงานอะไร ระหว่างคุณกับคุณเซี่ยว มีความลับอะไรกันแน่ มีความสัมพันธ์อะไรกัน ถึงทำให้คุณไม่ยอมพูดเรื่องของเขาให้ผมฟัง แน่นอน อดีตที่เหมือนกระดาษขาวของคุณมันเตือนใจผม”
จื่อเหลียงทิ้งตัวลงนั่งจ้องหน้าเหม่ยลี่เขม็ง
“ความซื่อสัตย์เป็นนิสัยที่ดี แต่คนเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่งั้นละก็ ความซื่อสัตย์จะกลายเป็นความอันตราย”
จื่อเหลียงส่งยิ้มมาให้ ราวกับเป็นคำเตือนด้วยความหวังดี
“ฉันขอตัวไปทำงานนะคะ”
เหม่ยลี่โค้งให้เดินออกไปเลย หลินจื่อเหลียงเหลียวมองตาม รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าจนสิ้น
เซี่ยวเลี่ยงนั่งกอดอกบนพนักโซฟายาวทอดสายตามองโลโก้ TESiRO ที่สะท้อนอยู่ในกระจกห้อง ไม่นานต่อมา เหม่ยลี่เดินถือแก้วกาแฟมาวางลงบนโต๊ะกลาง ถือแฟ้มในมือยื่นออกมา พลางเอ่ยขึ้น
“คุณเซี่ยวคะ นี่คือข้อมูลภาพการออกแบบค่ะ”
“รองประธานหลินเป็นผู้รับผิดชอบโพรเจกต์นี้ ไม่ต้องเอามาให้ผม” เซี่ยวเลี่ยงพูดโดยไม่หันไปมอง
“ฉันรู้แล้วค่ะ แต่คุณเป็นประธานของบริษัท โพรเจกต์นี้ควรจะเป็นของคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มหยัน “ให้กำลังใจผมอยู่เหรอ”
“ฉันสนับสนุนคุณ”
“แค่คำพูดปลอบโยนมันจะมีความหมายอะไร คำพูดที่ไม่มีความหมายต่อไปอย่าพูดอีก”
เหม่ยลี่พยายามอธิบาย “ไม่ใช่นะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้น บอกโดยไม่ยอมมองหน้าเช่นเคย
“ออกไป อย่าเอาเรื่องไร้สาระมารบกวนผม”
“ตราบใดที่คุณไม่รำคาญฉัน ไม่รังเกียจฉัน ที่ฉันโง่ ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป ถึงตัวจะไม่ได้อยู่เคียงข้างคุณ แต่จะให้กำลังใจคุณเสมอ”
เหม่ยลี่ไม่โกรธสักน้อย มองเขาอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกไปพร้อมแฟ้มในมือ โดยทิ้งแก้วกาแฟไว้ให้
เซี่ยวเลี่ยงยืนนิ่งขึงอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อ ตอนที่ 8