เพลิงนรี ตอนที่ 11
พริริสายิ้มปลอบสามสาว เพื่อให้คลายกังวลเรื่องงาน บุษกรอดสงสัยไม่ได้ กลั้นใจถามถึงคณิน
“แล้วท่านประธานจะเป็นยังไงเหรอริสา”
พริริสาหุบยิ้มลง สีหน้ากลับมานิ่งจนสามสาวพากันนึกกลัว
กานดาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ปัดแก้วน้ำบนโต๊ะใส่พริริสาอย่างกราดเกรี้ยว ทุกคนพากันลุกพรวดด้วยความตื่นตกใจ คนอื่นๆในโรงอาหารรีบพากันจับกลุ่มมองดู
“ว้าย” สามสาวร้องลั่น
“แม่แกคงสั่งให้แกมาที่นี่ใช่ไหม”
พริริสาจ้องกานดาตาวาววับที่พาดพิงแม่ตน
“กรุณาอย่าเอาแม่ฉันมาเกี่ยว”
“ทำไมมันจะไม่เกี่ยว มันคงสั่งสอนให้แกกลับมาทำลายพวกเราบูรพเกียรติ แต่อย่าคิดนะว่าแกทำแบบนี้แล้วจะลอยนวลอยู่ได้ ฉันจะแจ้งความเรื่องที่แกปลอมแปลงเอกสาร สวมรอยแอบอ้างเป็นคนอื่น รวมทั้งแม่ของแกด้วยในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด”
พริริสายิ้มเยือกเย็น “แล้วคุณล่ะควรโดนข้อหาอะไรบ้าง รวมทั้งคนในบูรพเกียรติที่เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง”
กานดาชะงักไป เพราะมีชนักติดหลังเรื่องที่เคยพาคนไปทำร้ายพริริสาและพีรดามาก่อน
“แล้วอย่าเพิ่งคิดนะว่าจะจบแค่นี้ ฉันยังมีอะไรให้คุณเซอร์ไพร์สอีกเยอะเลย”
พริริสายิ้มเยาะเรียกโทสะกานดาให้หนักขึ้น กานดาขาดสติเข้าไปกระชากแขนพริริสาอย่างแรง
“แกคิดจะทำอะไรบอกมา บอกมา”
โรซี่ ชนิตา บุษกร พากันตกใจ ทำอะไรไม่ถูก จะเข้าไปช่วยก็ไม่กล้า
“ถ้าแกไม่บอก ฉันจะเปิดปากแกเอง”
กานดายกมือจะตบพริริสา ธีภพเข้ามาดึงแขนกานดาเอาไว้
“หยุดเถอะครับคุณอา”
“ปล่อยอานะภพ ปล่อย”
พริริสาเห็นธีภพมาก็ชะงักไป ไคซัจวิ่งตามเข้าพอดี ธีภพหันไปบอกกับไคซัจว่า
“พาริสาออกไปก่อน”
ไคซัจรีบกันตัวพริริสาพาออกไป กานดาแม้ถูกธีภพดึงไว้แต่ก็ยังพยายามดิ้นไม่หยุด คนในโรงอาหารพากันมองดูเหตุการณ์อย่างแตกตื่น เมาท์มอยไปตามประสา
โรซี่ ชนิตาและบุษกรเดินกลับมาจากโรงอาหาร ศจียืนรออยู่แล้ว รีบร้อนเดินเข้ามาถาม
“นี่ๆ มีเรื่องที่โรงอาหารกันจริงหรือเปล่า”
“จะเหลือเหรอคะ คุณกานดาตามไปอาละวาดซะโรงอาหารแทบแตก” โรซี่บอก
“แล้วริสาเป็นอะไรหรือเปล่า”
ชนิตาบอกว่า “ถ้าเป็น ก็เรื่องใหญ่สิพี่ศจี ตอนนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ ใครจะมาทำร้ายง่ายๆได้ไง”
โรซี่สะใจนัก “จะว่าไปก็สะใจดี คนที่เคยเดินหน้าเชิดคิดว่าตัวเองเป็นเมียประธานบริษัท นึกจะชี้นิ้วสั่งวางอำนาจกับใคร ตอนไหนก็ทำได้หมด แต่มาตอนนี้คงทำเชิดกับใครไม่ได้อีก”
“จริง ดีไม่ดีต่อไปคนนามสกุลบูรพเกียรติอาจจะถูกติดป้ายไม่อนุญาตให้เข้ามาเหยียบที่นี่อีกก็ได้” ชนิตาว่า
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” บุษกรตกใจ
โรซี่บุ้ยบ้ายให้ศจีเป็นคนพูด
“ลองได้เปลี่ยนชื่อบริษัท ปลดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบูรพเกียรติออก อะไรก็เป็นไปได้หมดล่ะ”
“ว่าแต่เรื่องที่คุณกานดาว่าริสา สวมรอยแอบอ้าง นี่มันยังไงกันคะพี่ศจี”
ศจีทำหน้างงกับคำถามของบุษกร “แอบอ้างอะไร”
สามสาวรีบเม้าท์ให้ศจีฟังเพื่อไม่ให้ตกข่าว
ธีภพยืนอยู่กับกานดาที่พยายามอย่างหนักในการระงับสงบสติอารมณ์อยู่อีกมุมในออฟฟิศ
“ภพจะมาห้ามอาทำไม ภพน่าจะรู้แล้วนะว่ามันทำอะไรกับบูรพเกียรติบ้าง มันหลอกพวกเราทุกคน”
“ทุกการกระทำย่อมมีเหตุของมันนะครับ”
“ภพพูดแบบนี้ คิดจะเข้าข้างมันใช่ไหม อย่าบอกนะว่าหลงเสน่ห์มันจนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันคงลงทุนลงตัวไปถึงไหนๆแล้ว เจ้าชายคามินถึงได้โอนหุ้นให้มัน แถมช่วยมันมายึดอำนาจบริษัทของเราแบบนี้”
“มันไม่ได้เป็นแบบที่คุณอาคิดหรอกครับ”
“แล้วมันเป็นแบบไหน มันบอกกับอาว่ามันยังไม่จบแค่นี้ มันต้องมีแผนการเล่นงานอะไรบูรพเกียรติอีกแน่ๆ”
กานดาเข้าไปจับแขนธีภพอย่างหาพวก
“ภพต้องช่วยพวกเรานะ ก่อนที่บริษัทที่บูรพเกียรติสร้างมาจะไม่เหลืออะไรเลย คุณธเนศก็ถือว่าเป็นหุ้นส่วนสำคัญของบูรพเกียรติที่ไม่ถูกนังเด็กนั่นเอาผลประโยชน์มาครอบงำเหมือนคนอื่น ภพต้องบอกคุณธเนศให้ช่วยพวกเรานะ”
ธีภพลำบากใจไม่น้อยกับคำขอร้องของกานดา ธเนศเดินเข้ามาพอดี กานดาเห็นธเนศก็รีบปรี่เข้าไปหา
“คุณธเนศ คุณธเนศทราบเรื่องแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับผมถึงได้รีบมาที่นี่”
“งั้นเราไปปรึกษากับคุณคณินนะคะว่าจะเอาคืนนังเด็กนั่นยังไงกันดี”
ธีภพและธเนศมองหน้าสบตากัน เพราะต่างรู้ดีว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้ว
อธิรุธและมิราเข้ามาในห้อง ร้อยเวรเห็นอธิรุธก็ลุกขึ้น
“สวัสดีครับผู้กอง”
“ทางนี้ผมจัดการเอง”
ร้อยเวรเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง นักเลง 1 เห็นผิดปกติก็โวยวาย
“ตกลงจะไม่มีใครบอกใช่ไหม ว่าจับพวกเรามาทำไม”
“เขาเรียกเชิญมาคุยกันเฉยๆ ไม่ได้จับอะไรสักหน่อย”อธิรุธบอก
“คุยเรื่องอะไรมิทราบ” นักเลง 2 งง
อธิรุธหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดคลิปภาพจากกล้องวงจรปิดที่2คนไปจับตัวพริริสา ให้มันทั้งคู่ดู
“บอกมาใครใช้พวกแกให้ทำเรื่องแบบนี้”
นักเลงทั้งสองเห็นคลิปก็พากันหน้าซีด
“พวกเราไม่รู้เรื่อง” หนึ่งในนั้นปฏิเสธดังลั่น
“ถ้าไม่อยากไปนอนในตะรางก็บอกมาดีๆ ว่าพวกนายทำแบบนี้ทำไม ใครบงการให้ทำ”
“แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรด้วย” นักเลง 1 โมโห
“เกี่ยวสิ เพราะผู้หญิงที่พวกนายคิดจะจับตัวไปเป็นเพื่อนฉัน แล้วรู้ไหมว่าเพื่อนฉันเป็นใคร เงาหัวจะหายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
สองนักเลงคนของกานดามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะเอายังไงดี แต่ยังไม่ยอมพูดอะไรต่อ
กานดาเห็นธเนศ ธีภพอยู่ด้วยก็รู้สึกมีความหวัง
“เราจะทำยังไงกันดีคะ นังเด็กนั่นมันจะลบชื่อบูรพเกียรติออก แถมยังจะปลดคุณคณินออกจากตำแหน่งประธานอีก นังเด็กเนรคุณ”
“แล้วตกลงเรื่องที่ริสาเป็นลูกสาวของคุณคณิน จริงหรือเปล่าครับ” ธเนศถามขัดขึ้น
กานดาชะงัก ตอนนี้ทุกคนคงรู้เรื่องพริริสาหมดแล้ว คณินเห็นกานดาอยู่ด้วยคงพูดอะไรไม่เต็มปาก
“กานดาคุณกลับไปก่อนเถอะ”
กานดาไม่พอใจ แต่เห็นธเนศกับธีภพอยู่ด้วยจึงไม่อยากอาละวาด กัดฟันจำใจคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากห้อง
ศจีเอาหูแนบประตูพยายามแอบฟังแต่ไม่ค่อยได้ยินอะไร จู่ๆ กานดาก็เปิดประตูออกมา ศจีสะดุ้งเล็กน้อย
“จะกลับแล้วเหรอคะ”
กานดาจ้องศจีตาเขียวรู้ว่าอีกฝ่ายคงแอบฟังอยู่
“อย่าสอดรู้ให้มันมากนัก”
ศจีอ้อมแอ้ม “สถานการณ์แบบนี้ ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ไหวนะคะคุณกานดา”
“ถ้ากลัวตกงานนักล่ะก็ รีบไปเลียแข้งเลียขานังริสามันซะเลยสิ”
กานดาสะบัดหน้าเดินออกไป ศจีได้แต่ถอนใจ
ธีภพตอบคำถามแทนคณินว่า “ผมยืนยันได้ครับว่าริสา คือ พริริสา ลูกสาวของคุณอาคณิน”
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อคุณคณิน”
“เขาคงโกรธเกลียดผมมาก เพราะผมเป็นพ่อที่เลว ไม่เคยเลี้ยงดูเขาอย่างที่พ่อสมควรกระทำ ไม่เคยพยายามทำอะไรเพื่อเขาเลย พีรดาพาพริริสาหนีไปพวกเขา สองคนแม่ลูกไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรกันบ้าง เขาถึงได้ทำได้แบบนี้”
“คุณอาพอจะทราบไหมครับว่าทำไมคุณพีรดาถึงพาริสาหนีไป ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับคุณอาเลย”
“นั่นสิ ถ้าพีรดาไม่พอใจ เขาคงไม่หนีหายไปนานขนาดนี้ คงมาเรียกร้องอะไรจากคุณตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว”
“ตอนนั้นผมให้คนช่วยตามสืบจนเจอพีรดากับริสา แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็หนีไปอีก จนคุณแม่มาบอกผมว่า...”
คณินเล่าว่าเมื่อ 17 ปีก่อน เขากลับมาบ้านด้วยหน้าตาอันหมองคล้ำเพราะไปตามหาลูกเมียทั้งวัน แต่ไม่เจอทั้งพีรดากับพริริสา จินตนานั่งอยู่ในห้องรับแขก รู้ทุกอย่างว่าคณินไปไหนมา
“เลิกตามหาพวกมันได้แล้ว มันไม่อยู่เจอแกหรอก”
“คุณแม่ทำอะไรกับพีรดากับลูกผม”
“ฉันคงไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะผู้หญิงที่แกรักนักรักหนา แต่ความจริงมันรักแต่เงินของแก มันทำทีไม่เรียกร้องอะไรก็เพื่อหลอกให้แกตายใจ แต่ฉันเสนอราคาที่มันพอใจ มันก็ไป แกอยากรู้ไหมว่าฉันเสียไปเท่าไหร่”
“ผมไม่เชื่อพีรดาไม่มีทางทำแบบนั้น”
“แกมันโง่คณิน นังนั้นมันยอมอุ้มท้องมีลูกก็เพื่อผลประโยชน์ พอมันได้สิ่งที่ต้องการมันก็ไป อย่าหวังเลยว่ามันจะกลับมาหาแก ป่านนี้มันคงเสวยสุขกับเงินล้าน ชุบตัวหาผัวใหม่ไปแล้ว”
คณินไม่อยากเชื่อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เสียใจ
ทางด้านกานดากลับเข้าบ้านมานั่งหน้าเครียด กลัวเรื่องชั่วๆ ในอดีตจะกลับมาเล่นงานตัวเอง กรนันท์ประคองจินตนาเข้ามาหา
“กานดาตกลงเรื่องที่บริษัทมันยังไงกันแน่”
“นั่นสิคะคุณแม่ มีคนบอกว่าคุณพ่อโดนปลดจากประธานบริษัท”
“ยัยเกรซออกไปก่อนแม่จะคุยกับคุณย่าเอง”
กรนันท์ไม่ยอม “มีเรื่องขนาดนี้คุณแม่จะไล่เกรซทำไมคะ เกรซก็เป็นบูรพเกียรติคนนึง ผลประโยชน์
ของครอบครัวเกรซก็ต้องรู้สิคะ”
กานดาเสียงแข็งใส่ “แม่บอกให้ออกไปก่อน”
กรนันท์เห็นแม่จริงจังขึงขังกว่าปกติ จึงยอมออกไปแบบกระฟัดกระเฟียด
“มันเรื่องใหญ่มากหรือไง”
“ค่ะ ตอนนี้นังริสามันกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไปแล้วค่ะคุณแม่”
จินตนาช็อก “มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“ที่สำคัญนังริสามันเป็น...”
กานดาอึกอักไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่า
“อะไร”
ดร.กฤษเดินเข้ามาหน้าเครียด
“ก็บอกไปสิว่าเด็กริสานั่น คือลูกสาวของคณิน ที่ทุกคนพากันขับไล่ไสส่ง จงเกลียดจงชังนักหนา”
กานดาตกใจ “คุณพ่อ”
จินตนาไม่เชื่อ “คุณเอาอะไรมาพูด”
“คณินโทร.มาบอกผมน่ะสิคุณหญิง”
“ลูกนังพีรดา แล้วมันกลายเป็นหุ้นใหญ่ไปได้ยังไง”
“มันได้เจ้าชายคามินคอยหนุนหลังให้ค่ะ”
กรนันท์ไม่ไปไหนไกล นางแอบฟังทุกอย่างอยู่แถวนั้นได้ยินก็ตกใจรีบปรี่ออกมา
“ไม่จริง เจ้าชายช่วยนังริสาทำไมคะ”
“ยัยเกรซ”
กรนันท์ไม่อาจรับได้ “มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ”
“เจ้าชายคามินโอนหุ้นทั้งหมดที่ซื้อไปกับเราให้กับริสา ยังจะมีอะไรเข้าใจผิดได้อีก”
กรนันท์นึกถึงคำพูดเยาะหยันของไคซัจในคืนก่อน
“ผมจะบอกคุณให้เอาบุญที่เจ้าชายยอมออกมากับคุณคืนนี้ มันก็เป็นแค่...”
“แค่อะไร”
“การเลี้ยงปลอบใจคุณล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง”
กรนันท์เพิ่งเข้าใจคำพูดของไคซัจ
“ไม่จริง...เกรซไม่เชื่อ เกรซไม่เชื่อ”
กรนันท์กรีดร้องโวยวายจนเป็นลมหมดสติล้มไปที่โซฟา
กานดากะจินตนาร้องลั่น “ยัยเกรซ”
“ใครก็ได้เอายาดมมาที” คุณหญิงร้องเรียกหาสาวใช้
ทุกคนต่างตกใจเข้าไปช่วยกันดูกรนันท์เป็นที่วุ่นวาย
ฝ่ายพริริสานั่งขึงคิดถึงเหตุการณ์ในห้องประชุมที่ตึกบูรพเกียรติ สีหน้าไม่ได้มีความสุขอย่างที่เคยคิดเอาไว้สักนิด คามินเดินเข้ามาเห็นท่าทางนั้นจึงได้โอกาสตอกย้ำ
“ตอนนี้บริษัทบูรพเกียรติก็กำลังจะโดนลบชื่อไป พวกอำนาจเก่าก็ถูกพิพากษาถอดออกไปจนหมด แม้แต่ตำแหน่งประธานก็ถูกเขี่ยกระเด็นออกไปด้วย ทำไมยังทำหน้าแบบนั้นอีก เราควรจะดีใจไม่ใช่หรือไงที่เล่นงานพวกบูรพเกียรติได้สำเร็จ”
พริริสารีบปรับสีหน้าไม่ให้เหลือความกังวลนั้น
“ยังหรอกค่ะ ริสายังรู้สึกดีใจอะไรไม่ได้เพราะมันยังไม่จบ แค่นี้มันยังไม่พอ ถ้าคิดจะตีงู อย่าแค่ตีให้หลังหัก แต่ต้องตีให้ตาย”
“ถ้างูพวกนั้นถูกตีจนตายหมดอย่างที่เราต้องการจริงๆ จะมีความสุขมากกว่านี้ ใช่ไหมริสา”
พริริสาไม่ยอมตอบ เพราะไม่รู้เช่นกันว่าหล่อนจะมีความสุขจริงไหม แต่จะให้หยุดตอนนี้ก็คงทำไม่ได้
คามินเดินหน้าเครียดออกมาที่หน้าห้อง ไคซัจยืนรออยู่ สังเกตเห็นสีหน้านั้นก็ดูออกเอ่ยขึ้นว่า
“คงไม่ใช่แค่เจ้าหญิง ที่ไม่มีความสุขกับการจัดการพวกบูรพเกียรติ”
“ฉันกำลังคิดว่าการช่วยเหลือริสาให้ทำเรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่า”
“ถ้านึกถึงสิ่งที่คนพวกนั้นได้ทำได้ไว้กับเจ้าหญิงและพระชายาในอดีต กระหม่อมเห็นว่าสมควรแล้วที่พวกเขาจะต้องได้รับสิ่งเหล่านี้ ไม่อย่างงั้นพวกเขาก็คงไม่มีวันสำนึกกับสิ่งที่เคยก่อไว้”
“ฟังดูก็เหมือนจะยุติธรรมดี ทำให้คนพวกนั้นได้รับบาปที่ตัวเองก่อ แต่คนของเราก็กลายเป็นคนที่ก่อบาปกับครอบครัวของตัวเองเนี่ยนะ” คามินไม่สบายใจอยู่ดี
“ครอบครัวของเจ้าหญิงคือท่านราอิลและเจ้าชาย บ้านของเจ้าหญิงคือไทรจีส ไม่ใช่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
คามินฟังที่ไคซัจพูดเตือน ก็พยายามบอกตัวเองให้คิดแบบนั้นไว้
เสียงโทรศัพท์ไคซัจดังขึ้น ไคซัจหยิบขึ้นมาดู เห็นชื่อกรนันท์ก็ทำหน้าเบื่อหน่าย
“คุณเกรซพ่ะย่ะค่ะ คงโทร.มาเพราะเรื่องวันนี้”
“รู้ใช่ไหมต้องทำยังไง”
คามินเดินออกไป ไคซัจกดตัดสายทิ้งทันที
ที่บ้านบูรพเกียรติ สาวใช้ยกชามาเสิร์ฟให้ จินตนาและดร.กฤษ ซึ่งต่างมีสีหน้าเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น จู่ๆ เสียงกรนันท์กรี๊ดดังขึ้นมาลั่นบ้าน สาวใช้ตกใจเกือบทำแก้วหลุดมือ
จินตนาและดร.กฤษก็พลอยตกใจไปด้วย จินตนาเป็นห่วงหลานรักขยับจะลุกไปดู กฤษดึงเอาไว้
“ฉันจะไปดูหลาน”
“กานดาอยู่กับยัยเกรซไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
จินตนาหันสั่งสาวใช้ “ขึ้นไปดูคุณเกรซสิว่ามีอะไรหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบมาบอกฉันเลย”
“ค่ะ” สาวใช้วางแก้วชาเรียบร้อย รีบลุกออกไปตามคำสั่ง
จินตนากุมขมับ
“นังสองแม่ลูกนั่นมันกลับมาจองล้างจองผลาญพวกเรา”
“ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่ามันเป็นบาปเวรที่เราทำกับเขาไว้ มันตามกลับมาสนองเราแล้วล่ะ”
“พูดบ้าๆ พวกมันต่างหากที่โลภมากไม่รู้จักพอ ฉันให้เงินไปก้อนโต แต่มันกลับไม่สำนึกกลับมาเล่นงานครอบครัวเรา นังสองแม่ลูกนั่นต่างหากที่ต้องได้รับกรรม”
“ถ้าคุณอยากคิดแบบนั้นก็ตามใจ” กฤษลุกขึ้น “ขอให้คุณมีความสุขกับการหลอกตัวเองก็แล้วกัน”
“คุณจะไปไหน”
กฤษประชดว่า “ไปวัด ไปหาที่สงบๆ อยู่สักพัก บางทีใจที่มันร้อนรนตอนนี้จะได้บรรเทาลงบ้าง”
“คุณจะทิ้งฉันไว้คนเดียวแบบนี้เหรอ”
“ก็คุณมีความสุขกับการหลอกตัวเองมากกว่าจะยอมรับความจริงว่าทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ผมก็คิดว่าคุณหญิงน่าจะอยู่คนเดียวได้”
กล่าวจบกฤษก็เดินหนีไป ทิ้งคุณหญิงไว้ให้ทั้งโกรธทั้งเครียดหนักกว่าเดิม
โทรศัพท์มือถือกองเป็นขยะชิ้นหนึ่งอยู่ที่พื้นห้องนอน กรนันท์กอดกานดาร้องไห้หนักมาก
“นังริสามันกำลังจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเกรซใช่ไหมคะคุณแม่”
“ไม่มีทาง แม่จะไม่มีวันยอมให้ใครมันมาแย่งอะไรไปจากลูกแม่เด็ดขาด”
“คุณแม่ต้องช่วยเกรซ อย่าให้นังริสามันแย่งเจ้าชายไป”
กานดาได้แต่กอดธิดาสุดสวาทที่เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด แววตาเจ็บแค้นพริริสายิ่งกว่าเดิม
มิราเดินออกมาที่หน้าสถานีตำรวจแห่งนั้น พร้อมกับอธิรุธ
“สุดท้ายก็ไม่เห็นจะได้อะไรสักอย่าง คุณนี่ไม่มีวิธีให้พวกนั้นพูดได้เลยหรือไง คุณเป็นตำรวจประสาอะไร ทำให้คนร้ายสารภาพความจริงก็ไม่ได้ แบบนี้คนร้ายคงเดินลอยนวลอยู่เต็มถนน”
อธิรุธแคะล้างหู “ถ้าเจ้าสองคนนั้นพูดมากเหมือนคุณก็คงดี”
มิราหงุดหงิด “นี่ไม่ตลกนะ”
“คุณเองพูดอะไรก็ให้เกียรติผม ให้เกียรติตำรวจไทยบ้าง ผู้ร้ายปากแข็งยังไงผมก็ต้องทำให้พวกมันพูดให้ได้ ว่าแต่เจ้าหญิงของคุณเถอะ หนีไปทำธุระส่วนตัวเสร็จหรือยังล่ะ ผมจะได้กลับไปทำงานตามหน้าที่ เล่นหนีกันไปดื้อๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ผมได้โดนเล่นงานแน่”
“ริสาอยู่กับเจ้าชายคามิน ไม่มีอะไรหรอกน่า”
เสียงโทรศัพท์มิราดังขึ้น
“ใครโทร.มาตอนนี้เนี่ย”
มิราดูสายที่โทร.เข้ามาแล้วต้องตกใจสุดขีด เพราะพระชายาพีรดาโทร.มา อธิรุธมองฉงน
มิราพกความเครียดดูออกว่าไม่สบายใจเอามากๆ ขณะรีบร้อนเดินตามทางเดินจนมาถึงหน้าห้องพักของโรงแรมหรูแห่งนี้ มิราเคาะประตูห้อง หญิงรับใช้เปิดประตูให้มิราเข้าไป
มิราเดินเข้ามาในห้อง เห็นพีรดายืนหันหลังอยู่ หันมาหามิรา
“พระชายา ทำไมถึงเสด็จมาเงียบๆ แบบนี้ล่ะเพคะ”
“ถ้าไม่รู้เรื่องริสาเข้าไปที่บูรพเกียรติ ฉันก็คงไม่มาถึงที่นี่แน่ ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันมิรา ที่ว่าริสาหนีไปเที่ยว ไปช่วยงานคามินเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดใช่ไหม”
มิราหน้าเจื่อนที่พีรดารู้เรื่องแล้ว
“เรื่องนี้หม่อมฉันว่า...ให้ริสาหรือเจ้าชายคามินเป็นคนเล่า”
“ถามสองคนนั้นฉันคงไม่ได้ความจริง คามินก็คงช่วยริสาปกปิดเรื่องนี้ต่อไป” พีรดาขอร้องดีๆ “เล่ามาตามความจริงเถอะมิรา คนเป็นแม่อย่างฉันไม่อยากให้ลูกสาวทำผิดมากไปกว่านี้”
มิราเครียดจัด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี
หมวดทัดรายงานเรื่องพริริสากับธีภพและอธิรุธที่เพิ่งกลับมาถึงเซฟเฮาส์
“ตอนนี้เจ้าหญิงอยู่ที่สถานทูตไทรจีส” อธิรุธแปลกใจ
“ครับ ทางโน้นบอกผมมาว่าเขาจะดูแลเจ้าหญิงเอง เพราะอีกไม่กี่วันเจ้าหญิงกับเจ้าชายคามินก็จะเดินทางกลับแล้ว”
“ขอบใจหมวด งั้นเราก็แสตนด์บายรอคำสั่งผู้การทางนี้ก็แล้วกัน”
“ครับ” หมวดทัดเดินออกไป
อธิรุธหันมามองธีภพที่กำลังครุ่นคิดว่าพริริสายังคิดจะทำอะไรอีก
“เขาคงพยายามกันฉันออกไปเหมือนวันนี้”
“งั้นก็ดี”
“ดียังไง นายไม่เห็นเหรอว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง”
“นายอยากแก้ไขเรื่องนี้ไม่ใช่หรือไง ถ้ามัวแต่ต้องมาเกาะติดกับเจ้าหญิง นายจะรู้ความจริงไหมวะ”
ธีภพมองอธิรุธอย่างแปลกใจ อีกฝ่ายยักคิ้วให้ บอกเป็นนัยว่ามีทางช่วยเพื่อนให้ได้ความกระจ่าง
สองนักเลงคนของกานดา เดินคุยกันออกมาที่บริเวณหน้าชุมชนที่อาศัยอยู่
“ฉันคิดว่าจะโดนจับเข้าซังเตซะแล้ว”
“ตำรวจจะมาจับอะไรพวกเรา เจ้าทุกข์ก็ไม่มี เราไม่พูดซะอย่างใครมันจะทำอะไรได้ แต่เพื่อความปลอดภัยพวกเราหลบไปสักพักดีกว่า” ชายที่เป็นลูกพี่ว่า
นักเลงลูกน้อง พยักหน้าเห็นด้วย
จู่ๆ ก็มีรถตู้มาจอดขวางดักหน้าสองคนเอาไว้ ทั้งคู่ไม่รู้ว่าผู้กองอธิรุธกับหมวดทัดใส่โม่งดำพรางตัวลงรถมาโดยเร็วล็อคตัวทั้งคู่ไว้
“เฮ้ย! อะไรวะ” นักเลงลูกพี่ร้องโวยวาย
ทั้งคู่ดิ้นรนขัดขืนต่อสู้เต็มกำลัง แต่ถูกอธิรุธและหมวดทัดเล่นงานจนจุก และลากสองนักเลงขึ้นรถตู้ไป
อธิรุธและหมวดทัดอัดเอาหลายหมัดจนจุกขัดขืนต่อไม่ไหว
“พวกแกเป็นใคร” นักเลงลูกพี่ถาม
“คุณนายสั่งมา” อธิรุธว่า
นักเลงลูกน้องตกหลุมพราง “เฮ้ย คิดจะปิดปากกันง่ายๆ แบบนี้เหรอวะ”
อธิรุธเล่นบทต่อ “คุณนายไม่ไว้ใจพวกแกแล้ว”
“พวกเราทำงานให้ขนาดนี้ ยังจะไม่ไว้ใจอีกเหรอวะ” นักเลงลูกพี่โมโห
หมวดทัดหยิบปืนออกมา คนของกานดาพากันตกใจ
“ให้พวกเราคุยกับคุณกานดาก่อน มันต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ พวกเราไม่เคยหักหลัง ขนาดเรื่องสิบกว่าปีก่อนพวกเรายังไม่เคยพูดออกไปเลย” นักเลงลูกพี่ว่า
อธิรุธและหมวดทัดพากันชะงัก
ที่นั่งตอนหน้าในตำแหน่งคนขับรถตู้คันนี้ เห็นเป็นธีภพใส่หมวดปิดหน้านั่งรอฟังความจริงอยู่
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงนรี ตอนที่ 11 (ต่อ)
รุ่งเช้า กรนันท์ในสภาพหน้าตาหมองคล้ำตาบวมช้ำ ผ่านการร้องไห้มาทั้งคืนจะออกจากบ้าน คณินเดินออกมาพอดีเห็นลูกสาวก็รีบทัก
“ยัยเกรซจะไปไหน”
“เกรซจะไปหาเจ้าชาย จะไปคุยให้รู้เรื่อง”
“ถึงขนาดนี้แล้ว เรายังจะไปคุยอะไรกับเขาอีก”
“เกรซก็อยากจะรู้ว่านังริสามันใช้เล่ห์มารยาสาไถย์แบบไหน เจ้าชายถึงได้ลงทุนกับมากมายขนาดนี้”
“อย่าเรียกพี่เขาแบบนั้น”
กรนันท์ยิ่งโกรธ “พี่! เกรซไม่เคยมีพี่ เกรซเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อ เป็นหลานคนเดียวของบูรพเกียรติ”
“ฉันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่นี่อยู่แล้ว”
พริริสาและทนายเดินเข้ามา มีสาวใช้เดินนำมา กรนันท์เห็นก็บันดาลโทสะ ปรี่เข้าไปทำร้าย
“แกกล้าเสนอหน้ามาถึงที่นี่เลยเหรอ”
คณินรีบดึงกรนันท์เอาไว้ กานดาเดินเข้ามา
“ยัยเกรซเสียงดังอะไรกันลูก”
กานดามองไปเห็นพริริสายืนอยู่กับทนาย ก็จ้องเขม็งอย่างเกลียดชัง
พริริสานั่งเผชิญหน้ากับพวกบูรพเกียรติพร้อมหน้า กานดา กรนันท์ และจินตนา จ้องมองพริริสาอย่างเกลียดชัง ในขณะที่คณินและดร.กฤษมองพริริสาอย่างรู้สึกผิด สาวใช้ยกน้ำเข้ามาเสิร์ฟให้พริริสา
“ยกกลับไป มันไม่ใช่แขกที่คนบ้านนี้อยากต้อนรับ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้”
สาวใช้ยืนงุนงงชั่วครู่ ก่อนเดินออกไปตามคำสั่งจินตนา
“คุณแม่ ยังไงริสาก็เป็น...”
พริริสาตัดบท “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาลำดับญาติกับใคร”
กรนันท์แดกดันบิดา “ได้ยินชัดไหมคะคุณพ่อ”
“แล้วแกมาที่นี่ทำไม ได้หุ้นไปบูรพเกียรติไปแล้ว แกจะเอาอะไรอีก”
พริริสายิ้มเยือกเย็น ทนายหยิบสัญญาจำนองบ้านของคณินออกมาวางลงบนโต๊ะ
“ฉันเป็นตัวแทนมาทวงหนี้ที่เหลืออยู่”
“แกเอาอะไรมาพูด”
จินตนาแผดเสียงใส่ ก่อนจะดึงสัญญาจำนองบ้านมาเปิดดู ในขณะที่คณินและดร.กฤษต่างรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จินตนาเห็นสัญญาจำนองบ้านถึงหน้าถอดสี
ธีภพขับรถมาตามทาง มุ่งหน้าไปยังสถานทูตไทรจีส เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นอธิรุธโทร.เข้ามา ธีภพกดบลูทูธรับสาย
“ฉันกำลังจะไปที่สถานทูต...ว่าไงนะ ริสาไปบ้านอาคณินแล้ว ได้...ฉันจะรีบไปที่นั่น”
ธีภพหาที่กลับรถเปลี่ยนทิศทางไปบ้านคณินแทน
กรนันท์ไม่รู้เรื่องสถานการณ์การเงินของครอบครัว
“เงินแค่ 50 ล้าน แกคิดพวกเราจะไม่มีปัญญาจ่ายหรือไง จริงไหมคะคุณย่า”
พริริสายิ้มเยาะสมเพชกรนันท์
เห็นทุกคนต่างนิ่งเงียบกรนันท์ชักใจเสีย
“นี่ตกลงเราไม่มีเงินใช้หนี้จริงๆ เหรอคะ”
กานดาดึงกรนันท์ให้หยุดพูด
ทนายเอ่ยขึ้น “คุณคณินเอาที่ดินและบ้านหลังนี้ไปจำนองไว้ แต่คุณไม่เคยส่งดอกเบี้ยตามที่ตกลงกัน ตอนนี้ใกล้ถึงกำหนดที่จะต้องไถ่ถอน เราถึงต้องมาที่นี่”
กฤษมองหน้าพริริสาด้วยความสงสัย “แล้วเธอเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
พริริสาไม่ตอบ ให้ทนายเป็นคนพูดแทน
“พวกคุณคงไม่รู้ว่าเจ้าหนี้ตัวจริงเงินก้อนนี้ของคุณคณินก็คือเจ้าชายคามิน แล้วเจ้าชายก็ได้ยกหนี้สินก้อนนี้ให้กับคุณพริริสาเป็นคนจัดการ”
พริริสาเสริมว่า “ฉันถึงต้องมาคุยเรื่องหนี้สินและบ้านหลังนี้ว่า พวกคุณเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรเลย”
ทุกคนยิ่งพากันตกใจ
กรนันท์โวยลั่น ไม่เชื่อ “คุณพ่อมันโกหกใช่ไหมคะ เราจะไม่เหลืออะไรเลยได้ยังไง”
“ริสา พ่อว่าเราน่าจะมีวิธีพูดคุยกันได้”
พริริสาทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดใจกับสรรพนามที่คณินใช้แทนตัวเอง
“อย่าให้ความจนตรอกมาบังคับตัวเอง จนต้องยกความเป็นพ่อมาร้องขอความเห็นใจจากคนที่คุณไม่เคยต้องการเลยค่ะ คุณคณิน”
คณินพยายามอธิบาย “ใครบอกว่าพ่อ...”
กานดาร้อนตัวกลัวความลับแตก รีบโวยวายกลบเกลื่อน แทรกขึ้น
“ที่แท้แกกลับมาที่นี่เพราะอยากประกาศตัวให้ใครต่อใครรู้สินะว่าเป็นบูรพเกียรติ ที่แม่แกดิ้นรนหาหนทางจับคุณคณินก็เพื่อวันนี้ มันคงอยากให้แกมาตะโกนอ้างสิทธิ์ให้คุณคณินเรียกแกว่าลูกจนตัวสั่นสิท่า”
“อย่ามาดูถูกแม่ฉันนะ” พริริสาโกรธจัด
“ทำเป็นรับความจริงไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่ไม่มีใครต้องการพวกแก แต่ก็ยังกระเสือกกระสนทำเรื่องเลวๆเพื่อให้คนที่นี่จนตรอก จำใจต้องยอมรับแกกับแม่ของแก” กานดารู้ดีว่าพีรดาคือจุดอ่อนของพริริสา
คณินตวาด “หยุดได้แล้วกานดา”
“ฉันไม่หยุด จนกว่ามันจะออกไปจากที่นี่”
พริริสาและกานดาจ้องตากันเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร
ฟากคามินนั่งดื่มกาแฟอยู่ในสวนสวยของสถานทูต รู้สึกสังหรณ์ใจจนดื่มไม่ลง ไคซัจยืนรับใช้อยู่สังเกตเห็น
“เป็นห่วงเจ้าหญิงใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ ต้องไปเผชิญหน้ากับพวกบูรพเกียรติทั้งบ้านแบบนั้น ฉันไม่น่ายอมให้ริสาไปที่บ้านนายคณินตามลำพังเลย”
ไคซัจเองก็นึกเป็นห่วงพริริสาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
คามินนึกได้ “จริงสิ ฉันไม่เห็นมิราตั้งแต่เมื่อวาน”
“กระหม่อมก็ไม่ได้ติดต่อเธอเลย”
คามินและไคซัจต่างแปลกใจว่ามิราหายไปไหน
พริริสาถูกกานดาพูดยั่วเรื่องพีรดาก็ยิ่งโกรธ ยิ่งน้อยใจ
“ริสาพ่ออยากอธิบาย”
“ไม่จำเป็น ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังคำอธิบาย แล้วก็ไม่ได้อยากประกาศตัวว่าเป็นอะไรกับพวกคุณ ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่าอีกไม่นานชื่อบูรพเกียรติ ที่พวกคุณใช้เชิดหน้าชูตาในสังคม สร้างความภูมิใจให้ตัวเองนักหนา อีกไม่นานมันจะเหลือแค่ครอบครัวที่มีแต่ตัวเปล่าๆ ไม่มีเงิน ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีที่จะไปดูถูกหรือเหยียบย่ำใครเขาได้อีก”
กานดา จินตนา และกรนันท์โกรธจนตัวสั่น
เสียงอันคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“พอได้แล้วริสา” พีรดาเดินเข้ามา
ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึงคาดไม่ถึง พริริสาตกใจมากลุกพรวดขึ้น
“แม่”
มิราและหญิงรับใช้เดินตามเข้ามา พีรดาเดินเข้ามาหาลูกสาวอย่างไม่พอใจ “แม่ไม่คิดเลยว่าลูกจะมาที่นี่เพื่อทำอะไรแบบนี้ เราเคยสัญญากันเอาไว้ ว่าจะทิ้งอดีตไปให้หมด แต่ลูกไม่เคยทำมันได้เลยใช่ไหมริสา”
มิราใจหาย มองพริริสาอย่างรู้สึกผิด
“ท่านทราบเรื่องหมดแล้วล่ะริสา”
“หยุดเถอะนะลูก ยังไงซะคนที่ลูกพยายามจะทำร้ายเขาก็เป็น...พ่อของลูก”
เพลิงแค้นยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจพริริสา “เขาไม่มีคุณสมบัติจะเป็นพ่อของริสาหรอกค่ะ”
คณินเจ็บปวดเหลือเกินกับคำพูดลูก กานดายิ้มเยาะสะใจ
กฤษสุดทน และไม่ชอบท่าทีหยิ่งผยองดังกล่าว “ถึงจะปฏิเสธยังไง เธอก็หนีความจริงข้อนี้ไปไม่ได้หรอก คณิน บูรพเกียรติ คือพ่อแท้ๆ ของเธอ ไม่ว่าเธอจะเกลียดพวกเราสักแค่ไหน แต่ในตัวเธอก็มีเลือดของบูรพเกียรติอยู่ครึ่งหนึ่ง”
“คิดว่ายกข้อนี้มาอ้างก็จะลบเรื่องที่พวกคุณทำไว้กับพวกเราสองคนได้งั้นเหรอ”
ท้ายประโยคพริริสาตวัดสายตาจ้องไปที่จินตนาและกานดาเขม็ง
พีรดาอยากจบเรื่องนี้ไวๆ ขอร้องลูกดีๆ
“แม่ขอเถอะริสา คืนทุกสิ่งที่ทุกอย่างให้เขาไป แล้วเราก็กลับไปที่ของเรา”
“ไม่ค่ะ ยังไงพวกบูรพเกียรติก็จะต้องได้รับสิ่งที่พวกเขาทำไว้”
คณินเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้น “ริสา พ่อขอโทษ”
พริริสายิ้มเยาะ “คิดว่าคำขอโทษมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เหรอคุณคณิน พวกคุณเคยบีบให้พวกเราจนตรอก วันนี้พวกคุณก็ต้องเจอแบบนั้นบ้าง มันถึงเวลาที่พวกคุณจะต้องโดนคนอื่นเหยียบย่ำซ้ำเติม หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้รับรู้ถึงความทุกข์ความทรมานของคนอื่นบ้าง”
พีรดาทนเห็นลูกสาวทำเรื่องเลวร้ายกับบุพการีต่อไปไม่ได้ ตบหน้าพริริสาอย่างแรง
“แม่ไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดแบบนี้”
พริริสาตกใจเสียใจจนน้ำตาร่วงพรู มองพีรดาอย่างน้อยใจ พีรดาผู้ซึ่งไม่เคยลงมือตีเธอเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับตบหน้าตนเพื่อปกป้องพวกบูรพเกียรติ
กรนันท์สะใจ “สมน้ำหน้า แม้แต่แม่แกยังไม่เข้าข้างแกเลย”
พีรดาสงสารลูกจับใจ จะเข้าไปหา แต่พริริสาถอยหนี
“ริสาไม่คิดเลยว่าแม่จะเข้าข้างพวกที่ทำร้ายเรามากกว่าลูกของตัวเอง”
“ริสา แม่ขอโทษ มันไม่ใช่แบบนั้นนะ”
พริริสาทั้งน้อยใจทั้งเสียใจทนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ไหว หอบน้ำตาวิ่งหนีออกไปจากห้อง
“ริสา”
พีรดาจะตามแต่เกิดวูบ รู้สึกเวียนหัวหน้ามืด มิราและหญิงรับใช้รีบเข้าไปประคอง
“พาฉันไปหาริสาที”
มิราและหญิงรับใช้รีบประคองพาพีรดาออกไป
พริริสาวิ่งออกมาที่หน้าตึกขึ้นรถที่จอดอยู่ขับออกไปอย่างแรง มิราและหญิงรับใช้ประคองพีรดาตามออกมา แต่ไม่ทันแล้ว
“ริสา”
“เอายังไงดีเพคะ”
คณินรีบตามออกมา กานดาตามมาติดๆ
“ผมจะไปตามลูกเอง”
“ฉันไม่ให้ไป
กานดาเกาะแขนคณินดึงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จดสายตามองมองพีรดาราวกับจงอางหวงไข่
ฝ่ายพริริสาขับรถเลี้ยวออกจากบ้านคณินด้วยน้ำตานองหน้า รถธีภพแล่นมาถึงบริเวณริมรั้วหน้าบ้านพอดี เห็นรถพริริสาเลี้ยวออกจากบ้านคณินไปอย่างรวดเร็ว
“ริสา”
ธีภพรีบขับรถตามพริริสาไปโดยไว
พริริสาขับรถมาด้วยความเร็วสูง ทั้งเสียใจ น้อยใจ แค้นใจ น้ำตาร่วงพรู เสียใจเหลือแสนที่ถูกแม่ตบหน้าด่าว่าอย่างรุนแรง
“แม่ไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดแบบนี้”
พริริสาเร่งเครื่องขับเร็วขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ธีภพเห็นพริริสาเร่งความเร็วขึ้นก็ยิ่งเป็นห่วง ขับตามไปตลอดทาง
อาการพริริสายามนี้เหมือนคนที่ขาดสติ คำพูดเหยียดหยันของกานดาผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด
“ที่แท้แกกลับมาที่นี่เพราะอยากประกาศตัวให้ใครต่อใครรู้สินะว่าเป็นบูรพเกียรติ ที่แม่แกดิ้นรนหาหนทางจับคุณคณินก็เพื่อวันนี้ มันคงอยากให้แกมาตะโกนอ้างสิทธิ์ให้คุณคณินเรียกแกว่าลูกจนตัวสั่นสิท่า”
คณินเอ่ยออกมา “ริสา พ่อขอโทษ”
จู่ๆ มีรถคันหนึ่งพุ่งจากทางแยกมาตัดหน้ารถพริริสาในระยะกระชั้นชิด พริริสาตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน หักพวงมาลัยหลบเบี่ยงเข้าข้างทางอย่างรวดเร็ว รถเสียหลักพุ่งไปชนเสาไฟบริเวณนั้นอย่างแรง
ธีภพขับรถตามมาติดๆ เห็นเหตุการณ์ถึงกับตกใจสุดขีด
“ริสา”
ธีภพเบนรถลงจอดข้างทางบริเวณนั้น รีบลงไปดูพริริสา
รถพริริสาชนเข้ากับเสาจอดนิ่งสนิท ธีภพวิ่งมาที่รถเปิดประตูด้านคนขับ
“ริสา”
พริริสาก้มหน้าอยู่กับพวงมาลัย ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย ความตกใจและความเศร้าเสียใจถั่งโถม เมื่อเห็นธีภพเธอจึงโผเข้ากอดเขาไว้แน่นราวกับเห็นเป็นที่พึ่งสุดท้าย
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
พริริสากอดธีภพร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ธีภพโล่งที่พริริสาไม่ได้เป็นอะไร กอดปลอบโยน
“คุณไม่เป็นอะไรแล้ว”
ระหว่างนี้ ห่างออกไปไม่ไกลนัก เห็นรถจอดซุ่มดูอยู่เหมือนตามมาติดๆ กระจกรถคันดังกล่าวลดลงเผยให้เห็นเป็นอาซิสและลูกน้องกำลังมองมายังธีภพกับพริริสา และเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ
ไคซัจรีบมารายงานคามินในห้องรับรองของสถานทูต เรื่องพริริสาขับรถหนีออกไปจากบ้านคณินตามลำพัง
“แล้วมีใครตามพริริสาไปหรือเปล่า”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
คามินทั้งโกรธ ทั้งเป็นห่วง “ให้คนออกตามหาพริริสาให้เจอ”
“กระหม่อมจะออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มิราพาพีรดาและหญิงรับใช้เดินเข้ามาพอดี
“ผู้กองอธิรุธติดต่อมาแล้วค่ะ ตอนนี้ริสาอยู่กับคุณภพ ปลอดภัยดี”
“ท่านแม่” คามินตกใจ
ไคซัจโค้งเคารพ “พระชายา”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะคามิน”
คามินหน้าเจื่อนรู้ตัวว่าทำผิด ปกปิดเรื่องราวมากมายกับพีรดา หันไปมองไคซัจเชิงสั่งให้ตามไปดูพริริสา ไคซัจเข้าใจรีบโค้งคำนับแล้วเดินออกไป
คณินเป็นห่วงพริริสาเดินกลับไปเดินมาอย่างกังวลใจ กานดาและกรนันท์ได้แต่มองอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่จินตนาเริ่มสับสนกับสิ่งที่ตนทำไว้กับพีรดาและพริริสา จนปวดหัวหนักเหมือนสมองจะแตกเสียให้ได้ ลุกขึ้นจะออกไป
“คุณย่าจะไปไหนคะ”
“ย่าปวดหัว ขอขึ้นไปข้างบนก่อน”
“ปู่ก็เหมือนกัน”
กฤษและจินตนาเดินออกไปด้วยกัน กานดามองตาม เริ่มระแวงว่าจินตนาจะรู้ความจริง
คณินพึมพำอาการร้อนใจ “ป่านนี้ริสาจะเป็นยังไงบ้าง”
กรนันท์แหลมขึ้นมา “อาจจะขับรถพุ่งชนสิบล้อตายไปแล้วก็ได้มั้งคะ”
คณินโมโห “ยัยเกรซ แช่งพี่เขาแบบนั้นได้ยังไง”
“มันไม่ใช่พี่เกรซ”
คณินไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเดินหนีออกไปอีกคน ทิ้งให้กานดาอยู่กับกรนันท์สองคน
“ดูคุณพ่อสิคะคุณแม่”
กานดาลูบแขนลูบหลังกรนันท์ให้ใจเย็น ทั้งที่ในใจตัวเองกลับร้อนรุ่มดั่งเพลิงเผา
สองคนอยู่ในสวนสวยริมน้ำ พริริสายืนเหม่อมองออกไปในสายน้ำเบื้องหน้า ความเสียใจที่ขัดแย้งกับมารดาอย่างรุนแรงยังไม่หมดลง ธีภพยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่มองอย่างเป็นห่วง แต่ยังรักษาท่าทีนิ่งๆ ไว้
“ตอนนี้คุณมิราและพระชายาอยู่กับเจ้าชายคามิน อีกสักพักเจ้าชายคงส่งคนมารับคุณกลับสถานทูตไทรจีส”
“คุณคงโกรธที่ฉันหลอกคุณ แต่ต่อให้คุณกับแม่โกรธฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่ยอมเลิกรากับพวกบูรพเกียรติเด็ดขาด”
ธีภพเห็นแววตาเศร้าปนแค้นใจของพริริสาก็อดสงสารไม่ได้
“มีหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้นะริสา”
“คุณต่างหากที่ไม่รู้ว่าฉันกับแม่ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ถึงตอนนี้ชีวิตฉันกับแม่จะเปลี่ยนไปมาก แต่คนพวกนั้นไม่เคยเปลี่ยนไม่เคยสำนึกกับสิ่งที่ตัวเองทำไว้”
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณกับแม่อย่างที่คุณเข้าใจนะริสา”
พริริสาพาลพาโล จนคิดว่าธีภพเข้าข้างพวกบูรพเกียรติ
“คุณก็ดีแต่เข้าข้างคนพวกนั้น”
“เมื่อคืนผมไปเจอกับพวกที่มันคิดจะจับตัวคุณคราวก่อน พวกมัน คนที่อากานดาส่งมา”
พริริสายิ้มหยัน “ฉันรู้อยู่แล้วว่าพวกนั้นเป็นคนของใคร”
“แต่คุณไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นสารภาพอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
พริริสาชะงัก เริ่มสับสน
“พวกมันสารภาพว่าอะไร”
จู่ๆ อาซิสและลูกน้อง ก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมถือปืนเล็งใส่เดินเข้ามา
“ส่งตัวเจ้าหญิงมา”
ธีภพรีบขยับเอาตัวยืนบังพริริสาเอาไว้โดยไว
อีกฟาก คุณหญิงจินตนาเดินหน้าซีดออกมากับดร.กฤษ มาหยุดยังสวนสวยข้างบ้าน
“นังเด็กนั่นมันไม่รู้หรือไงว่าแม่มันร้ายกาจขนาดไหน หรือแม่มันไม่ยอมบอกว่าเรียกร้องอะไรจากพวกเราไปบ้าง”
“คุณหญิงพูดเรื่องอะไร”
“ถึงฉันจะตามราวีนังพีรดาไม่ให้มาเจอกับคณินอีกก็จริง แต่นังพีรดามันก็เรียกร้องเงินจากฉัน 5 ล้านเชียวนะคุณ”
กฤษรับฟังอย่างแปลกใจ “ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
จินตนาอ้ำอึ้งไม่อยากพูดถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อในอดีตอีก
ธีภพมองประเมินท่าทีของอาซิสกับลูกน้องอย่างใจเย็น สองคนเดินย่างสามขุมเข้ามาจนใกล้ อาซิสเห็นธีภพถนัดตาก็จำได้ว่าเคยถูกธีภพยิง และยังแค้นไม่หาย
“ส่งตัวเจ้าหญิงมา” อาซิสบอก
“แกก็รู้ว่าไม่มีทาง”
อาซิสหัวเราะในลำคอ “งั้นฉันก็ส่งแกลงนรกไปก่อน แล้วค่อยเอาตัวเจ้าหญิงไปก็ได้”
ธีภพได้จังหวะเข้าไปล็อกมืออาซิสข้างที่ถือปืนอยู่ หักให้หันไปทางลูกน้อง บังคับให้อาซิสลั่นไกปืน จนลูกน้องต้องรีบกระโจนหลบกระสุนที่พุ่งมาหาตนวุ่นวาย พริริสาตกใจรีบหลบ
ธีภพแย่งปืนมาได้ ยิงใส่อาซิสและลูกน้อง โดยไม่ให้ได้ทันตั้งตัว สองคนร้ายไทรจีส รีบกลิ้งตัวหลบ ธีภพวิ่งไปหาพริริสาพาวิ่งออกไปด้วยกัน อาซิสแค้นจัดควักปืนสำรองที่ซ่อนไว้อีกกระบอกออกมา
“ตามไป”
อาซิสกับลูกน้อง วิ่งตามธีภพและพริริสาไป
ธีภพพาพริริสาวิ่งหนีมาที่บริเวณริมท่าน้ำ อาซิสและลูกน้องไล่กวดตามมาติดๆ อาซิสหยุด ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องแยกไปอีกด้าน
ธีภพพาพริริสาวิ่งหนีมาอีกด้าน จู่ๆ ลูกน้องอาซิสก็โผล่มาดักหน้าและพุ่งเข้าชาร์จเล่นงานธีภพโดยไม่ให้ตั้งตัว ปืนในมือธีภพกระเด็นไป พริริสาตกใจ
“คุณภพ”
ลูกน้องอาซิสและธีภพต่อสู้กันอย่างสูสี อาซิสตามมาคอยเล็งแลจนสบช่องยิงใส่ธีภพ ในจังหวะที่พริริสาวิ่งเข้าไปหาธีภพพอดี
ธีภพกอดบังพริริสาไว้ทั้งตัว กระสุนจากปืนอาซิสยิงเข้าที่หัวไหล่ธีภพจังๆ เลือดกระฉูด พริริสาช็อก!
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงนรี ตอนที่ 11 (ต่อ)
อธิรุธกับหมวดทัดลงจากรถที่เพิ่งขับเข้ามาจอดในริมแม่น้ำ ช่วยกันมองหาพริริสาและธีภพ รถไคซัจแล่นมาจอดไล่ๆ กัน ไคซัจและองครักษ์รีบลงจากรถ ไคซัจตรงเข้าถามด้วยความเป็นห่วงพริริสา
“ผู้กอง เจ้าหญิงอยู่ที่ไหน”
อธิรุธหงุดหงิด กวนใส่ “ผมเพิ่งมาถึงก่อนคุณเสี้ยววินาทีแล้วผมจะรู้ไหม”
“ผู้กองอย่าเอาความปลอดภัยของเจ้าหญิงมาล้อเล่นดีกว่า”
อธิรุธย้อนกลับ “งั้นก็ถามตัวคุณเองว่าพวกคุณเล่นตลกอะไรกับการทำงานของพวกผมก่อน พวกผมมีหน้าที่อารักขาเจ้าหญิง แต่สิ่งที่พวกคุณทำคือพยายามกันเจ้าหญิงออกไปเอง ถ้าเกิดเรื่องจะมาโทษกันไม่ได้”
มีเสียงปืนดังขึ้น ทั้งสี่คนตกใจ รีบชักปืนออกมาเตรียมพร้อม
หมวดทัดมองไปทางเสียง “เสียงมาจากทางโน้นครับ”
ทั้งสี่รีบวิ่งไปตามเสียงปืน
ธีภพบาดเจ็บแต่ก็พยายามปกป้องพริริสาไว้พากันหนีมาที่ริมท่าน้ำ อาซิสทิ้งระยะเล็งปืนไปที่ธีภพเพื่อจะยิงซ้ำ พริริสาหันไปเห็นจับแขนธีภพแน่น
“คุณภพ”
ธีภพแปลกใจ “คุณจะทำอะไร”
“คุณภพโดด”
พริริสาตัดสินใจดึงร่างธีภพกระโดดลงแม่น้ำไปด้วยกัน เสียงปืนดังตามมาหนึ่งนัด อาซิสวิ่งตามมากระหน่ำยิงตามลงในแม่น้ำอีกหลายนัด
ใต้ผืนน้ำยามนี้ธีภพและพริริสากอดกันแน่น เสือกตัวหลบกระสุนที่พุ่งลงน้ำตามมาอีกหลายนัด
ธีภพเริ่มสังเกตเห็นว่าพริริสาซึ่งกลั้นหายใจอยู่หน้าซีดผิดปกติ รีบมองสำรวจจนพบว่าพริริสากุมที่สีข้างที่ถูกยิงมีเลือดซึมออกมา
พริริสาเสียเลือดมากและกำลังใกล้จะหมดสติ ธีภพเขย่าตัวเรียกไว้จนพริริสาคืนสติกลับมา แต่สำลักน้ำ กำลังจะขาดอากาศหายใจ ธีภพตัดสินใจประกบปากถ่ายเทอากาศให้พริริสา พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกที่ต้องการปกป้องเธอไว้อย่างสุดชีวิต ทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บอยู่เช่นกัน
ในห้วงความเป็นความตายนี้พริริสามองเห็นภาพในอดีตที่ผ่านมาระหว่างเธอกับธีภพผุดเข้ามาในหัวราวกับสายน้ำไหล
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในอุทยานไทรจีส ขณะลุกเดินหนีจากเฟรมภาพวาด อีกครั้งตอนถูกกรนันท์ขับรถพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วแรง ธีภพพุ่งมาถึงตัวพริริสาก่อนที่รถจะพุ่งมาชน ทั้งคู่ล้มไปอีกด้าน
ธีภพช่วยเธอไว้จากการถูกลอบยิงของกลุ่มกบฏ เขาดึงพริริสาหลบไปหลังรถที่จอดอยู่ กอดพริริสาไว้แน่นอย่างพร้อมจะปกป้องเธอ
ที่ลำธารหลังบ้านพักธีภพตัดสินใจปล่อยมือจากโขดหินที่จับอยู่ พุ่งตัวไปตามกระแสน้ำว่ายตามน้ำไป ในที่สุดธีภพก็คว้าตัวพริริสามาไว้ได้ และพาพริริสาเข้าฝั่ง
พริริสารับรู้ความรู้สึกของธีภพที่พยายามปกป้องตนมาตลอด แม้กระทั่งตอนนี้
ฝ่ายอาซิสพยายามสอดตามองหาร่องรอยพริริสาและธีภพ แต่ผิวน้ำนิ่งสนิท จนกระทั่ง อธิรุธ ไคซัจ หมวดทัดและองครักษ์วิ่งมา ลูกน้องหันเห็นรีบเข้าไปบอกอาซิส
“พวกตำรวจกับพวกองครักษ์มาครับ”
อาซิสเจ็บใจที่มีคนมาขวาง หลบออกไปพร้อมลูกน้องอย่างเสียดายโอกาส
ที่ใต้ผืนน้ำธีภพรอเวลากดแผลที่สีข้างพริริสาเอาไว้ จนเห็นว่าท่าทางพริริสาจะไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจพาพริริสาขึ้นมาเหนือน้ำ
พวก อธิรุธ ไคซัจ หมวดทัดและองครักษ์มาที่บริเวณริมน้ำ พยายามช่วยกันมองหาสองคน
ธีภพพาพริริสาขึ้นมาเหนือน้ำ เห็นพริริสาหมดสติไปในที่สุดก็ร้องขึ้นความความตกใจ
“ริสา”
กลุ่มอธิรุธหันไปทางเสียงเห็นทั้งคู่ลอยคออยู่ในน้ำก็ตกใจ
“ไอ้ภพ”
ไคซัจร้องลั่น “เจ้าหญิง”
ทุกคนรีบดิ่งไปที่บริเวณท่าริมน้ำเพื่อช่วยทั้งคู่
ไม่นานต่อมา เห็นรถพยาบาลแล่นเข้ามาจอดที่ทางเข้าอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
พริริสานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ไคซัจเดินตามมาอย่างร้อนใจและเป็นห่วงเหลือเกิน มองตามจนร่างพริริสาถูกพาเข้าไปด้านในห้อง พร้อมๆ กับประตูปิดลง
ธีภพอยู่บนเตียงไม่ยอมนอนลงเพราะใจเป็นห่วงพริริสามาก จนอธิรุธต้องกดธีภพให้นอนลง
“เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
“ฉันจะไปดูริสา”
“เจ้าหญิงอยู่ในมือหมอแล้ว นายเองก็ต้องให้หมอรักษาเหมือนกัน”
หมอเวรและพยาบาลผู้ช่วยเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“หมอขอดูแผลหน่อยนะครับ”
หมอกับพยาบาลเข้ามาดูอาการธีภพ ทำให้เขาต้องยอมจำนนนอนนิ่งรับการรักษา แต่ในใจเฝ้ากังวลแต่อาการบาดเจ็บของพริริสาเท่านั้น
ด้านจินตนานั่งอยู่ในสวนสวยท่าทีลังเลใจที่จะพูดเรื่องอดีตให้สามีฟัง
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะลังเลอะไรอีกคุณหญิง อยากให้บาปกรรมมันสนองพวกเรามากกว่านี้อีกหรือไง ยังไงซะเด็กริสานั่นก็เป็นลูกของคณิน เป็นหลานของเรา”
“คุณอย่ามาย้ำให้ฉันช้ำใจไปกว่านี้ได้ไหม”
จินตนาเครียดจัด ยอมเล่าความจริงให้สามีฟัง
“ตอนนั้นคณินจ้างคนตามหาสองแม่ลูกนั่นไม่เลิกรา ฉันกลัวนังพีรดาจะไม่ยอมปล่อยลูกเรา ก็เลยให้กานดาไปตกลงพูดคุยกับมัน”
เมื่อ 17 ปีก่อน กานดากลับเข้าบ้าน ตรงมาหาจินตนาที่นั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ
“มันว่ายังไงบ้าง”
กานดาแสร้งทำท่าลำบากใจ “มันบอกว่า ถ้าได้ 5 ล้าน มันกับลูกจะยอมหายสาบสูญไปจากชีวิตคุณคณินค่ะ”
“5 ล้าน” จินตนาอุทานลั่น ตามแรงโกรธ “ในที่สุดหางมันก็โผล่ ทำเป็นหลบหน้าไม่ยอมเจอให้คณินอาลัยอาวรณ์ ที่แท้มันก็อยากได้เงินก้อนโตนี่เอง”
“คุณแม่จะยอมมันเหรอคะ”
“5 ล้าน ก็ 5 ล้าน ให้มันรักษาสัญญาก็พอ”
จินตนาตัดใจ ยอมเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อจบปัญหา กานดาลอบยิ้มที่จินตนาหลงเชื่อคำพูดตน
จินตนาเล่าเหตุการณ์ในมุมของตนอีกว่า ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกพีรดาขูดรีดขอเงินถึง 5 ล้านบาท ในวันที่ตามกานดาไปที่บ้านพีรดา จินตนาจึงตรงไปกระชากสร้อยจากมือพีรดาคืน
“คนอย่างแกไม่คู่ควรกับของที่ลูกชายฉันให้สักนิด ถึงจะเป็นแค่สร้อยถูกๆ คนอย่างแกก็ไม่สมควรจะได้”
“คุณแม่”
“อย่ามากล้าดีเรียกฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมรับแกกับลูกของแกเด็ดขาด ฉันจะเอาสร้อยเส้นนี้ไปคืนคณิน”
จินตนาเดินกลับออกไป ปล่อยให้กานดายืนเหยียดยิ้มมองพีรดาอย่างเยาะหยัน
รออยู่ครู่หนึ่งกานดาจึงเดินตามออกมา คุณหญิงจินตนาลงจากรถเห็นใบหน้าชัดแจ้งว่ารังเกียจสถานที่แห่งนี้สุดจะประมาณ
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ดาทำตามคำสั่งคุณแม่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดี งั้นก็กลับกันได้ แม่ไม่อยากเห็นหน้านังเหลือบไรสองแม่ลูกนั่นอีก”
กานดาและจินตนากลับขึ้นรถไป
ถัดมา จินตนานั่งอยู่ในรถที่กานดาขับแล่นมาตามทาง ถามย้ำอีกว่า
“มันรับเงินไปแล้วจะทำตามสัญญาแน่นะ”
“แน่ค่ะคุณแม่”
กานดายิ้มมีเลศนัย แต่จินตนามัวแต่เคืองขุ่นพีรดาจึงดูไม่ออก
ดร.กฤษรับฟังเรื่องราวด้วยความเห็นใจพีรดาและพริริสามากขึ้น จินตนาคิดแค้นไม่หาย
“แต่สุดท้ายมันก็กลับมา นังสองแม่ลูกนั่นต่างหากที่มันทำร้ายพวกเรา ไม่ใช่ฉัน”
กฤษถอนใจไม่คิดว่าจินตนาจะโกหก แต่ติดใจว่า มันอาจจะมีอะไรแอบแฝงอยู่มากกว่านี้
ฝ่ายกานดานั่งกระวนกระวายใจอยู่ในห้องนอน สุดท้ายตัดสินใจลุกไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่องเครื่องเพชรออกมาเพื่อดูว่าตนเหลือสมบัติอะไรบ้าง กรนันท์ท่าทางร้อนใจเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“คุณแม่ มัวทำอะไรอยู่คะ”
“ก็ดูว่าเราเหลืออะไรบ้างน่ะสิ ทั้งหุ้นบริษัททั้งบ้านนังเด็กนั้นมันขโมยไปจนหมด แม้แต่พ่อเราอีกเดี๋ยวก็คงแล่นไปหามัน”
“ไม่เดี๋ยวล่ะค่ะ คุณพ่อไปแล้ว”
กานดายิ่งตกใจ “ว่าไงนะ ไปไหน”
กรนันท์หงุดหงิดใจไม่ยอมตอบ
คามินประคองพีรดาเดินมาตามทางเดินอย่างรีบร้อน พร้อมมิราและหญิงรับใช้ ทุกคนต่างพากันเป็นห่วงพริริสา พีรดาทำท่าจะเป็นลมเดินไปต่อไม่ไหว
“ท่านแม่”
“แม่ไม่เป็นไร เรารีบไปหาริสากันเถอะ”
ไคซัจเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา คามินฝากให้มิราช่วยประคองพีรดาไว้ แล้วปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อไคซัจท่าทางโกรธถึงขีดสุด
“ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แล้วหน่วยอารักขาที่ว่าทำงานดีนักหนาหายไปไหนกันหมด”
“คุณธีภพถูกยิงบาดเจ็บ หมอกำลังดูอยู่ครับ เป็นเพราะกระหม่อมเองที่ดูแลเจ้าหญิงได้ไม่ดีพอ”
คามินได้ยินอย่างงั้นก็ปล่อยมือจากคอเสื้อไคซัจ
“ฉันก็ต้องโทษตัวเองด้วยสินะ ที่ปล่อยให้ริสาทำอะไรตามใจจนเกิดเรื่องแบบนี้”
“ไม่ใช่เวลาจะมาโทษว่าเป็นความผิดใครหรอกเพคะ อาการของริสาต่างหากที่สำคัญที่สุด” มิราเอ่ยขึ้น
“แล้วริสาเป็นยังไงบ้างไคซัจ” พีรดาใจคอไม่ดี
ไคซัจหน้าเสียเพราะอาการพริริสาหนักกว่าธีภพมาก คามินและพีรดาต่างจ้องไคซัจรอฟังคำตอบเช่นกัน
“เจ้าหญิงเสียเลือดมาก ถูกพาไปที่ห้องผ่าตัดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนตกใจ พีรดาแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนต่อ จนมิราและหญิงรับใช้ต้องช่วยกันรับไว้
“พระชายา”
คามินและไคซัจรีบเข้าไปดูพีรดา
อีกฟากโลก กษัตริย์ราอิลนั่งอยู่ในห้องหนังสือและห้องทรงงานในวังไทรจีส สักครู่หนึ่งองครักษ์เดินเข้ามาหาแสดงการเคารพ
“ว่ายังไงติดต่อคามินกับพีรดาได้หรือยัง”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ”
ราอิลเริ่มไม่สบายใจ
“หรือจะเกิดอะไรขึ้น”
“กระหม่อมจะลองติดไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้ท่านเลขาธิการมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ราอิลพยักหน้าให้พาเข้ามาได้ องครักษ์เดินไปเปิดประตูให้ท่านเลขาเข้ามา
ท่านเลขาโค้งเคารพ พร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารให้ราอิล
“มีจดหมายจากนักธุรกิจหลายประเทศในยุโรปที่สนใจอยากร่วมธุรกิจสัมปทานเหมืองอัญมณีของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ราอิลพยักหน้าพอใจ “ถือว่าคามินคิดถูกจริงๆ ที่จะให้ไทรจีสเปิดการลงทุนกับต่างชาติเพิ่มขึ้น”
“กระหม่อมเห็นว่าถ้าเราจัดงานพูดคุยอย่างเป็นทางการจะทำให้พวกเขาตัดสินใจได้เร็วขึ้น จะเป็นผลดีกับไทรจีส รวมทั้งกลบเรื่องข่าวความไม่สงบตอนนี้ด้วย”
“แต่สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเราจัดงานใหญ่ จะเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า”
ราอิลไม่มั่นใจนัก ท่านเลขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
ที่เมืองไทย ทุกคนมารอที่หน้าผ่าตัดอย่างกระวนกระวายใจ พยาบาลท่าทางรีบร้อนออกมาจากห้องผ่าตัด คามินและพีรดารีบเข้าไปหา
“น้องสาวผมเป็นยังไงบ้าง”
“หมอกำลังผ่าตัดอยู่ค่ะ ตอนนี้ต้องมีการให้เลือดเพิ่มด่วน แต่คนไข้มีกรุ๊ปเลือดพิเศษหายาก เรากลัวว่าเลือดที่มีจะไม่เพียงพอ มีญาติคนไหนเลือดกรุ๊ปเอ อาร์ เอช เนกาทีฟ ตรงกับคนไข้บ้างคะ”
คณินรีบร้อนเดินเข้ามา
“ผมครับ ผมเป็นพ่อ ผมมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับลูก”
พีรดาชะงัก “คุณคณิน”
“ใครให้เขามาที่นี่”
คามินมองไคซัจตาขวาง คิดว่าเป็นคนบอกคณิน ไคซัจตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
“ผู้กองอธิรุธโทร.บอกผมเอง ผมเป็นพ่อของริสา เกิดอะไรขึ้นกับลูก ผมก็ต้องรับรู้ด้วยเหมือนกัน”
“ในกรณีให้เลือดฉุกเฉินแบบนี้ คนไข้อาจมีความเสี่ยงเรื่องการแพ้เลือดที่ให้ได้ ไม่ทราบว่า...”
คณินรีบตอบ “ถึงเสี่ยงแต่ช่วยลูกได้ผมยอมครับ ยังไงขอให้ช่วยลูกผมก่อนเถอะครับ”
คามินไม่ยอม “คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับเรื่องของริสา”
พีรดาจับแขนคามินห้ามไว้ ปล่อยปลงแล้วกับทุกอย่าง
“พอเถอะคามิน” พีรดาหันไปทางนางพยาบาล “จัดการตามสมควรเถอะค่ะ”
“งั้นเชิญคุณพ่อทางนี้ค่ะ”
คณินรีบเดินตามพยาบาลออกไป
คามินไม่พอใจ “ท่านแม่”
“ตอนนี้ขอเพียงริสารอดปลอดภัย แม่ยอมทุกอย่าง ยังไงเขาเป็นพ่อของริสา ให้เขาได้ทำอะไรเพื่อลูกบ้างก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอคามิน”
คามินได้ยินอย่างนั้นก็พอเข้าใจ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์สมัยวัยเด็กที่พริริสาเคยคิดถึงพ่อแท้ๆ ของตัวเองเสมอตอนอยู่ไทรจีส
คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เด็กหญิงพริริสายืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ยกมือพนมทำท่าอธิษฐานอะไรบางอย่างกับดวงจันทร์บนฟ้า เจ้าชายคามินโผล่หน้าเข้ามาใกล้ๆ แกล้งหลอกใส่
“แฮ่”
พริริสาตกใจ พอเห็นเป็นคามินก็ทำหน้าตูมใส่
“พี่คามินชอบแกล้งริสา”
“พี่ขอโทษ แอบมาอธิษฐานอะไรกับพระจันทร์”
“ริสาไม่ได้อธิษฐาน แต่มาถามพระจันทร์ต่างหาก”
“ถามพระจันทร์ ริสาถามเรื่องอะไร”
“ริสาถามพระจันทร์ว่าทำไมพ่อถึงไม่รักริสากับแม่ ทำไมต้องให้คนมาทำร้ายพวกเรา พี่คามินว่าพระจันทร์จะตอบที่ริสาถามได้ไหม”
คามินมองสงสารลูบผมเด็กหญิงปลอบโยน มองพระจันทร์เป็นเพื่อนพริริสาไป
พยาบาลนำเอาเอกสารมาให้พีรดาเซ็นยินยอม ทุกคนได้แต่หวังว่าเลือดของคณินจะช่วยพริริสาได้
ส่วนคณินนอนนิ่งบนเตียงให้เลือด เฝ้าคิดเป็นห่วงแต่พริริสา ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยได้ดูแลลูกสาวเลยแล่นเข้ามาจับหัวใจ
“ริสาลูกจะต้องไม่เป็นอะไร”
เลือดจากแขนคณินไหลรินหยดลงถุงทีละหยดๆ
พริริสาอยู่ในห้องผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก ทีมหมอและพยาบาลกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตเต็มอัตรา จอเครื่องวัดสัญญาณชีพ ยังน่าเป็นห่วงความดันของพริริสาตกลง เหลือแค่ 40
หมอเหลือบมองจอก่อนตัดสินใจ
“ขอเลือดเพิ่ม”
พยาบาลเปลี่ยนถุงเลือดให้พริริสา เป็นเลือดของคณิน
พริริสานอนนิ่งบนเตียง สีหน้าใต้เครื่องช่วยหายใจ เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน
พริริสาพบว่าตัวเองเดินเข้ามาในบ้านเช่าที่เคยอยู่กับแม่ตอนยังเด็ก ราวกับได้ย้อนกลับไปในอดีตอีกคำรบ พริริสาเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
“ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ที่โต๊ะในบ้าน มีรูปวาดสมัยเด็กๆ ที่พริริสาเคยวาดรูปพ่อวางอยู่ที่เก่า พริริสาเดินไปหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นภาพอดีตซ้อนเข้ามา
พีรดาเข้ามาดูพริริสาที่กำลังวาดรูปอยู่
“วาดอะไรอยู่น่ะริสา”
“ริสาวาดรูปตัวเองรูปแม่ แล้วก็กำลังจะวาดรูปพ่อ แต่ริสานึกไม่ออกจะวาดพ่อออกมายังไง...แม่จ๋า แล้วพ่อจะรักริสาเหมือนที่แม่รักริสาไหมนะ”
พริริสามองดูรูปพ่อที่ตนเคยวาดไว้ด้วยดวงตาเศร้า
“ริสาเกลียดเขา เกลียดคนใจร้าย เขาไม่เคยรักริสากับแม่เลย”
น้ำตาแห่งความอัดอั้นไหลรินออกมา
จู่ๆ เสียงเรียกอ่อนโยนของคณินดังขึ้นมา
“ริสาลูกพ่อ”
พริริสาได้ยินเสียงเรียกนั้นลอยมาจากด้านนอก
พริริสาเดินมาที่สนามเด็กเล่น นึกแปลกใจว่าเธอเดินมาที่นี่ได้อย่างไร
ที่นั่นเห็นเพื่อนในวัยเด็กของพริริสาวิ่งเล่นกันอยู่ เด็กหญิงเข้ามาจับมือพริริสาอย่างคุ้นเคย
“ริสา ไปเล่นชิงช้ากัน”
พร้อมกับว่าเด็กหญิงดึงพริริสาไปนั่งที่ชิงช้า แล้วหยิบอมยิ้มส่งให้พลางยิ้มบอก
“ลุงใจดีเอาขนมมาให้”
พริริสาแปลกใจ “ลุงใจดี”
เด็กหญิงคนดังกล่าวเดินไปแกว่งชิงช้าให้ มันทำให้พริริสานึกถึงอดีตเหตุการณ์ที่เธอหลงลืมไปแล้วกลับกระจ่างขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
คณินที่คอยมองลูกอยู่ตกใจ รีบเข้าไปประคองพริริสาไว้ ไม่ให้หน้าคะมำ
“ริสาไม่เป็นไรนะลูก”
พริริสามองหน้าคณินอย่างงุนงง เพราะไม่เคยเจอกับพ่อมาก่อนเลยในชีวิต
“นี่พ่อเอง พ่อของหนูไง”
คณินดึงพริริสามากอดไว้
“พ่อ” พริริสาอยู่ในอาการงงๆ ปนดีใจขณะกอดตอบ
แม้เลือนราง พริริสาเริ่มจำได้ว่าคณินเคยมาหาตน
“พ่อ”
ความรัก ความอบอุ่นที่เคยโหยหา แผ่ซ่านเป็นริ้วๆ ขึ้นมาในใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงนรี ตอนที่ 11 (ต่อ)
พริริสานอนนิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด ร่างกายรับเลือดของคณินทีละหยดๆ ในขณะที่การผ่าตัดดำเนินไป สักครู่หนึ่งจอเครื่องวัดสัญญาณชีพ แสดงผลความดันของพริริสากลับมาอยู่ในภาวะปกติ นั่นเท่ากับว่าการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี
ฟากธีภพทำแผลที่ไหล่เสร็จแล้ว เฝ้าแต่เป็นห่วงพริริสาจนทนอยู่ในห้องไม่ไหว จะออกไป อธิรุธเดินเข้ามาในห้องพอดี
“หมอสั่งไว้ว่าอย่าเพิ่งขยับไม่ใช่เหรอ แล้วนายจะไปไหน”
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เป็นห่วงแต่ริสา
“เจ้าหญิงปลอดภัยแล้วไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า”
“ฉันอยากไปดูเขา”
“คิดว่าไปแล้วจะได้เจอหรือไง เมื่อกี้ฉันเพิ่งโดนผู้การด่าจนหูชา เรื่องที่ปล่อยให้เจ้าหญิงได้รับอันตรายขนาดนี้ ดีว่าทางผู้ใหญ่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นโดนกันหมด ว่าแต่ เจ้าหญิงรู้ความจริงหรือยัง”
ธีภพส่ายหน้ายังไม่ได้บอกพริริสา
“เกิดเรื่องซะก่อน ฉันเลยยังไม่ทันได้เล่า”
“ฉันว่าถึงเวลาที่ทุกคนควรจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้สักที”
ธีภพเห็นด้วยกับอธิรุธ
คณินปลอดภัยดี ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เอาแต่ผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวายใจว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปเยี่ยมลูกสาว อธิรุธเดินเข้ามาหา คณินเงยหน้ามาเห็นก็ดีใจ
“ผู้กอง หมอยอมให้เข้าไปเยี่ยมริสาได้แล้วใช่ไหม”
“น่าจะได้แล้วล่ะครับ”
คณินดีใจจะรีบไปหาพริริสา อธิรุธขวางหน้าไว้
“แต่ผมมีเรื่องสำคัญต้องบอกคุณก่อน”
คณินมองฉงน “เรื่องสำคัญอะไร”
มองผ่านกระจกเข้าไปเห็นพริริสานอนอยู่ในห้องไอซียู พยาบาลเข้าไปดูแล้วเดินออกมา ตรงหน้าประตูมีองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ สักครู่ธีภพเดินมาจะเข้าไปในห้องแต่องครักษ์ยืนขวางไม่ยอมให้เข้า
ไคซัจเดินมาเข้ายืนด้านหลัง ส่งสายตาให้หลบไปก่อน องครักษ์เดินเลี่ยงไป ปล่อยให้ธีภพอยู่กับไคซัจตามลำพัง
“ผมว่าคุณควรกลับไปพักรักษาตัวที่ห้องจะดีกว่า”
“ขอแค่ให้เห็นจนแน่ใจว่าริสา เจ้าหญิงปลอดภัยดีแล้วผมก็จะกลับไป”
“ผมคงห้ามคุณไม่ได้สินะ”
“ถึงคุณจะห้ามไม่ให้ตัวผมเข้าไปข้างในได้ แต่คุณก็ห้ามความรู้สึกผมไม่ได้อยู่ดี”
ที่ผ่านมาไคซัจรับรู้มาโดยตลอดว่าธีภพและพริริสามีความรู้สึกต่อกันลึกซึ้งต่อกันมากขนาดไหน จึงยอมเดินออกไปปล่อยให้ธีภพเข้าไปด้านในโดยไม่ขัดขวาง
ธีภพเข้ามาหยุดดูพริริสาข้างๆ เตียง เมื่อเห็นพริริสาปลอดภัยเขาก็โล่งใจ ยื่นมือไปเขี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าให้ และจับมือพริริสากุมไว้บีบเบาๆ สายตาสุดรักสุดห่วงใยบ่งบอกชัดเจนว่าอยากให้พริริสารีบรู้สึกตัวขึ้นมาเพื่อรับรู้ความจริงสำคัญสักที
ระหว่างนี้มิราเดินมายืนมองอยู่ด้านนอก เห็นธีภพมาคอยเฝ้าดูพริริสาก็ยิ้มโล่งใจ
ขณะที่มิราเดินออกมาที่โถงของโรงพยาบาลกำลังจะกลับไปที่ห้องรับรอง กานดาและกรนันท์เดินฉับๆ เข้ามาพร้อมใบหน้าอันบึ้งตึงเอาเรื่อง มิราเห็นสองแม่ลูกก็แปลกใจ รีบฉากหลบ รอจนสองคนเดินผ่านไป มิราจึงเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อรีบไปแจ้งพีรดา
กานดาและกรนันท์เดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“คุณแม่จะมาที่นี่ทำไมกันคะ อย่าบอกนะคะว่าจะมาตามคุณพ่อ”
“ใช่ แล้วแม่ก็จะมาดูว่านังริสามันตายหรือยัง ถ้ามันตายไปได้ แม่จะโล่งใจที่สุด”
“เกรซก็ภาวนาให้ตายๆ ไปซะ แต่แค่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ๆ มันถึงได้อาการสาหัส จนคุณพ่อต้องแล่นมาที่โรงพยาบาล”
คามินและไคซัจยืนคุยกับหมออยู่สักครู่ จึงเดินแยกออกมา
กานดาและกรนันท์ชะงักเมื่อเห็นคามินและไคซัจเดินสวนมาทางนี้พอดี
“เจ้าชาย”
กรนันท์ดีใจปนประหลาดใจจะปรี่เข้าไปหาคามิน แต่ไคซัจกางแขนกั้นเอาไว้ไม่ให้กรนันท์เข้าใกล้คามิน
“แกจะมาขวางฉันทำไม หลีกไป”
กรนันท์โมโห พยายามจะผลักไคซัจให้พ้นไป แต่ไคซัจไม่ยอมขยับ กานดาดึงกรนันท์ให้กลับมา มองคามินอย่างไม่พอใจนัก
“ต้องขอโทษด้วยค่ะที่เสียมารยาท แต่ฉันอยากถามเจ้าชายมาทำอะไรที่นี่คะ”
“คนสำคัญของผมบาดเจ็บผมก็ต้องอยู่คอยดูแล”
กรนันท์แทบกรี๊ด “คนสำคัญ! เจ้าชายไม่รู้เหรอคะว่านังริสามันทำอะไรกับครอบครัวเกรซไว้บ้าง เจ้าชายกำลังถูกมันหลอกใช้อยู่นะคะ มันหลอกพี่ภพไปคนนึงแล้ว เจ้าชายก็มาเป็นเหยื่อมันอีกคน”
คามินได้แต่มองกานดาและกรนันท์อย่างนึกสมเพชที่ไม่รู้อะไรเลย
“คุณน่าจะใช้คำผิด คำว่าเหยื่อมีไว้ใช้กับคนอ่อนแอ กับคนโง่ ซึ่งไม่ใช่ผมแน่”
หญิงรับใช้ยกชาร้อนมาให้พีรดา มิรากลับเข้ามาในห้องรับรองหน้าตาตื่น
“พระชายาเพคะ”
“มีอะไรมิรา หรือว่าริสาเป็นอะไร”
“ริสาไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันเห็นสองแม่ลูกนั่นมาที่นี่”
“สองแม่ลูก”
“คุณกานดา กับลูกสาวเพคะ”
พีรดานิ่งงันไป ไม่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับกานดาอีกครั้ง
คามินและไคซัจเดินเลี่ยงกานดาและกรนันท์มาอีกมุม แต่สองแม่ลูกยังตามมาเซ้าซี้ไม่เลิก
“นังริสามันมีอะไรดีคะ คนสูงศักดิ์อย่างเจ้าชายถึงต้องช่วยเหลือมันมากมายขนาดนี้”
คามินชะงักหันกลับมามองกานดาอย่างไม่พอใจ ที่พูดพาดพิงพริริสา กานดาใส่ร้ายพริริสาต่อ
“เจ้าชายคงยังไม่ทราบว่าแม่นั่นเป็นคนอกตัญญูแค่ไหน คิดร้ายได้แม้กระทั่งพ่อแท้ๆ ของตัวเองนับประสาอะไรกับคนอื่นอย่างเจ้าชาย สักวันมันก็ต้องแว้งกัดด้วยเหมือนกัน”
คณินและอธิรุธเดินเข้ามามองกานดาอย่างไม่พอใจ
“หยุดพูดถึงริสาในแง่ไม่ดีสักทีกานดา สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันก็เป็นเพราะความเลวของคุณทั้งนั้น ผมรู้ความจริงหมดแล้ว”
กานดาหน้าซีด หวาดกลัวว่าคณินจะรู้ความจริงที่ปกปิดไว้ตลอด 17 ปี
“ความจริงอะไรกันคะคุณพ่อ”
“ใครเอาเรื่องโกหกอะไรไปเล่าให้คุณฟัง”
กานดามองเขม็งไปที่อธิรุธ ในขณะที่คามินและไคซัจต่างสงสัยเช่นกัน
“เป็นคำให้การของคนร้ายนะครับ คุณกานดาคงไม่ทราบ ว่าเราได้ตัวคนร้ายที่คุณจ้างวานให้ไปจับตัวเจ้าหญิงเมื่อคราวก่อนแล้ว” อธิรุธบอก
กรนันท์งงเป็นปลาช่อนนาถูกทุบหัว “จับตัวเจ้าหญิง เจ้าหญิงที่ไหนกัน”
“คนที่พวกคุณเพิ่งว่าร้ายไปไงล่ะคุณเกรซ นั่นล่ะเจ้าหญิงราชกุมารี พริริสา อไมร์คาน แห่งไทรจีส น้องสาวของผมเอง”
กานดาช็อก “นังเด็กนั่นเป็น...เจ้าหญิง”
“น้องสาวเจ้าชาย” กรนันท์ครวญคราง
สองแม่ลูกแข้งขาอ่อนแทบยืนทรงกายไม่อยู่
อธิรุธบอกต่อว่า “อย่าเพิ่งตกใจจนเป็นลมไปก่อนนะครับ แล้วอยากรู้ไหมครับว่าเจ้าสองคนนั้นมันเล่าอะไรออกมาบ้าง”
กานดาใจสั่นที่กำลังจะถูกอธิรุธแฉความชั่วของตัวเอง
บนรถตู้ที่ธีภพเป็นคนขับ แล่นมาตามทางคืนนั้น หมวดทัดหยิบปืนออกมา ลูกน้องกานดาพากันตกใจ
“ให้พวกเราคุยกับคุณกานดาก่อน มันต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ พวกเราไม่เคยหักหลัง ขนาดเรื่องสิบกว่าปีก่อนพวกเรายังไม่เคยพูดออกไปเลย”
อธิรุธและหมวดทัดพากันชะงัก ธีภพใส่หมวดปิดหน้านั่งขับรถมา รอฟังความจริงอยู่อย่างลุ้นระทึก
“เรื่องสิบกว่าปีก่อน เรื่องอะไร” อธิรุธทำเป็นถาม
“ยัยคุณนายกานดานั่นหลอกแม่ผัวว่าจะเอาเงินไปให้สองแม่ลูกไม่ให้กลับไปหาผัวตัวเองอีก แต่ลับหลังสั่งให้เราสองคนจัดการสองแม่ลูกนั่น”
เหตุการณ์หลังจากจินตนาฉกสร้อยจากพีรดากลับไปแล้ว นักเลงลูกพี่ เดินเข้ามาจากอีกประตูอย่างมุ่งร้าย หยิบปืนออกมาจากเอว พีรดาเห็นก็หวาดกลัว
“คุณหญิงก็เอาสร้อยไปแล้ว คุณต้องการอะไรอีก”
พริริสาแอบดูอยู่ รีบวิ่งไปหาพีรดา
“แม่”
ลูกน้องกานดาใช้ด้ามปืนฟาดเข้าใส่ที่บริเวณขมับพีรดาอย่างรุนแรง เป็นผลให้ร่างพีรดาล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น เลือดไหลเป็นทาง กานดายืนดูอย่างสาแก่ใจ
“แม่จ๋า อย่าทำอะไรแม่นะ คนใจร้ายใจดำ มาทำแม่ริสาทำไม”
พริริสาเข้าไปดันกานดาไว้ ไม่ให้เข้าไปทำร้ายพีรดาอีก
“จะโทษฉันไม่ได้หรอกนะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะบูรพเกียรติไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเธอสองแม่ลูกอีก ฉันก็จำใจที่ต้องทำตามคำสั่งของคุณแม่ ที่ต้องการให้พวกเธอหายสาบสูญไปจากชีวิตคุณคณินเขาซะ”
กานดารำคาญกระชากร่างพริริสาออก แล้วผลักไปอีกด้าน ร่างน้อยๆ กระเด็นไปเซล้มลง ข้อมือกระแทกเข้ากับเหล็กแหลมตรงนั้นกรีดเฉือนข้อมือเป็นแผลลึก
“ริสา ลูกแม่”
พีรดาตกใจมาก กระเสือกกระสนไปหาพริริสาที่ร้องไห้จ้าเมื่อเห็นแผลและเลือดที่ข้อมือตน
พอเสร็จงานกานดาควักเงินจากกระเป๋าส่งให้นักเลงทั้ง 2 คน
“จัดการให้มันอยู่ไม่ได้ อย่าได้โผล่หน้ามาให้ใครเจออีก”
นักเลงลูกน้องถามหน้าเหี้ยม “เอาถึงตายเลยไหมคุณนาย”
“ถ้ามันดื้อด้านนักก็จัดการไปเลย”
นักเลงลูกพี่นับเงิน แล้วอยากได้เงินเพิ่ม
“แม่ผัวคุณนายให้มาตั้งหลายล้าน แต่มาใช้งานพวกเราแค่นี้เองเหรอคุณนาย”
กานดาหงุดหงิด “ทำงานของพวกแกให้สำเร็จก่อนเถอะ ตอนนั้นฉันจะให้เพิ่มอีก แล้วก็หุบปากเก็บเรื่องนี้ไว้ให้ดี วันข้างหน้าฉันอาจจะใช้งานพวกแกอีก ถ้ายังอยากได้งานง่ายๆ เงินดีๆ”
กานดาเดินออกไป พอใจสมใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เหตุการณ์ต่อมา พีรดามองออกไปนอกหน้าต่างบ้าน เห็นคนของกานดายังยืนจ้องมองเข้ามาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมราวกับบอกเป็นนัยว่า พร้อมจะเข้ามาทำร้ายสองแม่ลูกได้ทุกเวลาพีรดารีบปิดหน้าต่างอย่างหวาดกลัวตัดสินใจพาลูกหนี
รถไล่หลังสองแม่ลูกมา และเร่งความเร็วขึ้นเหมือนพร้อมจะพุ่งชน พีรดาตัดสินใจทิ้งกระเป๋าสัมภาระอุ้มพริริสาวิ่งหนีลงข้างทางเพื่อเอาชีวิตรอด ในจังหวะที่รถแล่นเกือบถึงตัวพีรดาอยู่แล้ว
ถัดมานักเลงชั่วสองคนเดินแหวกพงหญ้ากวาดสายตามองหาพีรดาและลูก แต่ไม่เห็นใคร
“ไม่เห็นใครเลยพี่” ลูกน้องบอก
“คุณนายสั่งไว้ พวกมันไปไหนก็ให้ตามมันไปทุกที จนกว่ามันจะทนอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ หาให้เจอ” นักเลงลูกพี่สั่ง
ทุกคนได้รู้ความจริง ต่างพากันจ้องมองกานดาอย่างชิงชัง โกรธแค้นแทนพริริสาและพีรดา
กรนันท์เหรอหราสีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและงุนงงไปหมด กับเรื่องราวในอดีตและความชั่วร้ายของมารดา ที่หล่อนไม่เคยรับรู้มาก่อน
คณินแค้นแสนแค้นจ้องหน้าผู้เป็นภรรยาเขม็ง
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะทำเรื่องเลวๆได้ถึงขนาดนี้ คุณหลอกคุณแม่ว่าพีรดาต้องการเงินห้าล้านเพื่อไปจากชีวิตผม แต่จริงๆ แล้ว คุณกลับส่งคนไปทำร้ายลูกกับเมียผม”
กานดาคอแข็งไม่ยอมรับความผิดง่ายๆ ระเบิดความรู้สึกในใจออกมา
“ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณนั่นล่ะ ถ้าคุณเลิกอาลัยอาวรณ์พวกมัน ฉันก็คงไม่ต้องทำแบบนั้น ตั้งแต่แต่งงานกัน จนฉันท้องคลอดยัยเกรซออกมา คุณก็ยังไม่เลิกตามหาพวกมัน ยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้มันมาแย่งคุณหรือเงินสักบาทของบูรพเกียรติไปจากฉันกับลูกเด็ดขาด”
มิราพาพีรดาที่ยืนฟังอยู่นานแล้ว เดินเข้ามาสมทบ
“ฉันไม่เคยคิดจะแย่งอะไรจากคุณเลยคุณกานดา ฉันตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วครั้งนึงเพราะคิดว่าความรักจะเอาชนะทุกอย่างได้ แต่เมื่อมันไม่เป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่คิดดันทุรังทำผิดเรียกร้องอะไรอีก”
“แกไม่ต้องมาพูดดี สุดท้ายแกก็ส่งลูกสาวมาทำร้ายครอบครัวของฉัน”
คามินเห็นกานดาก้าวร้าวพีรดาก็ไม่พอใจ
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใครคุณกานดา”
กานดาชะงัก นึกได้ว่าตอนนี้พีรดาและพริริสาไม่ได้อยู่ในสถานะอันต่ำต้อยอีกแล้ว
“ทุกอย่างเป็นเพราะสิ่งที่คุณทำไว้กานดา ริสาคิดว่าทุกคนในบูรพเกียรติทำร้ายเขากับแม่ เขาถึงได้กลับมา แต่มันก็สาสมแล้วกับพ่อที่ไม่เคยดูแล ไม่เคยทำอะไรเพื่อเขาเลย”
พีรดามองคณินอย่างเข้าใจ ไม่เคยโกรธแค้นเขาเลย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายรู้สึกผิดมากเท่าไหร่ พีรดาก็ยิ่งเห็นใจ เดินไปแตะที่ต้นแขนคณินอย่างปลอบโยน
“ฉันก็คงผิดด้วยเหมือนกัน ที่ทำให้ลูกลืมเรื่องโหดร้ายพวกนั้นไม่ได้”
กานดาเห็นภาพนั้นก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นทวี
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ฉันไม่เชื่อว่าแกจะไม่เสี้ยมสอนลูกให้เกลียดใคร พวกแกสองคนแม่ลูกอยากจะเห็นฉันกับลูกไม่เหลืออะไรเลย ฉันเกลียดแกนังพีรดา เกลียดทั้งแกทั้งลูกของแก”
คามินสุดทนประกาศเสียงกร้าว “ไคซัจเอาสองคนนี้ออกไป”
ไคซัจกันกานดาและกรนันท์ออกไป
“เจ้าชาย เกรซไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะคะ เจ้าชาย”
“อย่าคิดนะว่าวันนี้แกสองคนแม่ลูกจะอยู่เหนือฉัน อยู่เหนือใครๆ เพราะฉันก็จะไม่เลิกจองเวรพวกแก”
กานดาขู่อาฆาตเอาไว้
ไคซัจพาสองแม่ลูกออกไปได้ คณินหันมามองพีรดาแววตารู้สึกผิดสุดหัวใจ
“ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
คณินแทบไม่กล้าสบตาพีรดา ความละอายใจเต็มอก
พีรดารับรู้ได้ว่าคณินเสียใจมากจริงๆ ลูบแขนคณินปลอบโยน อย่างคนที่เคยผูกพันกันมาก่อน
คามินหันไปมองมิราเป็นเชิงบอกว่าปล่อยให้พีรดาได้พูดคุยกับคณินตามลำพัง
มิราเดินตามคามินออกไป
ไม่นานต่อมา พีรดาและคณินยืนข้างๆ เตียงเฝ้ามองดูลูกสาวอย่างเป็นห่วง คณินนั้นยังคงรู้สึกผิดอยู่มาก
“ผมผิดเองที่ปกป้องคุณกับลูกไม่ได้ แถมยังปล่อยให้คุณกับลูกถูกทำร้าย แต่ตัวเองกลับไม่รู้อะไรเลย สมควรแล้วที่ลูกจะโกรธเกลียดผม”
“แต่พอริสาตื่นเขาจะรู้ความจริงว่าบูรพเกียรติ ไม่ได้ทำร้ายฉันกับแกเลย”
พีรดาลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน หวังให้พริริสารู้สึกตัวเร็วๆ
คณินเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือพริริสาก็สะท้อนใจ จำได้ว่าเขาเคยทักถาม
วันนั้น พริริสาส่งแฟ้มเอกสารของธีภพให้คณิน คณินเห็นรอยแผลที่ข้อมือริสาก็แปลกใจ
“แผลนั่น”
พริริสาถูกสะกิดแผลในอดีตพยายามฝืนยิ้มเอาไว้
“อุบัติเหตุตอนเด็กน่ะค่ะ จากพวกคนใจร้าย”
คณินนั่งลงข้างเตียงจับมือข้างนั้นมาแนบแก้มตัวเอง สงสารลูกสาวจับใจ
“พ่อขอโทษนะริสา รีบตื่นขึ้นมานะลูก ตื่นมาให้โอกาสพ่อได้ชดเชยสิ่งที่พ่อทำผิดพลาดมาตลอด”
พีรดายิ้มบางๆ หวังให้เป็นแบบนั้น ให้ลูกและพ่อเข้าใจกันเสียที
เพลิงแค้นในใจพริริสาจะได้มอดดับลง
อธิรุธแวะมาหาธีภพที่บ้าน เวลานี้ทุกคนฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับกานดาจากปากอธิรุธแล้ว ธเนศและวิวรรณต่างนึกเห็นใจพีรดาและพริริสา
“ขอบใจมากเพื่อนที่จัดการทุกอย่างให้”
“ฉันล่ะอยากให้นายเห็นหน้าคุณกานดาตอนที่ทุกคนรู้ความจริง”
วิวรรณนึกสมน้ำหน้ากานดาขึ้นมากับสิ่งที่ทำเอาไว้กับคนอื่นๆ รวมทั้งที่แสดงความร้ายกาจกับตน
“ป่านนี้คุณกานดา คงแทบอกแตกตาย คนที่เคยทำร้าย กลับกลายเป็นพระชายากับเจ้าหญิงแห่งไทรจีส”
ธเนศปราม “คุณวิ”
“ยังดีนะคะ ที่พวกเขาสองคนแม่ลูกหนีไปที่ไทรจีสจนมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ละที่เขาว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้”
คราวนี้วิวรรณหันมาหาธีภพยิ้มอย่างโล่งใจ
“ลูกแม่ก็เหมือนกัน ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แม่ไม่คิดเลยว่าออกจากราชการแล้วเราต้องมาถูกบังคับให้ทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้อีก”
“ไม่ใครบังคับผมได้หรอกครับ ผมเต็มใจจะรับหน้าที่นี้เอง” ธีภพบอก
“นี่ล่ะเขาถึงเรียกว่ามีสายเลือดตำรวจเต็มตัวจากพ่อ งานนี้ผมขอ ไม่ให้คุณห้ามลูก เหมือนที่ผ่านมาอีก”
วิวรรณค้อนควักสามี “ถึงฉันจะรักลูกห่วงลูกแค่ไหน ฉันก็แยกแยะได้หรอกค่ะ”
“ยังไงเรื่องเจ้าหญิงพริริสา ก็คงต้องขอให้คุณลุงคุณป้าเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ” อธิรุธบอก
“ริสามาบาดเจ็บแบบนี้ เรื่องความปลอดภัยก็ยิ่งสำคัญมากครับ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงไปหรอก พ่อกับแม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
วิวรรณและธเนศเห็นแววตาและน้ำเสียงลูกชาย ต่างก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นห่วงพริริสามากขนาดไหน วิวรรณเริ่มเป็นห่วงธีภพขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ธเนศและวิวรรณออกมาจากห้อง วิวรรณสีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบายใจอย่างชัดเจน
“ลูกก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ทำไมคุณยังทำหน้าแบบนั้นอีก ไหนว่าเข้าใจสิ่งที่เขาเลือกจะทำแล้วไง”
“เรื่องงานฉันไม่ห่วงหรอก แต่เรื่องระหว่างตาภพกับเจ้าหญิง มองตาลูกฉันก็รู้แล้วว่าลูกเป็นห่วงเจ้าหญิงขนาดไหน แต่นั่นเจ้าหญิงนะคุณ เขาไม่ใช่แค่เลขาเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว” วิวรรณกลัวลูกชายจะเสียใจ
“อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตเถอะคุณ”
ธเนศพาวิวรรณเดินออกไป
กานดากลับเข้ามาในบ้านตอนเย็นแล้ว กรนันท์เดินตามเข้ามาอย่างสับสนกับเรื่องราวในอดีตของกานดา ปนร้อนใจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขค้นตามมาอีก
“ทำไมคุณแม่ไม่เคยบอกอะไรเกรซเลย แล้วถ้าคุณย่ารู้ว่าคุณแม่เคยทำอะไรไว้...”
กรนันท์ยังพูดไม่ทันจบคำ จินตนาเดินปรี่เข้ามาตบหน้ากานดาอย่างแรง
“คุณแม่” กานดาคาดไม่ถึง
กรนันท์ตกใจ “คุณย่า ตบคุณแม่ทำไมคะ”
“ฉันรู้เรื่องจากคณินหมดแล้ว แค่นี้มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่เธอทำไว้สักนิดกานดา เสียแรงฉันคิดว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อมเหมาะสมที่ยืนเคียงข้างคณิน แต่เธอกลับ...”
จินตนาโกรธจนตัวสั่นแทบจะยืนไม่อยู่ ดร.กฤษเดินตามเข้ามาประคองจินตนาเอาไว้
“พอได้แล้วคุณหญิง”
“คุณจะให้ฉันพอได้ยังไง ฉันถูกหลอกมาเป็นสิบปี จงเกลียดจงชังพีรดาเพราะคิดว่าเป็นพวกเห็นแก่เงิน”
กานดาระเบิดหัวเราะออกมา “พอรู้ว่าพวกมันได้ดิบได้ดี ร่วมวงศ์วานกับเจ้าชายคามิน ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเชียวนะคะคุณแม่ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคุณแม่เองดูถูกดูแคลนที่มันเป็นแค่พวกชั้นต่ำไร้สกุล ขนาดหลานแท้ๆ ที่เกิดมายังไม่อยากจะรับ แต่ตอนนี้คงอยากจะแล่นไปแทนตัวว่าปู่ว่าย่ากันใจจะขาดแล้วสิท่า”
กฤษชักโกรธที่กานดาไม่สำนึกเลย
“กานดา นี่เธอยังไม่สำนึกกับสิ่งที่ทำไว้อีกหรือไง”
“สำนึกเหรอคะ คุณพ่อลองคิดให้ดีนะคะว่าเรื่องนี้มันเริ่มจากใคร หนูก็เป็นแค่คนที่ช่วยสานฝันของคุณแม่ ช่วยกำจัดสองแม่ลูกนั่นให้ก็เท่านั้นเอง”
กานดาเดินหนีเข้าไปด้านในไม่สนใจจินตนาและดร.กฤษอีก
กรนันท์มองปู่และย่าอย่างไม่รู้จะไปทางไหน ก่อนตัดสินใจตามกานดาไป
“คุณแม่รอเกรซด้วย”
จินตนาโกรธจนอยากจะเป็นลม กฤษประคองพาคุณหญิงไปนั่งที่โซฟา จินตนาเอาแต่ฟูมฟาย
“ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนี้ โง่มาเป็นสิบๆปี ที่คิดว่าคนที่มีชาติตระกูลดี เทียมหน้าเทียมตากันจะดีกว่าผู้หญิงจนๆ ไร้สกุล แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักนิด ทำไม...”
คุณหญิงสะอื้นไห้ ทั้งเจ็บใจ ทั้งละอายแก่ใจ
ดร.กฤษไม่พูดอะไร ได้แต่กอดปลอบคุณหญิงภริยาเอาไว้
เข้ามาเห็นกานดาเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า กรนันท์ก็ยิ่งตกใจ
“คุณแม่จะทำอะไรคะ”
“แม่คงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านพากันรุมเกลียดแม่ไปหมด ทั้งพ่อเราคุณปู่คุณย่า เขาคงไม่อยากเห็นหน้าแม่ แม่ก็จะไม่อยู่ขวางหูขวางตาใคร”
กรนันท์ทั้งสับสน และ ใจเสีย เพราะถ้ากานดาไม่อยู่แล้วตัวเองจะทำยังไง
“ถ้าคุณแม่ไป แล้วเกรซละคะ เกรซจะทำยังไง”
กานดาจับมือกรนันท์ไว้แน่น
“ลูกมีเลือดบูรพเกียรติอยู่ครึ่งนึง ลูกต้องอยู่ที่นี่ เพราะลูกมีสิทธิ์ อย่าให้ใครมันมาแย่งของที่เป็นของลูกไปได้ โดยเฉพาะนังริสากับแม่ของมัน”
กานดาจมอยู่กับความโกรธเกลียดชิงชังสองแม่ลูก ในขณะที่กรนันท์เริ่มสติแตก
“แต่ตอนนี้นังริสามันกลายเป็นเจ้าหญิง เป็นน้องสาวของเจ้าชายคามินไปแล้ว เจ้าชายก็จะต้องเกลียดเกรซ ไม่สนใจเกรซอีกแล้ว แล้วไหนจะพี่ภพ คุณแม่ก็เอาแหวนหมั้นไปคืนแล้ว เกรซไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เกรซจะทำยังไง เกรซจะทำยังไง”
กรนันท์กรีดร้องฟูมฟายผิดหวัง กานดาได้แต่กอดปลอบลูกสาวเอาไว้ สงสารจับหัวใจ และต้องหาทางช่วยเหลือลูกให้ได้
กลับถึงห้องพักรับรองคืนนั้นคามินตัดสินใจโทรศัพท์หาบิดาที่ไทรจีส แจ้งเรื่องพริริสา ด้วยตัวเอง
“ผมขอโทษครับที่เพิ่งโทรมาบอกท่านพ่อเอาป่านนี้ วันนี้เกิดเรื่องจนผมตัดสินอะไรไม่ถูกหลายอย่าง”
“เอาเถอะได้ยินว่าริสาปลอดภัยแล้วพ่อก็โล่งใจ”
“ยังโล่งใจไม่ได้หรอกครับ เพราะพวกอาซิสไม่รู้มันจะลงมืออะไรกันอีก ผมเป็นห่วงริสาอยากให้กลับไทรจีสให้เร็วที่สุด”
ราอิลเองก็ไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่ไทรจีสยามนี้เช่นกัน
“แต่ที่นี่ตอนนี้ก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่ลูกคิดหรอกนะคามิน ถ้าเป็นไปได้พ่ออยากให้ทุกคนอยู่ที่ประเทศไทย จนกว่า...”
คามินรู้ทัน ไม่ยอมทิ้งราอิลให้เผชิญปัญหาเพียงคนเดียว
“ยังไงผมไม่มีทางทิ้งท่านพ่อให้เผชิญปัญหาอยู่ที่ไทรจีสเพียงลำพังแน่ ผมเชื่อว่าริสากับท่านแม่ก็คิดเหมือนกัน เราจะต้องมีวิธีจัดการกับพวกกบฏของท่านอาได้ ผมมั่นใจ”
คามินสีหน้ามุ่งมั่นจะต้องจัดการปัญหาเรื่องราห์มานให้ได้
รถของราห์มานแล่นมาจอดที่หน้าเซฟเฮ้าส์นอกเมืองหลวง เห็นมีทหารกบฏยืนถืออาวุธเฝ้าด้านหน้าไว้ ราห์มานลงจากรถพร้อมทหารกบฏผู้ติดตาม
“เร่งติดต่อเรื่องการขนอาวุธล็อตต่อไปมาได้ แล้วเรื่องกำลังคนที่ยังจงรักภักดีกับเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“พวกที่อยู่ฝ่ายเราส่วนใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่นอกเมืองทางใต้ กำลังทยอยมารวมกันที่ค่ายหลักของเราแล้วครับ”
“ดี ถ้ากำลังคนพร้อม อาวุธพร้อมเมื่อไหร่ เราจะได้ลงมือกันสักที แล้วทางอาซิสติดต่อมาหรือยัง”
“ติดต่อมาแล้วครับ”
“ว่ายังไง”
“ท่านอาซิสเกือบจะจับเจ้าหญิงได้”
จากกำลังอารมณ์ดี ราห์มานเปลี่ยนเป็นโกรธทันควัน
“ใช้คำว่าเกือบ ก็แปลว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว”
ทหารคนสนิทเห็นราห์มานโกรธก็รีบก้มหน้างุด ราห์มานเดินฉุนเฉียวเข้าไปด้านใน
ทหารคนสนิทเดินตามเข้ามารายงานต่อ
“แต่เจ้าหญิงพริริสาก็บาดเจ็บสาหัส ไทรจีสคงระส่ำระสายไม่น้อย น่าจะเป็นโอกาสที่ดีของท่านอาซิสอีกครั้ง”
“เลิกคาดเดาอะไรโง่ๆ ได้แล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ทางไทรจีสยังปิดข่าวเงียบสนิท ป่านนี้ทั้งทางไทรจีสทั้งตำรวจไทย ไม่มีทางเปิดช่องให้เราทำอะไรง่ายๆ ได้อีกแน่”
ทหารอีกคน เดินเข้ามาพร้อมซองเอกสาร แสดงการเคารพ
“มีข่าวสำคัญเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่วังมาครับ”
“ข่าวอะไร”
ทหารคนนั้นยื่นซองเอกสารให้
ราห์มานเปิดซองอ่านแล้ว ยิ้มชั่วออกมาในสีหน้าอันเยือกเย็นนั้น
“นี่สิโอกาสที่แท้จริงของเรา”
อ่านต่อตอนที่ 12 (อวสาน)